หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1391-1394
บทที่ 1391 โอกาส
แสงกระจายจากไข่มุกมังกรขาว
ก่อนที่จะค่อยๆ ก่อร่างเป็นภาพเงาของชายสูงวัย
ร่างนั้นสวมชุดคลุมสีขาว เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น แววตาดูสับสนในตอนแรก แต่หลังจากเห็นภูเขาขนาดใหญ่เบื้องหน้า ร่างกายเขาก็สั่นสะท้านพร้อมกับความตื่นเต้นพล่านในดวงตา
“ภูเขาเซิ่งหลง!”
เขาพึมพำจากนั้นดวงตาก็กะพริบวูบไหวขณะหันไปมองมู่เฉิน
“ผู้อาวุโสนานมากแล้วที่ไม่ได้เจอกัน” มู่เฉินยิ้ม
“เจ้า…”
จอมยุทธ์มังกรขาวมองไปที่มู่เฉินด้วยความตะลึงงัน ก่อนที่จะนึกขึ้นได้อย่างรวดเร็วนานมากแล้วที่เขาได้พบกับมู่เฉิน แต่ตอนนั้นชายหนุ่มยังไม่ได้เข้าสู่ระดับจื้อจุนเลย แต่ตอนนี้กระทั่งเขายังไม่สามารถมองเห็นขุมพลังของมู่เฉินได้
“ผู้อาวุโสยังจำสิ่งที่ท่านฝากข้าทำได้ไหม?” มู่เฉินยิ้มพลางประสานมือ
จอมยุทธ์มังกรขาวเข้าใจในทันที ดวงตาของเขาสั่นไหวขณะมองสถานที่ที่คุ้นเคย “นี่คือบ้านเกิดของข้า!”
“เผ่าปีศาจล่ะ?” ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงบางสิ่ง ใบหน้าเปลี่ยนไป
“ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งหมดถูกข้าสังหารไปแล้ว” มู่เฉินตอบ
เมื่อจอมยุทธ์มังกรขาวได้ยินเช่นนั้นก็ตกตะลึง สายตามองไปที่มู่เฉินด้วยความไม่เชื่อเพราะเขารู้ว่าผู้บัญชาการปีศาจโลหิตเหล่านั้นเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มในมหาพันภพเลยทีเดียว พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่แม้แต่เขายังไม่สามารถเผชิญหน้าได้แม้ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ชายหนุ่มคนนี้สังหารพวกมันทั้งหมดรึ?
“ท่านบรรพบุรุษไป๋หลง! สิ่งที่ท่านเทพบอกไม่ใช่เรื่องโกหก ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตถูกสังหารหมดแล้วเจ้าค่ะ!”
ขณะที่จอมยุทธ์มังกรขาวกำลังตกตะลึง เสียงกระจ่างใสก็ดังก้อง ร่างเงาหนึ่งสั่นไหวด้วยแรงอารมณ์
ไป๋หลงเอี้ยวไปมองก็เห็นไป๋ซู่ซู่มองมาด้วยน้ำตาคลอคลอง อารมณ์หลากหลายสะท้อนบนใบหน้านาง
“เจ้าคือ…” ไป๋หลงมองไปที่ไป๋ซู่ซู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะอุทาน “เจ้าเป็นทายาทสายเลือดมังกรขาวของข้าหรือ?”
“ไป๋ซู่ซู่ทักทายท่านบรรพบุรุษ!” ไป๋ซู่ซู่คุกเข่าลง ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดง
จอมยุทธ์มังกรขาวมองไปที่นางพลางยิ้มอย่างขมขื่น “ไม่คิดว่าลูกหลานของข้าจะเหนือกว่าขนาดนี้ ข้าไร้ประโยชน์นักที่ไม่สามารถปกป้องโลกได้”
เขาบอกได้เลยว่าไป๋ซู่ซู่แข็งแกร่งกว่าเขามากเมื่อตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่
ไป๋ซู่ซู่รีบตอบ “ท่านบรรพบุรุษเป็นเพราะผู้อาวุโสของสำนักสละชีวิตเพื่อทำสิ่งนี้ให้สำเร็จ ไม่ใช่ความสามารถของลูกหลานเอง ท่านแสวงหาความช่วยเหลืออย่างขมขื่นแม้ว่าจะอยู่ห่างไกลก็ตาม นั่นคือเหตุผลที่ท่านเทพมาที่นี่เพื่อช่วยพวกเรา”
จอมยุทธ์มังกรขาวอึ้งไปก่อนที่จะหลุบตาลง “ดูเหมือนว่าพวกเขาใช้หนทางสุดท้าย… แต่สิ่งนี้ก็ต้องการคนที่เหมาะสมเช่นกันและเจ้าก็ไม่ธรรมดาที่ทำได้สำเร็จ”
มู่เฉินยิ้ม “ตอนนี้ไม่ใช่เวลารำลึกความหลัง ผู้อาวุโสแม้ว่าผู้บัญชาการปีศาจโลหิตจะถูกกำจัดไปแล้ว แต่ก็มีปัญหาใหญ่กว่าตอนนี้…”
เขาชี้ไปทางเจดีย์ “พวกมันแอบสร้างจอมปีศาจโลหิตขึ้นก่อนที่จะตาย ซึ่งเปรียบได้กับระดับเทียนจื้อจุนเลยทีเดียว”
เมื่อเขาพูดจบใบหน้าของจอมยุทธ์มังกรขาวก็เต็มไปด้วยความหวาดผวา เนื่องจากตัวเขามีโอกาสฝึกฝนขุมพลังในมหาพันภพ เขาจึงรู้โดยธรรมชาติว่าระดับเทียนจื้อจุนน่ากลัวเพียงใด
ใครจะคิดว่าเผ่าเสี่ยเสียจะสร้างจอมปีศาจในโลกของพวกเขาได้…
“แล้วเราจะทำยังไงดี? หรือว่าสวรรค์ต้องการทำลายล้างโลกของข้าจริงๆ” ใบหน้าของจอมยุทธ์มังกรขาวหดหู่ลงหลายส่วน
“นั่นก็ขึ้นอยู่กับโอกาสที่ท่านเคยสัญญากับข้าในตอนนั้น” มู่เฉินยิ้ม
จอมยุทธ์มังกรขาวอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่ดวงตาจะสว่างวาบพลางมองไปที่มู่เฉินด้วยความตื่นเต้น “เจ้าอยู่บนเส้นทางที่จะเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนแล้วหรือ?”
“ตอนนี้ข้ากำลังค้นหาเส้นทางอยู่” มู่เฉินพยักหน้าพลางมองไปที่จอมยุทธ์มังกรขาวด้วยดวงตาที่ลุกโชน “ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสมีคำแนะนำอะไรหรือไม่?”
เขามาไกลและทุ่มเทมากเพื่อโอกาสที่จอมยุทธ์มังกรขาวสัญญาไว้ เขาต้องการลองดูว่าตนเองจะพบเส้นทางไปสู่ระดับเทียนจื้อจุนที่นี่ได้หรือไม่
ดวงตาของจอมยุทธ์มังกรขาวกะพริบขณะที่ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “กรณีนี้เราอาจคว้าโชคได้”
จากนั้นเขาก็พูดต่อว่า “ไม่รู้ว่าเจ้าเคยได้ยินเรื่องเทพจักรพรรดิสงครามหรือเปล่า?”
