หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1409-1414
บทที่ 1409 เฉวียนเทียนอึ้งกับเส้นหลิง...
วังสวรรค์บรรพกาล
เกิดการสั่นสะเทือนขึ้นที่นี่เป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็มๆ ก่อนที่จะค่อยๆ สลายหายไป…
พร้อมกับการสั่นสะเทือนหายไป รัศมีแสงศักดิ์สิทธิ์ก็แผ่บนยอดเขาและมีร่างเงาค่อยๆ ยืนขึ้น
เมื่อเขาลุกขึ้นยืนทั้งสวรรค์และโลกก็สั่นสะเทือน แรงกดดันที่ไม่สามารถอธิบายครอบงำลงมา ทำให้ทุกคนรอบทะเลสาบสวรรค์สั่นสะท้านจากแรงนี้
เหมือนรู้สึกได้ว่าแรงกดดันทรงพลังเกิน ร่างเงานั้นจึงโบกมือ รัศมีแสงถอนกลับเข้าร่าง แรงกดดันก็สลายหายตามกันไป
เมื่อรัศมีแสงหายไป ร่างของมู่เฉินก็เผยให้เห็น ม่านตาสีดำของเขาดูลึกล้ำและไม่อาจหยั่งรู้ได้ยิ่งกว่าแต่ก่อน
เฉวียนเทียนมองไปที่มู่เฉินด้วยแววตาซับซ้อนและตกตะลึง ซึ่งกินเวลานานก่อนที่เขาจะถอนหายใจ “ไม่คิดว่าประมุขจะมีเส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจรในตำนาน ไม่แปลกใจที่เจ้าสามารถก้าวเข้าระดับเทียนจื้อจุนได้ตั้งแต่อายุเพียงนี้”
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความอิจฉา เขารู้ว่าเส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจรเป็นตัวแทนของอะไร…
มู่เฉินยิ้มมองไปที่เฉวียนเทียน “ข้าหวังว่าผู้อาวุโสเฉวียนเทียนจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับนะ”
เนื่องจากเฉวียนเทียนมีความสัมพันธ์กับบางคนในตระกูลฝูถู ถ้าเรื่องนี้รั่วไหลนั่นหมายความว่ามู่เฉินจะสูญเสียไพ่ตาย
เฉวียนเทียนตอบเสียงขรึม “ประมุขวางใจเถอะ ตอนนี้ข้าเป็นผู้อาวุโสของตำหนักมู่ ข้าจะไม่ทำสิ่งใดที่ประทุษร้ายต่อประมุขอย่างแน่นอน”
มู่เฉินรู้สึกประหลาดใจกับการเปลี่ยนแปลงของเฉวียนเทียน แม้ว่าเขาจะเอาชนะและบีบให้อีกฝ่ายรับตำแหน่งผู้อาวุโสของตำหนักมู่ แต่เฉวียนเทียนก็ไม่เต็มใจ ดังนั้นความเคารพจึงไม่ออกมาจากใจจริง แต่ตอนนี้แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง อีกฝ่ายแสดงท่าทางที่คิดว่าตัวเองเป็นผู้อาวุโสของตำหนักมู่แล้ว
เฉวียนเทียนยิ้มเก้อ ก่อนหน้านี้แม้ว่าเขาจะกลัวมู่เฉินแต่ก็ไม่มีความเคารพให้ ทว่านับตั้งแต่ที่มู่เฉินได้เผยเส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจรออกมา เฉวียนเทียนก็รู้สึกถูกข่มขู่แล้วจริงๆ
ด้วยเส้นหลิงขั้นสูงสุด มีโอกาสสูงที่ชายหนุ่มจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งและนี่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าอายที่เฉวียนเทียนจะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจอมยุทธ์ในระดับนั้น
“ฮ่าๆ ไม่รู้ว่าทักษะหลิงไม่เสินทงที่ประมุขได้พัฒนาคืออะไร?” เฉวียนเทียนมองไปที่มู่เฉินด้วยความอยากรู้
มู่เฉินยิ้มพลางเหยียดนิ้วออกมาแตะลงไปเบาๆ
เปลวไฟสีม่วงพุ่งออกมาจากปลายนิ้วของมู่เฉิน ลอยไปหาเฉวียนเทียน
พอเฉวียนเทียนเห็นแบบนี้ก็ไม่กล้าประมาท เขาสัมผัสได้ถึงการคุกคามจากเปลวไฟสีม่วง ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน รีบสร้างม่านพลังหลิงทรงพลังรอบตัวทันที
ม่านพลังแสดงให้เห็นถึงการป้องกันที่น่าตกใจ ซึ่งสามารถต้านทานการโจมตีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงได้เลยทีเดียว
ฟู่ ฟู่!
เปลวไฟสีม่วงลอยเข้ามา เมื่อสัมผัสกับม่านพลังก็คล้ายกับไฟต้องกับน้ำมัน ทันใดนั้นเปลวไฟก็ลุกโชนปกคลุมม่านพลังทั้งหมดเอาไว้
การป้องกันที่น่ากลัวถูกเปลวไฟสีม่วงสลายไปอย่างรวดเร็ว เปลวไฟราวกับหนอน เคลื่อนห่อหุ้มไปทางเฉวียนเทียนที่ไม่ทันตั้งตัว
ฉากนี้ทำให้ใบหน้าเฉวียนเทียนไร้สี เขาไม่คิดว่าการป้องกันของตนเองจะทำให้เปลวไฟสีม่วงเติบโตขึ้นแทนที่จะปิดกั้นไว้
ฮา
เมื่อเห็นเปลวไฟสีม่วงกวาดไปทั่ว เฉวียนเทียนก็เปิดปากกระแสคลื่นหลิงจำนวนมหาศาลพุ่งออกมา ทุกหยดคือเป็นคลื่นหลิงที่กลั่นอย่างเข้มข้นซึ่งมีความหนาแน่นมาก หนักราวหมื่นชั่ง เมื่อกวาดออกมาแม้แต่เทือกเขาก็จะเรียบเป็นหน้ากลอง
เมื่อกระแสคลื่นปะทะกับเปลวไฟสีม่วงเสียงฉ่าก็ดังขึ้น เฉวียนเทียนต้องตกใจเมื่อเห็นเปลวไฟสีม่วงเติบโตกลายเป็นคลื่นเพลิงโหมกระหน่ำ
“นี่คือไฟอะไร? ครอบงำอะไรเช่นนี้!”
ใบหน้าเฉวียนเทียนเคร่งเครียดลงหลายส่วนพร้อมกับแววตาหวาดผวา เขารู้สึกได้ว่าการโจมตีของตนไม่เพียงแต่ไร้ประโยชน์ ซ้ำยังไปเสริมสร้างเปลวไฟแทนอีกด้วย
เห็นได้ชัดว่าเปลวไฟสีม่วงมีความสามารถในการกลืนกินคลื่นหลิงเพื่อเสริมความแข็งแกร่ง
เปลวไฟนี้แปลกประหลาดยิ่งนัก เมื่อเผชิญหน้าในการต่อสู้ ใครจะรู้ว่าต้องใช้เวลามากแค่ไหนในการแก้ไขปัญหา
เมื่อเปลวไฟสีม่วงกำลังจะห่อหุ้มร่างเฉวียนเทียน มู่เฉินก็เปิดปากเรียกเปลวไฟกลับมากลืนเข้าไปสถิตในร่าง
“หืม?”
เมื่อเปลวไฟสีม่วงกลับเข้าที่ ท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไป เขาตระหนักได้ว่าขณะที่เปลวไฟสีม่วงสลายในร่างกายก็เกิดการไหลเวียนของพลังงานบริสุทธิ์หลอมรวมอยู่ในอณูต่างๆ ของเขา
“ไม่คิดว่าเปลวไฟสีม่วงจะสามารถกลืนกินคลื่นพลังเข้ามาเติมเต็มให้ข้าด้วย” มู่เฉินยิ้ม เปลวไฟสีม่วงมีความพิเศษอย่างแท้จริง สมกับการเป็นทักษะหลิงไม่เสินทงที่พัฒนาโดยเส้นหลิงขั้นเสินแปดชีพจร
“ประมุขเปลวไฟพวกนั้นมาจากไหน?” เฉวียนเทียนได้สติก็ร้องอุทาน
“นี่คือทักษะหลิงไม่เสินทงของข้า ซึ่งข้าเรียกว่าเพลิงม่วงกลืนวิญญาณ” มู่เฉินยิ้ม
“เพลิงม่วงกลืนวิญญาณ? ความหมายตามชื่อเลยจริงๆ” เฉวียนเทียนพยักหน้าด้วยความกลัวในดวงตา ถ้ามู่เฉินไม่ได้เรียกกลับคืนไปก่อนหน้า วันนี้เขาคงต้องทุกข์ทรมานกับเพลิงม่วงนี้แล้ว
“สมกับเป็นเส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจร ไม่ธรรมดาจริงๆ”
มู่เฉินยิ้มเมื่อได้ยิน แต่เขาไม่คิดเผยอะไรเพิ่มเติม เพลิงม่วงกลืนวิญญาณคือทักษะหลิงไม่เสินทงที่พัฒนามาจากเส้นหลิงขั้นเสินแปดชีพจร และเขายังไม่เปิดเผยเส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจรออกมาเลย
แต่เฉวียนเทียนเพิ่งติดตามเขา ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเปิดเผยไพ่ตายทั้งหมดให้รู้
วาบ!
