หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1437-1442

บทที่ 1437 ยกระดับเจดีย์พุทธะ

 

ภายในเจดีย์บรรพบุรุษ


ดูเหมือนจะมีมิติมากมายภายในเจดีย์และมู่เฉินก็นั่งอยู่หนึ่งในนั้น เขาเงยหน้าขึ้นพร้อมกับดวงตาที่สั่นไหว เขาสามารถมองเห็นเงาโบราณวูบวาบภายในความว่างเปล่า พื้นที่นี้ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยรัศมีประสบการณ์


“เจดีย์บรรพบุรุษนี้เป็นไพ่ตายที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าฝูถูซึ่งได้รับการสืบทอดมาหลายแสนปี ก่อนที่ผู้อาวุโสใหญ่ทุกคนจะสิ้นอายุขัย พวกเขาจะมาที่นี่และกระจายคลื่นหลิงออกไปเพื่อหลอมรวมกับเจดีย์บรรพบุรุษ ซึ่งนี่ทำให้เจดีย์บรรพบุรุษได้รับพลังอันไร้ขอบเขตเช่นนี้เมื่อเวลาผ่านไป”


ชิงเหยี่ยนจิ้งนั่งข้างมู่เฉินใบหน้านางดูเคร่งขรึมขณะที่กล่าวขึ้น “หากพลังอันเต็มเปี่ยมของเจดีย์บรรพบุรุษถูกปลดปล่อยออกมา สามารถสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งได้เลยทีเดียว”


“อดีตตอนที่จักรวรรดิปีศาจต่างมิติบุกเข้ามาในมหาพันภพ พวกมันก็โจมตีเผ่าฝูถู เหล่าบรรพบุรุษได้ใช้พลังของเจดีย์บรรพบุรุษเพื่อสังหารจอมปีศาจระดับเทียนสามคน”


เมื่อมู่เฉินได้ยินเช่นนั้นก็ฉายความขนพองสยองเกล้าบนใบหน้า จอมปีศาจระดับเทียนถือได้ว่าเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง ไม่คิดว่าพวกมันจะถูกสังหารโดยเจดีย์บรรพบุรุษ ดังนั้นบอกได้เลยว่าเจดีย์บรรพบุรุษน่ากลัวเพียงใด


“ที่จริงแล้วสรุปง่ายๆ ก็คือเจดีย์บรรพบุรุษถือว่าเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยม มิหนำซ้ำยังอยู่ในแถวหน้าของชั้นเซิ่งอีกด้วย”


มู่เฉินพยักหน้า เขาเคยเห็นบาตรแก้วแปดเทวลิขิตที่เป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นเซิ่งที่ได้รับการปรับแต่งโดยเทพจักรพรรดิสงครามและมันก็แค่ปลิวออกไปหลังจากรับการโจมตีของฝูถูเฉวียน แต่กระนั้นก็ไม่มีร่องรอยการแตกหักใดๆ ดังนั้นเขาจึงสามารถบอกได้ว่าสุดยอดอาวุธเทพนี้ทรงพลังเพียงใด


เห็นได้ชัดว่าเจดีย์บรรพบุรุษทรงพลังยิ่งกว่าบาตรแก้วแปดเทวลิขิต ตามการคาดการณ์ของเขานี่อาจเป็นหนึ่งในอาวุธมหสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดในมหาพันภพ


“อีกครู่ข้าจะเร้ารัศมีบรรพบุรุษออกมา เจ้าก็รีบดูดซับซะ แม้ว่าเจดีย์พุทธะของเจ้าจะได้รับการพิจารณาให้เป็นอันดับต้นของอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมธรรมดา แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นหลิงด้วยซ้ำ ดังนั้นข้าหวังว่าระดับของเจดีย์พุทธะของเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นด้วยสิ่งนี้” ชิงเหยี่ยนจิ้งยิ้ม


หัวใจของมู่เฉินถูกล่อลวงเมื่อได้ยิน เขารู้ถึงผลของเจดีย์พุทธะดี ไม่เพียงแต่สามารถผนึกได้ ยังสามารถเปลี่ยนคลื่นหลิงของเขาให้เป็นผลึกคลื่นบริสุทธิ์ ซึ่งมอบความมั่นใจให้กับเขาที่จะต่อกรจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนได้


มิฉะนั้นเพียงแค่คลื่นหลิงของเขาเพียงอย่างเดียว อาจถูกปราบปรามโดยจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนแล้ว ดังนั้นนี่จึงเป็นข่าวดีหากเขาสามารถยกระดับเจดีย์พุทธะได้อีกครั้ง


“ตกลง”


มู่เฉินพยักหน้าด้วยความคาดหวัง


ชิงเหยี่ยนจิ้งไม่ได้พูดอะไรเมื่อเห็นภาพนี้ จากนั้นนางก็วาดตราประทับ ทันใดนั้นมิติก็ผันผวนพร้อมกับเสียงกระหึ่มเก่าแก่ดังผ่านมิติที่ไม่มีที่สิ้นสุด


มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองเห็นรัศมีโบราณที่ไหลลงมา


เมื่อรัศมีโบราณปรากฏขึ้น มู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงเจดีย์พุทธะภายในร่างกายสั่นไหวรุนแรงราวกับว่าได้เจออาหารอันโอชะ


มากจนก่อนที่มู่เฉินจะเรียกออกมา เจดีย์พุทธะก็ผุดขึ้นมาเหนือศีรษะและขยายออกไปอย่างรวดเร็ว มีขนาดหมื่นจั้งภายในเวลาไม่กี่ลมหายใจ


เจดีย์พุทธะแผ่รัศมี ดูดเกลียวรัศมีโบราณเข้าไปในเจดีย์


พร้อมกับการดูดซับรัศมีโบราณ แสงศักดิ์สิทธิ์ก็พวยพุ่งขึ้นบนเจดีย์ ดูลึกลับและบริสุทธิ์ยิ่งนัก


ในเวลาเดียวกันเจดีย์พุทธะขนาดใหญ่ก็ราวกับได้ขับสิ่งสกปรกออกไป ค่อยๆ ลดขนาดลง


ขณะที่หดตัวรัศมีศักดิ์สิทธิ์จากเจดีย์พุทธะก็บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น ภายนอกเจดีย์ก็มีรัศมีโบราณไหลเวียนอยู่


เมื่อมู่เฉินสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเจดีย์พุทธะ เขาก็ค่อยๆ หลับตาลงเข้าสู่สมาธิลึกซึ้ง เนื่องจากเขารู้สึกได้ถึงคลื่นหลิงจำนวนมหาศาลที่ถ่ายเทเข้าสู่ร่างกาย


เมื่อชิงเหยี่ยนจิ้งเห็นภาพนี้ก็ยิ้มก่อนจะหายตัวไปอย่างช้าๆ


 


มู่เฉินฝึกฝนตลอดทั้งเดือน


หลังจากหนึ่งเดือนผ่าน ชิงเหยี่ยนจิ้งก็ปรากฏตัวในมิติอีกครั้งพร้อมกับความตกใจและดีใจบนใบหน้าเมื่อเห็นภาพเบื้องหน้า


ยามนี้มู่เฉินยังคงนั่งนิ่ง ทว่าเจดีย์พุทธะได้หดตัวลงเหลือขนาดเท่าฝ่ามือขณะที่ลอยอยู่เหนือมู่เฉิน ดูดซับรัศมีโบราณอย่างต่อเนื่อง


ขนาดไม่ได้เป็นการเปลี่ยนแปลงเพียงอย่างเดียว แต่แม้กระทั่งรัศมีก็ยังมีร่องรอยของกลิ่นอายโบราณเข้มข้น


ขณะนี้เจดีย์พุทธะดูเหมือนจะไม่ได้ถูกสร้างจากคลื่นหลิง แต่ได้รับการขัดเกลาจนถึงขีดสุด ราวกับเป็นเจดีย์ผลึกแก้วของจริงที่ล่องลอยอยู่ในความลึกซึ้ง


นอกจากนี้ยังมีความผันผวนคลื่นหลิงทรงพลังที่เปล่งออกมาราวกับว่าเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมของแท้


ตามการคาดการณ์ของชิงเหยี่ยนจิ้ง เจดีย์พุทธะน่าจะมีคุณภาพเทียบเท่าอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นหลิงแล้ว


ทว่านั่นยังไม่ใช่ขีดจำกัด


นางสัมผัสได้ว่าเจดีย์พุทธะยังสั่นสะท้านอยู่ตลอดเวลา กำจายความตะกละตะกลามขณะที่ดูดซับรัศมีโบราณราวกับว่าต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้นไปอีก


ทว่ารัศมีโบราณที่พุ่งลงมาไม่ได้เข้มข้นมาก ดังนั้นการเพิ่มประสิทธิภาพจึงช้าลง


“ในเมื่อเฉินเอ๋อมีความสามารถเช่นนี้ ในฐานะมารดาข้าต้องช่วยเขาหน่อยแล้ว”


ชิงเหยี่ยนจิ้งยิ้มถ้าเป็นผู้อาวุโสทั่วไป นางก็ไม่สนใจแน่นอน เนื่องจากรัศมีโบราณในเจดีย์บรรพบุรุษล้ำค่ามาก ดังนั้นเว้นแต่จะเป็นคนที่มีคุณูปการยิ่งใหญ่ มิฉะนั้นไม่มีทางที่จะได้รับแน่


ทว่าคนอย่างชิงเหยี่ยนจิ้งไม่เล่นตามกฎอยู่แล้ว ในมุมมองของนางรัศมีบรรพบุรุษอาจมีค่า แต่ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะลอยอยู่แค่ที่นี่ ดังนั้นใช้ประโยชน์มอบคุณค่าให้ซะจะดีกว่า


นางเคาะนิ้วมิติก็สั่นไหว รัศมีโบราณเริ่มหนาแน่นขึ้นและเทลงไปในเจดีย์พุทธะ


ฮึ่ม ฮึ่ม!


เมื่อรัศมีโบราณจำนวนมหาศาลหลั่งไหลลงมา เจดีย์พุทธะก็สั่นสะท้านรุนแรง เปล่งประกายราวกับว่าสามารถยับยั้งสรรพสิ่งในโลกได้


ชิงเหยี่ยนจิ้งยังสามารถเห็นลวดลายโบราณเริ่มปรากฏบนพื้นผิวของเจดีย์ซึ่งดูโบราณและลึกซึ้ง


ตู้ม!