มู่เฉินพยักหน้า “ข้าเคยพบกับท่านเทพจักรพรรดิสงครามมาครั้งหนึ่ง”
เมื่อจอมมังกรขาวได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ เทพจักรพรรดิสงครามเป็นสุดยอดกระทั่งในมหาพันภพ ไม่ต้องพูดถึงจอมยุทธ์ธรรมดา แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ยากที่จะพบตัวเขา ดูท่าประสบการณ์ของมู่เฉินจะไม่ธรรมดา
“งั้นเจ้าก็น่าจะรู้ว่าเทพจักรพรรดิสงครามมาจากพิภพเขตล่างเช่นกัน ซึ่งมีสถานการณ์คล้ายคลึงกับที่นี่ โลกของเขาประสบกับการรุกรานของเผ่าปีศาจ แต่ต่อให้เขากำเนิดในพิภพเขตล่างก็ไม่ใช่บุคคลที่เราสามารถเทียบเคียงได้ เขาโรมรันไปทั่วหล้าฆ่าเผ่าปีศาจทั้งหมดจนสิ้นซาก…” ขณะที่ไป๋หลงพูดก็ถอนหายใจ มีเพียงสุดยอดอัจฉริยะอย่างเทพจักรพรรดิสงครามเท่านั้นที่สามารถสร้างตำนานได้
มู่เฉินพยักหน้า ทุกคนในมหาพันภพรู้เกี่ยวกับตำนานของเทพจักรพรรดิสงครามดี
“แต่เจ้าคงไม่รู้ว่าสาเหตุที่เทพจักรพรรดิสงครามสามารถเอาชนะราชันปีศาจได้นั้น เพราะมีสิ่งหนึ่งที่สำคัญมาก…” จอมยุทธ์มังกรขาวยิ้มก่อนที่จะพูดต่อ “สิ่งนั้นเรียกว่าดวงจิตแห่งพิภพ”
“ที่เรียกว่า ‘ดวงจิตแห่งพิภพ’ ถือได้ว่าเป็นจิตวิญญาณของพิภพเลยทีเดียว ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของโลก แต่สิ่งนั้นไม่มีความนึกคิด ดังนั้นหากเจ้าสามารถควบคุมได้ เจ้าก็สามารถใช้พลังของโลกแห่งนี้ได้”
“แต่ไม่ใช่พิภพเขตล่างทั้งหมดจะมีดวงจิตแห่งพิภพ เพราะสิ่งนี้ต้องการปัจจัยหลายอย่างในการสร้าง ดังนั้นมีเพียงพิภพส่วนน้อยที่จะมีสิ่งนี้”
จอมยุทธ์มังกรขาวชี้ไปที่โลกขณะที่พูดต่อ “ซึ่งในโลกนี้…มีดวงจิตแห่งพิภพอยู่พอดี”
“และอาศัยสิ่งนั้น…”
จอมยุทธ์มังกรขาวมองไปที่มู่เฉินเอ่ยต่อ “เจ้าจะสามารถฝ่าคอขวดและก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน!”
หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้านพร้อมกับไฟลุกโชนในดวงตา เขาเดาถูกการมาที่โลกนี้จะสามารถช่วยให้เขาแสวงหาโอกาสที่จะบรรลุระดับเทียนจื้อจุน!
“แต่โดยทั่วไปแล้วดวงจิตแห่งพิภพจะสามารถรับรู้จากสิ่งมีชีวิตของโลกนี้เท่านั้น เทพจักรพรรดิสงครามก็รับรู้ได้ในตอนนั้น เขาสามารถเชื่อมต่อกับดวงจิตแห่งพิภพและจัดการเอาชนะผู้นำเผ่ายี่หมัวได้”
ขณะที่พูดเขาก็หันไปมองไปที่ไป๋ซู่ซู่ด้วยความเสียดาย “น่าเสียดายที่พวกเราในตอนนั้นไม่มีใครเข้าถึงระดับนั้นแบบเทพจักรพรรดิสงครามได้ แม้ว่าซู่ซู่จะไปถึงระดับนั้น แต่เนื่องจากพลังส่วนใหญ่ของนางมาจากภายนอก ดังนั้นนางจึงไม่สามารถสัมผัสถึงดวงจิตแห่งพิภพ…ต่อให้นางจะทำได้ แต่ก็ไม่มีทางที่นางจะปรับแต่งและเชื่อมต่อได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นมู่เฉินก็ขมวดคิ้ว เนื่องจากเขาไม่ใช่สิ่งมีชีวิตของโลกนี้
“ฮ่าๆ ไม่ต้องกังวล ในเมื่อข้าสัญญากับเจ้าแล้ว ข้าก็ย่อมมีวิธี”
จอมยุทธ์มังกรขาวหัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะพูดต่อ “หากสิ่งมีชีวิตในโลกนี้มีความปรารถนาร่วมกัน พวกเขาก็สามารถใช้พลังแห่งความปรารถนาเพื่อช่วยให้เจ้ารู้สึกถึงดวงจิตแห่งพิภพ”
“สิ่งมีชีวิตทั้งหมด?” มู่เฉินตกอยู่ในภวังค์
“หัวใจของมนุษย์ยากหยั่งถึง ในช่วงปกติเป็นไปไม่ได้ที่จะบรรลุสิ่งนี้ แต่โลกนี้ตกอยู่ภายใต้การคุกคามของเผ่าเสี่ยเสียมาเนิ่นนาน ทุกคนทนทุกข์ทรมาน ดังนั้นหากมีความหวังข้าเชื่อว่าพวกเขาจะไม่มีใครยอมแพ้” จอมยุทธ์มังกรขาวเอ่ย
เมื่อมู่เฉินได้ยินเช่นนั้น สายตาก็วูบไหว เขาโค้งคำนับต่อจอมยุทธ์มังกรขาว “ถ้าทำได้ข้าจะปกป้องความสงบสุขของโลกนี้ไว้เอง”
หากเขาสามารถก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน เขาก็ไม่ต้องกลัวจอมปีศาจโลหิตและจะง่ายสำหรับเขาที่จะปราบอีกฝ่าย ไม่จำเป็นต้องต่อสู้ดิ้นรนเหมือนเทพจักรพรรดิสงครามในอดีต
นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาแข็งแกร่งกว่าเทพจักรพรรดิสงคราม แต่ตอนนั้นอีกฝ่ายอยู่ในพิภพเขตล่าง ดังนั้นวิธีการจึงมีอยู่อย่างจำกัด ส่วนมู่เฉินไม่เพียงแต่มาจากมหาพันภพ เขายังมีทักษะในตำนานถึงสองวิชา ดังนั้นหากเขาก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน เขาก็จะสามารถจัดการกับจอมยุทธ์คนใดก็ได้ในระดับเดียวกันอย่างง่ายดาย
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ขอขอบคุณสำหรับการปกป้องของเจ้าพิภพมู่ด้วย…” จอมยุทธ์มังกรขาวกล่าวด้วยความเคารพ หากมู่เฉินสามารถก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนได้ เขาก็จะได้รับการจัดอันดับอยู่ในลำดับต้นๆ ของมหาพันภพและอาจได้รับการพิจารณาให้เป็นเทพจักรพรรดิเลยทีเดียว
เขาไม่พูดต่อ แต่นั่งลงแล้วหลับตา
ขณะที่เขาหลับตาลงความผันผวนก็กระจายออกไป เพียงไม่กี่ลมหายใจก็ปกคลุมผืนดินเบื้องล่างทั้งหมด
ในเวลาเดียวกันในใจไป๋ซู่ซู่และคนอื่นๆ ก็เข้าใจบางสิ่งขึ้นมา
ดังนั้นทุกคนจึงนั่งลงทำจิตใจให้สงบ
เมื่อพวกเขานั่งลง ไม่นานแสงก็พุ่งออกมาจากหว่างคิ้วลอยไปทางมู่เฉิน
มู่เฉินปล่อยให้แสงโปรยปรายลงบนร่างของเขา
เมื่อแสงวิ่งเข้ามามากขึ้น…มากขึ้นก็ปกคลุมฟ้าดินทั้งหมดด้วยจุดแสงอัศจรรย์
จุดแสงปกคลุมเข้ามาถักทอเป็นรังไหมห่อหุ้มร่างของมู่เฉิน
ภายใต้แสงพร่างพราวมู่เฉินก็หลับตาลงอย่างช้าๆ
บทที่ 1392 อุปสรรคที่ขวางการบรรลุเทีย...
