หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1419-1422
บทที่ 1419 ผู้นำคนใหม่ตระกูลชิง
“ท่านแม่ข้าชื่อ…ชิง-เหยี่ยน-จิ้ง”
เสียงของมู่เฉินสร้างความปั่นป่วนรุนแรงทันที สมาชิกหลายตระกูลในเผ่าฝูถูลุกขึ้นจากที่นั่งด้วยสีหน้าตกตะลึง
“แม่ของเขาคือชิงเหยี่ยนจิ้ง?!”
“นั่น…คือไอ้ตัวกาลกิณีหรือ?”
“ทำไมเขาถึงกล้ามาเผ่าฝูถูของเรา? อยากติดตาข่ายตายรึไง!”
“…”
เสียงอื้ออึงดังขึ้นภายในเผ่าฝูถู ทุกคนมองไปที่มู่เฉินราวกับว่าพวกเขากำลังมองสิ่งไม่น่าเชื่อ
แม้ว่าชื่อของมู่เฉินจะไม่คุ้นในเผ่าฝูถู แต่ทุกคนก็รู้เกี่ยวกับตัวตนของเขาในฐานะตัวกาลกิณี เนื่องจากมารดาของเขาโดดเด่นเกินไป!
หลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่ง ความแข็งแกร่งนี้เป็นสิ่งที่ไม่สามารถสร้างได้แม้จะมีรากฐานแบบเผ่าฝูถูก็ตาม
การมาถึงจุดนี้ได้บ่งบอกว่าพรสวรรค์ของชิงเหยี่ยนจิ้งยอดเยี่ยมเพียงใด ตามสถานการณ์ปกตินางจะกลายเป็นประมุขเผ่าฝูถูด้วยพลังที่มี
ทว่าไม่มีใครคิดว่าชิงเหยี่ยนจิ้งจะไม่ใส่ใจเรื่องควบคุมเผ่า นางไม่เพียงออกจากตระกูล แต่ยังแต่งงานและมีลูกด้วย
ย้อนกลับไปเหตุการณ์นั้นเกือบจะทำให้เผ่าฝูถูพลิกคว่ำพลิกหงายกันหมด สร้างความโกรธเคืองให้ผู้อาวุโสใหญ่ เขาจึงกักขังชิงเหยี่ยนจิ้งเอาไว้ นอกจากนี้เขายังค้นหาข่าวลูกชายอีกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง แต่ตลอดมาก็ไม่มีวี่แววเลยสักนิดกระทั่งสองสามปีก่อน ทว่าตอนนั้นก็ทำเอาเหล่าผู้อาวุโสต่างตกตะลึง เนื่องจากมู่เฉินได้บรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนแล้ว
นอกจากนี้เขายังได้รับวิชาเจดีย์แปดองค์จากแดนเซิ่งยวนโบราณ กระทั่งเฉวียนหลัวและมั่วซินสองอัจฉริยะของเผ่าก็กลับมามือเปล่า
แต่ไม่ว่าพัฒนาการของมู่เฉินจะรวดเร็วเพียงใดทุกคนก็ไม่ได้ให้ความสำคัญ ถ้าไม่ใช่เพราะเผ่าฝูถูกลัวว่าจะทำให้ชิงเหยี่ยนจิ้งโกรธละก็ การจับกุมมู่เฉินก็เป็นเรื่องง่าย
ดังนั้นเมื่อทุกคนเห็นว่ามู่เฉินไม่คิดซ่อนตัวจากเผ่าฝูถูอีกต่อไป มิหนำซ้ำยังปรากฏตัวในช่วงเวลาดังกล่าว พวกเขาจึงรู้สึกไม่อยากเชื่อ
เมื่อเทียบกับความตกใจของผู้คน ฝูถูเฉวียนก็ค่อยๆ คืนสติ เขาจ้องมองชายหนุ่มด้วยใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นเย็นชาช้าๆ
“เจ้ากาลกิณี ช่างกล้าหาญแท้จริง! เจ้าคิดว่าไม่ต้องเกรงกลัวเพราะมีมารดาปกป้องอยู่รึ!” เสียงของฝูถูเฉวียนสะท้อนระหว่างฟ้าดินไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ
ในขณะที่เขาพูดก็ทำให้เกิดความผันผวนระหว่างชั้นฟ้าชั้นดินทั้งหลาย ความกดดันที่กำจายออกมาห่อหุ้มทั้งสวรรค์และโลกเอาไว้
เผชิญกับแรงกดดันของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง เหล่าผู้ชมก็อดไม่ได้ที่จะเผยริ้วความเคารพในสายตา
มู่เฉินก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันทำลายล้าง ภายใต้พลังนั้น แม้ว่าเขาจะบรรลุขุมพลังเทียนจื้อจุนแล้วก็ยังรู้สึกถึงความอ่อนแอของตน
“นี่คือความกดดันของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งเหรอ? สมควรเป็นสุดยอดของมหาพันภพ!”
ทว่าไม่มีความกลัวใดๆ บนใบหน้าของมู่เฉิน แม้ว่าจอมยุทธ์ระดับนี้จะทรงพลัง แต่เขาก็ใช่ว่าจะไม่เคยพบมาก่อน นอกจากนี้เมื่อเทียบกับเซียวเหยียนและหลินต้ง ฝูถูเฉวียนก็อ่อนกว่าหลายส่วนเลยทีเดียว
ดังนั้นมู่เฉินจึงหายใจเข้าลึก ปล่อยเสื้อผ้ากระพือไปตามสายลม สายตาคมชัดขึ้นพลางก้าวเท้าออกไป ทันใดนั้นความกดดันของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงก็พลุ่งพล่านออกมาจากร่างกาย
แม้ว่าจะไม่ทรงพลังเท่าฝูถูเฉวียน แต่ก็คล้ายกับภูเขาสูงตระหง่านที่ไม่ยอมแพ้ไม่ว่าจะเป็นลมพายุใดๆ ก็ตาม
แม้ว่าเขาจะไม่ทรงพลังเท่าฝูถูเฉวียน แต่เขาก็เป็นประมุขของขั้วอำนาจสูงสุดและยังเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิง ดังนั้นฝูถูเฉวียนคิดน้อยไปที่จะบีบเขาให้ทนรับแรงกดดันแบบนี้อย่างเดียว
“ระดับเทียนจื้อจุน?!”
ผู้คนจำนวนมากฉายท่าทางที่เปลี่ยนไป เมื่อความกดดันคลื่นหลิงของมู่เฉินแผ่กระจายออก โดยเฉพาะสมาชิกเผ่าฝูถู
“เป็นไปได้ยังไง?!” เฉวียนหลัวและมั่วซินเขียนความตกใจบนใบหน้า ขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยความไม่อยากเชื่อ
ต้องรู้ว่าเมื่อไม่นานมานี้ตอนที่พวกเขาพบกับมู่เฉิน อีกฝ่ายเพิ่งจะบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แล้วเขาไปถึงขุมพลังเทียนจื้อจุนได้อย่างไรในเวลาปีเดียว!
นี่ใช้พรสวรรค์และโอกาสมากแค่ไหนกัน!
พวกเขาคิดว่าตัวเองเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงในหมู่ชนชั้นสูงของเผ่าโบราณ แต่ตอนนี้กลับต้องหม่นหมองเมื่อเทียบกับตัวกาลกิณี
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ใบหน้าของทั้งสองก็เขียวคล้ำ ขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยความอิจฉาริษยา
บนภูเขาตระกูลชิง ผู้คนในตระกูลต่างตกตะลึง โดยเฉพาะพวกที่บอกว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะถึงกลืนน้ำลายอึกใหญ่
“หึ ตอนนี้รู้ระยะห่างรึยัง? เขาก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนตั้งแต่อายุยังน้อยแม้แต่เฉวียนหลัวและมั่วซินก็เทียบไม่ติด แล้วพวกเจ้าจะเอาอะไรไปแข่งกับเขา” ชิงหลิงเย้ยหยัน
จอมยุทธ์รุ่นใหม่ตระกูลชิงแลกเปลี่ยนสายตาด้วยรอยยิ้มอึดอัดใจ จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่อายุน้อยเช่นนี้หาได้ยากแม้แต่ในเผ่าโบราณ ไม่รู้จริงๆ ว่ามู่เฉินฝึกฝนอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องรู้ว่าคืออีกฝ่ายไม่ได้รับการสนับสนุนทรัพยากรใดๆ ของเผ่าเลย!
