หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1433-1436
บทที่ 1433 การปะทะกันของระดับเซิ่ง
เมื่อชิงเหยี่ยนจิ้งพูดจบ
สายตาก็จ้องมองไปที่ฝูถูเฉวียนอย่างเย็นชา
“ผู้อาวุโสใหญ่ช่างน่าประทับใจรังแกแม้กระทั่งลูกหลาน” เสียงเย็นเยือกของชิงเหยี่ยนจิ้งดังก้อง
ฝูถูเฉวียนแสดงออกเย็นชาพลางตะคอก “ลูกหลาน? เผ่าฝูถูของข้าไม่มีลูกหลานหยิ่งผยองเช่นนี้ ถ้าข้าไม่ออกโรงเองวันนี้ ข้ากลัวว่าลูกชายเจ้าจะพลิกทั้งเผ่าจนไม่เหลือซาก!”
ทว่าชิงเหยี่ยนจิ้งก็แสดงสีหน้าเย็นชาใส่เช่นกัน “คิดว่าข้าไม่รู้ว่าพวกท่านเป็นคนยังไงเรอะ? ที่เฉินเอ๋อทำเช่นนี้ก็เพราะถูกบีบบังคับจากพวกเจ้านั่นแหละ”
เมื่อฝูถูเฉวียนได้ยินคำพูดเหล่านั้น ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความโกรธตะคอกออกมาว่า “ชิงเหยี่ยนจิ้ง เจ้ากล้าดียังไง! ไสหัวไปซะ ข้าจะจับและสำเร็จโทษไอ้กาลกิณีเพราะกล้าเข้ายุ่งในเผ่าฝูถูของข้า!”
“ที่ผ่านมาข้าอดทนอดกลั้นเพื่อปกป้องเฉินเอ๋อ ตอนนี้พวกท่านท้าทายจุดเดือดของข้าครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วข้าจะยอมให้แตะต้องลูกชายต่อหน้าข้าได้อย่างไร!” ชิงเหยี่ยนจิ้งขมวดคิ้วขณะคำราม
ตอนนี้นางไม่ได้มีรูปลักษณ์อบอุ่นอีกแล้ว ท่าทางถูกแทนที่ด้วยไอเยือกเย็นทำให้หลายคนในเผ่าฝูถูรู้สึกหวาดกลัว เนื่องจากพวกเขาไม่เคยเห็นชิงเหยี่ยนจิ้งเกรี้ยวกราดโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อหน้าผู้อาวุโสใหญ่
เห็นได้ชัดว่าแม้แต่ผู้หญิงอ่อนโยนที่สุดก็ยังกลายเป็นเสือร้ายเพื่อลูก
“ชิงเหยี่ยนจิ้ง!”
ฝูถูเฉวียนแผดเสียงลั่น เขาไม่คิดมาก่อนว่าวันนี้ชิงเหยี่ยนจิ้งจะไม่ยอมแพ้ นางไม่แม้กระทั่งไว้หน้าเขา
“ในเมื่อเจ้ายืนกรานจะรั้นต่อ ข้าก็จะจับทั้งแม่ลูกไปด้วยกันเลย!”
ฝูถูเฉวียนตะเบ็งเสียงลั่น ในฐานะผู้มีอำนาจในเผ่าฝูถู เขาถือว่ากฎเผ่าเปรียบดังกฎสวรรค์ ทว่าการกระทำของชิงเหยี่ยนจิ้งกลับไม่สนใจกฎใดๆ แล้วเขาจะทนได้อย่างไร?
ตู้ม!
พร้อมกับเสียง รัศมีก็ระเบิดออกมาก่อร่างเป็นกงล้อสีดำขาวขนาดใหญ่ แผ่ซ่านด้วยพลังทำลายล้างขณะที่หมุนคว้าง
ในขณะนี้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งได้ปลดปล่อยพลังโดยไม่รั้งรอแล้ว
แรงกดดันจากความโกรธของเขาห่อหุ้มสวรรค์และโลกในทันที ทำให้จอมยุทธ์เทียนจื้อจุนบางคนรู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบจากแรงกดดัน ประหนึ่งภูเขากดทับร่างกายของพวกเขาทำให้หนักอึ้ง
“หึ ข้าก็อดทนกับเรื่องนี้มามากพอแล้ว วันนี้ข้าขอคำชี้แนะจากผู้อาวุโสใหญ่เป็นการส่วนตัวหน่อย!”
ชิงเหยี่ยนจิ้งไม่ได้ถอยจากความโกรธเกรี้ยวของฝูถูเฉวียน แต่กลับก้าวออกไป นางก้าวเท้าออกจากขอบเขตของค่ายกลพิทักษ์ทันที เห็นได้ชัดว่านางไม่คิดเกี่ยวกับการยืมพลังของค่ายกลพิทักษ์
ในขณะที่นางก้าวออกไปทั้งมิติก็มืดลง สัญลักษณ์หลิงยิ่งจำนวนมากวูบวาบราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า
ครืน!
ฝูถูเฉวียนกระทืบเท้าทำให้พื้นสั่นสะเทือน กงล้อสีดำขาวที่อยู่ใต้เท้าก็หดตัวลงอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะมีขนาดเล็ก แต่สีที่ควบแน่นบนกงล้อก็น่าสะพรึงกลัวนัก มากจนกระทั่งแสงน้อยนิดยังสามารถทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนธรรมดารู้สึกหวาดกลัวเลยทีเดียว
วาบ!
เขาโบกมือกงล้อสีดำขาวก็พุ่งออกมา เมื่อหมุนไปรอยแตกก็ปรากฏขึ้นในมิติโดยรอบ ความคมชัดเป็นสิ่งที่แม้แต่มังกรก็ไม่กล้าที่จะเผชิญหน้า
ชิงเหยี่ยนจิ้งวาดตราประทับขึ้นอย่างรวดเร็ว สัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนบินฉวัดเฉวียนออกมา ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจก็เชื่อมต่อกลายเป็นค่ายกลนับพันระหว่างสวรรค์และโลก
ตู้ม ตู้ม!
เมื่อกงล้อสีดำขาวเข้าสู่ค่ายกลเหล่านี้ก็ฉีกทุกอย่างอย่างรวดเร็ว ถึงกระนั้นเมื่อพุ่งผ่านค่ายกลนับพันพลังก็หมดลงอย่างรวดเร็วก่อนที่จะหายไป
แม้ว่าการเผชิญหน้าของพวกเขาจะดูน่าตื่นตา แต่ความผันผวนที่คลุมเครือซึ่งเล็ดลอดออกมาทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนหลายคนสั่นสะท้าน หากการดวลนี้เกิดขึ้นโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ทั้งสองอาจจะทำลายมิติฝูถูทั้งหมดก็เป็นได้…
“ต้องขอบคุณผู้อาวุโสใหญ่ที่ช่วยข้าให้บรรลุหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่งได้ ดังนั้นวันนี้ข้าจะขอให้ผู้อาวุโสใหญ่เป็นคนทดสอบพลังค่ายกลระดับต้าจงซือขั้นเซิ่งของข้าซะหน่อย!”
