หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1443-1446
บทที่ 1443 หลิ่วไป่ฮวา
ตู้ม!
หลังคาโถงถูกฉีกออกจากกันด้วยมือที่มองไม่เห็น แสงแดดส่องลงมากระทบร่างทุกคนที่นี่ แต่ทุกคนกลับไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นของดวงตะวันเลย ตรงกันข้ามพวกเขาสัมผัสได้ถึงความหนาวเหน็บที่น่ากลัว
นั่นเป็นเพราะที่สาดส่องลงมาพร้อมแสงตะวันก็คือไอสังหารเย็นเยือก
ดังนั้นทุกคนจึงได้แต่ตัวสั่นงันงกเมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นคลื่นหลิงไร้ขอบเขตรวมตัวกันในหมู่เมฆพร้อมกับสตรีสวมชุดชาววัง สายตาของนางเต็มไปด้วยความเย็นชาและเจตนาฆ่าที่ทำให้ทุกคนรู้สึกเจ็บปวดในดวงตา จนพวกเขาไม่กล้ามองนาง
แรงกดดันคลื่นหลิงทรงพลังกำจายออกมาจากร่างของนางอย่างต่อเนื่อง ล้อมรอบเมืองไป่หลิงทั้งหมดไว้ ทำให้ทุกคนตัวสั่นเทิ้มจากการบีบคั้นของระดับเทียนจื้อจุน
เมื่อมองไปที่สตรีคนนั้น ทุกคนก็รู้สึกว่าหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ พวกเขาจำได้ชัดเจนว่านางเป็นมารดาของราชันไป่หลิง ประมุขสำนักร้อยบุปผา—หลิ่วไป่ฮวา มิหนำซ้ำยังเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงอีกด้วย
“ท่านแม่! ท่านแม่! เร็ว ช่วยข้าด้วย!”
เมื่อเห็นการปรากฏตัวของหลิ่วไป่ฮวา ราชันไป่หลิงก็คำรามรุนแรง อารมณ์ที่อัดอั้นระเบิดออกเต็มที่ “ไอ้บ้านั่นตัดแขนข้าสองข้าง ท่านอย่าปล่อยมันไปนะ!”
เมื่อเห็นร่างบุตรชายโชกเลือกซ้ำยังไม่มีแขน หลิ่วไป่ฮวาก็รู้สึกว่าปอดกำลังจะระเบิดด้วยความโกรธ นางถนอมบุตรชายราวกับของแก้วล้ำค่า นี่คือเหตุผลว่าทำไมนางจึงยอมให้เขามาปกครองทวีปและกลายเป็นราชัน
ดังนั้นเมื่อเห็นลูกรักถูกตัดแขน ความโกรธของนางก็ระเบิดตูม
“ไม่ต้องกังวล พ่อเจ้ากำลังเร่งรุดมากับพรรคพวก วันนี้ข้าจะดูว่าไอ้หน้าโง่คนไหนกล้าทำร้ายลูกชายของข้าในทวีปไป่หลิงนี้!” เสียงเยือกเย็นของหลิ่วไป่ฮวาดังสะท้อนโดยปราศจากความอบอุ่นใดๆ
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นพวกมู่เฟิงก็มีท่าทีเปลี่ยนไป พวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะไปตีรังผึ้งในครั้งนี้ ฟังจากคำพูดของนาง ประมุขตำหนักปลายเหนือไม่ได้มาแค่คนเดียวแต่มีผู้ช่วยมาด้วย
สายตาเย็นชาของหลิ่วไป่ฮวากวาดไปทั่วห้องโถง ก่อนที่เอ่ยด้วยเสียงเยือกเย็น “ใครเป็นคนทำ?”
ทุกสายตาจ้องมองไปที่มู่เฉินที่ตอนนี้กำลังคลึงถ้วยในมือเล่นก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นมองไปที่หลิ่วไป่ฮวา “ดูท่าว่าเจ้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อขอโทษนะ?”
พอได้ยินคำพูดของเขา หลิ่วไป่ฮวาก็หัวเราะออกมาด้วยความโกรธ “ขอโทษรึ? สมองแกเน่าไปแล้วมั้ง!”
มู่เฉินพูดต่อ “พวกเจ้าปล่อยให้ไอ้โง่นี้ทำตามอำเภอในในทวีปไป่หลิง ทำร้ายบิดาข้าและพยายามบังคับให้เพื่อนรักของข้าแต่งให้มัน ในเมื่อพวกเจ้าไม่สั่งสอน ข้าก็เลยจะจัดการให้เอง”
“แกคิดว่าตัวเองเป็นใคร?!” หลิ่วไป่ฮวารู้สึกแค้นเคืองกับคำพูดของมู่เฉินก่อนที่นางจะพูดต่อ “ทวีปไป่หลิงเป็นของสามีข้ามอบให้บุตรชาย เขาเป็นผู้ปกครองที่นี่ ถึงเขาจะทำเรื่องที่แกว่ามาแล้วจะยังไง”
“ดูเหมือนว่าตัวแม่ก็เป็นหญิงโง่ไม่มีเหตุผล”
มู่เฉินขมวดคิ้วพูดต่อ “งั้นตั้งแต่วินาทีนี้ทวีปไป่หลิงเป็นของข้าแล้ว”
“สามหาว ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!”
หลิ่วไป่ฮวาก้าวออกไป คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพวยพุ่งออกมาจากแขนเสื้อนางกลายเป็นพายุดอกไม้ห่อหุ้มไปที่ร่างมู่เฉิน
“ต้องการยึดทวีปไป่หลิงเรอะ? แกยังไม่มีความสามารถพอ!”
พายุดอกไม้ส่งเสียงหวีดหวิว แวววาวราวกับอัญมณี ดอกไม้ทุกดอกมีพลังหลิงที่ควบแน่นมากซึ่งสามารถสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้อย่างง่ายดาย ด้วยการรวมตัวกันเป็นจำนวนมาก ตราบใดที่หลิ่วไป่ฮวาต้องการ นางก็สามารถทำให้ทั้งเมืองไป่หลิงอาบไปด้วยเลือดทันที
ทว่าเมื่อมู่เฉินมองไปที่ดอกไม้ก็ไม่มีแม้แต่คลื่นกระเพื่อมในดวงตา เขาสามารถต่อกรกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้นได้ตั้งแต่ตอนอยู่ในขั้นหลิงระยะต้น ยิ่งตอนนี้เขาบรรลุระยะกลางแล้ว หลิ่วไป่ฮวาที่มีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะต้นก็ไม่มีอะไรอยู่ในสายตาเขา
ดังนั้นเขาจึงเปิดปากพ่นพายุคลื่นหลิงไปปะทะกับพายุดอกไม้ ลบล้างออกไปอย่างสมบูรณ์
ฉากนี้ทำให้ใบหน้าของผู้คนเปลี่ยนไป แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่ามู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิง แต่พวกเขาก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะสามารถแก้ไขการโจมตีของหลิ่วไป่ฮวาได้อย่างง่ายดายแบบนี้
“แกมีความสามารถพอตัว มิน่าล่ะถึงกล้าอวดดีขนาดนี้!” หลิ่วไป่ฮวาหดตาลง ใบหน้าก็เย็นเยือกลง นางไม่รั้งรออีกต่อไป แสงหลิงพร่างพราวออกมาจากร่างกาย ตอนนี้นางเปิดใช้คลื่นหลิงเต็มกำลังแล้ว
“ทักษะหลิงไม่เสินทง ร้อยบุปผาสังหาร!”
หลิ่วไป่ฮวาชี้ไปทางมู่เฉินจากระยะไกลด้วยสายตาเย็นชา
ฮึ่ม!