เมื่อลวดลายโบราณปกคลุมทั้งเจดีย์ เจดีย์ผลึกแก้วนี้ก็สั่นสะท้าน แสงที่เปล่งออกมาทำให้กระทั่งชิงเหยี่ยนจิ้งยังต้องหรี่ตาลง


แสงคงอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะหายไป


เจดีย์พุทธะลอยอยู่เหนือศีรษะมู่เฉิน แสงเริ่มหดตัวลงกลายเป็นภาพโบราณที่มีลวดลายอยู่บนตัว ซึ่งทำให้มิติโดยรอบแปรปรวน


ในเวลาเดียวกันมู่เฉินก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น เจดีย์พุทธะที่ลอยอยู่เหนือศีรษะก็พลิ้วลงมาที่ฝ่ามือ


มู่เฉินจ้องมองไปที่เจดีย์และสัมผัสได้ถึงพลังที่น่าตกใจนั่น


ตามการคาดการณ์ของเขาเจดีย์พุทธะนี้อาจไม่ได้ด้อยไปกว่ากระบี่เกล็ดจักรพรรดิเลย


ในอดีตกระบี่เกล็ดจักรพรรดิเป็นหนึ่งในไพ่ตายของเขา แต่ตอนนี้แม้ว่าเจดีย์พุทธะจะเทียบไม่ได้กับกระบี่ที่อยู่ในจุดสูงสุด แต่ก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว


ที่สำคัญที่สุดยังมีคลื่นหลิงมหาศาลหลั่งไหลออกมาจากเจดีย์พุทธะกลับเข้าสู่ร่างกายของเขา ทำให้ความแข็งแกร่งของเขาก้าวหน้าขึ้นอีกครั้งทะลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลางแล้ว


“สมกับเป็นเจดีย์พุทธะ สามารถพัฒนาในระดับนี้ได้ด้วยรัศมีโบราณ” ชิงเหยี่ยนจิ้งถอนหายใจ


ตอนนี้เจดีย์พุทธะมาถึงจุดสูงสุดของอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นเซียนแล้ว


อาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นเซียนเป็นสิ่งที่หาได้ยาก แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนก็ไม่มีในครอบครอง มากจนจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งบางคนที่เพิ่งบรรลุก็ใช้อาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมในชั้นนี้ ดังนั้นจึงมองเห็นมูลค่าได้


ด้วยอาวุธมหสวรรค์ระดับนี้ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็สามารถต่อกรกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงได้


“ขอบคุณท่านแม่”


มู่เฉินยิ้ม เขารู้ดีว่าถ้าไม่ใช่เพราะมารดาควบคุมเจดีย์บรรพบุรุษเพื่อให้รัศมีโบราณทรงคุณค่าเพิ่ม คงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าที่เขาจะไปถึงจุดนี้ได้


ชิงเหยี่ยนจิ้งยิ้ม “รัศมีโบราณไม่มีประโยชน์ถ้าทิ้งไว้ที่นี่หรอก ในเมื่อเจ้ามีความสามารถก็เอาไปเถอะ แต่นี่คือสิ่งที่เป็นของเผ่าฝูถู แม่หวังว่าหากอนาคตเผ่าฝูถูตกอยู่ในอันตราย เจ้าจะลงมือช่วยเหลือนะลูกรัก”


ชิงเหยี่ยนจิ้งรู้ว่ามู่เฉินไม่มีความรู้สึกดีกับเผ่าฝูถูด้วยมีม่านกั้นอยู่ในใจเขา แต่นี่เป็นสิ่งที่นางไม่อยากเห็น ดังนั้นนางจึงอยากใช้สิ่งนี้ปัดเป่าความขุ่นเคืองในใจของบุตรชายไปบ้าง


มู่เฉินรู้ความคิดของชิงเหยี่ยนจิ้งดี ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าหลังจากไตร่ตรองชั่วครู่ “ตราบใดที่ท่านแม่สบายดี ก็ไม่มีอะไรที่แก้ไขไม่ได้ระหว่างข้ากับเผ่าฝูถู”


“ทักษะการฝึกฝนและสายเลือดของข้าแม้จะมาจากท่านแม่ แต่ท่านก็มาจากเผ่าฝูถู ดังนั้นหากเผ่ามีปัญหาในอนาคตข้าจะต้องช่วยเหลือแน่”


ชิงเหยี่ยนจิ้งพยักหน้าด้วยความพอใจพลางลูบศีรษะมู่เฉินด้วยความรักก่อนที่จะยิ้ม “ในเมื่อเรียบร้อยแล้ว เราก็เตรียมออกเดินทางกันเถอะ”


เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นความปีติยินดีก็ฉายบนใบหน้าของมู่เฉิน


“ได้เลย!”


เมื่อเห็นความสุขของบุตรชาย ชิงเหยี่ยนจิ้งก็รู้สึกยินดีตามไปด้วย นางยิ้มด้วยความปรารถนาข้นคลั่กในดวงตา

 

 

 


บทที่ 1438 ทวีปไป่หลิง

 

โถงใหญ่เผ่าฝูถู


“หลังจากที่ข้าไปแล้ว ผู้อาวุโสชิงเทียนจะเข้ามาดูแลเรื่องต่างๆ แทนข้าชั่วคราว อย่างไรก็ตามข้าจะทิ้งร่างดวงจิตไว้ให้จะได้ติดต่อได้หากมีเหตุฉุกเฉินและข้าจะได้รีบกลับทันที”


เหล่าผู้อาวุโสของสภามารวมตัวกันที่นี่ ชิงเหยี่ยนจิ้งมองหน้าทีละคน จากนั้นสายตาก็กวาดไปที่เฉวียนกวางและมั่วถง ก่อนจะพูดเบาๆ “หวังว่าจะไม่มีอะไรที่ข้าไม่อยากเห็นเกิดขึ้นในเผ่าขณะที่ข้าไม่อยู่ มิฉะนั้นข้าจะลงโทษสถานหนักแน่”


หัวใจของเฉวียนกวางและมั่วถงสั่นสะท้านเมื่อเห็นสายตาของชิงเหยี่ยนจิ้งก่อนจะพยักหน้า พวกเขารู้สึกได้ถึงความเย็นชาในน้ำเสียงของนาง ถ้าพวกเขาคิดตุกติกขณะที่นางไม่อยู่ เมื่อนางกลับมางานนี้ทั้งหนี้เก่าหนี้ใหม่ถูกทวงจนอ่วมแน่


มู่เฉินยืนอยู่ข้างๆ ชิงเหยี่ยนจิ้งมองไปที่เหล่าผู้อาวุโสด้วยสีหน้านิ่งเฉย คนตำแหน่งสูงพวกนี้ราวกับฝูงแกะเมื่ออยู่เบื้องหน้าชิงเหยี่ยนจิ้ง


เขายังเห็นเฉวียนหลัวและมั่วซินยืนอยู่ข้างหลังบิดาของพวกเขา ทว่าทั้งสองคนต่างซ่อนตัวอยู่ข้างหลัง ไม่กล้าสบตากับมู่เฉิน


พวกเขามีมุมมองชัดเจนเกี่ยวกับสถานการณ์ตอนนี้ รู้ว่ามู่เฉินมาถึงจุดสูงสุดที่ไม่สามารถปีนเกลียวได้สำหรับพวกเขา ในอดีตพวกเขายังใช้สถานะของตนเพื่อกดมู่เฉินในฐานะตัวกาลกิณีได้ แม้ว่ามู่เฉินจะบรรลุขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงก็ไม่กลัว เนื่องจากพวกเขาได้รับการสนับสนุนจากเผ่า


แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป… เมื่อชิงเหยี่ยนจิ้งดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่ ทำให้เบื้องหลังมู่เฉินบดขยี้พวกเขาได้ไม่เหลือซาก…


ดังนั้นเมื่อทุกอย่างต่างไปจากเดิม พวกเขาก็ทำได้เพียงซ่อนและไม่แสดงการยั่วยุใดๆ ต่อมู่เฉิน


“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสใหญ่จะไปนานแค่ไหน? ท่านเพิ่งขึ้นดำรงตำแหน่ง ข้ากลัวว่าจะไปนานไม่ได้นักนะ” ชิงเทียนเดินออกมาและถามอย่างระมัดระวัง


ผู้อาวุโสตระกูลชิงทุกคนมองไปที่ชิงเหยี่ยนจิ้ง เห็นได้ชัดว่าพวกเขากลัวว่านางจะจากไปนานเหมือนในอดีต โยนเผ่าฝูถูไว้เบื้องหลัง


หากเป็นเช่นนั้นตระกูลเฉวียนและมั่วอาจทำให้เกิดปัญหา


ชิงเหยี่ยนจิ้งมองเห็นความคิดของชิงเทียนจึงยิ้มให้ “ไม่ต้องกังวลข้ารู้ว่าต้องทำอะไร ข้าจะคอยติดตามข่าวสารของเผ่าแน่นอน”


เมื่อได้ยินคำรับรอง ผู้อาวุโสตระกูลชิงก็รู้สึกโล่งใจ เมื่อเทียบกับในอดีตชิงเหยี่ยนจิ้งอดทนอดกลั้นมากขึ้นและไม่ทำตามอำเภอใจอีกต่อไป ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงอยากจะร้องไห้ในตอนนี้จริงๆ


“งั้นพวกเราอวยพรให้ผู้อาวุโสใหญ่เดินทางราบรื่นปลอดภัย” ผู้อาวุโสทั้งหมดโค้งคำนับ


ชิงเหยี่ยนจิ้งพยักหน้าพลางโบกมือ แสงหลิงห่อหุ้มร่างมู่เฉินไว้ จากนั้นทั้งสองก็หายไป


ที่ด้านนอกค่ายกลเคลื่อนย้ายของเผ่าฝูถู ชิงหยานจิ้งและมู่เฉินก็ปรากฏขึ้น


“น้าจิ้ง” หลิงซีมารออยู่ที่นี่แล้ว นางคล้องแขนชิงเหยี่ยนจิ้ง แม้แต่สีหน้าเย็นชาเป็นนิจก็มีรอยยิ้มน่ารักและไร้เดียงสาเผยออกมา


“นายหญิง” หลงเซี่ยงทักทายด้วยความเคารพ


ชิงเหยี่ยนจิ้งจับมือของหลิงซีพลางแซวเล่นว่า “ยังทำตัวเหมือนเด็กอีก…”


จากนั้นนางก็หันไปหาหลงเซี่ยงและยิ้ม “เราสนิทสนมกันดี ไม่จำเป็นต้องมากมารยาทเช่นนี้”


ทว่าหลงเซี่ยงก็ส่ายหัวอย่างดื้อดึง เมื่อเห็นการตอบสนองนั่น ชิงเหยี่ยนจิ้งก็ไม่พูดมาก มองไปที่มู่เฉิน “ตอนที่เจ้าเข้าสมาธิข้าให้หลงเซี่ยงรวบรวมข้อมูล ทวีปไป่หลิงกำลังจะมีพิธีราชันเร็วๆ นี้และขั้วอำนาจทั้งหมดในทวีปจะมุ่งหน้าไปยังเมืองไป่หลิง ข้าว่ามู่เฟิงก็น่าจะไปที่นั่น ดังนั้นเราไปที่นั่นเพื่อหาเขาเลยดีกว่า”


มณฑลเป่ยหลิง แคว้นไป่หลิงเทียนอยู่ในทวีปไป่หลิง ตอนที่มู่เฉินจากมามู่เฟิงได้ก่อตั้งกลุ่มพันธมิตรเป่ยหลิง ซึ่งเป็นขั้วอำนาจที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กของทวีปไป่หลิง ดังนั้นพวกเขาจะต้องเข้าร่วมพิธีราชันด้วยแน่นอน


มู่เฉินผงกศีรษะด้วยรอยยิ้มเร่งทุกคน “งั้นไปกันเถอะ”


 


ทวีปไป่หลิงอยู่ตะวันตกเฉียงเหนือของมหาพันภพ


ที่นี่ไม่ได้มีชื่อเสียงเป็นพิเศษอะไร เมื่อเทียบกับมหาทวีปอื่นๆ แล้วก็มองไม่เห็นชั้นการเปรียบเลย


ส่วนทวีปฝูถูของเผ่าฝูถูตั้งอยู่ห่างไกลจากทวีปไป่หลิงมาก แต่เดิมด้วยพลังของชิงเหยี่ยนจิ้ง นางสามารถเดินทางผ่านมิติได้โดยตรง หากใครสักคนในทวีปไป่หลิงมาบดขยี้สัญลักษณ์หลิงยิ่งที่นางสร้างขึ้น แต่ชัดว่าตอนนางจากไปไม่ได้เตรียมการเช่นนี้ไว้


