หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1401-1404
บทที่ 1401 ความลับของเส้นหลิง
ฟิ้ว!
แสงโชติช่วงสองสายพุ่งข้ามขอบฟ้าราวกับอุกกาบาต ทำให้มิติพังทลายในเส้นทางที่พาดผ่าน ความผันผวนนี้ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกสั่นสะเทือน
ร่างแสงสองร่างไม่ได้ใช้กลยุทธ์ใดๆ พวกเขาเอาแต่ปะทะกันโหดเหี้ยมที่สุดเท่าที่จะทำได้
ตู้ม!
แสงหลิงไร้ขอบเขตสร้างความหายนะไปทั่วท้องฟ้า ทำให้หมู่เมฆถูกลบออกไปในรัศมีหมื่นลี้เลยทีเดียว
แม้ทั้งสองฝ่ายจะโรมรันกันบนท้องฟ้าสูง แต่ระลอกคลื่นที่เกิดจากการปะทะก็ทำเอาโลกสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น….
ฉากนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกหนังหัวชาหนึบ คลื่นกระแทกนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะทนได้
ตึง!
ภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน แสงโชติช่วงก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้า ร่างแสงสองร่างทะยานกลับมาพร้อมกับมิติยุบตัวที่ด้านหลัง
มู่เฉินถอยออกไปหลายพันจั้ง ร่างกายสั่นสะท้านไปหมดจากนั้นก็กลายเป็นพลังงานหลิง ซึ่งดูราวกับระลอกคลื่นบนอัญมณีส่องประกายที่ละลายพลังที่น่ากลัว
ส่วนเฉวียนเทียนก็ถอยกลับไปประมาณหนึ่งพันจั้ง แต่ร่างกายของเขาไม่เหมือนกับมู่เฉิน ดวงดาวบนร่างของเขาสั่นไหวดูดซับและสลายพลังงานในร่างกายลง
ในการเผชิญหน้าครั้งนี้ผู้มากประสบการณ์อย่างผู้เฒ่าเฉวียนเทียนอยู่ในตำแหน่งเหนือกว่า
แต่ถึงอย่างนั้นใบหน้าของเฉวียนเทียนก็เคร่งเครียดลงหลายส่วน หลังจากแลกกระบวนท่ากันหลายครั้ง เขารู้สึกได้ว่าแม้ว่ามู่เฉินจะเพิ่งสร้างกายาหลิงเทียนจุนขึ้นมา แต่ก็แข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มคนนี้มีรากฐานพลังที่มั่นคง ไม่ได้อาศัยแค่โชคในการทะยานเข้าประตูมังกร
ขณะที่สีหน้าเฉวียนเทียนเคร่งเครียดลง มู่เฉินก็ครุ่นคิดพลางมองไปที่กายาหลิงเทียนจุนของอีกฝ่าย เขาสัมผัสได้ถึงความแตกต่างระหว่างเขาและเฉวียนเทียน
กายาหลิงเทียนจุนของเขาบริสุทธิ์ราวกับอัญมณี แต่ของเฉวียนเทียนกลับมีดวงดาวอยู่ภายใน ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
“ดูเหมือนว่านั่นน่าจะเป็นวิธีพัฒนากายาหลิงเทียนจุนให้แข็งแกร่งขึ้น… แต่ข้าเพิ่งบรรลุระดับเทียนจื้อจุน ดังนั้นจึงยังไม่คุ้นเคยกับการเพาะบ่มพลัง”
มู่เฉินพึมพำในใจ ตัวเขาพึ่งพาตัวเองในเส้นทางการเพาะบ่มโดยไม่มีใครแนะนำ ในเวลาเดียวกันก็ไม่มีพื้นหลังที่ทรงพลังเช่นกัน ทำให้เขาขาดประสบการณ์โดยธรรมชาติ
แต่เมื่อเขาต่อสู้กับเฉวียนเทียน เขาก็ได้รับความเข้าใจเล็กน้อยราวกับว่าสัมผัสอะไรบางอย่างได้
ดังนั้นสายตาเขาจึงกะพริบวูบไหวแล้วพุ่งตัวออกไปอีกครั้ง ราวกับเกลียวแสงที่เปล่งรัศมีไร้ขอบเขตพุ่งไปยังเฉวียนเทียน
เขาไม่ได้ใช้ทักษะเทพใดๆ แต่อาศัยกายาหลิงเทียนจุนอย่างเดียว ต่อสู้ด้วยวิธีที่โหดเหี้ยมที่สุด
นั่นเป็นเพราะหลังจากที่เขาบรรลุระดับเทียนจื้อจุนแล้ว ร่างกายของเขาถูกสร้างขึ้นจากพลังงานหลิงบริสุทธิ์ ดังนั้นทุกการเคลื่อนไหวจึงมีพลังงานไร้ขอบเขต สรุปสั้นๆ ก็คือพลังที่อยู่เบื้องหลังหมัดของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าการใช้วิชาเจดีย์แปดองค์ในอดีตเลย
“หึ แค่กายาหลิงเทียนจุนระยะต้นยังคิดจะสู้กับข้าเรอะ?”
เฉวียนเทียนตะเบ็งเสียงลั่นเมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของมู่เฉิน เขาคิดว่ามู่เฉินแค่ไม่พอใจจากการเสียเปรียบเมื่อครู่ แต่วิธีการต่อสู้นี้ก็เป็นไปตามที่เขาต้องการ ที่สุดแล้วเขาจะถือครองตำแหน่งเหนือกว่าในการต่อสู้ระหว่างกายาหลิงเทียนจุน
ดังนั้นร่างกายของเขาก็สั่นเทิ้ม ดวงดาวสั่นไหว ก่อนที่เขาจะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ากลายเป็นริ้วแสงเข้าปะทะกับมู่เฉินอีกครั้ง
ตู้ม ตู้ม!
ทั้งสองปะทะกันอย่างต่อเนื่องบนท้องฟ้าโดยอาศัยพลังกายภาพล้วนๆ ทุกการปะทะจะมาพร้อมกับภาพมายาและความโกลาหลที่ทำให้แผ่นดินแตกร้าว
ช่วงเวลานี้ท้องฟ้าปั่นป่วนไม่หยุดหย่อน
สายตานับไม่ถ้วนมองการห้ำหั่นกันด้วยความตะลึงงัน เนื่องจากแสงที่เปล่งออกมาจากทั้งสองมีพลังมากเกินไป ทุกคนที่อยู่ภายใต้ระดับตี้จื้อจุนจึงรู้สึกแสบตานักเมื่อมองไปนานๆ แม้แต่คลื่นหลิงในร่างกายก็ยังแปรปรวน
แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถมองดูอย่างต่อเนื่อง แต่ทุกคนก็สามารถบอกได้ว่าเฉวียนเทียนอยู่เหนือกว่า การปะทะกันทุกครั้งจะทำให้มู่เฉินถูกกระเด็นกลับไป ทว่าเขายังคงรักษาพลังใจไม่ย่นย่อ แม้ว่าเขาจะอยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบ เขาก็ยังคงโจมตีรุนแรงต่อเฉวียนเทียน
“ท่านมั่นถัวหลัวสถานการณ์ของท่านประมุขไม่ถูกต้องนะ” หลิ่วเทียนเต้าและคนอื่นๆ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลกับฉากนี้
มั่นถัวหลัวและหลิงซีแลกเปลี่ยนสายตากันขณะยังคงมีท่าทีสงบ พวกนางเข้าใจมู่เฉินเป็นอย่างดี ตอนนี้เขาไม่ได้ออกกระบวนท่าใดๆ เลย นอกจากการเผชิญหน้าด้วยพลังกายภาพล้วนๆ
พวกนางรู้ดีว่ามู่เฉินครอบครองวิชาสามพิสุทธิ์และเจดีย์แปดองค์ซึ่งเป็นวิทยุทธระดับเสินทงสุดยอดในตำนาน แต่เขายังไม่ได้ใช้วิชาเหล่านั้นด้วยซ้ำ ดังนั้นเห็นชัดว่าเขาน่าจะใช้เฉวียนเทียนเป็นหินเจียระไนเพื่อให้รู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างระดับเทียนจื้อจุน
ตึง!