ทันทีที่หลิ่วไป่ฮวาชี้นิ้วลง ทุกคนก็ต้องตกใจเมื่อเห็นดอกไม้สีแดงเข้มแปลกประหลาดงอกออกมารอบตัวมู่เฉิน ก่อนที่จะกลืนกินร่างมู่เฉินเข้าไป
“หึ ไอ้หนู คิดว่าบรรลุเทียนจื้อจุนแล้วจะอวดดีได้เรอะ ทักษะหลิงไม่เสินทงของข้าผิดแผก ตราบใดที่ถูกกลืนกิน กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงก็ต้องสูญสลาย!” เมื่อหลิ่วไป่ฮวาเห็นมู่เฉินถูกดอกไม้สีแดงเขมือบ นางก็เค้นเสียงเยาะเย้ยใส่
เมื่อมู่เฟิงและถังเชียนเอ๋อเห็นฉากนี้ ใบหน้าก็เปลี่ยนไป ส่วนชิงเหยี่ยนจิ้งยังมีสีหน้าสงบนิ่งพลางตบหลังมือมู่เฟิงเบาๆ เป็นการปลอบใจ
ผู้นำขั้วอำนาจอื่นๆ ต่างส่ายหัว ดูท่าหลิ่วไป่ฮวาจะมีไหวพริบในการเผชิญหน้ามากกว่า
“ฮ่าๆๆๆ!” ราชันไป่หลิงหัวเราะร่วน จากนั้นก็มองไปที่มู่เฟิง ถังเชียนเอ๋อและคนอื่นๆ ด้วยสายตาโหดเหี้ยม
“ก็แค่ทักษะหลิงไม่เสินทงจากเส้นหลิงขั้นเทียน ทรงพลังอย่างที่เจ้าพูดซะที่ไหน…”
ทว่าในขณะที่ราชันไป่หลิงหัวเราะสาแก่ใจ เสียงหนึ่งก็ดังก้องออกมาจากดอกไม้สีแดงเข้ม พริบตาทุกคนก็มองเห็นเพลิงสีม่วงลุกขึ้นจากภายในดอกไม้ ก่อนที่จะสลายดอกไม้สีแดงเข้มที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงก็ไม่อาจหลุดพ้นไปได้
หลิ่วไป่ฮวาตกตะลึงกับภาพนี้ นางรู้ชัดเกี่ยวกับทักษะหลิงไม่เสินทงของตนเองดี หากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่อยู่ในระดับเดียวกันตกอยู่ในนั้น ต่อให้มีความสามารถก็ต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะหลุดพ้น แต่ตอนนี้แค่ไม่กี่อึดใจยังยับยั้งมู่เฉินไว้ไม่ได้?
“ดูเหมือนจะพูดดีๆ กับผู้หญิงไร้สมองอย่างเจ้าไม่ได้แล้ว…” มู่เฉินเงยหน้ามองหลิ่วไป่ฮวาอย่างไม่แยแส “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็คุยด้วยกำปั้นแล้วกัน”
เมื่อพูดจบเขาก็เปิดปากเพลิงสีม่วงลุกโชติช่วงกวาดออกมาในพริบตา กลายเป็นมังกรเพลิงสีม่วงพุ่งเข้าหาหลิ่วไป่ฮวา
มังกรม่วงทะยานเข้าไป หลิ่วไป่ฮวาก็หดดวงตา เนื่องจากนางได้เห็นว่าเปลวไฟสีม่วงทรงพลังเพียงใด ดังนั้นนางจึงไม่กล้าประมาท ฝ่ามือประสานกันทันที ทันใดนั้นคลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็ระเบิดออกกลายเป็นกำแพงดอกไม้
แม้กำแพงจะดูอ่อนแอ แต่ก็เป็นการป้องกันทรงพลังที่สามารถต้านทานการโจมตีจากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงได้อย่างเต็มที่
แต่เมื่อเปลวไฟสีม่วงสัมผัส กำแพงก็ไม่สามารถต้านทานได้เลยแม้แต่น้อย ลุกไหม้และพังทลายลงในพริบตา
ในที่สุดหลิ่วไป่ฮวาก็ฉายความหวาดผวาบนใบหน้า เนื่องจากกระทั่งการป้องกันแข็งแกร่งที่สุดของนางก็ไม่สามารถต้านทานการเคลื่อนที่ของเปลวไฟสีม่วงได้ ยามนี้นางตระหนักได้ถึงช่องว่างระหว่างตนเองกับมู่เฉินแล้ว
“ให้ตายเถอะ ประเมินเจ้าเด็กนั่นต่ำไป ข้าต้องถอยก่อนแล้วรอให้ตาแก่กับพรรคพวกมาจัดการกับเจ้าเด็กนี่!” หลิ่วไป่ฮวากัดฟัน ภาพเงากลายเป็นลำแสงถอยหนีออกไป
แต่เมื่อนางถอยออกไป ทุกคนก็สูดลมหายใจเย็น ไม่มีใครคิดว่าเจ้าสำนักร้อยบุปผาจะตกอยู่ในสถานะมีปัญหา หลังจากที่แลกกระบวนท่ากับมู่เฉินเพียงสองกระบวนท่าเท่านั้น
ทันใดนั้นทุกสายตาก็ฉายความกลัวและเคารพ ขณะมองไปที่มู่เฉิน พลังที่แสดงออกมาของชายหนุ่มเหนือกว่าหลิ่วไป่ฮวาหลายขุม
แม้แต่ราชันไป่หลิงก็ยังหุบปากด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ
“ในเมื่อมาแล้ว คิดจะไปง่ายๆ เรอะ?”
ทว่ามู่เฉินไม่ได้สนใจใคร เขามองไปที่หลิ่วไป่ฮวา เค้นเสียงเย็นชาก่อนที่จะวาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว ทันใดนั้นมังกรเพลิงม่วงก็ระเบิดขึ้น มือเพลิงม่วงซัดใส่ร่างของหลิ่วไป่ฮวา
ปัง!
หลิ่วไป่ฮวารับความทุกข์ทรมานหนักหน่วง ร่างทรุดลงทำให้เกิดปากปล่องบนพื้นขนาดใหญ่ รอยแตกพล่านออกไป ดูน่าอนาถยิ่งนัก
ตู้ม!
ทว่ามู่เฉินก็ไม่คิดที่จะไว้หน้าให้นาง มือเพลิงม่วงขนาดใหญ่กำเป็นหมัดซัดลงไป แม้ว่าหลิ่วไป่ฮวาจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิง แต่กายาหลิงเทียนจุนของนางก็แตกเป็นเสี่ยงๆ แน่หากถูกโจมตี
ใบหน้าของหลิ่วไป่ฮวาซีดลงด้วยความกลัว นางไม่คิดว่ามู่เฉินจะโหดเหี้ยมขนาดนี้
ฟิ้ว!
หมัดชกลงมาท่ามกลางสายตาหวาดผวานับไม่ถ้วน เมืองไป่หลิงทั้งเมืองก็แผ่นดินพิโรธรุนแรง…
ควันพวยพุ่ง ทุกคนมองไปในพื้นที่นั้น ในใจก็สั่นไหว ‘อย่าบอกนะว่าหลิ่วไป่ฮวาถูกฆ่าด้วยหมัดของมู่เฉินแล้ว?’
มู่เฉินก็มองไปพลางหรี่ตาลง
เมื่อควันค่อยๆ สลายไป กำปั้นก็ยังคงท่าที่ชกลง แต่กลับมีกระดองเต่าสีฟ้าอมเขียวปรากฏขึ้นเบื้องบนปกป้องหลิ่วไป่ฮวาไว้
เมื่อมู่เฉินเห็นกระดองนั่น เขาก็เหยียดเอวโดยไม่มีระลอกคลื่นใดๆ ในดวงตา สายตามองไปที่ระยะไกลก็เห็นร่างเงาสี่ร่าง
แรงกดดันมหาศาลปลดปล่อยจากร่างกายพวกเขา
ในบรรดาทั้งสี่คน ชายสวมชุดสีฟ้าอมเขียวที่มีสายตาแหลมคมกำลังมองไปที่มู่เฉินก่อนที่จะตะเบ็งเสียงดังก้อง
“รังแกลูกเมียข้า แกไม่เห็นข้าฉิงเป่ยเฉวียนอยู่ในสายตาแล้วมั้ง?!”
