หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1395-1400

บทที่ 1395 พลังอำนาจของระดับเทียนจื้อจุน

 

แสงกระจายออกไปบนท้องฟ้า


ภาพเงาอ่อนเยาว์ยืนอหังการพร้อมกับเสื้อผ้าโบกสะบัดไปในสายลมขณะที่ถูกห่อหุ้มด้วยแสงคล้ายกับหยก ดวงตาของเขาราวกับดวงดาวที่สามารถดึงดูดให้ผู้คนจมอยู่ภายใน


ไป๋ซู่ซู่และจอมยุทธ์มังกรขาวอดไม่ได้ที่จะจ้องมองภาพเงานั้น พวกเขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามีบางอย่างที่แตกต่างเกี่ยวกับมู่เฉิน


ในอดีตคลื่นหลิงของมู่เฉินไร้ขอบเขต แม้ว่าจะไม่ได้หมุนเวียน แต่ก็ยังคงปล่อยแรงกดดันที่น่ากลัวออกมา


แต่มู่เฉินคนนี้ไม่มีความกดดันนั้นอีกต่อไป เขายืนอยู่บนท้องฟ้าพร้อมกับรอยยิ้ม หากทำการสัมผัสก็รู้สึกได้ราวกับว่าเขาไม่มีริ้วพลังงานหลิงอีกต่อไปแล้ว


นอกจากนี้แม้พวกเขาจะเห็นมู่เฉินยืนอยู่ที่นั่น แต่ในเรื่องรัศมีไป๋ซู่ซู่และคนอื่นๆ ก็ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงการปรากฏตัวของเขา


ดังนั้นต่อให้พวกเขาพยายามเปิดการโจมตี การโจมตีก็อาจแตะไม่ได้กระทั่งมุมเสื้อผ้าของมู่เฉิน…


ไป๋ซู่ซู่และจอมยุทธ์มังกรขาวมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง พวกเขาไม่มีทางเชื่อหรอกว่ามู่เฉินได้สูญเสียคลื่นหลิงทั้งหมดไป ดังนั้นจึงมีเพียงคำอธิบายเดียวว่าทำไมพวกเขาถึงไม่รู้สึกถึงการปรากฏตัวของเขา ซึ่งก็คือช่องว่างระหว่างพวกเขาและมู่เฉินมาถึงระดับที่ไม่สามารถก้าวข้ามได้!


และเหตุผลหนึ่งเดียวคือ…มู่เฉินก้าวผ่านภัยพิบัติเทียนจุนเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนได้สำเร็จ!


“ท่านเทพ…ประสบความสำเร็จจริงหรือเนี่ย?”


ไป๋ซู่ซู่พึมพำด้วยความตกตะลึงในดวงตา แม้ว่านางจะไม่คุ้นเคยกับระดับเทียนจื้อจุน แต่นางก็สามารถอนุมานได้จากช่องว่างระหว่างผู้บัญชาการปีศาจโลหิตและจอมปีศาจโลหิต


เหตุผลที่นางเชื่อมั่นในตัวมู่เฉินมาตลอดก็เนื่องจากไม่มีทางเลือกอีกแล้ว มู่เฉินเป็นความหวังสุดท้ายและนางก็ยึดมั่นกับความหวังอย่างแน่นหนา เพื่อที่ตนเองจะไม่แหลกสลาย บังคับตัวเองให้คิดว่ามู่เฉินสามารถช่วยพวกนางจากทุกข์ระทมนี้ได้


ทว่าตามความคิดจริงนางไม่คิดว่ามู่เฉินจะสามารถก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนได้… ดังนั้นเมื่อนางเห็นมู่เฉินในตอนนี้ นางถึงได้รู้สึกตกตะลึงอย่างไม่อาจจินตนาการได้


“อัจฉริยะแท้จริง…” จอมยุทธ์มังกรขาวถอนหายใจลึกๆ ในฐานะคนที่เข้าใจมหาพันภพ เขารู้ว่าความสำเร็จของมู่เฉินน่าตกใจเพียงใด อัจฉริยภาพของชายหนุ่มประหนึ่งสิ่งที่ได้รับพรจากสวรรค์เลยทีเดียว


ขณะเดียวกันเขาก็ชื่นชมยินดีในใจ เขาไม่เคยคิดเลยว่าสิ่งที่สร้างไว้ในตอนนั้นจะทำให้ความปรารถนาของเขาสมหวังในตอนนี้…


ขณะที่ไป๋ซู่ซู่และคนอื่นๆ ตกตะลึงกับความสำเร็จของมู่เฉิน ใบหน้าของจอมปีศาจโลหิตก็ดูเคร่งขรึมท่าทางเยาะเย้ยหายไปสิ้นเชิง


การปรากฏตัวของมู่เฉินครั้งนี้ จอมปีศาจโลหิตรู้ว่าข้อได้เปรียบของตนอันตรธานหายไปแล้ว


“บ้าเอ๊ย! ถ้ารู้แต่แรก ข้าก็ไม่ยั้งมือไว้แล้ว!”


จอมปีศาจโลหิตรู้สึกเสียใจในใจ แม้ว่าก่อนหน้าเขาจะไม่ได้ยั้งพลัง แต่เขาก็ไม่ได้ใช้ทักษะทั้งหมดที่มี มิฉะนั้นต่อให้มู่เฉินจะเก่งกาจขนาดไหนก็ไม่สามารถได้เปรียบใดๆ แน่


ไม่ต้องพูดถึงการดักจับเขาและสร้างความก้าวหน้าเลย


“สายไปแล้วที่จะเสียใจตอนนี้” มู่เฉินยิ้ม จากสีหน้ามืดครึ้มของอีกฝ่ายเขาก็รู้ว่าจอมปีศาจโลหิตกำลังคิดอะไรอยู่ในใจตอนนี้


ดวงตาของจอมปีศาจโลหิตกระตุก ก่อนที่จะหายใจเข้าลึกเพื่อสงบสติอารมณ์จากนั้นก็ตอบว่า “ต่อให้เจ้าบรรลุระดับเทียนจื้อจุน แต่ก็ใช่ว่าเอาชนะข้าได้!


“แต่ตอนนี้แกมีคุณสมบัติพอที่จะคุยกับข้าในระดับเดียวกัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าเจ้าตกลง ข้าจะนำคนออกไปจากโลกนี้”


มู่เฉินยิ้ม “ไม่สายไปเหรอที่คิดจะไปตอนนี้?”


ขณะที่พูดเขาก็ยกเปลือกตาขึ้นพร้อมกับความเย็นชาวูบไหวในดวงตา “นอกจากนี้แกคิดจะเปิดตูดทั้งที่ก่อหายนะมากมายในโลกนี้นะเหรอ?”


สายตาของจอมปีศาจโลหิตวูบไหวขณะที่มองมู่เฉินอย่างอาฆาต “ข้าแค่ไม่ต้องการสู้กับเจ้าจนถึงจุดที่ไม่มีใครชนะ นั่นคือเหตุผลที่ข้าเสนอที่จะถอย เจ้าคิดว่าข้ากลัวเจ้ารึไง!”


เมื่อมองไปที่จอมปีศาจโลหิตมู่เฉินก็ยิ้มบาง จากนั้นก็วาดตราประทับด้วยมือเดียว มิติผันผวน ร่างรองสองร่างปรากฏขึ้น


“งั้นก็ชี้แนะข้าด้วย”


มู่เฉินทั้งสามมองไปที่จอมปีศาจโลหิตอย่างไม่แยแส มิติรอบตัวผันผวน ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกสั่นสะเทือน


จอมยุทธ์มังกรขาวและไป๋ซู่ซู่กลืนน้ำลายก่อนที่จะสูดเอาอากาศเย็นเข้าไปในปอด พูดด้วยความตะลึงลาน “ช่างเป็นทักษะเทพที่น่ากลัวจริงๆ!”


แม้ก่อนหน้านี้วิชาสามพิสุทธิ์ของมู่เฉินจะทรงพลังเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้ทำให้ตะลึงสักเท่าไร ทว่าเมื่อเขาก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนแล้ว ก็สร้างความตกตะลึงเมื่อเขาแสดงออกมา


นั่นเป็นเพราะนี่เทียบเท่ากับสามจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน!


กระทั่งจอมปีศาจโลหิตยังอดไม่ได้ที่จะมีริ้วความกลัวในดวงตา ตอนแรกเขาคิดว่าร่างดวงจิตของมู่เฉินสามารถเข้าถึงระดับตี้จื้อจุนได้เท่านั้น ดังนั้นฉากนี้จึงทำให้เขาตกใจมาก


ถ้าเขาต่อสู้ก็ต้องเผชิญหน้ากับสามจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน!


ไม่ต้องคิดให้เหนื่อย เขารู้ว่าตนเองจะแพ้การต่อสู้ครั้งนี้แน่นอน


ฟิ้ว!


ดังนั้นเขาจึงโบกมือ มหาสมุทรเลือดเชี่ยวกรากกวาดไปทางมู่เฉิน ก่อนที่เขาจะกลายเป็นริ้วแสงถอยกรูดกลับไป


ท่าทางตั้งใจจะหนีโดยไม่สู้เลย


มู่เฉินยิ้มมองไปที่จอมปีศาจโลหิตที่ถอยกลับโดยไม่ลังเลใดๆ จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกมาแล้วทำท่ากำมือไปทางมหาสมุทรเลือด รัศมีระเบิดออกมิติฉีกขาดจากกันกลืนกินมหาสมุทรเชี่ยวกรากเข้าไป


ในเวลาเดียวกันเขาก็ยื่นมืออีกข้างไปทางจอมปีศาจโลหิต


ปัง!


สวรรค์และโลกแตกสลาย ก่อตัวเป็นหลุมดำนับไม่ถ้วนพร้อมกับเศษมิติก่อร่างเป็นมือขนาดใหญ่คว้าร่างจอมปีศาจโลหิตไว้


ตู้ม!


แสงสีแดงเข้มที่ไม่มีที่สิ้นสุดพวยพุ่ง อึดใจถัดมาร่างปีศาจขนาดใหญ่ก็ปรากฏตัวขึ้นทำลายมือนั้นก่อนที่จะหนีไป


วาบ!


ทว่าจังหวะนั้นมู่เฉินชุดขาวก็ปรากฏอยู่ด้านบนและชี้กดนิ้วลงมา


ชี่!


พายุสร้างความหายนะระหว่างสวรรค์และโลก ก่อนจะก่อตัวเป็นเสายักษ์พุ่งเข้าหาร่างปีศาจ


เผชิญหน้าแบบนี้ ร่างปีศาจสีแดงเข้มก็เหวี่ยงหมัดออกปะทะกับเสา


ปัง!


แต่ทันทีที่สัมผัส เสาก็สลายไปกลายเป็นสายลมคมกริบนับไม่ถ้วนทิ้งบาดแผลไว้บนร่างปีศาจสีแดงเข้ม เสียงโหยหวนร้องด้วยความเจ็บปวดดังลั่นออกมา


ตอนนี้มู่เฉินบรรลุระดับเทียนจื้อจุนแล้ว การโจมตีของเขาน่ากลัวกว่าเมื่อก่อนที่ต้องทุ่มสุดกำลัง ดังนั้นจอมปีศาจโลหิตจึงไม่สามารถจัดการเขาได้อย่างง่ายดายแล้ว


วาบ!


เมื่อร่างปีศาจสีแดงเข้มถูกขัดขวางไว้โดยมู่เฉินชุดขาว มิติก็ผันผวน มู่เฉินชุดดำปรากฏตัวต่อหน้าร่างปีศาจ สาดสายตาไม่แยแส ทั่วร่างเปล่งรัศมีแสงออกมาราวกับผลึกแก้วใส ประหนึ่งว่าร่างกายของเขากลายเป็นหยกขาว


นี่คือพลังกายภาพระดับเทียนจื้อจุนที่แท้จริง ขณะที่เปิดใช้เขาก็สามารถควบคุมพลังงานที่ไร้ขอบเขตระหว่างสวรรค์และโลก ทำให้พื้นฟ้าแตกเป็นเสี่ยงๆ พื้นดินพังทลายลงด้วยการเคลื่อนไหวง่ายๆ


มู่เฉินชุดดำใช้พลังกายภาพระดับเทียนจื้อจุนฟาดฝ่ามือออกไป แม้ว่าจะดูเบาและไร้พลัง แต่เมื่อปรากฏก็เหมือนละออกจากมิติ กระแทกลงบนหน้าอกของร่างปีศาจสีแดงเข้มทันที


ตู้ม!


