หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1415-1418
บทที่ 1415 ฝูถูเฉวียน
ในช่วงสองสามวันนี้
ทั้งสามคนอยู่แต่เรือนพักไม่ได้ก้าวเท้าออกไปไหนเลย แต่ทั้งหลินจิ้งและเซียวเซียวก็พากันแวะเวียนมาหาบ่อยครั้งจนพวกเขาไม่รู้สึกเบื่อ
เมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่พุ่งสูงขึ้น แม้จะไม่ได้ออกไปไหนก็ตาม
เรือจะเดินทางข้ามขอบฟ้าทุกวันและทุกรากฐานของขั้วอำนาจเหล่านั้นก็แข็งแกร่งกว่าตำหนักมู่
เฝ้ามองฉากนี้ กระทั่งมู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เผ่าฝูถูทรงพลังเพียงใด อิทธิพลของพวกเขาเพียงอย่างเดียวก็สามารถนำขั้วอำนาจมากมายมาเชื่อมสัมพันธ์ได้
ขณะที่ขั้วอำนาจใหญ่มารวมตัวกันมากขึ้น เผ่าฝูถูก็ประกาศเริ่มการประลองงานชุมนุมสายเลือดที่จะมีขึ้นในอีกสามวัน
ภายใต้การรอคอยของทุกคน สามวันก็ผ่านไปในพริบตา
เมื่อวันที่สามมาถึง
เสียงระฆังไพเราะก็ดังขึ้นภายในมิติฝูถู สะท้อนอยู่เป็นเวลานาน
วาบ วาบ!
เมื่อเสียงระฆังดังขึ้น มวลลมนับไม่ถ้วนก็กวาดข้ามขอบฟ้า เดินทางเข้าไปในเทือกเขา
ทั้งฟ้าดินเดือดพล่าน เนื่องจากวันนี้เป็นวันเริ่มต้นของการประลองงานชุมนุมสายเลือด
มู่เฉินเฝ้าดูฉากนี้จากสวนหน้าเรือนพักด้วยสีหน้าสงบ ขณะที่หลิงซีและหลงเซี่ยงมีสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ข้างหลัง นั่นเป็นเพราะตามแผนของมู่เฉินวันนี้เป็นวันที่พวกเขาจะลงมือแล้ว
ร่างเงาหนึ่งพุ่งเข้ามาซึ่งก็คือชิงซวงนั่นเอง เมื่อนางเห็นมู่เฉินก็หยิบป้ายสีฟ้าอมเขียวออกมาจากแขนเสื้อมีคำโบราณว่า ‘ประมุข’ สลักอยู่
เมื่อมองไปที่ป้ายนี้ ชิงซวงก็มีสีหน้าซับซ้อนและกล่าวว่า “นี่คือป้ายประจำตระกูลชิงของเรา ผู้ที่ครอบครองป้ายนี้ก็คือประมุขของตระกูล”
“แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าเตรียมจะทำอะไร แต่ด้วยป้ายนี้เหล่าผู้อาวุโสจะไม่สามารถทำอะไรกับเจ้าได้ แม้ว่าตัวตนเจ้าจะเป็นตัวกาลกิณีก็ตาม มีเพียงสภาอาวุโสเท่านั้นที่จะถอดเจ้าออกได้”
แสงประหลาดวูบไหวในดวงตาของมู่เฉิน เขาไม่คิดว่าตระกูลชิงจะนำป้ายสำคัญนี้ให้กับเขา เพราะถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นตระกูลชิงก็ถือว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดด้วยเช่นกัน
“ตามคำพูดของท่านป้าเซวียน ถ้าครั้งนี้เราล้มเหลวตระกูลชิงก็จะถูกลดระดับเป็นตระกูลย่อย ซึ่งนั้นถือเป็นหายนะใหญ่ต่อพวกเรามาก ดังนั้นแทนที่จะนั่งดูตัวเองถูกกดไว้โดยตระกูลเฉวียนและมั่ว สู้ลองเสี่ยงดูสักตั้งดีกว่า” ชิงซวงรู้สาเหตุที่ทำให้มู่เฉินอึ้งไป นางจึงถอนหายใจอธิบายให้ฟัง
ท่าทางของมู่เฉินคลายลงแล้วยื่นมือรับป้ายไปหลังจากลังเลอยู่นาน ด้วยป้ายนี้เขาจะสามารถทำสิ่งที่ต้องการได้
“นอกจากนี้ท่านป้าเซวียนยังให้แจ้งเจ้าว่า นางทำสิ่งที่เจ้าต้องการแล้ว” ชิงซวงเอ่ยอีกครั้ง
เมื่อได้ยินมู่เฉินรู้สึกโล่งใจในใจ หากเรื่องนั้นสำเร็จจริง เขาก็จะมีหลักประกันในการต่อรองกับเผ่าฝูถูและต่อสู้
“มู่เฉิน…เจ้าสามารถปกป้องตำแหน่งของตระกูลชิงเราได้จริงหรือ?” ชิงซวงลังเลขณะที่กัดฟันถาม
นี่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับตระกูลชิง ชิงซวงไม่รู้ว่าทำไมชิงเซวียนถึงเลือกที่จะเชื่อในตัวมู่เฉิน เนื่องจากเขาเพิ่งจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนได้เท่านั้น…
ตอนนี้เขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะต้น ความแข็งแกร่งยังไม่เพียงพอที่จะพลิกสถานการณ์ในเผ่าฝูถูเลย
มู่เฉินยิ้ม “ในเมื่อพวกเจ้าไว้ใจข้า ข้าก็จะทำให้ดีที่สุด”
ประกายแสงวูบไหวในดวงตาเขาและความมั่นใจของเขาเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้อื่นเชื่อมั่นในตัวเขาด้วย
ชิงซวงก็เริ่มติดเชื้อกับความมั่นใจของเขา รอยยิ้มที่หายากผุดขึ้นบนดวงหน้าขณะนางพยักหน้า จากนั้นนางก็โค้งคำนับต่อมู่เฉินด้วยความเคารพ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราตระกูลชิงขอขอบคุณเจ้าด้วย”
“ต่างฝ่ายต่างตอบแทนน่ะ…” มู่เฉินโบกมือจากนั้นก็เงยหน้ามองท้องฟ้า “ใกล้ถึงเวลาแล้ว เราไปกันเถอะ”
“ข้าจะนำทางเอง”
ชิงซวงยิ้มพลางทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าโดยมีพวกมู่เฉินทั้งสามคนติดตามอย่างใกล้ชิด
ทั้งกลุ่มทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเคลื่อนผ่านแนวเทือกเขา ขณะเดียวกันก็เห็นริ้วแสงจากสถานที่อื่นๆ เช่นกันพร้อมกับความผันผวนที่น่าทึ่ง
ทว่าร่างเงาบุคคลที่แทบจะไม่เคยเห็นที่มีตำแหน่งระดับสูงในมหาพันภพมีให้เห็นได้ทั่วไปทุกที่ในเผ่าฝูถู ดังนั้นบอกได้ว่าเผ่าฝูถูทรงพลังเพียงใด
ภายใต้การนำของชิงซวงทั้งสี่คนก็ค่อยๆ ลดความเร็วลงหลังจากผ่านไปสิบกว่านาที มองเห็นยอดเขาขนาดใหญ่ที่เบื้องหน้าสูงเสียดฟ้าราวกับเสาสวรรค์
บนยอดเขาแบ่งออกเป็นสี่ฝั่งอย่างชัดเจนซึ่งมีแท่นหยกจำนวนหนึ่งที่มีระดับแตกต่างกันกระจายไปทั่วอย่างเป็นระเบียบและกำจายรัศมีอันคมชัด
ภูเขาขนาดมหึมานี้ยังล้อมรอบด้วยยอดเขาอื่นๆ อีกมากมาย โดยมีที่นั่งโล่งกว้าง ร่างเงาบนท้องฟ้าก็พลิ้วลงมาบนที่นั่งเหล่านั้น
เพียงไม่กี่นาทีเทือกเขาก็คึกคักไปด้วยเสียง
ภายใต้การนำของชิงซวง ทั้งหมดก็พลิ้วตัวลงไปบนภูเขาที่ไม่ค่อยสะดุดตาแห่งหนึ่ง แต่สามารถมองเหตุการณ์บนยอดเขาได้ชัดเจน
เมื่อลงไปมู่เฉินก็กวาดสายตามองไปรอบๆ และสังเกตเห็นเก๋งหรูหราและลานมากมายบนภูเขาที่อยู่ใกล้ที่สุด ซึ่งดูดีกว่าของพวกเขามาก
มู่เฉินรู้ดีว่าที่นั่นเป็นสถานที่ตอนรับขั้วอำนาจสูงสุดในมหาพันภพ เนื่องจากเขามองเห็นเงาของเซียวเซียวและหลินจิ้งตรงนั้น
ชัดว่ามีเพียงขั้วอำนาจเหล่านี้เท่านั้นที่ถือได้ว่าเป็นแขกผู้ทรงเกียรติของเผ่าฝูถู
ตึง ตึง!