เมื่อเทียบกับมู่เฉิน พวกเขาเป็นฝุ่นแท้จริง สิ่งที่ชิงหลิงพูดคือความจริง
“สมกับเป็นลูกของท่านหญิงจิ้งจริงๆ พรสวรรค์นี้…” ผู้อาวุโสตระกูลชิงบางคนถึงกับถอนหายใจด้วยความเศร้าโศก ถ้ามู่เฉินเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลชิงละก็จะมีที่สำหรับเฉวียนหลัวและมั่วซินได้อย่างไร?
“แต่เขาไม่ควรมาที่นี่ นี่คือเผ่าฝูถู ไม่มีสิ่งใดที่เขาสามารถทำได้ด้วยพลังที่มีตอนนี้”
มู่เฉินไม่สนใจสายตาเหล่านั้น เขามองไปที่ฝูถูเฉวียนพลางยิ้ม “ข้าท่องยุทธภพไปทั่วมหาพันภพเป็นเวลาสิบกว่าปี ความกล้าหาญที่มีไม่น้อยหรอก แต่นั่นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับมารดาข้า ไม่เหมือนผู้อาวุโสใหญ่ที่ชอบใช้สิ่งนี้ในการข่มขู่เพื่อกักขังผู้หญิงคนหนึ่ง”
คำพูดของเขาแหลมคมโดยไม่ไว้หน้าฝูถูเฉวียน เนื่องจากคำพูดเหล่านี้เป็นหนามที่ฝังอยู่ในใจของเขามานานหลายปี
“อวดดี!”
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ผู้อาวุโสบางคนก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เสียงด่าเกรี้ยวกราดของพวกเขาสะท้อนออกมาพร้อมกับแรงกดดันคลื่นหลิง
“ทำไม? ผู้อาวุโสทั้งหลายคิดจะรุมจัดการข้ารึ? ก็ได้ งั้นวันนี้ข้าขอชี้แนะหน่อยละกัน!” มู่เฉินหันหน้าไปทางผู้อาวุโสเหล่านั้นก็หัวเราะอย่างไม่เกรงกลัว
“ไอ้เด็กงี่เง่า รนหาที่ตาย!” ผู้อาวุโสคนหนึ่งเตรียมพุ่งออกไปด้วยความโกรธพลางออกกระบวนท่า
“หยุด!”
ทว่าเสียงของฝูถูเฉวียนก็ดังขึ้น เขาเหลือบมองไปที่คนเหล่านั้น ทำให้พวกเขาถอยฉากไป นี่คืองานชุมนุมสายเลือดเผ่าฝูถู มิหนำซ้ำยังมีขั้วอำนาจสูงสุดของมหาพันภพรวมตัวกันที่นี่ หากเผ่าฝูถูรวมหัวกันรังแกเด็กคนหนึ่ง ก็จะเป็นการสร้างความเสื่อมเสียให้กับเผ่าได้
หลังจากที่หยุดผู้คนเอาไว้ สายตาของฝูถูเฉวียนก็จ้องไปที่มู่เฉินพูดเสียงบาดลึก “เจ้ามาที่เผ่าฝูถูของข้าเพื่อปากดีเรอะ?”
มู่เฉินส่ายหัวยิ้มอ่อน “ข้าไม่ได้น่าเบื่อขนาดนั้น การมาเยือนของข้ามาจากคำขอของใครบางคน”
“โอ้?” ฝูถูเฉวียนหรี่ตาลง
“ช่วยตระกูลชิงได้ตำแหน่งกลับมา” มู่เฉินหลุบตา
ทันทีที่เขาพูดก็ทำให้เกิดความปั่นป่วน แม้แต่ตระกูลชิงเองก็ยังตกตะลึง ชัดว่าพวกเขาไม่รู้เรื่องนี้
“ฮ่าๆ ตลกล่ะ เจ้ามีความสามารถอะไร นอกจากนี้เจ้าไม่ใช่สมาชิกเผ่าข้า จะมีสิทธิ์มาจากไหน?” เสียงเยาะเย้ยสะท้อนมาจากเฉวียนกวางที่มองมู่เฉินอย่างไม่แยแส
มู่เฉินยิ้มแล้วยกมือขึ้น ป้ายสีฟ้าอมเขียวปรากฏขึ้นในมือ “ด้วยสิ่งนี้ ข้ามีสิทธิ์หรือยัง?”
“ป้ายประจำตระกูล?”
เฉวียนกวางอดไม่ได้ที่จะหดดวงตาเมื่อเห็นป้ายในมือของมู่เฉิน
“ป้ายประจำตระกูลชิง? ชิงเทียนพวกตระกูลชิงของเจ้ากำลังทำอะไร?! ป้ายตกอยู่ในมือไอ้กาลกิณีนี่ได้ยังไง?!” มั่วถงมองไปที่ชิงเทียนขณะที่ตะเบ็งเสียงลั่น
ชิงเทียนรู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด ก่อนที่เขาจะสบตากับชิงเซวียนจากนั้นก็กัดฟันกรอด “เรื่องนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าที่จะบอกว่ามู่เฉินไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเผ่าฝูถู ถ้าเขาไม่ใช่เช่นนั้นก็ขับไล่ชิงเหยี่ยนจิ้งออกไปด้วยสิ”
“และผู้อาวุโสตระกูลชิงตัดสินใจแล้วว่าข้าไม่สามารถแบกรับตำแหน่งประมุขไว้ได้อีก ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปมู่เฉินจะเป็นประมุขคนใหม่ของตระกูลชิง หากมีข้อข้องใจก็รอเปิดสภาผู้อาวุโส อย่างน้อยตอนนี้พวกเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจได้”
ชิงเทียนรู้ดีว่าตระกูลชิงจะสูญเสียตำแหน่งในฐานะหนึ่งในสายเลือดหลักแล้ว นอกจากนี้หลายปีที่ผ่านมายังถูกกดดันโดยตระกูลเฉวียนและมั่วมาตลอด พวกเขาไม่อยากทนต่อไปอีกแล้ว
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ฝากความหวังทุกอย่างกับมู่เฉินซะจะดีกว่า!
“ชิงเทียน แก!”
ใบหน้าของเฉวียนกวางและมั่วถงเปลี่ยนไป ขณะมองอีกฝ่ายด้วยความโกรธ
ชิงเทียนเค้นเสียงใส่ ไม่สนใจสายตาเหล่านั้น เขาหมดความอดทนแล้ว ผลลัพธ์ที่แย่ที่สุดในวันนี้ก็คือพวกเขาหลุดจากหนึ่งในสายเลือดหลัก ส่วนมู่เฉินจะทำอะไรปล่อยให้ทำไปเถอะ ถือเป็นการชดใช้ให้ชายหนุ่มคนนี้
เมื่อทุกคนเห็นความขัดแย้งนี่ก็ได้แต่แลกเปลี่ยนสายตากัน พวกเขาไม่คิดว่าสถานการณ์จะพัฒนาไปสู่จุดนี้
“เอาล่ะ ทุกคนหุบปาก!”
เสียงตะโกนของฝูถูเฉวียนทำให้ทุกคนหยุด ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวจนไม่น่าดู การประลองงานชุมนุมสายเลือดกลายเป็นเรื่องตลกสำหรับคนอื่นแล้ว
เขามองไปที่มู่เฉินขณะพูดต่อ “ในเมื่อตระกูลชิงเลือกเจ้าขึ้นเป็นประมุข ดังนั้นก็ต้องผ่านความเห็นของสภาผู้อาวุโสเพื่อลบออก แม้แต่ข้าก็ไม่สามารถตัดสินใจได้ในตอนนี้”
“แต่ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นประมุข แต่ตำแหน่งในสภาผู้อาวุโสก็ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าอยากได้ก็จะได้ไป ถ้าเจ้าต้องการก็แสดงพลังให้ประจักษ์”
ในเมื่อตระกูลชิงแพ้ในการป้องกัน นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องสู้เพื่อให้ได้มา
แม้ว่ามู่เฉินจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุน แต่ก็อยู่ในระยะต้นเท่านั้น ดังนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะแย่งชิงกลับมา
มู่เฉินยิ้มเมื่อได้ยิน “นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผู้อาวุโสใหญ่ต้องกังวล”
พูดจบเขาก็ทะยานออกไปพลิ้วตัวลงบนแท่นของตระกูลเฉวียน
เวลาเดียวกันน้ำเสียงเย็นชาก็สะท้อนออกมา
“ในเมื่อตระกูลเฉวียนเอาตำแหน่งของตระกูลชิงไป ข้าก็ขอเอาคืนจากพวกเจ้า!”