ในขณะที่มู่เฉินและเฉวียนเทียนกำลังสนทนากันอยู่นั้น ร่างแสงก็ทะยานเข้ามา ซึ่งก็คือมั่นถัวหลัว หลิงซีและจอมยุทธ์ชั้นสูงของตำหนักมู่
เมื่อทั้งหมดเห็นมู่เฉินปลอดภัยดีก็รู้สึกโล่งใจ ชัดว่าช่วงนี้พวกเขาต่างให้ความสนใจกับความปั่นป่วนที่นี่
มู่เฉินยิ้มเมื่อเห็นการมาถึงของพวกเขาพร้อมกับชี้ไปเฉวียนเทียน “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเขาคือผู้อาวุโสอันดับหนึ่งของตำหนักมู่ เมื่อข้าไม่อยู่ ตำหนักมู่จะอยู่ภายใต้การคุ้มครองของเขา ความขุ่นเคืองทั้งหมดที่มีก่อนหน้าให้ลบทิ้งออกไปซะ”
ตลอดเดือนที่มู่เฉินฝึกฝน มั่นถัวหลัว หลิงซีและคนอื่นๆ ก็สังเกตเห็นเฉวียนเทียนคอยคุ้มกัน ดังนั้นทุกคนจึงพร้อมรับเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ละคนพยักหน้าให้อีกฝ่าย
แม้ว่าก่อนหน้าจะมีข้อพิพาทกันบ้าง แต่ก็เป็นสิ่งสำคัญสำหรับความปลอดภัยของตำหนักมู่ที่จะมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเพิ่มเติม
“ข้าขอโทษสำหรับเรื่องที่ทำไป หวังว่าทุกคนจะไม่ถือสาอะไร” เฉวียนเทียนยิ้มเซื่อง เขาลดทิฐิลง ปราศจากความเย่อหยิ่งของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนโดยสิ้นเชิง
พวกมั่นถัวหลัวอึ้งไปกับคำขอโทษของเขา เนื่องจากพวกเขารู้ถึงช่องว่างที่มี เหตุผลที่เขาจะกลายเป็นผู้อาวุโสของตำหนักมู่ก็เป็นเพราะมู่เฉิน สำหรับพวกเขาอีกฝ่ายก็คงไม่มองในสายตา
เฉวียนเทียนถอนหายใจอย่างขมขื่นกับอาการประหลาดใจของพวกเขา ถ้าไม่ใช่เพราะมู่เฉินมีเส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจร เขาคงไม่แสดงเจตนาดีต่อสมาชิกตำหนักมู่ขนาดนี้ แต่ตอนนี้มู่เฉินมีอนาคตที่ไม่อาจจินตนาการได้และอาจบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง การดำรงอยู่เช่นนี้ไม่สามารถรุกรานได้…
พวกตำแหน่งสูงในตำหนักมู่ต่างรู้สึกอึ้งไปจากทัศนคติของเฉวียนเทียน เพราะปกติจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนจะพูดกับพวกเขาในลักษณะนี้ซะที่ไหน? ดังนั้นบรรยากาศอึมครึมจึงละลายอย่างรวดเร็ว
มู่เฉินยิ้ม เขารู้ว่าเฉวียนเทียนกำลังประจบประแจง ทว่าเขาก็พอใจกับสิ่งนี้
ในขณะที่บรรยากาศกำลังชื่นมื่น หลิงซีก็เดินเข้ามาหา “ข้าได้ข่าวว่าขั้วอำนาจสูงสุดบางส่วนได้รับคำเชิญจากเผ่าฝูถู ถ้าเดาไม่ผิดงานชุมนุมสายเลือดน่าจะเริ่มเร็วๆ นี้…”
“งานชุมนุมสายเลือด?” ใบหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไป เขาบอกให้หลิงซีเพิ่มความสนใจกับข่าวสารของเผ่าฝูถู ก่อนที่เขาจะเข้าสู่สมาธิฝึกฝน
“งานของเผ่าฝูถูที่จัดขึ้นในสิบปีครั้ง เป็นเหตุการณ์สำคัญมาก โดยทั่วไปแล้วพวกเขาจะเชิญขั้วอำนาจสูงสุดมาร่วมสังเกตการณ์”
มู่เฉินพยักหน้ากับคำอธิบาย ภารกิจของเขาต่อเผ่าฝูถูคือการช่วยเหลือมารดา เมื่อมีเหตุการณ์ใหญ่ๆ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อเขามากขึ้น
ท้ายที่สุดแม้จะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนแล้ว เขาก็ยังต้องเตรียมตัวและวางแผนก่อนที่จะเผชิญหน้ากับเผ่าโบราณ
มู่เฉินเงยหน้ามองไปในกลุ่มเมฆพลางหลับตาลงช้าๆ
“เผ่าฝูถู พวกเจ้าตามหาข้ามาหลายปี ครั้งนี้ถึงเวลาเปิดศึกแล้ว…”
บทที่ 1410 เมืองฝูถู
ครึ่งเดือนต่อมา
จอมยุทธ์ตำแหน่งสูงของตำหนักมู่มารวมตัวกันด้านหน้าห้องโถง
มู่เฉินยืนไพล่มือหลังก่อนที่จะหันกลับมามองไปที่มั่นถัวหลัวและเฉวียนเทียนที่ยืนหน้าสุด
“ตอนที่ข้าไม่อยู่มั่นถัวหลัวจะมีหน้าที่ดูแลเรื่องต่างๆ ในสำนักและหากมีใครมาท้าทายก็ต้องรบกวนผู้อาวุโสเฉวียนเทียนช่วยจัดการสักหน่อย” มู่เฉินยิ้มให้ทั้งสองคน
เฉวียนเทียนยิ้มพลางประสานมือ “ประมุขวางใจ ตอนนี้ข้าดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสของตำหนักมู่ ข้าจะรับผิดชอบสุดความสามารถ”
มั่นถัวหลัวพยักหน้าเบาๆ และมองไปที่มู่เฉิน “ระวังด้วย”
แม้ว่ามู่เฉินจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนกระทั่งนางเองก็ต้องเงยหน้ามอง แต่นางรู้ว่าเป้าหมายของเขาในครั้งนี้คือหนึ่งในห้าเผ่าโบราณแห่งมหาพันภพ
รากฐานของเผ่าเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจินตนาการได้ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนธรรมดาก็ยังหวาดกลัวเมื่อต้องเผชิญหน้ากับพวกเขา
มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องกังวลข้ารู้ขีดจำกัดของตัวเองดี”
เขาจะไม่รู้ถึงพลังของเผ่าโบราณได้อย่างไร? แต่เขามีแผนสำหรับการเดินทางครั้งนี้แล้ว
“ไปกันเถอะ”
หลังจากฝากฝังเรื่องทั้งหมดแล้ว เขาก็หันไปพูดกับหลิงซีและหลงเซี่ยง เนื่องจากทั้งสองคนเคยอยู่ในเผ่าฝูถูมาก่อน การมีพวกเขาเป็นผู้นำทางก็สามารถช่วยเขาได้หลายอย่าง
ทั้งสองพยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูด
จากนั้นทั้งสามคนก็เคลื่อนเข้าไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายก่อนที่ประกายแสงจะค่อยๆ มารวมตัวกัน…
รัศมีปกคลุมสายตาของเขา ขณะที่เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่ท้องฟ้า “เผ่าฝูถู…ข้ามาแล้ว”
ตั้งแต่วันแรกที่เขาก้าวออกจากมณฑลเป่ยหลิง เขาก็ทำงานหนักมาตลอดจนถึงวันนี้ คงมีแต่เทพเซียนที่รู้ว่าเขาต้องใช้ความพยายามและอดทนแค่ไหน…
ทว่าการทำงานหนักของเขาได้รับผลตอบแทนแล้ว เด็กหนุ่มที่ยังไม่โตก้าวเท้าออกจากบ้านเกิดเพื่อท่องยุทธภพจนกระทั่งบรรลุระดับเทียนจื้อจุนในวันนี้และกำลังก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของมหาพันภพ
และตอนนี้… ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องแก้เรื่องราวในอดีตทั้งหมด
แสงหลิงพร่างพราวรวมตัวกัน คนสามคนก็หายไปในพริบตา
ทวีปฝูถู
ที่นี่เป็นหนึ่งในมหาทวีปของมหาพันภพ
ในฐานะที่เป็นทวีปใหญ่ ควรจะมีขั้วอำนาจนับไม่ถ้วน ทว่าบนทวีปนี้มีเพียงขุมกำลังเดียว นั่นก็คือเผ่าฝูถู
การตั้งชื่อทวีปว่าฝูถูก็สามารถบอกได้ว่าเผ่าฝูถูถือว่าทั้งทวีปเป็นดินแดนของตน แต่การกระทำที่ครอบงำนี้กลับไม่ได้ดึงดูดปัญหาใดๆ
เนื่องจากทุกคนรู้ว่าเผ่าฝูถูเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจสูงสุดที่เก่าแก่ที่สุดในมหาพันภพที่มีความแข็งแกร่งในการปกครองทั้งทวีป
เมืองสง่างามตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางทวีป เมืองนี้ได้ชื่อว่าเมืองฝูถูซึ่งเป็นหัวใจของทวีปนี้
ในฐานะที่เป็นศูนย์กลางของทวีป เมืองฝูถูไม่เคยร้างราผู้คน ทว่าช่วงนี้ประชากรที่มาที่นี่ก็เพิ่มสูงสุดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
เนื่องจากขั้วอำนาจทั้งหลายมารวมตัวกันที่นี่ด้วยความตั้งใจที่จะดูงานชุมนุมสายเลือดของเผ่าฝูถู…
เนินเขาขนาดใหญ่ที่ใจกลางเมืองมีจัตุรัสขนาดมหึมา ขณะนี้ร่างแสงนับไม่ถ้วนพลิ้วตัวลงมาจากท้องฟ้าเข้าไปในจัตุรัส
“สมกับเป็นเผ่าฝูถู อำนาจในการเรียกรวมผู้คนไม่อาจบรรยายได้จริงๆ” ร่างเงาสามร่างยืนอยู่ที่ริมจัตุรัสพร้อมกับรอยยิ้มของคนนำหน้า
พวกเขาก็คือมู่เฉิน หลิงซีและหลงเซี่ยงซึ่งใช้เวลาครึ่งเดือนในการเดินทางจากทวีปเทียนหลัว
มู่เฉินถอนหายใจเมื่อสัมผัสได้ถึงความผันผวนยิ่งใหญ่จากกลุ่มร่างแสงที่ลงมาจากท้องฟ้า
ทุกกลุ่มต่างมีจอมยุทธ์ระดับเทียนจื้อจุนทั้งสิ้น
ในส่วนอื่นๆ ของมหาพันภพ พวกเขาอาจเป็นราชัน แต่ที่นี่พวกเขาอยู่ในระดับปานกลางเท่านั้น
“จอมยุทธ์ที่ถูกเชิญโดยเผ่าฝูถูล้วนเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในมหาพันภพ มิหนำซ้ำยังมีขั้วอำนาจอ่อนแอบางส่วนเข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญเพื่อสร้างสัมพันธ์กับเผ่าฝูถูด้วย” หลิงซีกล่าว
“ตำหนักมู่ของเราคงถูกจัดเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจอ่อนแอสินะ?” มู่เฉินยิ้ม ตำหนักมู่เพิ่งจะผงาดเข้าสู่การเป็นขั้วอำนาจสูงสุด ในแง่ของรากฐานพวกเขาอ่อนแอกว่ากลุ่มมากมายที่นี่