ขณะที่มู่เฉินกำลังมองไปรอบๆ เสียงระฆังโบราณก็ดังขึ้นจากยอดเขาทุกแห่งในเทือกเขา
ทุกคนเงยหน้าขึ้นก็เห็นรัศมีขนาดใหญ่เปล่งออกมาจากยอดเขามหึมา
ร่างเงาเริ่มปรากฏขึ้นพร้อมกับแต่ละคนปลดปล่อยคลื่นหลิงที่น่ากลัวออกมาทำให้หัวใจผู้คนสั่นไหว
เมื่อแสงหายไป ร่างเงายี่สิบร่างก็ปรากฏขึ้นบนยอดเขาโดยมีคนสิบเก้าคนยืนอยู่ข้างหลังคนคนหนึ่งอย่างเคารพ
เขาเป็นชายชราและเมื่อเทียบกับคนสิบเก้าคนที่ด้านหลังกลับไม่มีพลังงานใดๆ เล็ดลอดออกมาจากร่างกาย ทำให้เขาดูเหมือนชายชราทั่วไปมาก
แต่เมื่อทุกคนเห็นภาพนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะหดตาลงและฉายความเคารพบนใบหน้า
“จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง!”
มู่เฉินจ้องมองไปที่ชายชราก็รู้สึกเจ็บแปลบบนผิวหนังพร้อมกับความรู้สึกอันตรายเพิ่มขึ้นในใจ
นั่นเป็นเพราะชายชราท่าทางธรรมดาคนนั้นเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง!
“คารวะผู้อาวุโสใหญ่!”
เมื่อชายชราปรากฏตัวขึ้น เสียงสมาชิกเผ่าฝูถูก็เปล่งออกมาด้วยความเคารพ
ผู้มีอำนาจสูงสุดในเผ่าฝูถูก็คือประมุขแต่ตำแหน่งนี้ว่างเว้นอยู่เป็นเวลานานโดยไม่มีผู้สืบทอด ดังนั้นผู้อาวุโสใหญ่จึงเป็นผู้ดูแลเผ่าฝูถูทั้งหมด นี่คือเหตุผลว่าทำไมเผ่าฝูถูจึงไม่เคยหล่นจากการเป็นหนึ่งในห้าเผ่าโบราณ ในแง่ของคุณสมบัติไม่มีใครในเผ่าไม่ยอมรับเขา
“นั่นคือผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าฝูถู—ฝูถูเฉวียน”
ชิงซวงมองไปที่ชายชราด้วยความเคารพบนใบหน้าก่อนที่จะทอดถอนหายใจ “ตระกูลเฉวียนและมั่วต่อสู้กันมาหลายปี ถ้าไม่ใช่การปรามจากผู้อาวุโสใหญ่ทั้งเผ่าคงจะตกอยู่ในความวุ่นวายไปนานแล้ว”
มู่เฉินยังคงมีสีหน้าสงบ ฝูถูเฉวียนมีความสามารถอย่างแท้จริง ทว่านั่นก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา เนื่องจากชายชราหัวดื้อคนนี้ทำให้เขากับมารดาต้องพรากจากกัน
ภายใต้การจ้องมองรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าของฝูถูเฉวียน ขณะที่กวาดสายตามองไป เสียงก็ดังก้องไปทั่วเทือกเขา “วันนี้เป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ของเผ่าฝูถู ข้ารู้สึกขอบคุณอย่างแท้จริงที่พวกท่านทุกคนมาร่วมเป็นสักขีพยาน”
เมื่อได้ยินคำพูดของฝูถูเฉวียน ขั้วอำนาจต่างๆ ก็ตอบสนองโดยมารยาท
พลังของฝูถูเฉวียนสามารถจัดอันดับเป็นหนึ่งในสุดยอดจอมยุทธ์ของมหาพันภพเลยทีเดียว
หลังจากทักทายกันอย่างสุภาพ ฝูถูเฉวียนก็นั่งลงบนแท่นสูงสุด สายตากวาดไปที่คนสิบเก้าคน “การประลองระหว่างตระกูลเริ่มขึ้น ณ บัดนี้ หากต้องการปกป้องตำแหน่งไว้ก็จงดึงความสามารถที่มีออกมา มิฉะนั้นก็ต้องสละตำแหน่งให้กับคนที่ทำงานหนักกว่าไป”
“รับทราบ!”
ทั้งสิบเก้าคนรับคำเมื่อได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสใหญ่ อึดใจก็กลายเป็นร่างแสงพลิ้วตัวลงบนแท่นหยก
ในเวลาเดียวกันคลื่นหลิงไร้ขอบเขตสิบเก้าสายก็กวาดอาละวาดระหว่างสวรรค์และโลก
“การประลองงานชุมนุมสายเลือดเริ่มขึ้นได้!”
บทที่ 1416 ผู้นำสามสายเลือด
ตึง ตึง!
