หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1447-1450

บทที่ 1447 ค่ายกลเคลื่อนย้ายระยะไกล

 

ในที่สุดเรื่องในเมืองไป่หลิงก็จบลง


ตามที่คาดไว้เมื่อทุกคนกลับไปความวุ่นวายก็สาดซัดไปทั่วทั้งทวีป


แต่ละคนตกตะลึง ใครจะคาดคิดว่าทวีปไป่หลิงจะเปลี่ยนเจ้าเหนือหัวหลังจากพิธีราชันจบลง…


ไม่ต้องพูดถึงว่าใครคือผู้ปกครองคนใหม่ ขนาดชื่อพันธมิตรเป่ยหลิงยังไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย


ต้องรู้ว่านี่เป็นเพียงขั้วอำนาจขนาดเล็กค่อนไปทางกลางที่ไม่เคยมีใครในทวีปไป่หลิงให้ความสนใจ แต่กลับทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าในพริบตา


แม้ว่าทุกคนจะรู้สึกอิหลักอิเหลื่อ แต่พวกเขาก็รู้ว่ามู่เฟิงมีกองหนุนที่น่ากลัว แม้ตัวเขาเองจะธรรมดา แต่บุตรชายและฮูหยินของเขาก็น่ากลัวยิ่งกว่าอะไร…


มีข่าวลือว่าชิงเหยี่ยนจิ้งเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าฝูถูซึ่งเป็นเผ่าโบราณที่อยู่ในอันดับต้นๆ ของมหาพันภพ


ส่วนมู่เฉินเริ่มต้นจากศูนย์ ย่างก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนภายในสิบปีสั้นๆ รวบรวมทวีปเทียนหลัวเป็นหนึ่งเดียวและก่อตั้งตำหนักมู่ขึ้นเป็นขุมกำลังสูงสุด


กองหนุนของมู่เฟิงนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าราชันไป่หลิง ไม่แปลกใจเลยที่แม้แต่ฉิงเป่ยเฉวียนประมุขตำหนักปลายเหนือก็ยังมอบทวีปไป่หลิงให้โดยยินยอมพร้อมใจ


ด้วยการสนับสนุนของจอมยุทธ์ใหญ่ทั้งสองที่อยู่เบื้องหลังพันธมิตรเป่ยหลิง ก็ไม่มีใครในทวีปไป่หลิงกล้าก่อปัญหาใดๆ ขั้วอำนาจที่ชาญฉลาดได้ส่งทูตไปยังพันธมิตรเป่ยหลิงเพื่อจะสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อกัน…


 


ทวีปไป่หลิง มณฑลเป่ยหลิง กองบัญชาการใหญ่พันธมิตรเป่ยหลิง


กองบัญชาการใหญ่แห่งนี้อยู่ในเขตมู่ที่มู่เฉินเติบโตขึ้นมา


สวนเงียบสงบในคฤหาสน์มู่ มู่เฉินกำลังนอนเอขกในศาลาขณะมองสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคยพร้อมกับรอยยิ้มประดับบนริมฝีปาก ร่างกายของเขาผ่อนคลายลงด้วยความสบายใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แผ่ซ่านไปทั่วแขนขาของเขา


ในอดีตตัวเขาราวกับลูกธนูที่ขึ้นสายตั้งแต่ตอนที่ออกจากมณฑลเป่ยหลิงและท่องไปทั่วยุทธภพ ไม่ว่าจะเผชิญกับอุปสรรคใด เขาก็ก้าวต่อไปด้วยความห้าวหาญ


ในเวลานั้นเขารู้ว่าตนเองอ่อนแอ ไม่สามารถไปได้กระทั่งตระกูลลั่วเสิน ไม่ต้องพูดถึงเผ่าฝูถูเลย ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงเดินหน้าต่อไป


ภายใต้การทำงานหนักไม่มีหยุดพัก เขาได้รับผลลัพธ์ที่ดี ในที่สุดก็สามารถทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับบิดาสำเร็จ…


แม้ว่าจะไม่ใช่การเดินทางที่ราบรื่น แต่โชคดีที่สุดท้ายเขาก็ประสบความสำเร็จ…


“ตาแก่ ข้าทำสำเร็จเห็นไหมเล่า”


มู่เฉินยิ้มขณะมองท้องฟ้าสีครามด้วยความสุขเติมเต็มหัวใจ จะดีแค่ไหนถ้าลั่วหลีอยู่ที่นี่กับเขาในเวลานี้


เมื่อนึกถึงหญิงคนรัก รอยยิ้มของมู่เฉินก็กว้างขึ้น เขารู้ว่าลั่วหลีขึ้นดำรงตำแหน่งธิดาเทพของเผ่าไท่หลิง แม้ว่าสาเหตุหลักจะเป็นเพราะนางต้องการช่วยเขา แต่ก็มีส่วนที่นางไม่อยากแพ้ใคร


ลั่วหลีเป็นโฉมสะคราญในสายตาของเขา แต่นางก็มีความภาคภูมิใจมากและไม่ยอมแพ้ใคร


ก็เหมือนตอนสงครามเทพยุทธ์ นางไล่ล่าเขาไปหลายวันโดยไม่พักเพียงเพราะความไม่ยอมแพ้ในใจ…


ตอนนี้มู่เฉินบรรลุระดับเทียนจื้อจุนแล้ว ลั่วหลีคงจะรู้สึกกดดันเพราะเรื่องนี้ เนื่องจากนางไม่ใช่ผู้หญิงแบบที่ต้องการให้เขาปกป้อง


นางต้องการที่จะเข้มแข็งเพื่อที่จะได้ยืนเคียงข้างกัน เผชิญพายุที่ดาหน้าเข้ามาด้วยกัน…


“เฮ้ เหม่ออะไร!”


ขณะที่มู่เฉินกำลังนึกถึงภาพเงาคนรัก มือบางก็โบกที่เบื้องหน้าเขาพร้อมกับเสียงสดใส


เมื่อมู่เฉินออกจากภวังค์ก็เห็นถังเชียนเอ๋อ เขาจึงยิ้มให้ “พี่เชียนเอ๋อ ทำไมถึงมาที่นี่ล่ะ?”


ถังเชียนเอ๋อนั่งลงข้างๆ พลางหัวเราะเสียงพลิ้ว ขณะที่ยืดเหยียดเอวก็วาดเส้นโค้งที่สวยงามขึ้น นางมองไปรอบๆ ก็พึมพำว่า “ช่างเป็นสถานที่ที่คุ้นเคย”


ทั้งสองเติบโตมาด้วยกัน ดังนั้นถังเชียนเอ๋อจึงคุ้นเคยกับคฤหาสน์มู่ไม่น้อย


มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้มถามว่า “ตอนนี้เจ้าทำงานที่สำนักศึกษาวั่นหวงเรอะ?”


ถังเชียนเอ๋อพยักหน้า “ข้ารู้สึกว่าสำนักศักษาวั่นหวงเหมาะสมกับตัวเอง แม้ว่าจะไม่รุ่งโรจน์เท่าเจ้า แต่ก็มีเรื่องสนุกทุกวัน ได้เห็นเหล่าศิษย์เติบโตขึ้นเหมือนเราในอดีต”


มู่เฉินตอบด้วยรอยยิ้ม “เจ้าพูดราวกับว่าเป็นแม่แก่ ตอนนี้เจ้าอยู่ในวัยสะพรั่งที่สุดเลยนะ”


เทียบกับเมื่อก่อนถังเชียนเอ๋อเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น และเนื่องจากดำรงตำแหน่งรองอาจารย์ใหญ่ ทำให้นางมีรัศมีที่แตกต่างออกไป มิฉะนั้นราชันไป่หลิงคงจะไม่ถูกดึงดูดมา


“แล้วมีประโยชน์อะไรล่ะ?” ถังเชียนเอ๋อถอนหายใจในใจขณะมองไปที่มู่เฉินพลางยิ้ม “ลั่วหลีล่ะ? นางเป็นอย่างไรบ้าง? ทำไมไม่พานางมาให้ลุงมู่ดูตัวล่ะ”


“นางสบายดี ตอนนี้ไปปฏิบัติหน้าที่ธิดาเทพของเผ่าไท่หลิง ข้าจะพานางมาแน่เมื่อมีโอกาสในอนาคต” มู่เฉินยืดเอวขึ้น


มองมู่เฉินที่เหมือนบ่นไม่พอใจแต่ก็ยังยิ้ม สายตาของถังเชียนเอ๋อก็กะพริบพร้อมกับประกายแสงเบาบาง แต่ไม่นานนางก็ได้สติล้อว่า “คิดว่าเจ้ายังจีบนางไม่ได้ซะอีก นางช่างโดดเด่นมาก เจ้าจับสายตาของนางไว้ได้อย่างไร?”