บทที่ 1420 คนเดียวปะทะตระกูลเฉวียน
บนแท่นประจำตระกูลเฉวียน
ภาพเงามู่เฉินพลิ้วตัวลงมา การกระทำของเขาสร้างความปั่นป่วนไปหมด
“อะไรนั่น? เขาคิดจะท้าทายตระกูลเฉวียนเรอะ?!”
“เขายโสเกินไปแล้ว ตระกูลเฉวียนมีผู้อาวุโสเจ็ดคน เขาต้องเอาชนะอย่างน้อยสี่คนเพื่อให้ได้ตำแหน่งมานะ!”
“เจ้านั่นบ้าดีเดือดแท้จริง คิดจะเป็นงูเขมือบช้างรึไง”
“ความกล้านี่ไม่น้อยเลย แต่เขาไม่กลัวระเบิดตัวเองตายเหรอ?”
“…”
เสียงกระซิบดังไปทั่วขอบฟ้า ทุกคนตกตะลึงกับการเลือกของมู่เฉิน นั่นเป็นเพราะในมุมมองของพวกเขาตระกูลเฉวียนเคี้ยวยากที่สุดในตอนนี้
ในสายตาหลายคน การตัดสินใจของมู่เฉินไม่ฉลาดเลย
แน่นอนว่าไม่เพียงแต่ผู้ชมที่ตกตะลึงเท่านั้น แม้แต่ผู้อาวุโสตระกูลชิงก็ยังตะลึงจนพูดไม่ออก ตอนแรกพวกเขาคิดว่ามู่เฉินจะมีวิธีอื่น ใครจะไปคิดว่าจะเป็นวิธีที่ตรงไปตรงมาที่สุด
เขาจะชนะได้อย่างไร!
ตระกูลเฉวียนมีผู้อาวุโสเจ็ดคน สามคนมีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงและสี่คนอยู่ในขั้นเซียน!
หากมู่เฉินเลือกที่จะต่อสู้ เขาจะต้องเอาชนะจอมยุทธ์ถึงสี่คนเพื่อจะได้ที่นั่งเดียว มิหนำซ้ำการสนับสนุนที่ตระกูลชิงสามารถให้ได้ก็มีจำกัดมาก นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องเผชิญกับจอมยุทธ์เจ็ดคนตามลำพังหรือ?
เขาคิดจะพึ่งพาความสามารถของตัวเองในการเอาชนะตระกูลเฉวียน?
แค่ความคิดนี้ก็รู้สึกไม่น่าเชื่อสำหรับพวกเขา ท้ายที่สุดมู่เฉินเพิ่งจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะต้นเท่านั้น ขณะที่ในหมู่ผู้อาวุโสเจ็ดคน คนที่อ่อนแอที่สุดก็แข็งแกร่งกว่าเขาเลยทีเดียว
นอกจากนี้ที่สำคัญแม้ว่ามู่เฉินจะเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงทั้งสามได้ แต่เขาก็ต้องเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนอย่างน้อยอีกหนึ่งคนจึงจะชนะแบบสมบูรณ์
การต่อสู้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนด้วยขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงจินตนาการไม่ออกเลย
ดังนั้นการกระทำของมู่เฉินแทบไม่มีโอกาสชนะสักนิด
“เขาคิดจะทำบ้าอะไรนั่น?” ชิงหยุนอดไม่ได้ที่จะถาม
ชิงเทียนส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้เพราะไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมาบ่นแล้ว นอกจากนี้สถานการณ์ของพวกเขาก็ย่ำแย่ขนาดนี้ แม้ว่ามู่เฉินจะแพ้ก็ไม่ได้สูญเสียเพิ่ม อย่างมากก็แค่ขายหน้าเพิ่มอีกหน่อยเท่านั้น
ขณะที่ผู้อาวุโสทั้งสามของตระกูลชิงถอนหายใจ เฉวียนหลัวและมั่วซินก็อดเยาะเย้ยไม่ได้ “รนหาที่ตายจริงๆ มันคิดว่าตัวเองไม่ต้องกลัวอะไรหลังจากบรรลุขุมพลังเทียนจื้อจุนเรอะ? ขั้นหลิงระยะต้นไม่สามารถแตะต้องเผ่าฝูถูข้าได้หรอก!”
สมาชิกเผ่าคนอื่นๆ ก็พยักหน้า ในสายตาพวกเขา การกระทำของมู่เฉินเป็นการหาความอัปยศใส่ตัวอย่างไม่ต้องสงสัย
สมาชิกตระกูลชิงแลกเปลี่ยนสายตากัน แม้แต่ชิงหลิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวล นางตกใจกับการกระทำของมู่เฉิน
เพราะที่ต้องเผชิญคือจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเจ็ดคนเชียวนะ!
ไม่อยากเชื่อว่ามู่เฉินต้องการต่อสู้ด้วยวิธีนี้
“ยอดเยี่ยม! สมกับเป็นมู่เฉิน ความกล้าของเขาแทบจะเทียบกับท่านพ่อได้เลย! พี่เซียวเซียวคิดว่ามู่เฉินจะชนะไหม?” หลินจิ้งปรบมือขณะที่หัวเราะเบาๆ นางไม่เหมือนคนอื่นที่รู้สึกว่ามู่เฉินประเมินตัวเองสูงเกินไป กลับยังรู้สึกว่าความกล้าหาญของเขาน่าชื่นชมมากทีเดียว
เซียวเซียวไตร่ตรองคำถามนี้อย่างจริงจังก่อนที่จะมีรอยยิ้มเผยออกมา “มู่เฉินเป็นคนเจ้าวางแผน เขาจะไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม ในเมื่อเขากล้าที่จะทำก็ต้องมีความมั่นใจ”
แต่หลังจากหยุดชั่วครู่นางก็พูดต่อ “แต่ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าความมั่นใจของเขามาจากไหน”
เมื่อหลินเตียวและเย่าเฉินได้ยิน ทั้งสองคนก็สบตากันและยิ้ม “เจ้าสองคนมองเขาในแง่ดีมากเลยนะ”
แม้ว่าพวกเขาจะพูดแบบนี้ แต่พวกเขาก็ไม่คิดว่ามู่เฉินจะประมาท พวกเขาอาจไม่เข้าใจในตัวมู่เฉินอย่างลึกซึ้ง แต่ในเมื่อเขาได้รับความสำคัญจากหลินต้งและเซียวเหยียน นั่นหมายความว่าเขาต้องเป็นคนที่โดดเด่นแน่นอน
ดังนั้นไม่ยากที่เขาจะสร้างปาฏิหาริย์เหลือเชื่อขึ้นได้
เฉวียนกวางเหลือบมองไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชา แม้แต่เขาที่มักสงบก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะด้วยความโกรธเกรี้ยว “เยี่ยม! เยี่ยม! สมเป็นลูกของชิงเหยี่ยนจิ้งจริงๆ ความกล้าหาญของเจ้าไม่ธรรมดาเลย”
“แต่ก็ช่างเถอะ ข้าจะช่วยเติมเต็มความปรารถนาของเจ้า ในเมื่อเจ้าอยากสัมผัสกับพลังของตระกูลเฉวียนของข้า!”
“ผู้อาวุโสตระกูลเฉวียนอย่ารั้ง ปล่อยให้ไอ้คนบาปได้ลิ้มรสพลังของตระกูลเฉวียนของเรา!”
“รับทราบ!”