ชิงเหยี่ยนจิ้งเปล่งเสียงเย็นชา อึดใจต่อมาสัญลักษณ์หลิงยิ่งจำนวนมากก็หลอมรวมกันในมิติ ค่ายกลเริ่มกระจายออกไป ในช่วงเวลาสั้นๆ ก็ห่อหุ้มทั้งสวรรค์และโลกไว้ทั้งหมด
แม้ว่าค่ายกลจะมีขอบเขตกว้าง แต่ก็ห่อหุ้มฝูถูเฉวียนไว้เท่านั้น แม้ว่าส่วนที่เหลือจะอยู่ภายในขอบเขตด้วย แต่พวกเขาก็เหมือนอยู่ในอีกโลกหนึ่งภายในค่ายกล
ค่ายกลขนาดใหญ่นี้ดูเหมือนเป็นโลกขนาดมหึมา ไม่มีใครสามารถหลบหนีได้เว้นแต่ค่ายกลจะแตกสลาย
ทุกคนเบิกตากว้างเมื่อมองไปที่ค่ายกล เป็นเรื่องยากที่จะได้เห็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งออกโรง ส่วนหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่งก็หาดูยากยิ่งกว่าอีก
วันนี้การเดินทางของพวกเขาไม่สูญเปล่าที่จะได้เห็นยอดยุทธ์สองคนประลองกัน
ฝูถูเฉวียนยืนอยู่ในค่ายกลมีท่าทางเคร่งขรึมลงหลายส่วน กระทั่งคนอย่างเขายังไม่กล้าดูถูกค่ายกลระดับต้าจงซือขั้นเซิ่งเลย
ฮึ่ม ฮึ่ม
ขณะที่ดวงตาฝูถูเฉวียนตั้งมั่น รัศมีก็ระเบิดออกจากภายในโลกของค่ายกล ดวงอาทิตย์เก้าดวงก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ
ดูเหมือนว่าจะมีอีกาทองคำโบราณเก้าตัวอยู่ในดวงอาทิตย์ พวกมันเปล่งเสียงร้องและพ่นไฟออกจากปากทำให้อุณหภูมิพุ่งสูง โลกค่ายกลก็ละลายจากอุณหภูมินี้ ความร้อนนี้สามารถทำให้ร่างกายของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงละลายได้เลยทีเดียว
กีด!
ทันใดนั้นเสียงร้องแหลมก็ดังขึ้นจากดวงอาทิตย์ทั้งเก้าดวง เกลียวไฟพล่านเข้าหาฝูถูเฉวียน
ท่าทางฝูถูเฉวียนเคร่งเครียดรุนแรงหลายส่วน ก่อนที่จะประสานมือเข้าหากัน รัศมีสีดำขาวแผ่ออกมาจากแขนเสื้อ กลายเป็นมังกรดำและมังกรขาวคำรามก้อง ขณะที่ปลดปล่อยลำแสงสองสีที่แตกต่างกันพุ่งใส่เปลวไฟ
ตู้ม ตู้ม!
ขณะที่ปะทะกันโลกค่ายกลก็เริ่มสั่นสะเทือนพร้อมกับความผันผวนของการทำลายล้างกวาดออกไป มากเสียจนผู้ชมที่อยู่ภายนอกยังรู้สึกถึงอุณหภูมิกระแทกกับร่างกายของพวกเขา ทำให้รู้สึกถึงความเจ็บปวด
ยากที่จะจินตนาการว่าภายในค่ายกลจะน่ากลัวเพียงใด
ชิ้งเหยี่ยนจิ้งยืนอยู่บนท้องฟ้า เสื้อคลุมพลิ้วไหวขณะมองไปที่มังกรสองตัวที่ฝูถูเฉวียนสร้างขึ้นก่อนที่มือจะประสานเข้าด้วยกัน “โลกกลั่นเก้าตะวัน!”
กีด!
อีกาทองคำทั้งเก้าเปล่งเสียงพุ่งลงไปบินฉวัดเฉวียนรอบตัวฝูถูเฉวียน ขณะที่เปลวไฟลุกโชนดวงอาทิตย์ทั้งเก้าดวงก็ค่อยๆ หายไปแทนที่ด้วยหม้อกลั่นสีทองขนาดใหญ่
พร้อมกับเพลิงเชี่ยวกราก หม้อกลั่นก็ขังฝูถูเฉวียนเอาไว้
ฟู่ ฟู่!
เพลิงสีทองรวมตัวกันรุนแรงในหม้อกลั่น อุณหภูมิสูงในโลกกลับค่อยๆ ลดลง ราวกับหดตัวไปทั้งหมด
เผชิญหน้ากับสถานการณ์นี้แม้แต่ฝูถูเฉวียนยังมีสีหน้ารุนแรง
ปลายสุดของเพลิงสีทองหายไป ถูกแทนที่ด้วยลาวาสีทองเก้าหยดที่ลอยอย่างเงียบๆ แม้ว่าพวกมันจะดูไม่เป็นอันตราย แต่ฝูถูเฉวียนรู้ว่าหากหยดลาวาเก้าหยดตกลงบนพิภพเขตล่างใดๆ โลกใบนั้นก็จะไหม้เป็นเถ้าถ่าน
“ไป”
ชิ้งเหยี่ยนจิ้งชี้นิ้วออก ลาวาเก้าหยดพุ่งไปที่ฝูถูเฉวียน
ขณะที่ฝูถูเฉวียนถอยกลับก็โบกมือ มังกรดำและขาวไขว้พันกัน อึดใจเสียงตะโกนก็เปล่งว่า
“ถ้ำพุทธะ!”
รัศมีสีดำขาวไหลเวียนอย่างรุนแรง ก่อร่างเป็นหลุมดำขาว
ปุ ปุ!
เมื่อลาวาเก้าหยดพุ่งเข้าไปในถ้ำ ท่าทางฝูถูเฉวียนก็เปลี่ยนไปรุนแรง นั่นเป็นเพราะหลุมดำขาวสั่นสะเทือนบ้าคลั่งก่อนที่จะระเบิดออก
ระเบิดสีทองขนาดใหญ่ราวกับดอกเห็ดพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า คลื่นกระแทกสีทองก็กวาดออกนำพาความพินาศมาสู่โลก
ตู้ม ตู้ม!
ค่ายกลสั่นสะเทือนรุนแรงพร้อมกับใบหน้าผู้ชมซีดเซียวขณะที่เฝ้าดูคลื่นกระแทกจากภายนอก พวกเขารู้สึกว่าหนังหัวด้านชาไปหมด ถ้าค่ายกลแตกเป็นเสี่ยงๆ และคลื่นกระแทกกระจายออกไปคนส่วนใหญ่ก็จะสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน
แต่โชคดีเมื่อคลื่นกระแทกมาถึงขอบโลกค่ายกลก็สลายไป ทุกคนหันไปมองก็เห็นเคราของฝูถูเฉวียนถูกไฟไหม้ ไม่เพียงแค่นั้นเลือดเนื้อของเขายังไหม้เกรียมเป็นหย่อมๆ อีกด้วย
ภาพนี้ทำให้ผู้คนตกตะลึง ต้องรู้ว่าร่างกายของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งแข็งแกร่งน่ากลัวเป็นพิเศษ แต่ถึงอย่างนั้นฝูถูเฉวียนก็ถูกทำให้อยู่ในสภาพน่าสังเวชนัก
“ค่ายกลระดับต้าจงซือขั้นเซิ่งน่ากลัวจริงๆ…” หลายคนอุทานออกมา เบื้องหน้าค่ายกลระดับนี้ใครก็ตามที่ต่ำกว่าขั้นเซิ่งตกอยู่ภายในก็ได้แต่รอความตายเท่านั้น
ภายใต้ความสนใจของทุกคนใบหน้าของฝูถูเฉวียนก็น่ากลัวลงหลายส่วน เขามองไปที่ชิงเหยี่ยนจิ้งเอ่ยตำหนิ “ชิงเหยี่ยนจิ้งคิดจะดื้อแบบนี้จริงๆ หรือ?!”
ชิงเหยี่ยนจิ้งกล่าวอย่างเย็นชา “พวกท่านรังแกลูกข้า จะให้ข้าปล่อยผ่านไปเรอะ?”
ใบหน้าของฝูถูเฉวียนเขียวคล้ำเมื่อได้ยินคำพูดของนาง จากนั้นเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงน่ากลัว “ดี ดี! ในเมื่อเจ้าตั้งใจจะดื้อด้านเองก็อย่าโทษข้าละกัน”
ฝูถูเฉวียนหายใจเข้าลึก เสียงดังก้องไปทั่วมิติฝูถู
“ขออัญเชิญเจดีย์บรรพบุรุษ!”
บทที่ 1434 ผู้อาวุโสใหญ่คนใหม่
“ขออัญเชิญเจดีย์บรรพบุรุษ!”