หลงเซี่ยงพ่นลมหายใจ “ถ้านายหญิงได้รับการช่วยเหลือ ตำหนักมู่ก็จะมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งด้วย เทียบกับขั้วอำนาจอื่นในหาพันภพ เราก็จะจัดอยู่ในจุดสุดยอด”
มู่เฉินยิ้มพลางส่ายหัวก่อนจะมองไปที่ภูเขาใหญ่ ประตูมิติกำลังวูบไหว ประตูนั้นจะนำไปสู่มิติฝูถู ซึ่งเป็นสถานที่ที่ตระกูลใหญ่อาศัยอยู่
ถือเป็นหัวใจสำคัญของเผ่าฝูถูเลยทีเดียว
ส่วนที่เหลือในทวีปนี้ถือได้ว่าเป็นกิ่งก้านใบเท่านั้น ไม่รู้ว่ามีสมาชิกตระกูลย่อยเท่าไรที่พยายามให้ตระกูลใหญ่ยอมรับ
เรือขนาดใหญ่สามารถมองเห็นได้ที่ด้านนอกประตูซึ่งจอดระหว่างเขตแดน บางครั้งก็จะลงมาที่จัตุรัสเพื่อต้อนรับแขกผู้ทรงเกียรติเข้าสู่มิติฝูถู
มีค่ายกลขนาดใหญ่ที่ปกป้องเขตแดนจากภายนอกและมีเพียงคนที่อยู่บนเรือเท่านั้นที่สามารถผ่านไปได้ มิฉะนั้นแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ไม่สามารถก้าวเข้ามาได้
“เกณฑ์ของประตูเผ่าฝูถูนี่สูงใช้ได้เลย” หลิงซีกวาดสายตามองและขมวดคิ้ว
นั่นเป็นเพราะตามกฎแล้ว เฉพาะผู้ที่ได้รับเชิญเท่านั้นที่สามารถขึ้นเรือได้โดยไม่ต้องรอจนเหนื่อย ส่วนพวกที่ไม่ได้รับเชิญก็ได้แต่รอจนสุดท้าย
แม้ว่าสิ่งนี้จะทำให้ขั้วอำนาจสูงสุดที่มาด้วยตัวเองไม่พอใจ แต่ก็ทำได้เพียงแค่ระทมในใจเท่านั้น
“รอไปเถอะ ยังไงซะเราก็ไม่ได้มายินดีด้วย ถ้าพวกเขารู้ตัวตนของเรา กลัวว่าจะไม่สามารถเข้าไปได้ด้วยซ้ำ” มู่เฉินยิ้มและสงบนิ่งลง ทว่าในส่วนลึกของดวงตาของเขาพล่านด้วยไอเย็นเยือก
“นายน้อย เรามาที่เผ่าฝูถูอย่างนี้มันดีจริงหรือ?” หลงเซี่ยงลังเลก่อนที่จะถามด้วยน้ำเสียงกังวล พวกเขารู้ซึ้งถึงทัศนคติที่เผ่าฝูถูมีต่อมู่เฉิน หากคนเหล่านั้นสัมผัสถึงตัวตนของมู่เฉินได้ละก็ ด้วยพลังอำนาจของเผ่าฝูถู ต่อให้มู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็คงไม่สามารถหนีรอดไปได้
มู่เฉินยิ้ม “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อถูกจับกุมนะ”
เมื่อเห็นท่าทางสงบนิ่งของมู่เฉิน หลงเซี่ยงก็รู้สึกโล่งใจ เนื่องจากเขารู้จักนิสัยของมู่เฉินดี หากไม่มีการเตรียมการมู่เฉินก็ไม่ต้องหลุมพรางแน่นอน
ขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน ร่างแสงก็ทะยานลงมาจากท้องฟ้าเข้าไปในจัตุรัส
เมื่อรัศมีจางหายไป ภาพเงาทรงเสน่ห์โดดเด่นก็ดึงดูดสายตานับไม่ถ้วน
ร่างนั้นสวมชุดสีแดงเพลิงขับเน้นรูปร่างดึงดูดความสนใจของทุกคน โดยเฉพาะเสน่ห์เหลือล้นที่เล็ดลอดออกมาจากทุกอากัปกิริยาทำให้หัวใจสั่นไหวเลยทีเดียว
แม้จะทรงเสน่ห์ แต่สายตาของนางเย็นชานัก ทว่าเมื่อผสมผสานกันกลับยิ่งทำให้ดูน่าตื่นใจมากขึ้น
เมื่อมองไปที่หญิงสาวคนนั้น ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่มากประสบการณ์ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองสักนิด
แต่เมื่อสายตาของพวกเขาเห็นสัญลักษณ์เปลวเพลิงบนชุดของนาง หัวใจพวกเขาก็สั่นสะท้านก่อนที่จะเบนสายตาออก
เนื่องจากสัญลักษณ์นี้แสดงถึงพลังสูงสุดที่ไม่เป็นสองรองไปจากเผ่าฝูถู…
แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว
“ไม่คิดว่าแคว้นหวู่จิ้งฮั่วจะส่งตัวแทนมาด้วย… พวกเขาไม่เคยเข้าร่วมชมงานชุมนุมสายเลือดเผ่าฝูถูมาก่อน ทำไมครั้งนี้ถึงมาล่ะ?” มีคนกระซิบกระซาบกัน
สาวทรงเสน่ห์ไม่ได้ให้ความสนใจกับสายตาโดยรอบ นางพาพรรคพวกเดินไปที่ศูนย์กลาง
เมื่อผู้ดูแลเผ่าฝูถูเห็นนาง สายตาก็เปลี่ยนไปด้วยความเคารพ กระวีกระวาดเชื้อเชิญ
แต่เมื่อพวกเขากำลังจะทักทาย หญิงสาวก็กวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะหยุดพร้อมกับรอยยิ้มประหลาดใจบนใบหน้า
จากนั้นทุกคนก็เห็นนางเมินเฉยต่อผู้ดูแล หันเดินไปหาชายหนุ่มคนหนึ่ง
“มู่เฉิน เจ้ามาจริงด้วย”
มู่เฉินมองไปที่หญิงสาวคนนั้นด้วยรอยยิ้มที่เกิดจากหัวใจ “เซียวเซียวนานแล้วที่ไม่ได้เจอกัน”
นางก็คือเซียวเซียวที่ไม่ได้พบกันมานาน ครั้งนี้นางมาในฐานะตัวแทนแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว
เมื่อนางเห็นมู่เฉินใบหน้าที่เย็นชาก็อ่อนโยนและสดใสขึ้น นางเม้มปากก่อนจะก้าวเยื้องเผยให้เห็นคนข้างหลัง
นี่เป็นชายชราคนหนึ่งสวมชุดคลุมสีขาวที่ดูอัธยาศัยดีพร้อมกับสายตาลึกซึ้งทำให้เกิดปัญญา
เซียวเซียวยิ้มควงแขนชายชรา “มู่เฉินนี่คืออาจารย์ปู่ของข้า อาจารย์ของพ่อข้าน่ะ”
หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้านเมื่อได้ยิน ขณะที่เขามองไปที่ชายชราด้วยความตกใจ เซียวเหยียนที่เป็นที่เคารพนับถือเป็นศิษย์ชายชราคนนี้เหรอ?!
หัวใจของเขาโลดด้วยความตกตะลึงก่อนที่จะฉายสีหน้าเคร่งขรึมคารวะไปทางชายชราอย่างจริงจัง
“มู่เฉินทักทายผู้อาวุโสขอรับ”
บทที่ 1411 หมัวเฮอโยว
“มู่เฉินทักทายผู้อาวุโสขอรับ”
มู่เฉินไม่กล้าไร้มารยาทต่อชายชรา เขาประสานมือโค้งคำนับพร้อมกับท่าทางเคร่งขรึมลง บุคคลที่สามารถสั่งสอนใครสักคนที่ยิ่งใหญ่อย่างเทพจักรพรรดิอัคคี ชายชราคนนี้ต้องมีความพิเศษแน่
“ฮ่าๆ ข้าชื่อเย่าเฉิน พูดถึงเรื่องนี้ดูเหมือนว่าเราจะมีชะตาต่อกันนะ กระทั่งชื่อยังใช้คำว่า ‘เฉิน’ เหมือนกันอีกด้วย”
ชายชรายิ้มให้มู่เฉินอย่างอ่อนโยนก่อนที่จะพูดต่อ “จอมยุทธ์หนุ่มน้อยขุมพลังเทียนจื้อจุน เจ้าถือได้ว่าเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดที่ข้าเคยเห็น ไม่น่าแปลกใจที่เซียวเหยียนประเมินเจ้าไว้สูง”
“ท่านเซียวเหยียนชมเกินไป” มู่เฉินยิ้มโดยไม่มีความโอหังหรือความเย่อหยิ่งสักนิด
แม้ว่าเย่าเฉินจะแก่ชรา แต่มู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันคลุมเครือที่แผ่ซ่านออกมา เห็นได้ชัดว่าชายชราคนนี้ต้องเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนของแท้
เมื่อเทียบกับระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงเช่นเขา เย่าเฉินอยู่ในระดับสูงขึ้นไปอีก
แต่มู่เฉินไม่แปลกใจกับเรื่องนี้เนื่องจากเป็นเรื่องธรรมดาที่อาจารย์ของเทพจักรพรรดิอัคคีจะมีความแข็งแกร่งเช่นนี้
ดังนั้นเทียบกับพลังของเย่าเฉินแล้ว มู่เฉินอยากรู้เกี่ยวกับของเซียวเซียวมากกว่า เขารู้สึกได้ว่าความผันผวนของนางไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเขาเลย
“เจ้าก็บรรลุระดับเทียนจื้อจุนแล้วด้วยหรือ?” มู่เฉินมองเซียวเซียวด้วยความประหลาดใจ
ตอนที่พวกเขาพบกันครั้งแรก แม้ว่านางจะแข็งแกร่งกว่าเขา แต่ก็ยังอยู่ห่างจากระดับเทียนจื้อจุน ส่วนตัวมู่เฉินเองผ่านโชคลาภและประสบการณ์มากมายเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ดังนั้นเขาจึงประหลาดใจที่เซียวเซียวไล่ตามเขามาทันได้
“ทำไม? เจ้าเป็นอัจฉริยะคนเดียวในโลกเหรอ?” เซียวเซียวพ่นลมหายใจ
มู่เฉินยิ้มแหย ส่วนเย่าเฉินที่อยู่ด้านข้างก็หัวเราะเบาๆ “ในแง่ของเวลาการบ่มเพาะพลังเซียวเซียวไปไกลกว่าเจ้าสิบกว่าเท่า แต่นางจะเข้าสู่ห้วงนิทราเป็นระยะเนื่องจากสภาพร่างกาย ทุกครั้งที่ตื่นขึ้นพลังก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน ก่อนหน้านี้นางหลับไปประมาณหนึ่งปี เมื่อตื่นขึ้นมาก็ก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนน่ะ”
มู่เฉินตกใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น สายตามองเซียวเซียวแปลกไป ไม่คิดว่าจะมีเรื่องดีเช่นนี้ แค่นอนก็สามารถบรรลุระดับเทียนจื้อจุนได้ ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยจริงๆ
ตรงกันข้ามกับเขาที่ต้องเสี่ยงชีวิต แค่คิดถึงก็รู้สึกเปรี้ยวฝาดในใจ
“มองอะไร?!” เซียวเซียวส่งเสียงแหววอย่างเขินอาย ใบหน้าแดงระเรื่อเมื่อนางเห็นสายตาที่มองแปลกไปของมู่เฉิน
มู่เฉินยิ้มแห้งๆ ก่อนที่จะถอนสายตาแนะนำหลิงซีและหลงเซี่ยงให้รู้จัก
ขณะที่บรรยากาศระหว่างทั้งสองฝ่ายกลมกลืน สายตาจำนวนมากก็พุ่งไปที่มู่เฉินอย่างอยากรู้อยากเห็น พวกเขาต่างสงสัยเกี่ยวกับตัวตนของชายหนุ่ม เพราะในเมื่อได้รับความใส่ใจแบบนี้จากแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว ชายหนุ่มผู้นี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาล่ะมั้ง?