ทว่าการเดินทางไม่ใช่ปัญหาสำหรับชิงเหยี่ยนจิ้ง นางเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่ง การสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายจึงเป็นอะไรที่ทำได้เพียงพลิกฝ่ามือ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้หยุดเพื่อค้นหาค่ายกลที่จะข้ามทวีป ชิงเหยี่ยนจิ้งสร้างค่ายกลจากที่ห่างไกลเพื่อมุ่งหน้าไปยังอีกทวีปหนึ่งได้เลย…


ดังนั้นพวกเขาเดินทางผ่านนับร้อยทวีปในเวลาเพียงสิบวัน ขณะเดียวกันก็ค่อยๆ เข้าใกล้ทิศตะวันตกเฉียงเหนือของมหาพันภพ


ความเร็วของพวกเขารวดเร็วมาก ถ้าเป็นคนอื่นอาจต้องใช้เวลาหลายเดือนในการบรรลุเป้าหมาย


ทั้งสี่กำลังยืนเหนือผิวน้ำมหาสมุทรขนาดใหญ่ขณะที่ชิงเหยี่ยนจิ้งโบกมือไปมา สัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนเชื่อมโยงสร้างเป็นค่ายกลเคลื่อนย้าย


“เคลื่อนย้ายอีกครั้ง เราก็จะถึงทวีปไป่หลิงแล้ว”


เมื่อได้ยินคำพูดของชิงเหยี่ยนจิ้ง มู่เฉิน หลิงซีและหลงเซี่ยงก็รู้สึกโล่งใจ เนื่องจากในที่สุดก็ไปถึงจุดหมายเสียที


เมื่อทั้งสี่ก้าวเข้าสู่ค่ายกล รัศมีก็ระเบิดออก มิติโดยรอบบิดเบี้ยวรุนแรง ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไรพวกมู่เฉินก็ลืมตาขึ้น


สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าพวกเขาคือเทือกเขาแห่งหนึ่ง บ่งบอกชัดเจนว่าพวกเขามาถึงอีกทวีปแล้ว


มือเรียวกดลง การบิดเบือนของมิติโดยรอบก็ถูกระงับลง ชิงเหยี่ยนจิ้งหวนรำลึกถึงอดีตเมื่อมองทวีปนี้พร้อมกับความคาดหวัง


‘ไม่รู้ว่า… ตานั่นเป็นยังไงบ้างแล้ว…’


“ไปที่เมืองไป่หลิงกันเถอะ”


ชิงเหยี่ยนจิ้งระงับอารมณ์ ยิ้มให้กับมู่เฉิน หลิงซีและหลงเซี่ยง ก่อนที่จะสะบัดมือ พวกเขากลายเป็นร่างแสงทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า


“คิกๆ ข้าแทบไม่เคยเห็นน้าจิ้งรีบร้อนขนาดนี้เลย” หลิงซีปิดปากและยิ้ม


“ข้าก็อยากจะพบกับนายท่านที่สง่าผ่าเผยที่สามารถกุมหัวใจของนายหญิงได้ขนาดนี้” หลงเซี่ยงพูดด้วยความคาดหวัง


มุมปากของมู่เฉินกระตุก แม้ว่าเขาจะไม่อยากขายบิดาตนเอง แต่ไม่ว่าจะดูยังไงก็เหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับคำว่าสง่าผ่าเผยเลยนะ…


เขาส่ายหัวกลายเป็นร่างแสงตามมารดาไป


 


เมืองไป่หลิง


ในฐานะเมืองศูนย์กลางของทวีปไป่หลิง เมืองนี้จึงเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของทวีปพร้อมกับความนิยมยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงนี้เมืองไป่หลิงได้กลายเป็นศูนย์รวมสายตาของทั้งหมด


เนื่องจากพิธีราชันกำลังจะเกิดขึ้นที่นี่


ที่เรียกว่าพิธีราชันมีขึ้นเพื่อแสดงความเคารพต่อผู้ปกครองทวีปไป่หลิง—ราชันไป่หลิง


ในฐานะผู้ปกครองทวีปนี้ ชัดว่าราชันไป่หลิงดำรงอยู่ในตำแหน่งสูงสุดของทวีปโดยมีขั้วอำนาจน้อยใหญ่อยู่ใต้บังคับบัญชา ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงจำเป็นต้องมาแสดงความเคารพต่อราชันเป็นครั้งคราวและส่งบรรณาการมาให้


ดังนั้นเมืองไป่หลิงจะคึกคักมากทุกครั้งที่มีพิธีราชัน ขั้วอำนาจทั้งหมดจะมุ่งหน้ามาที่นี่


 


ใจกลางเมืองไป่หลิง วังไป่หลิง


วังหลวงหรูหราแห่งนี้กำลังอยู่ในวุ่นวายพร้อมกับการแสดงของหญิงสาวร้องเล่นเต้นรำภายในวังโอ่อ่า โดยมีผู้นำจากขั้วอำนาจทั้งหมดนั่งกับหญิงงามที่คอยบริการ


ทุกคนที่นั่งอยู่เป็นผู้นำจากขั้วอำนาจต่างๆ ของทวีปไป่หลิง ที่นั่งนี้จัดระดับความสูงต่ำเช่นกัน


โดยทั่วไปคนที่นั่งด้านหน้าจะทรงพลัง ส่วนยิ่งคนที่อยู่ด้านหลังก็จะอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ…


มีคนกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่บริเวณด้านหลัง เมื่อเทียบกับคนอื่นที่สนุกสนาน สายตาของพวกเขาค่อนข้างไม่สบายใจ


ผู้นำคือชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่สง่างาม ซึ่งมู่เฉินมีความคล้ายคลึงเขาอยู่หลายส่วน ชายคนนี้ก็คือบิดาของมู่เฉิน—มู่เฟิง


ขณะนี้เขากำลังขมวดคิ้วพลางถอนหายใจในใจขณะมองไปที่หญิงสาวที่นั่งคุกเข่าท่าเทพธิดาอยู่ข้างๆ หญิงสาวคนนั้นมีรูปลักษณ์งดงาม เสื้อผ้าสีดำขับเน้นรูปร่างนาง ผมที่เกล้ารวบเป็นหางม้าทำให้ดูมีชีวิตชีวา


เพียงแค่นั่งอยู่ตรงนั้นนางก็เป็นภาพที่ดึงดูดสายตาหลายๆ คนมา


ถ้ามู่เฉินอยู่ที่นี่ เขาจะต้องตกใจเพราะนางคือถังเชียนเอ๋อที่เขาไม่ได้พบอีกเลยตั้งแต่จบจากสำนักศึกษาเป่ยชาง…

 

 

 


บทที่ 1439 ราชันไป่หลิง

 

ตอนนี้อารมณ์ของถังเชียนเอ๋อบูดสนิท


หลังจากที่มู่เฉินออกจากสำนักศึกษาเป่ยชาง นางก็เลือกที่จะอยู่ในสำนักศึกษาต่อ ด้วยการทำงานหนักและความสามารถที่มี นางบรรลุระดับจื้อจุนขั้นแปดและยังได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นรองอาจารย์ใหญ่สำนักศึกษาวั่นหวง


หลังจากได้เลื่อนตำแหน่ง นางก็ขอวันหยุดสั้นๆ เพื่อกลับมาเยี่ยมบิดาในมณฑลเป่ยหลิง แต่ตอนที่กลับมาถึงก็ได้ข่าวพิธีราชัน เนื่องจากถังซันบิดาของนางต้องติดตามมู่เฟิง นางจึงติดสอยห้อยตามมาเนื่องจากเป็นคนชอบงานครื้นเครงอยู่แล้ว


แต่ปัญหาดันเกิดขึ้น เมื่อไม่กี่วันที่ก่อนนางติดตามพวกมู่เฟิงเข้าพบราชันไป่หลิง อีกฝ่ายมองนางด้วยสายตาระยับระยับและบอกใบ้บางอย่าง ทว่าทั้งหมดก็ถูกนางปฏิเสธไป


เพราะเหตุนี้เองที่ทำให้ราชันไป่หลิงไม่พอใจและยังจำกัดเสรีภาพของพวกนาง โดยตั้งใจที่จะข่มขู่ให้นางยอมจำนน


นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้อารมณ์ของนางแย่สุดๆ


“เฮ้อ ลูกรัก…”


ถังซันยิ้มขมขื่นอยู่ข้างหลังมู่เฟิง เขามองไปที่ถังเชียนเอ๋อที่แม้จะดูนิ่งสงบ แต่ก็กำมือแน่นเป็นครั้งคราว เขารู้ดีว่านางรู้สึกแย่มาก ดังนั้นจึงเริ่มโทษตัวเอง “นี่เป็นความผิดของพ่อเองที่ให้เจ้ามาด้วย”


ถังซันทะนุถนอมบุตรสาวราวกับสมบัติล้ำค่า ย้อนไปตอนนั้นที่เขาส่งนางไปร่ำเรียนที่สำนักศึกษาวั่นหวง เขาก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่านางจะมีความสามารถมากขนาดบรรลุระดับจื้อจุนขั้นแปด ซึ่งถือได้ว่าเป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของคนที่อยู่ในมณฑลเป่ยหลิง


นอกจากนี้ถังเชียนเอ๋อยังเป็นรองอาจารย์ใหญ่ ซึ่งทำให้แม้แต่มู่เฟิงซึ่งเป็นประมุขพันธมิตรเป่ยหลิงยังเทียบไม่ติด


ตอนแรกเขารู้สึกมีความสุขกับความโดดเด่นของบุตรสาว แต่เขาก็ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องขึ้นเพราะความโดดเด่นนี้…


ด้วยสถานะราชันไป่หลิง น่าจะได้พบเห็นสาวงามมามากมาย แต่เมื่อได้พบหน้ากับถังเชียนเอ๋อซึ่งเป็นรองอาจารย์ใหญ่สำนักศึกษาวั่นหวงก็ยังอดไม่ได้ที่จะถูกดึงดูดและข่มขู่


มู่เฟิงตบไหล่ถังซันแล้วหันไปหาถังเชียนเอ๋อ “เชียนเอ๋อพยายามหาโอกาสไปซะ ราชันไป่หลิงคงไม่ทำอะไรเราด้วยสถานะที่ค้ำคอ อย่างมากก็แค่สลายพันธมิตรเป่ยหลิงไป…”


เขาเฝ้ามองถังเชียนเอ๋อเติบโตไปพร้อมกับมู่เฉิน ดังนั้นเขาจึงไม่อยากเห็นนางต้องทนทุกข์


ถังเชียนเอ๋อถอนหายใจ นางได้ยินมาว่าราชันไป่หลิงไม่ใช่คนที่มีจิตใจกว้างขวาง ดังนั้นถ้านางจากไปละก็ เขาจะต้องเอาเรื่องถังซันและมู่เฟิงแน่


“ข้าจะปล่อยให้อะไรเกิดขึ้นกับท่านลุงไม่ได้ ไม่เช่นนั้นข้าจะอธิบายเรื่องนี้กับมู่เฉินอย่างไรในอนาคต?”