เมื่อน้ำเสียงที่เยือกเย็นของฝูถูเฉวียนดังก้อง เหล่าผู้ชมก็ยังคงนิ่งเฉย แต่สมาชิกเผ่าฝูถูอดไม่ได้ที่จะมีปฏิกิริยาเปลี่ยนไป
“แย่แล้ว ผู้อาวุโสใหญ่อัญเชิญเจดีย์บรรพบุรุษ!” ชิงเซวียนร้องออกมาอย่างกังวล
ท่าทางของชิงเทียนก็ไม่น่าดู เจดีย์บรรพบุรุษเป็นหนึ่งในไพ่ตายที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าฝูถูและเพราะเจดีย์บรรพบุรุษทำให้เผ่าฝูถูสามารถยืนหยัดมั่นคงเป็นหนึ่งในห้าเผ่าโบราณโดยไม่ตกเป็นเป้าหมายของผู้อื่น
เจดีย์บรรพบุรุษนี้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ยังเกรงกลัว ย้อนกลับไปตอนที่ชิ้งเหยี่ยนจิ้งต่อสู้กับผู้อาวุโสใหญ่ เขาก็อัญเชิญเจดีย์บรรพบุรุษออกมาเพื่อปราบปรามนาง
ตอนนี้ผู้อาวุโสใหญ่รู้ชัดเจนว่าสามารถพึ่งพาเจดีย์บรรพบุรุษเพื่อปราบปรามชิงเหยียนจิ้งได้เท่านั้น
“เฮ้ เขาถูกบีบให้เรียกเจดีย์บรรพบุรุษเลยเหรอ” เมื่อหมัวเฮอโยวเห็นภาพนี้ก็ยิ้ม เขายินดีที่จะเห็นการห้ำหั่นของสองจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งของเผ่าฝูถู จะดีมากถ้าทั้งสองคนล้มลง เผ่าฝูถูจะตกจากที่นั่งการเป็นหนึ่งในห้าเผ่าโบราณด้วยเหตุผลฆ่าฟันกันเอง
ยิ่งกว่านั้นเขาก็ไม่ได้รู้สึกดีกับชิ้งเหยี่ยนจิ้งสักนิด ย้อนไปตอนนั้นที่เผ่าฝูถูต้องการสร้างสัมพันธ์กับเผ่าหมัวเฮอโดยการผ่านการแต่งงานกับหมัวเฮอเทียนพี่ชายของเขา แต่สุดท้ายชิ้งเหยี่ยนจิ้งก็ดื้อดึงหนีงานแต่ง สำหรับหมัวเฮอโยวนี่เป็นเรื่องสร้างความน่าอับอายอย่างยิ่งสำหรับเผ่าของพวกเขา
“ข้าจะขอดูว่าชิ้งเหยี่ยนจิ้งจะต้านทานสิ่งนี้อย่างไร รากฐานของเผ่าโบราณไม่ใช่สิ่งที่จะสั่นคลอนได้โดยจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งคนเดียวหรอกนะ” หมัวเฮอโยวกอดอกพลางเค้นเสียง
หากชิ้งเหยี่ยนจิ้งถูกปราบปรามภายในเจดีย์บรรพบุรุษ มู่เฉินก็ไม่รอดพ้นในการถูกจองจำแน่นอน
มู่เฉินสัมผัสได้ถึงสายตาอื่นๆ ก็ขมวดคิ้ว ถ้าฝูถูเฉวียนจะพึ่งพาเจดีย์บรรพบุรุษจริงๆ เขาคงต้องขอความช่วยเหลือจากเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม
ไม่ว่าจะต้องใช้อะไรก็ตาม วันนี้เขาต้องพามารดาไปให้ได้!
“ฝูถูเฉวียน มีวิธีการแค่นี้เองเหรอ?” ชิ้งเหยี่ยนจิ้งกล่าวเสียงเย็นขณะมองไปที่ฝูถูเฉวียน
ใบหน้าของฝูถูเฉวียนมืดครึ้ม “ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเจ้าสองแม่ลูกท้าทายอำนาจเผ่าของข้าตลอดเวลา ข้าก็ไม่อยากทำเช่นนี้ พวกเจ้าหาเรื่องใส่ตัวเอง!”
ชิงเหยี่ยนจิ้งสาดสายตาเย็นชาและกล่าวเสียงเยียบเย็น “ได้ ในเมื่อยืนกรานที่จะทำเช่นนี้ ก็มาลองดูกัน!”
“หึ ยังจะปากกล้าอีก?!”
ฝูถูเฉวียนตะคอกพลางประสานมือ ทันใดนั้นทุกคนก็สัมผัสได้ว่ามิติฝูถูสั่นสะเทือน บนท้องฟ้าสูงโลกเหมือนถูกฉีกออกจากกัน เจดีย์หินที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุดค่อยๆ เคลื่อนลงมาพร้อมกลิ่นอายโบราณ
เมื่อเจดีย์หินเคลื่อนลงมา ทุกคนก็สัมผัสถึงแรงกดดันที่น่ากลัว นี่เป็นสิ่งที่ทำให้จอมยุท์ขุมพลังเทียนจื้อจุนคนอื่นตัวสั่นสะท้าน แม้แต่คลื่นหลิงในร่างกายของพวกเขาก็ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้เพื่อปกป้องตัวเอง
ทุกคนฉายสีหน้าตกใจหวาดผวา พวกเขามีลางสังหรณ์ว่าหากเจดีย์บรรพบุรุษพุ่งมาในทิศทางของพวกเขา งานนี้หลบหนีไม่ได้อย่างแน่นอน
“เผ่าฝูถูสมกับชื่อเสียงแท้จริง มีไพ่ตายที่น่ากลัวเช่นนี้” เหล่าจอมยุทธ์ทรงพลังถึงกับถอนหายใจ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ทำได้เพียงหลบหนี ขณะเผชิญหน้ากับเจดีย์เก่าแก่นี่
ดูเหมือนฝูถูเฉวียนจะโกรธมากในครั้งนี้
ครืนๆๆๆ!
เมื่อเจดีย์พลิ้วลงมาก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวลงสู่โลกค่ายกลที่สร้างโดยชิ้งเหยี่ยนจิ้ง ค่ายกลไม่สามารถต้านทานเจดีย์ ปล่อยให้มันเข้าไปได้อย่างง่ายดาย
“ชิ้งเหยี่ยนจิ้งตอนแรกข้าคิดว่าเจ้าจะไตร่ตรองถึงความผิดพลาดหลังจากผ่านมาหลายปี แต่สุดท้ายก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในตัวเจ้า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าจะขังเจ้าไว้จนกว่าจะรู้ข้อผิดพลาดของตัวเอง!” ฝูถูเฉวียนตะเบ็งเสียง
“ดันทุรัง”
ชิ้งเหยี่ยนจิ้งเค้นเสียง “ฝูถูเฉวียน ท่านไม่เหมาะที่จะเป็นผู้อาวุโสใหญ่ ดูสิว่าภายใต้การดูแลของท่าน ตำแหน่งประมุขว่างเว้น ไม่มีผู้ขึ้นมาดำรงตำแหน่ง ตระกูลเฉวียนและมั่วก็กอบโกยทรัพยากรทั้งหมดของเผ่าและไม่สนใจตระกูลอื่นที่มีความสามารถ ทำให้เผ่าฝูถูเสื่อมทรามกลายเป็นเผ่าที่อ่อนแอที่สุดในห้าเผ่าโบราณ ทั้งหมดนี้เกิดจากความดันทุรังของท่าน!”
เมื่อได้ยินคำพูดของนาง ฝูถูเฉวียนก็คำรามด้วยความโกรธ “ไร้สาระ!
“ไปสำนึกผิดในเจดีย์บรรพบุรุษซะ!”