ผู้อาวุโสทั้งหกตอบรับ สายตาถมึงทึงมองไปที่มู่เฉิน ชายหนุ่มท้าทายพวกเขาต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก นี่เป็นการดูถูกอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขาจะทนได้อย่างไร?
ผู้อาวุโสใหญ่ที่เห็นฉากนี้สายตาก็วูบไหว แต่เขาไม่ได้พูดอะไร เนื่องจากในมุมมองของเขามู่เฉินหยิ่งผยองเกินไป ดังนั้นเขาต้องการที่จะให้ตระกูลเฉวียนขยี้ความผยองที่มี บอกให้รู้ว่าแม้จะไปถึงระดับเทียนจื้อจุนก็ไม่ได้มีสิทธิ์มาทำหน้ายโสโอหังในเผ่าฝูถูได้
แต่เขาก็ไม่อาจปล่อยให้ผู้อาวุโสตระกูลเฉวียนฆ่ามู่เฉินได้ มิฉะนั้นชิงเหยี่ยนจิ้งจะตามจองล้างจองผลาญเผ่าฝูถูชั่วกัปชั่วกัลป์แน่นอน หากนางโกรธขึ้นมา เผ่าก็ต้องจ่ายราคามหาศาลแม้ว่าพวกเขาจะหยุดนางได้ก็ตาม
นั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากเห็น
ขณะที่เกิดความคิดในหัวฝูถูเฉวียน มู่เฉินก็ไม่ได้สนใจสายตาโกรธเกรี้ยวของผู้อาวุโสตระกูลเฉวียน เขาทะยานไปยังแท่นประลองที่ต่ำที่สุดของตระกูลเฉวียน
ทันใดนั้นทุกสายตาก็พุ่งตรงมา
นี่คือผู้อาวุโสเฉวียนไห่อยู่ในขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะต้นซึ่งเทียบเท่ากับระดับของมู่เฉิน
แขนเสื้อคลุมเฉวียนไห่กระพือขึ้นลงพรึบพรับ สายตาจ้องมองไปที่มู่เฉินด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “ไม่คิดว่าชิงเหยี่ยนจิ้งจะมีลูกชายสมองพิการ แกมีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะต้นอาจทำตัวหยิ่งผยองในมหาพันภพได้ แต่ไม่มีประโยชน์ในเผ่าฝูถู”
ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับการเยาะเย้ย มู่เฉินก็ไม่สนใจ สายตาเขามองข้ามเฉวียนไห่ไปที่แท่นที่สูงขึ้น
“ไอ้เด็กไร้มารยาท! พ่อแม่ไม่สั่งสอน!” เมื่อเห็นว่ามู่เฉินไม่สนใจตน เฉวียนไห่ก็คำรามเสียงกร้าว
มู่เฉินถอนสายตากลับมามองเฉวียนไห่ “ไสหัวไป ถ้าแกไม่อยากโดนทรมาน”
“ไอ้หนู รนหาที่ตาย!”
ใบหน้าของเฉวียนไห่เปลี่ยนเป็นแดงก่ำขณะตะโกน ทันใดนั้นแสงไร้ขอบเขตก็ระเบิดออกจากร่าง ร่างเขาเริ่มขยายขนาดกลายเป็นยักษ์ตัวเล็กๆ
เขาเปลี่ยนเป็นกายาหลิงเทียนจุนปลดปล่อยพลังแข็งแกร่งที่สามารถทำลายสวรรค์และโลกด้วยการเคลื่อนไหวออกมา
ตู้ม!
เมื่อเฉวียนไห่เร้ากายาหลิงเทียนจุนออกมาก็ไม่ได้หยุดยั้ง เขากระทืบเท้าลงไปทำให้เกิดรอยแตกปรากฏขึ้นบนแท่นที่ทำจากวัสดุไม่ธรรมดา
ทันใดนั้นเขาก็ปรากฏตัวต่อหน้ามู่เฉินพร้อมกับแสงหนาแน่นกำจายออกมา
“ทักษะหลิงไม่เสินทง ฝ่ามือค้อนตอกวิญญาณ!”
สายตาของเฉวียนไห่กะพริบด้วยความดุร้าย เขาดึงเอาทักษะเส้นหลิงที่มีออกมาในทันที แม้ว่าเขาจะด่าว่ามู่เฉินในฐานะอาวุโสกว่า แต่เขาก็ยังดึงเอาความสามารถทั้งหมดออกมา เนื่องจากเขารู้ว่ามู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกัน ดังนั้นหากเขาไม่ได้ใช้ฝีมือเต็มที่ เขาอาจจะต้องเสียเปรียบ
ตู้ม!
ทันใดนั้นกำปั้นของเฉวียนไห่ก็ขยายขึ้นแล้วตอกลงไปทำให้มิติแตกออก
เมื่อเห็นกระบวนท่านี้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนหลายคนก็พยักหน้า เฉวียนไห่มีความสามารถแท้จริงในฐานะผู้อาวุโสของเผ่าฝูถู
ทว่าพวกเขาก็ต้องอึ้งไปเมื่อมองไปที่มู่เฉิน เนื่องจากเห็นว่ามู่เฉินไม่ได้ออกกระบวนท่าอะไร ปล่อยให้กำปั้นอีกฝ่ายซัดมาตรงๆ
“ไอ้เด็กนี่ ไม่รู้หลบเลยเรอะหรือว่าบ้าไปแล้วจริงๆ?”
ผู้คนมองหน้ากัน เฉวียนไห่คว้าโอกาสออกกระบวนท่าก่อนซึ่งรุนแรงมาก โดยทั่วไปจะเลือกหลบหนีก่อนแล้วค่อยหาโอกาสพลิกสถานการณ์ แต่ทำไมมู่เฉินถึงยืนอยู่ตรงเหมือนท่อนไม้อย่างไรอย่างนั้น?
ภายใต้สายตาตะลึงนับไม่ถ้วน หมัดก็พุ่งเข้ามาถึงตัว ทว่าเมื่อหมัดกำลังจะกระทบกับหน้าอกมู่เฉิน เขาก็เคลื่อนไหวในที่สุด
เขายืดฝ่ามือออกพลางสัมผัสกับหมัดเบาๆ
ปัง!
จังหวะที่สัมผัสกันก็สร้างความปั่นป่วนขนาดใหญ่ คลื่นกระแทกที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากระจายออกไป ทำให้แท่นสั่นสะเทือน รอยแตกกระจายอยู่ข้างใต้
กลุ่มควันค่อยๆ สลายลง
ทุกสายตาจ้องไปเบื้องหน้าก่อนที่ความตกใจจะพล่านบนใบหน้า พวกเขาเห็นมู่เฉินยืนตระหง่านราวกับภูเขาอยู่บนแท่นประลอง
พื้นโดยรอบกลายเป็นเถ้าถ่าน มีเพียงพื้นที่เดียวที่เขายืนอยู่ที่ปกติ มากจนเขาไม่ได้ขยับตัวเลยด้วยซ้ำ
โห้!
ความปั่นป่วนเกิดขึ้นทันที จอมยุทธ์พลังเทียนจื้อจุนจำนวนมากหดดวงตา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่คิดมาก่อนว่ามู่เฉินจะรับการโจมตีได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
สีหน้าเฉวียนไห่ก็เปลี่ยนเช่นกัน เนื่องจากเขารู้สึกได้ว่าหมัดเหมือนตกลงไปในหลุมดำ ร่างกายของมู่เฉินราวกับหลุมดำ ไม่ว่าเขาจะปลดปล่อยพลังงานออกมาอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์
ความไม่สบายใจผุดขึ้นในใจ เขาอยากจะถอยหนี ตอนนี้เขาต้องใช้กายาหลิงเทียนจุนต่อสู้แล้ว
แต่เมื่อเขาคิดจะถอย มู่เฉินก็คว้ากำปั้นของเขาเอาไว้ ทำให้เขาไม่สามารถถอยไปได้
เฉวียนไห่เงยหน้าขึ้นก็เห็นดวงตามู่เฉินที่อัดแน่นด้วยความคมกริบและไม่แยแส
“ในเมื่อเจ้าใช้ทักษะหลิงไม่เสินทงแล้ว ลองชิมของข้าดูบ้าง”
มู่เฉินหรี่ตาและก่อนที่เฉวียนไห่จะตอบสนอง เพลิงสีม่วงก็ลุกขึ้นบนฝ่ามือห่อหุ้มกำปั้นเฉวียนไห่เอาไว้
ขณะที่เพลิงปกคลุม เฉวียนไห่ก็ตกใจ เขารีบตอบโต้ด้วยคลื่นหลิงโดยสัญชาตญาณ เพื่อดับเพลิง
ฟู่ ฟู่!