เมื่อแสงรวมตัวกันห่อหุ้มมู่เฉิน
ความมุ่งมั่นปรารถนาก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เขาหลับตาลงภายใต้การป้องกันของแสงนับไม่ถ้วน พุ่งเข้าไปในความว่างเปล่า…
มู่เฉินไม่รู้ว่านานแค่ไหน จู่ๆ จิตวิญญาณก็ลืมตาขึ้นมา เขาเห็นตัวเองอยู่ในจักรวาลยุคแรกเริ่ม สถานที่แห่งนี้ดูเหมือนจะเป็นจุดกำเนิดของโลก กระทั่งเวลายังช้าลงมาก
เมื่อมองไปที่จักรวาลนั้น มู่เฉินก็ค่อยๆ แผ่คลื่นจิตออกไปเพื่อสัมผัสถึงดวงจิตแห่งพิภพที่ซ่อนอยู่…
เขาไม่ได้รับคำตอบ แต่เมื่อแสงรอบตัวแข็งแกร่งขึ้น เขาก็เริ่มสัมผัสได้ถึงความผันผวนแปลกประหลาดแผ่มาจากแสงมหาศาลแรกเริ่ม
จิตวิญญาณมู่เฉินรีบตามหาไป จากนั้นเขาก็พบแสงที่เปล่งออกมาราวกับมหาสมุทรทำให้เกิดความผันผวน
มหานวดารานี้ดูเหมือนจะบรรจุด้วยชีวิตที่ไม่มีที่สิ้นสุดพร้อมกับปลดปล่อยพลังที่ทำให้มู่เฉินตกตะลึง พลังงานนี้บริสุทธิ์และเก่าแก่มาก ราวกับว่าเกิดมาพร้อมกับพิภพแห่งนี้…
มู่เฉินมองไปที่สภาวะความวุ่นวายที่ดูราวกับมหาสมุทร เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนยิ่งใหญ่ ซึ่งน่าจะเป็นดวงจิตแห่งพิภพนี้
ซ่า ซ่า
มหานวดาราแรกเริ่มกระเพื่อมไหวพร้อมกับเสียงน้ำไหลดังก้อง มีกระแสน้ำวนขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง ลูกกลมขนาดพันจั้งก็ค่อยๆ ลอยขึ้น
ลูกกลมนี้ดูเหมือนหัวใจที่เต้นแผ่วเบา พร้อมกับทุกจังหวะชีพจร โลกใบนี้ก็จะกระเพื่อมตาม
เมื่อมันหายใจก็ดูเหมือนจะมีพายุรวมตัวกันและกระแสน้ำไหลย้อน…
“นี่คือดวงจิตแห่งพิภพรึ?”
มู่เฉินมองไปที่ลูกกลม แม้เขาจะไม่สามารถสัมผัสได้ถึงจิตใต้สำนึก แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณที่อยู่ภายใน
“หืม?”
ทันใดนั้นมู่เฉินก็หดดวงตา เนื่องจากเขาเห็นรอยเลือดบนลูกกลมแสงที่เหมือนแมลง ช่างดูแปลกแยกกับความกลมเกลี้ยงนัก
“เป็นเพราะการรุกรานของเผ่าเสี่ยเสีย สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนถูกสังหาร ดังนั้นดวงจิตแห่งพิภพจึงได้รับผลกระทบด้วยเหรอ?” สายตาของมู่เฉินเปล่งประกายเมื่อคิดได้ถึงเรื่องนี้
แต่สถานการณ์นี้กลับทำให้เขาดีใจมากขึ้น เนื่องจากดวงจิตแห่งพิภพสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามจากเผ่าเสี่ยเสีย ดังนั้นก็น่าจะยอมรับเขาได้ง่ายขึ้น
ด้วยความคิดนี้ มู่เฉินก็ค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้
“ดวงจิตแห่งพิภพ ข้าสามารถช่วยเจ้าขับไล่เผ่าเสี่ยเสียได้ แต่ตอนนี้ข้าต้องการพลังของเจ้า”
มู่เฉินไม่คิดปกปิด เปิดเผยวัตถุประสงค์ให้ทราบตรงๆ เขารู้ดีว่าแม้ว่าดวงจิตแห่งพิภพจะไม่มีจิตใต้สำนึก แต่ก็มีจิตวิญญาณ สามารถตัดสินอันตรายใดๆ ที่เกิดขึ้นกับบ้านของตนได้
แสงมหานวดาราสั่นสะเทือนเล็กน้อยแต่ก็ไม่ขยับ
มู่เฉินรู้ว่านั่นเป็นเพราะเขาไม่ใช่คนบนโลกใบนี้ ดังนั้นดวงจิตพิภพจึงรู้สึกขัดแย้งในตัวเอง ถ้าไป๋ซู่ซู่เป็นคนที่อยู่ที่นี่ ดวงจิตนี้คงจะช่วยเหลือโดยไม่ลังเล
ทว่าตัวเขาก็ไม่ได้เร่งรีบอะไร พูดต่ออย่างเคร่งขรึมว่า “จอมปีศาจโลหิตทรงพลัง ถ้ามันเป็นอิสระ ข้าก็ไม่อาจสู้ได้ ตอนนั้นข้าคงทำได้เพียงเลือกปกป้องตัวเองออกจากพิภพนี้ไป ที่นี่ก็คงจะต้องประสบกับการล้างเผ่าพันธุ์ของเผ่าเสี่ยเสีย สิ่งมีชีวิตทั้งหมดจะถูกเขมือบไป”
“ในเวลานั้นแม้ว่าเจ้าจะเป็นดวงจิต แต่ก็ยากที่จะรอดพ้นจากการรุกรานจากจอมปีศาจโลหิตจนถูกชำระในที่สุด”
คำพูดของมู่เฉินดูโหดร้าย ดวงจิตที่ได้รับการปนเปื้อนก็สั่นสะท้านรุนแรง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ก้าวออกมา
สายตามู่เฉินวูบไหว เขารู้ว่านี่ยังไม่เพียงพอ ถ้าเขาชำระดวงจิตแห่งพิภพนี้ เขาก็จะเทียบเท่ากับเจ้าพิภพ ซึ่งชี้เป็นชี้ตายสรรพชีวิตทั้งหมดด้วยความคิดวูบเดียว
ในฐานะผู้พิทักษ์เห็นได้ชัดว่าดวงจิตแห่งพิภพไม่ค่อยเชื่อใจคนนอกอย่างเขา
ดังนั้นมู่เฉินจึงก้าวเข้าไปอีกขั้น “ถ้าข้าเป็นเจ้าพิภพแห่งนี้ ข้าสาบานว่าจะรักษาความสงบสุขเอาไว้ ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่จะไม่มีเผ่าปีศาจใดเข้ามารุกรานที่นี่ได้อีก!”