ใบหน้าของเขาเขียวคล้ำ ตราประทับในมือเปลี่ยนแปลง เจดีย์ก็ปรากฏขึ้นเหนือร่างชิ้งเหยี่ยนจิ้งในทันที แม้ว่าจะเคลื่อนช้า แต่ก็ลงไปหาชิ้งเหยี่ยนจิ้งอย่างต่อเนื่อง
เจดีย์เก่าแก่ช่างแปลกประหลาด ราวกับว่าได้กำหนดเป้าหมายไว้แล้ว ไม่ว่าจะหนีอย่างไรก็เป็นความพยายามที่ไร้ประโยชน์
ทว่าชิงเหยี่ยนจิ้งไม่ได้แสดงสีหน้าตื่นตระหนกเมื่อเผชิญหน้ากับเจดีย์ นางมองไปที่ฝูถูเฉวียนด้วยแววตาผิดหวัง
“ท่านต่างหากที่ควรสงบสติอารมณ์”
ทันใดนั้นนางก็ยื่นมือออกค่อยๆ ผลักไปที่เจดีย์บรรพบุรุษที่พุ่งลงมา จากนั้นผู้คนก็ต้องตกตะลึง เจดีย์บรรพบุรุษหยุดนิ่งอยู่เหนือร่างชิงเหยี่ยนจิ้ง
“อะไรน่ะ?!”
สมาชิกเผ่าฝูถูตกตะลึงราวกับเห็นผี แม้แต่ผู้อาวุโสตระกูลชิงก็มีใบหน้าตกใจกลัว
พวกเขาเห็นอะไรน่ะ? ชิงเหยี่ยนจิ้งควบคุมเจดีย์บรรพบุรุษได้หรือเนี่ย?!
ต้องรู้ว่ามีเพียงประมุขและผู้อาวุโสใหญ่เท่านั้นที่สามารถควบคุมเจดีย์บรรพบุรุษได้ แล้วชิงเหยี่ยนจิ้งจะสั่งการได้อย่างไร?
“จะ…เจ้า!”
ฝูถูเฉวียนตกใจจนดวงตาเบิกกว้าง นิ้วมือสั่นระริกชี้ไปที่ชิงเหยี่ยนจิ้ง เขาพูดไม่ออกจากความตกใจ
“เจ้าสั่งเจดีย์บรรพบุรุษได้ยังไง?!”
พักใหญ่ฝูถูเฉวียนก็หาเสียงเจอในที่สุดก็พูดขึ้นด้วยความยากลำบาก
ชิงเหยี่ยนจิ้งเหลือบมองไปที่เขาตอบว่า “นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เจ้าจะได้สั่งการเจดีย์บรรพบุรุษแล้ว”
ใบหน้าของฝูถูเฉวียนเปลี่ยนไปรุนแรง ก่อนที่จะพยายามเปลี่ยนตราประทับเพื่อควบคุมเจดีย์บรรพบุรุษ แต่คราวนี้ไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างไรเจดีย์ก็หยุดนิ่งอยู่เหนือชิงเหยี่ยนจิ้งเงียบๆ โดยไม่ขยับและไม่สนใจคำสั่งของเขา
สีหน้าของฝูถูเฉวียนเปลี่ยนไปมาก เขาก้าวถอยหลังอุทานว่า “เป็นไปได้ยังไง?”
ทว่าดวงตาของชิงเหยี่ยนจิ้งไม่มีความผันผวนใดขณะอธิบาย “เมื่อผู้อาวุโสใหญ่ทั้งหลายของเผ่าฝูถูสัมผัสได้ถึงอายุขัยที่กำลังจะสิ้น พวกเขาก็จะเข้าไปในเจดีย์บรรพบุรุษและปล่อยให้คลื่นจิตถูกรักษาไว้ภายใน นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เจดีย์บรรพบุรุษทรงพลังมาก
“นั่นหมายความว่าเจตจำนงของท่านบรรพบุรุษทั้งหลายยังไหลเวียนอยู่ภายใน เจดีย์บรรพบุรุษก็ค่อยๆ สร้างจิตสำนึกของตัวเองขึ้น…”
“สิ่งที่ข้าทำก็คือรายงานการกระทำของท่านในช่วงที่ข้าถูกจองจำ สรุปสั้นๆ ก็คือไปฟ้องไงล่ะ”
“เจดีย์บรรพบุรุษมีไว้เพื่อเผ่าฝูถู ท่านบรรพบุรุษปรารถนาให้เผ่าเข้มแข็ง ดังนั้นพวกเขาจึงตอบสนองข้า…”
ชิงเหยี่ยนจิ้งมองไปที่ฝูถูเฉวียนอย่างเย็นชา “พวกเขาไม่พอใจท่านมาก ตาแก่”
ฝูถูเฉวียนราวกับว่าถูกโจมตีหนักหน่วง เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าการจัดการของเขาจะทำให้บรรพบุรุษไม่เป็นสุข นั่นไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่เขาทำมาตลอดหลายปีที่ผ่านมาผิดเรอะ?
ชิงเหยี่ยนจิ้งพูดต่อด้วยสีหน้าสงบ “ตามกฎของเผ่าผู้ใดที่สามารถสั่งการเจดีย์บรรพบุรุษได้ก็คือผู้อาวุโสใหญ่คนใหม่ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปข้าคือผู้อาวุโสใหญ่คนใหม่!”
คำพูดของนางทำให้เกิดคลื่นในเผ่าฝูถูทันที พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมเพียงไม่กี่นาทีผู้อาวุโสใหญ่ก็เปลี่ยนคนแล้ว!
ตระกูลเฉวียนและมั่วหน้าซีดเผือด เมื่อชิงเหยี่ยนจิ้งดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่ พวกเขาก็ไม่มีเวลาที่เสวยสุขอีกแล้ว
ในทางตรงกันข้ามตระกูลชิงส่งเสียงโห่ร้อง แม้แต่เหล่าผู้อาวุโสก็แสดงความยินดี ในอดีตชิงเหยี่ยนจิ้งเกลียดเรื่องประเภทนี้มาก ไม่งั้นป่านนี้นางคงเป็นประมุขหญิงของเผ่าฝูถูไปแล้ว
แต่ตอนนี้ที่ทำให้พวกเขาไม่คาดคิดคือชิงเหยี่ยนจิ้งยอมรับตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่
ท่าทางของฝูถูเฉวียนเศร้าสลด เขายังไม่หลุดจากความคิดที่ว่าท่านบรรพบุรุษทั้งหลายไม่พอใจในตัวเขา พักใหญ่เขาถึงได้ดึงสติกลับ ดูเหมือนแก่ลงมากเลยทีเดียว
ฝูถูเฉวียนมองไปที่ชิงเหยี่ยนจิ้งพูดด้วยน้ำเสียงซับซ้อน “ตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่แต่แรกก็เป็นของเจ้า ข้าแค่ไม่คิดว่าเจ้าจะมาเอาไปเอง”
ชิงเหยี่ยนจิ้งเค้นเสียงเย็น “ทั้งหมดนี้ก็เพื่อลูกข้า ไม่งั้นใครจะอยากเป็นผู้อาวุโสใหญ่คร่ำครึกัน?”
“ตอนนี้ท่านจะลงจากตำแหน่งหรือยัง?”
ทุกคนมองไปที่ฝูถูเฉวียนอย่างใจจดใจจ่อ หากเขาไม่เต็มใจการต่อสู้ครั้งใหญ่ก็จะอุบัติขึ้นในเผ่าฝูถู ท้ายที่สุดก็มีโอกาสที่ยอดยุทธ์ทั้งสองจะล้มลง ทำให้เผ่าล่มสลาย หากเป็นเช่นนั้นก็จะสร้างความเสียหายใหญ่หลวงกับเผ่าฝูถู
หลังจากเงียบไปนานฝูถูเฉวียนก็ถอนหายใจยาวๆ คลี่รอยยิ้มขมขื่น “เจ้าบอกว่าข้าดื้อรั้นไม่ใช่เหรอ? ในเมื่อข้าปฏิบัติตามกฎเผ่าราวกับกฎสวรรค์ ข้าจะต่อต้านพวกเขาได้อย่างไร?”