สวรรค์และโลกโยกคลอนจากกระบวนท่านี้ ก่อนที่ทุกคนจะได้เห็นร่างปีศาจสีแดงเข้มราวกับโดนผลกระทบครั้งใหญ่ ร่างกระเด็นออกไป ท่ามกลางเสียงโหยหวน ร่างก็แตกสลาย


อ็อก


เมื่อเกิดการแตก ร่างหนึ่งก็กระเด็นออกมาพร้อมกับกระอักเลือดเต็มปาก นี่ก็คือจอมปีศาจโลหิตนั่นเอง


จากการแลกกระบวนท่าสั้นๆ จอมปีศาจโลหิตตกอยู่ในตำแหน่งเสียเปรียบโดยไม่เหลือความสามารถในการต่อต้าน


ภาพเงาทั้งสามพลิ้วตัวมาจากท้องฟ้า ปิดล้อมสามทิศทางรอบตัวอีกฝ่าย พวกเขากวาดสายตาไม่แยแสออกไป ทำให้จอมปีศาจโลหิตรู้สึกถึงไปหนาวเยือกห่อหุ้มร่างกาย


เมื่อมองไปที่แววตาของมู่เฉินที่เต็มไปด้วยไอสังหาร จอมปีศาจโลหิตก็รู้ว่ามู่เฉินไม่มีทางปล่อยเขาไปในวันนี้แน่นอน ดังนั้นสายตาเขาจึงค่อยๆ เปลี่ยนไปอย่างดุร้าย


“แกคิดว่าตัวเองชนะแล้วหรือ?” เขาพูดด้วยน้ำเสียงดุร้ายขณะมองมู่เฉินอย่างเย็นชา


มู่เฉินหรี่ตาลง แสงหลิงรวมตัวกันที่ปลายนิ้ว ไม่คิดที่จะเสวนาอีก เตรียมปิดฉากการต่อสู้ให้เร็วที่สุด


ฟิ้ว!


แต่ทันใดนั้นจอมปีศาจโลหิตก็กัดลิ้นตัวเอง เลือดกลั่นทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้ากลายเป็นอักขระสีแดงเข้ม ก่อนที่จะระเบิดสร้างช่องมิติ…


“อักขระปีศาจ ปีศาจยาตรา!”


พร้อมกับน้ำเสียง ช่องมืดลงราวกับว่าเป็นเส้นทางที่ไม่รู้เชื่อมไปที่ใด มีรัศมีร้ายกาจแผ่ออกมาจากภายใน


เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ ดวงตาก็หดเกร็ง


ความรู้สึกนี้…ปลายทางของเส้นทางคือจักรวรรดิปีศาจ!

 

 

 


บทที่ 1396 จอมปีศาจเทียนเฮยซือ

 

ที่นี่คือโลกสีดำสนิท


ทั้งดวงอาทิตย์และดวงจันทร์มืดมน ราวกับว่ามีแสงสีดำเท่าปกคลุมลงบนผืนแผ่นดิน


ฮึ่ม!


ทันใดนั้นความผันผวนก็ปรากฏขึ้นก่อร่างเป็นช่องมิติ ซึ่งดึงดูดความสนใจจากสิ่งมีชีวิตทรงพลังมากมาย


ทุกสายตาพุ่งตรงไปที่อีกปลายด้านหนึ่งของช่องมิติ ดูเหมือนจะมาจากพิภพเขตล่าง…


“มีคนใช้อักขระปีศาจ…”


“ดูจากความผันผวนนั่น น่าจะเป็นเผ่าเสี่ยเสีย ไม่คิดว่าเผ่าเล็กๆ จะมีจอมปีศาจขึ้นได้ ซ่อนไว้ดีจริงๆ”


“แต่ก็เป็นเพียงเผ่าเล็กๆ ไม่ค่อยมีรากฐาน ไม่งั้นจะถูกบีบให้ต้องใช้อักขระปีศาจได้อย่างไร ทีนี้ก็หมายความว่าพวกเขาดึงดูดความสนใจของผู้อื่น พิภพเขตล่างนั้นจะไม่เป็นของพวกเขาอีกต่อไป”


“อักขระปีศาจนี้สามารถเรียกจอมปีศาจลงไปได้เพียงคนเดียว มาดูกันว่าใครจะสนใจ”


“…”


ขณะที่พวกเขาแลกเปลี่ยนความคิดกัน ก็ไม่มีใครคนไหนต้องการที่จะเคลื่อนไหว ท้ายที่สุดแล้วพิภพเขตล่างแห่งนั้นถูกกองทัพปีศาจโลหิตสูบจนแห้งขอด มูลค่าจึงเหลืออยู่ไม่มาก ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่แน่นอน ไม่มีคนฉลาดที่ไหนเข้าไปหรอก


ขณะที่เหล่านักรบราชันปีศาจพูดคุยกัน รัศมีศพก็แผ่ซ่านไปทั่วมิติ ภาพเงาสีดำบนบัลลังก์กระดูกสีขาวก็ลืมตาโพลง


สายตาของเขาทะลุผ่านช่องทาง มองไปที่พิภพเขตล่างก่อนจะเพ่งไปที่ภาพเงาอ่อนเยาว์พร้อมกับสายตาเย็นชา


“มีรัศมีความตายที่ลูกข้าหลงเหลือไว้บนร่างชายคนนั้น มันจะต้องเป็นคนฆ่าลูกชายของข้าแน่!” ภาพเงาขนาดใหญ่แค้นเสียงก่อนที่จะโบกมือ ฝ่ามือหลุดออกจากท่อนแขนก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นลำแสงยิงเข้าไปในช่องมิติ


เมื่อคนอื่นๆ สังเกตเห็นสิ่งนี้ หัวใจของพวกเขาก็สั่นสะท้านอย่างช่วยไม่ได้


“นั่นคือจอมปีศาจเทียนเฮยซือเผ่าซือหมัว!”


“ทำไมจอมยุทธ์ระดับนั้นถึงเคลื่อนไหว”


เผ่าซือหมัวเป็นหนึ่งในสามสิบสองเผ่าหลักของจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ ภาพเงาสีดำนั้นก็คือผู้นำของเผ่าซือหมัวตำแหน่งจอมปีศาจระดับเทียนและเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของจักรวรรดิปีศาจ


แต่โดยทั่วไปแล้วจอมยุทธ์ระดับนั้นจะไม่ออกตัวอย่างง่ายดาย ดังนั้นนี่ทำให้ทุกคนรู้สึกตกใจในขณะนี้


แม้ว่าจอมปีศาจระดับเทียนจะส่งมือไปยังพิภพเขตล่างเท่านั้น แต่มือของจอมปีศาจระดับเทียนก็ไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั่วไปจะเทียบได้


“ดูเหมือนว่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนในพิภพเขตล่างนั่นเคยสร้างความขุ่นเคืองให้ท่านผู้นั้น คิๆ ช่างน่าเวทนา…”


ความตั้งใจจางหายไป เมื่อมีการเคลื่อนไหวของจอมปีศาจระดับเทียน จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนแห่งมหาพันภพคนนั้นก็ไม่มีทางรอดชีวิตไปได้แล้ว


 


ในพิภพเขตล่าง


มู่เฉินมองไปที่ช่องมิติที่เชื่อมโยงกับโลกอื่นด้วยดวงตาหดแคบลง ด้วยความคิดสายหนึ่งคลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็ก่อตัวขึ้นเป็นมือขนาดใหญ่ทะยานเข้าไปในช่องทางตั้งใจที่จะทำลายให้สิ้นซาก


ตึง!


สวรรค์และโลกแปรปรวน แต่ช่องทางเพียงสั่นสะท้านไม่ได้แตกออก ทันใดนั้นมู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงรัศมีที่ไม่อาจพรรณนาได้ผ่านเข้ามา


รัศมีปกคลุมไปทั่วทั้งโลก ทุกคนตัวสั่นสะท้านภายใต้รัศมีนั่น แม้แต่ฟ้าดินก็ส่งเสียงครางจากแรงกดดัน


“รัศมีนี้…” มู่เฉินหดดวงตา เขาไม่ใช่ไม่คุ้นกับรัศมีประเภทนี้ นี่เป็นสิ่งที่เขาเคยรับรู้ได้จากองค์ชายเผ่าซือหมัว แต่เห็นได้ชัดว่าเจ้าของรัศมีนี้แข็งแกร่งกว่าไม่รู้กี่เท่า


จอมปีศาจโลหิตก็อึ้งไปเช่นกันก่อนที่จะมองไปที่ช่องทางพลางร้องอุทาน “จอมปีศาจเทียนเฮยซือ?!”


แม้ว่าอักขระปีศาจสามารถนำความช่วยเหลือจากเหล่านักรบราชันปีศาจมาให้เขาได้ แต่เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะเชิญจอมปีศาจระดับเทียนเข้ามา ต้องรู้ว่าแม้แต่ในจักรวรรดิปีศาจ จอมปีศาจระดับเทียนก็เป็นสุดยอดจอมยุทธ์ โดยทั่วไปบุคคลแบบนี้จะไม่สนการอัญเชิญของเขา


แต่ไม่ว่าเขาจะรู้สึกตกใจแค่ไหน นี่ก็คือความจริง


หลังจากตกตะลึงแล้ว จอมปีศาจโลหิตก็มองไปที่มู่เฉินด้วยความสงสารจากนั้นก็ส่ายหัวทำท่าเยาะเย้ย “แกนี่โชคร้ายจริงๆ…”


ถ้าอีกคนที่เรียกมาเป็นจอมปีศาจธรรมดา มู่เฉินอาจจะรักษาสถานการณ์ให้ไม่แพ้ได้ แต่ใครจะคิดว่าคนที่มาจะเป็นจอมปีศาจระดับเทียนของเผ่าซือหมัว?


มู่เฉินไม่ได้สนใจกับการเยาะเย้ยของอีกฝ่าย ใบหน้าเคร่งเครียดลงหลายส่วน รัศมีความตายพวยพุ่งออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เห็นได้ชัดว่าจอมปีศาจระดับเทียนเผ่าซือหมัวกำลังพยายามทำลายปราการของพิภพเขตล่างแห่งนี้เพื่อจะลงมา


เห็นได้ชัดว่าจอมปีศาจระดับเทียนมีพลังที่ไม่อาจจินตนาการได้ แม้ว่าปราการป้องกันของพิภพแห่งนี้จะแข็งแกร่ง แต่ก็แตกสลายลงด้วยความเร็วที่ไม่เคยมีมาก่อน ไม่กี่นาทีต่อมามู่เฉินก็เห็นแสงสีดำปรากฏขึ้นนอกโลก ซึ่งดูคล้ายกับมือ


มือนั้นฉายแสงสีดำก่อนจะค่อยๆ บิดเกลียวกลายเป็นภาพเงา ช่างคล้ายกับเทพปีศาจที่ยืนอยู่นอกโลกใบนี้ สายตาทะลุผ่านสิ่งกีดขวางจับจ้องไปที่มู่เฉินพร้อมกับเสียงดังก้องไปทั่วโลก


“แกคือคนที่ฆ่าลูกชายข้าใช่ไหม?”


มู่เฉินหดดวงตา เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงล่อจอมปีศาจระดับเทียนเผ่าซือหมัวลงมา เห็นได้ชัดว่าเพราะเขาฆ่าองค์ชายเผ่านี้ไปคนหนึ่งนั่นเอง!


ก่อนที่ซือเทียนโยวจะตายได้ทิ้งรัศมีไว้บนร่างกายเขา แต่จอมปีศาจระดับเทียนเผ่าซือหมัวไม่สามารถตรวจจับได้เมื่อเขาอยู่ในมหาพันภพ แต่กลับสัมผัสได้เมื่อจอมปีศาจโลหิตทำการเชื่อมโยงไปยังจักรวรรดิปีศาจ


ดวงตาของมู่เฉินหรี่ลงพลางพยักหน้าอย่างนิ่งสงบ


“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ข้าจะปรับแต่งแกให้เป็นหุ่นเชิดเพื่อเป็นเครื่องสังเวยให้กับลูกที่ตายไปของข้า” จอมปีศาจเทียนเฮยซือพูดด้วยน้ำเสียงอาฆาตแค้น


พอได้ยินคำพูดนั่น มู่เฉินก็ยิ้มอ่อน “ข้ากลัวว่าแกจะไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการหรอก”


“โอ้?” จอมปีศาจเทียนเฮยซือยิ้มอย่างเย็นชากวาดมองทั่วพิภพเขตล่างแห่งนี้ “แกคิดว่าการได้เป็นเจ้าพิภพเขตล่างแห่งนี้แล้ว จะสู้กับข้าได้เรอะ?”