เสียงของเขาหนักแน่นและก้องอยู่เป็นเวลานาน
เขาสาบานในใจ แม้ว่าคนอื่นจะไม่สามารถรับรู้ได้ แต่ดวงจิตแห่งพิภพที่ถือกำเนิดจากฟ้าดินต้องรับรู้ได้ถึงเรื่องนี้อย่างแน่นอน หากหัวใจของเขาไม่จริงใจก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากประสาทสัมผัสของดวงจิตนี้ไปได้แน่นอน
ดังนั้นไม่นานหลังจากที่มู่เฉินสัญญา ดวงจิตแห่งพิภพก็ระเบิดออกพร้อมกับแสงดาวฤกษ์มวลมหาศาลนับไม่ถ้วนประหนึ่งข้อความจากสวรรค์
เมื่อมู่เฉินเห็นฉากนี้ก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น เขารู้ว่าดวงจิตนี้ยอมรับแล้ว…
ดังนั้นร่างกายของเขาที่นอกภูเขาเสี่ยหมัวก็หายวับ ด้วยความคิดครั้งเดียวและมาปรากฏที่นี่
จิตของมู่เฉินกลับคืนสู่ร่าง สายตามองไปยังลูกกลมมหานวดาราก่อนที่เขาจะผ่านแนวป้องกัน พลิ้วตัวลงบนลูกกลม
เขานั่งลงปิดตาค่อยๆ เข้าไปในขอบเขตของลูกกลมอันวุ่นวาย
เวลาที่นี่ช้าลง ซึ่งเป็นเรื่องดีที่เขาจะได้มีเวลาบรรลุระดับเทียนจื้อจุน
เมื่อร่างกายเข้าสู่ลูกกลม มู่เฉินก็ตัวสั่นสะท้าน เขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานมหานวดาราไร้ขอบเขตที่มาจากทุกทิศทางขณะที่ไหลลงสู่หัวใจ
ตู้ม!
คลื่นมหานวดารามีต้นกำเนิดจากพิภพเขตล่าง ช่างไร้ขอบเขตและยิ่งใหญ่ แม้กระทั่งในมหาพันภพก็ถือได้ว่าเป็นพลังงานชั้นยอด แต่สามารถพบได้ในสถานที่ที่จิตวิญญาณของพิภพถือกำเนิดเท่านั้น
เมื่อรู้สึกถึงพลังงานไร้ขอบเขต มู่เฉินก็หมุนเวียนทักษะการเพาะบ่มทันที ร่างกายเขาสั่นสะท้าน คล้ายกับปากที่หิวโหยขณะกลืนกินพลังงาน
เพียงไม่กี่สิบลมหายใจ มู่เฉินก็รู้สึกราวกับว่ากินของเหลวจื้อจุนไปสักสองสามพันล้านหยด หัวใจของเขาสั่นระรัว ไม่คิดว่าดวงจิตแห่งพิภพจะบริสุทธิ์และไร้ขอบเขตปานนี้ สมกับการเป็นจิตวิญญาณที่เกิดระหว่างฟ้าดินอย่างแท้จริง
เมื่อความคิดของเขาไหลเวียน เขาก็สงบจิตใจจมดิ่งสู่การบ่มเพาะพลัง
ในสถานที่แห่งนี้ เวลาไหลเวียนเชื่องช้า มู่เฉินจึงไม่ได้กังวล เขาปล่อยให้พลังงานหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
มู่เฉินเหมือนอยู่ในสภาพนี้ไปหลายสิบปี ร่างของเขาราวกับก้อนหินที่ไม่มีการเคลื่อนไหว แม้แต่ลมหายใจก็แผ่วลง
เวลาเคลื่อนช้าลงในสภาวะความวุ่นวาย
มีเพียงพลังงานมหานวดาราเท่านั้นที่หลั่งไหลเข้ามาในศีรษะของมู่เฉินอย่างไม่มีที่สิ้นสุด…
สถานะนี้คงอยู่เป็นเวลานาน จนในที่สุดการเปลี่ยนแปลงก็ปรากฏขึ้นกะทันหัน
วันหนึ่ง จู่ๆ ร่างกายของมู่เฉินก็สั่นสะท้าน อึดใจถัดมาดวงตาเขาก็ค่อยๆ เปิดขึ้น
ฮึ่ม!
เมื่อเขาลืมตาขึ้น แสงแพรวพราวก็ยิงออกมาจากดวงตา ก่อนที่จะยิงเข้าไปในมหานวดาราแล้วหายไป
มู่เฉินค่อยๆ กำหมัดแน่น สัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงไร้ขอบเขตในร่างกาย เขาตัวสั่นเบาๆ ราวกับว่ามีเสียงฟ้าร้องดังก้องในร่างนับไม่ถ้วน
ตู้ม!
รัศมีระเบิดออกจากร่างมู่เฉิน จากนั้นร่างกายก็เริ่มขยาย
ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจก็ขยายถึงหนึ่งพันจั้ง ขณะนั่งอยู่ท่ามกลางมหานวดาราแรกเริ่ม
ร่างกายของเขาเปล่งประกายรัศมีศักดิ์สิทธิ์ ดูราวกับดวงอาทิตย์ที่เปล่งประกายแวววาวในความวุ่นวายนี้
เมื่อมองไปที่ร่างกายตนเอง มู่เฉินก็รู้สึกได้ถึงทั่วสรรพางค์กายและเลือดที่บรรจุด้วยพลังงานไร้ขอบเขต
คลื่นหลิงเติมเต็มในร่างกาย มากจนเขาไม่สามารถรับเพิ่มได้อีกแม้แต่น้อย
รู้สึกเหมือนว่าทะเลสาบที่เอ่อล้นจนถึงขีดจำกัด หากเพิ่มอีกสักหยดก็จะทำให้ทะเลสาบรั่วไหล
ขณะนี้เขามาถึงจุดสูงสุดภายใต้ระดับเทียนจื้อจุนแล้ว ตามการคาดการณ์หากเขาเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ที่สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนในตอนนี้ เขาสามารถสังหารพวกเขาได้อย่างง่ายดายด้วยพลิกฝ่ามือ
เมื่อมาถึงจุดนี้ เขาก็สัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของกำแพงกั้นเส้นทางของเขา
“ดูเหมือนว่านี่จะเป็นอุปสรรคที่ขวางระดับเทียนจื้อจุน…”
ใบหน้าของมู่เฉินตกอยู่ในความครุ่นคิด ตอนนี้เขามาถึงจุดสุดแล้ว สิ่งนี้อาจทำลายอุปสรรคได้ แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะระเบิดร่างตัวเอง ถึงตอนนั้นเมื่อเกิดผลสะท้อนกลับของคลื่นหลิงก็จะถึงคราวสิ้นชีพของเขา
ผลลัพธ์ที่แตกต่างสุดขั้วสองแบบนี้น่ากลัวจนไม่กล้าที่จะเสี่ยงลอง
สายตาของมู่เฉินวูบไหวก่อนที่จะคมปลาบขึ้น เส้นทางแห่งการฝึกฝนขุมพลังเต็มไปด้วยภัยพิบัติตั้งแต่เริ่มก้าวเดิน ถ้าเขาต้องการไปถึงจุดสูงสุดก็ต้องมีความกล้าหาญ วันนี้เป็นโอกาสของเขา ถ้าเขาละไปก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะมีโอกาสได้รับอีกครั้ง
คิดถึงจุดนี้ สีหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนเป็นแน่วแน่โดยปราศจากความลังเลและหวาดกลัว
เขาเงยหน้าขึ้นมองเข้าไปในความว่างเปล่าและพูดว่า “โปรดช่วยข้าทำลายอุปสรรคที่ขวางการบรรลุระดับเทียนจื้อจุนด้วย!”