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปข้าจะเก็บตัวเข้าสมาธิ หากเผ่าสามารถพัฒนาได้ดีขึ้นในมือเจ้า งั้น…ก็อาจเป็นข้าที่ผิดล่ะมั้ง”
“และเจ้า…ก็จะเป็นผู้อาวุโสใหญ่คนใหม่ของเผ่าฝูถู”
บทที่ 1435 การเปลี่ยนแปลงของเผ่าฝูถู
ทุกคนต่างตกตะลึง
ไม่มีใครคาดคิดว่าตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่จะเปลี่ยนแปลงต่อหน้าต่อตาพวกเขา…
ตระกูลเฉวียนและมั่วแลกเปลี่ยนสายตากัน พวกเขารู้สึกว่าหนังหัวด้านชาไปหมด พวกเขารู้ว่าช่วงเวลาที่ชิงเหยี่ยนจิ้งขึ้นดำรงตำแหน่ง ทั้งสองตระกูลก็ไม่สามารถทำเบ่งได้อีกต่อไป
มิหนำซ้ำตอนนี้ผู้อาวุโสของตระกูลเฉวียนและมั่วยังถูกมู่เฉินปราบปรามอยู่ใต้ภูเขา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถส่งเสียงคัดค้านใดๆ สักแอะและไม่มีคุณสมบัติที่จะทำเช่นนั้นด้วย
ส่วนตระกูลย่อยอื่นๆ แม้จะรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็ยอมรับได้มากกว่า เนื่องจากชิงเหยี่ยนจิ้งมีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้อาวุโสใหญ่จากพลังที่นางมี บวกกับความไม่พอใจที่พวกเขามีต่อตระกูลเฉวียนและมั่ว ซึ่งนี่ถือเป็นข่าวดีสำหรับพวกเขา
สมาชิกตระกูลชิงต่างส่งเสียงโห่ร้องยินดี แม้ว่าการดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่จะหมายความว่าชิงเหยี่ยนจิ้งจะต้องออกจากตระกูลเพื่อรักษาความยุติธรรมและการตัดสินใจอย่างยุติธรรม แต่นี่ก็ยังคงเป็นข่าวดีสำหรับพวกเขา
อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการกลั่นแกล้งจากตระกูลเฉวียนและมั่ว
“น่าสนใจ…”
เย่าเฉินและหลินเตียวก็อึ้งไปกับฉากนี้ก่อนที่ทั้งสองคนจะยิ้ม ใครจะคิดว่าสถานการณ์จะดำเนินมาในลักษณะนี้? ตอนแรกพวกเขาคิดว่าชิงเหยี่ยนจิ้งจะต้องทนทุกข์จากเจดีย์บรรพบุรุษ แต่สถานการณ์กลับตาลปัตรนางกลายเป็นผู้อาวุโสใหญ่คนใหม่ของเผ่าฝูถูแล้ว
พวกเขารู้ว่าเมื่อเรื่องนี้มาถึงจุดนี้ก็ถือว่าจบลงแล้ว ชิงเหยี่ยนจิ้งสามารถระงับเสียงทั้งหมดในเผ่าได้ด้วยพลังของนาง
“หึ ช่างเป็นไอ้แก่ที่ไร้ประโยชน์”
หมัวเฮอโยวขมวดคิ้วและสาปแช่ง ตอนแรกเขาหวังว่าจะเกิดการต่อสู้ล้างเลือดระหว่างฝูถูเฉวียนและชิงเหยี่ยนจิ้ง ใครจะไปคิดได้ว่าสุดท้ายจะเกิดผลลัพธ์นี้ นอกจากนี้ฝูถูเฉวียนไม่เพียงแต่ไม่โต้กลับเพื่อได้มา แต่ยังยอมรับโดยสดุดี
มู่เฉินก็ตกใจกับเหตุการณ์เบื้องหน้า ท่าทางเขาประหลาดไปหลายส่วน ตอนแรกเขาตั้งใจจะมารับมารดาแล้วพากันออกจากเผ่าโบราณงี่เง่านี้ แต่ตอนนี้นางกลายเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าแทน…
“ทำไมถึงเป็นอย่างนี้เนี่ย…?” มู่เฉินเกาหัวแกรกกรากพลางยิ้มเก้อ
ขณะที่ทุกคนตกตะลึง แววตาของชิงเหยี่ยนจิ้งก็ผ่อนคลายลงเมื่อเห็นฝูถูเฉวียนลงจากตำแหน่งผู้อาวุโสให้อย่างไม่ยึดติด
หากฝูถูเฉวียนเพิกเฉยต่อกฎและตอบโต้ นางอาจต้องใช้เจดีย์บรรพบุรุษและขังเขาไว้ให้สำนึก แต่หากเป็นเช่นนั้นก็จะเกิดผลกระทบใหญ่ต่อเผ่าฝูถู
นอกจากนี้ก็เทียบเท่ากับการสูญเสียจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง ต้องรู้ว่าจอมยุทธ์ระดับนี้ทุกคนเป็นเสาหลักของเผ่าและการสูญเสียคนใดคนหนึ่งก็จะทำให้รากฐานของเผ่าเสียหาย
นี่เป็นสาเหตุที่ฝูถูเฉวียนและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ไม่กล้าบังคับนางมาก แม้ว่านางจะถูกจองจำก็ตาม
“อย่างน้อยท่านก็ไม่โง่” แม้ว่าท่าทางนางจะผ่อนคลายลง แต่น้ำเสียงยังคงเย็นชา นางรู้สึกโกรธที่ฝูถูเฉวียนพยายามจับมู่เฉินในอดีต
ขณะที่พูดค่ายกลรอบตัวนางก็ผันผวนและหายไปกลายเป็นสัญลักษณ์หลิงยิ่งมากมายก่อนที่จะพุ่งกลับมาสถิตในแขนเสื้อของนาง
“กฎคือกฎ ไม่งั้นข้าไม่จบเรื่องง่ายๆ แบบนี้หรอก” ฝูถูเฉวียนตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่ยอมใครพร้อมกับใบหน้าที่บึ้งตึง
ทว่าตอนนี้เขาอารมณ์ไม่ค่อยดีสักเท่าไร เมื่อเหลือบมองสภาพอนาถบนพิ้นดินก็สะบัดแขนเสื้อ “ในเมื่อตอนนี้เจ้าเป็นผู้อาวุโสใหญ่ก็ต้องจัดการเรื่องยุ่งทั้งหมดนี่เอง ข้าไม่เกี่ยวด้วยแล้วนะ”
จากนั้นสายตาเขาก็กวาดไปที่มู่เฉิน ซึ่งชายหนุ่มสามารถสัมผัสได้ถึงสายตาซับซ้อนของฝูถูเฉวียน
“หวังว่าลูกชายเจ้าจะไม่ทำให้เส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจรสูญเปล่าซะละ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ชิงเหยี่ยนจิ้งก็ส่งเสียงเข้ม “ท่านไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น ลูกชายข้าก้าวเดินเพียงลำพังโดยไม่มีทรัพยากรใดๆ จากเผ่าฝูถูและมาไกลได้ขนาดนี้ ความสำเร็จของเขาในอนาคตจะเกินกว่าจอมยุทธ์ทุกคนในเผ่าที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ”
ฝูถูเฉวียนอยากยิ้มเยาะต่อคำพูดนางสักหน่อย แต่เมื่อนึกถึงความสำเร็จของมู่เฉินที่เหนือกว่าทุกคนในที่นี้ ไม่ต้องพูดถึงว่าเขากอบทุกอย่างจากความว่างเปล่าด้วยตัวเองพร้อมกับพรสวรรค์ที่มีอย่างแท้จริง
ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงพ่นลมหายใจทะยานเข้าไปยังส่วนลึกของมิติแล้วหายไปในพริบตา
เมื่อฝูถูเฉวียนจากไปแล้วบรรยากาศที่ตึงเครียดก็บรรเทาลง
“ทักทายผู้อาวุโสใหญ่!”