การปะทะดุเดือดเกิดขึ้นอีกครั้งบนท้องฟ้า ร่างกายของมู่เฉินก็สั่นสะท้านขณะที่ถูกพัดกลับไปหลายพันจั้ง ทุกครั้งที่ฝ่าเท้าก้าวถอยก็จะทำให้มิติใต้ฝ่าเท้าพังทลายลง
แม้ว่าจะถูกผลักกลับ แต่กลับมีแสงวูบวาบในดวงตา
แววตาลุกโชน เขาค่อยๆ รู้สึกได้ถึงความแตกต่างระหว่างกายาหลิงเทียนจุนของพวกเขาแล้ว
ทุกครั้งที่เขาปะทะกับเฉวียนเทียน เขาสามารถสัมผัสได้ว่าดวงดาวที่อยู่ในร่างอีกฝ่ายจะหมุนวนและสลายคลื่นหลิงที่รุกรานเข้ามาในร่างกาย
พลังการแก้ไขนี้อยู่ในอีกระดับหนึ่งเมื่อเทียบกับเขาที่แบกรับไว้อย่างหนักหน่วง
นั่นหมายความว่ากายาหลิงเทียนจุนของเฉวียนเทียนอยู่ในระดับที่สูงขึ้น
แม้ว่ากายาหลิงเทียนจุนของเขาจะแข็งแกร่ง แต่เขาก็รู้สึกว่ามีสิ่งกีดขวางอยู่ เขาไม่สามารถคว้าความสามารถนั้นมาได้เพราะสิ่งกีดขวางนี้
ส่วนเฉวียนเทียนแสดงให้เห็นถึงระดับที่สูงกว่านี้จนถึงขีดสุด นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงสามารถถือไพ่เหนือกว่าในการปะทะกันได้
“เลือดเนื้อและกระดูกของข้าหลอมรวมกับร่างกายแล้ว แต่ยังมีสิ่งกีดขวาง… มันต้องอยู่ในระดับลึกกว่านี้…” ดวงตามู่เฉินกะพริบวาบขณะที่ความคิดวิ่งเร็วจี๋อยู่ในสมอง
ทันใดนั้นความคิดก็ตกผลึกบวกกับความเข้าใจที่เขาได้รับจากการปะทะกับเฉวียนเทียนก็ปรากฏขึ้นในใจของเขา
“ข้ารู้ว่าคืออะไรแล้ว!”
“เส้นหลิง!”
แววตามู่เฉินเปล่งประกายด้วยความเข้าใจ สิ่งที่เรียกว่าเส้นหลิงเป็นสิ่งที่ทุกคนที่เริ่มฝึกวรยุทธจำได้แม่น ในการเริ่มต้นการฝึกฝนผู้ฝึกที่มีเส้นหลิงสูงกว่าก็จะหมายความว่าความเร็วในการเพาะบ่มก็จะเร็วขึ้น
เขายังจำได้ว่าศัตรูที่เขาเจอตอนอยู่ในสำนักศึกษาเป่ยชาง จีเฉวียนก็มีเส้นหลิงขั้นเทียนเลยทีเดียว
แต่เมื่อความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น ตรรกะของเส้นหลิงก็ค่อยๆ จางหายไป หลายๆ คนคิดเพียงว่าเส้นหลิงมีประโยชน์ต่อเมื่อเริ่มฝึกฝนเท่านั้น การใช้จะลดน้อยลงเรื่อยๆ จนกว่าจะหายไป
พูดชัดลงไปก็คือตรรกะนี้มากจนมู่เฉินรู้สึกแบบนั้นจนถึงตอนนี้
เส้นหลิงในร่างกายไม่ได้ไร้ประโยชน์ แต่เป็นเพียงการที่หลายคนไม่มีความแข็งแกร่งพอที่จะปรับแต่งมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีเงื่อนไขในการทำให้สำเร็จ
นั่นก็คือการก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนและสร้างกายาหลิงเทียนจุนขึ้นมา
เมื่อร่างกายได้รับการปรับเปลี่ยน ผู้ฝึกก็จะรู้สึกได้ถึงเส้นหลิงที่ซ่อนอยู่ในร่างกายเพื่อปรับแต่งให้เข้าถึงความสมบูรณ์
รอยยิ้มปรากฏบนริมฝีปากของมู่เฉิน ที่จริงเขารู้สึกได้ว่าตัวเองขาดอะไรบางอย่างตั้งแต่ก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน แต่หลังจากต่อสู้กับเฉวียนเทียน เขาก็คิดออก
เมื่อเฉวียนเทียนเห็นการแสดงออกของมู่เฉิน ดวงตาก็หดลง เขาไตร่ตรองอยู่พักก็รู้ความตั้งใจของมู่เฉิน ทันใดนั้นริมฝีปากเขาก็กระตุกด้วยความโกรธอย่างช่วยไม่ได้ ไอ้หนุ่มคนนี้ใช้เขาเป็นคู่ซ้อมเพื่อหาข้อบกพร่องของตัวเอง
เมื่อครู่เขายังคิดว่ามู่เฉินไม่ยอมรับความพ่ายแพ้เนื่องจากความภาคภูมิใจในตัวเอง แต่กลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายพยายามค้นหาวิธีที่จะทำให้กายาหลิงเทียนจุนสมบูรณ์แบบโดยการต่อสู้อย่างมีจุดมุ่งหมาย
ใบหน้าของเฉวียนเทียนเคร่งขรึมขณะที่จ้องมองที่มู่เฉินพลางกัดฟัน “ดูเหมือนแกจะฉลาดใช่ย่อย รู้ว่าขาดอะไรไปได้เร็วขนาดนี้”
“ถูกตัอง ข้าบอกแกเลยว่าหลังจากปรับแต่งเส้นหลิงแล้วถึงจะสามารถทำให้กายาหลิงเทียนจุนสมบูรณ์แบบได้ ยิ่งไปกว่านั้นยิ่งเส้นหลิงทรงพลังมากเท่าไหร่ กายาหลิงเทียนจุนก็จะพิเศษมากขึ้นเท่านั้น”
“แต่ถึงแกรู้เรื่องนี้แล้วไง? คิดจะลับคมหอกในการต่อสู้เรอะ จะมีประโยชน์อะไรอีก!” เฉวียนเทียนเยาะเย้ย
ที่จริงนี่ไม่ใช่ความลับใดๆ แม้ว่ามู่เฉินจะไม่ได้ต่อสู้กับเขาในวันนี้ แต่ก็สามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ในอนาคต แค่อาจจะใช้เวลาอีกเล็กน้อยเพื่อทำ
นอกจากนี้เขารู้ดีว่าการพยายามปรับแต่งเป็นอีกเรื่องหนึ่ง อย่างน้อยเขาก็ไม่ให้โอกาสมู่เฉินได้ทำหรอก
เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเยือกเย็นของเฉวียนเทียน มู่เฉินก็อดยิ้มไม่ได้ “ในเมื่อเป้าหมายของข้าบรรลุผล ข้าก็ไม่คิดจะเล่นกับแกอีกแล้ว”
แววเยาะเย้ยเพิ่มขึ้นบนใบหน้าของเฉวียนเทียนอีกหลายส่วน แต่ก่อนที่จะพูดเขาก็เห็นมือของมู่เฉินวาดตราประทับ มิติถึงกับแปรปรวน ร่างเงาสองร่างย่างกรายออกมาข้างๆ ดวงตาจ้องมองไปที่เฉวียนเทียนอย่างเฉยเมย
ร่างทั้งสองดูเหมือนมู่เฉินทุกกระเบียดนิ้ว เมื่อพวกเขายืนอยู่ข้างมู่เฉินขุมพลังเทียนจื้อจุนสองสายก็กวาดออกไป
ทั้งสวรรค์และโลกสั่นสะเทือน
แววเยาะเย้ยบนใบหน้าเฉวียนเทียนแข็งค้าง ขณะมองไปที่มู่เฉินสองคนที่เหมือนกันอย่างกับแกะด้วยความตกตะลึงในใจ…
บทที่ 1402 ปราบปรามอย่างรุนแรง
บนท้องฟ้า