คลื่นหลิงมหาศาลกวาดอาละวาด กลองบนยอดเขาแต่ละยอดลอยขึ้นสู่ท้องฟ้ากระจายคลื่นเสียงออกมา ทำให้เกิดเสียงชวนใจสั่นระรัวระหว่างสวรรค์และโลก
เมื่อเสียงกลองดังขึ้น ทุกสายตาก็พุ่งตรงไปที่แท่นหยกทั้งสิบเก้าต้น
บนแต่ละแท่นหยกมีร่างจอมยุทธ์ยืนตระหง่ายอยู่ ซึ่งมีความผันผวนคลื่นหลิงที่น่าสะพรึงพวยพุ่งระหว่างฟ้าดิน
ทุกคนล้วนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนแท้จริง
เมื่อมองฉากนี้ ขั้วอำนาจน้อยใหญ่ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความอิจฉา ต้องรู้ว่าการประเมินรากฐานของขุมกำลังง่ายมาก เพียงแค่นับจำนวนจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็เท่านั้น
พูดโดยทั่วไป ขั้วอำนาจที่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนคนเดียวก็พอจะก้าวเข้าสู่ตำแหน่งของขั้วอำนาจสูงสุดได้ แต่มีเพียงขั้วอำนาจที่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนหลายคนเท่านั้นถึงจะนับว่าโดดเด่นในกลุ่มขั้วอำนาจสูงสุด
ตอนนี้เผ่าฝูถูเผยให้เห็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสิบเก้าคน ยิ่งกว่านั้นนี่ยังไม่ใช่ทั้งหมด
เผ่าโบราณใดบ้างที่ไม่มีไพ่ตายซ่อนอยู่
และนี่ก็คือรากฐาน
รากฐานที่สั่งสมมานานนับหมื่นปี
ขั้วอำนาจสูงสุดทั่วไปอาจจรัสแสงได้ในช่วงสั้นๆ แต่สุดท้ายก็สลายหายไป มีเพียงเผ่าโบราณเท่านั้นที่สามารถพัฒนาและอยู่รอดต่อไปได้ หลังจากผ่านความยากลำบากเพื่อให้แข็งแกร่งขึ้น
เผชิญหน้ากับเผ่าโบราณที่มีรากฐานเช่นนี้ แม้แต่มู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าเคร่งเครียด เผ่าโบราณทั้งห้าสมกับชื่อเสียงอย่างแท้จริง
“ดูเหมือนว่าตำหนักมู่จะต้องให้ความสำคัญกับการดูแล หากต้องการยืนยงอยู่ได้” มู่เฉินตกอยู่ในภวังค์ความคิดตนเอง แม้ว่าตำหนักมู่อาจเรียกได้ว่าเป็นขั้วอำนาจสูงสุด แต่ก็เป็นเพราะการดำรงอยู่ของเขา เมื่อเทียบกับเผ่าฝูถูแล้ว ก็เหมือนกับหิ่งห้อยบินวนเวียนหน้าดวงจันทร์ดวงใหญ่
แต่ตำหนักมู่ก็เพิ่งได้ก่อตั้งไม่นาน ผลสำเร็จเท่านี้นับว่าดีแล้ว หากอนาคตมีโอกาสสามารถครอบครองทวีปเทียนหลัวซึ่งเป็นหนึ่งในมหาทวีปของมหาพันภพ บวกกับการมีอยู่ของวังสวรรค์บรรพกาล มู่เฉินเชื่อว่าจะมีจอมยุทธ์โดดเด่นเกิดขึ้นในตำหนักมู่ ในอนาคตบางทีอาจสามารถยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูที่เป็นหนึ่งในขุมกำลังสูงสุดที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าเผ่าฝูถูเลย
มู่เฉินค่อยๆ ดึงความคิดกลับมาและมองไปที่ร่างเงาทั้งสิบเก้าร่างและพบว่าแท่นหยกเหล่านั้นแบ่งแยกกันชัดเจน
โดยรวมก็คือแยกออกเป็นสี่ส่วนอย่างคลุมเครือ
“นี่น่าจะเป็นตระกูลเฉวียน มั่ว ชิงและสายตระกูลย่อยของเผ่าฝูถู…” มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง สายตาของเขาพุ่งไปที่ตระกูลเฉวียนบริเวณนั่นแข็งแกร่งที่สุดโดยครอบครองครึ่งขอบฟ้าเลยทีเดียว
มีแท่นเจ็ดแท่นในทิศทางนั้น โดยมีร่างเงาสีดำยืนเอามือไพล่หลังอยู่บนแท่นที่สูงที่สุด เขามีรูปลักษณ์ที่หล่อเหลา สายตาอบอุ่น พร้อมกับแสงหลิงไหลเวียนอยู่บนร่างกาย
เมื่อเทียบกับผู้อาวุโสคนอื่นๆ รัศมีของเขาดูอ่อนแอที่สุด แต่ทุกคนที่นี่มีสายตาเฉียบแหลม ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถบอกได้ว่าชายคนนี้ควบคุมคลื่นหลิงของตัวเองราวกับเป็นหลุมดำไม่มีรั่วไหลและหลอมรวมกับฟ้าดินอย่างสมบูรณ์ นั่นเป็นสัญญาณว่าเขากำลังจะก้าวเข้าระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งแล้ว
เห็นได้ชัดว่าร่างชุดดำอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายและกำลังพยายามที่จะบรรลุขั้นเซิ่ง
เมื่อมองไปที่นั่น มู่เฉินก็หดดวงตา เขารู้สึกได้ถึงรัศมีอันตรายที่มาจากอีกฝ่าย
“นั่นคือประมุขตระกูลเฉวียน—เฉวียนกวาง… เขาเป็นบิดาของเฉวียนหลัวและเป็นหนึ่งในสองจอมยุทธ์ของเผ่าฝูถูที่มีโอกาสสูงสุดในการบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง เมื่อเขาประสบความสำเร็จก็อาจจะได้รับตำแหน่งประมุขเผ่าไป” ชิงซวงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ขณะที่มองตามสายตาของมู่เฉิน
“พ่อของเฉวียนหลัว?” ดวงตามู่เฉินวูบไหวพลางพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นเบนสายตาลงไปก็เห็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนและขั้นหลิงในบรรดาผู้อาวุโสตระกูลเฉวียน
เห็นได้ชัดว่าตระกูลเฉวียนส่งกำลังสูงสุดลงมาปกป้องตำแหน่งของพวกเขา
เมื่อเทียบกับตระกูลเฉวียนแล้ว ตระกูลมั่วมีคนน้อยกว่าหนึ่งคน ทว่าจอมยุทธ์ทั้งหมดก็ปลดปล่อยรัศมีที่ไร้ขอบเขตออกมา
บนแท่นสูงสุดของตระกูลมั่ว เป็นชายวัยกลางคนที่มีดวงตาสีดำสนิทและมีลวดลายสีดำแปลกประหลาดอยู่บนใบหน้า เปล่งรัศมีเยือกเย็นออกมา รูม่านตาของเขาคล้ายกับหลุมดำสองหลุมที่กลืนกินคลื่นหลิงระหว่างฟ้าดินอย่างต่อเนื่อง
“นั่นคือประมุขตระกูลมั่ว—มั่วถง เขาไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเฉวียนกวางเลย” ชิงซวงอธิบายเพิ่มเติม