วาบ!
ทว่าขณะที่ทุกคนกำลังเดาตัวตนของมู่เฉิน ทันใดนั้นความปั่นป่วนก็ดังขึ้นอีกครั้ง ร่างเงาสิบกว่าร่างพลิ้วลงมาที่จัตุรัส
เมื่อพวกเขาปรากฏขึ้นความกดดันมหาศาลแผ่กระจายออกไปทำให้ทั้งจัตุรัสเงียบเสียงลง
สายตาทุกคู่จ้องมองไปที่พวกเขา
นี่เป็นกลุ่มจอมยุทธ์ที่มีสิบกว่าคนโดยมีผู้นำเป็นชายที่มีรัศมียิ่งใหญ่ เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีขาวดำพร้อมกับกลิ่นอายสูงส่ง โดยเฉพาะดวงตาข้างหนึ่งของเขาก็เป็นสีดำอีกข้างหนึ่งเป็นสีขาวดูมีมนตร์ขลังอย่างยิ่ง
เมื่อมองไปที่เสื้อผ้าที่เป็นเอกลักษณ์นั้น ก็มีเสียงอุทานดังออกมาจากโดยรอบ “นี่คือเผ่าหมัวเฮอ มิน่าล่ะรัศมีของพวกเขาถึงยิ่งใหญ่เพียงนี้”
เผ่าหมัวเฮอเป็นหนึ่งในห้าเผ่าเก่าแก่ของมหาพันโลกเช่นกัน
ชายคนนั้นไม่สนใจสายตาที่แสดงความเคารพรอบข้าง ท่าทางเขาประหนึ่งจักรพรรดิเสด็จ
ผู้ดูแลเผ่าฝูถูรีบเข้ามาต้อนรับอย่างรวดเร็ว เมื่อโบกมือเรือหรูหราก็ล่องลงมา
เรือหรูหราลำนั้นเป็นสิ่งที่มีเพียงแขกชั้นสูงที่สามารถใช้ได้
“เผ่าหมัวเฮอเรอะ?”
มู่เฉินมองไปที่คนกลุ่มนั้น สายตาก็วูบไหวเพราะเขาจำได้ว่าร่างมหาเทพนิรันดร์ที่สมบูรณ์แบบถูกเก็บไว้ในเผ่าโบราณเผ่านี้
ตอนนี้ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของเขามาถึงจุดสูงสุดแล้ว ดังนั้นอนาคตเขาจะต้องมุ่งหน้าไปยังเผ่าหมัวเฮอเพื่อสร้างร่างมหาเทพนิรันดร์ให้สมบูรณ์
“หืม?”
ขณะที่ความคิดนี้ปรากฏขึ้นในใจเขา ประกายแสงสีม่วงทองก็พวยพุ่งรอบตัว ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ทำท่าจะปรากฏออกมา
การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันทำให้เขาตกใจก่อนที่จะระงับอย่างรวดเร็วแล้วมองไปที่ชายคนนั้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เขารู้สึกได้ว่าความผิดปกติของร่างเทพสุริยะนิรันดร์เกิดจากคนผู้นั้น
ในเวลาเดียวกันอีกฝ่ายก็รู้สึกได้เช่นกัน เขาหยุดการเคลื่อนไหวลงก่อนที่จะมองไปทางมู่เฉิน
สองสายตาปะทะกัน กระแสเลือดและรัศมีในร่างกายของพวกเขาก็สั่นสะท้าน
มู่เฉินหรี่ตาลง สีหน้าเคร่งเครียดลงหลายส่วน เนื่องจากเขาสัมผัสได้ถึงไอหนาวเหน็บไม่เป็นมิตรที่มาจากชายคนนั้น
“เจ้านั่น…ฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์ด้วย!” มู่เฉินอึ้งไป ปฏิกิริยาที่แปลกประหลาดมาจากร่างเทห์สวรรค์ที่พวกเขาได้รับการฝึกฝน
“แต่ไม่แปลกที่สมาชิกเผ่าหมัวเฮอจะฝึกร่างเทพสุริยะนิรันดร์ ในเมื่อพวกเขาครอบครองร่างมหาเทพนิรันดร์อยู่” มู่เฉินพึมพำในใจ
มู่เฉินพึมพำในใจ ขณะเดียวกันอีกฝ่ายก็มีปฏิกิริยาตอบสนองไม่ต่างกันพลางมองไปที่มู่เฉินด้วยความเยาะเย้ยดูถูก “น่าสนใจ…ไม่คิดว่าจะได้พบกับคนนอกที่ฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์ที่นี่”
ตั้งแต่โบราณมาแล้วที่เผ่าหมัวเฮอได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์จากเทพจักรพรรดินิรันดร์ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาพวกเขาประกาศตัวว่าเป็นผู้สืบทอดชอบธรรมหนึ่งในสิบร่างมหาเทพปฐมกาล พยายามยับยั้งพวกฝึกฝนนอกรีตด้วยเพราะเกรงว่าจะมีคนที่เหมาะสมปรากฏขึ้นและนำร่างมหาเทพนิรันดร์ไปจากเผ่า
ดังนั้นเมื่ออีกฝ่ายสังเกตเห็นว่ามู่เฉินครอบครองร่างเทพสุริยะนิรันดร์ เขาก็ปลดปล่อยความเป็นศัตรูออกมาทันที
สายตาเขาวูบไหวด้วยไอเย็นชา เขาคิดจะสั่งให้คนไปตรวจสอบที่มาของมู่เฉิน แต่เมื่อเขาเห็นเซียวเซียวและเย่าเฉินที่อยู่ข้างๆ มู่เฉิน ดวงตาเขาหดลง
“แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว?”
แววตาชายคนนั้นจมลงด้วยความหวาดกลัววูบวาบในดวงตา ก่อนที่จะสะบัดแขนเสื้อจากไป
“เผ่าหมัวเฮอน่ารังเกียจเหมือนเดิม” เซียวเซียวส่งเสียงเย็นชาขึ้นจมูกขณะมองแผ่นหลังของชายคนนั้น
“เขาคือใครกัน?” มู่เฉินถาม ชายคนนั้นก็ฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์ จะต้องเป็นศัตรูตัวฉกาจของเขาในอนาคตอันใกล้ เมื่อเขามุ่งหน้าไปยังเผ่าหมัวเฮอ
“เขาชื่อหมัวเฮอโยวเป็นน้องชายของประมุขเผ่าหมัวเฮอ—หมัวเฮอเทียน” เย่าเฉินตอบ
“หมัวเฮอเทียน?” มู่เฉินหดดวงตาเมื่อได้ยินชื่อนี้ นี่เป็นชื่อที่มีชื่อเสียงมากในมหาพันภพ
“หมัวเฮอเทียนเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานและพยายามกลืนกินแคว้นหวู่จิ้งฮั่วในอดีต แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้กับท่านพ่อข้า นับจากนั้นมาเผ่าหมัวเฮอก็ไม่กล้าเดินเฉียดแคว้นหวู่จิ้งฮั่วอีกเลย” เซียวเซียวตอบ
มู่เฉินพยักหน้า เขาเคยได้ยินเหตุการณ์นี้มาก่อน หลังจากครั้งนั้นแคว้นหวู่จิ้งฮั่วก็ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในสุดยอดขั้วอำนาจสูงสุดแห่งมหาพันภพ
“จักรพรรดิฟ้าเคยบอกว่าหากข้ามีภูมิหลังและความแข็งแกร่งเพียงพอ ก็ให้มุ่งหน้าไปยังเผ่าหมัวเฮอเพื่อรับร่างมหาเทพนิรันดร์ เมื่อพิจารณาถึงตอนนี้มีเหตุผลอยู่เบื้องหลังจริงๆ หากไม่มีความแข็งแกร่งเพียงพอแม้ว่าข้าจะมีวาสนากับร่างมหาเทพนิรันดร์ แต่ก็กลัวว่าจะไม่สามารถรับมาได้” มู่เฉินพึมพำในใจ ตอนแรกเขายังมีความคาดหวัง แต่เมื่อเห็นหมัวเฮอโยวในครั้งนี้ เขาก็รู้แล้วว่าเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์อย่างสันติ
“งั้นเราเข้าสู่มิติฝูถูกันดีกว่า” เซียวเซียวเหลือบมองผู้คนในจัตุรัสที่เพิ่มมากขึ้น นางรู้สึกไม่ชอบใจกับสายตาที่จ้องมารอบตัวแล้ว
มู่เฉินพยักหน้าไม่มีข้อขัดข้องอะไร
แต่ในขณะที่พวกเขากำลังจะเดินไป ทันใดนั้นมู่เฉินก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งพลิ้วตัวลงมาจากท้องฟ้าก็ยิ้มกว้างออกมา “รอหน่อยนะ มาอีกคนแล้ว”
เมื่อสิ้นเสียงมู่เฉิน คนกลุ่มนี้ก็พลิ้วตัวลงมาข้างๆ พวกเขาเลยทีเดียว จากนั้นเรียวแขนก็ยื่นออกมาเกาะไหล่มู่เฉิน ในเวลาเดียวกันเสียงหัวเราะคิกคักของหญิงสาวก็ดังขึ้น
“คิกๆ มู่เฉิน ไม่เจอกันตั้งนาน คิดถึงข้าไหม?”
เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะนั้น มู่เฉินก็ยิ้มบาง นี่จะเป็นใครอีกล่ะนอกจากหลินจิ้ง?
บทที่ 1412 มิติฝูถู
เสียงหัวเราะพลิ้วหวานดังขึ้น
หญิงสาวคนหนึ่งปรากฏตัวด้วยชุดเสื้อยาวสีดำและกางเกงสีดำ เอวและช่วงขายาวอธิบายด้วยคำว่าสมบูรณ์แบบ ผมมัดเป็นหางม้าดูมีชีวิตชีวานัก
นางมีรูปลักษณ์ที่งดงามยิ่ง ดวงหน้าแย้มบานด้วยรอยยิ้ม ความเฉลียวฉลาดวูบไหวอยูในม่านตา ซึ่งสามารถบรรเทาอารมณ์ของคนที่มองได้
นางก็คือหลินจิ้งนั่นเอง
“ครั้งนี้เจ้าไม่ได้หนีออกจากบ้านมาใช่ไหม?” มู่เฉินยิ้มแซวพร้อมกับทำตาเล็กตาน้อย
“ไม่ได้หนีนะ!” หลินจิ้งย่นจมูกพลางก้าวถอยหลังเผยให้เห็นภาพเงาอีกด้านหนึ่ง เมื่อมู่เฉินและคนอื่นๆ เห็นคนผู้นี้ ก็อดรู้สึกอะไรจะปานนั้นไม่ได้ แต่เมื่อมองให้ชัดเจนความรู้สึกก็เปลี่ยนเป็นประหลาด
เนื่องจากชายคนนี้สวมชุดสีขาว ใบหน้าดูงดงามอย่างยิ่ง ให้ความรู้สึกสวยในแวบแรก แต่หากมองดีๆ ก็จะรู้ว่าแท้จริงเขาเป็นผู้ชาย
“นี่ท่านอาเตียว น้องชายร่วมสาบานของท่านพ่อข้าน่ะ” หลินจิ้งจับแขนอีกฝ่ายแกว่งไปมาแล้วหัวเราะเสียงใส ก่อนจะขยิบตาให้มู่เฉิน “สวยใช่ไหม?”