ทว่าสถานการณ์ต่อมาทำให้เขาตกใจเกือบสิ้นสติ คลื่นหลิงของเขากลับเติมเชื้อไปให้กับเพลิงสีม่วงแทนที่จะดับลง อุณหภูมิที่น่าสะพรึงกลัวแผ่ออกมาทำให้กระทั่งกายาหลิงเทียนจุนของเขายังเจ็บปวดไปหมด
อ๊าก!
เสียงกรีดร้องน่าสังเวชดังก้องออกมาจากปาก ขณะที่เขาถอยออกไปราวกับลูกบอลไฟ ไม่ว่าเขาจะพยายามใช้คลื่นพลังอย่างไร ก็ไม่สามารถดับเพลิงสีม่วงได้ ร่างกายของเขาเริ่มลุกไหม้จากอุณหภูมิที่สูง
มู่เฉินก้าวออกไปวาดท่อนขาฟาดหน้าแข้งเข้าที่ปากของเฉวียนไห่ พลังที่ส่งออกมาทำให้ฟันในปากแตกละเอียดทันที จากนั้นปลิวออกไป
ฉากนี้ทำให้ทุกคนตะลึง เฉวียนไห่ไม่สามารถรับกระบวนท่าของมู่เฉินได้แม้แต่ครั้งเดียวรึ?
เมื่อเสร็จสิ้นทุกอย่าง มู่เฉินก็ไม่ใส่ใจต่อเสียงกรีดร้องของเฉวียนไห่ เขาก็เงยหน้าขึ้นมองผู้อาวุโสคนอื่นของตระกูลเฉวียนซึ่งมีสีหน้าเปลี่ยนไป เสียงของเขาดังก้อง
“รับไม่ได้สักกระบวนท่า สะกิดเดียวก็แพ้ คนต่อไปเชิญ”
บทที่ 1421 หนึ่งกระบวนท่าต่อศัตรูหนึ่งคน
“ขยะจริงๆ คนต่อไป”
เมื่อเสียงไม่แยแสของมู่เฉินดังขึ้น ทั่วบริเวณก็เงียบกริบลง มีเพียงเสียงโหยหวนของเฉวียนไห่เท่านั้นที่สะท้อนออกมา
สายตาทุกคนเต็มไปด้วยความตกตะลึงขณะมองไปยังภาพเงาอ่อนเยาว์
ไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินจะจัดการกับเฉวียนไห่ได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ นั่นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนนะ! แม้จะอยู่ในขั้นหลิง แต่ก็มีฐานะเป็นราชันที่ใดก็ได้ในมหาพันภพ แต่ตอนนี้กลับพ่ายแพ้หลังจากการโจมตีกระบวนท่าเดียวจากมู่เฉิน
พ่ายแพ้ยับเยิน
“นั่นคือจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนนะ!” หลายคนเปล่งคำพูดออกจากลำคออย่างยากลำบาก
“เป็นไปได้ยังไง?!” เฉวียนหมัวและมั่วซินเขียนความตกใจไว้บนใบหน้าราวกับเห็นผี เมื่อครู่พวกเขาต้องการดูว่ามู่เฉินจะทำตัวโง่ๆ ออกมาอย่างไร แต่พริบตากลายเป็นพวกเขาที่โง่เอง
สมาชิกตระกูลเฉวียนและมั่วฉายอาการตกตะลึงบนใบหน้า แต่ละคนกลืนน้ำลายไม่หยุดมองไปที่มู่เฉินด้วยความกลัว
ส่วนสมาชิกตระกูลชิงพากันแลกเปลี่ยนสายตา เหงื่อเม็ดเป้งผุดบนหน้าผากเต็มไปหมดพลางพึมพำ “น่ากลัวเหลือเกิน…”
ดวงตาของชิงหลิงระยิบระยับขณะจ้องมองภาพเงาอ่อนเยาว์ นางรู้สึกว่าหัวใจตนเองเป็นลอนคลื่น เมื่อเทียบกับชายคนนั้น พวกที่โอ่ตัวเองว่าเป็นอัจฉริยะของเผ่าฝูถูเทียบกันไม่ได้เลย
“เปลวไฟนั่นไม่ธรรมดา”
ชิงเทียนก็ตกตะลึงไปกับฉากนี้ ตัวเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน ดังนั้นจึงสามารถบอกได้ว่าเปลวไฟสีม่วงครอบงำอย่างไร ซึ่งนั่นทำให้เฉวียนไห่สูญเสียพลังไปในทันที
“สมกับเป็นบุตรชายของท่านหญิงจิ้งแท้จริง” ชิงหยุนถอนหายใจ ก่อนหน้านี้เขารู้สึกว่ามู่เฉินช่างบ้าบิ่น แต่ดูตอนนี้อีกฝ่ายจะทำสิ่งนี้ได้จริง
กำปั้นของชิงเซวียนคลายออกด้วยรู้สึกโล่งใจอย่างมาก แต่ไม่นานสายตาของนางก็เปลี่ยนไปเป็นกังวล นางรู้ว่านี่เป็นเพียงยกแรก ในบรรดาผู้อาวุโสทั้งเจ็ดของตระกูลเฉวียน มู่เฉินจะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นต่อไป
ความเงียบระหว่างสวรรค์และโลกคงอยู่เป็นเวลานาน ก่อนที่เสียงกระซิบกระซาบจะดังขึ้น หลายคนจ้องมองเปลวไฟสีม่วงบนร่างเฉวียนไห่ด้วยความกลัวในดวงตา
กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะต้นก็ต้านไม่ได้ แสดงให้เห็นว่าเปลวไฟสีม่วงครอบงำอย่างไร
เมื่อฝูถูเฉวียนเฝ้ามองฉากนี้คิ้วก็ขมวดขึ้นก่อนที่จะโบกมือ มือล่องหนเคลื่อนลงมาดึงเปลวไฟสีม่วงออกไปจากร่างเฉวียนไห่ แล้วก่อตัวเป็นหลุมดำดักจับเปลวไฟเอาไว้
คลื่นหลิงของฝูถูเฉวียนมีความสามารถในการปิดผนึกที่ทรงพลัง ซึ่งทำให้แม้แต่เพลิงม่วงกลืนวิญญาณของมู่เฉินก็ไม่สามารถกลืนกินได้ ดังนั้นเพลิงจึงค่อยๆ สลายตัวไป
ฉากนี้ทำให้หลายคนหดดวงตา แม้แต่ฝูถูเฉวียนก็ต้องใช้เวลาพอสมควรเพื่อดับเปลวไฟนี้ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าเป็นปัญหาเพียงใด
เมื่อเปลวไฟสลายลง ร่างเฉวียนไห่ก็เผยให้เห็น ทั่วร่างดำไหม้เกรียม แม้แต่เนื้อก็ละลายจนเผยให้เห็นกระดูก
ขณะนี้สภาพของเฉวียนไห่ดูไม่จืด เขาได้รับบาดเจ็บหนักอย่างชัดเจน
ต้องรู้ว่าหลังจากจอมยุทธ์ก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน ร่างกายของผู้ฝึกจะถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานหลิงที่ทรงพลังแข็งแกร่ง แต่ถึงอย่างนั้นเฉวียนไห่ยังถูกทำให้อยู่ในสภาพเช่นนี้โดยเปลวเพลิง
“ไอ้หนู แกนี่เหี้ยมจริงๆ!”