เมื่อร่างเงาทั้งสองปรากฏขึ้น ทุกคนพากันตกตะลึงไป ใบหน้าแต่ละคนแข็งค้างไปเลยทีเดียว
พวกเขารู้สึกได้ว่าร่างดวงจิตทั้งสองกำลังเปล่งความผันผวนของระดับเทียนจื้อจุน
ฉากนี้ทำให้ประมุขจักรวรรดิเหนือทั้งสามตกตะลึง จากนั้นครู่หนึ่งพวกเขาก็สูดอากาศเย็นเยือกเข้าปอดพร้อมกับความหวาดผวาพล่านบนใบหน้า
พวกเขาคุ้นเคยกับร่างดวงจิตของมู่เฉินเนื่องจากเคยต่อสู้กันมาก่อน ทว่าพวกเขาไม่เคยคิดว่าหลังจากบรรลุขุมพลังเทียนจื้อจุนร่างดวงจิตของอีกฝ่ายจะมีพลังเช่นเดียวกับร่างหลักอีก…
นั่นคือระดับเทียนจื้อจุน ไม่ว่าร่างดวงจิตจะทรงพลังเพียงใดก็ควรมีข้อจำกัดไม่ใช่รึ? แต่เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบันทักษะเทพที่มู่เฉินครอบครองก้าวข้ามขีดจำกัดนั่นไปแล้ว
นั่นหมายความว่าตำหนักมู่ไม่ได้มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนคนเดียวแต่มีสามคน!
ต้องรู้ว่าแม้แต่ขั้วอำนาจสูงสุดที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาก็มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนคนเดียวเท่านั้น!
ด้วยจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสามคน ตำหนักมู่กวาดทวีปเทียนหลัวทั้งหมดได้อย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว!
ทั้งฟ้าดินเงียบงัน เจ้าเมฆาม่วงและคนอื่นๆ ต่างตกใจจนไร้คำพูด ผู้ชมก็ตกใจเช่นกันเมื่อดูสิ่งนี้
ชัดว่าร่างดวงจิตของมู่เฉิน ทำให้พวกเขาตกตะลึงใหญ่หลวง
“ไม่คิดว่าร่างรองของประมุขจะทรงพลังเช่นนี้…” หลิ่วเทียนเต้าและผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ ของตำหนักมู่ตกตะลึงเป็นเวลานาน ก่อนที่จะเรียกสติกลับคืนและทอดถอนหายใจ
ก็เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะทราบเกี่ยวกับร่างรองของมู่เฉิน แต่พวกเขาก็เหมือนกับพวกเจ้าเมฆาม่วง ไม่เคยคิดมาก่อนว่าร่างรองจะแข็งแกร่งขึ้นด้วย หลังจากที่มู่เฉินบรรลุระดับเทียนจื้อจุน
ฝั่งตำหนักมู่ระเบิดเสียงโห่ร้อง ความหดหู่ที่รู้สึกจากการถูกเฉวียนเทียนกดดันตลอดครึ่งปีได้รับการปลดปล่อยออกมาทั้งหมด
ซึ่งมากเกินกว่าพอใจ!
“สมกับเป็นวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่าอย่างแท้จริง” มั่นถัวหลัวและหลิงซีแลกเปลี่ยนสายตากันต่างก็เห็นความชื่นชมในสายตาของกันและกัน แม้ว่าพวกนางจะคาดหวังไว้ แต่ก็ยังไม่มีภูมิคุ้มกันต่อความตกตะลึงเมื่อได้เห็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสามคน
บนท้องฟ้า
เฉวียนเทียนมองไปที่ร่างเสมือนทั้งสองเป็นเวลานาน ก่อนที่เสียงแหบแห้งจะลอดไรฟันออกมา “วิชาสามพิสุทธิ์?!”
ความรู้ของเฉวียนเทียนไม่ธรรมดาในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน เขาสามารถบอกที่มาของทักษะเทพของมู่เฉินได้ด้วยการมองเพียงครั้งเดียว ที่สุดแล้วมีเพียงวิชาสามพิสุทธิ์เท่านั้นที่สามารถสร้างร่างรองที่มีความแข็งแกร่งเหมือนกับร่างหลักได้
เผชิญหน้ากับร่างรองอีกสองร่าง แม้แต่เฉวียนเทียนก็ยังรู้สึกถึงร่องรอยแห่งความเสียใจในใจ ตอนแรกเขาคิดว่าเรื่องที่ถูกขอให้ช่วยครั้งนี้จะง่าย เนื่องจากตัวเขามีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิง ไม่ว่ามู่เฉินจะมีวิธีมากแค่ไหนก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหลบหนีไปจากเขาได้
ดังนั้นเมื่อเขาได้รับคำขอก็รับปากโดยไม่ลังเลใดๆ แต่ตอนนี้เขาซึ้งแล้วว่าการกระทำของตนเองโง่เง่าเพียงใด
มู่เฉินบรรลุขุมพลังเทียนจื้อจุนได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ในอนาคตเขาจะไม่หยุดอยู่แค่ขั้นหลิงเท่านั้น ใครจะรู้เขาอาจกลายเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งในตำนานอีกคนของมหาพันภพก็ได้
นั่นคือการดำรงอยู่บนจุดสุดยอดของมหาพันภพเลยนะ
ครั้งนี้เขาเตะแผ่นโลหะจังใหญ่เข้าแล้ว!
แม้ว่าสีหน้าเขาจะไม่เปลี่ยนไป แต่ก็ถั่งโถมไปด้วยความขมขื่นในใจ การยืนค้ำตำหนักมู่ครึ่งปีทำให้ชื่อเสียงของตำหนักมู่ป่นปี้ไปหมด ถือว่าทำให้มู่เฉินขุ่นเคืองอย่างที่สุดและด้วยนิสัยของอีกฝ่าย เรื่องนี้คงไม่สามารถแก้ไขได้ง่ายๆ
ทว่ามู่เฉินไม่ได้ใส่ใจกับความคิดของเฉวียนเทียน ม่านตาสีดำของเขามองไปที่อีกฝ่ายอย่างคมกริบ
แม้ว่าเฉวียนเทียนจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน แต่ก็ทำให้ชื่อเสียงของตำหนักมู่เสียหายไป เกือบจะสลายขวัญกำลังใจของพวกเขาเป็นผงธุลี
นอกจากนี้เขายังทำให้ทุกคนรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นหากมู่เฉินปล่อยเขาออกไปอย่างง่ายดาย คนอื่นๆ จะดูถูกตำหนักมู่เอาได้ ในอนาคตทุกคนก็สามารถมาเหยียบย่ำสำนักของเขาโดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา
นี่เป็นสิ่งที่มู่เฉินไม่ยอมให้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ดังนั้นเขาจึงเงยหน้าขึ้นพยักหน้าให้กับร่างรองของเขา
ฮึ่ม!