ทุกคนแสดงท่าทางกระอักกระอวน จะให้ตอบคำถามนี้ยังไง?
เมื่อชายรูปงามได้ยินคำพูดของหลินจิ้ง มุมริมฝีปากก็กระตุก ถ้ามีคนอื่นบอกเขาว่าสวยละก็ คงโดนจัดการตบสั่งสอนไปนานแล้ว แต่สำหรับหลานสาวตัวน้อยเขาไม่อยากแม้แต่จะตีนาง จึงได้แต่ถลึงตาใส่อย่างช่วยไม่ได้
“โฮ่ๆ นี่คงเป็นประมุขรองแคว้นหวูท่านหลินเตียวใช่ไหม?” เย่าเฉินยิ้ม
เมื่อมู่เฉินได้ยินหัวใจก็สั่นสะท้าน เขาเคยได้ยินมาว่าประมุขรองแคว้นหวูก็มาจากพิภพเขตล่างเช่นกัน มิหนำซ้ำยังเป็นเทพอสูรเพียงพอนฟ้า เมื่อเข้ามายังมหาพันภพก็ได้พัฒนาการเป็นมหาเทพอสูรของที่นี่ ในแง่ของความแข็งแกร่งก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนเลยทีเดียว
“หลินเตียวคารวะผู้อาวุโสเย่า” หลินเตียวประสานมือพร้อมกับดึงไอเย็นที่มีก่อนหน้ากลับคืน
จากนั้นเขาก็หันไปหามู่เฉินพลางกวาดสายตา “ข้าว่าเจ้าน่าจะเป็นมู่เฉินใช่ไหม?”
“คารวะผู้อาวุโสหลินเตียวขอรับ” มู่เฉินพยักหน้า
“พรสวรรค์ยอดเยี่ยม มิน่าแม้แค่หลินต้งยังประเมินเจ้าไว้สูงมาก” หลินเตียวกล่าวชื่นชม ด้วยสายตาเฉียบแหลมเขาสามารถบอกได้ว่ารากฐานของมู่เฉินแข็งแกร่งมาก แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิง แต่ก็สามารถบรรลุขั้นเซิ่งในอนาคตได้แน่นอน
“เราได้รับข้อความของเจ้า แคว้นหวูจะให้การสนับสนุน”
เย่าเฉินยิ้มอย่างอบอุ่น “หากต้องการอะไร แคว้นหวู่จิ้งฮั่วก็จะช่วยเช่นกัน”
มู่เฉินยิ้มพลางพยักหน้า การมาเยือนเผ่าฝูถูครั้งนี้เป็นเรื่องที่อันตราย แม้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนแล้วก็ตาม แต่ก็ยังอ่อนแอเกินไปหากต้องการฉีกหน้ากับเผ่าโบราณนี้
ดังนั้นก่อนที่เขาจะเดินทางก็ได้ส่งคนไปขอความช่วยเหลือจากแคว้นหวูและแค้วหวู่จิ้งฮั่ว แน่นอนว่านี่เป็นเพียงมาตราการการป้องกันเท่านั้น ในกรณีที่เผ่าฝูถูเล่นตุกติก ไม่อย่างนั้นคนอย่างมู่เฉินก็ไม่กลัวพวกเขาหรอก
“งั้นข้าขอแสดงความขอบคุณ ครั้งนี้ข้าเป็นหนี้บุญคุณแล้ว” มู่เฉินคารวะด้วยมารยาทให้กับหลินเตียวและเย่าเฉิน
เซียวเหยียนและหลินต้งให้ความคุ้มครองแก่เขาเพื่อขอบคุณที่เขาช่วยเซียวเซียวและหลินจิ้งไว้ แต่เขาก็ได้รับความช่วยเหลือตอบแทนมาแล้ว ดังนั้นหากเขาต้องการความช่วยเหลือ เขาก็จะต้องเป็นหนี้บ้าง
“ตอนนี้เจ้ามีคุณสมบัติที่จะเป็นหนี้บุญคุณแล้ว” หลินเตียวยิ้ม คำพูดนี้ชัดเจน ในมหาพันภพไม่ใช่ใครก็ได้ที่สามารถร้องขอความช่วยเหลือจากแคว้นหวูและแคว้นหวู่จิ้งฮั่วได้ ทว่ามู่เฉินสามารถก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนตั้งแต่วัยเท่านี้ อนาคตเขาจะกลายเป็นยอดยุทธ์ที่มีศักยภาพแน่นอน ดังนั้นจึงมีคุณสมบัติที่จะให้ความช่วยเหลือ
มู่เฉินพยักหน้า “ในอนาคตถ้าต้องการความช่วยเหลือ ข้าก็จะทำเต็มความสามารถ”
หลิงซีและหลงเซี่ยงอดถอนหายใจอย่างโล่งอกไม่ได้ ตอนนี้พวกเขาเข้าใจแล้วว่าทำไมมู่เฉินถึงกล้ามาที่เผ่าฝูถู เพราะว่าเขาวางแผนเตรียมพร้อมทุกฝีก้าวเลยทีเดียว
ด้วยการสนับสนุนจากแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวู ก็ไม่ต้องกลัวการข่มขู่จากเผ่าฝูถูแล้ว
หลิงซีมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาพอใจ ใครจะคิดได้ว่าชายหนุ่มที่ออกจากสำนักศึกษาเป่ยชางเพื่อท่องยุทธภพจะเติบโตขึ้นแล้วในตอนนี้? มากจนถึงขนาดที่เขาสามารถเชิญขั้วอำนาจสูงสุดทั้งสองของมหาพันภพและยืนเคียงข้างยักษ์ใหญ่ทั้งสองได้ กระทั่งเผ่าฝูถูก็ยังไม่กล้าเผยอหน้ามอง
“ในเมื่อทุกคนมาพร้อมกันแล้ว เราก็มุ่งหน้าเข้าสู่มิติฝูถูกันเถอะ” เย่าเฉินยิ้ม
ทุกคนพยักหน้า ผู้ดูแลก็รี่เข้ามาเรียกเรือหรูหราที่สุดให้
ขั้วอำนาจยักษ์ใหญ่ทั้งสองไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเผ่าหมัวเฮอแต่อย่างใด ในบางแง่มุมแม้แต่เผ่าโบราณทั้งห้าก็ยังหวาดกลัวเมื่อเผชิญหน้ากับเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรรพรรดิสงคราม
สำหรับพวกมู่เฉินทั้งสามคน พวกเขาได้นั่งบนเรือที่หรูหราที่สุดเนื่องจากแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูชักชวน ทิ้งสายตาอิจฉาจำนวนมากไว้
เรือแล่นไปอย่างรวดเร็วถึงประตูทางเข้าในเวลาไม่กี่นาที จากนั้นก็แล่นเข้าไปช้าๆ
เมื่อเรือเข้าไป พลังทรงประสิทธิภาพก็กวาดออกไป ทำให้ดวงตาของเย่าเฉินและหลินเตียวหดลงเลยทีเดียว
“นี่คือค่ายกลพิทักษ์ของเผ่าฝูถู” มู่เฉินก็รู้สึกได้เช่นกัน เขาหรี่ตามองไปในความว่างเปล่า ความสำเร็จในด้านค่ายกลของเขามาถึงขั้นหลิงเจิ้นจงซือแล้ว ดังนั้นเขาจึงสามารถสัมผัสได้คลุมเครือว่ามีค่ายกลขนาดใหญ่ปกป้องพื้นที่นี้อยู่
ค่ายกลพิทักษ์นี้เป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิงก็ไม่สามารถทำลายได้
“มีหลายวิธีในการใช้ค่ายกลพิทักษ์ เห็นได้ชัดว่าคนรุ่นหลังได้ค่อยๆ ปรับปรุงจนสมบูรณ์แบบ” มู่เฉินหลับตาสัมผัสค่ายกล ก่อนที่ดวงตาเขาจะสั่นสะท้าน
เนื่องจากเขารู้สึกได้ถึงความคุ้นเคยที่มาจากมัน
“ท่านแม่สินะ… ท่านแม่เข้าร่วมในการทำให้ค่ายกลพิทักษ์นี้ให้สมบูรณ์ นอกจากนี้ยังชัดเจนมาก คงไม่ได้ผ่านมานานเท่าไร” สายตาของมู่เฉินวูบไหวก่อนที่รอยยิ้มแปลกประหลาดจะปรากฏขึ้นบนริมฝีปาก จากนั้นก็สลายการสัมผัสไป เพราะกลัวว่าจะโดนคนอื่นจับได้
เมื่อเรือแล่นเทียบท่าทัศนียภาพก็เปลี่ยนไป ราวกับว่าพวกเขาเข้าสู่อีกโลกหนึ่งพร้อมด้วยคลื่นหลิงบริสุทธิ์ลอยอวลเติมมิติ
“สมกับเป็นหัวใจของเผ่าฝูถูแท้จริง” มู่เฉินถอนหายใจกับฉากนี้ แม้แต่วังสวรรค์บรรพกาลก็ยังขาดเมื่อเทียบกับมิติฝูถูแห่งนี้
ทว่านี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะวังสวรรค์บรรพกาลถูกสร้างขึ้นโดยจักรพรรดิฟ้า หลังจากนั้นท่านก็สละชีวิต ไม่มีใครช่วยสานต่อ ดังนั้นจึงสึกกร่อนไปตามกาลเวลา ซึ่งตรงกันข้ามกับมิติฝูถูที่ได้รับการจัดการอย่างดีในช่วงหลายหมื่นปี ดังนั้นจึงแข็งแกร่งกว่าวังสวรรค์บรรพกาลโดยธรรมชาติ
เรือแล่นข้ามขอบฟ้าไม่นานก็แล่นช้าลง มู่เฉินและคนอื่นๆ รู้สึกได้ถึงความเร็วที่ลดลงกะทันหัน พวกเขาพากันมองขึ้นไปข้างหน้า
เทือกเขาขนาดมหึมาปรากฏขึ้นเบื้องหน้าครรลองสายตาพร้อมกับเจดีย์สีดำขนาดใหญ่ตั้งเรียงรายไป
ทั่วทั้งฟ้าดินพร้อมกับกลิ่นอายโบราณลอยฟุ้ง
เมื่อเรือจอดเทียบท่า ร่างแสงก็ทะยานมาจากระยะไกลพลิ้วตัวลงบนเรือ
“ขงคงจากเผ่าฝูถูทักทายผู้เฒ่าเย่าและท่านหลินเตียว”
เขาเป็นชายสูงวัยที่มีผมสีดำแซมขาว แรงกดดันทรงพลังเปล่งออกมาจากร่างกาย เห็นได้ชัดว่าเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิง
“อา…ผู้อาวุโสขงคง” เย่าเฉินและหลินเตียวพยักหน้ารับ
มู่เฉินมองไปที่ผู้อาวุโสขงคงก่อนที่จะกวาดสายตาไปที่ด้านหลังก็ต้องอึ้งไปชั่วครู่ เขาเห็นคนคนหนึ่งเบิกตากว้างกำลังมองมาที่เขา
“ชิงซวง”
มู่เฉินมองไปที่หญิงสาวพร้อมกับสายตากะพริบวูบไหว เขาไม่คิดว่าจะได้พบกับชิงซวงตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาเหยียบเผ่าฝูถู
“ทุกคนมาไกลไปพักผ่อนกันก่อนเถอะ”
ผู้อาวุโสขงคงให้ความสุภาพกับเย่าเฉินและหลินเตียวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนก่อนที่จะมองไปที่มู่เฉิน “พ่อหนุ่มดูไม่คุ้นหน้านะ มีเทียบเชิญไหม?”