มู่เฉินส่ายหัว “ข้าไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอกมั้ง?”


“จอมยุทธ์หนุ่มขุมพลังเทียนจื้อจุนไม่เลวแล้ว” รอยยิ้มปรากฏบนริมฝีปากของถังเชียนเอ๋อขณะที่พูดต่อ “ข้าจะบอกท่านอาจารย์ใหญ่และคนอื่นๆ หลังจากกลับไปที่สำนักศึกษาวั่นหวง พวกนางยังจำเจ้าได้แม่นเลย เพราะในศึกเบญจภาคีเจ้าแย่งบทไปหมดเลย”


มู่เฉินเกาหัวแกรกกราก พอย้อนคิด ตอนนั้นเขาบ้าบิ่นจริงๆ


“ข้าจะกลับไปที่สำนักวั่นหวงในอีกไม่กี่วันนี้ ไม่รู้ว่าครั้งต่อไปจะกลับมาเมื่อไร” ถังเชียนเอ๋อกอดเข่าขณะมองไปบนท้องฟ้า


“วางใจเถอะ ถ้ามีโอกาส ข้าจะไปเยี่ยมเจ้าที่สำนักศึกษาวั่นหวง” มู่เฉินปลอบใจก่อนจะดึงป้ายหยกออกมาหลังจากไตร่ตรองครู่หนึ่ง


“พกสิ่งนี้ไว้กับตัว ทำลายมันหากมีอันตรายเกิดขึ้น แล้วข้าจะไปช่วยเจ้าทันที”


ถังเชียนเอ๋ออึ้งไปเมื่อมองป้ายหยก ก่อนที่จะรับไว้ แม้ว่าป้ายหยกจะเย็นเมื่อสัมผัส แต่นางก็รู้สึกอบอุ่นใจ จากนั้นนางก็เอาเชือกแดงคล้องไว้แนบหน้าอก


“อย่างน้อยเจ้าก็มีจิตสำนึกบ้าง” นางเผยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ขึ้น


“ก่อนข้าจะไป เราหาเวลาไปเยี่ยมสำนักศึกษาเป่ยชางหน่อยเถอะ…”


“ได้”


ถังเชียนเอ๋อโบกมือก่อนที่จะพลิ้วตัวลงจากศาลาและจากไป


เมื่อมองไปที่ภาพเงาของถังเชียนเอ๋อ มู่เฉินก็ยิ้มและเริ่มคิดถึงหญิงคนรักอีกครั้ง…


“นางน่ารักดีนะ เจ้ารับมาเป็นลูกสะใภ้ของแม่อีกคนไหมล่ะ” เสียงหัวเราะหวานดังก้อง มู่เฉินรีบหันกลับไปก็เห็นชิ้งเหยี่ยนจิ้งมาอยู่ข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้


มู่เฉินท่าทางอึดอัดใจ แต่ก็ส่ายหัวให้


ชิงเหยี่ยนจิ้งลูบหัวมู่เฉิน “ไม่งั้นก็รีบพาลั่วหลีมาเยี่ยมบ้าน ข้าเคยเจอนางมาก่อน นางน่ารักดีนะ”


ชิงเหยี่ยนจิ้งเคยพบลั่วหลีมาแล้ว ดังนั้นนางจึงมีความประทับใจอย่างมากกับคนรักของบุตรชาย


ฟังคำพูดของมารดา มู่เฉินก็ทำได้เพียงส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มขมขื่น


“โอ้ ใช่ ท่านแม่สามารถสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายระยะไกลได้ไหม? จะดีมากถ้าสามารถเชื่อมต่อกับกองบัญชาการใหญ่ของตำหนักมู่” มู่เฉินถามขึ้นทันทีหลังจากนึกบางอย่างได้


อนาคตเขาไม่สามารถอยู่ในมณฑลเป่ยหลิงได้เป็นเวลานาน แต่ตัวเขาก็เป็นห่วงบิดา ดังนั้นเป็นเรื่องดีที่สุดที่จะสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายระยะไกล เพื่อที่เขาจะได้ดูแลทวีปไป่หลิงได้ด้วย แต่ชัดว่านี่ไม่ใช่เรื่องง่าย


เนื่องจากทวีปไป่หลิงและทวีปเทียนหลัวอยู่ห่างไกลกันมาก ตัวมู่เฉินเองยังไม่สามารถสร้างได้ในตอนนี้ ดังนั้นเขาจึงต้องพึ่งพาชิงเหยี่ยนจิ้งเท่านั้น


“ค่ายกลระยะไกลเชื่อมโยงไปยังทวีปเทียนหลัวเหรอ?” หลังจากไตร่ตรองชิงเหยี่ยนจิ้งก็พยักหน้า “คงมีเพียงหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่งเท่านั้นที่ทำได้น่ะ”


มู่เฉินดีใจเมื่อได้ยินคำพูดของนาง


“แต่แม่ต้องการพิกัดพื้นที่ของอีกด้านหนึ่ง ไม่เช่นนั้นก็ไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้”


มู่เฉินไม่แปลกใจกับคำพูดนี้ เขายิ้ม “ท่านแม่อย่าลืมว่าลูกชายของท่านก็เป็นหลิงเจิ้นซือด้วยนะ แล้วข้าจะไม่มีความรู้ทั่วไปได้อย่างไร? ข้าเตรียมไว้ตั้งแต่ออกจากตำหนักมู่แล้ว”


พูดจบผลึกแก้วสีเงินก็ปรากฏขึ้นในมือซึ่งเต็มไปด้วยความผันผวนของมิติที่หนาแน่น


นี่คือหินมิติซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นในการสร้างค่ายกลเคลื่อนย้าย ก้อนในมือเขาคือหินหลัก ส่วนหินรองถูกทิ้งไว้ในค่ายกลของตำหนักมู่แล้ว


เมื่อได้รับหินมิติไป ชิงเหยี่ยนจิ้งก็ยิ้ม “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ครึ่งเดือนถัดจากนี้ข้าก็น่าจะสร้างได้เสร็จ เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะสามารถเดินทางไปกลับได้โดยไม่ต้องผ่านหลายทวีปแล้ว…”


รอยยิ้มกว้างกระจายบนใบหน้าของมู่เฉินก่อนที่จะยกนิ้วหัวแม่มือขึ้น


“ท่านแม่สุดยอด!”

 

 

 


บทที่ 1448 ข้อพิพาทที่เกิดจากสายเลือด...

 

ทวีปซันไห่


ที่นี่เป็นทวีปที่มีชื่อเสียงอย่างมากในมหาพันภพ แน่นอนว่าชื่อเสียงนั้นไม่ได้มาจากทวีป แต่เป็นเผ่าพันธุ์ที่สูงส่งที่อาศัยอยู่ที่นี่


เผ่าหงส์ฟ้า


ซึ่งเป็นเจ้าเหนือหัวบรรดาเผ่าวิหคทั้งหมดในมหาพันภพและมีชื่อเสียงโด่งดัง ในเวลาเดียวกันพลังของพวกเขายังติดอันดับต้นของยุทธภพอีกด้วย


ตามชื่อแล้วทวีปแห่งนี้ล้อมรอบด้วยภูเขาจำนวนมากและมหาสมุทร เทือกเขาทอดยาวออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ภูเขาแต่ละลูกมีขนาดเป็นแสนลี้ ราวกับยักษ์ปกคลุมผืนทวีปพร้อมกับความเวิ้งว้าง


ใจกลางทวีปมีหมอกมารวมตัวกัน สามารถมองเห็นวังหรูหราได้เลือนรางพร้อมกับเสียงนกร้องดังก้องไปทั่วสวรรค์และโลก ทำให้สถานที่แห่งนี้ดูราวกับแดนสวรรค์


วังขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงกลางถูกปกคลุมไปด้วยบรรยากาศสูงศักดิ์ เก้าอี้หินเลื่อนลงมาซึ่งมีคนนั่งอยู่บนนั้น ทุกคนกำจายด้วยแสงหลิงที่ก่อตัวเป็นสัตว์อสูรบินฉวัดเฉวียนอยู่ที่เบื้องหลัง


หากมีใครอยู่ที่นี่ พวกเขาจะต้องตกใจ เพราะทั้งหมดเป็นเทพอสูรประเภทกลางเวหาของมหาพันภพ


เผ่าเหล่านี้ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าขั้วอำนาจสุดยอดในมหาพันภพเลย นอกจากนี้เนื่องจากประวัติศาสตร์อันยาวนานของเทพอสูร ทำให้ขั้วอำนาจสุดยอดธรรมดายังไม่อาจเทียบได้


ดังนั้นเมื่อรวมตัวกันจึงถือว่าเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ของมหาพันภพเลยทีเดียว


มีร่างเงานั่งบนเก้าอี้หินอยู่ในวัยกลางคนกำจายความสูงศักดิ์รอบตัวทุกครั้งที่เคลื่อนไหว


ในเผ่าหงส์ฟ้า ถูกปกครองร่วมกันระหว่างจักรพรรดิตระกูลเฟิ่งและจักรพรรดิตระกูลหวง พวกเขาจะแบ่งระยะเวลาในการปกครอง ซึ่งในปัจจุบันผู้ที่ถืออำนาจสูงสุดก็คือจักรพรรดิแห่งตระกูลหวง—หวงจิง


“ทุกคนสระยกเทพจะเปิดในหนึ่งเดือนข้างหน้า ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละเผ่าว่าจะสามารถหาสายเลือดได้มากเท่าไร” หวงจิงยิ้มด้วยใบหน้าทรงเกียรติ


เมื่อเขาพูดจบ ดวงตาของทุกคนก็เปล่งประกายเผยให้เห็นความตื่นเต้น


สระยกเทพมีสมบัติล้ำค่าที่บรรพบุรุษทิ้งเอาไว้ ซึ่งเป็นข้อตกลงที่เผ่าหงส์ฟ้าทำร่วมกับสัตว์อสูรเผ่ากลางเวหาอื่นๆ เมื่อจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนของแต่ละเผ่าจะละสังขาร พวกเขาจะเข้าสู่สระยกเทพเพื่อหลอมร่างกายและสายเลือดรวมไปกับสระน้ำ


ด้วยวิธีนี้ ลูกหลานของพวกเขาจะสามารถใช้ประโยชน์จากสายเลือดที่บรรพบุรุษทิ้งไว้เพื่อใช้ชำระสายเลือดและวิวัฒนาการ


นั่นหมายความว่าสระยกเทพเป็นของขวัญยิ่งใหญ่ที่บรรพบุรุษของเทพอสูรกลางเวหาทิ้งไว้ให้ชนรุ่นหลัง


ไม่ต้องพูดถึงเผ่าเทพอสูรอื่นๆ แม้แต่เผ่าหงส์ฟ้าก็ถูกล่อลวงด้วยของขวัญชิ้นนี้เช่นกัน


แต่เนื่องจากสิ่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยบรรพบุรุษของเผ่าต่างๆ จึงไม่มีใครผูกขาดได้ ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับเหล่าอัจฉริยชนจะได้รับไปมากแค่ไหน


ขณะที่หวงจิงมองไปที่ทุกคน เขาก็ยิ้มก่อนที่จะหันไปมองคนสองคนที่ขอบลาน


หนึ่งในนั้นสวมชุดดำ เขาก็คือประมุขเผ่าวิหคโลกันตร์—เทียนฮวง


ที่ด้านหลังมีหญิงสาวคนหนึ่งในชุดสีดำ นางมีรูปร่างเพรียวบางและส่วนสัดน่าทึ่ง รูปลักษณ์สะคราญโฉมยิ่งนัก ริมฝีปากที่เม้มแน่นทำให้คนอื่นรู้สึกถึงเจ้าพยศในใจ


นางก็คือจิ่วโยว


“ท่านเทียนฮวง แม่นางจิ่วโยว ไม่ทราบว่าพวกเจ้าคิดยังไงกับข้อเสนอก่อนหน้าขอข้า?” หวงจิงมองทั้งสองคนด้วยรอยยิ้ม


เมื่อได้ยินคำพูดของหวงจิง ใบหน้าของเทียนฮวงก็สลับระหว่างเขียวกับขาว ขณะที่จิ่วโยวกัดริมฝีปาก


เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนเงียบไป หวงจิงก็ยิ้ม “พวกเจ้าน่าจะรู้ว่าบุตรชายของข้าฝึกฝนทักษะเก้าเทพหมุนวนในขั้นที่แปดแล้ว เหลือเพียงการนิพพานครั้งสุดท้ายก็สามารถบรรลุขั้นเซิ่ง ซึ่งสิ่งนี้มีความสำคัญอย่างมากต่อเผ่าหงส์ฟ้า ดังนั้นข้าหวังว่าเผ่าวิหคโลกันตร์จะเติมเต็มความปรารถนาของข้า”


ขณะที่พูดหวงจิงก็มองไปที่ชายที่นั่งเงียบอยู่ทางด้านหลัง เขามีรูปลักษณ์ที่โดดเด่น สวมชุดสีทองทำให้ดูสูงส่ง เมื่อมองจากระยะไกลก็ราวกับโอรสสวรรค์ที่สูงศักดิ์


เขาก็คือบุตรชายของหวงจิงและยังเป็นประมุขน้อยตระกูลหวง—หวงเฉวียนจือ


ชายผู้นี้ได้รับการฝึกฝนทักษะเทพขั้นสูงสุดของเผ่าหงส์ฟ้าวิชาเก้าเทพหมุนวน ซึ่งการนิพพานทุกครั้งต้องใช้เวลาสิบปี เมื่อการนิพพานที่เก้าเสร็จสิ้น เขาก็จะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง


วิชาเก้าเทพหมุนวนนี้เป็นหนึ่งในวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่า ดังนั้นจึงเห็นได้ว่ามีความพิเศษเพียงใด


ทว่าทักษะเทพระดับนี้ก็ยากในการฝึกฝนมาก นอกจากพรสวรรค์ผู้ฝึกต้องสูง ทุกการนิพพานยังต้องกลืนกินสายเลือดเทพอสูร เมื่อนิพพานที่แปดเสร็จสมบูรณ์ หวงเฉวียนจือก็บรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนแล้ว


พร้อมกับการสำเร็จนิพพานที่แปด ความเข้มงวดของสายเลือดที่ต้องการก็มากยิ่งขึ้น เห็นได้ชัดว่าพวกเขาหมายตาสายเลือดวิหคอมตะที่อยู่ในร่างจิ่วโยว


วิหคอมตะเป็นหนึ่งในเผ่าหงส์ฟ้าหายากยิ่งกว่าหงส์ฟ้าแท้จริง ณ ปัจจุบันในโลกนี้อาจมีเพียงจิ่วโยวคนเดียวที่ครอบครองสายเลือดวิหคอมตะอยู่ก็ได้


เผ่าอื่นๆ ก็มองภาพนี้อย่างเย็นชา ในโลกสัตว์อสูร ผู้ที่แข็งแกร่งจะล่าผู้ที่อ่อนแอกว่าเสมอ เผ่าวิหคโลกันตร์ถือได้ว่าเป็นเผ่าเทพอสูร แต่ยังไม่ใช่เผ่ามหาเทพอสูร ดังนั้นการครอบครองสายเลือดวิหคอมตะจึงดึงดูดความสนใจจากพวกเขา


สายตาของเทียนฮวงกะพริบด้วยแสงมืดมน จิ่วโยวเป็นจอมยุทธ์คนเดียวที่สามารถปลุกสายเลือดวิหคอมตะได้ในช่วงนับหมื่นปีที่ผ่านมา นางคือความหวังของทั้งเผ่า พวกเขาหวังว่านางจะสามารถวิวัฒนาการถึงขั้นสุดท้ายได้สำเร็จในวันหนึ่ง เพื่อบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง


เหตุผลที่พวกเขามายังเผ่าหงส์ฟ้าก็เพื่อสระยกเทพ ทว่าพวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าจะดึงดูดความสนใจของหวงจิง เนื่องจากสายเลือดวิหคอมตะ…


เทียนฮวงจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าถ้าหวงเฉวียนจือกลืนกินสายเลือดวิหคอมตะ การฝึกฝนของจิ่วโยวก็จะหยุดลงตลอดชีวิต…และนี่จะเป็นการระเบิดใหญ่สำหรับเผ่าวิหคโลกันตร์


ทว่าเผ่าหงส์ฟ้าทรงพลังและหวงจิงที่เป็นประมุขตระกูลหวง ซ้ำยังมีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง ซึ่งเป็นบุคคลที่เผ่าวิหคโลกันตร์ไม่สามารถต่อกรได้ ดังนั้นถ้าปฏิเสธ อีกฝ่ายขุ่นเคืองแน่


ยามนี้เทียนฮวงหวั่นใจนัก เขาทำได้เพียงตอบกลับอย่างหนักแน่นว่า “โชคดีที่บุตรสาวของข้าเข้าตาท่านได้ แต่นางดื้อรั้นนักเมื่อตอนยังเด็ก นางได้สร้างพันธะโลหิตกับมนุษย์ไว้ กลัวว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝัน…”


คำพูดของเขาทำให้ทุกคนประหลาดใจไป แม้แต่หวงจิงยังขมวดคิ้ว เผ่าหงส์ฟ้ามีเกียรติและพวกเขาชอบความบริสุทธิ์ ในสายตาของพวกเขาแม้แต่มหาเทพอสูรเผ่าอื่นๆ ก็ยังหยาบคาย ไม่ต้องพูดถึงมนุษย์เลย


เมื่อเทียนฮวงเห็นภาพนี้ก็ถอนหายใจโล่งอกในใจ แม้ว่าเรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของจิ่วโยว แต่ก็ไม่มีอะไร ตราบเท่าที่เขาสามารถปกป้องบุตรสาวไว้ได้


ทว่าหวงเฉวียนจือกลับยิ้มออกมา “เรื่องนั้นไม่มีปัญหา จับมนุษย์คนนั้นมา เรามีวิธีการมากมายในการละลายพันธะโลหิต โดยไม่ต้องทำร้ายแม่นางจิ่วโยว”


เมื่อจิ่วโยวได้ยินเช่นนั้น หัวใจก็ดิ่งลงเนื่องจากการสลายพันธะโลหิตจะเป็นอันตรายต่อทั้งสอง ถ้านางไม่ได้รับอันตรายนั่นหมายความว่ามู่เฉินจะได้รับอันตราย


เมื่อได้ยินเช่นนั้นเทียนฮวงก็หนังหัวชาหนึบตอบว่า “ข้ากลัวว่าจะไม่ง่ายที่จะจับนะสิ”


“ทำไม?” หวงจิงหรี่ตาลงขณะที่ยิ้มอย่างไม่แยแส “มีเพียงไม่กี่คนในมหาพันภพที่ยากสำหรับเผ่าหงส์ฟ้าของข้าที่จะจับกุม”


หลังจากลังเลชั่วครู่เทียนฮวงก็กัดฟันพูดต่อ “เพราะเขาคือประมุขตำหนักมู่ เจ้าทวีปเทียนหลัว…มู่เฉิน”


“มู่เฉิน?”


เมื่อทุกคนได้ยินชื่อนี้ ก็ไม่ได้แสดงท่าทางสงสัย บางคนถึงกับร้องอุทาน “หรือว่าจะเป็นมู่เฉินที่ไปป่วนเผ่าฝูถูรึ?”


เทียนฮวงพยักหน้า หากไม่ใช่เพราะความจริงที่เขารู้ว่ามู่เฉินมีสถานะที่แตกต่างไปจากอดีตอย่างสิ้นเชิง เขาคงไม่กล้าเปิดเผยเรื่องนี้อย่างแน่นอน


หวงจิงก็ประหลาดใจเช่นกัน เนื่องจากชื่อนี้ดังเป็นพลุแตกในมหาพันภพช่วงนี้ แน่นอนว่าเขาไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับตำหนักมู่ของมู่เฉิน แต่เขากังวลเกี่ยวกับมารดาของมู่เฉินซึ่งเป็นผู้อาวุโสใหญ่คนปัจจุบันของเผ่าฝูถู…


ภูมิหลังเช่นนี้ แม้แต่เผ่าหงส์ฟ้าก็ไม่สามารถทำอะไรกับมู่เฉินได้


หวงจิงขมวดคิ้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเขาก็ไม่สามารถจับมู่เฉินและสลายพันธะโลหิตได้ มิฉะนั้นชิงเหยี่ยนจิ้งไม่ปล่อยพวกเขาไปแน่นอน


เมื่อเห็นหวงจิงตกอยู่ในความเงียบ เทียนฮวงก็ฉายความสุขบนใบหน้า


ทว่าก่อนที่เขาจะได้รับความสุขเต็มที่ เขาก็สัมผัสได้ถึงสายตาลึกซึ้งของหวงเฉวียนจือก่อนที่อีกฝ่ายจะยิ้ม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็ยอมถอยสักก้าว ข้าไม่สนใจพันธะโลหิต เพราะมันจะไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อข้าอยู่ดี…”


เผ่าหงส์ฟ้ารักความบริสุทธิ์ แต่เพื่อให้ได้มาซึ่งสายเลือดวิหคอมตะ เขาก็ยอมอดทนสักหน่อย นอกจากนี้เขาจะมองไม่ออกได้อย่างไรว่าเทียนฮวงพยายามปฏิเสธ…


พอได้ยินคำพูดเหล่านั้น หัวใจของเทียนฮวงก็จมลง


เมื่อกวาดสายตาไปหวงเฉวียนจือก็สามารถมองเห็นความคิดของเทียนฮวงได้ เขาจึงพูดต่อว่า “มู่เฉินเกาะใบบุญมารดาในการสนับสนุน เผ่าหงส์ฟ้าจึงไม่สามารถทำอะไรกับเขาได้ แต่ในทำนองเดียวกันอย่าคิดว่าเผ่าหงส์ฟ้าจะกลัวเขา ดังนั้นข้าขอบอกเลยว่ามู่เฉินไม่มีคุณสมบัติที่เราจะกลัวเขา”


“ถ้าเจ้ากำลังจะบอกว่ามู่เฉินจะมาแก้แค้นแทนแม่นางจิ่วโยว ข้าหวงเฉวียนจือก็อยากเห็นว่าเขามีความสามารถแค่ไหนที่สามารถพลิกเผ่าฝูถูได้”


พูดถึงตรงนี้ เขาก็มองไปที่ใบหน้าเขียวคล้ำของเทียนฮวงและท่าทางเย็นชาของจิ่วโยวก่อนที่จะพูดต่อ “นอกจากนี้ข้าก็ไม่เชื่อว่ามู่เฉินจะกล้ามาที่เผ่าหงส์ฟ้า ถ้าเขามา ข้าจะจับเขาและบอกให้รู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า อย่าคิดว่าตัวเองจะเที่ยวเดินไปทั่วมหาพันภพได้อย่างไม่เกรงกลัว หลังจากก่อความวุ่นวายกับเผ่าฝูถู”


แม้ว่าน้ำเสียงของหวงเฉวียนจือจะสงบ แต่ก็มีความเย่อหยิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความมีอำนาจของกษัตริย์ นี่เป็นสิ่งไม่ธรรมดาจริงๆ


หวงจิงยิ้มพลางพยักหน้า เขาพอใจในตัวบุตรชายนัก แม้ว่ามู่เฉินจะทรงพลัง แต่ก็ยังมีช่องว่างเมื่อเทียบกับบุตรชายเขา


นั่นเป็นเพราะบุตรชายเขาเป็นอัจฉริยะแท้จริง


ดังนั้นเขาจึงมองไปที่เทียนฮวงและจิ่วโยวด้วยสีหน้าทรงเกียรติ ก่อนที่เสียงไม่แยแสจะดังก้อง