“ข้าไม่ได้ผยองขนาดนั้น” มู่เฉินยิ้ม ไม่ว่าเขาจะมั่นใจแค่ไหน เขาก็ไม่คิดว่าตอนนี้จะเผชิญหน้ากับจอมปีศาจระดับเทียนได้ แม้ว่านี่จะเป็นเพียงร่างเสมือนที่สร้างขึ้นจากมือก็ตาม


“แล้วแกจะทำอะไร” จอมปีศาจโลหิตหัวเราะเยาะ


ทว่าจอมปีศาจเทียนเฮยซือกลับขมวดคิ้ว แสงสีดำวูบไหวในดวงตา เขารู้สึกสงสัยกับปฏิกิริยาของมู่เฉิน


“ไม่ว่ายังไง ฆ่ามันให้ได้ก่อน” แสงสีดำในดวงตาของจอมปีศาจเทียนเฮยซือเพิ่มมากขึ้น เขายื่นมือออกมา รัศมีศพที่ไม่มีที่สิ้นสุดกระแทกกับปราการพิภพ พลังที่น่ากลัวทำให้โลกทั้งใบสะท้านขณะที่ผืนฟ้าแตกเป็นเสี่ยงๆ ผืนดินถล่มทลาย…


เผชิญหน้ากับพลังทำลายล้างของจอมปีศาจเทียนเฮยซือ ก็ไม่มีระลอกคลื่นใดๆ บนใบหน้ามู่เฉิน มากจนเขาหลับตาลงปล่อยให้อีกฝ่ายโยกคลอนโลกทั้งใบ


“รอความตายเรอะ?” จอมปีศาจโลหิตเยาะเย้ยพยายามที่จะก่อกวนอารมณ์ของมู่เฉิน เพราะความสงบของอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ


ทว่ามู่เฉินไม่ได้ให้ความสนใจจอมปีศาจโลหิตสักนิด


ตู้ม ตู้ม!


โลกสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง ไป๋ซู่ซู่และจอมยุทธ์มังกรขาวมองไปนอกโลกด้วยความหวาดผวา พวกเขาสามารถมองเห็นรัศมีศพที่น่ากลัวที่พยายามเจาะเข้ามาในขอบเขตของโลก


ภายใต้การโจมตีของจอมปีศาจเทียนเฮยซือ โลกก็ดูเหมือนจะพังทลายในไม่ช้า


ทว่าทันใดนั้นมู่เฉินก็ลืมตาขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม ขณะที่จ้องมองไกลออกไป


จอมปีศาจเทียนเฮยซือขมวดคิ้วเมื่อเห็นรอยยิ้มของมู่เฉิน เขาชี้นิ้วออกไป รัศมีศพไม่มีที่สิ้นสุดรวมตัวกันก่อนที่จะก่อร่างเป็นกะโหลกขนาดหลายแสนจั้ง เปล่งเสียงกรีดร้องโหยหวนก่อนที่จะตกลงมาที่ระนาบมิติ


จากมุมมอง การบดขยี้นี้สามารถฉีกรอยแตกในระนาบมิติได้เลยทีเดียว


แต่เมื่อกะโหลกกำลังจะสัมผัสกับระนาบมิติ เสียงสายฟ้าก็คำรามลั่นฟาดทำลายหัวกะโหลกที่สร้างจากรัศมีศพ


“ใครกล้าท้าทายข้า?!” เมื่อจอมปีศาจเทียนเฮยซือเห็นสิ่งนี้ เขาก็หดดวงตาพลางตะโกนลั่น


มู่เฉินพรูลมหายใจออกมาพร้อมกับคลี่ยิ้ม “ในที่สุดก็มาแล้ว”


มู่เฉินคลายมือออก ผงหินก็ปลิวออกไปจากมือ


ยามนี้มิติฉีกขาดออกจากกัน ทะเลสายฟ้ากวนตัวพร้อมกับร่างเงาสง่าผ่าเผยถือคทาสายฟ้าปรากฏอยู่นอกโลก


จังหวะนั้นเสียงของเขาก็สะท้อนออกมา


“เป็นถึงจอมปีศาจระดับเทียน ถ้าอยากหาคู่ต่อสู้นักก็มาที่แคว้นหวูของข้าสิ ทำไมต้องรังแกพิภพเขตล่างเล็กๆ นี้ด้วย?


“คิดว่าในมหาพันภพไม่มีคนแล้วหรือไง?!”

 

 

 


บทที่ 1397 เทพจักรพรรดิสงครามปะทะจอมป...

 

เสียงสะท้อนไปมาราวกับพายุสายฟ้าไร้ขอบเขตปกคลุมไปทั่ว


ก่อนที่ร่างสง่างามจะปรากฏตัวที่ด้านนอกระนาบพิภพ


เขามาพร้อมกับคทาจักรพรรดิสายฟ้าที่มีประกายสายฟ้าแล่นแปลบปลาบ สายฟ้าทุกสายทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือน ชุดสีม่วงดำที่เขาสวมขับเน้นใบหน้าให้ดูภูมิฐานยิ่งนัก


เมื่อร่างนี้ปรากฏขึ้น ใบหน้าของจอมปีศาจเทียนเฮยซือก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนที่เสียงจะพร่าลง “ไม่คิดว่าจะได้พบกับเทพจักรพรรดิสงครามที่นี่…”


แคว้นหวูตั้งอยู่ที่ชายแดนของมหาพันภพและมักจะปะหน้ากับจักรวรรดิปีศาจเป็นประจำ ก็เป็นธรรมดาที่เทพจักรพรรดิสงครามจะออกมาต่อสู้กับจอมยุทธ์ชั้นยอดหลายคนของเผ่าปีศาจต่างๆ ดังนั้นชื่อของเขาจึงดังก้องแม้จะอยู่ในเผ่าปีศาจน้อยใหญ่ก็ตาม


“เทพจักรพรรดิสงคราม?!”


จอมยุทธ์มังกรขาวตกใจกับผู้มาใหม่ สำหรับคนอย่างเขาที่กำเนิดจากพิภพเขตล่าง เทพจักรพรรดิสงครามคือตำนานมีชีวิต เขาไม่คิดมาก่อนว่าจะได้พบกับตำนานด้วยตัวเอง


จอมยุทธ์มังกรขาวถอนหายใจมองไปที่มู่เฉินด้วยความชื่นชม “ไม่คิดว่าเจ้าจะมีสายสัมพันธ์ทรงพลังถึงขนาดสามารถเชิญจอมยุทธ์อย่างเทพจักรพรรดิสงครามมาได้”


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมมู่เฉินถึงไม่ตื่นตระหนกเมื่อจอมปีศาจระดับเทียนมาที่นี่ เนื่องจากเขามีบางอย่างที่เทียบเท่าในการประจันหน้า นี่ทำเอาจอมยุทธ์มังกรขาวต้องทอดถอนหายใจ ชายหนุ่มในอดีตคนนั้นดูเหมือนจะประสบความสำเร็จสูงในมหาพันภพ…


มู่เฉินยิ้มพลางมองไปที่ท้องฟ้า เมื่อมีจอมปีศาจระดับเทียนและจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งเผชิญหน้ากัน ดูเหมือนว่าจะมีการประลองที่น่าตื่นตาให้ชมในวันนี้


สายตาของหลินต้งมองไปที่พิภพเขตล่างก็รู้ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ ดังนั้นแววตาจึงวูบไหวอย่างเย็นชา


โลกที่เขาเติบโตก็เคยประสบสิ่งเดียวกันนี้ เขารู้ดีว่านี่คือฝันร้าย ในอดีตฮูหยินของเขาต้องสละชีวิตเพื่อที่พวกเขาจะกำจัดปีศาจให้สิ้นซาก


เพราะเหตุนี้เขาจึงเกลียดจักรวรรดิปีศาจยิ่งนัก ดังนั้นหลังจากเห็นเหตุการณ์ที่คล้ายกันเกิดขึ้นอีกครั้ง เขาก็เบนไปหาจอมปีศาจเทียนเฮยซือ ความผันผวนวูบไหวในดวงตาเขา


“พวกซากศพอย่างเจ้าไม่ได้มุดหัวอยู่ในจักรวรรดิเน่าๆ แต่กล้าเสนอหน้ามาที่พิภพเขตล่างของมหาพันภพของข้าเรอะ?!” เสียงเยือกเย็นของหลินต้งดังสะท้อน สายฟ้านับไม่ถ้วนก็สว่างวาบบนท้องฟ้า


แม้ว่าจอมปีศาจเทียนเฮยซือจะหวาดกลัวเทพจักรพรรดิสงคราม แต่เขาก็เป็นผู้นำเผ่า ดังนั้นเมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขุ่นเคือง


แม้ว่านี่จะเป็นเพียงร่างที่สร้างขึ้นด้วยมือ แต่เทพจักรพรรดิสงครามก็เป็นร่างดวงจิตเช่นกัน ดังนั้นเขาก็ไม่กลัว แม้อีกฝ่ายจะมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่เขาก็ไม่ใช่ไอ้ขี้แพ้


“เทพจักรพรรดิสงคราม ไอ้เด็กนั่นฆ่าลูกข้า ซ้ำยังเกือบจะลบเผ่าเสี่ยเสียทั้งหมด ถ้าแกส่งมันมาให้ ข้าก็จะกลับออกไปทันที” จอมปีศาจเทียนเฮยซือชี้ไปที่มู่เฉินซึ่งอยู่เบื้องล่างและกล่าวอย่างเย็นชา


เมื่อหลินต้งได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มให้มู่เฉินด้วยความชื่นชม “กรณีนี้เขาทำได้ดีมาก”


เมื่อจอมปีศาจเทียนเฮยซือได้ยิน ใบหน้าก็กระตุก เขาพูดเสียงน่ากลัวว่า “ดูเหมือนว่าเทพจักรพรรดิสงครามจะไม่ต้องการแก้ไขเรื่องในวันนี้อย่างสันติแล้วสินะ”


หลินต้งยิ้ม “ใครอยากแก้ปัญหาอย่างสันติกับแก? ข้าตั้งใจไว้แล้วว่าจะบดร่างของแกให้เละเลย”


“ฮึ่ม ข้าไม่เชื่อว่าแกจะทำอะไรได้ด้วยร่างดวงจิตสั่วๆ!” จอมปีศาจเทียนเฮยซือเยาะเย้ยโดยไม่ลังเล เขาสะบัดแขนเสื้อ รัศมีศพรุนแรงปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า


โฮก!


ทันใดนั้นเสียงคำรามดังก้องก็เปล่งออกมาจากรัศมีศพ สัตว์ประหลาดโครงกระดูกหลายร้อยตัวบินว่อนออกมา ทุกตัวเปล่งความผันผวนอันทรงพลัง


โครงกระดูกสัตว์เหล่านั้นถูกปรับแต่งจากจอมปีศาจเทียนเฮยซือ ทำให้พวกมันมีความทนทานอย่างไม่น่าเชื่อโดยเฉพาะที่นำอยู่ข้างหน้าหลายตัว แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงก็ยังอับจนปัญญา


หลินต้งยืนบนมหาสมุทรสายฟ้า มองดูสัตว์ประหลาดเหล่านั้นอย่างไม่แยแส คทาจักรพรรดิสายฟ้ากระแทกลงไปเบาๆ จากนั้นก็ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับสายฟ้าระเบิดออกมาอย่างไร้ขอบเขต


ขณะที่สายฟ้าคำราม คทาจักรพรรดิสายฟ้าก็กลายเป็นมังกรสายฟ้าขนาดมหึมาปกคลุมไปด้วยสายฟ้าหลายสีสัน สายฟ้าทุกสายเต็มไปด้วยพลังทำลายล้าง


เมื่อมู่เฉินมองไปที่มังกรสายฟ้าขนาดมหึมาก็หดดวงตาลงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขาสามารถบอกได้ว่ามังกรตัวนี้ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง นอกจากนี้มันยังไม่ใช่ของตาย แต่บรรจุด้วยจิตวิญญาณ ราวกับเป็นมังกรสายฟ้าแท้จริง


กระทั่งตัวเขาถ้าต้องปะทะมังกรตัวนี้ก็ไม่รู้สึกถึงความได้เปรียบใดๆ


โฮก!