แสงหลิงไร้ขอบเขตพุ่งออกมาจากร่างรอง ร่างกายของพวกเขาเปลี่ยนเป็นแสงพราวเปล่งพลังที่น่ากลัว
วาบ!
เมื่อทั้งสองทะยานออกไปก็นำพารัศมีดุร้ายมาด้วย ขณะซัดไปยังเฉวียนเทียน
เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีของร่างรองทั้งสอง ใบหน้าของเฉวียนเทียนก็เปลี่ยนไป ก่อนหน้านี้เขาพึ่งพากายาหลิงเทียนจุนทรงพลังเพื่อให้ได้เปรียบกว่าเล็กน้อย แต่เมื่อเผชิญหน้ากับมู่เฉินสองคนเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้อีกแล้ว
“บ้าจริง!”
เฉวียนเทียนสาปแช่ง ไม่กล้าใช้กายาหลิงเทียนจุนเพื่อปะทะอีกต่อไป ทันใดนั้นมือเขาวาดตราประทับ ดวงดาวที่สลักอยู่บนร่างกายก็กะพริบและเชื่อมต่อเข้าด้วยกันกลายเป็นแผนภาพท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวบนร่างกายเขา
“แผนภาพเคลื่อนดาว!”
ตู้ม ตู้ม!
เมื่อร่างรองทั้งสองกระโจนเข้าไปก็ไม่ได้ออมมือ แสงพราวพร่างระเบิดออกจากร่างพวกเขาพร้อมกับภาพมายา ขณะที่โจมตีใส่เฉวียนเทียน
ตึง ตึง!
ท้องฟ้าแปรปรวนมิติพังทลายภายใต้การโจมตีที่รุนแรงของพวกเขา แม้ว่าเฉวียนเทียนจะพยายามอย่างเต็มความสามารถที่จะต่อต้าน แต่เขาก็ยังคงได้รับผลกระทบต่อร่างกาย
ทว่าตอนนี้นี่เองแผนภาพดวงดาวหมุนวนปกป้องร่างกาย หมัดทำลายล้างเหล่านั้นก็ทิ้งระลอกคลื่นไว้บนร่างกายของเขาได้เท่านั้น
“ช่างเป็นการป้องกันที่ทรงพลัง นี่คือประโยชน์ของกายาหลิงเทียนจุนหรือ?” ร่างหลักอย่างมู่เฉินเฝ้าดูฉากนี้ด้วยสายตาวูบไหว พลังการป้องกันของแผนภาพดวงดาวน่าตกใจมาก
ดูเหมือนพลังอำนาจของกายาหลิงเทียนจุนจะพิเศษอย่างแท้จริง…
แต่ไม่ว่าการป้องกันจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่สามารถอยู่ได้นานเมื่อเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสองคน
ตามที่มู่เฉินคาดการณ์ เฉวียนเทียนแทบยืนไม่ไหวในการแลกกระบวนท่า เมื่อเวลาผ่านไปแผนภาพดวงดาวก็เริ่มสั่นคลอนจนใกล้จะแตก
การพยายามเผชิญหน้ากับร่างรองทั้งสองไม่ง่ายอย่างที่เขาคิด
ตู้ม!
ร่างทั้งสองยืนอยู่ด้านหน้าและด้านหลังของเฉวียนเทียน ฝ่ามือของพวกเขาส่งเสียงฟ้าผ่าดังกระแทกเข้ากับแผนภาพดวงดาว
แกร็ก!
คราวนี้แผนภาพดาวถึงขีดสุด รอยแตกเริ่มกระจายก่อนที่จะแตกเป็นเสี่ยงๆ
ทันทีที่แผนภาพแตกสลาย แสงหลิงก็กะพริบอยู่ใต้เท้าของเฉวียนเทียน เขาหายไปตรงจุดที่ถูกประกบจากร่างรอง
แต่ทุกคนบอกได้เลยว่าเฉวียนเทียนตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบแล้ว
วาบ!
แม้ว่าเขาจะอยู่ในสภาพที่น่าสมเพช แต่ร่างรองทั้งสองก็ไม่คิดจะปล่อยเขาไป พวกเขาไล่ตามด้วยการโจมตีล้อมกรอบเอาไว้
เฉวียนเทียนเผชิญกับสถานการณ์ที่กลายเป็นอันตรายและดูน่าสมเพชอย่างยิ่ง
“มู่เฉินอย่าบีบกันนัก!” เฉวียนเทียนคำราม
ทว่ามู่เฉินไม่ได้ให้ความสนใจกับเสียงคำรามนั่น ร่างรองเปิดการโจมตีคมชัดขึ้น
เฉวียนเทียนที่สัมผัสได้ถึงการโจมตีไม่สามารถรับได้อีกต่อไป เขาคำรามปลดปล่อยคลื่นหลิง ทันใดนั้นร่างมหึมาสูงหลายแสนจั้งก็ปรากฏขึ้นข้างหลัง
ร่างเงานั้นเปล่งแสงพราว แม้แต่ดวงอาทิตย์ก็สลัวลงเมื่อเทียบเคียงกัน ขณะที่หายใจก็พัดพายุรุนแรงระหว่างสวรรค์และโลก ช่างคล้ายกับเทพยาตราลงมาบนโลก
“นี่คือร่างเหนือสวรรค์…”
ผู้คนจ้องมองร่างมหึมาด้วยความตกตะลึงในใจ เฉวียนเทียนถูกบังคับให้นำร่างเทห์สวรรค์ของระดับเทียนจื้อจุนซึ่งเรียกว่าร่างเหนือสวรรค์ออกมา ดังนั้นสามารถบอกได้ว่าเขาอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายเพียงใด
โฮก!
เมื่อร่างเหนือสวรรค์ปรากฏตัวขึ้นก็ส่งเสียงคำราม ราวกับว่ามีดวงดาวนับล้านพุ่งลงมา กลายเป็นลำแสงยิงเข้าใส่ร่างรองทั้งสอง
ยามนี้เฉวียนเทียนไม่กล้ารั้งแล้ว เขาปลดปล่อยพลังการต่อสู้จนถึงขีดสุด
“ไอ้หนู แกคิดว่าข้ากลัวนักเหรอไง? ถ้าอยากสู้ก็เข้ามา!” ร่างเหนือสวรรค์ยืนตะหง่านบนท้องฟ้าโดยมีเฉวียนเทียนปรากฏตัวบนไหล่
เมื่อมู่เฉินได้ยินเช่นนั้นก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับสีหน้าเย็นชา
“งั้นเหรอ?”
พอได้ยินเสียงเยือกเย็นของมู่เฉิน เฉวียนเทียนก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างพลางเงยหน้าขึ้น เขาเห็นเจดีย์ผลึกแก้วใสขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น จากนั้นก็บีบกดลงมาปราบปรามเขา
ตู้ม!
เฉวียนเทียนตกใจ จากนั้นก็ควบคุมร่างเหนือสวรรค์ทันทีเพื่อต่อต้านและหยุดเจดีย์เอาไว้ ทว่าก็เพียงเท่านั้น เจดีย์ยังคงค่อยๆ ลดระดับลง ต้องการที่จะกักเขาไว้ภายใน
แกร็ก
ร่างเหนือสวรรค์ขนาดใหญ่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด ขณะที่ใบหน้าของเฉวียนเทียนเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็รู้สึกว่าไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป เขาหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่เปล่งเสียงคำราม
“จื่อชี่ เหลยจุนเจ่อ หลงเตียว ถ้าพวกเจ้ายังไม่เคลื่อนไหวก็จะไม่มีที่ในจักรวรรดิเหนืออีกแล้ว!”