เมื่อบรรยากาศคลายลง สมาชิกตระกูลชิงก็เปล่งเสียง จากนั้นตระกูลสาขาแม้แต่ตระกูลเฉวียนและมั่วก็ตามมา
เมื่อชิงเหยี่ยนจิ้งเห็นการทักทายของพวกเขา นางก็โบกมือให้
“ผู้อาวุโสใหญ่… ไม่ทราบว่าสามารถปล่อยให้ผู้อาวุโสตระกูลเราทั้งสองออกมาก่อนได้ไหม?” หลังจากลังเลสมาชิกตระกูลของเฉวียนและมั่วเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
เมื่อมองภูเขาที่อยู่บนพื้นดินทันใดนั้นชิงเหยี่ยนจิ้งก็รู้สึกปวดหัวจี๊ด งานแรกของการเป็นผู้อาวุโสใหญ่ก็เริ่มไม่ง่ายแท้จริงแล้ว
ทว่านางจะทำเมินปล่อยให้ผู้อาวุโสของทั้งสองตระกูลถูกปราบปรามไม่ได้ ใครบางคนอาจคิดเล็กคิดน้อยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงโบกมือภูเขาเหล่านั้นก็ยกขึ้นก่อนที่จะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
เมื่อภูเขาลอยออกไป เงาสิบกว่าร่างก็ทะยานออกมาทันที
“มู่เฉิน วันนี้ข้าจะไม่ปล่อยแกไปแน่นอน!” เฉวียนกวางที่เป็นอิสระผมรกรุงรังไปหมด สายตามองไปที่มู่เฉินอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ
แต่หลังจากนั้นเฉวียนกวางก็รู้สึกได้ถึงความเงียบงัน ก่อนที่เขาจะเห็นผู้อาวุโสคนอื่นๆ ของตระกูลเฉวียนพยายามส่งสัญญาณทางสายตาให้
ดังนั้นเขาจึงอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะได้ยินเสียงเย็นดังมาจากท้องฟ้า “โอ้? เจ้าจะทำอะไรลูกชายข้ารึ”
เฉวียนกวางเงยหน้าขึ้นก็เห็นชิงเหยี่ยนจิ้ง หัวใจเขาสั่นสะท้านอุทานออกมาว่า “ชิงเหยี่ยนจิ้ง? ทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่?!”
มั่วถงก็รู้สึกงงงวยพร้อมกับแววหวาดเกรง ในเวลาเดียวกันสายตาเขาก็ค้นหาร่างเงาของฝูถูเฉวียน อย่างต่อเนื่อง โดยคิดถามเหตุผลว่าทำไมชิงเหยี่ยนจิ้งถึงอยู่ที่นี่
ชิงเหยี่ยนจิ้งกวาดสายตาเย็นชาประกาศว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปข้าคือผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าฝูถู ฝูถูเฉวียนเลือกที่จะเข้าสู่สันโดษแล้ว”
เฉวียนกวางและมั่วถงตกตะลึงทันที ความไม่เชื่อพล่านในสายตาของพวกเขา ขณะที่พวกเขาพูดติดอ่าง “นะ นี่…เป็นไปได้ยังไง?! เจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไร!”
พวกเขาถูกระงับเพียงช่วงสั้นๆ ทำไมสถานการณ์ทั้งหมดถึงเปลี่ยนไป?
พวกเขามองไปที่ผู้อาวุโสตระกูลเฉวียนและมั่วที่สวมสีหน้าขมขื่น แต่ไม่มีใครหักล้างคำพูดของนาง
เมื่อเฉวียนกวางและมั่วถงได้สติ พวกเขาก็รู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าสถานการณ์จะก้าวหน้าไปในลักษณะนี้ ตอนนี้ชิงเหยี่ยนนจิ้งดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่และกุมอำนาจของเผ่าฝูถูไว้แล้ว จากนี้ไปพวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้อีก เว้นแต่พวกเขาจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งและชิงตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่มาจากชิงเหยี่ยนจิ้ง
ทว่าแม้พวกเขาจะอยู่ในขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายสุด ห่างจากขั้นเซิ่งเพียงก้าวเดียว แต่พวกเขาก็รู้ว่านี่อาจเป็นก้าวที่ไม่สามารถก้าวไปได้ตลอดชั่วชีวิต
เมื่อนึกถึงการกลั่นแกล้งตระกูลชิงในอดีตและทัศนคติของพวกเขาที่ต่อต้านชิงเหยี่ยนจิ้งและมู่เฉินแม้แต่เฉวียนกวางและมั่วถงก็อดรู้สึกวิงเวียนไม่ได้
พวกเขารู้ดีว่าตระกูลเฉวียนและมั่วจะไม่มีช่วงเวลาที่ดีในอนาคต
แม้จะมีความยุ่งเหยิงในใจทั้งสองคนก็ยังเป็นประมุขตระกูล ดังนั้นจึงได้แต่ระงับอารมณ์และฝืนยิ้มให้ชิงเหยี่ยนจิ้ง “ถ้างั้นพวกเราขอทักทายผู้อาวุโสใหญ่”
ชิงเหยี่ยนจิ้งฉายท่าทางเย็นชาก่อนจะพยักหน้าส่งๆ นางทั้งเกลียดและขยะแขยงเฉวียนกวางและมั่วถง แต่ทั้งสองเป็นประมุขตระกูล หากนางจัดการกับพวกเขาก็จะนำปัญหามาสู่เผ่า ดังนั้นนางไม่สามารถทำอะไรเร่งรีบในขณะนี้ได้ ตราบใดที่นางดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่ก็มีโอกาสมากมายที่จะปราบปรามทั้งสองตระกูลในอนาคตเพื่อลดความได้เปรียบลง
“กลับไปที่ตัวเองซะ”
เมื่อได้ยินเสียงของชิงเหยี่ยนจิ้ง เฉวียนกวางและมั่วถงก็พยักหน้าอย่างขมขื่นก่อนที่จะพาผู้อาวุโสที่อยู่ใต้อาณัติกลับไปที่ภูเขาต่างๆ
เมื่อมองไปที่แขกผู้ทรงเกียรติ ความเย็นชาในดวงตาของชิงเหยี่ยนจิ้งก็ค่อยๆ ลดลงและกลับมาเป็นอบอุ่นอ่อนหวาน
“ข้าให้ทุกคนดูเรื่องตลกในวันนี้แล้ว งานชุมนุมสายเลือดเผ่าฝูถูจะสิ้นสุดลงในวันนี้ ขอเชิญทุกท่านอยู่ที่เผ่าฝูถูต่ออีกสองสามวันเพื่อให้ทางเราจะได้ต้อนรับในฐานะเจ้าภาพ”
น้ำเสียงของชิงเหยี่ยนจิ้งอบอุ่น แต่เนื่องจากทุกคนได้เห็นความเด็ดขาดของนางเมื่อครู่ พวกเขาจึงได้แต่แสดงความขอบคุณอย่างรวดเร็ว
เมื่อสายตานางหันไปทางเย่าเฉินและหลินเตียวสีหน้าก็อบอุ่นขึ้นอีกหลายส่วน “ขอบคุณมากสำหรับท่านสองที่ช่วยดูแลเฉินเอ๋อ หากมีโอกาสในวันหน้าข้าจะเดินทางไปยังแค้วนหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูเป็นการส่วนตัว เพื่อเยี่ยมคารวะเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม”
พบปะกับหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่ง แม้แต่เย่าเฉินแลหลินเตียวยังต้องแสดงความเคารพ พวกเขาจึงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
เมื่อทุกคนเห็นฉากนี้ก็ถอนหายใจ ตอนแรกพวกเขาเพียงแค่มาชมงานชุมนุมสายเลือด แต่ใครจะคิดว่าพวกเขาจะได้ชมการแสดงที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้…
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเผ่าฝูถูจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่…
สำหรับมู่เฉิน… ชื่อของเขาจะดังก้องไปทั่วมหาพันภพ บวกกับการที่มารดาเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าฝูถูก็คงไม่ค่อยมีใครกล้าท้าทายอีกแล้ว…
บทที่ 1436 ของขวัญสำหรับการพบหน้า
งานชุมนุมสายเลือดเผ่าฝูถูสิ้นสุดลง ความสงบสุขหวนกลับคืน
เมื่องานชุมนุมจบลง ความผันผวนในเผ่าฝูถูก็ค่อยๆ เบาบางลงเช่นกัน แม้ว่าผู้อาวุโสใหญ่จะเปลี่ยนผู้ดำรงตำแหน่ง แต่ศักดิ์ศรีและพลังของชิงเหยี่ยนจิ้งก็เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ยิ่งนัก ดังนั้นนอกเหนือจากการสั่นสะเทือนบางอย่างของตระกูลมั่วและเฉวียนแล้ว สมาชิกคนอื่นๆ ก็ยอมรับความเป็นจริงนี้ได้