ขณะที่มู่เฉินตกตะลึง มังกรสายฟ้าก็คำรามพร้อมกับปากเปิดกว้างขึ้น ราวกับหลุมดำที่มีสายฟ้านับไม่ถ้วนบินฉวัดเฉวียนออกมาประหนึ่งโซ่พันธนาการรอบสัตว์ประหลาดเหล่านั้น


ซ่า ซ่า


โซ่สายฟ้าสั่นสะท้านขณะที่บินออกไป รัดร่างซากศพสัตว์เหล่านั้น ก่อนที่จะดึงเข้าไปในปากมังกร…


หลังจากที่กลืนกินซากศพ มังกรสายฟ้าก็ส่งเสียงเรอตบหน้าท้องด้วยความพึงพอใจ ก่อนที่จะกลับเป็นคทาจักรพรรดิสายฟ้าดังเดิม


เมื่อจอมปีศาจเทียนเฮยซือเห็นฉากนี้ใบหน้าก็มืดครึ้ม ซากศพสัตว์ประหลาดบรรจุด้วยพิษที่น่าสะพรึง แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนหรือพวกราชันปีศาจก็ยังถูกกัดกร่อน แต่เมื่อมังกรสายฟ้ากลืนกินพวกมัน เขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานรุนแรงในการกลั่นพิษ


ทักษะของเขาได้รับการแก้ไขอย่างง่ายดายโดยเทพจักรพรรดิสงคราม


“ในเมื่อเจ้าออกมาท่าหนึ่งแล้ว งั้นก็ถึงตาข้าบ้าง ถ้าเจ้าสามารถรับกระบวนท่านี้ได้ข้าจะปล่อยเจ้าไปวันนี้” หลินต้งพูดขณะมองไปที่จอมปีศาจเทียนเฮยซือ


“สามหาว!”


จอมปีศาจเทียนเฮยซือคำรามออกมาด้วยความโกรธ เขามีตำแหน่งจอมปีศาจระดับเทียน แต่วันนี้ถูกเทพจักรพรรดิสงครามประเมินต่ำเตี้ยนัก ดังนั้นเขาจะไม่โกรธได้อย่างไร?


“ข้าขอดูสิว่าแกมีคุณสมบัติอะไรถึงกล้าพูดแบบนี้!”


เสียงหัวเราะของจอมปีศาจเทียนเฮยซือแฝงด้วยเสียงคำรามโกรธเกรี้ยว แต่หลินต้งก็ไม่ได้สนใจ รัศมีทรงกลดปรากฏขึ้นด้านหลังศีรษะเขา


รัศมีนี้บรรจุด้วยแสงแปดสีที่แตกต่างกันขณะที่หมุนคว้างช้าๆ


ฟิ้ว!


แสงแปดสีทะยานออกไปและขยายออกทันทีโดยมีจอมปีศาจเทียนเฮยซืออยู่ตรงกลาง


“หึ!”


จอมปีศาจเทียนเฮยซือส่งเสียงกร้าว รัศมีศพหนาแน่นวูบวาบบนร่างกาย ทันใดนั้นหยดของเหลวสีดำก็หยดลงมาจากร่างเขา


ของเหลวสีดำนี้ก็คือน้ำพิษศพ ซึ่งเหนียวมากเต็มไปด้วยกลิ่นคาวและกลิ่นอายความตายที่ไม่อาจอธิบายได้ เพียงแค่หยดเดียวก็สามารถล้างบางสิ่งมีชีวิตหลายล้านชีวิตบนพิภพนี้ให้กลายเป็นซากศพได้


“ไป!”


เขาสะบัดนิ้ว น้ำพิษศพก็พุ่งออกไปกลายเป็นสายน้ำเล็กๆ แม้ว่าสายธารดังกล่าวจะไม่ได้สร้างความปั่นป่วนใดๆ แต่ก็ทำให้อากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นอายความตาย


สายธารนี้ทำให้ฟ้าดินปนเปื้อน ก่อนที่จะปะทะกับรัศมีแปดสี


น้ำพิษศพมีความสามารถในการแปดเปื้อน คลื่นหลิงทุกชนิดที่สัมผัสจะถูกปนเปื้อน มิหนำซ้ำยังส่งผลต่อเจ้าตัวทำให้กลายเป็นซากศพ ภายใต้น้ำพิษศพไม่ว่าพลังชีวิตจะแข็งแกร่งแค่ไหน ก็ไม่สามารถมีชีวิตรอดได้


ดังนั้นเมื่อจอมปีศาจเทียนเฮยซือเห็นน้ำสีดำหยดลงไปบนรัศมีแปดสี เขาก็เผยท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่องด้วยรู้สึกว่าเทพจักรพรรดิสงครามหยิ่งผยองเกินไป ซึ่งความหยิ่งผยองจะกลายเป็นช่องโหว่!


ชี่!


เมื่อน้ำพิษศพสัมผัสกับรัศมีแปดสีก็ทำให้เกิดการแปดเปื้อนทันที มันพยายามปลดปล่อยความสามารถในการกัดกร่อนออกมา


ตู้ม!


ทว่าทันใดนั้นรัศมีแปดสีที่ไม่มีความผันผวนใดก็ระเบิดออกมาพร้อมกับรัศมีและแสงหลิงแปดชนิด มีทั้งสายฟ้า ความมืดและน้ำแข็ง…


ลำแสงทุกเส้นสายแสดงถึงคุณลักษณะที่แตกต่างกัน แต่ก็ไม่ได้ต่อต้านซึ่งกันและกัน แต่กลับรวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ จนสุดท้ายเปลวเพลิงพร่างพราวก็ลุกโชนขึ้นจากรัศมี


เปลวเพลิงช่างลึกลับ แม้จะดูเหมือนไฟ แต่ก็มีคุณลักษณะของน้ำแข็ง สายฟ้าและพลังอีกหกชนิดกะพริบอยู่ภายใน…


มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจกับฉากนี้ สำหรับตัวหลินต้งมีข่าวลือว่าเขามีคุณสมบัติมากมายในคลื่นหลิง เมื่อเห็นด้วยตาตนเองตอนนี้ข่าวลือที่ว่าไม่ใช่เรื่องโกหกเลย


ขณะที่เปลวเพลิงลึกลับพวยพุ่งขึ้นก็กลืนกินน้ำพิษศพจนระเหยกลายเป็นหมอก


ใบหน้าของจอมปีศาจเทียนเฮยซือเปลี่ยนไปรุนแรง รู้สึกถึงความผิดปกติ เพลิงนี้ดูเหมือนจะสามารถทำลายพลังปีศาจของเขาได้


แต่ก่อนที่จะคิดต่อได้ทัน รัศมีแปดสีที่ปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงก็หดตัวลงอย่างรวดเร็ว มัดเข้ากับร่างจอมปีศาจเทียนเฮยซืออย่างแน่นหนา


จอมปีศาจเทียนเฮยซือหดดวงตา ทันใดนั้นร่างกายเขาก็พองขึ้นพยายามทำลายมัน


ชี่!


แต่จังหวะนั้นรัศมีแปดสีก็ตกลงบนร่างเขา ร่างกายเขาแข็งทื่อ เพลิงจุดชนวนขึ้นทันที


อ๊าก!


เพลิงเหล่านั้นน่ากลัวมาก แม้แต่จอมปีศาจเทียนเฮยซือก็ไม่สามารถต้านทานได้ ดังนั้นเขาจึงได้แต่ปล่อยเสียงหอน หลังจากไม่กี่อึดใจร่างจอมปีศาจเทียนเฮยซือก็สลายไปกลายเป็นมือสีดำแห้งผาก


ปัง


รัศมีกระเพื่อมไหว มือก็กลายเป็นเถ้าถ่านปลิวไปในอากาศ…

 

 

 


บทที่ 1398 เจ้าพิภพ

 

รัศมีศพลอยอ้อยอิ่งในโลกมืดมิด


ทันใดนั้นร่างเงาปีศาจบนบัลลังก์ก็สั่นสะท้าน ดวงตาเบิกโพลงด้วยความโกรธ


“ไอ้เทพจักรพรรดิสงคราม!”


เขาร้องโหยหวนก่อนที่รัศมีศพไม่มีที่สิ้นสุดจะแผ่ปกคลุมไปทั่วพื้นที่ ทำให้สิ่งมีชีวิตสั่นสะท้านภายใต้ความกลัว


ความโกรธเกิดขึ้นยาวนาน ก่อนที่จอมปีศาจเทียนเฮยซือจะค่อยๆ สงบลง เขามองไปที่มือซ้ายซึ่งตอนนี้ไม่เหลือแม้แต่ตอ


รัศมีศพพรั่งพรูออกมา กลายเป็นมือใหม่สีดำ แต่ใบหน้าของจอมปีศาจเทียนเฮยซือกลับไม่น่าดู เขาปรับแต่งร่างกายมาทุกตารางนิ้วผ่านช่วงเวลานับไม่ถ้วน ดังนั้นแม้ว่าเขาจะสามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ แต่พลังก็ไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนเดิม


สิ่งนี้จะสร้างข้อบกพร่องให้กับเขาอย่างไม่ต้องสงสัย ในอนาคตเมื่อเขาต่อสู้มือซ้ายก็จะเป็นจุดอ่อน…


จอมปีศาจเทียนเฮยซือกำมือด้วยสีหน้าเย็นเยือก จากนั้นก็มองไปในมิติห่างไกล ราวกับว่าเห็นผ่านมิติ สายตาจับจ้องไปที่ทิศทางของเทพจักรพรรดิสงครามเป็นเวลานาน ก่อนที่เขาจะละสายตาออกมา


“เทพจักรพรรดิสงคราม…น่าเกรงขามแท้จริง”


หลังจากหายหัวร้อนแล้ว ความกลัวหนาแน่นก็ปรากฏขึ้นในดวงตาจอมปีศาจเทียนเฮยซือ แม้ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนกระบวนท่าสั้นๆ แต่เขาก็รู้สึกว่าถูกคุกคามโดยเทพจักรพรรดิสงคราม


“เทพจักรพรรดิสงครามประจำการที่ชายแดนระหว่างมหาพันภพและจักรวรรดิปีศาจ จอมปีศาจระดับเทียนมากมายต้องทนทุกข์ทรมานภายใต้เงื้อมมือของมัน ในอดีตข้ายังไม่ค่อยเชื่อ แต่ตอนนี้ข้ารู้ซึ้งแล้วว่ามันน่าเกรงขามขนาดไหน”


“เทพจักรพรรดิสงครามน่าจะเป็นชนชั้นนำของมหาพันภพ ซึ่งมีเพียงไม่กี่คน… แต่ตามข่าวลือเทพจักรพรรดิอัคคีแคว้นหวู่จิ้งฮั่วก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่ากัน จากข้อมูล…ศักยภาพของพวกเขาอาจเทียบได้กับเทพจักรพรรดินิรันดร์ในมหาพันภพยุคโบราณ”


จอมปีศาจเทียนเฮยซือหรี่ตา หากเป็นเช่นนั้นทั้งสองคนก็คือศัตรูตัวฉกาจของจักรวรรดิปีศาจอย่างไม่ต้องสงสัย ในอนาคตถ้าสงครามอุบัติขึ้น พวกเขาก็จะเป็นผู้ขัดขวางเส้นทางของเผ่าปีศาจต่างๆ แน่นอน


“แต่โชคดีที่พลังทั้งหมดของเผ่าปีศาจน้อยใหญ่แข็งแกร่งยิ่งกว่ามหาพันภพ ยิ่งกว่านั้น…” เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ แววเยาะเย้ยเยือกเย็นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าจอมปีศาจเทียนเฮยซือ


“จักรวรรดิปีศาจวางแผนมานานหลายหมื่นปี ช่วงเวลาที่เราประสบความสำเร็จ… แม้ว่าทั้งสองคนจะไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเทพจักรพรรดินิรันดร์ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถขัดขวางพวกข้าได้”


“หึ ตอนนี้ปล่อยให้พวกแกมีความสุขไปก่อน เมื่อแผนการของพวกข้าเสร็จสมบูรณ์ ข้าจะไปหาแกคิดทั้งต้นและดอกให้มือของข้าอย่างแน่นอน!”