เมื่อเสียงของเฉวียนเทียนดังขึ้น ความเงียบก็คงอยู่เป็นอึดใจ ก่อนที่พลังสามสายจะทะลุผ่านมิติ ซัดลงบนเจดีย์
ในเวลาเดียวกันเสียงน่าเกรงขามสามเสียงก็ดังก้องไปทั่วฟ้าดินพร้อมกับแรงกดดัน
“ประมุขมู่โปรดยั้งมือ!”
บทที่ 1403 ไม่ยอมอ่อนข้อ
“โปรดยั้งมือ!”
เสียงแกร่งกร้าวสามเสียงดังก้อง พร้อมกับพลังมหาศาลสามสายทะลุมิติยับยั้งเจดีย์ผลึกแก้วใสเพื่อช่วยเหลือเฉวียนเทียน
การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันทำให้หลายคนตกตะลึงกับสถานการณ์ เนื่องจากพวกเขาสามารถบ่งบอกตัวตนของคนเหล่านั้นได้จากการเรียกขานของเฉวียนเทียนแล้ว
จื่อชี่จากถ้ำรัศมีม่วง!
เหลยจุนเจ่อจากวิหารเสียงสายฟ้า!
หลงเตียวจากถ้ำคัมภีร์มังกร!
ทั้งสามขุมกำลังนี้เป็นขั้วอำนาจชั้นสูงในมหาพันภพ ซึ่งคนที่เคลื่อนไหวในครั้งนี้ก็คือจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจากขั้วอำนาจสูงสุดทั้งสาม!
ตามกฎของทวีปเทียนหลัว ไม่อนุญาตให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเข้าร่วมชิงชัยในทวีปนี้ แต่เห็นได้ชัดว่าทั้งสามไม่สามารถรั้งตัวเองได้อีกต่อไป
เมื่อพวกเขาเห็นว่ามู่เฉินทรงพลังเพียงใด หากพวกเขายอมให้ชายหนุ่มจัดการเฉวียนเทียนละก็จะไม่มีใครสามารถหยุดเขาได้ จักรวรรดิเหนือทั้งหมดก็จะอยู่ในมือของตำหนักมู่
งานหนักทั้งหมดที่พวกเขาทำมาหลายปีก็จะละลายลงไปกับสายน้ำ
ดังนั้นพวกเขาต้องหาโอกาสที่จะยับยั้งแรงผลักดันของมู่เฉิน
ตามการคาดการณ์พวกเขาน่าจะสามารถจัดการกับมู่เฉินได้ ตราบใดที่พวกเขาทั้งสี่ร่วมมือกัน
“พวกท่านผู้อาวุโสเคลื่อนไหวแล้ว!”
เมื่อพวกประมุขจักรวรรดิเหนือทั้งสามเห็นฉากนี้ ความปีติยินดีก็กระจายบนใบหน้า จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสามคนจะทำให้พวกเขาสามารถพลิกสถานการณ์นี้ได้ แม้แต่มู่เฉินก็ต้องถอยห่างจากการรวมตัวนี้!
เมื่อมองไปที่จอมยุทธ์ทั้งสามที่ทะยานมาจากระยะไกล ม่านตาสีดำของมู่เฉินก็กะพริบด้วยไอหนาวเย็น เขารู้โดยธรรมชาติเกี่ยวกับความตั้งใจของทั้งสามได้
“ในอดีตข้ายังไว้หน้าพวกเจ้า ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมข้าถึงยอมละมือ แต่ตอนนี้พวกเจ้าแส่เข้ามายุ่ง ก็อย่ามาโทษข้านะ”
มู่เฉินเค้นเสียงเย็นพลางก้าวออกไปปรากฏตัวเหนือเจดีย์ มือข้างหนึ่งสร้างตราประทับ แสงสีม่วงทองไร้ขอบเขตก็ระเบิดออกมา ร่างเงาขนาดใหญ่ก็ก่อตัวขึ้นข้างหลังเขาในพริบตา
ร่างเทพสุริยะนิรันดร์!
ตอนนี้ร่างเทพสุริยะนิรันดร์แข็งแกร่งกว่าก่อนที่มู่เฉินจะบรรลุระดับนี้ไม่รู้กี่เท่า แม้แต่ขนาดที่แท้จริงก็ยังขยายไปถึงสิบกว่าเท่าจากหนึ่งพันจั้งเป็นหลายหมื่นจั้งเห็นจะได้
นอกจากนี้แสงสีม่วงทองบนร่างเทพสุริยะนิรันดร์ยังได้รับการขัดเกลา หากในอดีตร่างเทพสุริยะนิรันดร์เป็นเพียงร่างลวงตา เวลานี้ก็คือพระพุทธรูปยักษ์แท้จริง!
ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ขนาดมหึมาสลักด้วยอักขระโบราณบนตัว เปล่งประกายด้วยรัศมีอมตะ ราวกับว่ากาลเวลาไม่สามารถกัดกร่อนได้
เมื่อร่างเทพสุริยะนิรันดร์ปรากฏขึ้นด้านหลังมู่เฉิน มันก็เปิดปากและสายธารสีม่วงทองพุ่งออกมา ทำให้มิติถึงกับพังทลายลงจากแรงกดดันอย่างต่อเนื่อง
มู่เฉินมองสายธารเชี่ยวกรากพลางพยักหน้าเบาๆ แม่น้ำนี้ถูกสร้างขึ้นจากรหัสเทพอมตะ ตามการประมาณของเขา จำนวนลวดลายที่สามารถสร้างได้ครั้งนี้มีถึงสี่ร้อยแปดสิบลายเลยทีเดียว
ต้องรู้ว่าขนาดมู่เฉินหลอมรวมกับร่างรองก่อนจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุน เขาก็สามารถสร้างได้เพียงสามร้อยลายเท่านั้น
แต่ตอนนี้ร่างเทพสุริยะนิรันดร์สามารถปลดปล่อยรหัสเทพอมตะได้เกือบห้าร้อยลวดลาย เห็นได้ว่าพลังของเขาเพิ่มขึ้นมากเพียงใด
เพราะยิ่งหลังๆ รหัสเทพอมตะทุกลวดลายก็จะต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการสร้าง ไม่ต้องคิดถึงเกือบสองร้อยลายเลย…
ขณะที่แม่น้ำสีม่วงทองพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าก็คดโค้งไปตามรูปแบบที่มู่เฉินต้องการ ก่อร่างเป็นมังกรทองโหดร้าย
โฮก!
มังกรปลดปล่อยเสียงคำรามสั่นสะท้านชั้นฟ้า
ฟิ้ว!
มังกรทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยอานุภาพไร้ขอบเขตปะทะกับพลังยิ่งใหญ่สามสายที่พุ่งลงมา
จังหวะที่ปะทะกันนั้นสวรรค์และโลกก็เงียบกริบลง แม้ว่าจะไม่มีเสียงรบกวนทำให้พื้นดินโยกคลอน แต่มิติก็เริ่มถล่มลงบนท้องฟ้า ก่อนที่จะค่อยๆ ก่อตัวเป็นหลุมดำที่มีขนาดแสนจั้ง…
มังกรและพลังยิ่งใหญ่ทั้งสามสายถูกลบออกจากการปะทะกันนี้
เฮือก!
หลายคนอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายลงคอด้วยความหวาดผวาพล่านในดวงตา ไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินจะสามารถต้านทานการโจมตีจากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสามคนได้
“เป็นไปได้ยังไง?!”