ถังเชียนเอ๋อกำมือแน่น สายตาวูบไหวพลางตัดสินในใจ นางวางแผนจะหาโอกาสหนีไปพร้อมทุกคน ในฐานะรองอาจารย์ใหญ่สำนักศึกษาวั่นหวง นางมีวิธีการบางอย่างเพื่อหลบหนีและสลัดราชันไป่หลิงให้พ้นทาง


แต่ถ้านางทำเช่นนั้น พันธมิตรเป่ยหลิงที่มู่เฟิงและถังซันใช้ความพยายามสร้างอยู่หลายปีก็จะสูญสลายไป รวมทั้งตัวนางคงจะไม่สามารถกลับไปยังมณฑลเป่ยหลิงได้อีก


เมื่อนึกถึงแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจ เพราะนางมีความทรงจำมากมายที่นั่น


ขณะที่นางกำลังครุ่นคิดอยู่ บรรยากาศในห้องโถงก็พลุ่งพล่านพร้อมกับทุกคนยืนขึ้นมองไปยังบัลลังก์ด้วยความเคารพ


ภายใต้ขบวนแถวสาวงาม ร่างเงาร่างหนึ่งที่ดูแข็งแกร่งก็ปรากฏขึ้น เขาสวมเสื้อคลุมสีทองมีรูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาหล่อเหลาเอาการ แต่ดวงตาเรียวยาวทำให้ดูคล้ายกับอิสตรีอยู่หลายส่วน


ขณะที่เดินเขาก็ปลดปล่อยคลื่นหลิงทรงพลังซึ่งบอกว่ามาถึงระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นแล้ว


ที่ยืนอยู่ข้างหลังเป็นผู้อาวุโสชุดดำสองคนที่ราวกับวิญญาณ


“คารวะราชันไป่หลิง!”


เมื่อชายคนนั้นปรากฏขึ้นทุกคนก็เอ่ยทักทายพร้อมเพรียง


ราชันไป่หลิงยิ้มนั่งลงบนบัลลงก์แล้วสะบัดมือลง “ทุกคนนั่งลงเถอะ”


ทุกคนแสดงความขอบคุณทันทีก่อนที่จะนั่งลง ท่าทางเต็มไปด้วยเคารพนี้ทำให้ริมฝีปากของราชันไป่หลิงโค้งขึ้น


เขากวาดมองโถงประหนึ่งจักรพรรดิก่อนที่สายตาจะหยุดที่ร่างเงาหนึ่งของพันธมิตรเป่ยหลิง


“ฮ่าๆ แม่นางเชียนเอ๋อ เจ้าพอใจกับเมืองไป่หลิงของข้าหรือไม่?” ราชันไป่หลิงยิ้มโดยไม่สนใจคนที่เหลือและพูดเพียงกับถังเชียนเอ๋อ


ถังเชียนเอ๋อเผยสีหน้าสงบตอบว่า “ข้าได้เห็นแล้วว่าเมืองไป่หลิงเฟื่องฟูขนาดไหน แต่ในฐานะรองอาจารย์ใหญ่สำนักศึกษาวั่นหวง ข้ากลัวว่าจะไม่สามารถอยู่ได้นานเพราะมีหลายสิ่งต้องไปจัดการ”


นางปฏิเสธอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันก็นำสำนักศึกษาวั่นหวงมาช่วยออกหน้าด้วยความหวังว่าราชันไป่หลิงจะลดระดับลงบ้าง


ราชันไป่หลิงหัวเราะเบาๆ ทำเหมือนจะไม่ได้ยินความหมายในคำพูดของถังเชียนเอ๋อ เขายกถ้วยหยกตรงหน้าพลางหัวเราะ “ข้าไม่ทุบตีรอบพุ่มไม้ ข้าตกหลุมรักเจ้าตั้งแต่แรกพและหวังว่าแม่นางเชียนเอ๋อจะอยู่เคียงข้างเพื่อดูแลทวีปไป่หลิงกับข้า”


คำพูดของเขาทำให้เกิดความวุ่นวายในโถง ทุกคนหันมามองที่ถังเชียนเอ๋อด้วยความอิจฉา ในสายตาของพวกเขานี่เป็นการก้าวสู่สวรรค์เลยทีเดียว


ทว่าถังเชียนเอ๋ออดกำกำปั้นด้วยความโกรธที่มีต่อราชันไป่หลิงไม่ได้ แต่นางไม่ใช่สาวน้อยที่กล้าได้กล้าเสียเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป นางหายใจเข้าลึกตอบว่า “ข้าขอขอบคุณราชันไป่หลิงสำหรับความรู้สึกที่มีให้ แต่ข้าชอบจัดการงานในสำนักศึกษาวั่นหวงมากกว่า เห็นแก่หน้าสำนักศึกษา ท่านให้เรื่องนี้ผ่านไปเถอะ”


ราชันไป่หลิงยิ้มขณะเล่นถ้วยหยกในมือ “แม้ว่าสำนักศึกษาวั่นหวงจะมีชื่อเสียง แต่กลัวว่ายังไม่เพียงพอที่จะระงับข้าได้…”


“ท่านพ่อข้าเป็นประมุขตำหนักปลายเหนือและมีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้น ส่วนมารดาก็เป็นเจ้าสำนักร้อยบุปผาที่มีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะต้น”


ราชันไป่หลิงกล่าวขณะที่ยิ้มให้ถังเชียนเอ๋อ “เจ้าคิดว่าราชันอย่างข้าจะกลัวสำนักศึกษาวั่นหวงกระจ้อยร่อยเหรอ?”


แม้ว่าน้ำเสียงจะกลั้วเสียงหัวเราะ แต่บรรยากาศในห้องโถงก็เงียบลงจนผู้คนตัวสั่น ถึงพวกเขาจะรู้ภูมิหลังของราชันไป่หลิง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกดดันและตกใจเมื่อได้ยิน


ตำหนักปลายเหนือมีชื่อเสียงทางตะวันตกเฉียงเหนือของมหาพันภพ ขั้วอำนาจนี้ปกครองสี่ทวีป ซึ่งทวีปไป่หลิงเป็นหนึ่งในนั้น ตำหนักปลายเหนือจึงถือได้ว่าเป็นเจ้าเหนือหัวโดยไม่มีการโต้แย้งในดินแดนอันกว้างใหญ่นี้


ส่วนสำนักร้อยบุปผาแม้จะไม่ทรงพลังเท่าตำหนักปลายเหนือ แต่ก็มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนซึ้งถือได้ว่าครอบงำมาก เมื่อเทียบกับสิ่งนั้นผู้นำทั้งหมดที่นี่คือมดปลวก


อีกฝ่ายสามารถสลายพวกเขาเป็นฝุ่นได้ด้วยการเป่าเบาๆ


นี่เป็นสาเหตุที่ราชันไป่หลิงสามารถควบคุมทวีปไป่หลิงโดยมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นเท่านั้น กระทั่งจอมยุทธ์ทรงพลังบางคนยังต้องยอมก้มหัวให้เขา


นั่นเป็นเพราะราชันไป่หลิงมีภูมิหลังที่น่ากลัว!


สีหน้าของถังเชียนเอ๋อเปลี่ยนไปขณะความกดดันกวนตัว ในแง่ของความแข็งแกร่งสำนักศึกษาวั่นหวงเอามาเทียบไม่ได้เลย


ทว่าก็ไม่ได้หมายความว่าสำนักศึกษาวั่นหวงเป็นผู้อ่อนแอ เนื่องจากในฐานะสำนักศึกษา สิ่งที่แข็งแกร่งไม่ใช่พลัง แต่เป็นความสัมพันธ์ที่มี


ดังนั้นหากตำหนักปลายเหนือและสำนักร้อยบุปผาต้องการทำลายสำนักศึกษาวั่นหวง นางเชื่อว่าพวกเขาต้องเผชิญกับการขัดขวางไม่น้อย


ถังเชียนเอ๋อกำมือตอบว่า “ราชันไป่หลิงต้องการบังคับข้าแบบนี้จริงหรือ?”


เมื่อได้ยินคำพูดของถังเชียนเอ๋อ รอยยิ้มของราชันไป่หลิงก็จางหายไปพร้อมกับประกายอันตรายวาบในดวงตา


ทั้งโถงเงียบกริบ ทุกคนรู้สึกว่าแผ่นหลังเหงื่อไหลโชก พวกเขาทั้งหมดสาปแช่งถังเชียนเอ๋อที่ไม่รู้ว่าอะไรดีสำหรับตัวเอง หากนางทำให้ราชันไป่หลิงขุ่นเคืองใจ เรื่องนี้จบไม่ดีแน่


สายตาของมู่เฟิงเปลี่ยนไป เขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่ตกอยู่บนตัวถังเชียนเอ๋อ เขากัดฟันยืนขึ้นคารวะราชันไป่หลิงพร้อมกับรอยยิ้ม “ราชันอย่าโกรธเคืองเลย เชียนเอ๋อแค่ไม่รู้ แต่นางเป็นเพื่อนรักวัยเด็กของบุตรชายข้า ท่านเป็นคนที่จะประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ ทำไมต้องมีปัญหากับผู้หญิงคนเดียว…”


แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ ราชันไป่หลิงก็มองมาอย่างเย็นชา ผู้อาวุโสในชุดดำก็มองตามและก้าวออกไป “แกมีคุณสมบัติพอที่จะพูดที่นี่เรอะ?!”


คำพูดของเขาราวกับเสียงฟ้าร้องดังก้อง ทำให้ทั้งโถงสั่นสะเทือน คำพูดของมู่เฟิงหยุดลงขณะผลกระทบซัดใส่ ใบหน้าของเขาซีดลง ร่างกายซวนเซพร้อมกับรอยเลือดไหลที่มุมปาก


แรงกดดันคลื่นหลิงที่น่ากลัวที่เกิดขึ้นจากผู้อาวุโสชุดดำทำให้ผู้นำขั้วอำนาจอื่นสั่นสะท้าน “ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม?!”


พวกเขาอุทานในใจ ราชันไป่หลิงช่างมีการสนับสนุนที่น่ากลัวแท้จริง แม้จะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่ก็มีผู้คุ้มกันสองคนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม


ราชันไป่หลิงคลึงถ้วยหยกเล่นไม่ได้มองไปที่มู่เฟิงขณะพูดอย่างไม่แยแส “ข้าไม่อนุญาตให้พูด เจ้ากล้าพูดแทรกได้ยังไง? แกเป็นใคร? แล้วลูกแกเป็นใครอีก? เขากล้าแย่งผู้หญิงกับข้าเรอะ?”


ใบหน้าของมู่เฟิงสลับไปมาระหว่างเขียวกับขาวขณะที่กำหมัดแน่น


“ลุงมู่เป็นยังไงบ้างเจ้าคะ?” ถังเชียนเอ๋อรีบเข้ามาประคองมู่เฟิงพลางถาม


มู่เฟิงส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มขมขื่นแล้วถอนหายใจ “ลุงไร้ประโยชน์”


ถังเชียนเอ๋อกัดฟันกรอด ดวงตาวูบไหว นางรู้ว่าอยู่ที่นี่อีกต่อไปไม่ได้แล้ว ตอนนี้นางคงต้องทำเป็นเอาใจราชันไป่หลิงไปก่อน แล้วหาโอกาสเหมาะพาทุกคนหนีไป


ด้วยความคิดนี้ นางลุกขึ้นมองไปยังราชันไป่หลิงก่อนที่จะกัดฟัน “ได้ ข้าสัญญา…”


แต่ก่อนที่นางจะได้พูดอะไรออกไป จู่ๆ ก็มีมือยื่นออกมาจากด้านหลังปิดปากนางไว้


ในเวลาเดียวกันเสียงคุ้นเคยก็ดังขึ้นพร้อมกับความหนาวเหน็บสาดซัดในโถง


“พี่เชียนเอ๋ออย่าบุ่มบ่ามพูดอย่างนั้น ขยะอย่างเขาไม่คู่ควรกับเจ้าเลยสักนิด…”

 

 

 


บทที่ 1440 แกมันขยะบูดของแท้

 

ภายในวัง


เสียงที่ดังขึ้นกะทันหันทำให้ทั่วบริเวณเงียบกริบลงขณะที่ทุกคนเบิกตากว้าง กระทั่งการหายใจของพวกเขาก็อ่อนลง พวกเขานึกไม่ถึงว่าจะมีคนกล้าพูดคำเช่นนี้ต่อหน้าราชันไป่หลิง…


ชายผู้นี้เป็นผู้ปกครองทวีปไป่หลิง คำพูดของเขาสามารถทำลายขั้วอำนาจน้อยใหญ่ได้ ราชันไป่หลิงมีพลังอำนาจที่ทำให้ทุกคนหวาดกลัว


แต่ตอนนี้…มีคนเรียกเขาว่าขยะ?