มู่เฉินพยักหน้า เห็นได้ชัดว่ามั่วถงเป็นจอมยุทธ์อีกคนหนึ่งที่มีศักยภาพในการก้าวเข้าระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง ทั้งสองคนมีความสามารถอย่างแท้จริง ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมตระกูลเฉวียนและมั่วถึงรุ่งเรืองในขณะที่อยู่ในมือพวกเขา
ในตระกูลมั่วก็มีทั้งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนและขั้นหลิงอย่างละสามซึ่งไม่ธรรมดาเช่นกัน หากอยู่ในมหาพันภพ พวกเขาสามารถก่อตั้งขั้วอำนาจสูงสุดระดับยอดเยี่ยมได้เลยทีเดียว
เขาเลื่อนสายตาไปยังตระกูลชิง เมื่อเทียบกับสองตระกูลแล้ว ตระกูลชิงอ่อนแอกว่ามาก
เนื่องจากมีจอมยุทธ์เพียงสามคน นอกจากชิงเซวียนที่เขาคุ้นเคยแล้ว ผู้นำคือชายชราผมขาวที่มีรัศมีทรงพลัง แสงหลิงแผ่ออกมารอบตัวเขาทำให้มิติสั่นสะเทือน เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนเช่นกัน
แต่เมื่อเทียบกับเฉวียนกวางและมั่วถงแล้ว ตระกูลชิงอ่อนแอกว่ามาก เนื่องจากรัศมีของสองคนแรกราวกับดวงอาทิตย์ขึ้น ขณะที่ชายชราจากตระกูลชิงราวกับดวงอาทิตย์ตก
เส้นทางของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งต้องไร้ความหวาดเกรง หากสูญเสียความเฉียบคมนั่น ก็หมายความว่าจอมยุทธ์ตระกูลชิงผู้นี้ไม่มีโชคชะตาที่จะก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งแล้ว
“นั่นคือประมุขตระกูลชิงของเรา—ชิงเทียน…” ชิงซวงกล่าว
มู่เฉินพยักหน้าตอบทันที “รัศมีอ่อนแอ…เทียบกับอีกสองคนไม่ได้เลย”
พอได้ยินการประเมินนั้น ชิงซวงก็ยิ้มอย่างขมขื่น “ถ้าท่านน้าจิ้งอยู่เฉวียนกวางและมั่วถงจะเทียบกับนางได้อย่างไร?”
จริงที่กล่าวตอนนี้เฉวียนกวางและมั่วถงยังค้นหาเส้นทางเพื่อก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งอย่างขมขื่น ขณะที่ชิงเหยี่ยนจิ้งไปถึงการบรรลุหลิงเจิ้นต้าจงซือแล้ว ในแง่ของความสำเร็จนางนำหน้าทั้งสองไปไกลลิบ
“การจะฟื้นฟูตระกูลไม่ได้อาศัยคนเพียงคนเดียว” มู่เฉินพูดเบาๆ จากนั้นก็เงียบแล้วมองไปที่สามคนสุดท้าย พวกเขาน่าจะมาจากตระกูลย่อยของเผ่าฝูถู ว่ากันว่าเผ่าฝูถูมีกฎว่าสามตำแหน่งในสภาผู้อาวุโสต้องสงวนไว้สำหรับตระกูลย่อยเพื่อรักษาความภักดี ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต้องกลัวเรื่องโดนชิงตำแหน่ง
แน่นอนว่าสิ่งเดียวที่ต้องกังวลก็คือการมีตระกูลย่อยมากเกินไป ย่อมมีคนอยากเข้ามาเสียบแทนที่พวกเขา
มู่เฉินส่ายหัว เขารู้สึกได้เลยว่าตระกูลชิงอยู่ในตำแหน่งอันตรายแล้ว…
ตึง ตึง ตึง!
เสียงกลองดังสะท้อนถี่ขึ้น
“เริ่มได้” เสียงของฝูถูเฉวียนดังก้อง
ฟิ้ว!
เมื่อสิ้นเสียง คลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็กวาดสร้างความหายนะ เงาร่างทั้งสามก็ทะยานออกไปก่อนที่จะพลิ้วตัวลงบนแท่นของตระกูลชิง
ชายชราผิวขาวราวหิมะที่มีผิวอ่อนนุ่มราวกับเด็กทารกพลิ้วลงมาบนแท่นที่ชิงเทียนนั่งอยู่พลางโค้งคำนับ “มั่วกู่จากตระกูลมั่ว ขอคำชี้แนะจากท่านด้วย”
มั่วกู่ยิ้ม ความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังรอบตัวเขาดูแปลกประหลาด แต่ก็อยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงเท่านั้น ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับชิงเทียนที่อยู่ในขั้นเซียนกลับไม่มีความกลัวใดๆ ตรงกันข้ามยังมีแววเยาะเย้ยฉายออกมา
ใบหน้าของชิงเทียนเปลี่ยนไปอย่างไม่น่ามองเมื่อเห็นสิ่งนี้ ก่อนที่เขาจะหันไปมองอีกสองแท่นก็เห็นร่างเงาปรากฏที่เบื้องหน้าชิงเซวียนและผู้อาวุโสตระกูลชิงอีกคน
“เฉวียนหลิงจากตระกูลเฉวียน ผู้อาวุโสชิงเซวียนโปรดชี้แนะด้วย”
“เฉวียนจินจากตระกูลเฉวียน ขอคำชี้แนะจากผู้อาวุโสชิงหยุนด้วย”
ฉากนี้ทำให้เกิดความโกลาหลในฟ้าดินทันที ทุกคนจับจ้องมาที่พวกเขา
ใบหน้าของชิงเซวียนไม่น่าดู ตระกูลมั่วและเฉวียนเคลื่อนไหวพร้อมกัน ชัดว่าทั้งสองตระกูลจับมือร่วมมือกันนานแล้ว
“สารเลว!”
ชิงเซวียนอดไม่ได้ที่จะกระทืบเท้าด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ ตระกูลมั่วและเฉวียนกดหัวตระกูลชิงเอาไว้ตลอดเวลา ไม่คิดว่าสองตระกูลจะหันมาร่วมมือกันในการประลองงานชุมนุมสายเลือดครั้งนี้อีก!
มู่เฉินหรี่ตาลงเมื่อเห็นสถานการณ์นี้
มั่วกู่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิง ดังนั้นเขาจะแพ้แน่นอนเมื่อต่อสู้กับชิงเทียน
แต่เฉวียนหลิงเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังขั้นหลิงระยะปลายสามารถเอาชนะชิงเซวียนซึ่งอยู่ในขั้นหลิงระยะกลางได้
สำหรับเฉวียนจินก็จะเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะต้นอย่างชิงหยุนด้วยขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลาง
ด้วยวิธีนี้จะเป็นชนะหนึ่งแพ้สอง
งานนี้ตระกูลชิงแพ้แน่นอน
“แผนโหดทีเดียว”
มู่เฉินหัวเราะเยาะ ตระกูลมั่วและเฉวียนตั้งใจที่จะถีบตระกูลชิงออกจากสภาผู้อาวุโส หากบรรลุวัตถุประสงค์ก็คงยากที่ตระกูลชิงจะกลับมาเป็นตระกูลใหญ่ได้อีกครั้ง
ทั้งสองตระกูลวางแผนมาอย่างดี
แต่ในเมื่อมีเขาอยู่ แผนการของพวกมันก็คงไม่ประสบความสำเร็จง่ายๆ แล้ว!