ประมุขจักรวรรดิเหนือทั้งสามตกตะลึง แม้ว่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสามคนจะไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดออกมา ทว่าพวกเขาก็ยังได้เปรียบด้านจำนวน แต่ตอนนี้พวกเขาถูกมู่เฉินคนเดียวต้านได้ ดังนั้นแสดงให้เห็นว่ามู่เฉินมีความแข็งแกร่งปานใด
“หึ ใครกล้าท้าทายในพื้นที่ตำหนักมู่จะต้องถูกตำหนักมู่ของข้าจัดการ นี่ไม่ใช่ธุระกงการของพวกแก!” มู่เฉินยืนอยู่บนเจดีย์พร้อมสาดสายตาเย็นชา เสียงของเขาก็ดังก้องไปทั่วขอบฟ้าสอดแทรกด้วยพลังที่น่ากลัว
ทั่วบริเวณเงียบ ราวกับว่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสามยังตกใจกับพลังของมู่เฉิน
ทว่ามู่เฉินไม่สนใจพวกเขา เขากระทืบเท้าบนเจดีย์ เจดีย์สั่นสะเทือนระเบิดผลึกแสงออกมาห่อหุ้มเฉวียนเทียนเอาไว้
“อ้ากๆๆๆ!”
เฉวียนเทียนร้องลั่นขณะที่ร่างเหนือสวรรค์จางลง ก่อนที่จะถูกดูดเข้าไปในเจดีย์
เจดีย์ตั้งตระหง่านอยู่ในอากาศเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมา ความกลัวทุกสายตาจับจ้องมองมา
เนื่องจากฉากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนถูกปราบต่อหน้าช่างน่าตกใจแท้จริง
“ประมุขมู่!”
“ประมุขมู่สุดยอด!”
ความเงียบคงอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะมีเสียงคำรามที่ทำให้หูดับดังก้องไปทั่ว ทั้งตำหนักมู่เต็มไปด้วยเสียงโห่ร้องยินดี ดวงตาของพวกเขาอัดแน่นด้วยความเคารพขณะมองไปที่มู่เฉิน
ตำหนักมู่ถูกเฉวียนเทียนเหยียบหัวมานาน แต่ใครจะไปคิดว่าประมุขจะกลับมาอย่างทรงพลังเช่นนี้ กระทั่งสามารถจัดการกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนได้
ความสำเร็จนี้ทำให้ทุกคนในตำหนักมู่รู้สึกภาคภูมิใจในหัวใจ
ด้วยประมุขคนนี้ใครจะกล้าท้าทายตำหนักมู่ของพวกเขาในจักรวรรดิเหนือ? หรือแม้แต่ทวีปเทียนหลัว?
ขณะที่ตำหนักมู่ส่งเสียงร้อง ขั้วอำนาจอื่นๆ ก็มีใบหน้าดิ่งลง เพราะพวกเขาเป็นสำนักที่เลือกแยกตัวออกจากตำหนักมู่ เมื่อพวกเขาเห็นว่าตำหนักมู่ถูกปราบไว้ พวกเขาไม่มีความคิดที่จะยืนร่วมกับคนอ่อนแอต่อไป
ตอนแรกพวกเขาคิดว่าตำหนักมู่จะไม่สามารถช่วยตัวเองได้ในวันนี้ แต่ใครจะคิดว่าเหตุการณ์จะกลับตาลปัตรแบบนี้
“เราตายแน่… ในอนาคตไม่มีที่สำหรับเราในจักรวรรดิเหนืออีกต่อไป” ใบหน้าของพวกเขาซีดเผือดจนไม่น่าดู
เมื่อได้ยินเสียงโห่ร้อง มู่เฉินก็ยื่นมือออกไป เจดีย์หดตัวลงตกบนฝ่ามือของเขา
มู่เฉินเหลือบตามองเจดีย์ ตอนนี้เขาได้เปิดใช้งานวิชาเจดีย์แปดองค์เพื่อปราบเฉวียนเทียนไว้ภายใน เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาที่จะจัดการอีกฝ่าย
มู่เฉินถือเจดีย์ในมือพลางเงยหน้าขึ้น เสียงสงบนิ่งสะท้อนออกไป “ในเมื่อพวกเจ้าทั้งสามเคลื่อนไหวก็แสดงตัวออกมา การซ่อนตัวไม่ใช่วิถีของจอมยุทธ์ระดับเทียนจื้อจุน”
เมื่อเสียงของมู่เฉินดังก้อง เสาแสงสามเสาก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้า กลายเป็นร่างเงาสามร่าง
เพียงแค่ยืนอยู่ที่นั่น รัศมีของพวกเขาก็ทำให้มิติแปรปรวน
เห็นได้ชัดว่าทั้งสามคนก็คือจื่อชี่ เหลยจุนเจ่อและหลงเตียวที่ปะทะกันก่อนหน้านี้
ตอนนี้ใบหน้าของทั้งสามไม่น่าดูเลย พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าไม่เพียงแต่จะไม่สามารถช่วยเฉวียนเทียนจากมือของมู่เฉินได้ แต่กลับถูกลูบคมด้วย
ทว่ามู่เฉินก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับใบหน้าเหี่ยวย่นไม่น่าดู เขากล่าวว่า “เฉวียนเทียนกำเริบคิดจะปราบตำหนักมู่ของข้าคงได้รับการสนับสนุนจากพวกเจ้าทั้งสามด้วยใช่ไหม? วันนี้พวกเจ้าต้องมีคำอธิบายกับข้า”
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ทั้งสามก็หดดวงตาก่อนที่หลงเตียวจะเอ่ยเยาะ“โอ้? ตำหนักมู่ต้องการคำอธิบายอะไรจากเรา?”
“จากนี้ไปจักรวรรดิเหนือเป็นของตำหนักมู่เพียงผู้เดียว ใครไม่คิดสวามิภักดิ์ก็ไสหัวไป” มู่เฉินหลุบตาลงขณะที่ตอบอย่างสบายๆ
หลายคนตัวสั่นสะท้านจากคำพูดเหล่านั้น กระทั่งจอทยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสามก็ออกอาการโกรธเกรี้ยว พวกเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะหยิ่งผยองแม้แต่ต่อหน้าพวกเขา
“คำพูดของประมุขมู่เกินไปรึเปล่า…” จื่อชี่ขมวดคิ้วขณะที่พูด
หลงเตียวหัวร้อนฉ่าอยู่แล้ว ดังนั้นจึงตอกเสียงเย็นชาใส่ว่า “เจ้าจะทำอะไรได้ถ้าเราไม่เต็มใจ”
“ทำอะไรได้เหรอ?”
ไอสังหารพวยพุ่งสูงขึ้นรอบตัว ร่างรองทั้งสองก็ทะยานออกไป มู่เฉินทั้งสามก็มองไปที่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสามอย่างเย็นชา
ทั่วฟ้าดินเงียบกริบ ทุกคนสามารถสัมผัสได้ถึงรังสีสังหารในดวงตาของชายหนุ่ม เห็นได้ชัดว่าเขาโกรธเฉวียนเทียนมากที่บังอาจมากลั่นแกล้งตำหนักมู่ถึงเพียงนี้
เพื่อข่มขู่คนทั้งทวีปเทียนหลัว เขาก็ไม่ยอมแม้จะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสามคนก็ตาม
ภายใต้สายตาที่ตกตะลึง มู่เฉินก็ยิ้มน้ำเสียงเย็นชาสะท้อนออกมา
“ข้าจะทำอะไรได้? งั้นมาประลองกันว่าใครจะอยู่และใครจะตาย”
บทที่ 1404 ขู่ทุกทิศทาง
เสียงเยือกเย็นของมู่เฉินดังก้องไปทั่วฟ้าดิน
ทำเอาผู้คนตกตะลึง พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าแม้จะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงสามคน ไม่เพียงแต่มู่เฉินจะไม่กลัว เขายังกล้าที่จะท้าทาย ราวกับว่าไม่เกรงกลัวการรวมพลังของจอมยุทธ์ทั้งสามคน
ที่เบื้องหน้ามู่เฉิน จื่อชี่ เหลยจุนเจ่อและหลงเตียวก็มีสีหน้าดิ่งลง นับตั้งแต่ที่พวกเขาบรรลุระดับเทียนจื้อจุนก็นานมากแล้วที่พวกเขาไม่ได้รับความท้าทายเช่นนี้
นอกจากนี้ยังอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่พวกเขาได้เปรียบด้านจำนวนด้วย
“ประมุขมู่ช่างน่าเกรงขามอย่างแท้จริง! เจ้าคิดว่าสามารถเผชิญหน้ากับพวกเราสามคนได้ด้วยตัวคนเดียวเรอะ” หลงเตียวมีสีหน้ามืดครึ้มพร้อมกับแสงเย็นวาบในดวงตา
มู่เฉินตอบอย่างสบายว่า “ทำไมจะไม่ล่ะ?”
