หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1377-1386
บทที่ 1377 ทำลายล้างฉับพลัน
เมฆสีแดงเข้มกระจายออกไป
ผู้คนในเมืองตัวสั่นเทาด้วยความกลัวบนใบหน้า เงาสีแดงเข้มบนท้องฟ้ามองลงมาอย่างตะกละตะกลามราวกับว่ากำลังมองดูหมูหมาในคอก…
ภายใต้บรรยากาศสิ้นหวังระหว่างฟ้าดิน ร่างเงาชายหนุ่มก็ย่างเท้าออกจากห้องโถงทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า
ร่างสีแดงเข้มมองไปที่มู่เฉินอย่างไม่แยแส “แกเป็นคนล้างบางเมืองของข้าหรือ?”
มู่เฉินผงกหน้ายิ้มอ่อน “ก็แค่บี้เห็บดูดเลือดตายไปเอง”
เมื่อเขาพูด คำพูดก็ดึงดูดสายตาที่แสดงความโหดร้ายมากมายทันที จอมยุทธ์เผ่าเสี่ยเสียจ้องมองมู่เฉินราวกับว่าพวกเขาต้องการฉีกร่างเขาออกจากกัน
ผู้คนในเมืองเฝ้าดูฉากนี้ด้วยความกลัว พวกเขาไม่คิดว่าชายหนุ่มจะกล้าตอกกลับคำพูดของผู้บัญชาการปีศาจโลหิต… นั่นเป็นการดำรงอยู่ที่ราวกับเทพปีศาจเชียวนะถ้าเขาโกรธขึ้นมาละก็ แม่น้ำเลือดคงผุดขึ้นแน่นอน
ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตหรี่ตาลงขณะมองมู่เฉินอย่างเย็นชา “ไม่มีใครในโลกนี้ที่กล้าพูดโอหังกับข้าเช่นนี้”
มู่เฉินยิ้มเยาะพลางส่ายหัว “ดูเหมือนว่าแกจะกดขี่พิภพเขตล่างนี้มานานเกินไป ก็แค่ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตของเผ่าเสี่ยเสียเท่านั้น นับเป็นอะไรได้?”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘พิภพเขตล่าง’ ดวงตาของผู้บัญชาการปีศาจโลหิตก็หดลงขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยความตกใจ “แกมาจากมหาพันภพเรอะ?!”
มู่เฉินตอบ “พวกแกก่อกรรมทำชั่วมากเกินไป สวรรค์จึงส่งคนมาจัดการไง”
“แค่แกเนี่ยนะ” ท่าทางเหยียดหยามปรากฏขึ้นบนใบหน้าซีดเซียวของผู้บัญชาการปีศาจโลหิตขณะที่ตอบว่า “ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มคิดจะเผชิญหน้ากับเผ่าเสี่ยเสียของข้ารึ?”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?” มู่เฉินยิ้ม
ไอสังหารเลือดเย็นกะพริบในดวงตาผู้บัญชาการปีศาจโลหิต การแทรกแซงจากมหาพันภพอยู่เหนือความคาดหมาย ดังนั้นพวกเขาต้องกำจัดชายคนนี้ให้จงได้ มิฉะนั้นหากจอมยุทธ์ในมหาพันภพแห่กันเข้ามา เผ่าเสี่ยเสียถึงกาลอวสานแน่
“ฆ่ามันซะ” เขากล่าวอย่างเย็นชาต่อแม่ทัพทั้งสี่ ตัวเขานิสัยระมัดระวังอยู่แล้ว ดังนั้นเขาต้องการที่จะตรวจสอบพลังของมู่เฉินก่อนสิ่งอื่นใด
“รับทราบ!”
แม่ทัพปีศาจโลหิตทั้งสี่ตะโกนก้อง จากนั้นก็มองไปที่มู่เฉินอย่างอาฆาตมาดร้าย โดยไม่ลังเลใดๆ พวกเขากระทืบเท้าส่งร่างกลายเป็นลำแสงสีแดงเข้มสี่สายพุ่งเข้าหามู่เฉิน
ครืนๆๆๆ!
รัศมีสีแดงเข้มระเบิดออกมาจากทั้งสี่ ทำให้ฟ้าดินแปดเปื้อนไปด้วยกลิ่นคาวเลือด เมื่อชาวเมืองเห็นฉากนี้ก็อดใจสั่นหวั่นไหวไม่ได้ พวกเขารู้ชัดเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของแม่ทัพปีศาจโลหิต ตอนนี้พวกมันสี่คนรวมกลุ่มกันแม้แต่จักรพรรดินีของพวกเขาก็ไม่ได้เหนือกว่าใดๆ
จักรพรรดินีและขุนนางน้อยใหญ่รวมตัวกันด้านนอก เฝ้าดูการเผชิญหน้าบนท้องฟ้าด้วยร่างกายที่ตึงเครียดขึ้น
เพราะพวกเขาไม่ทราบถึงพลังแท้จริงของมู่เฉิน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่แน่ใจว่ามู่เฉินจะสามารถจัดการกับแม่ทัพทั้งสี่ได้หรือไม่
หากเขาล้มเหลว… วันนี้คงเป็นวันทำลายล้างเผ่าพันธุ์แล้ว
วาบ วาบ!
ภายใต้สายตาประหวั่นพรั่นพรึงนับไม่ถ้วน ร่างสีแดงเข้มทั้งสี่พุ่งเข้าหามู่เฉิน เขาเพียงเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าสงบ มองดูแม่ทัพปีศาจโลหิตที่มีรัศมีรุนแรงรอบร่าง
นิ้วมือกำเข้าหากัน กำปั้นแล่นแปลบปลาบด้วยผลึกแสง
จากนั้นเขาก็เหวี่ยงหมัดออกไปโดยที่ร่างไม่ขยับ
ฮึ่ม ฮึ่ม!
หมัดตกผลึกพร่างพราวขยายออกอย่างรวดเร็ว อึดใจต่อมาหมัดขนาดหนึ่งพันจั้งก็ทะยานออกไป หมัดทะลุผ่านมิติไปปรากฏเบื้องหน้าแม่ทัพปีศาจโลหิตทั้งสี่ด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ
หมัดพุ่งเข้ามากะทันหัน เมื่อปรากฏเบื้องหน้าแม่ทัพปีศาจโลหิตทั้งสี่ พวกเขาถึงได้ตอบสนอง ใบหน้าแต่ละคนเปลี่ยนไป เสียงตะโกนดังออกเรียกกระแสน้ำสีแดงเข้มสี่สายไหลบ่าออกมาจากร่างกาย พลังโหดร้ายปะทะกับหมัดตกผลึก
ชี่ ชี่!
ทว่าเมื่อหมัดสัมผัสกับกระแสน้ำสีแดงเข้ม กระแสน้ำก็ถูกลบออกทันที ราวกับหิมะต้องลาวาอย่างไรอย่างนั้น…
ใบหน้าของแม่ทัพปีศาจโลหิตทั้งสี่เปลี่ยนไปรุนแรง ความหวาดผวาผุดขึ้น พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าการโจมตีกระบวนท่านี้จะพ่ายแพ้อย่างง่ายดาย…
ราวกับว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน!
“ถอยเร็ว!”
ทั้งสี่ถอยหนีกันจ้าละหวั่น
“คิดจะไปไหนเหรอ?” มู่เฉินยิ้มเยาะพร้อมกับไอสังหารแล่นพล่านในดวงตา ตัวเขาเกลียดเผ่าปีศาจต่างมิติอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจะไม่ยั้งไว้แน่นอนในเมื่อโอกาสมาถึง
นิ้วสะบัด หมัดตกผลึกก็ซัดผ่านมิติกระแทกเข้ากับร่างทั้งสี่
อ๊าก!