บทที่ 1444 ฉิงเป่ยเฉวียน
เสียงคำรามดังก้องทั่วขอบฟ้าสร้างความหวาดกลัวให้กับทุกคน
แรงกดดันพลังงานหลิงจากฉิงเป่ยเฉวียนไม่ได้ดุร้ายเท่าหลิ่วไป่ฮวา แต่คล้ายกับคลื่นใต้น้ำของมหาสมุทรที่ทำให้เกิดความหวาดกลัวอย่างเงียบๆ
ทุกสายตาพากันหวาดกลัวเมื่อมองไปที่ภาพเงาบนท้องฟ้า ผู้มาใหม่มีร่างกำยำสวมชุดสีฟ้าอมเขียว คลื่นหลิงในดวงตาก็ถูกปกปิดไว้ หากไม่ใช่เพราะความกดดันที่น่ากลัว ทุกคนคงคิดว่าเขาเป็นชายวัยกลางคนธรรมดาคนหนึ่ง
ทว่าทุกคนที่นี่รู้ดีว่าคนผู้นี้มีสถานะอย่างไร…
เขาคือประมุขตำหนักปลายเหนือและยังเป็นเจ้าทวีปทั้งสี่ที่มีทวีปไป่หลิงเป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งมีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้นพร้อมกับชื่อเสียงเกรียงไกรไปทั่วทางตะวันตกเฉียงเหนือของมหาพันภพ
แม้แต่ในมหาพันภพ จอมยุทธ์ผู้นี้ก็เป็นเจ้าเหนือหัว
“ท่านพ่อ!”
ราชันไป่หลิงรู้สึกยินดีในทันที
“เป่ยเฉวียนอย่าปล่อยให้ไอ้เวรนั่นหลุดไป!” หลิ่วไป่ฮวาฟื้นจากอาการตกใจก็กัดฟันกรอด
นางโกรธมาก ตอนแรกนางคิดว่าอย่างมากมู่เฉินก็อยู่ในระดับเดียวกัน แต่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะถูกปราบได้หลังจากการแลกเปลี่ยนเพียงสองกระบวนท่าเท่านั้น
ความสามารถในการต่อสู้ของมู่เฉินน่ากลัวนักทำให้นางหวาดกลัว ดังนั้นนางต้องการให้ฉิงเป่ยเฉวียน จัดการฆ่ามู่เฉินที่นี่ซะ
กลุ่มพันธมิตรเป่ยหลิงเพิ่งรู้สึกโล่งใจที่มู่เฉินเอาชนะหลิ่วไป่ฮวาได้อย่างง่ายดาย พริบตาหัวใจพวกเขาก็เหมือนถูกควักพร้อมกับใบหน้าซีดเผือด แม้พวกเขาจะอยู่ไกลจากระดับเทียนจื้อจุน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่รู้ช่องว่างระหว่างระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนและขั้นหลิง
ตำหนักปลายเหนือมีอิทธิพลมากในฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของมหาพันภพ มิฉะนั้นพวกเขาคงไม่สามารถครอบครองสี่ทวีปได้ สำหรับเหตุผลที่พวกเขาประสบความสำเร็จ ส่วนใหญ่มาจากขุมพลังของฉิงเป่ยเฉวียนที่อยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียน
แม้ว่ามู่เฉินจะสามารถเอาชนะหลิ่วไป่ฮวาได้อย่างง่ายดาย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะถือไพ่เหนือกว่าฉิงเป่ยเฉวียนได้ ไม่ต้องพูดถึงว่าฉิงเป่ยเฉวียนยังนำผู้ช่วยสามคนมาในครั้งนี้ด้วย
ดังนั้นเท่ากับว่าอีกฝ่ายมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนห้าคน นี่เป็นการรวมตัวที่น่าทึ่ง ซึ่งทำให้ผู้คนหนังหัวชาหนึบได้เลยทีเดียว
ทว่ามู่เฉินกลับไม่มีการแสดงออกบนใบหน้า เขามองไปที่ฉิงเป่ยเฉวียนอย่างใจเย็น “เจ้าเป็นประมุขตำหนักปลายเหนือ— ฉิงเป่ยเฉวียนเรอะ?”
“ข้าเอง” ฉิงเป่ยเฉวียนตอบเบาๆ
“แล้วเจ้ารู้สถานการณ์เกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ในวันนี้หรือไม่?”
ท่าทางของฉิงเป่ยเฉวียนไม่แยแส เขาได้รับข้อมูลจากผู้อาวุโสหลู่ที่ไปหาแล้ว “ลูกชายข้าเป็นฝ่ายผิดก็จริง แต่เจ้าตัดแขนของเขาสองข้างไม่เกินไปเรอะ”
“ทำไมล่ะ?” มู่เฉินยิ้มขณะตั้งคำถาม “ถ้าข้ามาช้าอีกก้าวเดียว บิดาข้าคงไม่ใช่แค่บาดเจ็บแล้ว สหายข้าก็อาจต้องอับอาย เจ้าคิดว่าลูกชายตัวเองสูงส่งกว่าบิดาและสหายของข้ารึไง?”
ถึงแม้จะมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า แต่เสียงของเขาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา
“ไอ้เวร ลูกชายข้าเกิดมาพร้อมเกียรติยศศักดิ์ศรี เขาสูงส่งกว่าพวกแกโดยธรรมชาติ!” หลิ่วไป่ฮวาหัวเราะเยาะ ในเมื่อฉิงเป่ยเฉวียนอยู่ที่นี่แล้วความมั่นใจของนางก็เพิ่มขึ้นคับฟ้า
เมื่อมู่เฉินได้ฟังสายตาก็วูบไหว “หยุดสาระแน! แกคิดว่าสิ่งนี้สามารถปกป้องตัวเองได้จริงๆ หรือ?”
ขณะที่พูดเขาก็โบกมือ ทันใดนั้นเพลิงม่วงบนกระดองเต่าฟ้าก็ระเบิดขึ้น เปลวไฟพุ่งเข้าใส่กระดองเต่าอีกครั้ง
ตู้ม!
ด้วยพลังเต็มพิกัดของเพลิงม่วง อุณหภูมิที่น่าสะพรึงก็แผ่ออก ทำให้พื้นโดยรอบละลายพร้อมกับเกิดเสียงร้องโหยหวน
เห็นได้ชัดว่าเต่าฟ้าตัวนั้นเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นหลิง แต่ก็ยังไม่สามารถทนต่อเพลิงม่วงที่ครอบงำได้ ใต้กองไฟกระดองเต่าก็มีร่องรอยของการหลอมละลาย
ตึง!
เพลิงม่วงทำให้ความสามารถในการป้องกันของกระดองเต่าลดลงพร้อมกับพลังมหาศาลทุบกระดองเต่าลงกับพื้น ก่อนที่ฉิงเป่ยเฉวียนจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง
หลุมอุกกาบาตขนาดหมื่นจั้งปรากฏภายในเมือง ร่างหลิ่วไป่ฮวาไหม้เป็นตอตะโก แม้แต่เรือนผมก็ถูกไฟไหม้จนหมด กระดองเต่าสีฟ้าอมเขียวก็สลัวลง หากไม่ใช่เพราะกระดองเต่ารับแรงส่วนใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังกำปั้น คงจะทำให้กายาหลิงเทียนจุนของหลิ่วไป่ฮวาป่นปี้ไปหมดแล้ว
แต่กระนั้นนางก็ได้รับบาดเจ็บหนัก ความไม่เชื่อกระจายบนใบหน้า นางไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามู่เฉินจะ กล้าทำร้ายนางต่อหน้าฉิงเป่ยเฉวียน
“อ๊ายๆๆๆ!”
หลิ่วไป่ฮวาแผดร้องด้วยความโกรธก่อนที่จะตะโกนลั่น “เป่ยเฉวียน เร็ว ฆ่ามัน!”
แม้แต่ใบหน้าของฉิงเป่ยเฉวียนก็ดูน่าเกลียดไปในตอนนี้ การกระทำของมู่เฉินไม่มองเขาอยู่ในสายตาเลย สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกโกรธ เสียงแผดดังก้อง “ในเมื่อแกกล้ามาก ข้าก็จะจับแกมาจัดการในวันนี้!”