จอมปีศาจเทียนเฮยซือตะเบ็งเสียงพลางโบกมือ รัศมีศพไม่มีที่สิ้นสุดแผ่กระจายไป ก่อนที่จะค่อยๆ ห่อหุ้มร่างเขาอันตรธานหายไป


 


ในพิภพเขตล่าง


มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเมื่อเห็นผลของการต่อสู้ ความเคารพนับถือวาบขึ้นในดวงตา แม้ว่าทั้งสองคนจะอยู่ในระดับเดียวกัน แต่ความแตกต่างในด้านพลังของพวกเขาก็เผยให้เห็นทันทีที่ต่อสู้ แม้ว่าจอมปีศาจเทียนเฮยซือจะเทียบได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง แต่ก็ยังอ่อนกว่ากับหลินต้ง


แม้ว่าตอนนี้เขาจะบรรลุขุมพลังเทียนจื้อจุนที่เขาโหยหา แต่เขาก็รู้ว่ายังมีหนทางข้างหน้าอีกยาวไกล…


“สมกับเป็นท่านเทพจักรพรรดิสงครามในตำนานจริงๆ”


จอมยุทธ์มังกรขาวฟื้นจากอาการตกตะลึง ร่างกายถึงกับสั่นสะท้าน


มู่เฉินยิ้มก่อนที่สายตาจะเปลี่ยนเป็นเย็นชา เขามองไปที่จอมปีศาจโลหิตอย่างไม่แยแส “มีไพ่ตายอะไรอีกไหม?”


จอมปีศาจโลหิตตัวสั่นสะท้าน ก่อนจะถอยหนีจ้าละหวั่น ร่างเขากลายเป็นลำแสงสีแดงเข้มพยายามที่จะหลบหนีไป เขาหมดกำลังใจที่จะต่อสู้แล้ว เขาไม่มีความหวังที่จะรักษาเผ่าพันธุ์ตนเองไว้ต่อไป ตอนนี้เขาหวังแค่ว่าจะพาชีวิตน้อยๆ ของตัวเองรอดไปได้


“ต้องการความช่วยเหลือไหม?”


เสียงสง่างามดังขึ้นก่อนที่แสงจะพลิ้วลงมาข้างมู่เฉิน นี่ก็คือหลินต้งนั่นเอง


“สำหรับไอ้ตัวนั้น ไม่ต้องรบกวนผู้อาวุโสหรอก ข้าจัดการมันเองได้ขอรับ”


ขณะที่พูดร่างรองของเขาก็ทะยานขึ้นไล่ล่าจอมปีศาจโลหิตไป


“วิชาสามพิสุทธิ์ สมกับเป็นหนึ่งในวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่า…ดูเหมือนว่าเจ้าจะฝึกฝนจนสำเร็จแล้ว” หลินต้งมองไปที่ร่างรองของมู่เฉินพลางพยักหน้าชื่นชม


“ข้าแค่สืบทอดวิชามาเท่านั้น เป็นเพียงโชคดี” มู่เฉินส่ายหัวไม่ได้อิ่มเอมใจอะไร


“ทำไมต้องถ่อมตัว… แม้แต่ในมหาพันภพนี่ก็น่าตกใจที่เจ้าบรรลุระดับเทียนจื้อจุนตั้งแต่อายุเท่านี้” หลินต้งยิ้มมองไปที่มู่เฉินด้วยความชื่นชม ครั้งก่อนที่เขาได้พบกับมู่เฉิน อีกฝ่ายยังไม่ได้ก้าวเข้าไปในระดับตี้จื้อจุนเลย แต่เวลาไม่ถึงสิบปีมู่เฉินกลับก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนแล้ว


ความเร็วและความสามารถในการฝึกฝนของเขาถือว่าไม่ธรรมดา


มู่เฉินเกาหัวแกรกกรากแก้เก้อจากคำชมของหลินต้ง เขาได้รับการฝึกฝนในมิติพิเศษซึ่งทำให้เวลาช้าลง ดังนั้นแม้ว่าเขาจะบรรลุเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนก็เหมือนใช้เวลาเพียงครึ่งวัน แต่เขากลับมีประสบการณ์หลายร้อยปีในมิตินั้น …


“นี่ถ้ายัยหนูน้อยของข้าสามารถทำงานหนักได้สักครึ่งหนึ่งของเจ้าในการเพาะบ่มขุมพลังของนาง ข้าคงต้องตั้งโต๊ะกราบไหว้เพื่อขอบคุณสวรรค์” เมื่อคิดถึงลูกสาวแม้แต่ตำนานวีรบุรุษอย่างหลินต้งก็ยังรู้สึกปวดหัว


เมื่อนึกถึงนิสัยของหลินจิ้ง ซึ่งมักจะหนีออกจากบ้านตามที่ใจต้องการ แม้แต่มู่เฉินก็อดยิ้มไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร ถ้าหลินจิ้งรู้ว่าเขานินทานางต่อหน้าบิดาของนางละก็ งานนี้นางบุกมาจัดการเขาแน่นอน


แต่โชคดีที่หลินต้งไม่ได้พูดเรื่องนี้ต่อ เขากวาดมองพิภพเขตล่างจากนั้นก็ยิ้ม “ไม่คิดว่าที่นี่จะมีดวงจิตแห่งพิภพ เจ้าโชคดีจริงๆ”


เขาบอกได้ว่ามู่เฉินคือเจ้าพิภพนี้และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงสามารถก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนได้ เขายืมพลังงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย


ดวงจิตแห่งพิภพในพิภพเขตล่างหายากมาก แม้แต่ในมหาพันภพกระทั่งเผ่าโบราณยังถูกล่อลวง หากพวกเขาสามารถยืมพลังของดวงจิตแห่งพิภพได้ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะสามารถสร้างจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนได้อีกคน


“ผู้อาวุโสก็เป็นเจ้าพิภพด้วยใช่ไหมขอรับ? ข้าสงสัยประโยชน์ของมันคืออะไร…และข้าต้องทำยังไง?” มู่เฉินตกอยู่ในความลังเลและแสวงหาคำแนะนำ แม้ว่าเขาจะเป็นเจ้าพิภพ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร แต่โชคดีที่หลินต้งอยู่ที่นี่ ซึ่งคล้ายกับเจ้าพิภพรุ่นพี่


หลินต้งยิ้ม “มีประโยชน์มากมายในฐานะเจ้าพิภพ ในอนาคตเมื่อเจ้าต่อสู้กับคนอื่น แค่คิดในการเชื่อมต่อกับโลกที่นี่ ก็จะสามารถดึงพลังงานออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้นเจ้าจะมีความได้เปรียบโดยธรรมชาติเมื่อต่อสู้กับผู้อื่น”


เมื่อมู่เฉินได้ยินหัวใจก็สั่นสะท้าน หากเป็นเช่นนั้นเขาก็สามารถใช้พิภพนี้เพื่อเติมเต็มคลื่นหลิงทุกครั้งที่ต้องการเมื่อใช้วิชาเจดีย์แปดองค์และกองทัพมังกรดำ ซึ่งช่วยประหยัดปัญหาได้ไม่น้อย


“แต่เจ้าต้องควบคุมให้ดี ที่นี่เป็นเพียงพิภพเขตล่าง ถ้าเจ้าสกัดพลังออกมามากเกินไป โลกใบนี้ก็จะพังทลายลง สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนก็จะพินาศไปด้วย” หลินต้งเตือน


มู่เฉินพยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ตอนนี้เขากลายเป็นเจ้าพิภพนี้แล้ว เขาสามารถชี้เป็นชี้ตายสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่นี่ได้อย่างง่ายดาย หากเขาไม่สามารถควบคุมตนเองได้ เขาอาจนำความพินาศมาสู่ที่นี่เอง


“ข้าสัญญากับดวงจิตแห่งพิภพว่าจะปกป้องโลกใบนี้ ไม่ยอมให้ถูกรุกรานจากเผ่าปีศาจ แต่ในเมื่อเผ่าเสี่ยเสียสามารถเข้ามาได้ หมายความว่าจักรวรรดิปีศาจมีพิกัดพื้นที่พิเศษ หากไม่จัดการให้ดีก็อาจมีเผ่าอื่นบุกเข้ามาในระนาบนี้อีก” มู่เฉินกล่าว


เมื่อหลินต้งได้ยินคำพูดนั่นก็ตอบว่า “นั่นง่ายมาก ในเมื่อเจ้าเป็นเจ้าพิภพของพิภพเขตล่างแห่งนี้ เจ้าก็จะมีความสามารถในการเคลื่อนย้ายมิตินี้ได้โดยธรรมชาติ เพียงแค่ย้ายไปไว้ในที่ปลอดภัย พิกัดพื้นที่ก็จะเปลี่ยนไปเอง”


ดวงตาของมู่เฉินเป็นประกาย หากเป็นเช่นนั้นเขาก็สามารถย้ายพิภพนี้ไปไว้ที่ทวีปเทียนหลัวและคิดวิธีเชื่อมโยงกับมหาพันภพ ในอนาคตจอมยุทธ์ที่สามารถผ่านระนาบมิตินี้ไปได้ก็สามารถเข้าร่วมกับตำหนักมู่ของเขาได้


ผู้ที่สามารถบรรลุสิ่งนี้ได้นั้นเป็นอัจฉริยะโดยธรรมชาติ พวกเขาอาจเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนในอนาคตซึ่งขั้วอำนาจน้อยใหญ่ในมหาพันภพโหยหานัก ก็เป็นธรรมดาที่ตำหนักมู่จะไม่ปล่อยโอกาสนี้ไปง่ายๆ


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้มู่เฉินก็หันไปมองไปที่ไป๋ซู่ซู่และคนอื่นๆ ด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าจะเชื่อมต่อที่นี่กับมหาพันภพในอนาคตเพื่อเพิ่มคุณภาพพลังงานของพิภพนี้ ตราบใดที่พวกเจ้าสามารถข้ามระนาบมิติของพิภพนี้ไปได้ ตำหนักมู่ของข้ารอต้อนรับพวกเจ้าทุกคนเสมอ”


เมื่อไป๋ซู่ซู่และเหล่าชาวโลกได้ยินเช่นนั้นก็พากันดีใจ พวกเขารู้ชัดเจนว่านี่เป็นโอกาสสำหรับพิภพของพวกเขา ด้วยเจ้าพิภพมู่เฉินพวกเขาก็ไม่ต้องกลัวเผ่าปีศาจน้อยใหญ่ในอนาคต มิหนำซ้ำยังสามารถแสวงหาระดับที่สูงขึ้นในการฝึกฝน


มู่เฉินยิ้มจากนั้นก็เห็นร่างแสงสองร่างพาดผ่านขอบฟ้า พวกเขาก็คือร่างรองของเขานั่นเอง


ไข่มุกสีแดงเข้มลอยอยู่ตรงหน้าพวกเขา สามารถมองเห็นใบหน้าน่ากลัวของจอมปีศาจโลหิต


เห็นได้ชัดว่าจอมปีศาจโลหิตไม่สามารถหลบหนีร่างรองของเขาได้ ในที่สุดก็ถูกผนึกไว้


มู่เฉินโบกมือ มุกสีแดงถูกเก็บไว้ในเจดีย์เพื่อปราบปราม ก่อนที่เขาจะประสานมือคารวะหลินต้ง “ข้าขอขอบคุณท่านหลินต้งสำหรับความช่วยเหลือในวันนี้”


หลินต้งโบกมือตอบ “การลบล้างปีศาจเป็นหน้าที่ของเราในมหาพันภพ แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถสังหารจอมปีศาจเทียนเฮยซือได้ที่นี่”


เหงื่อผุดบนหัวของมู่เฉิน หลินต้งช่างเหี้ยมหาญแท้จริง จอมปีศาจเทียนเฮยซือเป็นนักรบราชันปีศาจชั้นสูง ถ้าเขาถูกฆ่าที่นี่ก็จะเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของจักรวรรดิปีศาจ


แต่เขารู้ว่าหลินต้งสามารถบรรลุสิ่งนั้นได้ด้วยความสามารถที่มี


“ผู้อาวุโสหากมีสิ่งใดที่ต้องการจากข้าในอนาคตบอกมาได้เลยนะขอรับ” มู่เฉินกล่าวอย่างจริงใจเนื่องจากหลินต้งและเซียวเหยียนมอบของให้กับเขาไว้เพื่อคุ้มครอง พูดแล้วพวกเขาก็ถือได้ว่าเป็นผู้ปกครองในเส้นทางยุทธ์ของเขา หากไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือจากพวกเขา เขาก็ต้องมีความรอบคอบมากขึ้นเมื่อเผชิญกับอันตรายและไม่กล้าห้าวมากเกินไป


ดังนั้นทั้งสองคนนับได้ว่าให้ความช่วยเหลือแก่เขาเป็นอย่างมาก


หลินต้งหัวเราะร่วน เสื้อผ้าโผขึ้นพร้อมกับเสน่ห์ฉายบนใบหน้าสง่างาม “เหตุผลที่เซียวเหยียนและข้าเต็มใจที่จะช่วยเจ้า เป็นเพราะศักยภาพของเจ้า พวกเราหวังว่าจะมีจอมยุทธ์มายึนเคียงข้างเพิ่มขึ้นเมื่อจักรวรรดิปีศาจบุกมหาพันภพอีกครั้ง”


หลินต้งไม่ได้พูดมากความ เขาสะบัดมือก่อนที่ภาพเงาจะค่อยๆ สลายไป


“มู่เฉินแม้ว่าเจ้าจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุน แต่ก็ยังไปไม่ถึงจุดสิ้นสุดของเส้นทาง ดังนั้นจะประมาทไม่ได้ มิฉะนั้นเมื่อภัยพิบัติเกิดขึ้น เจ้าจะไม่สามารถรักษาสถานะไว้ได้…” เมื่อภาพเงาของหลินต้งสลายหายไป ก็ทิ้งเสียงดังก้องอยู่ในโสตประสาทของมู่เฉิน


ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งขรึมลง เขาได้ยินความเคร่งเครียดในคำพูดของหลินต้ง เผชิญหน้ากับจักรวรรดิปีศาจต่างมิติแม้แต่จอมยุทธ์ที่มีอำนาจพอๆ กับเทพจักรพรรดิสงครามก็ยังรู้สึกว่าถูกคุกคาม ดังนั้นสามารถเห็นได้ว่าพวกมันเป็นภัยคุกคามต่อมหาพันภพของพวกเขามากเพียงใด


“ข้าจะจำสิ่งนี้ไว้ในใจ”


มู่เฉินเงยหน้าขึ้น จักรวรรดิปีศาจคือวิกฤตสงครามแห่งอนาคต แต่ตอนนี้เขาควรจะทำสิ่งที่กดดันหัวใจมาตลอดหลายปีนี้ให้เสร็จแล้ว


ฮา


มู่เฉินหายใจเข้าลึก สายตาค่อยๆ คมชัดขึ้นขณะพึมพำกับตัวเอง


“เผ่าฝูถู…หลายปีแล้ว…ในที่สุดข้าก็รอคอยวันนี้มาถึง…”

 

 

 


บทที่ 1399 ผู้เฒ่าเฉวียนเทียน

 

ทวีปเทียนหลัว ภูมิภาคทางเหนือ


ในปีที่ผ่านมา ตำหนักมู่เข้ามายืนหนึ่งแทนที่สามขั้วอำนาจใหญ่ของจักรวรรดิเหนือ หลังจากที่มู่เฉินแสดงฝีมืออย่างเหนือชั้น


ด้วยเหตุนี้ตำหนักมู่จึงเฟื่องฟูมากในช่วงปีที่ผ่านมา ครอบครองทรัพยากรครึ่งหนึ่งของจักรวรรดิเหนือเลยทีเดียว รวมทั้งพลังก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ไม่เพียงเท่านั้นชื่อเสียงของพวกเขายังเลื่องลือไปทั่วทวีปอีกด้วย ซึ่งตรงกันข้ามประมุขสามขั้วอำนาจใหญ่ที่เก็บเนื้อเก็บตัว ทำให้มีเหล่าจอมยุทธ์น้อยใหญ่หันมาเข้าร่วมกับตำหนักมู่มากขึ้น


ทว่าประมุขทั้งสามก็ยังคงเงียบกริบเมื่อเผชิญกับตำหนักมู่ แต่ทุกคนรู้ดีว่าความเงียบคงอยู่อีกไม่นาน เนื่องจากประมุขทั้งสามมีขั้วอำนาจสูงสุดคอยหนุนหลัง คนเหล่านั้นไม่มีทางเฝ้าดูผู้ใต้บังคับบัญชาที่พวกเขาสนับสนุนมานานหลายปีถูกเตะโด่งออกมาจากจักรวรรดิเหนือแน่


ดังนั้นนี่จึงเป็นความเงียบก่อนพายุจะมาเท่านั้น


มั่นถัวหลัวในฐานะผู้ดูแลสูงสุดของตำหนักมู่ก็รู้เรื่องนี้โดยธรรมชาติ ดังนั้นนางจึงไม่ผ่อนคลายและให้ความสนใจกับประมุขทั้งสามตลอดเวลา


นางรู้ว่าประมุขทั้งสามจะมีการตอบโต้แน่นอน


และก็ไม่ผิดจากความคิดของนาง ครึ่งปีหลังจากที่มู่เฉินไปก็มีตำหนักแห่งหนึ่งลอยลงมาจากท้องฟ้า บินคว้างอยู่เหนือตำหนักมู่


เมื่อตำหนักนั่นลงมาก็สร้างความตื่นตระหนกให้ผู้คนในตำหนักมู่ เนื่องจากแรงกดดันมหาศาลแผ่ออกมาจากมัน ครอบคลุมรัศมีหลายล้านลี้เลยทีเดียว ทำให้ทุกคนที่อยู่ภายใต้แรงกดดันสั่นสะท้านด้วยความกลัว


แรงกดดันนี้เป็นสิ่งที่มาจากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนตัวจริง!


ทว่าตำหนักนั้นก็เพียงลอยอยู่เหนือตำหนักมู่ แต่ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวอื่น เพียงแค่มีจดหมายหยกส่งลงมา


จดหมายหยกพุ่งลงมาตามด้วยเสียงหนักแน่นดังก้องไปทั่วภูมิภาคทางเหนือ


“ข้าชื่อผู้เฒ่าเฉวียนเทียน มาเพราะการขอร้องจากผู้อื่น ประมุขตำหนักมู่ ยังไม่ออกมาพบอีกเรอะ?!”


เสียงดังก้องด้วยความไม่แยแส ชัดว่าไม่ได้เห็นมู่เฉินอยู่ในสายตา ฟังดูเข้มงวดราวกับผู้ใหญ่กำลังสั่งสอนผู้น้อย


น้ำเสียงนั้นทำให้เกิดความโกรธเกรี้ยวกับจอมยุทธ์ชั้นสูงของตำหนักมู่อย่างไม่ต้องสงสัย แต่พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้ แม้ว่าตำหนักมู่จะแข็งแกร่งขึ้น ทว่าก็ยังอ่อนแอเมื่อเทียบกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ถ้าชายคนนั้นเคลื่อนไหวคงไม่มีใครในตำหนักมู่รับมือได้


เผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่ปลดปล่อยความกดดันเบื้องบน มั่นถัวหลัวก็โกรธเคือง ในตอนแรกนางรับจดหมายไว้ คิดจะเจรจากับเจ้าตำหนักคนนั้น แต่นางถูกกันออกไปหลังจากมาถึงด้านหน้าตำหนัก


“ให้ประมุขเจ้ามาเอง ตัวเจ้ายังไม่มีคุณสมบัติที่จะพบกับตาเฒ่าคนนี้” เมื่อมั่นถัวหลัวถูกปฏิเสธ เสียงเรียบนิ่งก็ดังขึ้นจากขอบฟ้า


ใบหน้าของมั่นถัวหลัวเขียวคล้ำจากการถูกลดเกียรติ จากนั้นนางก็สูดหายใจระงับความโกรธในใจ ดึงป้ายราชันสังหารปีศาจที่มู่เฉินให้ไว้ เขวี้ยงเข้าไปในตำหนักนั่น


ป้ายราชันสังหารปีศาจเป็นวัตถุของวังมหาพันภพและเป็นตัวแทนสถานะอีกด้วย ไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนธรรมดาจะกล้าท้าทาย


แต่คราวนี้เสียงหัวเราะดังขึ้น ป้ายราชันสังหารปีศาจถูกโยนกลับออกไป


“ราชันสังหารปีศาจที่ไร้อำนาจต้องการจะลองดีกับข้าเหรอ?”


“กลับไปซะ ให้ประมุขของเจ้ามาพบกับข้า ไม่งั้นข้าก็จะอยู่ที่นี่สักหลายปี มาดูว่าตำหนักมู่ของเจ้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”


เมื่อมั่นถัวหลัวรับป้ายกลับมา ใบหน้าของนางมืดครึ้ม แต่หัวใจดิ่งลง จากคำพูดดังกล่าว ชัดว่าคนผู้นี้จะต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับมู่เฉินและเตรียมตัวมาอย่างดี ดังนั้นคนผู้นี้จึงไม่มีความเกรงกลัวต่อวังมหาพันภพ


เผชิญกับสถานการณ์แบบนี้ มั่วถัวหลัวก็ไม่สามารถทำอะไรได้ นางทำได้เพียงมองไปอย่างเย็นชาก่อนที่จะสะบัดหน้าจากมา


ในครึ่งปีต่อมาตำหนักนั่นก็ยังลอยอยู่เหนือตำหนักมู่ตามที่ประกาศไว้ จอมยุทธ์เทียนจื้อจุนก็ปลดปล่อยแรงกดดันออกมาตลอดเวลา ทำให้จอมยุทธ์ตำหนักมู่รู้สึกขมขื่นนัก


นี่เหมือนกับการสร้างความอัปยศอดสูให้ตำหนักมู่ จอมยุทธ์เทียนจื้อจุนคนนั้นจงใจจะอยู่นอกประตูบ้านพวกเขา ซึ่งเป็นการทำลายชื่อเสียงกันทางอ้อม


เมื่อตำหนักมู่ประสบปัญหานี้ สำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทองก็มา ทั้งหมดสามารถเข้าสู่ตำหนนักแห่งนั้นได้ พวกเขาเข้าคารวะผู้เฒ่าเฉวียนเทียน


สมาชิกตำหนักมู่เฝ้ามองฉากนี้อย่างชัดเจน พวกเขารู้สึกไม่สบายใจ


ตอนนั้นเองที่สามขั้วอำนาจก็เริ่มผนึกกำลัง ค่อยๆ กลืนกินดินแดนของตำหนักมู่…


สิ่งนี้ทำให้ตำหนักมู่ถูกโยนเข้าสู่วิกฤตที่ไม่เคยมีมาก่อนและใกล้จะล่มสลาย


 


เมื่อเวลาผ่านไป


ข่าวคราวของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่ข่มเหนือตำหนักมู่ไม่เพียงแต่กระจายไปทั่วภูมิภาคทางเหนือเท่านั้น แต่ยังลามไปทั่วทั้งทวีปเทียนหลัวเลยทีเดียว ดังนั้นหูตาทั้งหมดจึงมุ่งตรงมาที่ภูมิภาคทางเหนือทันที


การปรากฏตัวของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนดึงดูดความสนใจโดยธรรมชาติอยู่แล้ว


แม้จะมีกฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรกล่าวว่าไม่อนุญาตให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเข้ามายุ่งในการต่อสู้ แต่ผู้เฒ่าเฉวียนเทียนก็ไม่ได้มาที่นี่เพื่อต่อสู้ชิงอำนาจกับตำหนักมู่ มันเป็นเพียงความบาดหมางส่วนตัวกับมู่เฉิน ดังนั้นจึงไม่ผิดกฎใดๆ


เพราะถึงยังไงก็ไม่มีใครกล้าท้าทายจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเพื่อตำหนักมู่ที่ไม่มีแม้แต่จอมยุทธ์ในระดับนี้


ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับเรื่องกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของตำหนักมู่ ทุกคนก็เฝ้าสังเกตการณ์จากข้างสนาม มิหนำซ้ำยังหวังว่าตำหนักมู่จะแตกฉานซ่านเซ็น เพราะถึงยังไงพลังต่อสู้ที่มู่เฉินแสดงออกมาก็ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัว


โชคดีที่ตำหนักมู่ยังไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ถ้าพวกเขาสามารถหาขั้วอำนาจสนับสนุนได้ในอนาคต ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหยุดการพุ่งทะยานของตำหนักมู่