เมื่อนึกถึงความโกรธของราชันไป่หลิง ทุกคนก็เริ่มตัวสั่นสะท้าน พวกเขาจินตนาการได้เลยว่าโถงจะนองไปด้วยเลือดในวันนี้แน่…


ท่ามกลางความเงียบทุกคนก็มองไปที่ข้างหลังถังเชียนเอ๋อราวกับกำลังมองคนตาย


ถังเชียนเอ๋อสะดุ้งเมื่อริมฝีปากถูกปิดไว้ นางแทบจะถ่องศอกออกไปเพื่อตอบโต้ แต่เมื่อได้ยินคำเรียกขานนั่นกระแสเลือดก็ถึงกับแข็งตัว


นี่เป็นเสียงที่นางคุ้นเคยตั้งแต่เด็ก


นางค่อยๆ หันหน้ากลับมาก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาปรากฏในครรลองสายตา เทียบกับในอดีตใบหน้านี้ไม่มีความอ่อนเยาว์อีกต่อไป ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นทำให้รู้สึกปลอดภัย


“มู่…มู่เฉิน?!”


ถังเชียนเอ๋อตะลึงงันขณะที่พูดตะกุกตะกัก นางรู้สึกเหมือนว่ากำลังฝันไปจึงยื่นมือออกเพื่อสัมผัสใบหน้านั้น


เมื่อสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น ดวงตานางก็เบิกกว้างด้วยความตกใจอุทานว่า “นี่เจ้าจริงๆ เหรอ? เจ้ามาทำอะไรที่นี่?!”


มู่เฉินยิ้ม “มาเยี่ยมญาตินะสิ”


เขาเลื่อนมือถังเชียนเอ๋อออกจากใบหน้าตนเองพลางก้าวย่างพร้อมกับหัวเราะเบาๆ ขณะมองไปที่มู่เฟิง “ท่านพ่อมองจนเอ๋อไปแล้วเหรอ?”


มู่เฟิงเบิกตากว้างขณะมองไปที่บุตรชาย เขาไม่สามารถฟื้นจากความตกใจเนื่องจากมู่เฉินออกจากบ้านไปนานเหลือเกิน เขาคิดถึงบุตรชายทุกวัน ดังนั้นเมื่อมู่เฉินปรากฏตัวต่อหน้าจริงๆ เขาก็รู้สึกไม่อยากเชื่อ


“ไอ้ลูกบ้าในที่สุดเจ้าก็กลับบ้านเป็นแล้วเรอะ?!”


พักใหญ่เมื่อได้สติมู่เฟิงก็ตำหนิเป็นประโยคแรก


มู่เฉินยิ้มตาหยีนั่งลงข้างมู่เฟิงพลางตบหลัง เอ่ยพลางยิ้ม “ท่านพ่อใจเย็นๆ”


สายตาเขากวาดผ่านรอยเลือดบนริมฝีปากของมู่เฟิง แม้รอยยิ้มบนใบหน้ายังสดใส แต่ก็ปรากฏแววเย็นชาในดวงตา


เมื่อมองไปที่ใบหน้าโตเต็มวัย มู่เฟิงก็รู้สึกซับซ้อน แต่ไม่ช้าเขาก็นึกบางอย่าง สีหน้าเขาเปลี่ยนไปจากนั้นก็ประสานมือให้ราชันไป่หลิง “โปรดอภัย ลูกชายข้าไม่ค่อยรู้เรื่องราว ไม่ได้คิดจะหยาบคาย…”


มู่เฟิงได้ยินคำพูดของมู่เฉินเต็มสองหู ดังนั้นเมื่อคิดถึงก็รู้สึกว่าร่างกายถูกปกคลุมไปด้วยเหงื่อเย็น ราชันไป่หลิงเป็นคนใจแคบและไร้ปรานี ดังนั้นคำพูดดูถูกของมู่เฉินต้องสร้างความโกรธแค้นในใจอีกฝ่ายแน่นอน


“ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”


ราชันไป่หลิงหัวเราะก่อนที่มู่เฟิงจะพูดจบ เสียงหัวเราะดังก้องในโถง แต่ไม่มีใครกล้าทำอะไรเพราะพวกเขาสัมผัสได้ถึงรังสีสังหารเข้มข้น


ใบหน้าของมู่เฟิงเปลี่ยนไปแขนกางออกเพื่อปกป้องลูกรัก เขาตัดสินใจแล้วว่าแม้จะต้องตายก็ต้องปกป้องมู่เฉิน


ถังเชียนเอ๋อก็ก้าวออกไปเพื่อปกป้องมู่เฉิน ขณะมองไปที่ราชันไป่หลิงด้วยความตื่นตัว


ผู้นำคนอื่นๆ มองไปที่กลุ่มมู่เฟิงอย่างสงสาร ความโกรธแค้นของราชันไป่หลิงในวันนี้อาจจะทำให้ทุกคนจากพันธมิตรเป่ยหลิงรอดชีวิตกลับไปไม่ได้


“เจ้าหนุ่มนั่นก่อปัญหาแล้ว พันธมิตรเป่ยหลิงต้องทนทุกข์จากการนองเลือด…” บางคนพึมพำออกมาเบาๆ แต่พวกเขาก็เต็มใจที่จะดูมากกว่า หากพันธมิตรเป่ยหลิงถูกทำลาย พวกเขาก็จะสามารถแทรกแซงเข้าในมณฑลเป่ยหลิง


เสียงหัวเราะของราชันไป่หลิงยังคงดำเนินต่อไปชั่วครู่ก่อนที่จะค่อยๆ เงียบลง เขาป้ายน้ำตาออกจากมุมตา “มีคนเรียกข้าว่าขยะ…”


เขาส่ายหัว จากนั้นก็โบกมือแววโหดเหี้ยมผุดขึ้นที่มุมปาก “หักแขนขามันแล้วโยนออกไป”


จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มชุดดำที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้าอย่างเย็นชาและก้าวออกไปขณะมองมู่เฉินด้วยสายตาชั่วร้าย


เมื่อมู่เฟิงเห็นภาพนี้หัวใจก็เย็นเยือกพร้อมกับความวิตกกังวลพล่านในดวงตา


ถังเชียนเอ๋อกัดฟัน หินหงส์ฟ้าปรากฏอยู่ในมือ ถ้านางบดขยี้ก็จะสามารถพาทุกคนหลบหนีไปได้


เมื่อเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มกระทั่งนางยังรู้สึกกดดันอย่างมาก


แต่เมื่อนางกำลังจะบดขยี้ มือมู่เฉินก็ยื่นเข้ามาหยุดไว้ ถังเชียนเอ๋อหันหน้ามองไปที่มู่เฉินอย่างรีบร้อน “มู่เฉินอย่าโง่ คนฉลาดย่อมรู้ดีว่าจะไม่ทำอะไรเสียเปรียบตรงหน้า ดังนั้นไม่จำเป็นต้องสู้กับมัน”


นางคิดว่ามู่เฉินยังคึกคะนองแบบเด็กหนุ่ม ไม่เต็มใจที่จะกลืนเรื่องนี้


เมื่อได้ยินคำพูดนั่น มู่เฉินก็อึ้งไปก่อนจะส่ายหัว “พี่เชียนเอ๋อไม่ต้องกังวล ข้ารู้ขีดจำกัดของตัวเองดี”


เมื่อพูดจบเขาก็เงยหน้าขึ้นมองผู้อาวุโสชุดดำที่เดินเข้ามา คลื่นหลิงไร้ขอบเขตของอีกฝ่ายเติมเต็มทุกตารางนิ้วของวัง อีกฝ่ายเข้ามาพร้อมกับความคิดที่จะทรมานเขาเพื่อสร้างความกลัวให้กับคนอื่นๆ


“แกเป็นคนทำให้พ่อข้าบาดเจ็บเหรอ?” มู่เฉินขมวดคิ้วมองไปที่อีกฝ่าย


ฝีเท้าผู้อาวุโสชุดดำหยุดลงชั่วคราว เขารู้สึกว่าคำถามของมู่เฉินเป็นเรื่องน่าหัวเราะ รอยยิ้มน่าเกลียดปรากฏบนใบหน้าเขาขณะตอบว่า “ไม่ต้องกังวล เดี๋ยวข้าจะทำให้ทั้งแกและพ่อแกได้ลิ้มรสถึงชีวิตที่เลวร้ายยิ่งกว่าตาย”


มู่เฉินยิ้มให้กับคำพูดนั่น แต่ไม่มีแววเป็นมิตรในดวงตาเลย จากนั้นเขาก็ค่อยๆ ยื่นมือออกมาขยี้ไปที่ผู้อาวุโสชุดดำ


ตู้ม!


ราวกับว่ามือที่มองไม่เห็นกดร่างผู้อาวุโสชุดดำลงก่อนที่คลื่นหลิงมหาศาลโดยรอบจะระเบิด ก่อนที่ผู้อาวุโสชุดดำจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง เขาก็รู้สึกถึงแรงมหาศาลจับตัวทุ่มเขาลงไปกองกับพื้น


ครืน!


โถงสั่นสะเทือนพร้อมกับทุกคนตกตะลึง นั่นเป็นเพราะผู้อาวุโสชุดดำที่ดูเหมือนจะควบคุมความเป็นตายก่อนหน้านี้คุกเข่าลงต่อหน้ามู่เฟิง แม้แต่พื้นใต้เข่าก็แตกละเอียด…


“นี่…นี่…”


ทุกคนรู้สึกราวกับเห็นผี ชัดว่าพวกเขาไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มถึงคุกเข่าต่อหน้ามู่เฟิง


บางคนที่มีสายตาแหลมคมก็สังเกตเห็นความกลัวบนใบหน้าผู้อาวุโสชุดดำ เขาพยายามดิ้นรนรุนแรง ทว่าพลังมหาศาลทำให้เขาไม่สามารถขยับเขยื้อนได้


ถังเชียนเอ๋อ มู่เฟิงและถังซันตกตะลึงกับฉากนี้ พวกเขาดึงสติกลับมาไม่ได้


“ในเมื่อแกเป็นคนทำ งั้นก็จงขอโทษซะ”


มู่เฉินมองไปที่ผู้อาวุโสชุดดำอย่างไม่แยแส เขาโบกมือ ศีรษะของผู้อาวุโสชุดดำก็กระแทกกับพื้น ทำให้พื้นทรุดลง


“อ้าก!”


ผู้อาวุโสชุดดำร้องลั่นขณะเลือดอาบหัว เขาดิ้นรนรุนแรง


“ยังไม่ขอโทษอีกเรอะ?” มู่เฉินขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นแล้วโบกลงไปอีกครั้ง


ปัง! ปัง! ปัง!