พูดจบกระดองเต่าสีฟ้าที่ปกป้องหลิ่วไป่ฮวาก็เริ่มขยายขนาดขึ้นจนมีขนาดหลายหมื่นจั้ง
เต่าสีฟ้าโผล่ออกมาด้วยท่าทางน่ากลัว ขณะที่อ้าปากพ่นสายธารสีฟ้าที่ทุกหยดหนาแน่นราวกับภูเขา ห่อหุ้มร่างมู่เฉินเอาไว้ภายใน
“ฮ่าๆ ตอนนี้เต่าทะเลเหนือของพี่ฉิงทรงพลังมาก ภายใต้สายธารไม่มีจอมยุทธ์คนใดที่อยู่ภายใต้ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนสามารถต้านได้” หนึ่งในสามจอมยุทธ์ที่มาพร้อมกับฉิงเป่ยเฉวียนพูดด้วยรอยยิ้ม
อีกสองคนก็พยักหน้า พวกเขารู้เกี่ยวกับสายธารสีฟ้าเช่นกัน เส้นทางตอนที่ฉิงเป่ยเฉวียนก่อตั้งตำหนักปลายเหนือ เต่าทะเลเหนือตัวนี้ก็ติดตามฉิงเป่ยเฉวียนเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนไม่รู้กี่คน
เมื่อมองจากความผันผวนของคลื่นหลิงชายหนุ่มก็น่าจะอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลาง ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะต่อกรกับฉิงเป่ยเฉวียน
“เต่าทะเลเหนือเรอะ…”
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองเต่า เต่าทะเลเหนือตัวนี้เป็นหนึ่งในเทพอสูรที่มีพลังเทียบเท่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนได้เมื่อโตเต็มที่ ฉิงเป่ยเฉวียนคงได้รับแก่นโลหิตและนำไปกลั่นเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นหลิง
โดยปกติแล้วจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้นบวกกับอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นหลิง จะสามารถจัดการจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงได้ แต่น่าเสียดายที่มู่เฉินไม่ได้ธรรมดาแบบนั้น
“ดูเหมือนการพูดด้วยเหตุผลกับครอบครัวแกจะไร้ประโยชน์ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็คุยด้วยหมัดละกัน”
มู่เฉินส่ายหัวด้วยสีหน้าไม่แยแส จากนั้นก็วาดตราประทับด้วยมือเดียว ทันใดนั้นลวดลายแพรวพราวทั้งเก้าก็ปรากฏขึ้นบนร่างกายของเขา
ในเวลาเดียวกันแสงยุ่งเหยิงก็เกิดขึ้นด้านหลังมู่เฉินซึ่งดูลึกซึ้งไม่น่าเชื่อ นี่เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งยิ่งกว่ามิติและเวลา
“แสงเทพปฐมกาล”
มู่เฉินเปล่งเสียงเย็นชาในใจ ลำแสงก็พุ่งผ่านสายธารสีฟ้าไป
วาบ!
เมื่อลำแสงส่องเข้ามาสายธารสีฟ้าก็หายไปทันที เพิ่มร่องรอยสีฟ้าในกลุ่มแสงที่อยู่เบื้องหลังศีรษะของมู่เฉิน
ทว่ามู่เฉินไม่ได้หยุดเพียงแค่นี้ กลุ่มแสงยุ่งเหยิงยิงออกมาอีกครั้ง ทะลุผ่านมิติบินไปหาเต่าสีฟ้า
วาบ!
เมื่อลำแสงพุ่งไป เต่าสีฟ้าก็หายไปก่อนที่เต่าสีฟ้าขนาดเท่าฝ่ามือจะปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางกลุ่มแสงที่อยู่เบื้องหลังศีรษะมู่เฉิน
ราวกับว่ากลุ่มแสงยุ่งเหยิงนี้สามารถยับยั้งทุกสรรพสิ่งได้…
“อะไรน่ะ?!” ภาพนี้ทำให้ม่านตาของฉิงเป่ยเฉวียนหดลง จอมยุทธ์ทั้งสามที่อยู่เบื้องหลังเขาก็เปลี่ยนสีหน้าด้วยความไม่เชื่อ
พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าเต่าทะเลเหนือของฉิงเป่ยเฉวียนจะเปราะบางขนาดนี้ในมือของชายหนุ่ม
“วิชาเทพที่อยู่เบื้องหลังเจ้าเด็กนั่นคืออะไรกัน? ทำไมถึงครอบงำนัก?!” จอมยุทธ์คนหนึ่งพูดด้วยความตกตะลึง
ทุกคนในโถงใบหน้าแข็งค้าง ฉากนี้เกินจินตนาการของพวกเขาไปไกลแล้ว
ยามนี้กลุ่มพันธมิตรเป่ยหลิงก็ตกใจจนไม่รู้จะแสดงสีหน้าอะไรดี
ใบหน้าของฉิงเป่ยเฉวียนก็เคร่งเครียดอย่างแท้จริง เขามองไปที่กลุ่มแสงยุ่งเหยิงที่อยู่เบื้องหลังมู่เฉินด้วยความกลัว ก่อนที่เขาจะหันกลับและประสานมือ “สหาย ข้าเกรงว่าต้องขอความช่วยเหลือจากทุกคนในครั้งนี้แล้ว”
ตอนนี้ฉิงเป่ยเฉวียนไม่คิดกับมู่เฉินเหมือนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงธรรมดาอีกต่อไป ความสามารถในการต่อสู้ที่น่าตกใจของอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจชื่อเสียงที่มีและขอความช่วยเหลือจากสหายเพราะกลัวว่าตนเองจะพ่ายแพ้
เมื่อได้ยินคำพูดของฉิงเป่ยเฉวียน จอมยุทธ์สองคนก็ลังเลชั่วครู่ก่อนที่จะพยักหน้า แม้ว่ามู่เฉินจะน่ากลัว แต่พวกเขาก็มีข้อได้เปรียบในเรื่องจำนวนคน มู่เฉินไม่สามารถสู้กับคนทั้งหมดได้หรอก
ฉิงเป่ยเฉวียนมองไปที่จอมยุทธ์คนสุดท้าย เพราะชายคนนี้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้น หากเขายอมช่วย มู่เฉินคงถึงคราวแม้ว่าจะมีทักษะมากมายก็ตาม
ทว่าเขาก็ต้องประหลาดใจที่เพื่อนสนิทคนนี้ไม่ได้ให้คำมั่น ตรงกันข้ามอีกฝ่ายขมวดคิ้วมองไปที่กลุ่มแสงยุ่งเหยิงที่อยู่เบื้องหลังมู่เฉินราวกับว่ากำลังครุ่นคิดบางอย่าง
“พี่หลู่?”
ฉิงเป่ยเฉวียนมองไปด้วยสายตางุนงง เขามีสายสัมพันธ์ลึกซึ้งกับสหายคนนี้และพวกเขามักจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เหตุใดอีกฝ่ายจึงลังเลเพียงแค่จะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิง?
อีกฝ่ายไม่ตอบสนองฉิงเป่ยเฉวียน แต่มองไปที่มู่เฉินพักใหญ่ก่อนที่จะคิดอะไรบางอย่างออก ทันใดนั้นท่าทางเขาก็เปลี่ยนไป เขาไม่สนสายตาของสหายทั้งสาม ประสานมือให้มู่เฉินด้วยความระมัดระวัง “ข้าขอถามหน่อยได้ไหมว่าเจ้าคือประมุขมู่เฉินแห่งทวีปเทียนหลัวใช่หรือไม่”
บทที่ 1445 ภูมิหลัง
ทั้งโถงเงียบงันเมื่อเสียงระมัดระวังดังขึ้น
ยิ่งกว่านั้นฉิงเป่ยเฉวียนและพรรคพวกอีกสองคนก็มองไปที่อีกฝ่ายด้วยความตกใจ
“พี่หลู่ เจ้า?!” ใบหน้าของฉิงเป่ยเฉวียนไม่น่าดู เขาไม่รู้ว่าทำไมสหายของเขาถึงมีมารยาทและหวาดกลัวต่อชายหนุ่มคนนี้
นี่ทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนอีกสองคนมีสีหน้าประหลาดใจ
ผู้คนในโถงก็หันมามองหน้ากัน
มู่เฉินอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะมองไปที่อีกฝ่ายพลางพยักหน้า “ถ้าเจ้ากำลังพูดถึงมู่เฉินแห่งตำหนักมู่ของทวีปเทียนหลัว นั่นก็คือข้าเอง”
หลังจากได้รับการยืนยันจากมู่เฉิน เขาก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อยพร้อมกับความกลัวรวมตัวในดวงตามากขึ้นก่อนที่จะประสานมือคารวะ “ท่านประมุขสินะ ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าขุ่นเคือง”
“พี่หลู่!” ฉิงเป่ยเฉวียนเรียกอีกครั้ง
เขาถอนหายใจก่อนที่จะหันไปหาฉิงเป่ยเฉวียน “พี่ฉิงเพื่อเห็นแก่ความสัมพันธ์ฉันเพื่อนที่มีมายาวนาน ข้าขอแนะนำให้เจ้าปล่อยเรื่องนี้ไปซะ”
ใบหน้าของฉิงเป่ยเฉวียนบิดเบี้ยวเล็กน้อย จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่ตามมาอีกสองคนก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ พวกเขามองไปที่มู่เฉินก่อนที่จะถามว่า “พี่หลู่ ชายหนุ่มคนนี้เป็นใคร?”