มหานวดารายังคงนิ่งเงียบชั่วครู่ ก่อนที่ลูกกลมจะลอยขึ้นและหดตัวลงทันที จากนั้นก็กลายเป็นลำแสงพุ่งใส่ศีรษะของมู่เฉิน
มู่เฉินหายใจเข้าลึกพลางหลับตาลง
ความสำเร็จหรือความล้มเหลวทั้งหมดขึ้นอยู่กับสิ่งนี้!
บทที่ 1393 ภัยพิบัติเทียนจุน
ฮึ่ม!
เมื่อแสงมหานวดารายิงเข้าศีรษะของมู่เฉิน ร่างกายของเขาก็สั่นเทิ้ม รูขุมขนทั่วสรรพางค์กายเปล่งรัศมีที่บรรจุด้วยคลื่นหลิงที่แข็งแกร่งมาก ทันทีที่เคลื่อนออกจากร่างเขา ก็กลายเป็นเม็ดฝนโปรยลงมาในบริเวณนี้
เป็นเพราะพลังงานหลิงในร่างกายของมู่เฉินถึงขีดจำกัดจนไม่สามารถกักเก็บได้อีกต่อไป ดังนั้นร่างกายจึงเลือกการป้องกันตนเอง ปลดปล่อยพลังงานออกมา
แต่การปลอดปล่อยนี้ก็เท่ากับเมล็ดพืชเม็ดเดียวในมหาสมุทรเมื่อเทียบกับพลังมหาศาลที่ดวงจิตแห่งพิภพส่งมาถึงเขา
แกร็ก
ดังนั้นรอยแตกจึงเริ่มปรากฏขึ้นบนร่างของมู่เฉิน ในช่วงไม่กี่สิบลมหายใจสั้นๆ พื้นผิวร่างกายเขาก็เต็มไปด้วยรอยแตกที่ดูน่ากลัว
ทว่ามู่เฉินยังคงสงบสติอารมณ์เอาไว้ เนื่องจากเขารู้ว่าร่างกายมาถึงขีดจำกัดแล้ว…
“ในเมื่อถึงขีดจำกัดแล้ว… ก็แตกซะ…”
“หากปราศจากการทำลายล้างก็จะไม่มีการสร้าง แปรเปลี่ยนร่างเทียนจื้อจุน”
เขาพึมพำพร้อมกับความแน่วแน่ฉายในดวงตา โดยไม่ลังเลว่าภัยจะมาถึงตัว อึดใจฝ่ามือเขาก็สร้างตราประทับ ไม่ระงับพลังงานหลิงในร่างกายอีกต่อไป ปล่อยให้มันสร้างความหายนะอย่างเมามัน
ฮึ่ม ฮึ่ม!
แสงปะทุออกจากรอยแตกบนร่างของมู่เฉินแล้วเริ่มขยายตัวออก ครู่เดียวก็เกิดการระเบิดครั้งใหญ่
ปัง!
ร่างกายของมู่เฉินระเบิดกระจาย แต่ไม่มีเลือดสักหยด เศษส่วนร่างกายกลายเป็นฝุ่นละออง ทุกอณูวูบไหวด้วยผลึกแสง ลอยอยู่อย่างเงียบๆ
ฝุ่นละอองลอยอยู่ไม่รู้นานเท่าไรก่อนที่พายุจะก่อตัวขึ้น พัดจุดแสงให้รวมเข้าด้วยกัน
เมื่อเวลาผ่านไปภาพเงาก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นราวกับว่าเขากำลังพยายามปฏิรูปร่างกายอยู่
ครืน!
แต่ทันใดนั้นเสียงดังก้องผิดปกติก็ดังออกมา ซึ่งทำให้ร่างเงาที่อยู่ระหว่างกระบวนการสั่นไหว
แม้ว่าร่างกายจะแตกเป็นเสี่ยงๆ แต่จิตวิญญาณยังคงอยู่ มู่เฉินสัมผัสได้ถึงความผันผวนนี้ ทำให้หัวใจของเขาสั่นสะท้านพลางเงยหน้าขึ้นมอง
มหานวดาราเริ่มผันผวน เมฆดำโหมกระหน่ำพวยพุ่งพร้อมกับแสงสีดำแล่นแปลบปลาบอยู่ภายใน ไม่รู้ว่ามีอะไรก่อหวอดอยู่ภายใน แต่มันก็ยังดูดซับพลังสภาวะความวุ่นวายอย่างต่อเนื่อง ทำให้ลึกลับมากขึ้น
เมื่อมู่เฉินมองไปที่เมฆดำความกลัวก็เพิ่มขึ้นภายในหัวใจ ก่อนที่เสียงหนักแน่นจะดังก้องออกมาจากหัวใจของเขาในเวลาเดียวกัน “นี่คือ…ภัยพิบัติเทียนจุน?”
ว่ากันว่าผู้ฝึกจะต้องเผชิญกับภัยพิบัติเทียนจุนเมื่อต้องการบรรลุระดับเทียนจื้อจุน ภัยพิบัตินี้ทรงพลังมาก แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเองก็ยังหวาดกลัว
“ตอนนี้ชักจะลำบากแล้ว”
มู่เฉินถอนหายใจ ภัยพิบัติเทียนจุนดูเหมือนจะดูดซับพลังงานมหานวดารา ทำให้มีพลังน่ากลัวยิ่งขึ้น ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญที่เขาจะต้องปรับแต่งร่างกาย หากถูกรบกวนละก็ เขาอาจสูญเสียโอกาสนี้ ดังนั้นห้ามมีข้อผิดพลาดแม้แต่น้อย
ซ่า ซ่า!
ขณะที่มู่เฉินกำลังจดจ่อ เมฆสีดำก็ผันผวนบนท้องฟ้า กระแสน้ำสีดำพุ่งลงมาจากสวรรค์ มิติแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในเส้นทางที่ผ่าน
มู่เฉินหดดวงตา ร่างเขาที่กำลังปรับแต่งก็ระเบิดด้วยรัศมีสีม่วงทอง ก่อนที่จะเรียกร่างเทพสุริยะนิรันดร์ออกมา เมื่อมือเขาประสานเข้าด้วยกันรหัสเทพอมตะสามร้อยลายก็พวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า กลายเป็นกำแพงเหนือท้องฟ้า
ตู้ม!
กระแสน้ำสีดำกระแทกบนกำแพงจนสั่นคลอนไปหมด น้ำสีดำทุกหยดหนักราวกับภูเขา เมื่อเทลงมาพร้อมกันก็คล้ายกับน้ำหนักนับหมื่นนับแสนถล่มลงมา สำแดงพลังอันน่าทึ่ง
รอยแตกเริ่มปรากฏบนผนัง แต่โชคดีที่ไม่แตก ยังคงอยู่จนกระแสน้ำสีดำสลายหายไป
“ภัยพิบัติเทียนจุนน่าสะพรึงอะไรขนาดนี้!”
หัวใจของมู่เฉินอดสั่นสะท้านไม่ได้ นี่เป็นเพียงเริ่มต้น แต่การป้องกันที่เขาสร้างขึ้นจากรหัสเทพอมตะสามร้อยลายเกือบจะพังทลาย แล้วถ้ารอบท้ายๆ จะน่ากลัวขนาดไหน?