แขกที่มาชมงานในเผ่าฝูถูก็อยู่ต่อไปอีกสองสามวันก่อนที่จะลากลับไป สามารถจินตนาการได้ว่าหลังจากที่พวกเขากลับไปเรื่องราวต่างๆ ในเผ่าฝูถูจะดังก้องไปทั่วมหาพันภพ เวลานั้นชื่อของมู่เฉินก็จะกระจายออกไป
เพราะแม้ว่าชิงเหยี่ยนจิ้งจะเป็นคนมาปิดเหตุการณ์ในเผ่าฝูถู แต่ในระหว่างทางฝีมือของมู่เฉินก็น่าตกใจอย่างยิ่ง
เขาไม่เพียงแต่เอาชนะผู้อาวุโสตระกูลเฉวียนหลายคนด้วยขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะต้น เขายังอาศัยพลังของค่ายกลพิทักษ์เพื่อปราบปรามผู้อาวุโสเจ็ดถึงแปดส่วนของเผ่า บังคับให้ฝูถูเฉวียนต้องเคลื่อนไหว…
ความสำเร็จนี้สร้างความตกตะลึงแท้จริงและทำให้ทุกคนพูดไม่ออก
บนภูเขาลูกหนึ่งในเผ่าฝูถู
มีคฤหาสน์ขนาดใหญ่พร้อมเก๋งหินและภูเขาเทียมที่ตกแต่งสวนที่นี่ได้อย่างงดงาม
ที่นี่เป็นที่พักที่ดีที่สุดของเผ่าฝูถูเพื่อใช้รับรองแขก ซึ่งตอนนี้เป็นที่พักชั่วคราวของมู่เฉิน
เมื่องานชุมนุมสายเลือดสิ้นสุดลง ผู้อาวุโสทุกคนต่างต้องการให้มู่เฉินย้ายออกจากที่พักรูหนูพร้อมกับยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย แม้แต่มู่เฉินยังรู้สึกอายที่จะปฏิเสธ…
เห็นได้ชัดว่าการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดเกิดจากชิงเหยี่ยนจิ้งในฐานะผู้อาวุโสใหญ่
หากเป็นในอดีตแม้ว่ามู่เฉินจะไม่ได้เป็นตัวกาลกิณี แต่สถานะของเขาในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะต้นคงไม่มีโอกาสที่เขาจะได้รับความสำคัญใดๆ จากทางเผ่า แต่ตอนนี้สถานการณ์ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว…
เมื่อชิงเหยี่ยนจิ้งหลุดพ้นข้อหา มิหนำซ้ำยังขึ้นดำรงผู้มีอำนาจสูงสุดของเผ่าฝูถู จึงไม่มีใครกล้าละเลย มู่เฉินบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของนาง แต่ละคนทำเสมือนเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งเลยทีเดียว
ทว่ามู่ฉินก็ยังคงสงบนิ่งระหว่างการปฏิบัตินี้ ในเมื่อพวกเขายืนยันที่จะมอบให้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่เขาจะต้องสุภาพ แต่ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ให้อะไรเขาก็ไม่สำคัญเช่นกัน
แม้ว่ามารดาของเขาจะเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่า แต่เขาก็ยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจต่อเผ่า ดังนั้นเขาจึงไม่มีเจตนาที่จะใช้บารมีไปโอ้อวดอะไร
เพราะที่ผ่านมาเขาก็ใช้ชีวิตธรรมดามาตลอด แม้ว่าจะไม่มีเผ่าฝูถู เขาก็ยังมีชีวิตที่ดีได้
“สหายน้อยงานชุมนุมสายเลือดจบแล้ว ถึงเวลาพวกข้าต้องกลับสักที เรามาที่นี่เพื่ออำลา”
เย่าเฉินและหลินเตียว พาเซียวเซียวและหลินจิ้งมาถึงคฤหาสน์ใหญ่
การเดินทางมาเผ่าฝูถูครั้งนี้ก็เพื่อช่วยมู่เฉิน ในเมื่อมู่เฉินสบายดี พวกเขาก็ถึงเวลาจากลาแล้ว
มู่เฉินประสามมือด้วยท่าทางเคร่งขรึม “ข้าต้องขอขอบคุณผู้อาวุโสทั้งสองในครั้งนี้ นอกจากนี้โปรดส่งข้อความจากข้าถึงท่านเซียวเหยียนและท่านหลินต้ง คราวนี้มู่เฉินเป็นหนี้ทั้งสองท่านแล้ว”
เย่าเฉินและหลินเตียวพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม พวกเขารู้ว่าเหตุผลที่เซียวเหยียนและหลินต้งให้ความสำคัญกับมู่เฉินก็เป็นการลงทุน พวกเขามีสายเฉียบแหลมเกี่ยวกับพรสวรรค์ของชายหนุ่มและรู้สึกว่าเขาจะต้องยืนอยู่ในจุดสูงสุดของมหาพันภพในวันหนึ่งแน่นอน
หลังจากเรื่องในเผ่าฝูถู เย่าเฉินและหลินเตียวก็รู้สึกเช่นเดียวกัน ด้วยศักยภาพของมู่เฉินมีความเป็นไปได้ที่เขาจะไปถึงจุดสูงสุดในอนาคต
ไม่ใช่แค่ใครก็ได้ที่สามารถติดหนี้บุญคุณเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามในมหาพันภพ ทว่ามู่เฉินมีคุณสมบัติดังกล่าว
“ตอนแรกพวกเขาต้องการมาด้วยตัวเอง แต่ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาจักรวรรดิปีศาจต่างมิติเริ่มเคลื่อนไหว แคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูตั้งอยู่ที่ชายแดนของมหาพันภพ พวกเขาจึงไม่สามารถประมาทได้” เย่าเฉินและหลินเตียวกล่าว
เมื่อมู่เฉินได้ยินเช่นนั้นดวงตาก็หดลง จักรวรรดิปีศาจต่างมิติเป็นศัตรูตัวฉกาจของมหาพันภพ ตัวเขาก็เคยเห็นความโหดเหี้ยมของเผ่าปีศาจด้วยตัวเขาเอง ตอนที่ไปในพิภพเขตล่าง
“ท่านเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามน่าชื่นชมอย่างแท้จริง”
ชิงเหยี่ยนจิ้งยืนอยู่ข้างมู่เฉินเพื่อมาส่งพวกเขา นางกล่าวว่า “ฝากบอกเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามว่าเผ่าฝูถูก็อยากสร้างสัมพันธไมตรี ภายภาคหน้าเราอาจจะได้ร่วมมือกัน หากจักรวรรดิปีศาจมิติเคลื่อนไหว ส่งข่าวบอกเผ่าฝูถูด้วย”
เมื่อหลินเตียวและเย่าเฉินได้ยินประโยคดังกล่าว สีหน้าก็เคร่งขรึมลง นี่ไม่เหมือนกับมู่เฉิน คำพูดของชิงเหยี่ยนจิ้งเป็นตัวแทนของเผ่าฝูถูซึ่งเป็นหนึ่งในห้าเผ่าโบราณ ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวู ดังนั้นแม้แต่เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามก็เต็มใจที่จะต้อนรับความสัมพันธ์ดังกล่าว
“เราจะนำคำพูดของเจ้าไปบอกอย่างแน่นอน” หลินเตียวและเย่าเฉินตอบกลับ
“เฮ้ มู่เฉิน! อย่าลืมไปเยี่ยมกันที่แคว้นหวูนะ ครั้งต่อไปที่เราพบกันข้าจะบุกเข้าระดับเทียนจื้อจุนเหมือนกัน!” หลินจิ้งกำหนัดแน่นพลางพูดกับมู่เฉิน
มู่เฉินยิ้ม “เจ้าทำได้แน่นอน”
ความสามารถของหลินจิ้งไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลย เพียงแต่นิสัยติดเล่นเกินไปและนางไม่เคยสัมผัสกับความเป็นตายเช่นเดียวกับเขา ไม่อย่างนั้นนางเหนือกว่าเฉวียนหลัวและมั่วซินอย่างแน่นอน
“ตอนแรกเห็นเจ้าบรรลุระดับเทียนจื้อจุนแล้ว ข้ายังตั้งใจจะประลองกับเจ้าสักหน่อย แต่หลังจากได้เห็นการแสดงฝีมือของเจ้าระหว่างงานชุมนุมสายเลือด ข้าก็ไม่อยากทำให้ตัวเองอับอาย ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าทำไมท่านพ่อถึงมองเจ้าสูงนัก นั่นเพราะเจ้าก็เหมือนกับเขา เป็นสัตว์ประหลาดด้วยกันทั้งคู่” เซียวเซียวจ้องไปที่มู่เฉินและพูดอย่างจริงจัง
ทันใดนั้นเส้นสีดำก็ปกคลุมหน้าผากของมู่เฉินทันที ‘เรียกพ่อตัวเองว่าสัตว์ประหลาด มันดีเหรอ?’