“เขาเป็นสหายน้อยของพวกเรามาที่นี่เพื่อชมพิธีน่ะ” เย่าเฉินยิ้ม
ขงคงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มก่อนที่แววตาจะจางลง ไม่มีกระทั่งเทียบเชิญ คงมาจากแค่ขั้วอำนาจธรรมดา
“โปรดตามข้ามา”
ขงคงหันหลังทะยานไปยังภูเขาสูงตระหง่านที่เต็มไปสวนที่ตกแต่งอย่างหรูหราสำหรับแขกสำคัญ
“ชิงซวงนำแขกทั้งสามคนไปที่สวนพักขั้นตี้เถอะ”
ขงคงกล่าวกับชิงซวง เขาต้องการต้อนรับกลุ่มเย่าเฉินและหลินเตียว สำหรับกลุ่มมู่เฉิน เขาไม่จำเป็นต้องรับเป็นการส่วนตัว
ชิงซวงพยักหน้านำทางไป
มู่เฉินพยักหน้าให้เย่าเฉินและหลินเตียว ก่อนที่เขาจะออกไปกับหลิงซีและหลงเซี่ยง
ทั้งกลุ่มลัดเลาะมาถึงสถานที่ที่ไม่มีผู้คน ก่อนที่ชิงซวงจะหยุดแล้วหันขวับมามองมู่เฉินอย่างโกรธเคือง “เจ้าอยากตายจริงๆ ใช่ไหม! ทำไมถึงมาที่เผ่าฝูถู?!”
“เจ้ากำลังเหวี่ยงตัวเองเข้ามาในตาข่ายชัดๆ!”
บทที่ 1413 สถานการณ์ของตระกูลชิง
“เหวี่ยงตัวเองเข้ามาในตาข่าย?”
มู่เฉินมองชิงซวงที่กำลังคลั่งก่อนที่จะยิ้มตอบว่า “ท่านแม่ปกป้องข้ามาตั้งนาน ข้าไม่โง่ที่จะหุนหันพลันแล่นหรอก”
“เจ้าก็รู้ตัวนี่? ที่นี่คือมิติฝูถูซึ่งเป็นกองบัญชาการใหญ่ของเผ่าฝูถู! ด้วยขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มของเจ้า ผู้อาวุโสทุกคนที่นี่จับกุมเจ้าได้อย่างง่ายดาย!” ชิงซวงถลึงตาขณะที่ร้องโวยวาย
เหตุผลที่นางลงทุนเสี่ยงไปแจ้งข่าวให้มู่เฉิน ก็เพื่อให้เขาไปซ่อนตัวให้ดีและไม่ถูกตรวจพบโดยเผ่าฝูถู แต่ตอนนี้เขาดันวิ่งทะเล่อทะล่ามาที่เผ่าฝูถู ซึ่งนี่ทำให้นางรู้สึกโกรธมาก
“ข้าว่าคงไม่มีผู้อาวุโสคนไหนจับข้าได้หรอก” มู่เฉินยิ้ม
“เจ้า!” ชิงซวงมุ่นคิ้ว นางรู้สึกว่าคำพูดของมู่เฉินดูจะผยองเกินไปหน่อย
แต่ก่อนที่นางจะเริ่มโวยวายต่อ มู่เฉินก็ก้าวออกมาครึ่งก้าวพร้อมกับรัศมีที่น่ากลัวพวยพุ่งออกมาจากร่างกายเขา ทำเอาฟ้าดินโดยรอบสั่นสะเทือน
ชิงซวงหดดวงตาทันทีจากนั้นก็มองไปที่มู่เฉินด้วยความตกตะลึง แม้ว่าชายหนุ่มจะปล่อยแรงกดดันน่ากลัวออกมาชั่วขณะ แต่นางก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนจากระยะทางแค่นี้
รัศมีนั่นเป็นสิ่งที่แม้แต่ผู้อาวุโสบางคนในตระกูลก็ไม่สามารถประชันด้วยได้
“จะ…เจ้าบรรลุระดับเทียนจื้อจุนแล้วหรือ?!” ดวงตาชิงซวงโตเท่าไข่ห่านพร้อมกับความไม่เชื่อบนใบหน้า ตอนที่นางพบกับมู่เฉินเมื่อปีก่อนเขาเพิ่งบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่ในเวลาสั้นๆ เพียงปีเดียวเขาก็ก้าวข้ามขอบเขตเข้าสู่ขุมพลังเทียนจื้อจุน!
ความเร็วในการฝึกฝนของเขาน่าสะพรึงขนาดไหน? ต้องมีพรสวรรค์และโอกาสมากเท่าไรสำหรับสิ่งนั้น?
ในฐานะสมาชิกเผ่าฝูถู ชิงซวงรู้ชัดเจนว่าการก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนยากเพียงใด แม้แต่จอมยุทธ์รากฐานมั่นคงในเผ่าฝูถูก็ยังก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนอย่างยากลำบาก
เช่นเดียวกับเฉวียนหลัวและมั่วซินที่เป็นผู้นำจอมยุทธ์รุ่นใหม่ของตระกูลเฉวียนและมั่ว แต่กระนั้นพวกเขาก็สามารถแค่สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนได้หลังจากใช้ทรัพยากรของเผ่าไปมหาศาล แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะบรรลุขุมพลังนั้นได้เมื่อไรกัน
แต่ตอนนี้มู่เฉินบรรลุระดับเทียนจื้อจุนก้าวนำทั้งสองคนแล้ว ดังนั้นเห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ไม่น่าเชื่อแค่ไหน
“ได้รับโอกาสบางอย่างจึงบรรลุได้น่ะ” ท่าทางของมู่เฉินสงบลง
ชิงซวงตะลึงไปนานก่อนที่จะฟื้นสติขึ้นมาและมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาซับซ้อน นางรู้ดีถึงคลื่นความตกตะลึงที่จะซัดใส่เผ่าฝูถูหากมีการเปิดเผยเรื่องนี้
มู่เฉินเป็นตัวกาลกิณีที่ไม่ได้รับการสนับสนุนทรัพยากรใดๆ ของเผ่าแม้ว่าเขาจะมีพรสวรรค์ แต่ก็ควรมีขีดจำกัด ทว่าความเป็นจริงกลับทำให้ทุกคนถูกตบหน้า ซ้ำยังบอกพวกเขาด้วยว่าแม้จะไม่มีเผ่าฝูถูคนอย่างเขาก็ยังสามารถเหนือกว่าอัจฉริยะที่พวกเขาฟูมฟักเลี้ยงดูมาในเผ่า…
“ตะ… แต่ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน แต่ก็ไม่ควรมาที่เผ่าฝูถูนะ!” ชิงซวงสูดหายใจเข้าลึกและพูด แม้ว่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจะทรงพลัง แต่ก็ไม่อาจข่มขู่เผ่าฝูถูได้ เพราะรากฐานเผ่าโบราณลึกล้ำ ไม่ต้องพูดถึงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงแม้แต่ขั้นเซิ่งก็ไม่กล้าก่อปัญหาในเผ่าฝูถู
“ข้ารู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่นะ” มู่เฉินพยักหน้า
เมื่อเห็นแววตาสงบนิ่งของมู่เฉิน ชิงซวงก็รู้ว่าคำห้ามปรามของนางไร้ประโยชน์ ดังนั้นนางจึงทำเพียงถอนหายใจและพาทั้งสามคนไปยังลานเงียบสงบ
“ข้าบอกเรื่องนี้กับผู้อาวุโสชิงเซวียนได้ไหม?” ชิงซวงมองไปที่มู่เฉินพลางถามหลังจากจัดการเรื่องนี้แล้ว
หลังจากไตร่ตรองชั่วครู่มู่เฉินก็พยักหน้า
ชิงซวงรู้สึกหายใจโล่งบ้าง เมื่อตกลงกันเรียบร้อยนางก็ออกไป
มู่เฉินมองร่างเงาบอบบางก็หันกลับมาพูดกับหลิงซีและหลงเซี่ยงว่า “สองวันนี้พยายามอย่าออกไปไหน ทุกอย่างรอให้เริ่มงานชุมนุมสายเลือดก่อน”
ถึงยังไงพวกเขาก็มาอยู่ในเผ่าฝูถูแล้ว หากตัวตนของพวกเขาถูกเปิดเผยก็จะทำให้เกิดปัญหาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวู แต่ก็ยังไม่เพียงพอสำหรับมู่เฉินที่จะบรรลุเป้าหมาย
หลิงซีและหลงเซี่ยงพยักหน้า ครั้งหนึ่งพวกเขาก็เคยอยู่ในเผ่าฝูถูมาก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงรู้เกี่ยวกับรากฐานของเผ่าโบราณเผ่านี้โดยธรรมชาติ ตอนนี้พวกเขาอยู่ในถ้ำเสือแล้ว พวกเขาต้องระวังตัวให้มาก
หลังจากสั่งทั้งสองคนแล้ว มู่เฉินก็เคลื่อนไหวไปปรากฏตัวในเก๋งหินที่ตั้งอยู่ในสวนแล้วนั่งลง เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า แสงหลิงสว่างวาบในดวงตาราวกับว่ามีสัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนสะท้อนในรูม่านตา
บางทีคนอื่นอาจเห็นเพียงคลื่นหลิงไร้ขอบเขตเมื่อจ้องมองไปบนท้องฟ้าของมิติฝูถู แต่มู่เฉินสามารถมองเห็นค่ายกลขนาดใหญ่
ค่ายกลนี้เป็นค่ายกลพิทักษ์เผ่าฝูถูและความลึกล้ำก็เป็นสิ่งที่แม้แต่หลิงเจิ้นจงซืออย่างมู่เฉินก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้
แต่เขาไม่ได้พยายามที่จะมองผ่านค่ายกลนี้ แต่พยายามทำความคุ้นเคยต่างหาก
การสัมผัสของเขากินเวลาตลอดบ่ายและแววตาก็สงบลงเมื่อดวงอาทิตย์ตกดิน
“เป็นอย่างนี้เอง…”
มู่เฉินพึมพำกับตัวเองด้วยแววตาอัศจรรย์ใจ นั่นเป็นเพราะขณะที่เขาสัมผัสก็ตระหนักได้ว่าจริงๆ แล้วค่ายกลพิทักษ์นี้มีช่องโหว่บางอย่าง
ช่องโหว่เหล่านั้นถูกซ่อนไว้อย่างแนบเนียน แต่มู่เฉินก็สามารถรับรู้ได้ชัดเจนด้วยทักษะที่ได้รับมา ถ้าเขาเดาไม่ผิดช่องโหว่เหล่านั้นถูกทิ้งไว้โดยมารดาของเขา
“หืม?”