มู่เฉินรู้สึกหวาดกลัวในใจและไม่กล้าที่จะประมาท เขาเร้าร่างเทพสุริยะนิรันดร์ทันที สร้างรหัสเทพอมตะนับไม่ถ้วนเพื่อเสริมกำแพง…
เมฆดำเริ่มกวนตัวอีกครั้ง ในเวลาต่อมาอุณหภูมิระหว่างสวรรค์และโลกก็เพิ่มสูงขึ้น ทันใดนั้นดาวหางก็พุ่งลงมา
ดาวหางมีสีดำแม้จะดูอ่อนแอ แต่มู่เฉินก็ไม่กล้าประเมินต่ำ กำแพงสีม่วงทองเปล่งแสงสีทองเรืองรองออกมา…
ดาวหางเคลื่อนลงมาชนกับผนัง แต่น่าแปลกที่ไม่มีการระเบิดเกิดขึ้น มู่เฉินเห็นว่าเมื่อดาวหางร่วงลงก็คล้ายกับพิษที่มีฤทธิ์กัดกร่อน ซึ่งกัดกร่อนกำแพงสีม่วงทองอย่างรวดเร็ว…
เมื่อมู่เฉินเห็นฉากนี้ก็เข้าควบคุมเหวี่ยงกำแพงออกไป ครู่ต่อมากำแพงก็สึกกร่อนกลายเป็นลาวาหลอมเหลวโดยดาวหาง
ครืน!
ก่อนที่มู่เฉินจะได้ถอนหายใจกับพลัง เมฆดำก็เริ่มม้วนตัวอีกครั้ง แต่คราวนี้อุกกาบาตสีดำพุ่งลงมาจากท้องฟ้าพร้อมกับการเคลื่อนที่หนักหน่วง
เมื่อมองไปที่อุกกาบาตสีดำ มู่เฉินรู้ว่าไม่สามารถให้มันรวมพลังเพราะยิ่งเข้าใกล้ตัวก็ยิ่งแรง เพียงแค่คิดรัศมีแสงจากร่างเทพสุริยะนิรันดร์และรหัสเทพอมตะก็กลายเป็นหอกสีทอง
ฟิ้ว!
ร่างเทพสุริยะนิรันดร์เหวี่ยงมือ หอกก็พุ่งออกไปกระแทกกับอุกกาบาตสีดำ ทำให้อุกกาบาตสั่นสะท้าน แต่ตัวหอกก็กลายเป็นเถ้าถ่านภายใต้พลังน่าสะพรึงกลัว
ฟิ้ว ฟิ้ว!
แต่หลังจากนั้นหอกอีกจำนวนมากก็ซัดขึ้นสู่ท้องฟ้า แม้ว่าจะถูกทำลายครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ความเร็วของอุกกาบาตาก็ลดลง
เมื่อถึงเวลานี้ มู่เฉินก็เร้าร่างเทพสุริยะนิรันดร์อีกครั้ง รหัสเทพอมตะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ากลายเป็นตาข่ายขนาดใหญ่
ตู้ม ตู้ม!
อุกกาบาตสีดำกดลงมาทำลายตาข่าย แต่เมื่อตาข่ายละลายลง อุกกาบาตสีดำก็หดลงเหลือครึ่งหนึ่ง
ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า รัศมีสีทองเปล่งบนกำปั้นจากนั้นชกไปที่อุกกาบาตสีดำ
ตู้ม!
คลื่นกระแทกมืดฟ้ามัวดินพัดออกมา อุกกาบาตสีดำถูกทำลาย แต่ในเวลาเดียวกันร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็กระเด็นออกไปพร้อมกับรอยแตกปรากฏบนร่างกาย
เมื่ออุกกาบาตสีดำถูกทำลาย เมฆดำบนท้องฟ้าก็เงียบไป แต่หัวใจของมู่เฉินกลับตึงเครียดขึ้น เขารู้ดีว่าหลังจากการรวมพลังเช่นนี้ การโจมตีจะน่ากลัวยิ่งขึ้น
ครืน!
ทันใดนั้นสายฟ้าสีดำก็ฉีกขอบฟ้าออกซัดลงมา สายฟ้าทุกสายมีพลังทำลายล้างดูน่ากลัวจนไม่น่าเชื่อ
เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ ใบหน้าก็เปลี่ยนไป เขาตะเบ็งเสียงโดยไม่ลังเล ร่างเทพสุริยะนิรันดร์กำจายรัศมี ดอกบัวสีทองขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นห่อหุ้มพวกเขาไว้
ปัง ปัง!
สายฟ้าฟาดลงมาอย่างต่อเนื่องกระแทกกับดอกบัวสีทอง ทุกสายทำให้ดอกบัวสั่นเทิ้ม กลีบดอกแตกออก
การโจมตีนี้รุนแรงอย่างยิ่ง นอกจากนี้ยังดำเนินต่อไปราวกับพายุไม่มีที่สิ้นสุดในท้องฟ้า แม้ว่ามู่เฉินจะใช้การป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ก็ยังดูเหมือนเรือลำเล็กในพายุราวกับจะล่มลงได้ทุกเมื่อ
เปรี้ยงๆๆๆ
เสียงสายฟ้าฟาดดังสะท้อนอย่างต่อเนื่อง เขาไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน เขาคิดแต่ซ่อมแซมดอกบัวอมตะเท่านั้น แต่ก็ยังไม่สามารถรักษาสภาพไว้ได้
ดังนั้นเมื่อดอกบัวอมตะถึงขีดจำกัดในที่สุดและระเบิดออก…
เมื่อดอกบัวแตกสลาย เกลียวสีดำหลายชิ้นก็ตกลงมาบนร่างเทพสุริยะนิรันดร์ทำให้เกิดรอยร้าวขึ้น
แต่โชคดีที่สายฟ้าอ่อนกำลังลงหมดแล้ว มู่เฉินผ่านภัยพิบัติเทียนจุนได้อีกด่าน
พอสายฟ้าหายไป มู่เฉินก็สูดหายใจเย็นลึกสุดปอด ภัยพิบัติเทียนจุนน่ากลัวเกินไป ไม่น่าแปลกใจที่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนแค่หยิบมือในโลก เพียงแค่ภัยพิบัติด่านนี้ก็สามารถหยุดยั้งผู้คนจำนวนมากไม่ให้ก้าวหน้าได้
“ภัยพิบัติเทียนจุนโดยทั่วไปมีสี่ระยะ น่าจะจบลงแล้วมั้ง?”
มู่เฉินพึมพำในใจ หากมีลงมาอีกสองสามรอบ คราวนี้ไม่ต้องพูดถึงเขา แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนแท้จริงก็ไม่สามารถรับได้
ฮึ่ม ฮึ่ม
แต่เมื่อพูดจบ เขาก็รู้สึกได้ถึงความปั่นป่วนที่มาจากเมฆดำจนต้องเงยหน้าขึ้น จากนั้นเขาก็เห็นเมฆดำกำลังหดตัว ไม่กี่ลมหายใจพวกมันก็สลายและถูกแทนที่ด้วยหลุมดำ…
หลุมดำลอยคว้างอยู่บนท้องฟ้า ก่อนที่จะพุ่งลงมาหามู่เฉิน
“ฉิบหาย! ทำไมถึงมีระยะที่ห้าอีก?!”