เสียงกรีดร้องที่โหยหวนดังก้องระหว่างฟ้าดิน
หมัดตกผลึกหายไปอย่างช้าๆ ส่วนแม่ทัพปีศาจโลหิตทั้งสี่ก็ถูกลบออกจากโลกนี้ ภายใต้กำปั้นไม่เหลือแม้แต่กระดูก
หมัดเดียว แม่ทัพปีศาจโลหิตทั้งสี่ไม่เหลือแม้แต่ขี้เถ้า
ทั่วบริเวณเงียบสงัด ผู้คนที่มีสีหน้าสิ้นหวังก็เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงเมื่อมองฉากนี้…
แม่ทัพปีศาจโลหิตที่อยู่ยงคงกระพันปวกเปียกต่อหน้าเขาขนาดนี้จริงหรือ?
“นั่นท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่!”
เมื่อผู้คนจากเมืองเถี่ยเสี่ยเห็น ก็ส่งเสียงออกมาอย่างตื่นเต้นก่อนที่จะกระจายออกไป ทั้งเมืองตกอยู่ในความโกลาหล
“เป็นเทพจริงๆ หรือนี่?”
“เขาทรงพลังมาก ซ้ำยังไม่ใช่พวกเผ่าปีศาจ จะต้องเป็นเทพแน่อน!”
“ท่านเทพมาช่วยเราใช่ไหม?”
“…”
ผู้คนที่นี่คุกเข่าลงอย่างตื่นเต้น ในที่สุดพวกเขาก็ได้เห็นริ้วความหวังในความสิ้นหวังแล้ว
ขุนนางน้อยใหญ่ที่เบื้องหน้าวังหลวงก็พูดไม่ออกได้แต่กลืนน้ำลายลงคอเมื่อมองภาพร่างเงาชายหนุ่มบนท้องฟ้า
พวกเขาตกตะลึงกับฉากการสังหารแม่ทัพปีศาจโลหิตสี่คนด้วยหมัดเดียว
จักรพรรดินีก็มองไปที่มู่เฉินด้วยดวงตาระยิบระยับ พลังนี้เป็นสิ่งที่นางใฝ่ฝัน
ขณะที่ชาวเมืองพากันตื่นเต้นดีใจ ใบหน้าของจอมยุทธ์เผ่าเสี่ยเสียก็เปลี่ยนไป พวกเขาอยู่ยงคงกระพันในโลกนี้มานานจึงสร้างความเย่อหยิ่ง แต่ตอนนี้ผลกระทบสะท้อนใส่พวกเขาเข้าบ้างแล้ว
นั่นคือสี่แม่ทัพปีศาจโลหิตนะ! แม้จะอยู่ในเผ่าเสี่ยเสีย พวกเขาก็อยู่ในลำดับชั้นที่สูง แต่กลับอ่อนแอราวกับมดปลวกที่เบื้องหน้าชายหนุ่มคนนี้
สมาชิกเผ่าเสี่ยเสียฉายความกลัวบนใบหน้าขณะมองไปที่ผู้บัญชาการปีศาจโลหิต ยามนี้แววตาอีกฝ่ายน่ากลัวอย่างยิ่งเมื่อจ้องมองไปที่มู่เฉิน
พลังของชายหนุ่มคนนี้อยู่เหนือความคาดหมายเขามาก
แต่ยิ่งเป็นตัวปัญหา พวกเขาก็ยิ่งต้องฆ่าทิ้ง มิฉะนั้นจะไม่เท่ากับให้ความหวังพวกมนุษย์หน้าโง่ที่นี่หรือ?
“หึ ท่านเทพรึ? ข้าจะสังหารสิ่งที่เรียกว่า ‘ท่านเทพ’ ด้วยตัวเองภายใต้สายตาของมันทุกคน แล้วมาดูกันว่าจะมีใครกล้าที่จะกบฎต่อเผ่าเสี่ยเสียในอนาคตอีกไหม!” ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตกล่าวน้ำเสียงเย็นชา ก่อนที่จะค่อยๆ ลุกขึ้นจากบัลลังก์สีแดงเข้ม
เมื่อเขาลุกขึ้นยืนเสียงตื่นเต้นในเมืองก็วูบลง ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทิ้งเงาน่าสะพรึงไว้ในหัวใจพวกเขา หากแม่ทัพปีศาจโลหิตอยู่ยงคงกระพันในสายตาของพวกเขา ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตก็จะเทียบเท่ากับเทพมาร…
แม้ว่าชายหนุ่มคนนี้จะทรงพลัง แต่ก็ไม่มีใครมั่นใจว่าเขาสามารถเอาชนะผู้บัญชาการปีศาจโลหิตได้
ชัยชนะก่อนหน้านี้เป็นเพียงการหยั่งเชิง
แม้แต่กลุ่มขุนนางเบื้องหน้าวังยังมีใบหน้าเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มไป แม้ว่าการเคลื่อนไหวของมู่เฉินก่อนหน้าจะน่าทึ่ง แต่นี่ยังไม่พอ นั่นเป็นเพราะถ้าเขาไม่สามารถเอาชนะผู้บัญชาการปีศาจโลหิตได้ ความตกตะลึงจากก่อนหน้าก็จะอันตรธานหายไปสิ้นเชิง…
ขณะที่ทั้งสองฝ่ายประจันหน้ากัน มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นมองผู้บัญชาการปีศาจโลหิตด้วยสายตาที่หรี่ลง โดยมีเจดีย์ผลึกแก้วอยู่ในดวงตา
ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตย่างกรายลงมาจากเมฆสีแดงเข้มปรากฏเบื้องหน้ามู่เฉิน กอดอกพร้อมกับแสงสีแดงเข้มพล่านในดวงตา “ถ้าแกออกจากพิภพนี่ตอนนี้ ข้าจะยอมให้แกไปแบบมีชีวิตอยู่”
มู่เฉินยิ้มอ่อนแล้วยื่นมือออกไป คลื่นหลิงทรงพลังสั่นไหวราวกับสายฟ้าในฝ่ามือขณะที่เขาจ้องมองไปที่ผู้บัญชาการปีศาจโลหิต “งั้นข้าขอดูว่าแกมีความสามารถพอไหม”
“ดื้อด้าน รนหาที่ตาย!”
ใบหน้าของผู้บัญชาการปีศาจโลหิตเปลี่ยนไปเป็นน่ากลัว ก่อนที่มือแบออก ทันใดนั้นฟ้าดินก็มืดลง มหาสมุทรโลหิตไม่มีที่สิ้นสุดกวนตัวขึ้นที่ข้างหลัง เงาสีแดงเข้มขนาดหลายหมื่นจั้งก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
แรงกดดันน่าสะพรึงกลัวปกคลุมฟ้าดิน ร่างเงาสีแดงเข้มทำให้มิติราวกับจะพังทลายลง…
จักรพรรดินีมองไปที่ยักษ์สีแดงเข้มก็กัดริมฝีปากจนมีเลือดไหลออก นั่นเป็นเพราะนางหวนนึกถึงว่ายักษ์ตัวนี้ฆ่าผู้อาวุโสทั้งหมดในสำนักว่าน่ากลัวเพียงใด …
ยักษ์ปีศาจนั่นไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนจะเผชิญหน้าได้
แม้แต่ขุนนางจอมยุทธ์ข้างหลังนางก็มีใบหน้าซีดลงใกล้จะล้มแหล่มิล้มแหล่
ทั้งฟ้าดินสั่นสะท้านเพราะยักษ์ปีศาจตัวนี้
มีเพียงมู่เฉินเท่านั้นที่เงยหน้าขึ้นแล้วคลี่ยิ้ม “นี่เป็นทักษะที่แข็งแกร่งที่สุดของแกใช่ไหม?”
ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตระมัดระวังมากโดยไม่มีความที่จะหยั่งเชิงอะไร เขานำไม้เด็ดออกมาทันที
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้…”
มู่เฉินยิ้ม แต่รอยยิ้มไม่มีความอบอุ่นสักริ้ว ผลึกแสงกะพริบในดวงตาก่อนที่เจดีย์ผลึกแก้วใสจะทะยานออกมาตกลงบนฝ่ามือของเขา
“งั้นข้าก็ไม่ต้องสุภาพแล้ว…”
บทที่ 1378 สยบปีศาจ
ยักษ์สีแดงเข้มตัวมหึมายืนอยู่บนขอบฟ้า
ร่างปกคลุมดวงอาทิตย์ขณะที่ส่งกลิ่นคาวเลือดทั่วทั้งฟ้าดิน เปล่งแรงกดดันของเทพมาร
สายตานับไม่ถ้วนมองไปที่ยักษ์สีแดงเข้มด้วยความสิ้นหวัง พลเมืองสูญเสียความมั่นใจที่มี
ภายใต้สายตาหวาดกลัว มู่เฉินยังคงยืนอยู่บนท้องฟ้าด้วยท่าทางสงบพร้อมกับเจดีย์ผลึกแก้วใสวางในมือ
“ในเมื่อแกอยากเป็นวีรบุรุษในพิภพนี้ ข้าก็จะทำให้สมหวังเอง!”
ร่างผู้บัญชาการปีศาจโลหิตปรากฏบนยักษ์สีแดงเข้มมองลงมาที่มู่เฉินด้วยรอยยิ้มน่าขนลุก ในฐานะสมาชิกจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ เขามีความเข้าใจดีเยี่ยมเกี่ยวกับขุมพลังของมหาพันภพ มู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มเท่านั้น ในเผ่าเสี่ยเสียอย่างมากก็แข็งแกร่งกว่าแม่ทัพปีศาจโลหิตเล็กน้อย เทียบกับผู้บัญชาการปีศาจโลหิตไม่ได้เลย
“ตะวันโลหิตเคลื่อนคล้อย!”
ขณะที่สิ้นเสียงผู้บัญชาการปีศาจโลหิตยิ้ม เขาก็กระทืบเท้าลงไปโดยไม่ลังเลใดๆ ยักษ์ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าก็เปิดปากออกพร้อมแสงสีแดงเข้มพุ่งออกมาจากปากมัน กลายเป็นดวงอาทิตย์สีแดงเข้มขนาดพันจั้ง
ดวงอาทิตย์สีแดงเข้มลอยอยู่บนท้องฟ้า เปล่งประกายสีแดงเข้ม บริเวณที่ถูกส่อง แม้แต่เมืองเบื้องล่างยังเริ่มถูกกัดกร่อน
“ไป”
ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตยิ้ม ดวงอาทิตย์สีเลือดก็เล็งไปที่มู่เฉินก่อนที่จะพุ่งลงมา
“แกชอบเป็นวีรบรุษกอบกู้โลกนักไม่ใช่เหรอ? หากแกหลบไปชาวเมืองก็จะถูกสังหารโดยตะวันโลหิต” ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตยิ้มน่าขนลุก
“ทำไมต้องเล่นอุบายกระจอกแบบนี้ด้วย?” มู่เฉินยิ้มบาง ผู้บัญชาการคนนี้พูดยั่วเพราะไม่ต้องการให้เขาหลบเลี่ยง แต่มันคิดผิดไปเรื่องหนึ่งตั้งแต่แรก นั่นก็คือพลังของอีกฝ่ายไม่ได้สูงล้ำอะไรในสายตาของมู่เฉิน
ดังนั้นมู่เฉินจึงไม่ขยับร่าง เพียงแค่เงยหน้ามองตะวันโลหิต จนมันเข้าใกล้ถึงได้เริ่มสร้างตราประทับ
ฮึ่ม ฮึ่ม!
เมื่อตราประทับในมือเปลี่ยนไป ผลึกแสงนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมาจากฝ่ามือ ในเวลาไม่กี่ลมหายใจพวกมันก็ก่อตัวเป็นผลึกตาข่ายขนาดหลายหมื่นจั้งห่อหุ้มดวงอาทิตย์ที่พุ่งเข้ามา
“ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!”
ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตยิ้มกว้าง ตะวันโลหิตบรรจุด้วยพลังเอกลักษณ์ของเผ่าเสี่ยเสีย ซึ่งเต็มไปด้วยพลังกัดกร่อน เมื่อสัมผัสมันก็จะเกาะติดเหมือนปรสิต
ในมุมมองของเขาการต่อต้านซึ่งหน้าอย่างนี้ของมู่เฉินเป็นเพียงแค่รนหาที่ตาย
ภายใต้สายตาเยาะเย้ยของผู้บัญชาการปีศาจโลหิต ผลึกตาข่ายก็สัมผัสกับดวงอาทิตย์สีแดงเข้ม เพียงอึดใจแววเยาะเย้ยบนใบหน้าผู้บัญชาการปีศาจโลหิตก็แข็งค้าง
เนื่องจากเขาเห็นดวงอาทิตย์สีแดงเข้มกำลังริบหรี่ลงอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าพลังถูกปิดผนึกไว้
ชี่ ชี่!
หมอกสีแดงเข้มพวยพุ่งจากดวงอาทิตย์อย่างต่อเนื่อง เมื่อตาข่ายเริ่มหดตัวดวงอาทิตย์ก็ลดขนาดลงอย่างรวดเร็ว
เพียงสิบกว่าลมหายใจดวงอาทิตย์สีแดงเข้มก็กลายเป็นไข่มุกขนาดเท่าฝ่ามือที่มีลวดลายลึกล้ำนับไม่ถ้วนอยู่บนพื้นผิว ราวกับเป็นผนึกบางอย่าง
มู่เฉินยื่นมือออก มุกสีแดงเพลิงก็บินมาอยู่ในมือ เขาเงยหน้าขึ้นยิ้มให้ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตที่กำลังตกตะลึง “คืนให้แกเถอะ”
เมื่อพูดจบแขนก็เหวี่ยงออกไป มุกสีแดงเข้มพุ่งพรวดออกมา ทว่ามันไม่ได้ถูกโยนไปในทิศทางของผู้บัญชาการปีศาจโลหิต แต่เล็งไปที่เมฆสีแดงเข้มที่มีสมาชิกเผ่าเสี่ยเสียมากมาย
“หนีเร็ว!” ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตร้องตะโกน
ตู้ม!
แต่เมื่อเสียงของเขาดังขึ้น มุกก็ระเบิดออก คลื่นสีแดงเชี่ยวกรากกวาดไปทั่ว ใครก็ตามที่สัมผัสกับมันก็ได้กลายเป็นขี้เถ้าในพริบตาด้วยความสามารถในการกัดกร่อนที่น่ากลัว
เมฆกระจายไปบนท้องฟ้า สมาชิกนับไม่ถ้วนของเผ่าเสี่ยเสียได้รับผลกระทบกันไปมาก ทำให้เกิดความวุ่นวาย
เมื่อเทียบกับความวุ่นวายบนท้องฟ้า ชาวเมืองพากันอ้าปากตาค้าง ตอนแรกพวกเขายังกลัวการโจมตีทำลายล้างของผู้บัญชาการปีศาจโลหิตกันอยู่ แต่ใครจะคิดว่าเทพลึกลับจะสามารถแก้ไขการโจมตีของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย มิหนำซ้ำยังใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้สังหารจอมยุทธ์เผ่าเสี่ยเสียไปกว่าครึ่ง!