เวลานี้พวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงความกลัวที่มีต่อมู่เฉินถึงให้โง่แค่ไหนก็ตาม เนื่องจากกระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนยังหวาดกลัว ไม่ต้องพูดถึงที่พวกเขาที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงเลย
อีกฝ่ายถอนหายใจ “ที่นี่อยู่ห่างไกลจากทวีปฝูถู ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเจ้าจะยังไม่รู้เรื่องนี้ เมื่อไม่นานมานี้ประมุขมู่ไปเยือนเผ่าฝูถูและเอาชนะเหล่าผู้อาวุโสของเผ่าด้วยตัวคนเดียว จนสุดท้ายผู้อาวุโสใหญ่ฝูถูเฉวียนต้องออกโรงเองเพื่อหยุดเขาไว้”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นสีหน้าของฉิงเป่ยเฉวียนก็เปลี่ยนไป เขารู้เกี่ยวกับสถานะของเผ่าฝูถูในมหาพันภพ นั่นเป็นหนึ่งในห้าเผ่าโบราณที่มีรากฐานทรงพลัง
แม้แต่ตำหนักปลายเหนือของเขาก็เทียบไม่ติดกับเผ่าโบราณ ผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าฝูถูเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง ซึ่งเป็นยอดยุทธ์ในมหาพันภพเลยทีเดียว
ดังนั้นบอกได้ว่ามู่เฉินน่ากลัวเพียงใด ในเมื่อเขาสามารถบีบให้ฝูถูเฉวียนเคลื่อนไหวได้
“เป็นไปได้ยังไง? เขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงเองนะ” อีกสองคนก็รู้สึกว่าเรื่องนี้เหลือเชื่อมาก จำนวนของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนของเผ่าฝูถูมีมากกว่านิ้วบนสองมือ พวกเขาสามารถเป่ามู่เฉินตายได้ด้วยจำนวนเพียงอย่างเดียว
“ตอนนั้นเขาควบคุมค่ายกลพิทักษ์เผ่าฝูถูเพื่อปราบปรามผู้อาวุโสทั้งหมด แม้แต่ประมุขตระกูลเฉวียนและมั่วที่เป็นจอมยุท์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายสุดก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา” อีกฝ่ายยังคงอธิบายต่อไป
เมื่อทั้งสองคนได้ยินคำพูดนั้น พวกเขาก็แอบเดาะลิ้น มู่เฉินไม่บ้าระห่ำไปหน่อยเหรอ? เขาทำบางอย่างที่น่ากลัวขนาดนี้แล้วจะไม่ทำให้เผ่าฝูถูขุ่นเคืองเรอะ?
ใบหน้าของฉิงเป่ยเฉวียนดูเคร่งขรึมลง แต่ก็รู้สึกโล่งใจลงส่วนหนึ่ง ที่แท้มู่เฉินก็แค่อาศัยค่ายกล พลังนั้นไม่ได้เป็นของเขา
“ถึงมันจะประสบความสำเร็จได้แบบนั้นจริงๆ แต่ก็ไม่เห็นต้องกลัวมันมากขนาดนี้หรอกมั้ง? มันสร้างความระแคะระคายให้เผ่าฝูถู ยังไม่ต้องเกรงกลัวอะไรแบบนี้ได้เหรอ?” ฉิงเป่ยเฉวียนเอ่ยเสียงขรึม
ความสำเร็จของมู่เฉินทำให้เขารู้สึกตกตะลึง แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนต้องกลัวได้
อีกฝ่ายส่ายหัวตอบว่า “อย่าดูถูกที่ขุมพลังเขาต่ำไป เขาเอาชนะผู้อาวุโสระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้นของเผ่าฝูถูได้โดยอาศัยความสามารถของตนเอง”
“ยิ่งไปกว่านั้น…เจ้าคิดว่าทำไมเขาถึงไม่เป็นอันตรายแม้จะพลิกคว่ำพลิกหงายเผ่าฝูถูแล้ว?”
คำพูดของเขาทำให้ทั้งสามคนใจสั่นทันที ตระกูลเก่าแก่แบบเผ่าฝูถูไม่ยอมเสียชื่อเสียงที่สั่งสมมานาน การกระทำของมู่เฉินถือได้ว่าทำให้พวกเขาอับอายขายหน้า ตามหลักเหตุผลเผ่าฝูถูไม่ควรปล่อยเขาให้มาลอยหน้าลอยตาในมหาพันภพได้ง่ายๆ แล้วทำไมเขายังสามารถทำหน้าระรื่นที่เบื้องหน้าพวกเขาได้อีก…
นั่นหมายความว่ายังไง? ก็หมายความว่าแม้แต่เผ่าฝูถูก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้!
“มู่เฉินมีมิตรภาพลึกซึ้งกับเทพจักรพรรดิอัคคีแห่งแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและเทพจักรพรรดิสงครามแห่งแคว้นหวู หลังจากที่เขาคว่ำเผ่าฝูถูได้ ทั้งเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรสงครามก็ยังให้การสนับสนุนเขาต่อ” เสียงต่ำยังคงอธิบายต่อไป
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น ใบหน้าทั้งสามก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามเป็นยอดยุทธ์ในตำนานที่มีชื่อเสียงในมหาพันภพ พวกเขาเป็นจอมยุท์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลก
กระนั้นมู่เฉินก็มีความสัมพันธ์ฉันมิตรกับพวกเขา? มากถึงขนาดที่ว่าพวกเขายอมเป็นศัตรูกับเผ่าฝูถูให้ด้วย?
“มิน่าล่ะ…เมื่อเทพจักรพรรดิทั้งสองสนับสนุนเขา แม้แต่เผ่าฝูถูก็ต้องเกรงกลัว” พรรคพวกสองถอนหายใจ
อีกฝ่ายยิ้มก่อนจะพูดต่อ “นั่นไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่สุด เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมมู่เฉินถึงไปอาละวาดที่เผ่าฝูถู? เขาไปช่วยเหลือมารดา”
“บิดามารดาของเขาพบรักกันในทวีปไป่หลิง ทำให้เผ่าฝูถูโกรธแค้นและกักขังนางไว้ มู่เฉินเลยไปช่วยมารดาออกมา”
“ยิ่งไปกว่านั้นมารดาของเขาก็น่ากลัวไม่แพ้กัน… เมื่อนางออกมาได้ก็ชิงตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่ของฝูถูเฉวียนไป มิหนำซ้ำนางยังเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่งอีกด้วย นั่นหมายความว่าผู้อาวุโสใหญ่คนปัจจุบันของเผ่าฝูถูก็คือมารดาของเขา”
คำพูดของเขาทำให้สหายทั้งสามอ้าปากค้างพร้อมกับความตกตะลึงฉายบนใบหน้า มารดาของมู่เฉินคือผู้อาวุโสใหญ่คนใหม่ของเผ่าฝูถูเรอะ!
ไม่น่าแปลกใจที่มู่เฉินไม่ต้องรับผิดชอบอะไรแม้จะก่อเรื่องวุ่นวายขนาดนี้ เพราะมารดาเขาถืออำนาจสูงสุด!