เมื่อหลุมดำเคลื่อนตัวลงมาก็ทำเอาหัวใจมู่เฉินโลดขึ้น เขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานมหาศาลพวยพุ่งอัดแน่นอยู่ภายใน
พลังนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าพลังเต็มร้อยของจอมปีศาจโลหิตซะอีก
หัวใจของมู่เฉินแทบหลุดจากเบ้า แม้ว่าจะมีภัยพิบัติเทียนจุนที่เกินสี่ระยะ แต่เขาก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าตนเองจะเป็นคนที่โชคร้ายได้รับแบบนี้
นอกจากนี้หลุมดำนั้นดูเหมือนจะก่อตัวขึ้นหลังจากดูดซับพลังงานมหานวดารา พลังที่มันมีไม่อาจอธิบายได้เลย
“ทีนี้…นรกของจริงแล้ว”
บทที่ 1394 จากเป่ยหลิงตั้งแต่วัยเยาว์...
ฮึ่ม ฮึ่ม
หลุมดำไม่ได้พุ่งลงมาด้วยความเร็วสูง แต่มู่เฉินก็รู้ดีว่าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
ยามนี้เขารู้สึกถึงอันตรายที่ไม่อาจบรรยายได้ผุดขึ้นในหัวใจ เขารู้ดีว่าความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจทำให้เขาตายคาที่ในวันนี้แน่อน
ดังนั้นเขาจึงหมุนเวียนพลังร่างเทพสุริยะนิรันดร์โดยไม่ลังเลใดๆ รัศมีระเบิดออกโดยไม่คำนึงถึงรอยแตกบนร่างกาย
ดอกบัวอมตะปรากฏขึ้นเป็นโล่ป้องกันอีกครั้ง
นี่เป็นวิธีการป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา ต่อให้เป็นเขาในปัจจุบันก็ยากที่จะสร้างได้สองครั้งติดๆ กัน เนื่องจากพลังที่สูญเสียนั้นจะเป็นอันตรายต่อร่างเทพสุริยะนิรันดร์ ทว่าตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่น มิฉะนั้นคงเป็นตัวเขาเองที่ถูกทำลาย
ขณะที่มู่เฉินเร้าใช้การป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดอีกครั้ง หลุมดำก็กระแทกลงไปบนดอกบัวสีทองอย่างนุ่มนวล
ในช่วงเวลาสัมผัสกันนั้น แสงสีดำตระการตาก็พวยพุ่งออกมาแล้วกดมา ดอกบัวสีทองเริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ถัดมาจากนั้นก็ถูกทำลายลงด้วยความเร็วที่มองเห็นได้…
นั่นคือการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความว่างเปล่าอย่างแท้จริง มากจนแม้แต่คลื่นหลิงก็ถูกลบออกไปภายใต้แสงสีดำ
การป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาไม่สามารถต้านทานแสงสีดำได้เลย!
หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้าน ตอนนี้ร่างกายของเขาได้รับการปรับแต่งไปมากกว่าครึ่งแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นมองดอกบัวสีทองที่สึกกร่อน ความรู้สึกถึงความตายปกคลุมหัวใจ
ถ้าเป็นคนธรรมดาตอนนี้คงจะสิ้นหวังไปแล้ว แต่มู่เฉินผ่านความเป็นความตายมานับครั้งไม่ถ้วน ดังนั้นแม้จะเกิดริ้วกระเพื่อมในใจเขาก็ไม่ได้กลัวอะไรมาก
เขาเม้มปากแน่น ไม่คิดยอมแพ้พลังหลุมดำ กลับกันเขาตั้งจิตใจให้สงบ หลอมรวมเข้ากับร่างเทพสุริยะนิรันดร์เพื่อเผชิญหน้ากับสิ่งนี้อย่างเต็มกำลังที่มี
สิบลมหายใจผ่านไป ก่อนที่ดอกบัวสีทองจะหายไปและหลุมดำก็เคลื่อนต่อลงมา คราวนี้มันพุ่งเป้าไปที่ร่างเทพสุริยะนิรันดร์และร่างมู่เฉินที่ปรับแต่งไปครึ่งเดียว
มู่เฉินเงยหน้าขึ้น ไม่มีความสุขหรือความเศร้าบนใบหน้า ร่างเทพสุริยะนิรันดร์กำจายรัศมี ดูราวกับพระพุทธรูปปรางสมาธิองค์ใหญ่
หลุมดำตกลงมาครอบคลุมบนร่างเทพสุริยะนิรันดร์
เมื่อแสงสีดำตกลงมา แสงสีม่วงทองก็เริ่มหมองคล้ำจากบริเวณศีรษะ…
มู่เฉินจับจ้องฉากนี้ก่อนที่จะค่อยๆ หลับตาลง ตอนนี้เขารู้สึกราวกับว่าได้หลอมรวมกับร่างเทพสุริยะนิรันดร์สมบูรณ์แล้ว
ความเข้าใจบางอย่างวาบขึ้นในหัวใจ
แสงสีดำยังคงบีบกดต่อไปโดยไม่หยุดยั้ง ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็ถูกลบไปพร้อมกับร่างมู่เฉินที่เพิ่งได้ปรับแต่ง
ร่างมู่เฉินหายไปในมหานวดาราราวกับว่าภัยพิบัติเทียนจุนทำลายล้างทุกสรรพสิ่ง
หลังจากที่มู่เฉินหายไป หลุมดำก็ค่อยๆ สลายลงระหว่างฟ้าดิน
สภาวะความวุ่นวายกลับสู่ความสงบ
ไม่มีใครรู้ว่าความเงียบงันคงอยู่นานแค่ไหน อาจจะเป็นทศวรรษหรือศตวรรษ… แต่ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน เวลาในมหานวดารานี้ก็ยังไหลอย่างเชื่องช้า…
ด้านนอกภูเขาเสี่ยหมัว
ไป๋ซู่ซู่และคนอื่นๆ จ้องมองไปที่เจดีย์ขนาดใหญ่ด้วยความกังวลใจ แม้ว่าในมหานวดารามู่เฉินเหมือนจะได้รับการฝึกฝนมานานหลายทศวรรษ แต่ที่นี่ผ่านไปเพียงครึ่งวันเท่านั้น
แต่ครึ่งวันนี้ก็ยังทำให้ทุกคนที่เฝ้ารอรู้สึกกระวนกระวายใจ
เนื่องจากพวกเขารู้สึกได้ว่าเจดีย์สลัวลง นั่นหมายความว่าอีกไม่นานจอมปีศาจโลหิตก็จะเป็นอิสระ
ถ้ามู่เฉินยังไม่กลับมาในเวลานั้น พวกเขาทั้งหมดก็จะตายในมืออีกฝ่ายอย่างง่ายดาย
“ไม่ต้องรีบร้อน เราได้ทำในสิ่งที่ทำได้แล้ว ต่อไปก็รอเพียงโชคชะตาที่จะชี้ว่าเราจะชนะหรือแพ้” จอมยุทธ์มังกรขาวสงบนิ่งเนื่องจากได้เห็นความเป็นตายมามาก นอกจากนี้เขารู้ดีว่าความกังวลไม่ช่วยอะไรในสถานการณ์นี้
ไป๋ซู่ซู่ก็สงบลงเมื่อได้ยินพลางพยักหน้า “ท่านเทพจะต้องทำสำเร็จแน่นอน!”