ขณะที่พูดแสงหลิงก็พุ่งออกมาจากร่างรองของเขา แต่ละคนก็เร้ากายาหลิงเทียนจุนออกมา แสงกำจายออกไปปลดปล่อยพลังอันไร้ขอบเขต ชัดว่าก้าวเข้าสู่สภาพพร้อมรบเต็มที่
ในเวลานี้ทุกคนรู้ดีว่ามู่เฉินไม่ได้หลอก เขาตั้งใจที่จะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสามจริงๆ
จอมยุทธ์ทั้งสามมองไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชา หัวใจสั่นสะท้าน ขณะนี้พวกเขาตระหนักดีว่าด้วยร่างรองทั้งสอง มู่เฉินไม่ได้ด้อยกว่าในแง่ของจำนวน
หากการต่อสู้เกิดขึ้นจริงในวันนี้ แม้ว่าพวกเขาจะสามารถเอาชนะได้ แต่ก็ต้องจ่ายราคาแพงระยับซึ่งอาจจบลงด้วยทนพิษบาดแผลไม่ไหวจนตาย
ผลที่ตามมารุนแรงเกินไป ไม่มีใครสามารถแบกรับความรับผิดชอบเรื่องนี้ได้
พวกเขาฝึกฝนมาอย่างขมขื่นหลายต่อหลายปีเพื่อบรรลุระดับเทียนจื้อจุน ยังไม่ได้รับชื่อเสียงเกียรติยศเพียงพอในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเลย การประลองกับมู่เฉินไม่ใช่ทางเลือกที่ชาญฉลาด
ไม่ต้องพูดถึงว่าทั้งสามคนไม่ได้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียว พวกเขาเป็นคู่แข่งกัน หากไม่ใช่เพราะมู่เฉิน พวกเขาก็ไม่มีวันรวมตัวกันหรอก
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ไว้วางใจในพันธมิตรชั่วคราวนี่ หากการต่อสู้เกิดขึ้นและมีสักคนวิ่งหนีไป พวกเขาก็จะตกอยู่ในสถานการณ์ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต
ตรงกันข้ามร่างรองทั้งสองของมู่เฉิน พวกเขาไม่เพียงแต่มีสายสัมพันธ์กัน แต่ทั้งสามคนยังเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวอย่างสมบูรณ์ การปะทะเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะเผชิญหน้าได้
หากการต่อสู้เกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์นี้… โอกาสที่พวกเขาจะชนะไม่สูงเลย
ดังนั้นยามนี้พวกเขาทั้งสามจึงเริ่มลังเลและตกอยู่ในความเงียบ
ความเงียบทำให้ผู้คนที่จับจ้องมาต่างตกตะลึง แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสามยังถูกมู่เฉินข่มขู่ ไม่กล้าที่จะปะทะ
นั่นไม่ได้หมายความว่าแม้ทั้งสามจะร่วมมือกัน พวกเขาก็ยังกลัวมู่เฉินเหรอ?
ทุกคนจึงมองไปที่มู่เฉินด้วยความตกใจและหวาดกลัวในดวงตา
ด้วยตัวเขาสามารถปราบจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสามคนได้ หากเรื่องนี้กระจายออกไปชื่อของมู่เฉินอาจดังระเบิดทั่วมหาพันภพเลยทีเดียว
ความเงียบจากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสามดำเนินต่อไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จื่อชี่จะถอนหายใจ “ประมุขมู่ไม่มากไปหรือ?”
มู่เฉินตอบเสียงเรียบเฉย “ตอนที่พวกเจ้าสามคนสนับสนุนเฉวียนเทียนเพื่อมากดดันตำหนักมู่ พวกเจ้าเคยคิดไหมว่ามันมากไป?”
เขายกเปลือกตาขึ้นมองทั้งสามคนอย่างไม่แยแส “ถ้าข้าปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ ข้ากลัวว่าตำหนักมู่ของข้าจะไม่มีความสงบสุขในอนาคต”
“ถ้าพวกเจ้าต้องการที่จะต่อสู้ ข้าก็ยินดี ถ้าไม่มีใจก็ตามที่ข้าพูดก่อนหน้า ถอนออกจากจักรวรรดิเหนือ”
จื่อชี่ขมวดคิ้วก่อนจะยิ้มอย่างขมขื่น แม้ว่าทรัพยากรในจักรวรรดิเหนือจะไม่เล็ก แต่ถ้ำรัศมีม่วงของเขาก็เป็นขั้วอำนาจสูงสุด ที่นี่เป็นเพียงหนึ่งในทรัพย์สินและก็ไม่คุ้มที่จะต่อสู้กับมู่เฉินเพื่อมัน
ดังนั้นเขาจึงส่ายหัว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สำนักเมฆาม่วงที่อยู่ภายใต้สังกัดถ้ำรัศมีม่วงขอถอนตัวออกจากจักรวรรดิเหนือเพื่อเป็นการขอโทษต่อประมุขมู่”
เขาเป็นคนที่สามารถรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ตอบสนองผลกำไรหรือขาดทุนด้วยความใจเย็น เนื่องจากเขารู้ว่าความได้เปรียบไม่ได้อยู่ข้างตัวเอง เขาจึงตัดสินใจปล่อยไป การเติบโตของตำหนักมู่ไม่สามารถหยุดได้และตราบใดที่มู่เฉินอยู่ที่นี่ก็เท่ากับมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสามคน ซึ่งเป็นพลังที่แข็งแกร่งกว่าถ้ำรัศมีม่วงของพวกเขา
เมื่อเห็นว่าจื่อชี่ถอยออกไปแล้ว เหลยจุนเจ่อก็ส่ายหัว “ภูเขาเหลยยิงของข้าก็ถอนตัวด้วยเช่นกัน”
เมื่อหลงเตียวเห็นฉากนี้ ดวงตาก็กะพริบด้วยความโมโห ถ้าทั้งสองคนไม่ร่วมมือ เขาก็ไม่สามารถเผชิญหน้ากับมู่เฉินทั้งสามได้
ดังนั้นเขาจึงได้แต่เค้นเสียงเย็น ส่งสายตาแสดงความเกลียดชังไปที่มู่เฉิน จากนั้นร่างเงาก็กลายเป็นริ้วแสงทะยานออกไป
การกระทำแสดงถึงการเลือกของเขาแล้ว
เมื่อประมุขจักรวรรดิเหนือทั้งสามคนเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ใบหน้าของพวกเขาก็มืดครึ้มด้วยความขมขื่น พวกเขาไม่คิดว่าแม้แต่กองกำลังสนับสนุนของพวกเขาก็ยอมแพ้ มากกว่าจะต่อสู้กับมู่เฉิน
หากไม่มีการสนับสนุน พวกเขาจะมีคุณสมบัติอะไรในการแข่งขันกับตำหนักมู่อีกล่ะ? ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปจะไม่มีพื้นที่สำหรับพวกเขาในจักรวรรดิเหนือแล้ว