ทุกคนในโถงต่างก็ตกตะลึงกับมู่เฉินที่ทำเหมือนกำลังเล่นกับตุ๊กตา พร้อมกับมือโบกลงศีรษะของผู้อาวุโสชุดคลุมสีดำก็จะกระแทกลงบนพื้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดรอยแตกกระจายไปทั่วพื้นด้านล่าง…


ทั้งโถงไร้สรรพเสียงโดยมีเพียงเสียงศีรษะของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มโขกลงกับพื้น ดังนั้นทุกคนจึงรู้สึกเหงื่อเย็นแตกเต็มแผ่นหลัง


พวกเขามองมู่เฉินที่สามารถเล่นกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้แบบนี้ ในที่สุดก็เข้าใจว่าชายหนุ่มคนนี้น่ากลัวเพียงใด…


ปัง!


หน้าผากของผู้อาวุโสในชุดดำเต็มไปด้วยเหงื่อ แต่ก็เป็นแค่อาการบาดเจ็บเล็กๆ สำหรับเขานี่ช่างบางจางเมื่อเทียบกับความกลัวในใจ


นั่นเป็นเพราะในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ว่าเบื้องหน้าพลังที่แข็งแกร่งเพียงนี้ เขาเป็นแค่มด…


ยามนี้เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน?


วันนี้เขาเตะกำแพงเหล็กเข้าให้แล้ว


“นายท่าน นายท่าน! ข้าผิด ข้าผิด! ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ!”


ตอนนี้เขาจะยังหยิ่งยโสได้ยังไง? เขารู้ดีว่าแค่พลิกมือจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็สามารถฆ่าเขาได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ต่อต้านอีกต่อไป เสียงสะท้อนด้วยความกลัวหนาแน่น


พร้อมกับเสียงกรีดร้องของผู้อาวุโสชุดดำ มู่เฉินก็หยุดลงพูดอย่างไม่แยแส “รีบขอโทษแต่แรกก็ดีแล้ว ไสหัวไปซะ”


ขณะที่พูดมู่เฉินก็เหวี่ยงหมัดออก ทันใดนั้นอากาศก็ระเบิดในมิติเบื้องหน้า ผู้อาวุโสชุดดำราวกับโดนโจมตีรุนแรง หน้าอกทั้งหมดยุบลงขณะที่ร่างกระเด็นไปด้านหลังทิ้งรอยยาวบนพื้น ก่อนที่จะปะทะเข้ากับเสาสลบเหมือดลงทันที


เขารู้สึกได้ว่าคลื่นหลิงในร่างกายแตกสลายไปหมดภายใต้หมัดของมู่เฉิน แม้แต่เส้นลมปราณก็แตกสลาย แม้ว่ามู่เฉินจะไว้ชีวิต แต่การฝึกฝนทั้งชีวิตที่ผ่านมาจบสิ้นลงแล้ว


ทั้งโถงเงียบกริบแม้กระทั่งลมหายใจก็หยุดลง ทุกคนตัวสั่น นั่นคือจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มนะ! ในทวีปไป่หลิงเป็นการดำรงอยู่ที่ของราชันเลยทีเดียว! แต่ต่อหน้าชายหนุ่มคนนี้กลับไร้พลังราวกับหุ่นเชิด…


ผู้นำหลายคนร้องโหยหวนอย่างขมขื่นในใจ ‘ชายหนุ่มคนนั้นเป็นลูกชายของมู่เฟิงจริงหรือ?’


ตอนแรกพวกเขาคิดว่าอีกฝ่ายก็เป็นแค่พวกอวดดี แต่ใครจะคิดว่าเขาจะเป็นจอมยุทธ์ที่น่าสะพรึงกลัวไปได้!


หลังจากจัดการกับผู้อาวุโสชุดดำ สายตาราบเรียบของมู่เฉินก็มองไปที่ราชันไป่หลิงที่มีใบหน้าเขียวคล้ำ เขายิ้มก่อนที่จะพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ในสายตาข้า แกมันขยะบูดของแท้”

 

 

 


บทที่ 1441 ไปหาตัวช่วย

 

เสียงหัวเราะของมู่เฉินดังก้องไปทั่ววัง


แต่ไม่มีใครคิดว่านี่เป็นเรื่องตลกเลย ทุกคนตัวสั่นเทิ้ม ต่างแอบบ่นอย่างขมขื่น ดูเหมือนว่าครั้งนี้พวกเขาจะมองพลาดไป ชายหนุ่มรูปงามคนนี้ไม่ใช่ลูกวัวแต่เป็นพยัคฆ์ร้าย


ดูจากการที่มู่เฉินสามารถทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มร่อแร่ได้ ต่อให้โง่กว่านี้พวกเขาก็เดาได้ว่ามู่เฉินจะต้องเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนแน่นอน


แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยเห็นจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนที่อายุน้อยเช่นนี้มาก่อน!


‘เทพเจ้าสู้กัน แต่เป็นชาวโลกที่เสียหาย’ พวกเขาไม่กล้าที่จะออกเสียงแม้แต่น้อย ไม่ว่ามู่เฉินหรือภูมิหลังที่น่ากลัวของราชันไป่หลิงก็เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่อาจเข้าถึงได้ ทั้งสองคล้ายกับเทพเซียนที่กำหนดชะตาชีวิตของพวกเขา


ดังนั้นพวกเขาได้แต่หลบหนีด้วยความกลัวเมื่อเทพเซียนต่อสู้กัน


ขณะที่ทุกคนที่นี่กำลังหวาดกลัว คนจากพันธมิตรเป่ยหลิงก็ตกตะลึงไปกับฉากนี้ มากจนกระทั่งถังเชียนเอ๋อก็ยังอ้าปากเหวอด้วยความตกใจ


พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มจะเหมือนตุ๊กตาในมือของมู่เฉิน


จอมยุทธ์ชั้นสูงของพันธมิตรเป่ยหลิงก็คือเหล่าเจ้าเขตต่างๆ ในมณฑลเป่ยหลิง พวกเขาจึงคุ้นเคยกับมู่เฉินดี ย้อนกลับไปมู่เฉินยังเป็นเด็กหนุ่มอ่อนเยาว์ตอนที่จากไป แต่ใครจะคาดคิดว่าเด็กหนุ่มจะไปไกลเกินเอื้อมเมื่อกลับมาครั้งนี้?


ราชันไป่หลิงสีหน้าเขียวคล้ำลงในความเงียบนี้พร้อมกับความตกใจในดวงตา ทว่าเขาไม่ได้มีท่าทีตื่นตูมเหมือนคนอื่นๆ


อย่างไรก็ตามบิดามารดาของเขาก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเช่นกัน


ดังนั้นเขาจึงรู้สึกโกรธมากที่มู่เฉินดูถูก เขาเค้นเสียงโต้ “ช่างยิ่งใหญ่จริง! เจ้าทำร้ายผู้คุ้มกันข้าซึ่งเป็นผู้อาวุโสของตำหนักปลายเหนือ เจ้าคิดท้าทายตำหนักปลายเหนือเรอะ?”


มู่เฉินยิ้มอ่อน “ตำหนักปลายเหนือ? ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน”


ราชันไป่หลิงเยาะเย้ย “บิดาข้าเป็นประมุขตำหนักปลายเหนือและเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน!”


ขณะที่เขาพูดในประโยคก็มีร่องรอยความภาคภูมิใจ แม้ว่าเขาจะไม่รู้เกี่ยวกับภูมิหลังของมู่เฉิน แต่เขาก็เดาได้ว่าไอ้บ้าคนนี้เป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงเท่านั้น


แม้ว่าราชันไป่หลิงจะเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นซึ่งมีช่องว่างขนาดใหญ่ห่างจากยอดยุทธ์ของมหาพันภพ แต่เขาก็รู้ว่าระดับเทียนจื้อจุนถูกแยกขั้นจากพลังของบิดามารดา เบื้องหน้าระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียน พวกขั้นหลิงก็ไม่นับว่าเป็นตัวอะไร


ด้วยเหตุนี้ แม้เขาจะรู้ว่ามู่เฉินเป็นเทียนจื้อจุน แต่ก็ไม่ได้กลัว


“จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนทรงพลังจริง” มู่เฉินพยักหน้าก่อนที่จะพูดต่อ “แต่แกก็ยังคงเป็นขยะบูดอยู่ดี”


ทันใดนั้นรอยยิ้มเย้ยหยันบนใบหน้าของราชันไป่หลิงก็แข็งค้าง พนักเก้าอี้ก็ถูกบีบจนแตก เขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะผยอง แม้จะรู้ว่าบิดาของเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน อีกฝ่ายก็ไม่มีท่าทีลดราวาศอก


ผู้อาวุโสในชุดดำอีกคนก็ก้าวออกมาอยู่ข้างราชันไป่หลิงพลางประสานมือให้ “ท่านจอมยุทธ์ เจ้าทำให้ผู้อาวุโสของตำหนักปลายเหนือหมดสภาพก็น่าจะได้ว่าระบายความโกรธแล้ว ทำไมต้องทำเรื่องไม่พอใจกับตำหนักปลายเหนือด้วย?”


“ถ้าเจ้ายอมถอยสักก้าว ตำหนักปลายเหนือจะไม่ติดตามเอาผิดเรื่องนี้อย่างแน่นอน”


ในฐานะผู้อาวุโสตำหนักปลายเหนือ เขารู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน แม้ว่าราชันไป่หลิงจะมีการสนับสนุนที่ทรงพลัง แต่พวกเขาก็คงตายที่นี่หากไปยั่วยุอีกฝ่าย


ดังนั้นแม้ว่าบิดาของราชันไป่หลิงจะมาแก้แค้นให้ พวกเขาก็ลงไปปรโลกแล้วในตอนนั้น


“หึ ผู้อาวุโสหลู่ไม่จำเป็นต้องกลัวมัน! ข้าจะดูว่ามันกล้าทำยังไงกับข้าในวันนี้ แม้ว่ามันจะฆ่าข้า แต่ท่านพ่อก็จะทำให้มันตายตกตามกันไป การที่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสังเวยชีวิตตามข้าไปยมโลก ก็ไม่เสียชาติเกิดแล้ว!”


เมื่อเห็นผู้อาวุโสหลู่พยายามทำให้สิ่งต่างๆ สงบลง ราชันไป่หลิงก็เยาะเย้ยขณะจ้องมองไปที่มู่เฉินอย่างดุร้ายพลางท้าทายด้วยสายตา


ตลอดหลายปีที่ผ่านมาไม่มีใครกล้าต่อต้านเขาเพราะมีบิดามารดาให้ท้าย ทว่าเขากลับถูกกล่าวว่าเป็นขยะในวันนี้ ซึ่งทำให้เขาโกรธมาก ในเวลาเดียวกันเขาก็ไม่กลัวที่มู่เฉินจะฆ่าเขา


“ดูเหมือนแกจะไม่กลัวว่าข้าจะฆ่าแกจริงๆ” มู่เฉินโยนถ้วยเล่นพลางยิ้มไม่แยแส


น้ำเสียงบรรจุเจตนาฆ่าหนาวเหน็บซึ่งทำให้ทั้งวังตกลงไปในจุดเยือกแข็ง ทุกคนตัวสั่นจากความหนาวเย็นขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยความกลัว ‘ชายคนนี้คงไม่ฆ่าราชันไป่หลิงจริงๆ ใช่ไหม?’