“ข้าตัดสินใจแล้วหนึ่งเดือนนับจากนี้จะเปิดสระยกเทพขึ้นและบุตรชายข้าจะเข้านิพพานที่เก้า”


“ในเวลานั้นเมื่อเข้าไปในสระยกเทพถ้าเจ้ายังไม่เต็มใจ ลูกข้าก็คงต้องลงมือเองแล้ว”

 

 

 


บทที่ 1449 ปัญหาของจิ่วโยว

 

ภูเขาด้านหลังคฤหาสน์มู่


มู่เฉินนั่งเงียบๆ บนภูเขาพร้อมแสงหลิงไร้ขอบเขตหมุนวนรอบตัว ร่างยักษ์สีม่วงทองขนาดใหญ่ยืนอยู่ข้างหลังดูดซับคลื่นหลิงในฟ้าดินเข้าไปในรูจมูก ส่งเสียงคำรามคลุมเครือดังก้อง


การฝึกฝนของเขาดำเนินไปหนึ่งวันเต็มก่อนจะหยุดลง เมื่อดวงอาทิตย์เคลื่อนขึ้น เขาก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น แสงสองสายพุ่งออกมาจากดวงตาฉีกฟ้าดินออกจากกัน


ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ที่อยู่เบื้องหลังก็ค่อยๆ สลายไปหลังจากทิ้งความผันผวนไว้ชั่วครู่


มู่เฉินสัมผัสได้ถึงร่างเทพสุริยะนิรันดร์ที่สลายไป ดวงตาก็เป็นประกาย เขารู้สึกได้เลือนรางว่าการฝึกฝนในวิชานี้ประสบความสำเร็จส่วนมากแล้ว พลังอำนาจที่มีก็เริ่มจะถึงจุดสูงสุด


ซึ่งหมายความว่าร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของเขาเริ่มมาถึงขีดจำกัดแล้ว หากเขาต้องการเพิ่มพลังของมันก็ขึ้นอยู่กับขุมพลังของตัวเขา


“ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของเจ้าสมบูรณ์แบบแล้ว”


ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นจากด้านหลัง มู่เฉินหันกลับไปก็เห็นชิงเหยี่ยนจิ้งกำลังมองมาด้วยความสนใจ ขณะที่ร่างเทพสุริยะนิรันดร์สลายไป


มู่เฉินพยักหน้า เพียงร่างเทพสุริยะนิรันดร์อย่างเดียว เขาก็เข้าใกล้จักรพรรดิฟ้าแล้ว


“ด้วยร่างเทพสุริยะนิรันดร์นี้ ตอนนี้เจ้ามีคุณสมบัติที่จะต่อสู้เพื่อร่างมหาเทพนิรันดร์แล้ว…” ชิงเหยี่ยนจิ้งยิ้ม


เมื่อได้ยินคำว่าร่างมหาเทพนิรันดร์ ริ้วแสงก็วูบไหวในดวงตาของมู่เฉิน นี่เป็นความฝันสูงสุดของเขานับตั้งแต่เริ่มฝึกฝนร่างเทพสุริยะ เขาก็เฝ้ารอร่างเทห์สวรรค์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดทุกเมื่อเชื่อวัน—ร่างมหาเทพนิรันดร์


“แต่ว่าร่างมหาเทพนิรันดร์อยู่ภายใต้ดูแลของเผ่าหมัวเฮอ ข้าว่าการได้มาจะไม่ใช่เรื่องง่าย” มู่เฉินถอนหายใจ


“เทพจักรพรรดินิรันดร์มอบร่างมหาเทพนิรันดร์ให้เผ่าหมัวเฮอดูแลรักษาเท่านั้น พวกเขาไม่ได้เป็นเจ้าของ ตามกฎที่เทพจักรพรรดิทิ้งไว้ เผ่าหมัวเฮอจะต้องเป็นเจ้าภาพจัดงานชุมนุมนิรันดร์ ทุกคนที่ฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์จะได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมเพื่อให้ร่างมหาเทพนิรันดร์เลือกเจ้านายเอง”


“แต่เป็นเรื่องจริงที่ตอนนี้เผ่าหมัวเฮอก็แสดงท่าทีเป็นเจ้าของเอง พยายามขัดขวางผู้ฝึกฝนคนอื่นๆ เพื่อให้สมาชิกในเผ่าได้รับการยอมรับ แต่ก็น่าเสียดายที่พวกเขาไม่เคยประสบความสำเร็จได้รับการยอมรับจากร่างมหาเทพนิรันดร์เลย” ชิงเหยี่ยนจิ้งเย้ยหยัน


“พวกเขาปกป้องมานับหมื่นปี จะมอบให้คนอื่นง่ายๆ ได้ยังไง” มู่เฉินยิ้ม ไม่แปลกใจกับเรื่องนี้ เขาแจ่มแจ้งในใจเกี่ยวกับการล่อลวงโดยร่างมหาเทพนิรันดร์นี้ นี่เป็นสิ่งที่แม้แต่เผ่าโบราณก็ไม่สามารถต้านทานได้


เพราะนี่คือหนึ่งในห้าของร่างมหาเทพปฐมกาลของมหาพันภพ ในเวลาเดียวกันก็ช่วยสร้างเทพจักรพรรดินิรันดร์ซึ่งเป็นเทพจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในสมัยโบราณ


“แต่ไม่ว่าพวกเขาจะไม่เต็มใจแค่ไหน ข้าก็จะไปยังเผ่าหมัวเฮอแน่นอนเมื่องานชุมนุมนิรันดร์เริ่มขึ้น ในเมื่อเทพจักรพรรดินิรันดร์ต้องการหาเจ้าของที่ดีที่สุดให้ร่างมหาเทพนิรันดร์ ข้าก็ต้องลงชิงชัย” มู่เฉินประกาศด้วยสายตาวูบไหว


เขาเริ่มต้นฝึกจากร่างเทพสุริยะจนตอนนี้พัฒนาเป็นร่างเทพสุริยะนิรันดร์ ตลอดทางผ่านความยากลำบากมานับไม่ถ้วน ทั้งหมดก็เพื่อให้ได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์ ดังนั้นไม่ว่าเผ่าหมัวเฮอจะไม่เต็มใจเท่าไร เขาก็ต้องไปลองชิงดู


ย้อนกลับไปตอนนั้นจักรพรรดิฟ้าเคยบอกว่าเขายังไม่ควรมุ่งหน้าไปยังเผ่าหมัวเฮอก่อนที่ความแข็งแกร่งของเขาจะถึงระดับหนึ่ง แต่ตอนนี้เขาไปไกลเกินกว่าอดีตแล้ว…


“ในเมื่อลูกรักของแม่มุ่งมั่นขนาดนี้ ในฐานะมารดา ข้าจะสนับสนุนเต็มที่ หากเจ้าสามารถได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์ ข้าจะไม่ปล่อยเผ่าหมัวเฮอแน่ หากพวกมันคิดกล้ารังแกเจ้า” ชิงเหยี่ยนจิ้งลูบหัวของมู่เฉินพลางพูดด้วยความเผด็จการ


เมื่อมู่เฉินได้ยินก็ยิ้มและพยักหน้า “ขอบคุณท่านแม่”


ทันใดนั้นมือของเขาก็เคลื่อนไหว ป้ายหยกปรากฏขึ้นก่อนที่จะแตกเป็นเสี่ยงๆ และก่อตัวเป็นแถวคำ


มู่เฉินขมวดคิ้วขณะมองไป จากนั้นสีหน้าก็ต้องเปลี่ยนไปรุนแรง


“จิ่วโยวมีอันตราย รีบกลับเทียนหลัว!”