จักรพรรดินีและคนอื่นๆ ก็มีสีหน้าตกตะลึงขณะที่ตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น พวกเขาเคยเห็นผู้บัญชาการปีศาจโลหิตในสภาพที่น่าสมเพชแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร? บางทีชายลึกลับผู้นี้อาจมีพลังในการเผชิญหน้ากับผู้บัญชาการปีศาจโลหิตจริงๆ
บนท้องฟ้าใบหน้าของผู้บัญชาการปีศาจโลหิตเขียวคล้ำขณะมองไปที่มู่เฉินราวกับไฟยิงออกมาจากดวงตา มู่เฉินไม่เพียงแต่ได้รับการโจมตีได้ เขายังส่งคืนเป็นการตบหน้าอีกด้วย
“อะไร? แค่นี้รับไม่ได้เหรอ? เราเพิ่งจะเริ่มการต่อสู้เองนะ” มู่เฉินยิ้มพลางมองไปที่ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตที่หน้าดำมืด
เมื่อได้ยินผู้บัญชาการปีศาจโลหิตก็ตื่นตัวก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นพร้อมกับสีหน้าเปลี่ยนไป
เจดีย์ผลึกแก้วใสขนาดใหญ่พุ่งลงมาปิดทางถอยไว้ นอกจากนี้แสงผลึกที่เปล่งออกมาก็ปิดมิติทำให้เขาไม่สามารถหลบหนีไปได้
ครืนๆ!
เมื่อเจดีย์บีบลงมาถึงร่างเงาของผู้บัญชาการปีศาจโลหิตก็ถูกห่อหุ้มอยู่ภายใน
ร่างมู่เฉินก็หายไปเช่นกัน อึดใจเขาก็ปรากฏตัวในเจดีย์แก้วใส เขามองไปที่ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตซึ่งกำลังมองรอบๆ ด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ จากนั้นก็สะบัดมือออก ของเหลวจื้อจุนทะลักออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อของเหลวจื้อจุนประมาณห้าสิบล้านหยดพุ่งออกมา มู่เฉินก็หยุดแล้วดีดนิ้ว จากนั้นพวกมันก็บินเข้าหากำแพง
ตู้ม
ภาพเงาน่ากลัวแปดร่างปรากฏบนผนัง จากนั้นก็เริ่มขยับตัวอ้าปากกินของเหลวจื้อจุนเข้าไปทั้งหมด
ด้วยของเหลวจื้อจุนจำนวนหลายสิบล้านหยด ร่างทั้งแปดก็เริ่มสร้างความผันผวนที่น่ากลัว
ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตฉายความตกตะลึงบนใบหน้าขณะมองไปที่ร่างทั้งแปด เนื่องจากเขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันน่ากลัวที่มาจากส่วนลึกของหัวใจตนเอง
“ภาพปีศาจเหล่านี้สร้างจากจอมปีศาจ?!” ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตคำรามในใจ เขารู้สึกได้ถึงความผันผวนที่คุ้นเคยแล้ว
ภาพทั้งแปดตอนมีชีวิตก็คือจอมปีศาจต่างมิติ!
“นรกเอ๊ย ไอ้เด็กเวรนี่เป็นใคร?! อยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว ข้าจะต้องส่งต่อข้อมูลนี้ให้กับผู้บัญชาการคนอื่นๆ เพื่อร่วมมือกันฆ่ามัน!” สายตาของผู้บัญชาการปีศาจโลหิตกะพริบวูบไหว ตอนนี้ในที่สุดเขาก็รู้สึกกลัวจับจิต จอมปีศาจทั้งแปดทำให้เขารู้สึกถึงกลิ่นอายความตาย
“อยากหนีเหรอ? สายไปแล้ว” มู่เฉินมองผู้บัญชาการปีศาจโลหิตที่มีดวงตาวูบไหวก็เดาความคิดของอีกฝ่ายได้ เขาจึงยิ้มก่อนจะยื่นนิ้วชี้ไปที่ตัวอีกฝ่าย
“วิชาเจดีย์แปดองค์ แสงเจดีย์ทำลายปีศาจ”
เสียงเฉยเมยของมู่เฉินดังก้องไปทั่วเจดีย์ขนาดใหญ่
ฟิ้ว!
ในเวลาเดียวกันเทพปีศาจทั้งแปดก็เหยียดนิ้วออกจากกำแพงชี้ไปในทิศทางของผู้บัญชาการปีศาจโลหิต อึดใจต่อมาลำแสงสีดำแปดสายก็พุ่งออกไป
ลำแสงสีดำทะลุผ่านมิติปรากฏขึ้นรอบร่างผู้บัญชาการปีศาจโลหิตในพริบตา ลำแสงเหล่านั้นปิดกั้นเส้นทางการหลบหนีทั้งหมดเอาไว้
แม้ว่าลำแสงสีดำทั้งแปดจะไม่มีรัศมีที่ทรงพลัง แต่ก็ทำเอาเส้นขนทุกเส้นของผู้บัญชาการปีศาจโลหิตลุกชูชัน กลิ่นอายความตายปกคลุมหัวใจ
“ให้ตายเถอะ พลังของมันอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเท่านั้น มันปลดปล่อยการโจมตีที่น่ากลัวเช่นนี้ได้ยังไง?” ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตคำรามในใจ เขาไม่สามารถรักษาความนิ่งได้อีกต่อไป เขาขบฟันแสงสีแดงเข้มก็กะพริบในดวงตา อึดใจร่างกายก็เริ่มบวมจากนั้นก็ระเบิด
แสงสีแดงเข้มที่ไม่มีที่สิ้นสุดกระจายออกไป ทว่าลำแสงสีดำแปดสายก็ยังพุ่งเข้าในแสงสีแดง…
ไม่กี่อึดใจต่อมาลำแสงสีดำก็ระเบิดออก แสงสีแดงเข้มที่สัมผัสก็ถูกสึกกร่อนในกระบวนการ
ไม่ถึงหนึ่งนาทีแสงสีแดงเข้มที่ไร้ขอบเขตก็หายไปเหลือเพียงก้อนแสงกลมๆ ที่พยายามกระเด้งหนีจากของเหลวสีดำ
ปัง!
ในที่สุดแสงสีแดงเข้มก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป กลายเป็นภาพเงา ตอนนี้ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตดูน่าสังเวชอย่างไม่น่าเชื่อ ความผันผวนที่รุนแรงรอบตัวเขาอ่อนแรงลงอย่างมากมีจุดกระดำกระด่างบนร่างกายของเขา
เขามองไปที่มู่เฉินด้วยความกลัว เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่ามู่เฉินจะน่ากลัวขนาดนี้ เพียงแค่ฝ่ายหลังออกกระบวนท่าใส่ก็ไม่มีการบรรเทาโทษใดเหลืออีกแล้ว
“แกฆ่าข้าไม่ได้! ถ้าแกฆ่าข้าผู้บัญชาการปีศาจโลหิตคนอื่นจะรู้สึกได้! เมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาจะร่วมกันจัดการแกจนตาย!” ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตร้องตะโกน
“อย่างงั้นเหรอ?”