หากราชันไป่หลิงจบชีวิตที่นี่จริงๆ ตำหนักปลายเหนือและสำนักร้อยบุปผาอาจเอาเลือดล้างทั้งทวีปไป่หลิงก็ได้!


“ไอ้หนู”


มู่เฟิงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น เขาไม่กลัวราชันไป่หลิง แต่เขากังวลว่ามู่เฉินอาจจะฆ่าอีกฝ่าย หากเป็นเช่นนั้นบิดามารดาของราชันไป่หลิงคงตามแก้แค้นมู่เฉินแน่


แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่ามู่เฉินแข็งแกร่งขึ้นเพียงใด แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสองคนก็น่ากลัวยิ่งกว่าอะไร


ดังนั้นเขาจึงยอมถอยไม่อยากให้มู่เฉินไปเสี่ยง


จอมยุทธ์ชั้นสูงของพันธมิตรเป่ยหลิงก็รู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน เมื่อดำเนินมาถึงขั้นนี้พวกเขาก็ไม่สามารถเข้าไปยุ่งในเรื่องนี้ได้ แต่พวกเขารู้ดีว่าหากราชันไป่หลิงจบชีวิตที่นี่ มณฑลเป่ยหลิงอาจต้องจมลงในความโกรธของผู้ปกครองของราชันลูกแง่คนนี้


แม้ว่ามู่เฉินจะทรงพลัง แต่ก็คงไม่สามารถจัดการกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนถึงสองคนหรอกมั้ง? นอกจากนี้หนึ่งในนั้นยังเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนในตำนานอีกด้วย


“มู่เฉิน” ถังเชียนเอ๋อดึงแขนเสื้อมู่เฉิน แม้ว่าราชันไป่หลิงจะน่ารังเกียจแต่ก็มีภูมิหลังที่ทรงพลัง ดังนั้นจึงไม่ดีที่จะฉีกหน้ากันอย่างเต็มที่


เมื่อมู่เฉินเห็นก็หันไปยิ้มให้พวกเขา “เชื่อข้า ข้าจะจัดการให้เรียบร้อยเอง”


เมื่อเห็นรอยยิ้มของมู่เฉิน มู่เฟิงก็ไม่พูดอีกต่อไป เขาเข้าใจลูกชายดี มู่เฉินไม่ใช่คนบุ่มบ่ามและต้องมั่นใจในการทำเช่นนี้


แม้แต่ถังเชียนเอ๋อก็ยังผงกหัวหลังจากลังเลชั่วครู่


ราชันไป่หลิงสังเกตเห็นมู่เฉินปลอบใจมู่เฟิงและถังเชียนเอ๋อ ความลังเลของมู่เฟิงและถังเฉียนเอ๋อทำให้เขาเข้าใจว่าการคุกคามของตนมีประโยชน์ รอยยิ้มของเขากลายเป็นหยิ่งผยองทันที


‘ต่อให้แกเป็นจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนแล้วยังไง? ต่อหน้าพ่อแม่ข้า แกก็ต้องก้มหน้าให้!’


“ดูเหมือนแกจะเชื่อมั่นพ่อแม่มากนะ”


เสียงมู่เฉินดังก้องขณะที่ยิ้มอ่อน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะให้โอกาสเจ้าเรียกพ่อแม่มาที่นี่… ข้าอยากเห็นว่าใครสามารถช่วยเจ้าได้ในวันนี้”


เมื่อได้ยินคำพูดนั่น ม่านตาของราชันไป่หลิงก็เย็นเยือกลงขณะมองไปที่มู่เฉิน


“ท่านจอมยุทธ์!” ผู้อาวุโสหลู่ร้องลั่น


ทว่ามู่เฉินไม่ได้สนใจคำเรียกนั่น เขาหันมาหา “ข้าให้เวลาเจ้าครึ่งวัน ไปหาคนที่ช่วยมันได้มาให้หมด”


ทันใดนั้นเสียงของเขาก็หยุดลงก่อนที่จะเหยียดนิ้วชี้ไปยังราชันไป่หลิง


ปัง!


แขนของราชันไป่หลิงถูกเฉือนออกพร้อมกับเลือดสดสาดกระเซ็น มู่เฉินไม่สนใจเสียงกรีดร้องของราชันไป่หลิงพลางโบกมือส่งแขนข้างนั้นไปให้ผู้อาวุโสหลู่


“เอาติดตัวไปด้วย ไม่งั้นพวกเขาจะคิดว่าข้าล้อเล่น”


มองไปที่ราชันไป่หลิงที่กุมไหล่ไร้แขนขณะส่งเสียงกรีดร้อง ทุกคนก็รู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด พวกเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะเหี้ยมขนาดนี้ ดูเหมือนว่าเขาอยากจะฉีกหน้าบิดามารดาของราชันไป่หลิงจริงๆ


ผู้อาวุโสหลู่ตกใจขณะรับแขนนั้นไว้


“ผู้อาวุโสหลู่รีบไป! ไป! ตามท่านพ่อท่านแม่มา ข้าต้องการให้ไอ้สวะนี่ทรมาน! ข้าจะฆ่ามันทั้งโคตรให้ได้!” ราชันไป่หลิงจับบาดแผลไว้แล้วคำรามด้วยสายตาดุร้าย


มู่เฉินขมวดคิ้วชี้นิ้วออกไป แขนอีกข้างหนึ่งของราชันไป่หลิงก็ระเบิดออก


“งั้นเอาไปสองข้างเลย” มู่เฉินโยนแขนอีกข้างให้ผู้อาวุโสหลู่พร้อมกับกระตุกยิ้ม ทว่ารอยยิ้มนั่นทำให้อีกฝ่ายขนลุกชันไปหมด


ผู้อาวุโสในชุดดำจับแขนสองข้างกัดฟันพูดกับมู่เฉินว่า “เจ้ามีปัญหาแน่! แล้วเจ้าจะเสียใจ!”


ขณะพูดจบก็ไม่กล้าที่จะอยู่ต่อ ร่างกลายเป็นลำแสงพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้ามุ่งหน้าไปยังค่ายกลเคลื่อนย้าย


เมื่อผู้อาวุโสหลู่จากไปบรรยากาศในโถงก็เริ่มอึดอัด แม้ว่าราชันไป่หลิงจะถูกตัดไปสองแขน แต่เขาก็ยังคงมองไปที่มู่เฉินอย่างอาฆาตมาดร้าย ชัดว่ากำลังรอการมาถึงของบิดามารดา


ในเวลานั้นเขาจะฉีกแขนขาทั้งครอบครัวของมู่เฉินต่อหน้าและปล่อยให้พวกมันทรมานจนตาย


แม้บรรยากาศในโถงจะอึดอัด มู่เฉินก็ไม่ใส่ใจ เขาหันไปหามู่เฟิงยิ้มเผล่ “ท่านพ่อข้าพาบางคนมาหาแน่ะ”


ตอนนี้มู่เฟิงคิดแต่ว่าจะทำอย่างไรดีเมื่อบิดามารดาของราชันไป่หลิงมา ด้วยเหตุนี้เขาจึงตอบกลับอย่างไม่พอใจ “จะพาใครมาข้าก็ไม่สนใจ”


เมื่อได้ยินคำพูดนั่นท่าทางของมู่เฉินก็แปลกไปราวกับว่ากำลังเยาะเย้ย


ขณะที่มู่เฟิงกำลังสงสัยเกี่ยวกับท่าทางของมู่เฉิน เสียงพลิ้วหวานก็ดังก้องก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงเอ่ยถามอย่างไม่พอใจ “โอ้? ไม่สนใจแม้กระทั่งข้าเหรอ?”


เมื่อเสียงนั้นดังขึ้น ทุกคนก็หันไปมองทางประตู มองเห็นร่างเงาย่างกรายตรงไปยังมู่เฟิง


เพล้ง


เมื่อมองไปที่ภาพเงานั้น ดวงตาของมู่เฟิงก็เบิกกว้าง ถ้วยชาในมือหลุดตกลงไปบนพื้น แตกเป็นเสี่ยงๆ

 

 

 


บทที่ 1442 สามีภรรยาพบหน้า

 

ถ้วยแตกกระจายบนพื้น


มู่เฟิงมองภาพเงาที่เยื้องย่างเข้ามาด้วยความไม่อยากเชื่อ ภาพเงานั้นตราตรึงอยู่ในหัวใจทุกเมื่อเชื่อวัน แม้จะแยกจากกันไปเนิ่นนาน


ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้มหรือใบหน้าบึ้งตึงของภาพเงานั้นก็ทำให้หัวใจของเขาสะท้านไหว…


ย้อนไปในอดีตเพื่อปกป้องลูกน้อย ชิงเหยี่ยนจิ้งตัดใจจากลาไป ดังนั้นจินตนาการได้เลยว่ามู่เฟิงจะต้องทนทุกข์ทรมานแค่ไหนในช่วงเวลาที่ผ่านมา ด้านหนึ่งคือฮูหยินที่รักสุดหัวใจ อีกด้านหนึ่งก็คือลูกน้อยของเราสองคน


ยี่สิบกว่าปีที่เลี้ยงดูมู่เฉิน เขาอยู่อย่างโดดเดี่ยวมาก เขาคิดถึงร่างที่สถิตในดวงใจแทบตลอดเวลา ทว่าเขารู้ถึงความยากที่เราสองคนจะได้พบกัน ดังนั้นเขาจึงไม่แสดงอารมณ์เหล่านั้นต่อหน้ามู่เฉิน แม้ว่าจะปรารถนาในใจก็ตาม…


ตอนที่มู่เฉินออกจากมณฑลเป่ยหลิง เขาเคยสัญญาว่าจะพาชิงเหยี่ยนจิ้งกลับมา แต่ในเวลานั้นมู่เฟิงไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะรู้ซึ้งถึงความยากลำบากที่จะบรรลุ


ดังนั้นเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่ามู่เฉินจะพานางกลับมาจริงๆ…


“ชิง…”


เมื่อมองไปที่ภาพเงานั้นเสียงของมู่เฟิงก็เริ่มสั่นเครือ


ภาพเงานั้นยืนอยู่เบื้องหน้ามู่เฟิงมองใบหน้าที่สูงวัยยิ่งกว่าในอดีต แม้แต่ดวงตานางก็อดคลอไปด้วยหยาดน้ำตาไม่ได้


ตอนนั้นนางหลงทางจนมาถึงมณฑลเป่ยหลิง เนื่องจากอาการบาดเจ็บทำให้แทบจะกลายเป็นคนที่ไร้พลังใดๆ ถึงแม้จะมีขุมพลังของนางอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่เพนสะอาการบาดเจ็บ ทำให้คลื่นหลิงที่กระจายออกจากร่างกายควบคุมไม่ได้เหมือนคนไร้พลัง ทำให้ดึงดูดเหล่าสัตว์อสูรทั้งหมดในป่าคิดจะกินนางเป็นอาหาร…


ตอนที่ตกอยู่ในความสิ้นหวังนางได้พบกับมู่เฟิง ชายคนนี้อ่อนแอในสายตานางนัก แต่กลับแบกนางขึ้นบนหลังโดยไม่ลังเลใดๆ จากนั้นพานางรอดพ้นจากการถูกห้อมล้อมของสัตว์อสูร


แม้จะมีบาดแผลมากมาย แต่เขาก็ไม่คิดปล่อยนางลง…


แม้ว่าการกระทำของเขาจะดูบ้าและโง่ในสายตาของนาง แต่ก็สร้างความประทับใจตราตรึงยิ่งนัก นางเคยได้พบกับอัจฉริยะมากมาย แต่เป็นเรื่องธรรมดาในหมู่พวกเขาที่จะทิ้งเพื่อนร่วมทางและหลบหนีเมื่อตกอยู่ในอันตราย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่นางจะเห็นคนที่ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยชีวิตคนที่พวกเขาพบเป็นครั้งแรก…


“เจ้าเริ่มแก่แล้ว” มือชิงเหยี่ยนจิ้งแตะเบาๆ ที่แก้มของมู่เฟิงที่เต็มไปด้วยตอเคราสั้นๆ


มู่เฟิงเกาหัว “แต่เจ้ายังงดงามเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลงเลย”


“เจ้าเพิ่งบอกว่าไม่สนข้าไม่ใช่เหรอ?” ชิงเหยี่ยนจิ้งยิ้ม แม้แต่หญิงสาวอ่อนโยนก็ไม่ง่ายที่จะจัดการต่อหน้าคนรัก


ทันใดนั้นมู่เฟิงก็ปวดหัวจี๊ดพลางถลึงตาใส่มู่เฉินที่ยิ้มดูอยู่ข้างๆ “เป็นความผิดของไอ้ลูกคนนี้!”