ขณะที่มู่เฉินกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ท่าทางก็เปลี่ยนไปทันที สายตาหันไปมองระลอกมิติที่ผันผวนในสวน ร่างเงาหนึ่งปรากฏขึ้น
นี่เป็นสตรีที่ยังคงเค้าความงดงามและสง่างาม นางก็คือผู้อาวุโสชิงเซวียนที่เขาเคยพบมาก่อน
“ผู้อาวุโสชิงเซวียนมาเร็วเหมือนกันนะ” มู่เฉินยิ้มขณะมองไปที่ชิงเซวียน
ชิงเซวียนมองไปที่มู่เฉิน ก่อนที่จะเคลื่อนไหวฉับพลันมาปรากฏที่เบื้องหน้าเขา ฝ่ามือของนางฟาดออกพร้อมกับรัศมีซัดใส่มู่เฉิน
แม้ว่าฝ่ามือนั้นดูเหมือนไร้พลัง แต่ก็ทำให้เก๋งหินถล่มลงมา พื้นที่โดยรอบสั่นสะเทือนราวกับพังแหล่มิพังแหล่
เมื่อฝ่ามือน่ากลัวพุ่งเข้ามา มู่เฉินก็มีท่าทางไม่แยแส เขารอให้ฝ่ามือพุ่งลงมาก่อนที่จะปัดมือใส่ฝ่ามือนั้นลวกๆ
ปัง!
เกิดการปะทะกัน มู่เฉินไม่ได้ขยับไปไหน แต่ชิงเซวียนตัวสั่นถอยออกไปหลายก้าวโดยที่พื้นที่ใต้เท้าแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
เมื่อทรงตัวได้ชิงเซวียนก็ไม่ได้ออกกระบวนท่าอะไรอีก แต่มองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาซับซ้อน “ตอนที่ชิงซวงบอกข้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ข้ายังไม่เชื่อ แต่ตอนนี้เจ้าเหมือนจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนแล้วจริงๆ”
ขณะที่พูดแววพึงพอใจก็กะพริบในส่วนลึกของดวงตานาง
ทว่าในไม่ช้านางก็ถอนอารมณ์ออกพลางทอดถอนใจ “แต่เจ้าก็ไม่ควรมาที่นี่”
“เผ่าฝูถูทำให้ข้ากับท่านแม่ต้องแยกจากกันเป็นสิบๆ ปี ทำไมข้าถึงไม่ควรมาล่ะ?” มู่เฉินพูดอย่างไม่แยแสพร้อมกับแสงเย็นวูบไหวในม่านตา
ผู้อาวุโสชิงเซวียนยิ้มอย่างขมขื่น “กระทั่งแม่ของเจ้าที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนยังไม่สามารถต่อกรกับทั้งเผ่าได้ ตัวเจ้าที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงจะทำอะไรได้?”
“เผ่าฝูถูทรงพลัง แต่ข้าไม่คิดว่าทางเผ่าจะทำอะไรก็ได้ในมหาพันภพใช่ไหม?” มู่เฉินพูดอย่างใจเย็น โดยไม่เปิดเผยความกลัวใดๆ ในดวงตา
ชิงเซวียนอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ นางคิดว่ามู่เฉินแค่พูดออกมาด้วยความโกรธ ที่สุดแล้วเผ่าฝูถูก็ไม่สามารถกระทำการอย่างไม่เกรงกลัวในมหาพันภพ แต่กลับไม่ใช่สำหรับมู่เฉิน
“เจ้าอยากทำอะไร?” ชิงเซวียนลังเล ก่อนที่จะกัดฟันถามออกมา
มู่เฉินมองไปที่ชิงเซวียน ท่าทางของเขาก็ผ่อนคลายลง “ท่านยอมช่วยข้าหรือ?”
สายตาของชิงเซวียนดิ่งลงก่อนที่จะตอบว่า “นางก็เป็นน้องสาวของข้าเช่นกัน แต่ตอนนี้ตระกูลชิงอ่อนแอลงทุกวัน อำนาจในเผ่าก็น้อยลง ตระกูลมั่วและเฉวียนพยายามกดตระกูลชิงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นหลายเรื่องเราก็ช่วยอะไรไม่ได้”
“ตอนนั้นเราไม่สามารถช่วยมารดาเจ้าได้ คราวนี้จะให้เราปล่อยเจ้าถูกจับตัวก็ไม่ได้ มิฉะนั้นตระกูลชิงก็ไม่มีหน้าขอโทษน้องสาวข้าและท่านตาแล้วจริงๆ”
มู่เฉินอยู่ในความเงียบงัน เขารู้ว่าตระกูลชิงยิ่งใหญ่ตอนที่ท่านตาเขาปกครองจนเติบโตเป็นหนึ่งในสายเลือดหลักของเผ่าฝูถู แต่หลังจากการตายของท่านตา มารดาของเขาไม่อยากที่จะรับช่วงประมุขตระกูลจึงหนีออกจากไป ท้ายที่สุดนางก็ได้พบกับบิดาเขาและให้กำเนิดเขา ซึ่งนี่เป็นสาเหตุที่ทำให้นางถูกคุมขัง
“ช่วยบอกสถานการณ์ปัจจุบันของตระกูลชิงได้ไหม?” มู่เฉินถาม
แม้ว่าตระกูลชิงจะเริ่มตกต่ำ แต่ก็ยังคงเป็นพลังได้หากดึงเข้ามาช่วย มู่เฉินไม่ใช่คนหยิ่งผยองที่คิดจะเผชิญหน้ากับเผ่าโบราณนี้ด้วยตัวเอง
ชิงเซวียนยิ้มอย่างขมขื่น “สถานการณ์ปัจจุบันเลวร้ายกว่าที่เจ้าคิด หากครั้งนี้ตระกูลชิงไม่สามารถแสดงผลงานใดๆ ในการประลองได้ เราจะหลุดจากการเป็นสายเลือดหลักตกเป็นสายเลือดย่อย…”
มู่เฉินขมวดคิ้ว สถานการณ์ของตระกูลชิงย่ำแย่ขนาดนี้แล้วเหรอ?
“งานชุมนุมสายเลือดคืออะไรกันแน่?”
บทที่ 1414 ชิงตำแหน่ง
“ในเผ่าฝูถูมีสภาผู้อาวุโส ทุกคำสั่งต้องผ่านที่นี่ ซึ่งนี่คืออำนาจควบคุมของเผ่า”
“ตอนนี้มีสิบเก้าตำแหน่งในสภาผู้อาวุโสโดยตระกูลเฉวียนมีเจ็ดคน ตระกูลมั่วหกคน ส่วนตระกูลชิง…มีเพียงสามคนบวกกับสามตำแหน่งสุดท้ายที่เป็นของตระกูลย่อย” เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของมู่เฉิน ชิงเซวียนก็ได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่นขณะที่ทอดถอนใจ
“สามเองเรอะ…” มู่เฉินขมวดคิ้ว จำนวนเท่านี้น้อยมากเมื่อเทียบกับทั้งหมด
“ในจุดสูงสุดเรามีหกคน แต่เนื่องจากเราอ่อนแอลงเรื่อยๆ จึงไม่สามารถยึดครองตำแหน่งเอาไว้ได้ ดังนั้นจึงเสียตำแหน่งทุกครั้งในงานชุมนุมสายเลือด”
“ตามกฎทุกตระกูลที่มีตำแหน่งอยู่แล้วจะมีคนรับการประลอง ซึ่งจำนวนคนที่รับจะเท่ากับตำแหน่งที่มี เมื่อสู้กันครบ หากตระกูลนั้นแพ้มากกว่าชนะ ก็ต้องสละตำแหน่งไปหนึ่ง” ชิงเซวียนอธิบาย
“เป็นอย่างนี้เอง…”
มู่เฉินพยักหน้า มิน่าเผ่าฝูถูถึงให้ความสำคัญอย่างมากกับงานชุมนุมสายเลือด การแข่งขันนี้ก็เพื่อแย่งชิงอำนาจในเผ่านั่นเอง
ตระกูลที่มีจำนวนผู้อาวุโสในสภามากกว่าก็จะมีอำนาจในเผ่ามากขึ้น
สำหรับการประลอง มู่เฉินเข้าใจว่าตระกูลชิงสามารถส่งคนออกไปได้สามคนเท่านั้นโดยตัดสินจากจำนวนตำแหน่งทั้งสาม หากพวกเขาพ่ายแพ้สองครั้งละก็ ต้องสละตำแหน่งไป
ในทางตรงกันข้ามถ้าสามารถเก็บชัยชนะได้สองครั้ง พวกเขาก็ยังรักษาตำแหน่งไว้ได้
“ตระกูลมั่วกับเฉวียนรวมหัวกันกดดันตระกูลชิง พวกเขาเล็งเป้ามาที่พวกเราในการประลองงานชุมนุมประจำตระกูลทุกครั้ง สามครั้งก่อนหน้านี้พวกเขาก็ยึดที่ตำแหน่งของเราไปสามที่” ขณะที่พูดสายตาของชิงเซวียนก็วาบแสงด้วยความโกรธและช่วยไม่ได้ เป็นเรื่องน่าเสียใจที่พวกนางไม่สามารถปกป้องตำแหน่งได้
“ถ้าตำแหน่งถูกเอาไปอีกหนึ่งตำแหน่ง ตระกูลชิงก็จะถูกปลดออกจากตระกูลหลัก ทำให้ทรัพยากรของเราลดลง ดังนั้นเราจะอ่อนแอลงเมื่อเวลาผ่านไปก็จะไม่สามารถสู้กับตระกูลเฉวียนและมั่วได้อีกต่อไป”
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ใบหน้าของชิงเซวียนก็ซีดเซียวลง ถ้าถึงขั้นนั้นใครจะรู้ว่าตระกูลชิงจะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนกว่าจะกลับมา นอกจากนี้สภาอาวุโสก็จะตกอยู่ในมือของตระกูลเฉวียนและมั่วอย่างสมบูรณ์แบบ
มู่เฉินหรี่ตาลง เขาไม่สนใจเผ่าฝูถูสักเท่าไร ทว่าตัวเขาไม่พอใจตระกูลเฉวียนและมั่ว นอกจากนี้เฮยกวางยังส่งเฉวียนเทียนไปยังตำหนักมู่เพื่อสร้างความอับอาย ดังนั้นแค้นนี้ต้องชำระ
ด้วยทัศนคติที่ตระกูลเฉวียนและมั่วมีต่อเขา ถ้าพวกเขาได้รับอำนาจ มู่เฉินก็ต้องเผชิญกับปัญหามากขึ้น แม้ว่าเขาจะไม่กลัวคนเหล่านั้นก็ตาม
ดังนั้นนี่ไม่ใช่ข่าวดีสำหรับเขา หากสภาอาวุโสตกอยู่ในมือของตระกูลเฉวียนและมั่ว
“เราจะหยุดสิ่งนี้ได้อย่างไร?” มู่เฉินถาม
“ก็ต้องรักษาชัยชนะสองรอบในการประลองเพื่อรักษาตำแหน่งไว้” ชิงเซวียนถอนหายใจก่อนที่จะพูดต่อ “แต่ทั้งสองตระกูลมีรากฐานลึกมาก มิหนำซ้ำยังมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนมากกว่าตระกูลชิงซะอีก พวกเขาเตรียมพร้อมและไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะหยุดพวกเขา”
เมื่อได้ยินคำพูดของชิงเซวียน มู่เฉินก็รู้ว่าตระกูลชิงตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายแค่ไหน เขาถามต่อว่า “แล้วทำไมพวกท่านถึงเอาแต่ปกป้องไม่โจมตีล่ะ?”