ใบหน้าของเฉวียนกวางเขียวคล้ำ การกระทำของมู่เฉินทำให้ตระกูลเฉวียนราวกับถูกตบหน้าเลยทีเดียว
“ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน ในเมื่อผู้อาวุโสเฉวียนไห่ใช้ทักษะหลิงไม่เสินทง ข้าก็แค่ให้กลับคืนเท่านั้น” มู่เฉินไม่สนใจเฉวียนกวาง พูดขึ้นด้วยเสียงนิ่งเฉย
“นั่นคือทักษะหลิงไม่เสินทง! แต่ดูจากพลังก็ต้องถึงขั้นเสินแน่! แค่ไม่รู้ว่านี่คือเจ็ดหรือแปดชีพจรกัน” สายตาของหลายคนวูบไหว ระยะชีพจรไม่ต่ำแน่เนื่องจากดูได้จากพลัง
เฉวียนกวางจ้องไปที่มู่เฉินด้วยสายตามืดครึ้มพลางตะเบ็งเสียงออกมา ก่อนที่จะหันไปหาผู้อาวุโสอีกคน “เฉวียนเฟิง ต่อไปตาเจ้า อย่าสัมผัสร่างมัน”
สายตาเฉวียนกวางเฉียบแหลม เขาสามารถบอกได้ว่าแม้ว่าเปลวไฟสีม่วงของมู่เฉินจะครอบงำ แต่ก็ไม่ได้รวดเร็วและสามารถหลีกเลี่ยงได้
เฉวียนเฟิงพยักหน้า เขาไม่ได้ประเมินมู่เฉินต่ำอีกต่อไป สายตาแหลมคมของเขาจ้องมองไปที่อีกฝ่ายพูดว่า “งั้นข้าขอลิ้มรสพลังเจ้าหน่อย”
มู่เฉินยิ้มบางจากนั้นก็พุ่งไปที่แท่นของเฉวียนเฟิง ชายคนนี้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลางและเป็นคนต่อไปที่เขาคิดจะจัดการ
ตู้ม!
เมื่อเฉวียนเฟิงเห็นมู่เฉินมาถึงก็ไม่พูดอะไร แต่วาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว เขาเร้าพลังกายขึ้นมาทันที ทันใดนั้นรัศมีก็ระเบิดออก ร่างเวทสวรรค์ขนาดหลายหมื่นจั้งก็ก่อตัวขึ้น
เรียนรู้จากความผิดพลาดของเฉวียนไห่ เฉวียนเฟิงก็นำร่างเวทสวรรค์ออกมาทันทีตั้งแต่เริ่ม ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องกลัวแม้ว่าจะปะทะกัน
เฉวียนเฟิงมีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลางซึ่งเป็นระดับที่แข็งแกร่งกว่าเฉวียนไห่
เมื่อร่างเวทสวรรค์สะท้อนอยู่ในดวงตาของมู่เฉินก็เรียกรอยยิ้มเย็นชาบนริมฝีปาก เขาเต็มไปด้วยความเกลียดชังที่มีต่อตระกูลเฉวียนและมั่ว ดังนั้นเขาจึงไม่มีความตั้งใจที่จะรักษาหน้าอีกฝ่าย
ในเมื่ออีกฝ่ายคิดจะสู้ เขาก็ต้องดึงพลังทั้งหมดออกมาและเหยียบตระกูลเฉวียนให้จมดิน
ขณะเดียวกันเขาก็จะระบายความอัดอั้นที่มีมาตลอดยี่สิบกว่าปี!
“มู่เฉินเข้ามาเลย! ให้ข้าดูสิว่าแกทำอะไรได้บ้าง!” ด้วยการปกป้องร่างเวทสวรรค์ เฉวียนเฟิงก็มีความมั่นใจเพิ่มขึ้นขณะส่งเสียงร้อง
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองไปที่เฉวียนเฟิงจากนั้นก็เค้นเสียงเย็น “แกคิดว่าร่างเวทสวรรค์สามารถปกป้องได้ หรือ?”
สายตาของเฉวียนเฟิงเย็นเยือกขณะสบถด่า “อวดดี! แกก็ลองดูสิ…หืม?!”
ทว่าก่อนที่เขาจะพูดจบท่าทางก็เปลี่ยนไป เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าก็เห็นเจดีย์ผลึกใสปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของตนเอง
“นั่นมัน…เจดีย์พุทธะ?!”
เมื่อเจดีย์ผลึกใสปรากฏขึ้นก็ก่อให้เกิดความปั่นป่วนในเผ่าฝูถูทันที พวกเขารู้ว่ามีเพียงผู้ที่ได้ฝึกวิชามหาเจดีย์โบราณเท่านั้นที่สามารถสร้างเจดีย์ได้และมีเพียงสายเลือดบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะได้ครอบครองเจดีย์พุทธะ
แม้แต่ในบรรดาจอมยุทธ์รุ่นใหม่เผ่าฝูถูก็มีเพียงเฉวียนหลัวเท่านั้นที่สามารถสร้างขึ้นมาได้ แต่เมื่อมองจากความกระจ่างใสเฉวียนหลัวด้อยกว่ามู่เฉินหลายส่วนเลยทีเดียว
ตู้ม!
เจดีย์พุทธะบีบกดลงมากะทันหัน บดลงที่ร่างเวทสวรรค์ของเฉวียนเฟิง
เฉวียนเฟิงหดดวงตาหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะคำรามลั่น พายุทอร์นาโดสีฟ้าอมเขียวสิบลูกพุ่งออกมาซัดเจดีย์พุทธะเพื่อขัดขวางเอาไว้
ในเวลาเดียวกันพายุสีฟ้าอมเขียวแหลมคมก็กวาดออกทำให้เกิดประกายไฟบนพื้นผิวของเจดีย์สั่นสะเทือนไปพร้อมกัน
“หึ แกคิดว่าจะปราบข้าด้วยเจดีย์พุทธะหรือ? ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว!” เฉวียนเฟิงรู้สึกโล่งใจหลังจากหยุดเจดีย์พุทธะได้ก่อนที่จะเค้นเสียงเย็น
ทว่าบนใบหน้าของมู่เฉินกลับมีรอยยิ้มแปลกประหลาดเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น
ในเวลาเดียวกันเฉวียนกวางก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป “ระวัง! ไอ้เด็กสารเลวนี่ฝึกฝนวิชาเจดีย์แปด…”
ตู้ม!
แต่ก่อนที่เขาจะจบประโยค เจดีย์พุทธะก็สั่นสะท้าน เกลียวแสงสีดำแปดสายแผ่ออกมาจากเจดีย์ก่อร่างเป็นร่างปีศาจแปดร่าง
เมื่อปีศาจปรากฏตัว พวกมันก็ปลดปล่อยแรงกดดันที่น่ากลัวพลางเหยียดนิ้วชี้ลงไปที่ร่างเวทสวรรค์ของเฉวียนเฟิง
ชี่!
ลำแสงที่น่ากลัวทั้งแปดรวมตัวกันและพุ่งลงมา
ตู้ม ตู้ม!
พายุทอร์นาโดสิบลูกแตกสลายไปโดยลำแสง ใบหน้าของเฉวียนเฟิงเปลี่ยนไปรุนแรงเมื่อเห็นสิ่งนี้ ร่างกายเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว หลอมรวมเข้ากับร่างเวทสวรรค์
ตู้ม!
แต่ลำแสงที่น่าสะพรึงกลัวราวกับดัชนีทำลายล้าง ไม่มีการหยุดชะงักใดๆ พุ่งเข้าใส่ร่างเวทสวรรค์อย่างจัง
ปัง ปัง ปัง!
ความปั่นป่วนที่น่ากลัวกระจายออก ทุกคนตกใจเมื่อเห็นว่าลำแสงสีดำทะลุผ่านร่างเวทสวรรค์ ฉีกมันออกเป็นชิ้นๆ
ตึง!
ร่างเวทสวรรค์ระเบิด คลื่นกระแทกพัดออกไปหลายแสนลี้ ทำให้ภูเขาที่อยู่ใกล้สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น หากไม่ใช่การปกป้องของจอมยุทธ์จำนวนมาก พื้นที่นี้ทั้งหมดคงจะยุบตัวไปถึงปากทางนรกแล้ว
ทว่าไม่มีใครให้ความสนใจกับเรื่องนี้ สายตาของพวกเขาจับจ้องไปที่จุดกำเนิดคลื่นกระแทก ร่างเวทสวรรค์แตกเป็นเสี่ยงๆ เงาร่างหนึ่งดิ่งพสุธาลงมาจากท้องฟ้า
สายตาของมู่เฉินวูบไหวขณะที่กระโจนออกไป ฝ่าเท้าเหยียบลงบนร่างที่ดิ่งลงมา พวกเขาเหมือนอุกกาบาตสองลูกตกลงบนแท่น
ตู้ม!