เย่าเฉินและหลินเตียวส่งยิ้มให้กัน แต่ก็ไม่คิดอยู่ต่อ หลังจากร่ำลามู่เฉินและชิงเหยี่ยนจิ้ง พวกเขาก็โบกมือพาเซียวเซียวและหลินจิ้งไป ขณะที่ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
“สหายน้อยไว้พบกันใหม่”
เสียงหัวเราะดังก้องไปทั่วท้องฟ้าขณะที่พวกเขาหายไป
มู่เฉินยืนนิ่งเฝ้าดูพวกเขาจากไป
“เฉินเอ๋อ เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามเป็นวีรบุรุษ แม้ว่าพวกเขาจะมาจากพิภพเขตล่าง แต่พรสวรรค์ของพวกเขาก็พิเศษเหนือกว่าทุกคนในมหาพันภพ ดังนั้นสายตาของพวกเขาจึงเฉียบแหลมมาก ในมหาพันภพมีผู้คนไม่มากที่จับตาพวกเขาได้ ข้ารู้สึกภูมิใจที่เจ้าสามารถสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งสองคนได้” ชิ้งเหยี่ยนจิ้งลูบหัวของมู่เฉินเบา ๆ ขณะที่หัวเราะ
“ผู้อาวุโสทั้งสองเป็นวีรบุรุษอย่างแท้จริง” มู่เฉินเห็นด้วย หลังจากได้พบปะพวกเขาสองคน เขาก็สัมผัสได้ถึงเสน่ห์ของทั้งสองคน
“แต่เฉินเอ๋อของแม่ก็ไม่เลว ในอนาคตเจ้าจะสามารถยืนอยู่ในระดับเดียวกับพวกเขาได้อย่างแน่นอน” ชิงเหยี่ยนจิ้งกล่าว
“ขออวยพรให้เป็นจริง”
มู่เฉินยิ้มจากนั้นก็พูดต่อ “ท่านแม่ เราจะกลับไปที่มณฑลเป่ยหลิงเมื่อไร? ท่านพ่อรอวันนี้มายี่สิบกว่าปีแล้ว…”
แม้ว่าจะไม่มีใครในเผ่าฝูถูกล้าท้าทาย ทุกคนให้ความเคารพเขา แต่มู่เฉินก็ไม่อยากอยู่ที่นี่นาน
สิ่งที่เขาต้องการทำที่สุดตอนนี้คือกลับไปที่มณฑลเป่ยหลิงพร้อมกับชิงเหยี่ยนจิ้ง
แม้ว่าที่นั่นจะกระจ้อยร่อยเมื่อเทียบกับทวีปเทียนหลัวหรือเผ่าฝูถู แต่ก็เป็นบ้านในหัวใจของมู่เฉิน
เขาเติบโตที่นั่นและได้รับความมุ่งมั่นที่จะก้าวเข้าสู่มหาพันภพจากบ้านอันอบอุ่น…
ขณะเดียวกันเขาก็ไม่เคยลืมคำสัญญาที่มีให้ต่อบิดา…
แม้ว่าชายคนนั้นจะเป็นเพียงเจ้าเขตมู่เล็กๆ แต่เขาก็เลี้ยงดูปกป้องมู่เฉินจนเติบใหญ่ ดังนั้นภาพของบิดาคือวีรบุรุษในใจของมู่เฉินเสมอ
สายตาของชิงเหยี่ยนจิ้งเหม่อลอยไปเล็กน้อยและอดไม่ได้ที่จะฉายแววตาอ่อนโยนเมื่อนึกถึงสามี “เขาไม่ทำให้ข้าผิดหวังที่เลี้ยงดูบุตรชายได้ดีพร้อมขนาดนี้”
ในเวลาเดียวกันน้ำเสียงของนางก็เต็มไปด้วยความปรารถนาเข้มข้น
“หลังจากแม่จัดการเรื่องต่างๆ ในเผ่าฝูถูเรียบร้อย ก็น่าจะเดินทางกลับพร้อมลูกได้”
รอยยิ้มเพิ่มขึ้นที่มุมริมฝีปากของชิงเหยี่ยนจิ้ง ขณะนางมองไปที่มู่เฉินก็ยิ้มกว้างออกมา “แต่ก่อนหน้านั้นข้ามีของขวัญเล็กๆ สำหรับเจ้าด้วย”
ก่อนที่มู่เฉินจะตอบ นางก็คว้าแขนบุตรชายพร้อมกับคลื่นหลิงโอบทั้งสองคนไว้
เมื่อแสงหายไปมู่เฉินก็เห็นทิวทัศน์ใหม่ ที่นี่เป็นสถานที่เก่าแก่มีเจดีย์หินสูงตระหง่านโบราณ
มู่เฉินคุ้นเคยกับสถานที่นี้ ตอนที่เขาปรับแต่งเจดีย์พุทธะก็ได้มายังสถานที่แห่งนี้ ซึ่งทำให้เขาเกือบถูกฝูถูเฉวียนจับได้ด้วย
“ท่านแม่?”
ชัดว่าเขาไม่รู้ทำไมชิงเหยี่ยนจิ้งถึงพาเขามาที่นี่
“ในเผ่าฝูถูเมื่อจอมยุทธ์บรรลุระดับเทียนจื้อจุนก็จะมีคุณสมบัติที่จะมาที่นี่และดูดซับรัศมีบรรพบุรุษเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งเจดีย์ของพวกเขาเป็นครั้งที่สอง” ชิงเหยี่ยนจิ้งยิ้ม
มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะส่ายหัว “คงไม่เหมาะสมล่ะมั้งขอรับ?”
แม้ว่าชิงเหยี่ยนจิ้งจะพูดแบบสบายๆ แต่มู่เฉินจะไม่รู้ว่าสิ่งนี้มีค่าแค่ไหนได้อย่างไร? มีจอมยุทธ์ไม่มากนักที่จะได้รับสิ่งนี้ นอกจากนี้พูดแบบตรงๆ ตัวเขาก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเผ่า
เมื่อชิงเหยี่ยนจิ้งได้ยินคำพูดเหล่านั้นก็ตอบว่า “ตอนนี้แม่เป็นผู้อาวุโสใหญ่และถ้าข้าบอกว่าเจ้ามีคุณสมบัติคุณก็คือมีคุณสมบัติ นอกจากนี้นี่ยังเป็นสิ่งที่เผ่าฝูถูเป็นหนี้เจ้า ตอนนั้นพวกเขาละเลยเจ้า ดังนั้นนี่จึงถือเป็นการขอโทษ”
เมื่อเห็นด้านเผด็จการของชิงเหยี่ยนจิ้ง มู่เฉินก็ยิ้มอย่างขมขื่นก่อนจะพยักหน้ารับ
“งั้นข้าก็ขอบคุณท่านแม่”
เขารู้ดีว่าโอกาสที่เจดีย์ของเขาจะพัฒนาเป็นครั้งที่สองนั้นหายากเพียงใด ในเมื่อตอนนี้ส่งมาถึงตรงหน้า ก็น่าเสียดายที่จะต้องสละสิทธิ์ไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น