บทที่ 1417 ตระกูลชิงแพ้
เมื่อทั้งสามประกาศขอประลองกับตระกูลชิง
ก็ก่อให้เกิดความปั่นป่วนระหว่างสวรรค์และโลก ทุกคนสามารถบอกได้จากฉากนี้ว่าทั้งตระกูลมั่วและเฉวียนเล็งเป้ามาจัดการตระกูลชิงแล้ว
บนยอดเขาแห่งหนึ่ง มีกลุ่มคนเผ่าฝูถูอยู่มากมาย พวกเขาคือจอมยุทธ์รุ่นใหม่ของเผ่าโดยมีเฉวียนหลัวและมั่วซินอยู่ตรงด้านหน้าสุด
ขณะนี้พวกเขาเฝ้ามองฉากเบื้องหน้าด้วยสายตาเยาะเย้ย ทันทีที่เรื่องนี้เสร็จสิ้น ตระกูลชิงก็จะสูญเสียตำแหน่งในฐานะหนึ่งในสายเลือดหลัก เมื่อถึงเวลานั้นอำนาจในเผ่าฝูถูก็จะตกอยู่ในกำมือของตระกูลพวกเขาทั้งสอง
“ถ้าคิดจะโทษใครสักคนก็จงโทษว่ามีชิงเหยี่ยนจิ้งมาเกิดอยู่ในสายเลือดพวกแกเถอะ” เฉวียนหลัวสาดสายตาเยือกเย็นขณะที่หัวเราะเยาะ หากไม่มีชิงเหยี่ยนจิ้งทั้งสองตระกูลอาจไม่ได้เล็งเป้าไปที่ตระกูลชิงเนื่องจากหญิงผู้นั้นน่ากลัวเกินไป แม้ว่านางจะถูกคุมขังอยู่ในขณะนี้ก็จะได้รับการสนับสนุนจากตระกูลย่อยทันทีที่นางถูกปล่อยตัวออกมาอย่างไม่ต้องสงสัย
ดังนั้นพวกเขาต้องทำลายตระกูลชิงให้สิ้นซากขณะที่ชิงเหยี่ยนจิ้งยังถูกคุมขัง เมื่อถึงเวลานั้นต่อให้นางจะถูกปล่อยตัวก็อยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่สามารถต่อกรกับทั้งสองตระกูลได้อีกตลอดกาล
“หึ และไอ้กาลกิณีนั่นอีก! เมื่อไรที่ตระกูลพวกเราได้ครอบครองอำนาจก็จะส่งคนออกไปจับตัว ให้มันต้องคุกเข่าเหมือนหมาและมอบวิชาเจดีย์แปดองค์มาดีๆ!” ใบหน้าของเฉวียนหลัวกำจายแววเย็นเยือก
ตอนแรกวิชาเจดีย์แปดองค์เกือบจะอยู่ในมือเขาตอนที่อยู่ในแดนเซิ่งยวน แต่มู่เฉินกลับคว้าไปต่อหน้า ดังนั้นคนนิสัยหยิ่งผยองอย่างเขาจะยอมรับได้อย่างไร?
เขาเหยียดหยามมู่เฉินในฐานะคนบาปที่ต่ำต้อยมาโดยตลอด ขณะที่ตัวเขาเป็นประมุขน้อยเผ่าโบราณ ตัวตนของพวกเขาห่างกันเป็นโยชน์ แต่มู่เฉินเอาชนะเขาได้ ดังนั้นความอัปยศอดสูจึงเลวร้ายยิ่งกว่าการฆ่าเขาเสียอีก
ขณะที่สมาชิกทั้งสองตระกูลกำลังตื่นเต้น สมาชิกตระกูลชิงก็ใบหน้าไร้สีสัน พวกเขารู้ว่าสถานการณ์นี้ไม่ดีแน่แล้ว
ขณะนี้บรรยากาศของตระกูลชิงดิ่งลงถึงจุดต่ำ ไม่ต้องพูดถึงเด็กๆ แม้แต่ผู้ใหญ่ก็มีสีหน้าเศร้าโศก
ในกลุ่มคนตระกูลชิง ชิงหลิงเฝ้าดูฉากนี้ด้วยสีหน้าไม่น่าดู แต่นางทำได้เพียงแค่ถอนหายใจในใจเท่านั้น
“ทำไมพี่ใหญ่ชิงซวงถึงอยู่ที่นั่น?”
ขณะที่นางถอนหายใจก็ได้ยินเสียงอุทานจากด้านหลัง
ชิงหลิงอึ้งไปก่อนที่จะมองไปทางนั้น นางเห็นภาพเงาของชิงซวง นอกจากนี้ยังเห็นร่างสูงโปร่งร่างหนึ่ง
เมื่อนางเห็นร่างนั้น ใบหน้าก็เปลี่ยนไปกะทันหัน แทบจะอุทานด้วยความตกใจ
นางจำได้นั่นคือมู่เฉิน
“เขามาทำอะไรที่เผ่าฝูถู? เขากล้าเกินไปแล้ว!” ความวิตกกังวลฉายแววในดวงตา นางรู้ชัดเจนเกี่ยวกับทัศนคติของเผ่ากับมู่เฉินในตอนนี้ ถ้าพบว่าเขาปรากฏตัวที่นี่ พวกเขาก็จะกลุ้มรุมจับกุมชายหนุ่มอย่างแน่นอน
“หืม? ผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างพี่ชิงซวงคือใคร?” ขณะที่นางว้าวุ่นใจ ก็มีชายหนุ่มบางคนในตระกูลสังเกตเห็นมู่เฉิน เสียงสงสัยดังขึ้น
ในสายตาของคนอื่นๆ ชิงซวงมีตำแหน่งสูงในใจ แม้จะมีนางจะมีท่าทางเย็นชา แต่ก็ดึงดูดความรักใคร่จากผู้คนมากมาย ดังนั้นนางจึงเป็นจุดสนใจในทุกที่ที่ไป
ขณะนี้ชายหนุ่มตระกูลชิงทุกคนรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นว่าชิงซวงสนิทกับชายคนนั้นมากแค่ไหน
“ผู้ชายคนนั้นดูธรรมดามาก ทำไมพี่ใหญ่ชิงซวงถึงให้ความสำคัญกับเขามากขนาดนี้?” มีคนพูดอย่างไม่พอใจ ดึงดูดเสียงสะท้อนผู้ที่อยู่รอบข้างได้ทันที ทันใดนั้นสายตาทั้งหมดที่พุ่งไปที่มู่เฉินแสดงความเป็นศัตรูให้เห็น
“เจ้าบรมโง่ พวกเจ้าเทียบกับเขาได้เรอะ?” เมื่อชิงหลิงได้ยินคำพูดของพวกเขา นางก็พ่นลมหายใจอย่างเย็นชาพลางโวยวายตำหนิทันที
“เมื่อเทียบกับเขาแล้ว พวกเจ้าก็เป็นแค่ฝุ่นละออง!”