มู่เฉินอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะยิ้ม “งั้นข้าจะไม่ฆ่าแก”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตก็ลิงโลดในใจ แต่ก่อนที่จะได้เผยความยินดีบนใบหน้า น้ำเสียงเย็นชาของมู่เฉินก็ดังก้อง “ปิดผนึกแกเอาไว้ก็ได้”
ฮึ่ม ฮึ่ม!
เมื่อเสียงของมู่เฉินจบลง ผลึกแสงก็พุ่งออกมาจากเจดีย์ก่อนที่จะรวมตัวกันเข้ายึดร่างผู้บัญชาการปีศาจโลหิต
ภายใต้รัศมีส่องประกายผู้บัญชาการปีศาจโลหิตก็ตะลึงลาน เมื่อสัมผัสได้ว่าพลังงานเริ่มอ่อนลงด้วยความเร็วที่รุนแรง
“ข้าจะแลกทั้งหมดกับแก!”
เสียงน่าสยดสยองของผู้บัญชาการปีศาจโลหิตดังก้อง เขาจุดชนวนเตรียมจะระเบิดทำลายล้างตนเอง
“ผนึก!”
ทว่ามู่เฉินย่อมไม่ยอมให้อีกฝ่ายทำเช่นนั้น เสียงเยือกเย็นของเขาดังก้อง ผลึกแสงหดหายอย่างรวดเร็ว จากนั้นผู้บัญชาการปีศาจโลหิตก็ร้องเสียงหลงขณะที่ร่างกายหดตัวลงอย่างรวดเร็ว ไม่กี่ลมหายใจต่อมาก็กลายเป็นลูกทรงกลมสีแดงเข้มลอยอยู่ในอากาศ
มู่เฉินโบกมือเรียกลูกกลมมาอยู่ในมือ พื้นผิวปกคลุมไปด้วยลวดลายตกผลึก ภายในสามารถมองเห็นใบหน้าบิดเบ้น่ากลัวของผู้บัญชาการปีศาจโลหิตได้
เมื่อมองไปที่ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตมู่เฉินก็ยิ้ม
“แกแพ้แล้ว”
บทที่ 1379 คำขอ
เจดีย์ผลึกแก้วลอยคว้างบนท้องฟ้าของเมืองใหญ่
แสงไหลเอื่อยพร้อมกับกำจายพลังอำนาจลึกลับออกมา
ทั้งชาวเมืองและสมาชิกเผ่าเสี่ยเสียจ้องเขม็งไปที่เจดีย์ เนื่องจากพวกเขาตระหนักว่าชะตากรรมต่อจากนี้ขึ้นอยู่กับผู้ที่สามารถออกมาจากเจดีย์ได้
นั่นเป็นเพราะคนสุดท้ายที่ยืนหยัดจะเป็นผู้ชนะ
ดังนั้นทั้งฟ้าดินจึงเงียบงันพร้อมกับบรรยากาศตึงเครียด ไม่มีใครกล้าพูดอะไร
จอมยุทธ์ชั้นสูงของเมืองดูร้อนรน เม็ดเหงื่อใหญ่ปกคลุมหน้าผากก่อนที่พวกเขาจะมองไปที่จักรพรรดินีที่อยู่ข้างๆ “จักรพรรดินี ท่านเทพจะชนะหรือไม่?”
หากท่านเทพที่พวกเขาตั้งความหวังไว้ล้มเหลว แม่น้ำเลือดคงหลั่งรินไปทั่วเมือง ศพนอนเรียงรายอยู่โดยรอบแน่นอน นอกจากนี้เผ่าพันธุ์คงจะถูกล้างบางโดยผู้บัญชาการปีศาจโลหิตที่โกรธเคืองด้วย
จักรพรรดินีก็มองไปที่เจดีย์ด้วยความกังวล แต่นางก็สงบกว่าคนอื่นๆ ดังนั้นจึงตอบว่า “เราเตรียมรับสิ่งที่เลวร้ายที่สุดแล้วไม่ใช่หรือ?”
“หรือว่าจะมีอะไรที่เลวร้ายไปกว่าการถูกเลี้ยงเป็นสัตว์?”
เมื่อเหล่าจอมยุทธ์ชั้นสูงได้ยินคำพูดของนาง พวกเขาก็พยักหน้า กรณีนี้พวกเขายอมตายซะจะดีกว่า อย่างน้อยก็สามารถรักษาศักดิ์ศรีไว้ได้
ฮึ่ม!
ขณะที่พวกเขาสนทนากันเจดีย์ก็สั่นสะเทือน ดึงดูดความสนใจทั้งหมดไป
แม้แต่จักรพรรดินีก็กัดริมฝีปาก มือสั่น รู้สึกกระวนกระวายในใจไปหมด
แม้ว่านางจะเตรียมรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด แต่อย่างน้อยในใจพวกเขาก็ยังมีแววแห่งความหวังไม่ใช่หรือ?
ฟิ้ว!
ภายใต้ความกังวลทั่วฟ้าดิน ริ้วแสงสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากเจดีย์ ร่างเงาสูงโปร่งปรากฏขึ้น
“นั่นท่านเทพ!”
เมื่อพวกเขาเห็นภาพเงานั้น เสียงโห่ร้องก็ดังออกมาจากเมือง หลายคนน้ำตาไหลอาบใบหน้า พวกเขาคุกเข่าโขกหัวอย่างบ้าคลั่งไปให้มู่เฉิน
มู่เฉินมองเมืองที่โกลาหลก็ยิ้มบาง ก่อนที่จะยกมือขึ้นไข่มุกสีแดงเผยออกมาพร้อมกับภาพผู้บัญชาการปีศาจโลหิตดิ้นขลุกขลักอยู่ภายใน
ภาพนี้ทำให้ทุกคนรู้ว่าใครคือผู้ชนะคนสุดท้าย
“ท่านเทพ…ชนะจริงหรือ?” จอมยุทธ์ชั้นสูงรู้สึกวิงเวียนหัวกับฉากนี้ ก่อนที่พวกเขาจะล้มนั่งลงบนพื้นพลางมองไปที่ลูกทรงกลมนั้นอย่างตะลึงงัน
ใครจะคิดว่าผู้บัญชาการปีศาจโลหิตที่อยู่ยงคงกระพันในสายตาพวกเขาจะพ่ายแพ้ในวันนี้!
จักรพรรดินีอึ้งไปขณะมองร่างเงาสูงโปร่งบนท้องฟ้า ทันใดนั้นหน่วยตานางก็คลอคลองด้วยหยาดน้ำตา ก่อนที่จะกลิ้งลงมาบนแก้ม
นางรอช่วงเวลานี้มานานแค่ไหน? นางพยายามเพื่อสิ่งนี้มานานแค่ไหน?
แม้ว่านางจะพยายามอย่างเต็มที่และรักษาดินแดนอุดมรัฐไว้ให้ผู้คนได้ แต่นางก็รู้ว่านั่นเป็นเพียงภาพลวงตา ตราบใดที่เผ่าเสี่ยเสียต้องการ พวกมันก็สามารถทำลายล้างที่พึ่งพิงสุดท้ายของพวกนางให้กลายเป็นนรกได้
ดังนั้นนางจึงได้แต่รู้สึกกลัวในใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่นางก็ไม่สามารถแสดงอารมณ์ให้พวกเขาเห็นได้ เพราะนางรู้ว่าตนเองเป็นเสาหลักสนับสนุนทุกคน ถ้านางล้มลงดินแดนอุดมรัฐนี้ก็จะพังทลายลงเช่นกัน
แต่วันนี้ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตที่อยู่ยงคงกระพันในสายตานางกลับพ่ายแพ้ ทำเอาความพยายามอดกลั้นของนางพังทลายลงทันที ด้านอ่อนแอในใจถูกเปิดเผย ทำนบน้ำตาแตกไหลอาบแก้ม
เพราะในที่สุดนางก็ได้เห็นความหวังในความสิ้นหวัง!