ดังนั้นตำหนักมู่จึงกลายเป็นจุดสนใจของทุกคนโดยไม่รู้ตัว…


 


ครึ่งปีผ่านไปในพริบตา


สำหรับตำหนักมู่ครึ่งปีนั้นเป็นความทรมานอย่างไม่ต้องสงสัย ตอนแรกพวกเขาเฟื่องฟู แต่ทุกอย่างกลับตาลปัตรเพราะตาเฒ่าเฉวียนเทียน


ทว่าผู้เฒ่าเฉวียนเทียนก็ไม่ได้ทำการโจมตีใดๆ แม้ว่าเขาจะสามารถพลิกคว่ำพลิกหงายตำหนักมู่ได้อย่างง่ายดาย ในทางกลับกันเขาเลือกวิธีที่เลวร้ายนี้เพื่อขยี้ขวัญกำลังใจของจอมยุทธ์ตำหนักมู่


เขาจะส่งจดหมายหยกลงมาทุกวันเพื่อบังคับให้มู่เฉินปรากฏตัว แต่ในตอนนี้ชายหนุ่มไม่ได้อยู่ในภูมิภาคทางเหนือ ดังนั้นเป็นธรรมดาที่มู่เฉินจะไม่มาปรากฏตัว เมื่อเวลาผ่านไปก็มีข่าวลือหนาหูว่าประมุขตำหนักมู่กลัวจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจนหนีหางจุกตูดไปแล้ว…


ซึ่งเป็นประมุขทั้งสามที่ปล่อยข่าวลือนี้ และก็สร้างผลกระทบยอดเยี่ยม ขั้วอำนาจน้อยใหญ่ที่เข้าสวามิภักดิ์ตำหนักมู่ในตอนแรกก็กำลังสั่นคลอนและแสดงสัญญาณตีจาก


เพราะมองจากภาพที่ปรากฏในปัจจุบัน ตำหนักมู่แสดงสัญญาณการล่มสลาย ไม่ว่าใครจะมองอย่างไร มนุษย์ก็ยังมองเพียงแต่ตัวเอง พวกเขาไม่มีความตั้งใจที่จะอยู่ร่วมเป็นร่วมตายกับตำหนักมู่


ดังนั้นตำหนักมู่จึงล้มลุกคลุกคลานและในเวลาเพียงครึ่งปี ความเจริญรุ่งเรืองไม่เหลืออยู่อีกต่อไป ดูเหมือนล่มสลายลงทุกเมื่อ…


 


อีกวันผ่านไป


จอมยุทธ์ชั้นสูงของตำหนักมู่ก็มารวมตัวกันพร้อมกับบรรยากาศหดหู่ พวกเขามองขึ้นไปที่ตำหนักบนท้องฟ้าซึ่งมีความกดดันเล็ดลอดออกมา บีบทุกคนเอาไว้


“ท่านมั่นถัวหลัว สำนักภูเขาเหล็กและสำนักเสียงสวรรค์ประกาศแยกตัวจากตำหนักมู่ในวันนี้แล้ว” หลิ่วเทียนเต้าถอนหายใจและกล่าวอย่างเคร่งขรึม


มั่นถัวหลัวและหลิงซีแลกเปลี่ยนสายตากันต่อหน้าทุกคน ใบหน้าของพวกนางไม่น่าดูเลยทีเดียว แม้ว่าจะพยายามอดทนมาตลอดครึ่งปี แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหนื่อยล้า


ผู้เฒ่าเฉวียนเทียนคล้ายกับภูเขาที่ทำให้ทุกคนในตำหนักมู่รู้สึกหายใจไม่ออก ทุกคนตื่นตระหนกนัก หากไม่ใช่เพราะความสำเร็จที่รุ่งโรจน์ของมู่เฉินในอดีต ตำหนักมู่คงพังทลายไปนานแล้ว


ขณะนี้พวกเขาเข้าใจถึงความสำคัญของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนต่อขั้วอำนาจ


มั่นถัวหลัวเงยหน้าขึ้นมองไปที่ตำหนักสูงตระหง่านพร้อมกับกำหมัดขึ้นก่อนที่จะพูดอย่างเย็นชา “ไอ้เฒ่าเฉวียนเทียนชั่วร้ายจริงๆ เขาต้องการใช้วิธีนี้เพื่อทำให้ตำหนักมู่ล่มสลาย”


หลิ่วเทียนเต้าและคนอื่นๆ เงียบลงก่อนที่จะถามพูดว่า “มีข่าวท่านประมุขหรือยัง?”


มั่นถัวหลัวส่ายหัว “เขากำลังมองหาวิถีเทียนจื้อจุน แม้แต่พวกข้าก็ไม่สามารถติดต่อเขาได้”


หลิ่วเทียนเต้ายิ้มอย่างขมขื่น “ถ้าเป็นเช่นนั้นข้ากลัวว่าเราคงจะต้านไว้ได้อีกไม่นาน”


มั่นถัวหลัวกัดฟันตอบ “ตราบใดที่มู่เฉินยังอยู่ตำหนักมู่ก็จะคงอยู่ เมื่อเขาก้าวเข้าระดับเทียนจื้อจุน ตำหนักมู่ก็จะฟื้นขึ้นได้ แม้ว่าจะพ่ายแพ้ครั้งนี้ก็ตาม!”


พวกหลิ่วเทียนเต้าถอนหายใจเฮือกในใจ ระดับเทียนจื้อจุนบรรลุง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ? แม้ว่ามู่เฉินจะประสบความสำเร็จมากมายและเต็มไปด้วยพรสวรรค์ แต่ถ้าไม่มีโอกาส จะง่ายสำหรับเขาที่จะก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนได้อย่างไร?


ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่ามู่เฉินจะก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน แต่สถานการณ์นี้ก็ยังยากที่จะแก้ไข เพราะแม้ว่าในตำหนักนั้นจะมีผู้เฒ่าเฉวียนเทียนคนเดียว แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าขั้วอำนาจสูงสุดที่อยู่เบื้องหลังสามประมุขเคลื่อนไหวแล้ว ซึ่งต่างมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนอยู่อีกด้วย…


สถานการณ์ปัจจุบันของพวกเขาอันตรายมาก!


ฮึ่ม


ขณะที่พวกเขาถอนหายใจ ริ้วแสงก็ร่อนลงมาอีกครั้ง


ริ้วแสงกลายเป็นจดหมายหยกพร้อมกับเสียงหนักแน่นดังก้องภูมิภาคทางเหนือ


“ไอ้หนูมู่เฉิน ถ้าแกยังไม่แสดงตัว กลัวว่าจะไม่มีใครเหลืออยู่ในตำหนักมู่ของแกแล้ว…”


เมื่อมั่นถัวหลัวได้ยินคำเยาะเย้ยนั่น เสียงแตกลั่นก็ดังขึ้นในมือของนาง ขณะที่หลิงซีและหลงเซี่ยงก็โกรธเกรี้ยวตามกัน หากไม่ใช่เพราะช่องว่างพลังขนาดใหญ่ระหว่างพวกเขาละก็ ตอนนี้พวกเขาคงทะยานออกไปแล้ว


ใบหน้าของทุกคนในตำหนักมู่ก็มืดมนลงเช่นกัน


“หืม?”


แต่ขณะที่ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ ท่าทางของพวกเขาก็เปลี่ยนไปกะทันหัน พวกเขารีบเงยหน้าขึ้น ทันใดนั้นมิติก็บิดเบี้ยวในระยะไกล แสงหลิงระเบิดออกก่อนที่ร่างเงาสูงโปร่งจะย่างกรายออกมา อึดใจเดียวเขาก็มาปรากฏตัวขึ้นเหนือตำหนักมู่แล้ว


มั่นถัวหลัวและคนอื่นๆ อึ้งไปเมื่อมองไปที่ร่างเงานั้น อึดใจดวงตาของพวกเขาก็เบิกกว้าง


“นั่นคือ?”


“ดูเหมือนว่าจะเป็นท่านประมุข?” หลิ่วเทียนเต้าขยี้ตา จากนั้นก็อุทานออกมาด้วยความไม่เชื่อ


ร่างอ่อนเยาว์พุ่งเข้ามาพลางโบกมือ จดหมายหยกก็บินเข้าไปในมือ เขาไม่แม้แต่จะมองก่อนที่จะบดขยี้ให้เป็นผุยผง


สายตาของเขาเย็นชาเมื่อมองไปที่ตำหนักเบื้องบนแล้วชี้นิ้ว


ตู้ม!


มิติรอบตำหนักนั่นพังทลายลงจากปลายนิ้วเขา สะเก็ดมิติกลายเป็นมือขนาดใหญ่คว้าไปที่ตำหนักแล้วบดขยี้


เมื่อตำหนักถูกทำลาย เสียงของเขาก็ดังก้องไปทั่วภูมิภาคทางเหนือพร้อมกับจิตสังหารเฉียบคม


“ในเมื่อแกชอบที่จะอยู่ในตำหนักมู่ของข้ามาก งั้นก็อยู่ต่อไม่ต้องไปไหนแล้ว…”

 

 

 


บทที่ 1400 กลับมาอย่างทรงพลัง

 

ตู้ม!


ตำหนักขนาดใหญ่ระเบิด คลื่นกระแทกน่าสะพรึงก็กวาดออก ทำให้ตำหนักทั้งหลังกลายเป็นผุยผง


ฉากนี้กะทันหันมาก เมื่อตำหนักถูกทำลายใบหน้าของจอมยุทธ์ตำหนักมู่และผู้ชมก็แข็งค้างทันที…


พวกเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะไม่ไว้หน้าเพียงนี้ ซึ่งนี่จะทำให้อีกฝ่ายโมโหแน่นอน


การยั่วยุจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน งานนี้คงไม่สามารถแก้ไขได้ง่ายๆ แล้ว!


หน้าห้องโถงของตำหนักมู่ เหล่าจอมยุทธ์พากันตกใจก่อนที่จะร้องไห้ในใจ ประมุขของพวกเขาดุร้ายเกินไปแล้ว การยั่วยุจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนไม่ใช่เรื่องฉลาดเลย


ไกลออกไป เจ้าเมฆาม่วง เจ้าอินทรีทองและคนอื่นๆ ก็มองไปด้วยใบหน้าหัวเราะเยาะเย้ย ในที่สุดมู่เฉินก็ปรากฏตัว มิหนำซ้ำยังทำลายตำหนักเดินทางของผู้เฒ่าเฉวียนเทียนอีกด้วย…


ผู้เฒ่าเฉวียนเทียนไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ แน่ วันนี้จะเป็นวันที่ตำหนักมู่ล่มสลาย


ภายใต้สายตาสงสาร-สมเพช-เยาะเย้ย ตำหนักที่แตกสลายก็มีแสงพราวรวมตัวกันเป็นร่างเงาหนึ่ง


ร่างนั้นสวมชุดสีดำมีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาวปักอยู่ แม้เขาจะมีผมสีขาว แต่ใบหน้าก็อ่อนวัยราวกับเด็กทารก ดวงตาลึก คิ้วคมราวกับกระบี่เปล่งไอคมกริบออกมา สายตาของเขาทำให้แม้แต่มิติก็สั่นไหว


นี่ก็คือผู้เฒ่าเฉวียนเทียน!


ตอนนี้ใบหน้าของเฉวียนเทียนถมึงทึงพร้อมกับแสงหลิงพลุ่งพล่านอยู่รอบตัวซึ่งเปลี่ยนเป็นดวงดาวนับหมื่นดวงเบื้องหลัง ทำให้เกิดความปั่นป่วนขนาดใหญ่


เมื่อมองไปที่ตำหนักที่พังทลายอยู่ข้างหลัง สายตาเขาก็ราวกับเหยี่ยวจับจ้องไปที่มู่เฉินพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าอารมณ์อะไรอย่างนี้ แต่ในเมื่อเจ้าทำลายตำหนักเดินทางของข้า แม้แต่ตำหนักมู่ทั้งหมดก็ไม่สามารถชดเชยการสูญเสียได้!”


มู่เฉินเอี้ยวหน้ามองเฉวียนเทียนกระตุกยิ้มเย็นชา “ช่างเป็นแพะแก่ที่รู้แต่วิธีเล่นตามอายุเท่านั้น”


“อวดดี!”