ชิงหลิงเจ้าพยศและด่าเก่งตั้งแต่เกิด ดังนั้นคำพูดของนางจึงทำให้ใบหน้าของคนตระกูลชิงเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
“หึ เจ้ารู้เรอะว่าคนคนนั้นคือใคร? งั้นบอกมาว่าเขามีความสามารถเพียงใด ถึงให้พวกเราเป็นได้แค่ฝุ่นเมื่อเทียบกับเขา” มีคนหัวร้อนขึ้นมา
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น ชิงหลิงก็เบ้ปาก ไม่อยากสนใจคนพวกนี้ แม้แต่เฉวียนหลัวและมั่วซินยังเสียเปรียบในมือของเขา แล้วพวกเขาจะเทียบกับเขาได้อย่างไร?
แม้ว่านางจะไม่รู้ว่าทำไมมู่เฉินถึงมาปรากฏตัวที่นี่ แต่นางก็รู้ว่าเป็นเรื่องยุ่งแน่หากตัวตนของเขาถูกเปิดเผย ดังนั้นนางไม่บอกถึงที่มาของมู่เฉินหรอก
เมื่อคนอื่นเห็นนางนิ่งเงียบไป พวกเขาก็คิดว่านางปากเสียไปอย่างนั้น แต่ละคนก็เอ่ยเยาะเย้ยต่อ
บนยอดเขาหลักที่นั่งประธาน
ฝูถูเฉวียนกำลังเฝ้าดูฉากนี้พลางขมวดคิ้ว แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอะไร เขามองเห็นความตั้งใจของตระกูลเฉวียนและมั่ว แต่นี่ไม่ได้ผิดกฎ ดังนั้นในฐานะผู้อาวุโสใหญ่ เขาจึงเข้าแทรกแซงอะไรไม่ได้
ขั้วอำนาจอื่นๆ ก็มองสถานการณ์นี้ด้วยดวงตาวูบไหว ก่อนที่จะเริ่มกระซิบ “ตระกูลชิงในอดีตรุ่งโรจน์มาก ไม่คิดว่าพวกเขาจะตกต่ำลงมากขนาดนี้”
“ใช่เลย ตระกูลชิงอยู่เหนือตระกูลอื่นๆ ทั้งหมดในตอนนั้น แม้แต่ประมุขเผ่าคนก่อนก็มาจากตระกูลชิง แต่ตอนนี้เสื่อมถอยลงมาก”
“ดูเหมือนว่าตระกูลชิงจะกลายเป็นตระกูลย่อยเผ่าฝูถูหลังจากวันนี้ไป คงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะกอบกู้ชื่อเสียงเดิมกลับคืนมา”
“…”
บทสนทนาทุกประเภทดังก้องพร้อมกับที่พวกเขาทอดถอนใจเกี่ยวกับความตกต่ำของตระกูลชิง
ตู้ม!
ขณะเดียวกันคลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็ระเบิดออกมาจากแท่นทั้งสามราวกับภูเขาไฟปะทุ
จอมยุทธ์ทั้งหกคนกลายเป็นกายาหลิงเทียนจุนกำจายพลังที่น่ากลัว
ทั้งสองฝ่ายแลกเปลี่ยนกระบวนท่าที่ดุเดือดทันที
ชิงเทียนเคลื่อนไหวก่อนใคร เขารู้สึกโกรธอย่างเห็นได้ชัดกับการกระทำของตระกูลเฉวียนและมั่ว ดังนั้นเขาจึงไม่หยุดยั้งกระบวนท่า รัศมีของเขาทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงธรรมดาต้องสั่นสะท้านด้วยความกลัวเลยทีเดียว
ใบหน้าของมั่วกู่เปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนที่จะเยาะเย้ย เขาไม่มีเจตนาที่จะต่อสู้ จึงเริ่มถอยห่างทิ้งภาพไว้เบื้องหลัง
เขารู้ว่าไม่สามารถสู้กับชิงเทียนได้ด้วยขุมพลังที่มี แต่เขาไม่ได้ใส่ใจเนื่องจากการปรากฏตัวของเขาเป็นเพียงการทำให้ตระกูลชิงต้องอับอายขายขี้หน้าเท่านั้น การต่อสู้แตกหักอยู่บนอีกสองแท่นประลองต่างหาก
“ท่านชิงเทียนทรงพลังอย่างแท้จริง แต่น่าเสียดายที่การต่อสู้อีกสองยกพวกเจ้าไม่ได้เปรียบเลย” มั่วกู่ถอยห่างอย่างต่อเนื่องขณะที่เสียงเยาะเย้ยดังขึ้น
สายตาของชิงเทียนกวาดไปที่แท่นประลองทั้งสอง หัวใจของเขาจมลง เช่นเดียวกับที่คาดไว้ผู้อาวุโสทั้งสองตกอยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบขณะที่เผชิญหน้ากับการโจมตีของฝ่ายตรงข้าม
จากการคาดการณ์อีกไม่นานความพ่ายแพ้ก็จะมาถึง
“ไม่คิดว่าตระกูลชิงจะสิ้นสุดในมือข้า ช่างน่าอับอายต่อหน้าบรรพบุรุษจริงๆ” ท่าทางเศร้าโศกปรากฏบนใบหน้าชราของชิงเทียน
ชิงซวงกัดฟันโดยมีรอยเลือดไหลตามมา ทว่านางไม่ได้สนใจกับเลือด สายตาจ้องไปที่การต่อสู้
“มู่เฉินพวกเขาจะชนะได้ไหม?” ชิงซวงถามไปด้วยความหวังริบหรี่ขณะที่ตัวสั่น
เมื่อมู่เฉินได้ยินก็ส่ายหัวอย่างไม่ลังเล “พวกมันเตรียมการมาพร้อมแล้ว สองคนนั้นแข็งแกร่งกว่าผู้อาวุโสตระกูลชิง ดังนั้นสถานการณ์นี้จะจบลงด้วยแพ้สองชนะหนึ่ง”
ใบหน้าของชิงซวงซีดเผือด เล็บเจาะเข้าไปในฝ่ามือพร้อมกับเลือดสดไหลออกมา ราวกับว่านางมองเห็นอนาคตมืดมนของตระกูลชิงแล้ว
มู่เฉินเหลือบมองไปที่นางแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เขาเฝ้ามองการต่อสู้อย่างใจเย็น
ตู้ม ตู้ม!
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตกวาดออก ทำให้ภูเขาขนาดใหญ่สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นจากการต่อสู้ แรงกดดันจากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่แผ่ออกมา ทำเอาทุกคนโดยรอบภูเขารู้สึกถึงแรงกดดันอันอึดอัด
“ใกล้จะจบแล้ว”
ทันใดนั้นมู่เฉินก็พูดขึ้นขณะมองไปที่แท่นประลอง
ตึง!