ในเมื่อมีการรับประลอง ก็ต้องมีการท้าประลอง
ชิงเซวียนถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “เราป้องกันไม่ได้แล้วจะโจมตียังไง?”
มู่เฉินไม่ใส่ใจกับคำพูดของนางและพูดต่อ “แล้วจะมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งลงประลองไหม?”
“เป็นไปได้อย่างไร… ตระกูลใดที่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งจะเข้าสู่สภาผู้อาวุโสได้เลย ซึ่งเทียบเท่ากับห้าตำแหน่ง” ชิงเซวียนรีบตอบ
เมื่อได้ยินเช่นนั้นมู่เฉินก็ขมวดคิ้ว “ถ้าเป็นอย่างนั้นทำไมพวกเขาถึงขังแม่ข้าล่ะ?”
หลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่งคล้ายคลึงกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง เขาเชื่อว่าแม้กระทั่งเผ่าฝูถูที่มีรากฐานลึกซึ้ง ก็ไม่น่ากล้าที่จะปล่อยปละบุคคลเช่นนี้
ชิงเซวียนกัดฟัน “ทั้งหมดเป็นเพราะตระกูลเฉวียนและมั่ว ย้อนกลับไปตอนที่แม่เจ้าถูกคุมขัง นางยังไปไม่ถึงระดับนั้น แต่ทั้งสองตระกูลกลัวว่านางที่กลับไปตระกูลชิงจะเสริมความแข็งแกร่งให้กับตระกูลและได้รับคะแนนเสียงมากขึ้นในสภาผู้อาวุโส นอกจากนี้ผู้อาวุโสใหญ่ยังดื้อรั้น เขาปฏิเสธตำแหน่งของแม่เจ้าในนามสภาและยังกักขังแม่เจ้าต่อไป”
เมื่อมู่เฉินได้ยินเช่นนั้นสายตาเย็นชาก็กะพริบด้วยเจตนาฆ่า ตระกูลสารเลวนั่นมากไปแล้ว!
ชิงเซวียนเผยความรู้สึกผิดบนใบหน้าขณะที่กล่าวว่า “นอกจากนี้ยังเป็นเพราะการลดลงของตระกูลชิง ดังนั้นแม้ว่าเราจะตอบโต้ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย”
แม้ว่าในตระกูลชิงจะยังคงมีบางคนไม่พอใจที่ชิงเหยี่ยนจิ้งละทิ้งพวกเขา แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าการกลับมาของชิงเหยี่ยนจิ้งเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะทำให้ตระกูลชิงผงาดขึ้นมาได้ ดังนั้นแต่ละคนก็พยายามเต็มที่เพื่อช่วยเหลือชิงเหยี่ยนจิ้ง
ทว่าตระกูลชิงไม่เหมือนในอดีตอีกต่อไป แม้ว่าพวกเขาจะพยายามทำทุกอย่าง ก็ไม่สามารถเผชิญหน้ากับตระกูลเฉวียนและมั่ว
มู่เฉินพยักหน้าหลังจากเงียบไปครู่หนึ่งก็พูดว่า “ข้าช่วยพวกท่านรักษาตำแหน่งได้”
เมื่อชิงเซวียนได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจก่อนที่จะมองมู่เฉินนิ่ง “เจ้ามีวิธีอะไร?”
มู่เฉินไม่ได้ตอบคำถามโดยตรงแต่กล่าวว่า “ข้ามีวิธีของตัวเอง ถ้าพวกท่านเชื่อในตัวข้าก็ปล่อยให้ข้าจัดการเรื่องนี้”
หลังจากลังเลชั่วครู่ชิงเซวียนก็กัดฟัน “ข้าจะกลับไปคุยกับคนอื่นเอง”
ตอนนี้พวกนางต้องคว้าโอกาสที่มาถึงมือไว้ให้หมด ในเมื่อมู่เฉินสามารถบรรลุระดับเทียนจื้อจุนได้ตั้งแต่อายุเท่านี้ เขาต้องมีความพิเศษแน่นอน
มู่เฉินพยักหน้าและพูดเบาๆ “แต่ในเมื่อข้าช่วยแล้ว พวกท่านก็ต้องช่วยข้าด้วยเรื่องหนึ่ง”
“เจ้าต้องการอะไร?”
มู่เฉินกำมือแถบหยกก็ปรากฏขึ้น เขาพลิกนิ้วเลือดกลั่นก็พุ่งไปบนแถบหยกสร้างอักขระโลหิตขึ้น
จากนั้นเขาก็ส่งแถบหยกให้ชิงเซวียน “ในเมื่อพวกท่านเป็นผู้อาวุโสของเผ่า ก็น่าจะสามารถเข้าไปในใจกลางของค่ายกลพิทักษ์เผ่าฝูถูได้ ข้าต้องการให้พวกท่านใส่แถบหยกนี้ก่อนที่งานชุมนุมสายเลือดจะเริ่มขึ้น”
ใบหน้าของชิงเซวียนเปลี่ยนไป นั่นคือค่ายกลพิทักษ์ที่ปกปักเผ่าฝูถู ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง พวกเขาจะกล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร?
“ข้ามาที่นี่เพื่อช่วยท่านแม่และไม่ได้มีความตั้งใจที่จะสร้างความบาดหมาง ไม่ต้องกังวลข้าแค่อยากมีทุนเพื่อต่อรองกับทางเผ่าสักหน่อยน่ะ” มู่เฉินพูดเมื่อเห็นปฏิกิริยาของชิงเซวียน
ชิงเซวียนเผยสีหน้าดิ้นรนเมื่อได้ยิน
“ถึงท่านจะไม่เชื่อข้า แต่ก็ต้องเชื่อท่านแม่ข้าใช่ไหม? นางคงไม่นั่งดูเผ่าฝูถูถูกข้าทำลายหรอก”
พอได้ยินคำพูดเหล่านั้นสีหน้าของชิงเซวียนก็ดีขึ้น แม้ว่านางจะไม่เข้าใจนิสัยของมู่เฉิน แต่นางเข้าใจน้องสาวของตัวเองดี
แม้ว่าเผ่าจะกักขังนางทำให้เกิดความรู้สึกไม่พอใจ แต่นางก็ไม่มีทางคิดจะล้างแค้นแน่นอน เพราะที่นี่เป็นที่กำเนิดและเลี้ยงดูนาง ขณะเดียวกันยังมีญาติสายเลือดเดียวกันอีกมากมาย
นอกจากนี้แม้ค่ายกลพิทักษ์จะสำคัญ แต่ก็ไม่มีทางใช้พลิกทั้งเผ่าได้แน่นอน ด้วยความฉลาดของมู่เฉิน เขาก็คงรู้จุดนี้ดี
“ได้ ข้าตกลง”
ด้วยการตัดสินใจนี้ ชิงเซวียนก็ไม่ลังเลอีกต่อไป นางพยักหน้าก่อนที่จะรับแถบหยกเปื้อนเลือดมู่เฉินไป
มู่เฉินรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นเนื่องจากสิ่งนี้สำคัญมาก แม้ว่าเขาจะเชิญแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูมา แต่เขาก็กลัวว่าพวกแพะแก่เผ่าฝูถูจะไม่มีเหตุผล เนื่องจากมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งอยู่ด้วย ดังนั้นเขาต้องการหลักประกันสักเล็กน้อยเพื่อเผชิญหน้ากับพวกเขา
“ถ้างั้นข้าต้องขอบคุณผู้อาวุโสชิงเซวียน”
มู่เฉินยิ้มอย่างสุภาพ ชิงเซวียนถอนหายใจในใจ ในแง่ของความอาวุโสมู่เฉินควรเรียกนางว่าท่านป้า ทว่ามู่เฉินมีม่านกั้นในใจอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงรักษาระยะห่างไว้
แต่เมื่อคิดถึงการที่มู่เฉินต้องแยกจากมารดาและพึ่งพาตัวเองมาไกลขนาดนี้ นางก็เข้าใจความขุ่นเคืองในใจนั้นได้
ตอนนี้นางหวังเพียงว่ามู่เฉินจะสามารถช่วยมารดาได้ เพื่อให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาจะค่อยๆ คลี่คลายลงในอนาคต
เนื่องจากทั้งคู่พูดสิ่งที่ต้องการหมดแล้ว ชิงเซวียนก็โบกมือลามู่เฉินก่อนจะเดินออกไป
มู่เฉินมองไปที่ร่างเงาของชิงเซวียนก็ถอนหายใจ นี่ช่วยลดปัญหาได้มากจริงๆ ด้วยความช่วยเหลือของชิงเซวียน
เวลานี้ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว เขาก็แค่รอให้การประลองงานชุมนุมสายเลือดเริ่มขึ้น
มู่เฉินยืนเอามือไพล่หลังมองไปบนท้องฟ้า
“เผ่าฝูถูครั้งนี้สู้กันแบบดีๆ เถอะ…”
เขารอมานานแล้วสำหรับวันนี้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น