ชิงเหยี่ยนจิ้งหัวเราะ นางรู้ว่ามู่เฟิงไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้จริงๆ นางเอื้อมไปจับมือหยาบกระด้างของมู่เฟิงตอบว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะเฉินเอ๋อ ข้าคงยังกลับมาไม่ได้”


“เจ้าเลี้ยงลูกของเราได้ดีเหลือเกิน ไม่ได้ทำให้ความไว้วางใจของข้าพังทลายลง”


มู่เฟิงถอนหายใจ เขายังรู้สึกอึ้งที่ลูกชายตนเองมีความสามารถเช่นนี้ แต่ในเวลานี้เขาไม่สามารถเปิดเผยเรื่องนี้กับภรรยาได้ จึงกระแอมไอแก้เขิน “แม้ว่าข้าจะสอนดี แต่ไอ้หนูนี่ก็มีความสามารถ ไม่ได้ทำให้คำสอนของข้าไร้ประโยชน์”


ที่ด้านข้างมู่เฉินอดไม่ได้ที่จะกลอกตามองบน


ทว่าตอนนี้เองมู่เฟิงก็ออกจากอารมณ์ดีใจเพราะนี่ไม่ใช่สถานที่เหมาะสม ทุกคนพากันจ้องมองมาที่พวกเขา


ใบหน้าของมู่เฟิงเห่อแดงจากสายตาที่จ้องมองมา เขาพูดกับชิงเหยี่ยนจิ้งอย่างขมขื่น “เฮ้อ ชิงน้อย เจ้าเด็กนี่อยู่นิ่งไม่ได้เลย สร้างปัญหาไปทั่ว”


แม้กระทั่งตอนนี้เขาก็รู้สึกหวาดกลัว จะเกิดอะไรขึ้นถ้าบิดามารดาของราชันไป่หลิงมา? พวกเขาจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร? หากสถานการณ์ดูท่าไม่ดี ดูเหมือนว่าเขาจะต้องให้มู่เฉินพาชิงเหยี่ยนจิ้งหลบหนีไป


ชิงเหยี่ยนจิ้งตอบด้วยรอยยิ้ม “เฉินเอ๋อรู้ขีดจำกัดของตัวเองดี ปล่อยให้เขาจัดการเรื่องนี้เถอะ”


หลังจากที่พูดนางก็หันไปหาถังเชียนเอ๋อและยิ้ม “เจ้าคือเชียนเอ๋อใช่ไหม?”


ดวงตาของถังเชียนเอ๋อเบิกกว้างเมื่อมองไปที่ชิงเหยี่ยนจิ้ง นางไม่เคยพบมารดาของมู่เฉิน เมื่อได้ยินอีกฝ่ายถาม นางก็พยักหน้าอย่างเหม่อลอย


จากนั้นนางก็หันไปหามู่เฉิน เพราะไม่รู้ว่าจะพูดเรียกมารดาเขาอย่างไร


“แม่ข้าชื่อชิงเหยี่ยนจิ้ง” มู่เฉินยิ้ม


“ท่านป้าจิ้ง” ถังเชียนเอ๋อเรียกอย่างเชื่อฟัง


รอยยิ้มอ่อนโยนกระจายออกมาบนริมฝีปากของชิงเหยี่ยนจิ้ง “ข้าได้ยินมาว่าเจ้ากับเฉินเอ๋อโตมาด้วยกัน ในเมื่อเจ้าเรียกข้าว่าป้าจิ้ง งั้นข้าจะให้ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ สักหน่อย”


ขณะที่พูดก็หยิบจี้ผลึกแก้วใสที่มีเข็มทิศหกเหลี่ยมสลักด้วยลวดลายลึกซึ้ง


“ขอบคุณท่านป้าจิ้ง” ถังเชียนเอ๋อรับไปด้วยความสุขบนใบหน้า


ทว่าตัวนางเพียงรู้สึกเพียงว่าจี้นี้สวยงามดี มีเพียงมู่เฉินเท่านั้นที่สัมผัสได้ว่ามีค่ายกลระดับจงซือผนึกอยู่ภายใน ในเวลาอันตรายจะสามารถป้องกันการโจมตีของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงได้เลยทีเดียว


นี่เป็นยันต์ป้องกันชัดเจน


ตอนนั้นเองหลิงซีและหลงเซี่ยงก็ตามเข้ามา โดยเฉพาะเมื่อหลงเซี่ยงเข้ามาหลายคนก็หันมามองทันที


แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถบอกระดับของมู่เฉินได้ แต่พวกเขาสัมผัสแรงกดดันของหลงเซี่ยงได้ว่านี่คือจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ซึ่งไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้คุ้มกันสองคนของราชันไป่หลิงเลย


“นี่หลิงซี นางติดตามข้าตั้งแต่เด็ก ข้านับนางเป็นลูกสาวคนหนึ่ง” ชิงเหยี่ยนจิ้งดึงหลิงซีเข้ามาหาแนะนำให้มู่เฟิง


หลิงซีรู้สึกทำตัวไม่ถูกขณะมองไปที่มู่เฟิงและทำตามอย่างเชื่อฟัง “หลิงซีทักทายท่านน้ามู่”


ทันใดนั้นมู่เฟิงก็หัวเราะเบาๆ ขณะมองหลิงซีด้วยสายตาอ่อนโยน “ดี ดี ลูกสาวดีกว่าไอ้เด็กบ้านี่ที่ชอบรอดูเรื่องตลกของพ่อ”


เมื่อได้ยินคำพูดของเขาหลิงซีก็ยิ้ม


“นายท่าน ข้าเป็นผู้คุ้มกันของนายหญิง หลงเซี่ยงขอรับ” หลงเซี่ยงโค้งคำนับต่อมู่เฟิงด้วยมารยาท


เมื่อมู่เฟิงเห็นสิ่งนี้ ก็รีบตอบกลับหลงเซี่ยงด้วยมารยาททันที นี่คือจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แม้แต่ในทวีปไป่หลิงก็เป็นผู้เชี่ยวชาญที่แม้แต่ราชันไป่หลิงยังต้องไว้หน้า ดังนั้นเขาจึงประหม่าเมื่อจอมยุทธ์ระดับดังกล่าวแสดงความเคารพต่อเขา


เพื่อเบี่ยงเบนบรรยากาศที่น่าอึดอัด มู่เฟิงแนะนำสหายพันธมิตรเป่ยหลิงให้ชิงเหยี่ยนจิ้งรู้จักทันที ซึ่งนางก็ยิ้มตอบกับทุกคน


เมื่อมู่เฉินเห็นสิ่งนี้ก็แอบยิ้มไม่ได้ ถ้าคนเหล่านี้รู้ว่ามารดาของเขาเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่ง พวกเขาคงไม่มีความกล้าแม้แต่จะเปิดปากพูดกับนาง…


ในขณะที่มู่เฉินและพรรคพวกกำลังสนุกกับการสนทนากัน ทุกคนในห้องโถงก็ยังคงเงียบ ไม่มีใครกล้ารบกวน ขณะเดียวกันก็ไม่มีใครกล้าลุกขึ้นมาทักทายพวกเขา


เพราะเมื่อไรที่บิดามารดาของราชันไป่หลิงมาถึงก็จะเกิดการต่อสู้สะเทือนฟ้าดินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในตอนนั้นถ้ามู่เฉินไม่สามารถเผชิญหน้าได้ วันนี้จะจบลงด้วยโศกนาฏกรรม…


แล้วใครจะกล้าพูดคุยกับพันธมิตรเป่ยหลิงตอนนี้กันล่ะ?


ราชันไป่หลิงมองไปมู่เฉินอย่างโหดเหี้ยมและคำรามในใจ ‘สนุกกันให้พอเถอะ เมื่อไรที่พ่อแม่ข้ามาถึง พวกแกจะไม่มีเวลากระทั่งร้องไห้!’


แต่มู่เฉินก็ไม่ได้ใส่ใจกับสายตาร้ายกาจนั่น ที่เขาให้ไปเรียกคนมาช่วยของราชันไป่หลิงมาก็เพราะต้องการจัดการกับเรื่องนี้ทีเดียวในวันนี้


การรวมมณฑลเป่ยหลิงเป็นงานหนักของมู่เฟิง แม้ว่าจะไม่มีอะไรในสายตาของมู่เฉิน แต่ก็มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับบิดาของเขา


ดังนั้นเขาจะต้องจัดการกับเรื่องนี้ให้เด็ดขาดเพื่อความสงบสุขของมู่เฟิงและพันธมิตรเป่ยหลิง…


ไม่ว่าจะเป็นราชันไป่หลิงหรือประมุขตำหนักปลายเหนือ พวกเขาล้วนเป็นตัวอันตราย หากเขาไม่สามารถจัดการได้อย่างเหมาะสม


ด้วยความคิดนี้มู่เฉินจึงนั่งลงด้านข้างอย่างเงียบๆ และรอ


เวลาค่อยๆ ผ่านไป ทุกคนเริ่มกระวนกระวายใจ พวกเขารู้สึกว่าพายุใกล้เข้ามาแล้ว


เมื่อตะวันเลื่อนตกลง แสงสีแดงเข้มก็ส่องไปทั่วทั้งเมืองไป่หลิง…


ฮึ่ม


ทันใดนั้นมู่เฉินก็ลืมตาขึ้น เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังที่มาจากค่ายกลเคลื่อนย้าย


“ในที่สุดก็มาถึงแล้ว” มู่เฉินเอ่ยเสียงเบา


พริบตาคลื่นหลิงทรงพลังก็กวาดล้างออกไปทั่วภูมิภาค ทุกคนในเมืองไป่หลิงตัวสั่นสะท้านจากแรงกดดัน


เมื่อความกดดันปรากฏขึ้น ห้วงมิติก็บิดตัวบนท้องฟ้าของวังแห่งนี้


ตู้ม!


ห้องโถงสั่นสะเทือน จากนั้นทุกคนก็ตกตะลึงเมื่อเห็นหลังคาของโถงถูกพัดออกไปขณะที่คลื่นหลิงน่ากลัวบีบลง ในเวลาเดียวกันเสียงของผู้หญิงที่เต็มไปด้วยรังสีสังหารก็ดังก้อง


“ไอ้โง่หน้าไหนกล้าตัดแขนลูกข้า! ไสหัวออกมา!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)