เมื่อเขาพูดจบชิงเทียนก็ซัดฝ่ามือออก ทำลายการป้องกันของมั่วกู่ ส่งร่างอีกฝ่ายถลาออกไป
ขณะที่มั่วกู่ปลิวออกไปเสียงหัวเราะก็ดังขึ้น “ผู้อาวุโสชิงเทียนทรงพลังจริงๆ ข้ายอมรับความพ่ายแพ้”
เมื่อได้ยินว่ามั่วกู่ยอมรับความพ่ายแพ้ก็ไม่มีความสุขใดๆ บนใบหน้าชิงเทียน เขามองไปก็เห็นว่าการต่อสู้อีกสองด้านก็รู้ผลลัพธ์แล้ว
ในเวลานี้ทั้งชิงเซวียนและชิงหยุนก็ปลิวออกจากแท่นประลองเช่นกัน
ร่างกายของพวกเขาแข็งทื่อ ความผิดหวังเขียนไว้บนใบหน้า
ฟ้าดินเงียบลง ทุกคนบอกได้ว่าตระกูลชิงแพ้แล้ว
“ฮ่าๆ ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะท่านชิงเซวียนและท่านชิงหยุน” เฉวียนหลิงและเฉวียนจินหัวเราะพลางประสานมือคารวะ
ขณะที่เสียงหัวเราะของพวกเขาดังก้องไปทั่วเทือกเขา ฝั่งตระกูลชิงก็เงียบกริบ น้ำตาไหลอาบแก้มผู้คน
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปตระกูลชิงของพวกเขาจะกลายเป็นตระกูลย่อย ฐานะในเผ่าก็จะร่วงลงอย่างรวดเร็ว!
“ตระกูลชิงจบแล้ว…”
บทที่ 1418 แม่ข้าชื่อชิงเหยี่ยนจิ้ง
ทั่วบริเวณเงียบงันเมื่อผลลัพธ์ปรากฏชัดเจน
ขณะที่ขั้วอำนาจอื่นๆ ที่เฝ้าดูฉากนี้ก็พากันทอดถอนหายใจ ตอนนี้จะมีเพียงสองสายเลือดใหญ่ในเผ่าฝูถูเท่านั้นแล้ว
เฉวียนกวางและมั่วถงยังคงสงบนิ่งโดยไม่มีริ้วกระเพื่อมใดๆ ในสายตาราวกับว่าฉากนี้ไม่สามารถทำให้การแสดงออกของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไป
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นไปตามความคาดหมายของพวกเขา
พวกเขาเพียงแค่มองไปที่ชิงเทียนที่กำลังโศกเศร้าพร้อมกับแววตาเยาะเย้ยไหวระริก ตระกูลชิงคงเสียใจที่พวกเขาไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องชิงเหยี่ยนจิ้ง มิฉะนั้นตระกูลชิงจะตกต่ำถึงขั้นนี้ได้อย่างไร?
“ข้าช่างไร้ประโยชน์”
ชิงเทียนถอนหายใจอย่างขมขื่นภายใต้สายตาเห็นอกเห็นใจและเย้ยหยัน ใบหน้าแก่ชราของเขาดูเหี่ยวย่นลงไปอีกหลายส่วน
เมื่อพวกเขาพ่ายแพ้ในการประลอง ก็เท่ากับตระกูลชิงจะเหลือตำแหน่งเพียงสองที่ในสภาผู้อาวุโส ซึ่งตามกฎมีเพียงตระกูลที่มีสามตำแหน่งเท่านั้นที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นสายเลือดหลัก
นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปตระกูลชิงจะถูกลดลงเป็นตระกูลย่อย พวกเขาจะสูญเสียทรัพยากรและอำนาจไป หากพวกเขาต้องการกลับมาเป็นสายเลือดหลักอีกครั้ง ใครจะรู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหน?
ชิงเซวียนกัดฟันแน่นสีหน้าดูไม่ได้ นางทำได้เพียงส่ายหน้าอย่างขมขื่น สถานการณ์ปัจจุบันถูกกำหนดไว้แล้ว นางไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีก
“ตอนนี้ได้แต่หวังว่ามู่เฉินจะคิดหาวิธีได้ มิฉะนั้นตระกูลชิงคงจบสิ้นแน่”
เมื่อมั่วซินและเฉวียนหลัวเห็นสิ่งนี้ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ พวกเขารู้ว่าแผนการสำเร็จลงแล้วในที่สุด
“มู่เฉินมีเวลาหายใจไม่มากแล้ว”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าเฉวียนหลัว ตราบใดที่ตระกูลชิงถูกลดระดับเป็นตระกูลย่อย ก็จะไม่มีอะไรหยุดพวกเขาที่จะส่งคนไปเด็ดหัวมู่เฉิน
พวกเขาไม่สนใจว่านี่จะทำให้เกิดการตอบโต้ของชิงเหยี่ยนจิ้งหรือไม่ พวกเขารู้สึกมาโดยตลอดว่าผู้อาวุโสใหญ่อดกลั้นกับนางมากเกินไป เมื่อไม่มีตระกูลชิง สองตระกูลจะเข้ากุมอำนาจสภาผู้อาวุโส ต่อให้เป็นผู้อาวุโสใหญ่ก็ต้องให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของพวกเขา
เมฆมืดมนปกคลุมบนภูเขาที่ตระกูลชิงอยู่ พวกเขาทั้งหมดรู้สึกวิปโยคเหลือแสน ไม่สามารถละความละอายที่รู้สึกได้ ความกลัวฉายบนใบหน้าแต่ละดวง เนื่องจากพวกเขารู้ว่าเมื่อตระกูลชิงสูญเสียตำแหน่งพวกเขาจะต้องประสบกับทุกข์แสนสาหัสเพียงใด
เฉวียนกวางมองไปรอบๆ ก่อนที่จะยิ้มและหันไปมองผู้อาวุโสใหญ่ด้วยความเคารพ “ผู้อาวุโสใหญ่ผลการตัดสินได้ถูกกำหนดไว้แล้ว โปรดประกาศ”
ผู้อาวุโสใหญ่ลืมตาขึ้นมองไปที่ชิงเทียนที่เศร้าโศกอย่างเรียบเฉยจากนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ ก่อนที่เสียงของเขาจะสะท้อนออกมา
“ตระกูลชิงแพ้การประลอง ดังนั้นจะเสียที่ตำแหน่งอีกหนึ่งตำแหน่ง”
เสียงของผู้อาวุโสใหญ่เหมือนกับค้อนดับความหวังสุดท้ายของตระกูลชิง
ใบหน้าของชิงซวงหม่นหมองกับภาพนี้พร้อมกับดวงตาหมองคล้ำไปหมด
“จบแล้ว…”
นางพึมพำด้วยความเศร้าใจ หลังจากวันนี้ไม่รู้ว่าตระกูลชิงจะต้องพบเจอความยากลำบากอะไร แต่นางรู้ว่าฐานะที่มีจะลดฮวบลง
มู่เฉินหายใจเข้าลึกๆ พลางเดินออกไป
“มู่เฉิน? เจ้าจะทำอะไรน่ะ?” เมื่อมองมู่เฉินที่ก้าวไปข้างหน้า ชิงซวงก็ตกใจพลางร้องออกมาด้วยกลัวว่ามู่เฉินจะดึงดูดความสนใจถ้าปรากฏตัวตอนนี้
“ในเมื่อข้าได้รับผลประโยชน์จากตระกูลชิง ข้าก็ต้องทำบางอย่างเป็นการตอบแทน” มู่เฉินเอี้ยวหน้าไปและยิ้ม
ชิงซวงอึ้งไปขณะมองแผ่นหลังโปร่งบางนั่น ไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไรกัน…
มู่เฉินไม่ได้สนใจนาง เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่ยอดเขาหลักพร้อมกับแววลึกซึ้งวูบไหวในนัยน์ตา
‘เผ่าฝูถูตามหาข้ามาหลายปี วันนี้ให้ข้าดูว่าเจ้าทำอะไรกับข้าได้บ้าง’
ขณะนี้เสียงของผู้อาวุโสใหญ่ยังคงก้องไปทั่วขอบฟ้า “เนื่องจากพ่ายแพ้ในการประลอง ตระกูลชิงจะเหลือสองที่นั่งในสภาเท่านั้น ตามกฎของเผ่า พวกเขาจะถูกปลดออกจากการเป็นสายเลือดหลัก…”
“ช้าก่อน!”