จอมยุทธ์สองคนแลกเปลี่ยนสายตากัน พวกเขาเริ่มมีความคิดที่จะถอยออกมาแล้ว เนื่องจากพวกเขารู้ดีถึงผลที่ตามมาของการทำให้มู่เฉินขุ่นเคือง
ไม่เพียงแต่แคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเผ่าฝูถูด้วย…
ขั้วอำนาจเหล่านี้ทรงพลังที่สุดในมหาพันภพ สามารถทำให้ทั้งโลกสั่นสะเทือนด้วยการเคลื่อนไหวเพียงปลายก้อย แม้ว่าพวกเขาจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่ได้รับความเคารพจากผู้อื่นนับไม่ถ้วน แต่พวกเขาก็รู้ระยะห่างของตนเองเมื่อเทียบกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง…
ด้วยภูมิหลังแบบนี้ คงมีไม่กี่คนในมหาพันภพที่จะกล้าแหย่มู่เฉิน
ใบหน้าของฉิงเป่ยเฉวียนซีดขาว ตอนแรกเขาคิดว่ามู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงธรรมดา แต่เขาไม่คิดว่าชายหนุ่มจะมีภูมิหลังเช่นนี้ ซึ่งนี่ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว
ตอนนี้เขาตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแล้ว
ในขณะที่ฉิงเป่ยเฉวียนลังเล เขาก็เห็นสีหน้าของสหายเปลี่ยนไปอีกครั้ง ก่อนจะอดถามออกมาไม่ได้ “มีอะไรอีก?”
ดวงตาของสหายกะพริบ สายตาเขากวาดผ่านห้องโถงมองไปที่ภาพเงาที่ยืนอยู่ข้างมู่เฟิง ก็รู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด “เจ้าเห็นผู้หญิงคนนั้นไหม? นางดูเหมือนมารดาของมู่เฉินเลย…”
เมื่อได้ยินคำพูดนั่น ฉิงเป่ยเฉวียนก็รู้สึกได้ว่าจิตใจระเบิดด้วยความกลัว ซึ่งนั่นก็แสดงให้เห็นบนใบหน้าของสหายอีกสองคนด้วย ตอนแรกพวกเขาไม่ได้ให้ความสนใจกับใครในห้องโถง แต่ตอนนี้เมื่อพวกเขามองไปอย่างระมัดระวังก็รู้สึกถึงแรงกดดันคลุมเครือปลดปล่อยมาจากนาง
“ใช่! ใช่! นางเป็นมารดาของมู่เฉินและเป็นผู้อาวุโสใหญ่ปัจจุบันของเผ่าฝูถู ชิงเหยี่ยนจิ้ง!” ในที่สุดเสียงเขาก็ยืนยันและแสดงรอยยิ้มบิดเบ้ไม่น่าดูยิ่งกว่าร้องไห้
สหายอีกสองคนก็รู้สึกถึงแกนกระดูกสั่นสะท้าน พวกเขากำลังคิดจัดการลูกชายของหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่งต่อหน้านางเชียวเหรอ? พวกเขาไม่สามารถจินตนาการได้ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรหากพวกเขาลงมือทำจริงๆ
จากนั้นพวกเขาก็มองไปที่ฉิงเป่ยเฉวียน “พี่ฉิง เราเกือบไปเยี่ยมนรกเพราะเจ้าแล้ว”
น้ำเสียงของพวกเขาฟังเหมือนคร่ำครวญ ไม่มีปัญหาที่ฉิงเป่ยเฉวียนจะเรียกพวกเขามาช่วย ทว่าฉิงเป่ยเฉวียนไม่ได้ตรวจสอบด้วยซ้ำว่าพวกเขากำลังจะงัดข้อกับใคร นั่นก็คล้ายกับการขุดหลุมเพื่อให้พวกเขากระโดดเข้าไป
ใบหน้าของฉิงเป่ยเฉวียนก็สลับไปมาระหว่างขาวกับเขียว เขาฝืนยิ้มอย่างขมขื่น “เป็นความผิดของข้า ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าไอ้ลูกโง่จะสร้างปัญหาเช่นนี้”
“เดี๋ยวข้าไปพบนางและดูว่าสามารถยุติเรื่องนี้ได้หรือไม่”
ฉิงเป่ยเฉวียนต้องการตรวจสอบและดูว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าฝูถูจริงหรือไม่
พรรคพวกทั้งสามคนพยักหน้าเห็นด้วย
ดังนั้นทั้งสี่ซึ่งตอนแรกมาด้วยท่าทางดุร้ายก็พลิ้วตัวลงมาจากหลังคา
“ท่านพ่อ! ท่านพ่อ!”
ใบหน้าของราชันไป่หลิงเต็มไปด้วยความปีติยินดีขณะที่ตะโกน
ทว่าฉิงเป่ยเฉวียนไม่ได้ให้ความสนใจกับบุตรชาย เขาตรงมาที่กลุ่มพันธมิตรเป่ยหลิงและประสานมือให้กับชิงเหยี่ยนจิ้งที่ยืนอยู่ข้างมู่เฟิง
“ไม่ทราบว่าใช่ผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าฝูถูหรือไม่?”
เสียงกังวลของฉิงเป่ยเฉวียนดังก้องภายในโถง ทำให้ความสุขบนใบหน้าราชันไป่หลิงแข็งค้าง ขณะมองไปที่ฉากนี้ด้วยความไม่เชื่อเหมือนกันผู้นำคนอื่นๆ
กลุ่มพันธมิตรเป่ยหลิงที่ตอนแรกสนทนากับชิงเหยี่ยนจิ้งด้วยรอยยิ้มก็ต่างตกใจ พวกเขามองไปที่นางพลางกลืนน้ำลายลงคอ
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่รู้ว่าเหตุใดจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสี่ถึงเข้ามาคารวะชิงเหยี่ยนจิ้ง
เมื่อมองไปที่ท่าทางเต็มไปด้วยมารยาทของพวกเขา ชิงเหยี่ยนจิ้งก็ประหลาดใจไปชั่วครู่ก่อนที่จะพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ข้าคือชิงเหยี่ยนจิ้ง”
คำพูดของนางเหมือนถังน้ำเย็นที่ราดรดทำให้ฉิงเป่ยเฉวียนรู้สึกเย็นสะท้านจับจิต
พวกเขาตาบอดจริงๆ ที่ทำเป็นลิงหลอกเจ้าต่อหน้าหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่ง…
บทที่ 1446 ลงโทษ
พวกฉิงเป่ยเฉวียนรู้สึกได้ถึงเหงื่อเย็นผุดทั่วแผ่นหลัง
ใบหน้าแต่ละคนซีดเผือดลง พวกเขารู้สึกกลัวอย่างชัดเจน หลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่งเพียงแค่คิดก็สามารถดักจับพวกเขาได้อย่างง่ายดาย ในโลกค่ายกลนางก็ฆ่าพวกเขาได้ในพริบตา…
นี่คือช่องว่างระหว่างขั้นเซิ่งและขั้นเซียน
คล้ายกับราชันที่ยืนอยู่ต่อหน้าจอมราชัน แม้ว่าทั้งคู่จะเป็นกษัตริย์ แต่จอมราชันก็สามารถล้างเผ่าพันธุ์ได้เพียงแค่คิด…
“ผู้อาวุโสใหญ่เผ่าฝูถู?”
กลุ่มพันธมิตรเป่ยหลิงงงงวยไปขณะมองชิงเหยี่ยนจิ้ง เนื่องจากความแตกต่างของระดับชั้น พวกเขาจึงไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับเผ่าโบราณอย่างเผ่าฝูถูได้
ในสายตาของพวกเขาแค่ขั้วอำนาจที่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็อยู่ไกลเกินเอื้อมแล้ว ส่วนพวกเผ่าโบราณที่อยู่บนยอดพีระมิดก็ไม่ได้อยู่ในขอบเขตที่พวกเขาจะรับรู้ได้
ทว่าแม้จะสงสัยว่าผู้อาวุโสใหญ่เผ่าฝูถูคืออะไร แต่เมื่อมองไปท่าทางของพวกฉิงเป่ยเฉวียน พวกเขาก็รู้สึกได้ว่ามันน่ากลัวเพียงใด
เพราะแม้แต่พลังที่มู่เฉินแสดงออกมา ก็ไม่สามารถทำให้ทั้งสี่ดูหวาดกลัวได้…
ดังนั้นจึงบอกได้ว่าการขู่ขวัญของชิงเหยี่ยนจิ้งขั้นสูงกว่ามู่เฉินมาก
อึก
ภาพนี้ทำให้หลายคนกลืนน้ำลาย ขณะมองไปที่ชิงเหยี่ยนจิ้งด้วยความเคารพ ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่าจอมยุทธ์ที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่มู่เฉิน แต่เป็นสตรีที่พวกเขาปฏิบัติเหมือนนางเป็นคนธรรมดา…
เทียบกับความดุดันของมู่เฉิน นางคล้ายกับพระโพธิสัตว์ที่ละซึ่งกิเลสแล้ว
แม้แต่กลุ่มพันธมิตรเป่ยหลิงที่สนทนากับชิงเหยี่ยนจิ้งเมื่อครู่ ยังรู้สึกว่าหน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น พวกเขาพูดคุยกับคนที่น่ากลัวเช่นนี้ก่อนหน้าได้อย่างไร เมื่อนึกย้อนหัวใจของพวกเขาเต้นแรงเลยทีเดียว…
“ฮ่าๆ ดูเหมือนเมียข้าเจ๋งกว่าลูกชายนะเนี่ย” ตรงข้ามกับคนอื่น มู่เฟิงกลับเป็นคนที่สงบที่สุดขณะที่หัวเราะเยาะมู่เฉิน
เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดของบิดาก็กลอกตาอย่างช่วยไม่ได้
“ท่านพ่อ!”