ทั้งแท่นพังทลาย
มู่เฉินยืนเหยียบกลางอกเฉวียนเฟิงที่ยุบลงพร้อมกับเลือดไหลนอง แม้แต่คลื่นหลิงก็ลดน้อยลง สะท้อนให้เห็นถึงการบาดเจ็บหนักของเขา
ทันใดนั้นทุกคนก็สูดอากาศเย็นลึกสุดปอด กระบวนท่าเดียวอีกแล้ว!
แค่กระบวนท่าเดียว เขาเอาชนะเฉวียนเฟิงที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลางได้!
มู่เฉินคนนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว!
“นั่นคือ…วิชาเจดีย์แปดองค์!”
มีเพียงผู้อาวุโสของเผ่าฝูถูที่สีหน้าเปลี่ยนไป เมื่อพวกเขาจดจำได้ว่ามู่เฉินใช้หนึ่งในวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่าที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของเผ่าฝูถู—วิชาเจดีย์แปดองค์!
มู่เฉินยกเท้าออกอย่างไม่แยแสและไม่พูดอะไร ภายใต้สายตาตะลึงกลัวนับไม่ถ้วน เขาก็ทะยานขึ้นไปยังอีกแท่นหนึ่ง
เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่อีกฝ่าย นี่ก็คือเฮยกวางที่เคยพบกันมาก่อน
นอกจากนี้ยังเป็นคนที่ยุยงให้เฉวียนเทียนมาจัดการกับเขา
ทว่าขณะนี้เฮยกวางกำลังมองมาที่เขาด้วยความกลัว ชัดว่านึกไม่ถึงที่เมื่อสองปีก่อนมู่เฉินเป็นเพียงจอมยุทธ์ตี้จื้อจุนขั้นเต็มจะกลับมาพร้อมความน่ากลัวขนาดนี้
สายตาเย็นเยือกของมู่เฉินมองไปที่เฮยกวาง ตอนนั้นในแดนเซิ่งยวนชายผู้นี้ใช้ประโยชน์จากขุมพลังที่มีกลั่นแกล้งเขา ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่พวกเขาจะชำระหนี้แค้นแล้ว
“ถึงตาแกแล้ว วันนี้มาชำระหนี้เก่าและใหม่ไปพร้อมกันเลย”
บทที่ 1422 สู้กับเฮยกวางอีกครั้ง
ขณะที่มู่เฉินพลิ้วตัวลงบนแท่นของเฮยกวาง
ทุกคนยังคงนิ่งเงียบไปด้วยความตกตะลึงกับฉากเมื่อครู่
ความเงียบกินเวลานานก่อนที่ใครบางคนจะพึมพำ “นั่นคือ…วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่า—วิชาเจดีย์แปดองค์ใช่ไหม?”
จอมยุทธ์ขั้วอำนาจต่างๆ ล้วนมีประสบการณ์ที่ไม่ธรรมดา ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มจดจำวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานที่มู่เฉินใช้ได้
ความสามารถในการทำลายล้างของลำแสงสีดำเหล่านั้นทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนหลายคนรู้สึกหนังหัวชาวาบไปหมด ด้วยพลังนี้จะมีอะไรอีกนอกเหนือจากการเป็นหนึ่งวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่าได้?
“ไม่คิดว่าเขาจะฝึกสำเร็จได้จริงๆ” ผู้อาวุโสเผ่าฝูถู โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่จากตระกูลเฉวียนและมั่วก็พากันดวงตาแดงก่ำขึ้น ขณะมองไปที่มู่เฉิน แววตาแต่ละคนดูเหมือนมีความต้องการที่จะฉกมาเป็นของตัวเอง
ในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน พวกเขารู้ว่าหนึ่งในวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่าหมายถึงอะไร หากพวกเขาได้ครอบครอง พวกเขาก็จะอยู่ยงคงกระพันท่ามกลางจอมยุทธ์ในระดับเดียวกัน
ลองคิดดูสิว่ามีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนกี่คนในมหาพันภพ? ทว่าวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานมีเพียงสามสิบหกกระบวนท่า แสดงให้เห็นว่ามันมีค่าเพียงใด
แม้เผ่าฝูถูจะมีรากฐานหยั่งลึก พวกเขาก็ไม่มีทักษะอะไรที่สามารถเทียบเคียงกับวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่าได้
ชิงซวงเอามือปิดปากแน่น จ้องมองด้วยอารมณ์หลากหลาย นางไม่สามารถรักษาความเยือกเย็นไว้ได้อีกต่อไป
ตอนแรกพวกนางคิดว่าตระกูลชิงคงสิ้นท่า แต่ใครจะคิดว่ามู่เฉินจะปรากฏตัวและเหมือนจะพลิกสถานการณ์ได้
“มู่เฉิน สู้ๆนะ!” ชิงซวงพึมพำ
หลิงซีตบไหล่นางเบาๆ ทำให้รู้สึกเก้อเขินและสงบลง
“พี่ใหญ่หลิงซี มู่เฉินจะชนะไหม?” ชิงซวงถามด้วยความคาดหวัง นางรู้ดีแม้ว่ามู่เฉินจะชนะไปได้สองยก แต่คู่ต่อสู้ของเขาก็จะแข็งแกร่งขึ้น
หลิงซียิ้มพูดแบบไม่ปิดบัง “ไม่ต้องกังวล ในเมื่อมู่เฉินเลือกที่จะออกโรง นั่นหมายความว่าเขามั่นใจ เรารอดูเหตุการณ์ทั้งหมดเท่านั้น”
ชิงซวงพยักหน้าพลางมองไปที่ร่างสูงโปร่งด้วยดวงตางดงาม
หลินจิ้งปรบมือหัวเราะร่า “มู่เฉินชนะได้เยี่ยมจริงๆ!”
มู่เฉินไม่มีความคิดหยั่งเชิงระหว่างการประลองสองยกก่อนหน้า เขาดึงพลังทั้งหมดออกมา ยอมเสี่ยงแม้กระทั่งเปิดเผยไพ่ตาย นี่ทำให้เขาประสบความสำเร็จอันรุ่งโรจน์ เขาชนะอย่างสง่างามด้วยสองกระบวนท่า ซึ่งทำให้เลือดในกายทุกคนลุกเป็นไฟ
เซียวเซียวพยักหน้าด้วยความชื่นชมในดวงตา
“ดูเหมือนมู่เฉินจะไม่พอใจมากกับเผ่าฝูถูนะเนี่ย” เย่าเฉินหัวเราะเบาๆ เขาสามารถบอกได้เลยว่ามู่เฉินทำอย่างนั้นแบบตั้งใจ การเดินทางมาเยือนที่นี่ของเขาก็เพื่อระบายความโกรธที่ฝังแน่นอยู่ในใจมานานกว่ายี่สิบปี เพราะบิดามารดาของเขาต้องแยกจาก โดยที่บิดาต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ส่วนมารดาก็ถูกคุมขัง ดังนั้นต้องคว้าชัยชนะอย่างงดงามให้ได้
ซึ่งนั่นหมายความว่าตระกูลเฉวียนจะต้องอับอายขายขี้หน้า
“แต่การต่อสู้ประเภทนี้ต้องมีความมั่นใจเต็มที่ หากทั้งสองฝ่ายมีพลังเท่ากันการเปิดเผยไพ่ตายก่อนจะทำให้เสียประโยชน์” หลินเตียวพยักหน้าและประเมินผล แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เผยความชื่นชมบนใบหน้า ในเมื่อมู่เฉินเลือกวิธีการต่อสู้แบบนี้ก็หมายความว่ามีความมั่นใจ
นี่เป็นสิ่งที่เขาเคยเห็นจากหลินต้ง
ใบหน้าของเฮยกวางเปลี่ยนไปอย่างน่ากลัว
เมื่อมองไปที่ชายหนุ่มที่เยื้องย่างเข้ามา ก็เกิดความกลัวลึกๆ ในดวงตา
ไม่ว่าจะด้วยเพลิงสีม่วงหรือวิชาเจดีย์แปดองค์ ก็ทำให้เฮยกวางรู้สึกขนพองสยองเกล้า
แม้ว่าขุมพลังของเขาจะเหนือกว่าเฉวียนไห่และเฉวียนเฟิง แต่ถึงจะอยู่ในขั้นหลิงระยะปลายเขาก็ยังไม่มั่นใจที่จะเผชิญหน้ากับมู่เฉิน
“ให้ตายเถอะ ไอ้เวรนี่ทรงพลังขนาดนี้ได้ยังไง!”