ทันใดนั้นเสียงคมชัดก็ดังขึ้น ขัดจังหวะเสียงของผู้อาวุโสใหญ่
ทุกคนตกตะลึงกับเหตุการณ์นี้ชั่วครู่ ก่อนที่พวกเขาจะมองไปยังที่มาของเสียงนั้นทันที
บนยอดเขาแห่งหนึ่งชายหนุ่มรูปงามยืนอยู่กลางอากาศเอามือไพล่หลัง
“เขาคือใคร? กล้ามากที่ขัดคำพูดของฝูถูเฉวียน” ขั้วอำนาจต่างๆ ตกตะลึงเมื่อมองไปที่มู่เฉิน
บนภูเขาอีกลูกเย่าเฉินและหลินเตียวสบตากันก่อนที่จะยิ้ม “ในที่สุดงานหลักก็มาถึงสักที”
เซียวเซียวมองภาพเงาของมู่เฉินจากด้านข้างพลางพยักหน้า “เขายังคงกล้าหาญเหมือนเดิม”
หลินจิ้งหัวเราะเบาๆ “พี่ใหญ่เซียวเซียว ตอนนี้มู่เฉินมีคุณสมบัติที่จะกล้าหาญแล้ว”
ตอนนี้ไม่เพียงแต่มู่เฉินบรรลุขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้น แต่ยังได้รับความช่วยเหลือจากแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวู บวกกับตำหนักมู่และตำแหน่งราชันสังหารปีศาจของวังมหาพันภพ เมื่อพูดถึงระดับหนึ่งมู่เฉินก็ไม่จำเป็นต้องกลัวเผ่าฝูถูอีกต่อไป
เซียวเซียวยิ้ม แม้แต่คนดื้อแบบนางก็ยังรู้สึกชื่นชมมู่เฉิน เนื่องจากเขามาถึงระดับตำนานของมหาพันภพได้ด้วยตัวเอง ไม่แปลกใจเลยว่าแม้แต่บิดาของนางยังให้ความสำคัญกับเขาขนาดนี้
“มาดูกันว่าเขาจะตบพวกเผ่าโบราณคร่ำคร่านี้ได้อย่างไร”
ขณะที่เกิดการพูดคุย เสียงของฝูถูเฉวียนก็ชะงัก สายตากวาดไปที่มู่เฉิน
เมื่อเขาเห็นมู่เฉินดวงตาก็หรี่ลง จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่อายุน้อยเช่นนี้หายากนัก เมื่อเทียบกับเขาแล้วทั้งเฉวียนหลัวและมั่วซินก็ยังด้อยกว่าหลายส่วน
นอกจากนี้เขาไม่รู้ว่าทำไมรู้สึกว่าชายหนุ่มคนนี้ดูค่อนข้างคุ้นหน้านัก
“เจ้าเป็นใคร? ทำไมถึงเข้ามายุ่งกับเรื่องของเผ่าฝูถูของข้า” เสียงของฝูถูเฉวียนดังก้องราวกับฟ้าคำรนสะท้อนไปทั่วขอบฟ้าพร้อมกับแรงกดดันของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งกำจายออกมา ทำให้ผู้คนถึงกับตัวสั่นสะท้าน
ทางฝั่งเฉวียนหลัวและมั่วซินก็อ้าปากตาค้าง พวกเขาชี้ไปที่มู่เฉินแบบพูดไม่ออก ชัดเจนที่ไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายจะมาปรากฏที่นี่
สมาชิกทั้งสองตระกูลมองไปที่ทั้งสองด้วยสายตาแปลกๆ เนื่องจากพวกเขาไม่รู้ว่าทำไมทั้งสองถึงมีปฏิกิริยาเช่นนี้
เมื่อเฮยกวางบนแท่นหยกเห็นมู่เฉินก็อุทานด้วยเสียงแผ่วเบา “มู่เฉิน? ไอ้ตัวกาลกิณีแกกล้ามาที่นี่ได้ยังไง?!”
เขาเชิญจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนไปจัดการกับมู่เฉินแล้ว แล้วอีกฝ่ายยังมาที่นี่ได้อย่างไร?
แม้ว่าเสียงของเขาจะแผ่วเบา แต่เฉวียนกวางและมั่วถงก็ได้ยิน ร่างกายของพวกเขาสั่นเทิ้มทันที
“มู่เฉิน? ไอ้ตัวกาลกิณีรึ?!”
มู่เฉินไม่ใส่ใจกับสายตาเหล่านั้น เขาเพียงแค่เงยหน้าขึ้นมองไปที่ฝูถูเฉวียนโดยไม่เกรงกลัว
จากนั้นไม่นานเสียงหัวเราะของเขาก็ดังก้องไปทั่วฟ้าดิน
“ข้าชื่อคือมู่เฉิน”
“บางทีผู้อาวุโสใหญ่อาจจะไม่คุ้นชื่อนัก แต่ท่านน่าจะรู้จักมารดาของข้าดี”
“หืม?” สายตาของฝูถูเฉวียนกะพริบวูบไหว
มู่เฉินยิ้มขณะไอเย็นเยือกค่อยๆ รวมตัวกันบนใบหน้า เขามองไปที่ฝูถูเฉวียนพูดแบบเน้นย้ำทีละคำ “ท่านแม่ข้าชื่อ…ชิง-เหยี่ยน-จิ้ง”
เมื่อเขาประกาศออกไปก็ก่อให้เกิดความโกลาหลระหว่างสวรรค์และโลก สมาชิกเผ่าฝูถูนับไม่ถ้วนผุดลุกขึ้นจากที่นั่งด้วยความตกใจเมื่อมองไปที่เขา
ชายหนุ่มคนนี้คือตัวกาลกิณีที่สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับเผ่าฝูถูหรือ!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น