เมื่อเทียบกับผู้คนในเมืองที่มีความสุขแล้ว จอมยุทธ์เผ่าเสี่ยเสียตกใจกลัวขีดสุด พวกเขาไม่เคยคิดว่าผู้บัญชาการปีศาจโลหิตจะล้มเหลว
“รีบหนีเร็ว ส่งข่าวนี้ไปยังผู้บัญชาการปีศาจโลหิตคนอื่นๆ!”
พวกมันแลกสายตากันชั่วครู่ ก่อนที่จะทะยานออกไปอย่างเร่งรีบ พยายามที่จะหนีจากชายหนุ่มที่น่ากลัวคนนี้
ดังนั้นยามนี้ทั่วท้องฟ้าจึงตกอยู่ในความโกลาหล สมาชิกเผ่าเสี่ยเสียแตกฉานซ่านเซ็นราวกับหมาจนตรอก
มู่เฉินมองจอมยุทธ์เผ่าเสี่ยเสียอย่างเย็นชา อึดใจก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ปรากฏขึ้นข้างหลัง เกลียวแสงสีม่วงทองแผ่ซ่านถักทอเป็นหอกสีม่วงทองนับไม่ถ้วนเขวี้ยงออกไป
ฟิ้ว ฟิ้ว!
ขณะที่ห่าหอกโปรยปรายลงมา ก็แทงทะลุร่างเงาสีแดงเข้ม เสียงกรีดร้องน่าเศร้าดังทั่วฟ้าดิน
จอมยุทธ์เผ่าเสี่ยเสียราวกับนกปีกหักตกลงมาจากท้องฟ้าไม่หยุดหย่อน…
เพียงไม่กี่นาทีฟ้าดินก็สงบลง ทุกคนในกองทัพเผ่าเสี่ยเสียถูกมู่เฉินสังหารเรียบ
มู่เฉินรู้ว่ามีผู้บัญชาการหลายคนในเผ่าเสี่ยเสีย ซึ่งต่างมีขุมพลังสัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุน หากต่อสู้กันอย่างยุติธรรม มู่เฉินมั่นใจว่าสามารถกำจัดพวกมันได้สบาย แต่ถ้าพวกมันรวมตัวกันละก็ ความได้เปรียบของมู่เฉินจะลดลงอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงไม่คิดที่จะให้ข่าวที่นี่หลุดออกไป
ชาวเมืองมองสมาชิกเผ่าเสี่ยเสียที่ถูกกำจัดไปอย่างสิ้นเชิง ก่อนที่พวกเขาจะหันไปมองมู่เฉินด้วยสายตาเคารพเทิดทูน
มู่เฉินโบกแขนเสื้อบนท้องฟ้า เจดีย์ผลึกแก้วก็พุ่งกลับมาสถิตในดวงตา จากนั้นก็เก็บลูกกลมผู้บัญชาการปีศาจโลหิตแล้วก็หันกลับไปยังวัง
เมื่อเขาพลิ้วตัวลงมาก็เห็นผู้คนคุกเข่าตามทางที่เขาก้าวเดินโดยมีความเคารพในสายตา
แม้แต่จักรพรรดินีก็คุกเข่าแสดงความเคารพขณะที่กล่าวว่า “ไป๋ซู่ซู่ทักทาย ท่านเทพ”
เมื่อมู่เฉินเห็นฉากนี้ก็อดอมยิ้มไม่ได้ “ข้าไม่ใช่เทพอะไรหรอก”
ขณะที่พูดเขาก็มองคณะเสนาบดีที่รวมกลุ่มและมีเสนาบดีใหญ่ที่หลุดออกจากเสาอยู่ด้านข้าง แต่ตอนนี้ทุกคนมองมาที่เขาด้วยสายตาหวาดกลัว
ไป๋ซู่ซู่รู้สึกได้ถึงสายตาของมู่เฉิน นางจึงหันไปมองเสนาบดีเหล่านั้นด้วยความเย็นชาพูดว่า “ประหารพวกมันซะ อย่าทำให้ดวงตาของท่านเทพต้องมัวหมอง”
ฟิ้ว!
เมื่อนางพูดจบ ร่างจอมยุทธ์นับไม่ถ้วนก็พุ่งเข้าหาเสนาบดีเหล่านั้น หลังจากโรมรันพันตูกันพักใหญ่พวกหนอนบ่อนไส้ก็ถูกสังหารในที่เกิดเหตุ แม้แต่เสนาบดีใหญ่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะหนี หลังจากได้รับบาดเจ็บจากมู่เฉิน ร่างเขากลายเป็นเนื้อสับเพราะความโกรธของผู้คน
บอกได้ว่าประชาชนเต็มไปด้วยความเกลียดชังต่อเสนาบดีกลุ่มนี้
เมื่อมองไปที่ฉากนี้เขารู้สึกประหลาดใจก่อนที่จะมองไปที่ไป๋ซู่ซู่ ความเด็ดขาดนี้ทำให้เขาประหลาดใจยิ่งกว่าจึงถามว่า “ทำไม? เจ้าคิดจะแสดงจุดยืนอยู่เรอะ?”
การกระทำของไป๋ซู่ซู่ชัดว่าเป็นการแสดงจุดยืนที่จะสู้กับเผ่าเสี่ยเสียอย่างเต็มที่แล้ว
รอยยิ้มหายากปรากฏบนใบหน้าของไป๋ซู่ซู่ สายตาจ้องไปที่มู่เฉิน “ข้าเชื่อมั่นในท่านเทพมาตั้งแต่แรกเริ่ม”
มู่เฉินยิ้ม “ข้ามีแรงจูงใจในการมาที่โลกของเจ้า ตอนนี้ข้าต้องการข้อมูลเกี่ยวกับเผ่าเสี่ยเสียทั้งหมด”
“โปรดมาทางนี้ ข้าจะบอกทุกอย่างที่รู้”
ไป๋ซู่ซู่กล่าวด้วยความเคารพ จากนั้นก็ลุกขึ้นนำทาง ส่วนพวกที่เหลือก็ถูกห้ามให้ตามไปจากคำสั่งของนาง
มู่เฉินเดินสบายๆ ตามนางไป ทั้งสองเดินเข้าไปในห้องโถง
“ท่านเทพเชิญนั่ง”
หลังจากให้มู่เฉินนั่งแล้ว ไป๋ซู่ซู่ก็รินชาด้วยความให้เกียรติ
มู่เฉินไม่ได้มากมารยาทรับเอาไว้ทันที “ตอนนี้พูดได้หรือยัง?”
ไป๋ซู่ซู่ยืนที่เบื้องหน้ามู่เฉิน นางไม่ได้ไว้ศักดิ์ศรีของจักรพรรดินีอีกต่อไป นางกัดริมฝีปากเบาๆ พูดว่า “ท่านเทพ ไม่ทราบว่าข้าขอร้องสักเรื่องได้หรือไม่?”
“ขอร้อง?” มู่เฉินเลิกคิ้วขึ้น
ไป๋ซู่ซู่กัดฟันพูดว่า “ข้าอยากให้ท่านเทพสอนพลังที่ใช้ต่อสู้กับเผ่าเสี่ยเสีย!”