พอเห็นการเลือกของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสาม สายตาของมู่เฉินห็วูบไหว แต่เขาไม่ได้แปลกใจอะไรกับเรื่องนี้ นั่นเพราะเขารู้ดีว่าทั้งสามที่ต่างมีความคิดไม่กล้าที่จะต่อสู้กับเขาหรอก
แต่นี่อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่เฉวียนเทียนถูกปราบปราม ถ้าเขารอดไปได้ก็จะเป็นอีกสถานการณ์หนึ่ง
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าไม่ส่งนะ เชิญ” มู่เฉินประสานมือให้พลางพูดกับทั้งสามคนอย่างนิ่งเฉย
จื่อชี่และเหลยจุนเจ่อก็ได้แต่กลืนความโกรธแค้นลงท้องไป แต่สุดท้ายพวกเขาก็ทำได้เพียงจากไป หากยังคงอยู่ที่นี่ต่อไปจะต้องอับอายขายหน้ามากกว่านี้แน่
พร้อมกับการจากไปของพวกเขา ความกดดันที่ปกคลุมพื้นฟ้าและพื้นดินก็ค่อยๆ หายไป หลายคนรู้สึกโล่งใจอย่างมากขณะที่ปาดเหงื่อเย็นออกจากหน้าผาก
มู่เฉินโบกมือ ร่างรองก็หายไป เจดีย์ที่อยู่ในมือก็กลับเข้าไปสถิตในดวงตา
เมื่อทำสิ่งเหล่านี้เสร็จ เขาก็ไพล่มือไว้ด้านหลัง สายตาทะลุทะลวงมองฝูงชนที่เฝ้าสังเกตการณ์จากระยะไกล
เมื่อรู้สึกถึงการสายตาเจาะทะลุของมู่เฉิน แต่ละคนก็เริ่มผละออกและรู้สึกเสียดาย ถ้ามู่เฉินแสดงความอ่อนแอให้เห็น ใครจะรู้ว่ามีกี่คนที่พยายามเฉือนตำหนักมู่ออก แต่น่าเสียดายที่มู่เฉินทรงพลังสามารถดึงตำหนักมู่ที่กำลังอยู่ที่ขอบเหวกลับมาได้
นอกจากนี้เมื่อไรที่เรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ตำหนักมู่จะเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจชั้นนำของทวีปเทียนหลัวทันที ในอนาคตตำหนักมู่อาจมีโอกาสก้าวขึ้นด้านบนสุดของทวีปเทียนหลัวและกลายเป็นเจ้าเหนือหัวที่แท้จริง
ตอนนี้ก็เก่งกาจใช่เล่น อนาคตก็จะต้องลุกขึ้นผงาดเหมือนมังกรอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่มีใครหยุดเขาได้ ตำหนักมู่จะใช้ประโยชน์จากความปั่นป่วนและก้าวเข้าสู่ตำแหน่งสูงสุด
บนท้องฟ้า เมื่อสายตาเหล่านั้นหายไป มู่เฉินก็ดึงความกดดันที่น่ากลัวรอบๆ ตัวออกแล้วพลิ้วลงมาจากท้องฟ้ายืนเบื้องหน้าตำหนักมู่
“ยินดีต้อนรับท่านประมุข”
เมื่อเห็นมู่เฉินลงมา หลิ่วเทียนเต้าและคนที่เหลือก็คุกเข่าด้วยความเคารพฉายบนใบหน้า
มู่เฉินมองไปที่ทุกคน ก็เห็นว่าจำนวนจอมยุทธ์ชั้นสูงลดลงหลังจากที่เขาจากไป
เมื่อรู้สึกถึงสายตามองของมู่เฉิน มั่นถัวหลัวก็ก้าวออกมา “ภายใต้แรงกดดันของผู้เฒ่าเฉวียนเทียนในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา ขั้วอำนาจน้อยใหญ่ที่เข้าร่วมกับเราก็ขอถอนตัวไปมาก”
เมื่อมู่เฉินได้ยินใบหน้าก็สงบนิ่ง “ดีแล้ว พวกที่หนีไปเมื่อเผชิญอันตรายอยู่ไปก็เป็นหายนะ”
มั่นถัวหลัวพยักหน้า คนพวกนี้เป็นพวกหมาใน หากเก็บไว้ก็อาจเป็นปรสิตในตำหนักมู่แทน
แม้ว่าครั้งนี้ความแข็งแกร่งของตำหนักมู่จะลดลง แต่พวกเขาก็สามารถกำจัดอันตรายที่ซ่อนอยู่ได้
“สำหรับพวกที่ออกไปแล้วให้ยึดดินแดนและขับไล่พวกมันออกจากจักรวรรดิเหนือ ในอนาคตหากพวกมันกล้าที่จะแหย่เท้าเข้ามาอีกละก็ ฆ่าให้หมดตรงหน้าเลย” สายตาของมู่เฉินเป็นประกายด้วยแสงเย็น ถ้าเขาต้องการให้ตำหนักมู่ยืนยงอยู่ได้ เขาจะต้องใช้ทั้งพระเดชพระคุณ ส่วนคนที่กล้าหันหลังให้ตำหนักมู่เมื่อมีภัย เขาก็ต้องเชือดไก่ให้ลิงดูเพื่อเตือนใจเสียหน่อย
เมื่อได้ยินเสียงเยือกเย็นของมู่เฉิน หลิ่วเทียนเต้าและคนอื่นๆ ก็ตัวสั่นสะท้าน ทว่าบังเกิดความรู้สึกโชคดีในใจ โชคดีที่พวกเขาอดทนและอยู่ต่อไป มิฉะนั้นผู้โชคร้ายเหล่านั้นจะเป็นพวกเขาเอง
“เมื่อลงทัณฑ์แล้วก็มีรางวัลตอบแทนเช่นกัน”
มู่เฉินหันไปมองคนที่อยู่ข้างหลัง สายตาอ่อนโยนลง “สำหรับดินแดนที่ถูกยึดเหล่านั้นจะเป็นรางวัลสำหรับผู้ที่ยังไม่ถอนตัวออก จำนวนป้ายทะเลสาบสวรรค์ที่จะได้รับในอีกสามปีข้างหน้าก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน”
คำพูดของเขาสร้างความสุขให้กับทุกคน เนื่องจากมีขั้วอำนาจจำนวนมากที่ถอนตัวออกจากตำหนักมู่ หากพวกเขาสามารถรับดินแดนเหล่านั้นได้ พลังของพวกเขาก็จะเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้หากจำนวนป้ายทะเลสาบสวรรค์ก็จะเพิ่มขึ้น นั่นหมายความว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของพวกเขาสามารถเข้าสู่ทะเลสาบสวรรค์เพื่อฝึกฝนและเสริมความแข็งแกร่งให้กับตนเอง
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะคุกเข่าแสดงความเคารพต่อมู่เฉิน “เราขอขอบคุณรางวัลจากท่านประมุข!”
เมื่อมั่นถัวหลัวและหลิงซีเห็นมู่เฉินใช้ทั้งไม้นวมและไม้แข็งอย่างไร พวกนางก็สบตากันและยิ้ม พวกนางรู้ว่าช่วงเวลาที่มู่เฉินบรรลุระดับเทียนจื้อจุน การพัฒนาของตำหนักมู่ก็ถูกกำหนดขึ้น…
คราวนี้ไม่มีใครหยุดการทะยานขึ้นได้อีกแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น