มู่เฉินหดดวงตากระเด้งตัวขึ้นด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ ป้ายนี้เป็นของที่เขาให้มั่นถัวหลัวไว้เพื่อแจ้งให้ทราบหากมีเรื่องด่วนเกิดขึ้น


เห็นได้ชัดว่าจิ่วโยวต้องเจอเรื่องยุ่งยาก ซึ่งเป็นสาเหตุที่มั่นถัวหลัวส่งข้อความมา


“เกิดอะไรขึ้นกับจิ่วโยว?” ดวงตาของมู่เฉินกะพริบด้วยความดุร้าย เขามีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับจิ่วโยว แม้จะไม่ใช่เรื่องความรัก แต่คล้ายกับสมาชิกครอบครัว


ย้อนกลับไปตอนนั้นมู่เฉินพบจิ่วโยวที่มณฑลเป่ยหลิง พวกเขาได้สร้างพันธะโลหิตต่อกัน กล่าวได้ว่าจิ่วโยวเป็นผู้นำทางในการฝึกยุทธ์ของเขา


ก่อนที่เขาจะเผชิญหน้ากับโลกภายนอกด้วยตัวเองได้ นางก็คอยปกป้องเขามาตลอด ดังนั้นมู่เฉินจึงรู้สึกขอบคุณและเคารพนางในฐานะพี่สาวเสมอ


นี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมมู่เฉินอารมณ์ขึ้นเมื่อได้รับข้อความนี้


“เกิดอะไรขึ้น?” ชิงเหยี่ยนจิ้งถามเมื่อเห็นความวิตกกังวลของบุตรชาย ในสายตาของนางมู่เฉินเป็นคนที่รักษาอารมณ์ได้เรียบนิ่ง ดังนั้นต้องมีอะไรบางอย่างที่ร้ายแรงสำหรับการเปลี่ยนแปลงในอารมณ์ของเขา


“ท่านแม่สร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายไปยังทวีปเทียนหลัวเสร็จหรือยัง?” มู่เฉินยื่นมือออกมาลบคำพูดก่อนที่จะมองไปชิงเหยี่ยนจิ้งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


หลังจากไตร่ตรองชั่วครู่ชิงเหยี่ยนจิ้งก็ตอบว่า “ที่จริงยังต้องใช้เวลาอีกห้าวัน แต่ดูเจ้ารีบขนาดนี้ ข้าจะทำให้เสร็จภายในสองวัน”


พูดโดยทั่วไปแม้จะเป็นสุดยอดขั้วอำนาจก็ไม่สามารถเร่งชิ้งเยี่ยนจิ้งได้ หากให้นางช่วยสร้างค่ายกล แต่เนื่องจากนี่เป็นบุตรชายสุดที่รัก นางจึงตัดสินใจทำงานหนักเพิ่มขึ้นอีกหน่อย


“งั้นข้าต้องรบกวนท่านแม่แล้ว” มู่เฉินกล่าวด้วยความซาบซึ้ง


ชิงเหยี่ยนจิ้งยิ้มอ่อนโยน “ไม่ต้องเกรงใจแบบนี้กับแม่หรอก…”


จากนั้นนางก็หยุดชั่วครู่มองไปที่มู่เฉินถามว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือลูก? ต้องการให้แม่ช่วยไหม?”


“เพื่อนคนสำคัญกำลังมีปัญหา แต่ข้าก็ไม่แน่ใจรายละเอียด ดังนั้นข้าต้องกลับไปที่ทวีปเทียนหลัวก่อน แต่ข้าจัดการได้ ไม่รบกวนท่านแม่กับท่านพ่อดีกว่า” มู่เฉินยิ้ม


“แหม เพราะเจ้าทำให้เขากลายเป็นเจ้าทวีปไป่หลิง ทุกวันนี้ก็งานล้นมือไปหมด…”


ชิงเหยี่ยนจิ้งแซวเล่น แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมากนัก นางยิ้มให้มู่เฉิน “แต่เมื่อเจ้ามั่นใจ ข้าก็จะไม่พูดอะไร ข่าวที่เจ้าเป็นบุตรชายของข้ากระจายไปทั่วมหาพันภพ ดังนั้นพวกเขาก็ไม่กล้าทำเกินไปหรอก อย่างน้อยจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ไม่ออกโรงแน่นอน”


มู่เฉินพยักหน้า แม้ว่าตัวเขาจะไม่อยากโอ้อวดเกี่ยวกับมารดา แต่ก็ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนสายสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกได้ ดังนั้นจึงถือเป็นการสนับสนุนเขาที่สามารถใช้เพื่อข่มขู่คู่ต่อสู้ได้


แม้ว่ามู่เฉินจะชอบพึ่งพาตัวเอง แต่เขาก็ไม่ได้โง่


 


สองวันต่อมาหลังคฤหาสน์มู่


ค่ายกลขนาดหนึ่งพันจั้งถูกสร้างขึ้น ทำให้เกิดความผันผวนของมิติที่น่ากลัว พื้นที่โดยรอบถึงกับบิดเบี้ยว


สามารถมองเห็นสัญลักษณ์หลิงยิ่งนับล้านๆ ได้เลือนราง โครงสร้างซับซ้อนนี้แม้แต่มู่เฉินก็ไม่สามารถสร้างได้สำเร็จ


“สมกับเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่งแท้จริง…”


มู่เฉินมองไปที่ขนาดของค่ายกลเคลื่อนย้ายก็อดถอนหายใจไม่ได้


ชิงเหยี่ยนจิ้ง หลิงซีและหลงเซี่ยงก็มารมตัวกันอยู่ที่นี่ แม้แต่มู่เฟิงก็มาด้วย สำหรับถังเชียนเอ๋อ นางกลับไปที่สำหนักศึกษาวั่นหวงเมื่อไม่กี่วันก่อน


“ไอ้หนูระวังตัวด้วย…”


มู่เฟิงรู้ว่ามู่เฉินมีเรื่องเร่งด่วนเข้ามา เขาจึงกังวลไม่น้อย มหาพันภพเต็มไปด้วยจอมยุทธ์มากมายซึ่งแตกต่างจากทวีปไป่หลิงมาก


“พ่อ ลูกชายคนนี้ไม่ใช่เด็กหนุ่มคนเดิมที่กำลังจะเดินทางออกจากมณฑลเป่ยหลิงอีกแล้วนะ” มู่เฉินยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ ตอนนั้นที่ออกจาเกมณฑลเป่ยหลิงมู่เฟิงก็พูดด้วยความเป็นห่วงเช่นนี้


“เมื่องานในทวีปไป่หลิงเข้าที่เข้าทาง ข้าจะพาพ่อเจ้าไปเยี่ยมเจ้าที่ตำหนักมู่ในทวีปเทียนหลัว” ชิงเหยี่ยนจิ้งยิ้ม


“งั้นลูกจะรอต้อนรับนะ”


มู่เฉินยิ้มก่อนที่จะหายใจเข้าลึกๆ พลางพยักหน้าให้ครอบครัว จากนั้นก็ก้าวเข้าไปในค่ายกล


เขาโบกมือคลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็เทลงในค่ายกลเคลื่อนย้าย ทันใดนั้นความผันผวนของมิติก็ทวีความรุนแรงขึ้น ฟ้าดินบิดเบี้ยวก่อนที่จะถักทอสร้างอุโมงค์มิติขึ้นที่ด้านหลังมู่เฉิน


“ท่านพ่อท่านแม่ ข้าไปก่อนนะ”


มู่เฉินโบกมือก่อนที่หันกลับด้วยดวงตาคมกล้า เมื่อมองไปที่อุโมงค์มิติเขาก็ก้าวเข้าไป


ขณะเดียวกันมือของเขาก็กำแน่น


“จิ่วโยวอย่าเป็นอะไรนะ…”


“ในอดีตเจ้าปกป้องน้องชายคนนี้เสมอ ดังนั้นวันนี้ถึงคราวที่ข้าจะปกป้องเจ้ามั่ง…”


ค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่ระเบิดออกมาพร้อมกับรัศมีนับไม่ถ้วน ก่อนที่ภาพเงาของมู่เฉินจะหายไป

 

 

 


บทที่ 1450 ชนวนเหตุ

 

ทวีปเทียนหลัว ภูมิภาคทางเหนือ กองบัญชาการใหญ่ตำหนักมู่


ที่กองบัญชาการใหญ่มีแท่นสูงด้านหลังอาคารซึ่งมีการจัดวางค่ายกลขนาดใหญ่ไว้ ทว่าค่ายกลนี้ช่างมืดสลัวเนื่องจากเป็นสิ่งที่ยังสร้างไม่สมบูรณ์


แต่วันนี้ค่ายกลกำจายรัศมีออกมาพร้อมกับความผันผวนของมิติที่รุนแรง ก่อตัวเป็นกระแสน้ำวน


ร่างเงาหนึ่งย่างกรายออกมา


“ดูเหมือนว่าค่ายกลเคลื่อนย้ายจะเชื่อมโยงสำเร็จแล้ว” ชายคนนั้นมองไปที่ค่ายกลเบื้องล่างที่เปล่งรัศมีแสงหลิง นั่นเป็นสัญญาณของการเปิดใช้งาน


เขาก็คือมู่เฉินที่เพิ่งกลับมาโดยใช้เวลาห้าวันเต็มในเส้นทางมิติกว่าที่จะมาถึง


ทว่ามู่เฉินก็พอใจกับความเร็วนี้ มิฉะนั้นถ้าเดินทางผ่านทีละทวีปเขาต้องใช้เวลาหลายเดือนเลยทีเดียว


ฟิ้ว!