พลังที่มู่เฉินแสดงออกมาทรงศักยภาพอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งอยู่ในระดับที่พวกนางไม่สามารถเข้าถึงได้ ดังนั้นหากพวกนางสามารถได้รับบางสิ่งจากมู่เฉิน ก็จะเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งอย่างมีนัยสำคัญ
ด้วยวิธีนี้พวกนางจะไม่ไร้พลังในการประจันหน้ากับเผ่าเสี่ยเสียอีกต่อไป
มู่เฉินอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะส่ายหัวพลางจิบชา “พลังของข้าไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าเข้าใจได้”
เขาทรงพลังเพราะได้รับการฝึกฝนขุมพลังหลิงซึ่งเป็นพลังเอกลักษณ์ของมหาพันภพ ไม่ใช่สิ่งที่สามารถเพาะบ่มได้ในพิภพเขตล่าง
เมื่อไป๋ซู่ซู่ได้ยิน นางก็คิดเองเออเองว่ามู่เฉินไม่ต้องการสอน ดังนั้นนางจึงคุกเข่าลงด้วยใบหน้าซีดเซียว “ท่านเทพโปรดช่วยเราด้วยเถิด!”
ขณะที่พูดนางก็กัดริมฝีปากถอดมงกุฎดึงสายรัดเอวสีม่วงลง
ชุดงดงามร่วงหล่นลง เรือนร่างขาวโพลนสั่นระริกราวกับลูกแกะน้อย
นางคุกเข่าต่อหน้ามู่เฉิน เรือนผมแผ่สยายเน้นโค้งร่างยั่วยวนจากแผ่นหลังลงไปที่เบื้องล่าง
“ท่านเทพ ถ้าท่านยอมสอนพวกเรา ข้ายินดีที่จะเป็นทาสไปชั่วนิรันดร์!”
ร่างกายบอบบางสั่นสะท้าน เสียงอ้อนร้องฟังดูน่าสงสารยิ่งนัก
ฟู่
มู่เฉินอึ้งไปกับฉากนี้ ก่อนที่จะอดพ่นน้ำชาออกจากปากไม่ได้
บทที่ 1380 ภูเขาเสี่ยหมัว
น้ำชาพ่นฝอยลอยเบื้องหน้ามู่เฉิน
ก่อนที่ละอองน้ำจะตกลงบนร่างไป๋ซู่ซู่ ทำให้ร่างกายนางสั่นสะท้านไปใหญ่ นางรู้สึกอับอายมากกับการทำเช่นนี้ แต่นางก็อดทนกัดฟันแน่น เนื่องจากนางรู้ว่าความหวังของโลกใบนี้อยู่ที่ชายหนุ่มที่เบื้องหน้านาง
หากเขาสามารถสอนพลังนั้นให้พวกนางได้ ความสิ้นหวังก็จะต้องหมดไป
ดังนั้นนางจึงคุกเข่าเบื้องหน้ามู่เฉินต่อไปราวกับแกะน้อยที่เชื่อฟังพร้อมกับผิวเปล่งประกาย
มู่เฉินลูบคราบชาออกจากคางขณะที่ควบคุมสายตาแล้วกระแอมไอ “รีบสวมเสื้อผ้าของเจ้าเร็วๆ”
เมื่อได้ยินเสียงของมู่เฉิน ไป๋ซู่ซู่ก็กัดฟันตัวสั่น “โปรดทำความปรารถนาของข้าให้เป็นจริงด้วยท่านเทพ!”
มู่เฉินโบกมือเสื้อผ้าที่กองอยู่บนพื้นคลุมร่างไป๋ซู่ซู่ก่อนที่เขาจะก้มหัวลง “ข้าไม่สามารถสอนพลังให้พวกเจ้าได้จริงๆ”
เมื่อได้ยินคำปฏิเสธของมู่เฉินใบหน้าของไป๋ซู่ซู่ก็ซีดลง ทว่านางไม่กล้าที่จะทำให้มู่เฉินโกรธ จึงได้เพียงแค่ลุกขึ้นยืนเฉยๆ
แม้ว่าเสื้อผ้าจะปกคลุมร่างกายส่วนใหญ่ แต่ก็ยังมีรอยบางๆ เผยให้เห็นส่วนโค้งเว้า
“แม้ว่าข้าจะสอนวิธีการเพาะบ่มพลังไม่ได้ แต่ไม่ต้องกังวล ข้าจะทำลายเผ่าเสี่ยเสียในโลกนี้ให้หมดสิ้นก่อนที่จะจากไป” มู่เฉินกล่าวอย่างเคร่งขรึมขณะมองไปที่ไป๋ซู่ซู่
สีหน้าของไป๋ซู่ซู่เริ่มดีขึ้น แต่นางยังคงมองมู่เฉินด้วยสายตาน่าสงสาร “ท่านเทพดูถูกข้าหรือเปล่า? ถ้าไม่ใช่เพื่อมนุษยชาติข้าจะไม่ทำให้ตัวเองเสื่อมเสียแม้จะต้องตาย”
มู่เฉินส่ายหน้าตอบกลับ “ตรงกันข้ามข้าชื่นชมเจ้าหลายส่วนเลย”
นางเป็นสตรีบอบบาง แต่กลับยอมทำถึงขนาดนี้ ซ้ำยังยอมคุกเข่าร้องขอเพื่อราษฎร เพียงแค่นี้อย่างเดียวก็ทำให้เขาชื่นชมนางมาก
เมื่อเห็นสายตาจริงใจของมู่เฉินหัวใจของไป๋ซู่ซู่ก็สั่นไหว นางรู้สึกถึงรสเปรี้ยวก่อนที่ใบหน้าจะเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ ที่ผ่านมานางมุ่งมั่นต่อหน้าทุกคน แต่ยามนี้นางได้ลบภาพนั้นออก เปิดเผยตัวตนแท้จริงออกมา
“ขอบคุณ” นางขอบคุณมู่เฉินสำหรับความเข้าใจที่มี
มู่เฉินพยักหน้า “เจ้าต้องเชื่อข้า ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากทำให้ความปรารถนาของเจ้าเป็นจริง แต่ไม่มีทางจริงๆ”
ไป๋ซู่ซู่รู้สึกผิดหวัง แต่นางก็พยักหน้าก่อนที่จะยิ้มให้มู่เฉินพูดอย่างแผ่วเบาว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านเทพก็สูญเสียโอกาสที่ดีไป”
“แน่นอนว่าถ้าท่านเทพสนใจก็สามารถจีบข้าได้นะ ข้ามีคนไล่จีบมากมาย เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ ท่านได้เปรียบกว่าหลายส่วน”
เมื่อได้ยินคำพูดก๋ากั่นของนาง มู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะแห้ง นางยั่วเขาอยู่เหรอเนี่ย?