จอมยุทธ์มังกรขาวถอนหายใจ เขารู้ว่าการไปถึงระดับเทียนจื้อจุนยากเย็นเพียงใด เนื่องจากตัวเขาก็เคยฝึกฝนเป็นเวลานานในมหาพันภพ แม้แต่เผ่าโบราณของมหาพันภพก็ยังยากที่จะสร้างจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน เนื่องจากการก้าวขึ้นไปผู้ฝึกจำเป็นต้องผ่านเส้นทางอันตรายมากมาย ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยที่สุดก็หมายถึงความตาย
ดังนั้นแม้เขาจะรู้สึกว่ามู่เฉินเป็นอัจฉริยะ แต่ก็ไม่มั่นใจที่อีกฝ่ายจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนได้หรือไม่
เวลาไหลไปในมหานวดารา
ทันใดนั้นความผันผวนก็มาถึงพร้อมกับละอองสีทองปรากฏขึ้น แม้ว่าในตอนแรกจะดูอ่อนแอบอบบาง แต่ก็ค่อยๆ กำจายรัศมีออกมามากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
เส้นแสงแผ่ออกไปช้าๆ ละอองฝุ่นก็เริ่มหนาแน่นขึ้น เพียงสิบลมหายใจก็ถักทอกลายเป็นรังไหมสีม่วงทองขนาดพันจั้ง…
รังไหมปกคลุมไปด้วยลวดลายโบราณที่ดูเหมือนจะแสดงถึงความเป็นอมตะ
เมื่อรังไหมถูกสร้างขึ้น ก็ดูดกลืนพลังงานมหานวดารามากมาย กระบวนการนี้ใช้เวลายาวนานก่อนที่จะถึงขีดสุด จากนั้นก็มีรอยแตกแผ่ออกมา
แกร็ก แกร็ก
รอยแตกขยายออกไป ปกคลุมทุกตารางนิ้วของรังไหมอย่างรวดเร็ว อึดใจต่อมารังไหมก็สั่นไหวและแตกออก
แสงสีม่วงทองสุกปลั่งเปล่งประกายออกมา แม้แต่สภาวะความวุ่นวายก็ไม่สามารถปกปิดได้ทั้งหมด
ทันใดนั้นรัศมีที่อธิบายไม่ได้ก็รวมตัวกัน กระทั่งสภาวะความวุ่นวายยังเริ่มถอยห่างราวกับว่าไม่กล้าที่จะสัมผัสกับรัศมีนั้น
ภาพเงามองเห็นได้เลือนราง ไม่กี่ลมหายใจภาพคนคนหนึ่งก็ชัดเจนมากขึ้น
นี่เป็นชายหนุ่มสูงโปร่งสวมชุดสีดำที่มีประกายสีม่วงทองล้อมรอบตัวเขา การสั่นไหวทุกครั้งจะทำให้สวรรค์และโลกสั่นสะเทือนด้วยพายุเมฆโหมกระหน่ำ
ภายในรัศมีทรงกลดมู่เฉินลืมตาขึ้นช้าๆ ราวกับว่าดวงตาของเขาครอบครองจักรวาล ช่างดูเป็นนามธรรม เพียงแค่เหลือบมองก็ทำให้มิติแปรปรวน
เขาก้มหัวลงมองร่างกายของตนเองที่ระยิบระยับด้วยรัศมีหยกบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ตอนนี้ร่างกายของเขาได้หลอมรวมเลือดเนื้อและคลื่นหลิงเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์
ในอนาคตแม้ว่าร่างกายของเขาจะถูกทำลาย แต่ตราบใดที่ยังมีคลื่นหลิงเหลืออยู่ระหว่างสวรรค์และโลก เขาก็สามารถปรับแต่งร่างกายอีกครั้ง ช่างอยู่ยงคงกระพันนัก
“อา…นี่หรือระดับเทียนจื้อจุน?”
มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง ความรู้สึกถึงพลังที่สามารถทำลายสวรรค์และโลกได้ทำให้เขามึนเมา พลังระดับนี้เป็นสิ่งที่เขาในอดีตไม่อาจจินตนาการได้เลย
เขารู้สึกได้ว่าแม้ในอดีตจะใช้กำลังอย่างเต็มที่ กระทั่งหลังจากเร้าวิชาเจดีย์แปดองค์ เขาก็ไม่สามารถเทียบกับฝ่ามือเดียวในปัจจุบันได้
“พลังนี้…ไม่แปลกใจที่ภัยพิบัติเทียนจุนน่ากลัวขนาดนั้น”
มู่เฉินเม้มปาก ถ้าเขาไม่ได้เข้าใจถึงทักษะเทห์สวรรค์ขั้นสามของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ในช่วงเวลาสุดท้าย เมื่อเกิดการหล่อหลอมเข้าด้วยกัน เขาคงเจอหายนะเข้าแล้วจริงๆ
ทักษะเทห์สวรรค์ขั้นสามเรียกว่าแปรเป็นตายอมตะ ซึ่งลึกซึ้งอย่างไม่น่าเชื่อ แต่เงื่อนไขในการเรียนรู้ก็เข้มงวดยิ่ง มีเพียงการเผชิญหน้ากับความตายเท่านั้นถึงจะมีโอกาสฝึกฝนได้สำเร็จ
แต่เมื่อประสบความสำเร็จ แม้จะเผชิญกับความตาย เขาก็สามารถเกิดใหม่ ซึ่งจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้นด้วย
ทักษะเทห์สวรรค์นี้ต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมาก ท้ายที่สุดไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความกล้าพอจะเผชิญหน้ากับความเป็นตาย
มู่เฉินยิ้มก่อนที่จะถอนหายใจในหัวใจ เขาต้องเผชิญกับความทุกข์ยากและความล้มเหลวนับไม่ถ้วนกว่าจะมาถึงจุดนี้ ทว่าเขาก็ยังรักษาหัวใจไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งอื่น
หลังจากเพาะบ่มมายาวนาน ในที่สุดความพยายามก็ออกดอกผล…
ออกจากเป่ยหลิงตั้งแต่เยาว์วัย วันนี้เขาก้าวเข้าสู่ประตูมังกรแล้ว
ตอนนี้มีที่สำหรับเขาในมหาพันภพแล้ว
มู่เฉินหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็โบกมือ เงาเขาค่อยๆ หายไปพร้อมกับสภาวะความวุ่นวายแรกเริ่มในมิตินี้…
ภูเขาเสี่ยหมัว
ครืน!
เสียงกึกก้องดังขึ้นระหว่างแผ่นฟ้ากับแผ่นดิน ทุกครั้งก็ทำให้ใบหน้าของผู้คนเปลี่ยนไป
เนื่องจากทั้งหมดนี่ล้วนมาจากเจดีย์
ขณะนี้เจดีย์กำลังสั่นสะท้านไม่หยุด ชัดว่ามีพลังน่าสะพรึงกลัวสร้างหายนะอยู่ภายใน ดูเหมือนว่าเจดีย์จะไม่สามารถทนได้อีกต่อไป
ตู้ม!
ความปั่นป่วนอีกครั้งดังขึ้น เจดีย์สั่นสะท้านทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าก่อนที่จะแตกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกับมหาสมุทรเลือดพลุ่งพล่านออกมากลายเป็นร่างจอมปีศาจโลหิตบนท้องฟ้า
เมื่อผู้คนเห็นจอมปีศาจโลหิตก็อดรู้สึกสิ้นหวังในใจไม่ได้
แต่เมื่อพวกเขาเตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความตาย จอมปีศาจโลหิตก็ไม่แม้แต่ปรายตามองมา แต่กลับมองไปบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
พวกไป๋ซู่ซู่อึ้งไปชั่วคราว ก่อนที่จะคิดออกทันที จากนั้นทุกคนก็เงยหน้าขึ้น พวกเขาเห็นลูกแสงมหานวดาราพุ่งลงมาจากท้องฟ้า
เมื่อแสงสลายไป ภาพเงาที่คุ้นเคยก็ก้าวออกมาพร้อมกับเสียงหัวเราะที่ทำให้ความกลัวในใจทุกคนสงบลง
“ขออภัยที่ทำให้ทุกคนต้องรอคอย”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น