เมื่อเขาปรากฏขึ้น ก็มีเงาร่างกลุ่มหนึ่งทะยานเข้ามา นี่คือเหล่าองครักษ์ในชุดเกราะ


“ใครบังอาจบุกกองบัญชาการใหญ่ตำหนักมู่?!”


เหล่าองครักษ์ตะโกนพร้อมกับระเบิดพลังจับจ้องไปที่มู่เฉิน


“ตื่นตัวใช้ได้” มู่เฉินยิ้ม เขาพอใจกับองครักษ์เหล่านี้ เมื่อเขาเดินออกมาก็แสดงให้เห็นรูปลักษณ์ที่ชัดเจน


“ท่านประมุข!”


“ผู้ใต้บังคับบัญชาคารวะท่านประมุข!”


พวกเขาตกใจเมื่อเห็นมู่เฉินก่อนที่ทุกคนจะคุกเข่าลงข้างหนึ่งทำความเคารพ


“ลุกขึ้นเถอะ” มู่เฉินยิ้มเรียบง่ายพลางโบกมือยกร่างพวกเขาขึ้น


วาบ!


ในเวลานั้นก็มีร่างแสงสองสายพลิ้วลงมาจากท้องฟ้า นี่ก็คือมั่นถัวหลัวและเฉวียนเทียน


“ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว” มั่นถัวหลัวรู้สึกโล่งใจทันทีที่ได้เห็นหน้ามู่เฉิน


มู่เฉินยิ้มก่อนที่จะประสานมือให้เฉวียนเทียน “ขอบคุณผู้อาวุโสเฉวียนเทียนที่คุ้มครองตำหนักมู่ในช่วงนี้”


เฉวียนเทียนยิ้มชมชอบทันที “เจ้าพูดอะไรน่ะ? ข้าเป็นผู้อาวุโสแห่งตำหนักมู่ ดังนั้นจึงเป็นความรับผิดชอบที่จะต้องปกป้องสำนักโดยธรรมชาติ”


มู่เฉินยิ้มด้วยความประหลาดใจ เฉวียนเทียนถูกบังคับให้อยู่ในตำแหน่งนี้ ตอนนั้นเขาไม่เต็มใจนัก ว่าแต่ทำไมตอนนี้ทัศนคติของเขาถึงเปลี่ยนไป?


เมื่อเห็นความสงสัยของมู่เฉิน เฉวียนเทียนก็ยิ้มเซื่อง “การกระทำที่น่าเกรงขามของท่านประมุขในเผ่าฝูถูเลื่องลือไปทั่วมหาพันภพแล้ว”


ตอนที่เฉวียนเทียนได้ฟังข่าวนั้น เขาก็ตกใจกลัวมาก แม้ว่าเขาจะรู้ว่ามู่เฉินไม่ได้อ่อนแอ แต่เขาก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าชายหนุ่มจะสามารถพลิกเผ่าฝูถูได้จริงๆ และอาศัยพลังที่มีในการปราบปรามตระกูลเฉวียนและมั่วได้อยู่หมัด


แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้เฉวียนเทียนกลัวมากสุดก็คือตอนนี้มารดาของมู่เฉินดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่เผ่าฝูถู…


ด้วยภูมิหลังดังกล่าว มีขั้วอำนาจไม่มากสักเท่าใดในมหาพันภพที่กล้าดูถูกมู่เฉินและตำหนักมู่ ดังนั้นเฉวียนเทียนจึงตระหนักได้ว่าในอนาคตตำหนักมู่ไม่ธรรมดาแน่


สายตาของมู่เฉินวูบไหว เขารู้ความคิดของเฉวียนเทียนได้ ทว่าเขาก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ หากเขาทำให้เฉวียนเทียนเป็นผู้อาวุโสของตำหนักมู่ด้วยความเต็มใจ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อตำหนักมู่มาก


ดังนั้นสายตาที่มองเฉวียนเทียนจึงอบอุ่นขึ้นมาก จากนั้นเขาก็หันไปพูดกับมั่นถัวหลัว “ตำหนักมู่ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”


ตำหนักมู่ครอบครองพื้นที่จักรวรรดิเหนือทั้งหมด ซ้ำยังขยายตัวอย่างต่อเนื่องไปทั่วทวีปเทียนหลัว พวกเขามีความขัดแย้งกับจอมยุทธ์หลายฝ่ายอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นเป็นเรื่องง่ายที่จะมีปัญหาเกิดขึ้น


“ตอนแรกก็วุ่นวายอยู่ แต่หลังจากข่าวความสำเร็จของเจ้าในเผ่าฝูถูกระจายออกไป ทวีปเทียนหลัวก็เงียบเสียงลงไปเลย แม้แต่ขั้วอำนาจชั้นยอดที่อยู่เบื้องหลังก็ยังส่งสัญญาณถอย…” มั่นถัวหลัวถอนหายใจ นางคาดไว้ว่าตำหนักมู่อาจจะเผชิญกับสงครามดุเดือด แต่ไม่คิดว่าความสำเร็จของมู่เฉินในเผ่าฝูถูจะปราบปรามทุกสิ่งได้


มู่เฉินถอนหายใจเช่นกัน เนื่องจากเขารู้ว่าคนเหล่านั้นไม่ได้กลัวเขา แต่กลัวมารดาของเขา


เขาประเมินการข่มขู่ของหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่งต่ำไปหน่อย


แต่นั่นเป็นข่าวดี หากขั้วอำนาจเหล่านั้นแสดงสัญญาณว่าจะถอยออกไป ตำหนักมู่จะกลายเป็นเจ้าเหนือหัวของทวีปเทียนหลัวโดยไม่มีปัญหาในอนาคต การใช้ประโยชน์จากมหาทวีปนี้ ตำหนักมู่จะเข้าเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจชั้นนำมหาพันภพ


แต่แน่นอนว่า…มู่เฉินจะต้องบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งเสียก่อน มิฉะนั้นก็ไม่มีความหวังสำหรับมู่เฉินที่จะได้เห็นสิ่งนี้


“จิ่วโยวเจอปัญหาอะไร?”


มู่เฉินสงบใจลงก็ถามด้วยสายตาเย็นชา


“ให้ผู้อาวุโสเทียนเช่อเล่าให้ฟังเถอะ ข้าแจ้งให้เขามาแล้ว” มั่นถัวหลัวตอบ


เมื่อมั่นถัวหลัวพูดจบ ร่างแสงก็ทะยานเข้ามาหยุดที่เบื้องหน้ามู่เฉิน นี่คือผู้อาวุโสเทียนเช่อที่เคยมารับจิ่วโยวในตอนนั้น


“เทียนเช่อจากเผ่าวิหคโลกันตร์ คารวะประมุขมู่”


เทียนเช่อเต็มไปด้วยอารมณ์ตื่นเต้นดีใจขณะมองชายหนุ่มตรงหน้ามั่นถัวหลัว จากนั้นเขาก็ถอนหายใจ ครั้งก่อนที่เขามาที่นี่ยังเป็นอาณาจักรกงเวทสวรรค์ ซึ่งเป็นเพียงหนึ่งในขั้วอำนาจสูงสุดของภูมิภาคทางเหนือเท่านั้น


ตอนนั้นเขามีทัศนคติค้ำคอมองอาณาเขตกงเวทสวรรค์อย่างดูถูก เพราะถึงยังไงเผ่าวิหคโลกันตร์ก็เป็นหนึ่งในเทพอสูรที่มีรากฐานหยั่งลึกมากจนอาณาเขตกงเวทสวรรค์เทียบไม่ได้