สายตาของเฉวียนเทียนกลายเป็นเย็นชา เขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนได้รับความเคารพทุกที่ที่ไป แต่ตอนนี้มู่เฉินไม่เพียงแต่ทำลายตำหนักของเขาเท่านั้น ยังกล้าดูหมิ่นอีกด้วย ช่างรนหาที่ตาย


ตู้ม!


แสงไร้ขอบเขตพุ่งออกมาจากร่างเฉวียนเทียนก่อตัวเป็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวด้านหลัง พร้อมกับดวงดาวเปล่งประกายนับไม่ถ้วนปลดปล่อยแรงกดดันไม่มีที่สิ้นสุด


ตู้ม ตู้ม!


ภายใต้ความกดดัน แม้แต่พื้นที่ก็สั่นสะท้าน รอยแตกปรากฏขึ้นบนพื้น ทุกคนที่อยู่ใต้ระดับตี้จื้อจุนในตำหนักมู่ล้มลงบนพื้นทันที


สำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนหัวเข่าของพวกเขาลั่นเปรียะ ร่างค่อยๆ คุกเข่าลง


ความกดดันอย่างเต็มที่ของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนจะทนได้


“ตำหนักมู่ของข้าไม่มีที่ให้คนแก่โง่อย่างแกมาอาละวาด!”


เสียงเย็นชาของมู่เฉินดังออกมาขณะที่ก้าวเท้าออกไป แสงหลิงไร้ขอบเขตระเบิดออกมา ร่างเขาราวกับดวงอาทิตย์ลุกโชนบนท้องฟ้า


แรงกดดันทรงพลังเช่นเดียวกันรวมตัวกันทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ากระจายคลื่นหลิงของเฉวียนเทียนออก


โห่!


เมื่อแรงกดดันจากเฉวียนเทียนหายไปทั้งสวรรค์และโลกก็เงียบลง ไม่ว่าจะเป็นจอมยุทธ์ตำหนักมู่หรือขั้วอำนาจอื่นๆ ใบหน้าของพวกเขาก็ถอดสีทันที


พวกเขาจ้องมองภาพเงาบนท้องฟ้าด้วยตะลึงลาน พวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงน่าสะพรึงกลัวที่มาจากอีกฝ่าย


ซึ่งบอกว่าเขาก้าวผ่านระดับตี้จื้อจุนแล้ว!


นั่นคือระดับเทียนจื้อจุน!


มั่นถัวหลัวและหลิงซีตกตะลึงขณะมองไปที่มู่เฉิน ก่อนที่พวกนางจะสบตากันและสูดลมหายใจเย็นด้วยความไม่เชื่อ “นี่…ความผันผวนของระดับเทียนจื้อจุน?!”


“ท่านประมุขบรรลุระดับเทียนจื้อจุนแล้วเรอะ?!”


หลิ่วเทียนเต้าและจอมยุทธ์ชั้นสูงคนอื่นๆ ในตำหนักมู่ก็ต่างตกตะลึง ราวกับว่าถูกฟ้าผ่ากลางวัน พวกเขาไม่สามารถฟื้นสติจากความตกใจได้เป็นเวลานาน


แม้ว่าพวกเขาจะได้ลิ้มรสพรสวรรค์ของมู่เฉินมามาก แต่พวกเขาก็ไม่คิดว่าเขาจะค้นพบวิถีเทียนจื้อจุนได้ในเวลาเพียงหนึ่งปี


นั่นระดับเทียนจื้อจุนเชียวนะ!


จอมยุทธ์เช่นนี้อยู่บนยอดพีระมิดของมหาพันภพ ซึ่งเป็นธรณีประตูที่อัจฉริยะนับไม่ถ้วนไม่สามารถข้ามไปได้แม้จะจบชีวิตก็ตาม…


“เป็นไปได้ยังไง?!”


เจ้าเมฆาม่วงและคนอื่นๆ ก็มองภาพเงานั้นด้วยความหมดอาลัยตายอยาก ในฐานะคนที่เคยต่อสู้กับมู่เฉิน ความตกใจยิ่งรุนแรงยิ่งขึ้น


ต้องรู้ว่ามู่เฉินอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเมื่อหนึ่งปีก่อน แต่ตอนนี้เขากลับก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนแล้ว!


แม้ว่าพวกเขาจะอ้างว่าอีกครึ่งก้าวก็จะบรรลุระดับเทียนจื้อจุน แต่นานแค่ไหนแล้วที่พวกเขาไม่ก้าวหน้าเลย?!


แต่ชายหนุ่มที่ตามอยู่ข้างหลังพวกเขาก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนก่อนเสียอีก ดังนั้นความตกใจจึงเกิดขึ้นกับพวกเขาอย่างมาก


“มู่เฉินเป็นสัตว์ประหลาดจริงๆ!”


พวกเขาพึมพำด้วยความตกใจและความกลัวในใจ เนื่องจากพวกเขารู้ว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไปจักรวรรดิเหนือจะไม่มีตำแหน่งสำหรับพวกเขาอีกต่อไป ไม่เพียงแต่ที่นี่เท่านั้น ด้วยการมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนตำหนักมู่จะแผ่ขยายอิทธิพลไปทั่วทวีปเทียนหลัว!


แน่นอนว่าไม่เพียงพวกเขาเท่านั้นที่ตกใจ แต่ขั้วอำนาจอื่นๆ ที่มองตำหนักมู่อยู่ก็พูดไม่ออก


เห็นได้ชัดว่าข่าวที่มู่เฉินบรรลุระดับเทียนจื้อจุนทำให้ทั่วทั้งทวีปเทียนหลัวตะลึงจนพูดไม่ออก


เผชิญกับความตกตะลึงนับไม่ถ้วน มู่เฉินก็ไม่ได้สนใจ เขาเพียงแค่เงยหน้าขึ้นมองไปที่ผู้เฒ่าเฉวียนเทียนที่มีสีหน้าน่าเกลียดด้วยใบหน้าไร้อารมณ์


“บัดซบ ไอ้หนูนี่บรรลุระดับเทียนจื้อจุนได้อย่างไร?!”


ใบหน้าของเฉวียนเทียนเปลี่ยนเป็นตกใจ จากข้อมูลที่มีมู่เฉินเป็นเพียงจอมิยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มเท่านั้น แต่นี่ไม่เหมือนกับข้อมูลเลย


“ทำไม? ก่อนหน้านี้ข่มขู่ตำหนักมู่ของข้าเก่งนักไม่ใช่เหรอ?” เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าของเฉวียนเทียน มู่เฉินก็หัวเราะเยาะ


เมื่อเฉวียนเทียนได้ยินใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมพลางเค้นเสียงออกมา “อย่าได้ใจไปแกเพิ่งก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน ในแง่การต่อสู้ ข้าก็ยังจัดการกับแกได้”


ยังไงเขาก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ตอนนี้ทุกฝ่ายกำลังจับตามองมา ดังนั้นหากเขาปล่อยให้มู่เฉินสร้างความอับอายให้ได้ก็จะเป็นการทำลายชื่อเสียงของเขาอย่างมาก


มู่เฉินยิ้มอ่อนยกเปลือกตาขึ้น “ใครบอกให้แกมาสร้างความเดือดร้อนให้ข้า?”


แม้ว่าการกระทำของเฉวียนเทียนจะดูเหมือนเป็นการสั่งการของขั้วอำนาจเบื้องหลังเจ้าเมฆาม่วงกับคนอื่นๆ แต่ด้วยสัญชาตญาณเขารู้สึกว่าเรื่องนี้มีเบื้องหลัง


เมื่อได้ยินเฉวียนเทียนก็เยาะเย้ย “แกน่าจะรู้ดีว่าเคยไปทำอะไรให้ใครขุ่นเคืองใจนะ?”


มู่เฉินหรี่ตา แม้ตัวเขาจะมีเรื่องกับคนอื่นนับไม่ไหวเลยทีเดียว แต่การมีความสามารถเชิญจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนมาจัดการกับเขาได้มีเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น…เผ่าฝูถู


จากข้อมูลที่ได้รับจากชิงซวง แม้ว่าเผ่าฝูถูจะไม่สามารถประจันหน้ากับเขาได้โดยตรง แต่พวกเขาก็สามารถหาจอมยุทธ์ทรงพลังสักคนเพื่อมาช่วยให้งานของพวกเขาง่ายดายขึ้น


ด้วยเครือข่ายของผู้อาวุโสเผ่าฝูถูเป็นเรื่องง่ายสำหรับพวกเขาที่จะเชิญจอมยุทธ์มาทำงานให้


แสงเย็นเยือกวาบขึ้นในนัยน์ตาของมู่เฉิน แต่ไม่ช้าก็ถูกปกปิด เขาเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “ไม่ว่าแกจะทำเพื่อใคร แกก็ต้องจ่ายในราคาที่ถูกล่อลวงนั่น”


“อวดดี!” เฉวียนเทียนกระตุกยิ้มด้วยความโกรธ ตอนที่ชื่อของเขาขจรขจายไปทั่วมหาพันภพ มู่เฉินยังไม่รู้ว่าเป็นวุ้นอยู่ที่ไหนเลย แต่ตอนนี้ชายหนุ่มคนนี้กลับกล้าพูดกับเขาในลักษณะนี้


มู่เฉินไม่ได้พูดให้มากความ ทันใดนั้นแสงหลิงก็หดกลับเข้าสู่ร่างกายของเขา


เมื่อคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตกวนตัวภายใน ร่างกายของมู่เฉินก็ค่อยๆ เปล่งประกายราวกับเป็นผลึก


ในขณะนี้ราวกับว่าร่างกายของมู่เฉินได้รับดัดแปลงด้วยพลังงานหลิงที่บริสุทธิ์ กำจายพลังอำนาจที่ไร้ขอบเขตในทุกการเคลื่อนไหว


“กายาหลิงเทียนจุน?”


สายตาของเฉวียนเทียนดิ่งลง เมื่อสามารถทำสิ่งนี้ได้นั่นหมายความว่ามู่เฉินก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนแท้จริงแล้ว


“แต่เด็กน้อยนี่เพิ่งบรรลุระดับเทียนจื้อจุน ซ้ำยังไม่ได้ขัดเกลาเส้นหลิงที่อยู่ภายในร่างกาย” สายตาของเฉวียนเทียนวูบไหว ในฐานะจอมยุทธ์ผู้มากประสบการณ์ เขาสามารถบอกได้อย่างเป็นธรรมชาติว่ามีข้อบกพร่องในกายาหลิงเทียนจุนของมู่เฉิน


“ดูเหมือนว่าไม่มีทางที่จะแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างสันติ ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็มาสู้กันให้รู้ดำรู้แดงดีกว่า ดูว่ามันจะยังกล้าทำท่าหยิ่งผยองอีกไหม”


เฉวียนเทียนเค้นเสียงเย็นชาในใจ เขาตัดสินใจแล้วเนื่องจากมู่เฉินเพิ่งบรรลุระดับเทียนจื้อจุนและยังไม่สามารถควบคุมพลังได้เต็มที่ ดังนั้นคงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาที่จะเอาชนะ


พร้อมกับการตัดสินใจในใจ ดวงตาของเฉวียนเทียนก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาและจ้องไปที่มู่เฉิน ก่อนที่จะสะบัดแขนเสื้ออย่างเรียบเฉย “ในเมื่อแกยโสโอหังนัก งั้นข้าจะสอนให้แกรู้ว่ามีคนอื่นๆ อีกมากมายที่สามารถเอาชนะแกได้ แม้ว่าแกจะก้าวเข้าระดับเทียนจื้อจุน แกก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะหยิ่งยโส!”


ตู้ม!


ร่างกายเขาสั่นเทิ้มก่อนที่จะเปล่งแสงพร่างพราวออกมาพร้อมกับดวงดาวนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าสู่ร่างกาย จากนั้นร่างของเขาก็เจิดจรัสไปด้วยดวงดาวที่สลักอยู่บนพื้นผิว


คลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตกวาดออกจากร่าง กวนพายุคลื่นหลิงออกมา


สองร่างพลังงานหลิงยืนอยู่บนท้องฟ้าพร้อมกับสายตาฟาดฟันกัน แสงเย็นพลุ่งพล่านขณะที่อุณหภูมิระหว่างสวรรค์และโลกลดลงฉับพลัน


วาบ!


อึดใจต่อมาทั้งสองก็ทะยานออกไปภายใต้สายตานับไม่ถ้วน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)