เมื่อราชันไป่หลิงมองภาพนี้ เขารู้สึกราวกับว่าถูกฟ้าผ่าใบหน้าบิดเบี้ยวไปหมด “ท่านพ่อต้องแก้แค้นให้ข้าสิ! ท่านปล่อยมันไปไม่ได้นะ!”
เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่ากำลังหนุนของเขาจะไม่สามารถทำให้ครอบครัวของมู่เฉินคุกเข่าต่อหน้าได้ ไม่เพียงแค่นั้นพวกเขายังต้องก้มลงคารวะ ทำให้เขาเสียหน้ามาก
“หุบปากไอ้ลูกโง่!”
ใบหน้าของฉิงเป่ยเฉวียนเขียวคล้ำ ก่อนที่จะโบกมือตบลงบนใบหน้าของราชันไป่หลิง ทำให้ร่างเขากระเด็นไปชนกับกำแพง ฉิงเป่ยเฉวียนจ้องมองอย่างเย็นชา “เจ้ารู้สึกว่าตัวเองยังสร้างปัญหาไม่พออีกรึ?!”
ยามนี้ฉิงเป่ยเฉวียนยังอกสั่นขวัญแขวนไม่หาย หากไม่ใช่เพราะสหายสนิทเอ่ยเตือนและหากพวกเขาพุ่งไปจัดการมู่เฉินแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง ความโกรธของชิงเหยี่ยนจิ้งอาจทำให้ตำหนักปลายเหนือของเขาอันตรธานเป็นอากาศธาตุ
ในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนเขารู้ว่าหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่งน่ากลัวเพียงใดและเขาก็รู้ดีถึงพลังอำนาจของเผ่าฝูถูด้วย…
เพียงแค่คิดว่าสำนักเกือบจะถูกทำลายโดยลูกชายบังเกิดเกล้า เขาก็รู้สึกทั้งกลัวและโกรธในใจ
ยามนี้ใบหน้าของราชันไป่หลิงบวมเป่ง เขามองไปที่บิดาด้วยความตกตะลึง ทว่าความเจ็บปวดบนใบหน้าทำให้สมองเขาชัดเจนขึ้น ทันใดนั้นทั่วร่างก็เย็นเยือกลง
ตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ว่าท่านพ่อไม่อยากแก้แค้นให้ แต่เป็นเพราะคนที่เขาท้าทายทรงพลังจนท่านพ่อยังหวาดกลัว
แม่ลูกคู่นี้เป็นอะไรที่พวกเขาไม่สามารถท้าทายได้
ยามนี้กองหนุนของราชันไป่หลิงถูกริดออกไปอย่างสิ้นเชิง เขามองไปที่มู่เฉินด้วยความกลัวและเริ่มตัวสั่นเทา
“เป่ยเฉวียน! ท่านกำลังทำบ้าอะไร?”
เมื่อหลิ่วไป่ฮวาพุ่งเข้ามาในโถง ดวงตานางก็แทบลุกเป็นไฟ เมื่อนางเห็นฉิงเป่ยเฉวียนตบบุตรชายที่นางรักดั่งแก้วตาดวงใจ
“เจ้าก็หุบปากไป!”
แต่คำพูดของนางกลับได้รับการตอบสนองด้วยสายตาเย็นชาของฉิงเป่ยเฉวียน “ถ้าเจ้าไม่อยากให้ตำหนักปลายเหนือและสำนักร้อยบุปผาหายไป ก็ตั้งสติหน่อย!”
หลิ่วไป่ฮวาตัวสั่นขณะมองไปที่ชิงเหยี่ยนจิ้งอย่างหวาดกลัว ในระยะดังกล่าวนางรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่คลุมเครือที่มาจากอีกฝ่าย
ภายใต้ความกดดันนี้นางไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกไป แม้ว่าจะรู้สึกไม่เต็มใจก็ตาม
เมื่อทุกคนเห็นภาพนี้ก็ทอดถอนหายใจ ดูเหมือนว่าราชันไป่หลิงได้เตะกำแพงเหล็กครั้งนี้เข้าให้ แต่ใครจะคิดว่าประมุขพันธมิตรเป่ยหลิงจะมีการสนับสนุนที่น่ากลัวเช่นนี้…
ภรรยาของเขาคือผู้อาวุโสใหญ่เผ่าฝูถู มิหนำซ้ำบุตรชายของเขาก็ได้ปราบปรามฉินเป่ยเฉวียนด้วยตัวเอง ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนจิตใจพังทลาย เพราะไม่ว่าพวกเขาจะมองยังไงพลังของมู่เฟิงไม่ถึงขอบเขตระดับจื้อจุนด้วยซ้ำ…
หลังจากปิดปากบุตรชายและฮูหยินของตนเองแล้ว ฉิงเป่ยเฉวียนก็หันไปหาชิงเหยี่ยนจิ้งพลางประสานมือด้วยความเคารพสีหน้าขมขื่น “เรื่องในวันนี้ลูกชายข้าสมควรได้รับ ไม่ทราบว่าท่านต้องการลงโทษยังไง?”
ชิงเหยี่ยนจิ้งขมวดคิ้วไม่ได้สนใจเรื่องนี้นัก นางส่ายหัว “ลูกชายข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง ไปถามเขาดูเถอะ”
มู่เฉินเหลือบมองไปที่ฉิงเป่ยเฉวียนพูดอย่างใจเย็น “ประมุขฉิง ราชันไป่หลิงรังแกผู้คนไปทั่วเนื่องจากการสนับสนุนของพวกท่าน คนอื่นก็ทำได้แค่คิดว่าโชคร้าย แต่วันนี้เขารังแกครอบครัวข้า ก็เลยเป็นพวกท่านที่ต้องโชคร้ายแทน”
ฉิงเป่ยเฉวียนพยักหน้าด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่นเพราะนี่ยุติธรรมแล้ว ลูกชายบังเกิดเกล้าคนนี้คุกคามผู้อื่นเหมือนเป็นทรราช แต่พวกเขาก็ปิดปากคนทั้งหมดได้ แต่ตอนนี้เขาไปยั่วยุใครบางคนที่ไม่ควรทำ เขาก็ต้องได้รับบทเรียนด้วยตัวเอง
“ประมุขมู่จัดการตามที่ต้องการได้เลย” เขาก็เด็ดขาดใช้ได้ ในเมื่อไม่สามารถต่อต้านได้ก็ไปตามน้ำซะจะดีกว่า
“ท่านเป็นคนฉลาด” มู่เฉินยิ้ม ฉิงเป่ยเฉวียนเป็นคนยืดได้หดได้ สมกับเป็นประมุขสำนักใหญ่
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปทวีปไป่หลิงไม่ใช่ของตำหนักปลายเหนืออีกต่อไป พันธมิตรเป่ยหลิงจะเข้ามาจัดการแทน”
คำพูดของเขาก่อให้เกิดความปั่นป่วน ขั้วอำนาจน้อยใหญ่ในทวีปไป่หลิงต่างตกตะลึง หากเป็นเช่นนั้นเจ้าเหนือหัวของพวกเขาจะเปลี่ยนเป็นมู่เฟิงไม่ใช่หรือ?
พวกเขารู้สึกกระอักกระอวนเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะพันธมิตรเป่ยหลิงถือได้ว่าเป็นขั้วอำนาจระดับกลางเท่านั้น แต่ตอนนี้ขึ้นมาเทินอยู่บนหัวของพวกเขาแล้ว
แต่ความไม่สบายใจของพวกเขาก็สั่นสะท้านแทนเมื่อสายตามู่เฉินกวาดมองมา พวกเขาตระหนักได้ถึงโง่เขลาของตน ด้วยฮูหยินและบุตรชายที่ทรงพลังเช่นนี้ ใครจะกล้าดูถูกพันธมิตรเป่ยหลิงอีก?
หลังจากลังเลชั่วครู่ ฉิงเป่ยเฉวียนก็ขบฟันพยักหน้า “ได้ ตำหนักปลายเหนือของข้ายอมรับข้อเสนอเป็นการขอโทษพวกเจ้า”
แม้ว่าตำหนักปลายเหนือจะได้รับผลกระทบหนักหากไม่มีทวีปไป่หลิง แต่ก็ยังอยู่ในช่วงที่ยอมรับได้
“นอกจากนี้ลูกชายของท่านยังทำร้ายครอบครัวของข้าด้วยการกระทำที่เลวทราม ตอนแรกเขาควรตายด้วยซ้ำ แต่ข้าจะไว้ชีวิตเขาเพื่อเห็นแก่หน้าท่าน” มู่เฉินพูดเบาๆ
ขณะที่ฉิงเป่ยเฉวียนรู้สึกโล่งใจ เสียงของมู่เฉินก็ดังขึ้นอีกครั้ง “แม้เขาจะรอดจากความตายได้ แต่ก็ไม่รอดจากการลงโทษ”
เมื่อมู่เฉินพูดจบ เจดีย์ผลึกแก้วก็ลอยขึ้นเหนือศีรษะบินไปทางราชันไป่หลิงที่กำลังหวาดกลัวสุดขีด
ฮึ่ม ฮึ่ม
ผลึกแสงพุ่งลงมาและก่อตัวเป็นอักขระผลึกแก้วบนร่างราชันไป่หลิงอย่างรวดเร็ว อักขระเหล่านั้นทำหน้าที่เหมือนโซ่ที่ทิ่มแทงเนื้อของราชันไป่หลิง
เมื่ออักขระผลึกแก้วถูกสร้างขึ้น ราชันไป่หลิงก็ต้องสะพรึงกลัว เมื่อพบว่าคลื่นหลิงของเขาถูกปิดผนึกทั้งหมด
“คลื่นหลิงของเขาจะถูกปิดผนึกเป็นเวลาห้าสิบปี”
เสียงเยือกเย็นของมู่เฉินดังก้อง ราวกับเป็นการโจมตีหนักหน่วงไปยังราชันไป่หลิง
“แก!” เมื่อหลิ่วไป่ฮวาเห็นสิ่งนี้ นางก็กัดฟันพร้อมกับความโกรธแค้นในดวงตา
“และเจ้า!”
ทว่ายามนี้สายตาเย็นชาของมู่เฉินก็พุ่งเข้ามา “เจ้าลบหลู่ดูหมิ่นครอบครัวของข้า ไม่ควรให้อภัยเช่นกัน!”
มู่เฉินโกรธหญิงไร้เหตุผลคนนี้มาก เป็นเพราะนางราชันไป่หลิงถึงทำอะไรไม่กลัวเกรง มิหนำซ้ำนางยังดูถูกบิดาเขา ผู้หญิงคนนี้ไม่สมควรได้รับการละเว้น
ฟิ้ว!
เจดีย์ผลึกแก้ววาบไปปรากฏเหนือร่างหลิ่วไป่ฮวา ผลึกแสงกระจายลงมาห่อหุ้มร่างนางไว้
หลิ่วไป่ฮวาฉายความหวาดผวาบนใบหน้า ก่อนที่จะหมุนเวียนคลื่นหลิงเพื่อตอบโต้ แต่เมื่อคลื่นหลิงของนางสัมผัสกับผลึกแสงก็พังทลายลง เพียงสิบกว่าลมหายใจก็กลายเป็นอักขระผลึกแก้วบนร่างกายของนาง…
ความผันผวนของคลื่นหลิงที่มาจากร่างกายของหลิ่วไป่ฮวาก็อ่อนแอลงอย่างรวดเร็ว
พลังในปัจจุบันของมู่เฉินยังไม่สามารถปิดผนึกคลื่นหลิงของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนได้อย่างสมบูรณ์ แต่เขาสามารถทำให้อ่อนแอลงได้ ยามนี้หลิ่วไป่ฮวาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายเท่านั้น
“ผนึกนี้จะมีอายุยี่สิบปีและจะสลายไปเอง”
ใบหน้าของหลิ่วไป่ฮวาซีดขาว นางเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่สูงส่ง แต่ตอนนี้ถูกลดสถานะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน นี่เป็นการระเบิดนางครั้งใหญ่เลยทีเดียว
ทั้งโถงเงียบ ทุกคนตกใจกับวิธีการของมู่เฉิน การปิดผนึกคลื่นหลิงของราชันไป่หลิงและหลิ่วไป๋ฮวาได้สิ่งนี้น่ากลัวเพียงใด?
เมื่อมู่เฉินพูดจบก็หันไปหาฉิงเป่ยเฉวียนถามว่า “ประมุขฉิงมีข้อคัดค้านเกี่ยวกับการลงโทษของข้าหรือไม่?
ฉิงเป่ยเฉวียนส่ายหัวด้วยความขมขื่น เขารู้ว่ามู่เฉินผ่อนปรนมากแล้ว ในมหาพันภพความโกรธเกรี้ยวของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งทำลายล้างจนถึงจุดที่สามารถทำลายตำหนักปลายเหนือและสำนักร้อยบุปผาได้ทั้งหมดเลยทีเดียว
ดังนั้นนี่ถือว่าดีกว่ามากเมื่อราชันไป่หลิงและหลิ่วไป่ฮวาแค่ถูกปิดผนึกคลื่นหลิง
“ในเมื่อเป็นเช่นนนี้ วันนี้ก็ถือว่าเลิกแล้วต่อกัน ในอนาคตหากมีอะไรเกิดขึ้นกับพันธมิตรเป่ยหลิงข้าจะไปเยี่ยมท่านเป็นการส่วนตัว” มู่เฉินพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย เขาไม่สามารถอยู่ในทวีปไป่หลิงได้ตลอดไป ถ้าเขาและชิงเหยี่ยนจิ้งต้องไป พันธมิตรเป่ยหลิงก็ไม่สามารถทนต่อการแก้แค้นของฉิงเป่ยเฉวียนได้
ฉิงเป่ยเฉวียนรู้ความหมายเบื้องหลังคำพูดของมู่เฉินดี เขาพยักหน้าด้วยรอยยิ้มขมขื่น หลังจากได้เห็นความแข็งแกร่งของมู่เฉินและชิงเหยี่ยนจิ้งแล้ว เขาจะกล้าแก้แค้นได้อย่างไร?
“งั้นวันนี้พวกข้าขอตัวก่อน”
ฉิงเป่ยเฉวียนโบกมือคลื่นหลิงตรงไปห่อหุ้มราชันไป่หลิงและหลิ่วไป่ฮวา ก่อนที่เขาจะประสานมือไปทางมู่เฉินและชิงเหยี่ยนจิ้งแล้วจากไป จอมยุทธ์อีกสามคนก็เปลี่ยนเป็นร่างแสงทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
พร้อมกับการไปของพวกฉิงเป่ยเฉวียน ความกดดันที่น่ากลัวที่ครอบงำพื้นที่ก็หายไป
ทว่าทุกคนรู้ดีว่าในอนาคตทวีปไป่หลิงจะเปลี่ยนไปครั้งใหญ่
ดูเหมือนว่าพวกเขาก็ต้องรีบเตรียมของขวัญและมุ่งหน้าไปยังพันธมิตรเป่ยหลิงเพื่อสวามิภักดิ์แล้ว…
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น