ในเวลานั้นเขาไม่คิดมาก่อนว่าภายในไม่กี่ปีอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะเปลี่ยนเป็นตำหนักมู่เข้าปกครองในภูมิภาคทางเหนือ มากจนแม้แต่ขั้วอำนาจสูงสุดอื่นๆ ในทวีปเทียนหลัวยังไม่กล้าที่จะแข่งขันด้วย ยิ่งไปกว่านั้นมู่เฉินที่อยู่ในขุมพลังจื้อจุนก็ได้ก้าวเข้าระดับเทียนจื้อจุน แม้แต่เผ่าโบราณก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้…


ครั้งก่อนที่เขาเจอมู่เฉินก็มองอีกฝ่ายเป็นคนรุ่นหลังเท่านั้น ทว่าตอนนี้ต้องทักทายด้วยความเคารพแล้ว…


“ผู้อาวุโสเทียนเช่อไม่ต้องมากมารยาท” มู่เฉินฉายความอบอุ่นบนใบหน้าโดยปราศจากความเย่อหยิ่งของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนพลางประสานมือให้เช่นกัน


เมื่อเห็นมู่เฉินยังคงอบอุ่นเหมือนในอดีต เทียนเช่อก็รู้สึกโล่งใจ เขารู้ดีว่าพวกอัจฉริยะอย่างมู่เฉินมักจะหยิ่งผยองและเผ่าวิหคโลกันตร์ก็ทำให้เรื่องยุ่งยากกับชายหนุ่มไว้ไม่น้อย แต่ดูเหมือนว่ามู่เฉินไม่ได้เก็บสิ่งเหล่านั้นไว้ในใจ


“สายตาของจิ่วโยวดีกว่าตาแก่อย่างพวกข้าจริงๆ” เทียนเช่อยิ้มอย่างขมขื่น ถ้าพวกเขารู้ว่ามู่เฉินจะประสบความสำเร็จเช่นนี้ จะไปคัดค้านพันธะโลหิตของทั้งคู่อีกซะที่ไหน


“ท่านเทียนเช่อพูดเรื่องจิ่วโยวกันเถอะ” มู่เฉินยิ้ม


เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ท่าทางขมขื่นก็ปรากฏบนใบหน้าของเทียนเช่อ “ได้โปรดช่วยจิ่วโยวและเผ่าวิหคโลกันตร์ด้วย!”


ความอบอุ่นบนใบหน้าของมู่เฉินหดกลับ สายตาก็เย็นชาตาม “ไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่ปล่อยให้มีอะไรเกิดขึ้นกับนางเด็ดขาด”


“เรื่องเป็นแบบนี้ ตอนที่จิ่วโยวกลับไปที่เผ่าครั้งล่าสุด นางเอาแต่รบเร้าท่านประมุขเพื่อค้นหาโอกาสในการวิวัฒนาการ นางบอกว่าตอนนี้นางอ่อนแอเกินไป จึงต้องการวิวัฒนาการเพื่อปลุกสายเลือดวิหคอมตะและเข้าสู่การเป็นมหาเทพอสูร” เทียนเช่อยิ้มอย่างขมขื่น


มู่เฉินหรี่ตาลงเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น เขารู้ว่าสาเหตุที่จิ่วโยวทำเช่นนี้ก็เพราะเห็นเขาบรรลุระดับเทียนจื้อจุนแล้วโดยที่นางถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ไม่สามารถให้ความช่วยเหลือเขาได้อีก ดังนั้นนางจึงกลับไปที่เผ่าวิหคโลกันตร์เพื่อค้นหาหนทางวิวัฒนาการ


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้มู่เฉินก็รู้สึกซับซ้อน จิ่วโยวทำทุกอย่างเพื่อเขาจริงๆ


“ส่วนท่านประมุขก็ถูกรบเร้าจนไม่มีทางเลือก จึงพานางเธอไปที่เผ่าหงส์ฟ้า ที่นั่นมีสถานที่หนึ่งชื่อว่าสระยกเทพที่บรรพบุรุษของสัตว์อสูรกลางเวหาทุกตัวละสังขารไว้โดยรวมเอาแก่นโลหิตไว้ภายใน นี่เป็นโอกาสที่ดีที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ ก่อนหน้านั้นหนึ่งในบรรพบุรุษของเผ่าวิหคโลกันตร์ก็ได้ละสังขารไว้ ดังนั้นเผ่าของเราก็มีที่นั่งอยู่ด้วยเช่นกัน หลังจากการถกกันเราก็ตัดสินใจที่จะให้จิ่วโยว”


ยิ่งเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ใบหน้าของเทียนเช่อก็ขมขื่นมากขึ้น “นั่นคือจุดเริ่มต้นของปัญหา ไม่มีใครคิดมาก่อนว่าบุตรชายประมุขตระกูลหวงจะฝึกฝนวิชาเก้าเทพหมุนวน ซึ่งนี่เป็นวิทยายุทธขั้นสุดยอดที่ผู้ฝึกต้องกลืนกินสายเลือดของมหาเทพอสูรในแต่ละช่วงนิพพาน ปัจจุบันเขาอยู่นิพพานที่แปด ดังนั้นจึงหมายตาสายเลือดวิหคอมตะของจิ่วโยว”


“วิชาเก้าเทพหมุนวน?” มู่เฉินหดดวงตา นี่คือวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่าในตำนาน ไม่คิดว่าบุตรชายของจักรพรรดิตระกูลหวงจะสามารถฝึกฝนได้


“ต้องรู้ว่าจิ่วโยวคือความหวังของเผ่าวิหคโลกันตร์ ถ้าหวงเฉวียนจือกลืนกินสายเลือดวิหคอมตะไป นางจะไม่สามารถมีพัฒนาการใดได้อีกในอนาคต นั่นหมายความว่าทุกอย่างในอนาคตของนางจะพังพินาศ!” เทียนเช่อกัดฟัน


“ประมุขหวงบอกว่าถ้าเราไม่เต็มใจ หวงเฉวียนจือก็จะเคลื่อนไหวเองในสระยกเทพ ถึงเวลานั้นชีวิตของจิ่วโยวก็อาจตกอยู่ในอันตรายด้วย!”


“แม้ว่าตามกฎเราจะสามารถหาองครักษ์เข้าไปในสระยกเทพได้หนึ่งคน แต่เผ่าวิหคโลกันตร์มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลางเพียงคนเดียว เราไม่สามารถปกป้องจิ่วโยวได้


“ช่วงนี้ทางเผ่าก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะเชิญจอมยุทธ์ทรงอำนาจที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันในอดีต แต่พวกเขาล้วนปฏิเสธเพราะกลัวเผ่าหงส์ฟ้า!”


“เราไม่มีทางอื่นแล้วจริงๆ จึง…จึงได้แต่มาขอความช่วยเหลือจากประมุขมู่ โปรดช่วยจิ่วโยวด้วยเถอะ”


พูดถึงตอนท้าย ใบหน้าของเทียนเช่อก็เต็มไปด้วยน้ำตาขณะที่คิดจะคุกเข่า


ทว่าพลังยิ่งใหญ่ทำให้เขาหยุดการกระทำลง เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่มู่เฉินก็รู้สึกกังวลในใจ เพราะไม่รู้ว่ามู่เฉินจะเห็นด้วยหรือไม่ แม้ว่าเขาและจิ่วโยวจะมีพันธะโลหิตต่อกัน แต่สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับเผ่าหงส์ฟ้า ซึ่งเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจสูงสุดของมหาพันภพ จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนธรรมดาไม่กล้ารุกราน


ภายใต้การจ้องมองของเขา สีหน้าเยาะเย้ยก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าอ่อนเยาว์


“จะเคลื่อนไหวเองเชียวเหรอ?”


มู่เฉินหันไปมองเทียนเช่อ น้ำเสียงที่เย็นชาของเขาทำให้อีกฝ่ายสั่นสะท้านจากแรงอารมณ์ ดวงตาแดงก่ำ


“ผู้อาวุโสเทียนเช่อ พาข้าไปเถอะ ข้าอยากเห็นว่าหวงเฉวียนจือมีความสามารถอะไรที่จะมารับสายเลือดจิ่วโยวไป…”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)