เฮยกวงสาปแช่งในใจด้วยความเสียใจ เขาไม่ได้เสียใจที่ยั่วยุมู่เฉินในอดีต แต่รู้สึกเสียใจที่ไม่เด็ดขาดพอจะฆ่ามู่เฉินตอนที่ยังมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม
ต่อให้จะไม่ได้ฆ่ามู่เฉิน แต่อย่างน้อยก็ควรทำให้พิการได้ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้ไม่ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากเช่นวันนี้
“แกกำลังคิดว่าทำไมถึงไม่ฆ่าข้าตอนนั้นใช่ไหม?” ขณะที่ดวงตาเฮยกวางวูบไหว มู่เฉินก็จ้องมองเขาพลางยิ้ม
เฮยกวางตัวสั่นสะท้าน แม้มู่เฉินจะยิ้ม แต่ก็สัมผัสได้ถึงความเย็นชาและเจตนาฆ่าในน้ำเสียงได้
ทว่ายังไงเขาก็เป็นผู้อาวุโสเผ่าฝูถูที่มีตำแหน่งสูงล้ำ ดังนั้นไม่ช้าเขาก็สงบตัวเองลงพลางมองไปที่มู่เฉินอย่างน่ากลัว “มู่เฉินอย่าได้ใจนัก เป็นการดีสำหรับชายหนุ่มที่จะมีความทะเยอทะยาน แต่ความทะเยอทะยานที่เร่งเกินไปจะสะดุดได้นะ”
“ถ้าตระกูลเฉวียนมีความสามารถเพียงพอก็พิสูจน์ให้เห็นสิ” มู่เฉินตอบอย่างไม่เร่งรีบ
“แก!”
เฮยกวงหัวร้อนเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธ แต่ก็ยังหวาดกลัวสายตาเย็นชาของมู่เฉินอยู่
“ไง ไม่สู้เหรอ?” มู่เฉินมองอีกฝ่ายพลางเอ่ยเสียงไม่แยแส เขายื่นมือออกมาแสงหลิงแล่นแปลบปลาบบนนิ้ว “ถ้าเจ้าไม่โจมตี งั้นข้าเริ่มละนะ”
เฮยกวางกัดฟัน ทว่าเมื่อเขากำลังจะหมุนเวียนคลื่นหลิง เสียงหนึ่งก็ถูกส่งมาที่โสตประสาท “เฮยกวาง ใช้ทักษะลับซะ แม้ว่าจะไม่สามารถชนะได้ แต่อย่างน้อยก็ทำให้เขาหมดกำลังใจ จะมีคนจัดการกับเขาภายหลังเอง”
เมื่อเฮยกวางได้ยินคำพูดนั่น สายตาก็วูบไหวก่อนจะเหลือบมองไปที่เฉวียนกวาง ชัดว่าเป็นเสียงอีกฝ่าย
“ทักษะลับ?” เฮยกวงลังเล เขารู้ว่าตนเองจะต้องอ่อนแอลงอย่างน้อยครึ่งปีถ้าทำเช่นนั้น
แต่เขารู้ถึงความตั้งใจของเฉวียนกวางเช่นกัน ตอนนี้มู่เฉินฮึกเหิมเกินไป แม้ว่าในท้ายที่สุดจะไม่ได้รับชัยชนะสี่ครั้ง แต่ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ตระกูลเฉวียนอับอายขายหน้า
ท่ามกลางธารกำนัลตระกูลเฉวียนต้องอับอายจากตัวกาลกิณี
ดังนั้นเฮยกวางไม่ยอมให้มู่เฉินได้รับชัยชนะอย่างง่ายดายหรอก
เขาต้องขัดขวางมู่เฉินเพื่อให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนจัดการกับเขาได้อย่างง่ายดาย
“ได้!”
แม้จะลังเลเฮยกวางก็กัดฟัน เขารู้ว่าตนเองไม่มั่นใจในการเผชิญหน้ากับมู่เฉิน แล้วทำไมไม่เสี่ยงล่ะ?!
‘ไอ้เด็กเหลือขอ ข้าจะแสดงความหมายของการถูกตัดขาดเอง!’
เฮยกวางยิ้มเยาะในใจ จากนั้นก็ถอยพลางเย้ยหยัน “มู่เฉินอย่าได้ใจ ลองรับหนึ่งกระบวนท่าของข้ามั่ง!”
ตู้ม!
พูดจบ เกลียวแสงนับไม่ถ้วนถักทอที่ด้านหลังเฮยกวาง ร่างเวทสวรรค์ปรากฏขึ้นพร้อมกับปลดปล่อยพายุระหว่างสวรรค์และโลกออกมา
เมื่อร่างเวทสวรรค์ถูกเร้า เฮยกวางก็หายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะสร้างตราประทับแปลกประหลาดขึ้น
ในเวลาเดียวกันร่างเวทสวรรค์ที่อยู่เบื้องหลังก็สร้างตราประทับตามด้วย
เมื่อชิงเทียน ชิงเซวียนและชิงหยุนเห็นเช่นนั้น ดวงตาก็หดลงขณะที่ตะโกนลั่น “ไร้ยางอาย! มันคิดจะใช้ทักษะลับ!”
เฮยกวางเผยรอยยิ้มน่าสยดสยองขณะพูดอย่างน่าขนลุก “ในเมื่อแกคิดบีบข้า ดังนั้นอย่าโทษว่าข้าโหดเหี้ยม!”
สิ้นเสียงพูดท้องของเขาก็บวมขึ้น ท้องของร่างเวทสวรรค์ก็บวมขึ้นเช่นกัน อึดใจเขาก็อ้าปากพ่นลมหายใจออกทันที
ดวงดาวพรั่งพรูออกมาจากปากของร่างเวทสวรรค์ ด้วยการเคลื่อนไหวก็ราวกับว่าสามารถทำลายทุกสรรพสิ่งได้
เมื่อดวงดาวพรั่งพรูออกมาไม่หยุด ร่างเฮยกวางก็แห้งตอบลงอย่างรวดเร็ว ร่างเวทสวรรค์จางลง พวกเขาเทพลังทั้งหมดลงในดวงดาวนับไม่ถ้วนนี้
เมื่อเหล่าจอมยุทธ์เห็นฉากนี้ ใบหน้าก็เปลี่ยนไปพลางอุทานลั่น “เฮยกวางบ้าไปแล้ว! เขาจะสลายร่างเวทสวรรค์ด้วยเหรอเนี่ย?!”
ร่างเวทสวรรค์เป็นหนึ่งในทักษะการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ถ้าสลายก็ต้องใช้เวลาและพลังงานมากในการสร้างใหม่ นอกจากนี้ยังอาจมีผลสะท้อนกลับมาอีกด้วย!
ดังนั้นจึงแทบไม่มีใครใช้วิธีนี้ มันเป็นการทำร้ายตัวเองในทางปฏิบัติก่อนที่จะทำร้ายศัตรู ซึ่งเหมือนกับการฆ่าตัวตาย
ฟู่ ฟู่!
ดวงดาวส่งเสียงหวีดหวิวโอบล้อมมู่เฉิน การเคลื่อนที่ทำให้ดูเหมือนว่าพวกมันสามารถทำลายดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ได้
ผู้คนฉายสีหน้าเคร่งเครียด มู่เฉินยโสเกินไปซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเฮยกวางถึงยอมทำเช่นนี้เพื่อรักษาหน้าตระกูลเฉวียน
“เฮยกวางเหี้ยมจริงๆ ตอนนี้มู่เฉินมีปัญหาแล้ว”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น