“แฮ่ม มาพูดถึงเรื่องหลักกันดีกว่า” มู่เฉินทนการยั่วของไป๋ซู่ซู่ไม่ได้ เขาจึงกระแอมไอเปลี่ยนหัวข้อ
เมื่อเห็นท่าทางน่าอึดอัดของมู่เฉิน ไป๋ซู่ซู่ก็ปิดปากหัวเราะเบาๆ พร้อมดวงตางดงามพราวระยับ ชายหนุ่มคนนี้น่าสนใจเลยทีเดียว เขาทรงพลังมาก แต่ก็มีความยับยั้งชั่งใจในตัวเอง ไม่ได้รับผลกระทบจากสิ่งอื่น
ไป๋ซู่ซู่เข้าใจถึงความเย้ายวนที่นางครอบครองและนางก็มั่นใจในรูปลักษณ์ของตัวเอง นี่เป็นสิ่งที่พิสูจน์แล้วจากผู้ติดตามทั้งหมดที่มี
แต่ทั้งที่มู่เฉินสามารถกลืนกินนางได้มากเท่าที่ต้องการ ตั้งแต่นางเลือกเปลือยกายเบื้องหน้าเขา ไป๋ซู่ซู่รู้สึกได้ว่ามู่เฉินมีปฏิกิริยาเช่นเดียวกับผู้ชายทุกคน แต่เขายับยั้งตัวเองไว้ได้
เมื่อคนคนหนึ่งมีพลังถึงระดับที่สามารถเพิกเฉยต่อกฎทั้งหมด น้อยมากที่จะเห็นคนคนนั้นยังมีความอดทนอดกลั้นเช่นนี้
ดังนั้นไป๋ซู่ซู่จึงรู้สึกว่ามู่เฉินน่าสนใจยิ่งนัก
“ท่านเทพ มีผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งหมดหกคนในเผ่าเสี่ยเสีย แต่ตอนนี้เหลือแค่ห้าแล้ว” ไป๋ซู่ซู่รินชาให้มู่เฉินอีกครั้งขณะที่เริ่มอธิบาย
“ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตจากสามในห้าอยู่ที่ภูเขาเสี่ยหมัว ขณะที่อีกสองคนอยู่ทางทิศเหนือและทิศตะวันตก”
ดวงตาของมู่เฉินสว่างวาบ ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งห้าไม่ได้รวมตัวกัน ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีสำหรับเขา
เขามองไปที่ไป๋ซู่ซู่ “ถ้าสู้ตัวต่อตัว ข้าสามารถจัดการกับผู้บัญชาการปีศาจโลหิตได้ แต่ถ้าพวกเขาทั้งห้ารวมกลุ่มกันละก็ สถานการณ์หายนะแน่”
“ดังนั้นถ้าอยากรับประกันชัยชนะ เราต้องลดจำนวนพวกเขาให้เหลือสามคน”
ใบหน้าของไป๋ซู่ซู่เคร่งเครียดลง “ถ้าเป็นเช่นนั้นผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสองที่กำลังลาดตระเวนทั่วโลกก็เป็นเป้าหมายที่ดีที่สุด”
“ท่านเทพ ข้าจะออกคำสั่งให้ปิดข้อมูลทั้งหมด จะไม่ยอมให้ข้อมูลแพร่งพรายออกไป แต่จากการประมาณการข้าสามารถปิดข้อมูลได้เพียงครึ่งเดือนเท่านั้น เมื่อถึงเวลานั้นผู้บัญชาการปีศาจโลหิตคนอื่นๆ จะสังเกตเห็นการหายตัวไปของพรรคพวก”
“ครึ่งเดือน…” มู่เฉินขมวดคิ้ว เขาไม่มีข้อมูลการเดินทางที่แน่นอนเกี่ยวกับผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสอง ดังนั้นหากเขาตามหา ครึ่งเดือนอาจไม่เพียงพอ
“ท่านเทพ มอบหน้าที่ติดตามผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสองไว้กับข้าเถอะ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อค้นหาเส้นทางของพวกเขา” ไป๋ซู่ซู่ยิ้มหวาน
“โอ้?” มู่เฉินรู้สึกประหลาดใจมองไปที่ไป๋ซู่ซู่ เขาไม่คิดมาก่อนว่าพวกนางจะสามารถค้นหาร่องรอยของผู้บัญชาการปีศาจโลหิตได้
เผชิญหน้ากับสายตาประหลาดใจของมู่เฉิน ไป๋ซู่ซู่ก็ยิ้มขมขื่น “เรามีประชากรจำนวนมากที่อยู่ภายใต้เผ่าเสี่ยเสีย ทุกคนต้องทนทุกข์กับความอัปยศอดสูเพื่อให้ข้อมูลแก่เรา”
มู่เฉินเงียบไป เขารู้ว่ามีราคาที่ต้องจ่ายสำหรับข้อมูลเหล่านั้น
“ท่านเทพลังเลทำไม? ตราบใดที่เราสามารถกำจัดเผ่าเสี่ยเสียและปล่อยให้มวลมนุษยชาติอยู่ในโลกนี้อย่างมีศักดิ์ศรี เราก็ไม่กลัวแม้ว่าจะต้องเผชิญกับความตาย” ไป๋ซู่ซู่ยิ้มหลังจากเห็นความลังเลของมู่เฉิน
มู่เฉินถอนหายใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก มีการเสียสละเพื่อภาพรวมเสมอ ดังนั้นการพยายามทำให้สมบูรณ์แบบคือความคิดแบบเด็กๆ
“ข้าจะฝากข้อมูลให้เจ้า ส่วนผู้บัญชาการปีศาจโลหิตก็ทิ้งไว้ให้ข้าได้เลย” มู่เฉินกล่าวช้าๆ
ไป๋ซู่ซู่ยิ้มก่อนที่จะก้มลงมองผิวเป็นจ้ำบนหน้าอก นางก็ยิ้ม “เวลาแบบนี้ ท่านดูทรงพลังนัก”
มู่เฉินส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ก่อนที่จะพูดต่อ “ข้าต้องการความช่วยเหลืออีกเรื่อง”
“โปรดบอกมา” ไป๋ซู่ซู่นั่งลงบนเก้าอี้อย่างอ้อยอิ่งขณะที่ลูบปอยผมพลางยิ้ม “ตราบใดที่เจ้าประสงค์ แม้ร่างกายของข้าก็เป็นของเจ้า ข้าจะไม่คร่ำครวญอะไรแน่นอน”
มู่เฉินไม่สนใจประโยคของนาง เขาโบกมือ แสงหลิงก็พุ่งออกจากหว่างคิ้วก่อนที่ถักทอเป็นหน้าจอแสงที่มีรูปภาพอยู่ในนั้น
นี่เป็นโลกที่มีกระแสสีแดงเข้มพลุ่งพล่าน ภาพเงาจำนวนมากทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าบนยอดเขา จุดนั้นมีหลุมวนมิติปรากฏขึ้น
จากนั้นร่างแสงเหล่านั้นก็หายเข้าไปภายใต้การไล่ล่าของร่างแสงสีแดงเข้มจำนวนนับไม่ถ้วน
มู่เฉินได้รับภาพเหล่านี้มาจากจอมยุทธ์มังกรขาว นี่คือภาพการหลบหนีออกไปของพวกเขา
มู่เฉินไม่รู้จักโลกนี้ เขาหวังว่าไป๋ซู่ซู่จะจดจำสถานที่ที่พรรคพวกจอมยุทธ์มังกรขาวออกไปได้ ตามการคาดเดา เขาน่าจะสามารถเรียกจิตวิญญาณของจอมยุทธ์มังกรขาวได้ที่นั่น และจะรู้ว่าที่เรียกว่า ‘โอกาส’ คืออะไรกัน
“ข้าอยากรู้ว่าสถานที่นี้อยู่ที่ไหนหรือ” มู่เฉินชี้ไปที่หน้าจอแสงก่อนจะหันไปมองไป๋ซู่ซู่
ทว่าเมื่อหันหน้าไปเขาก็ต้องตะลึงเมื่อเห็นน้ำตาไหลอาบแก้มของไป๋ซู่ซู่ นางอึ้งไปขณะมองหน้าจอแสง
“เกิดอะไรขึ้น?” มู่เฉินขมวดคิ้ว
“ท่านเทพมีภาพเหล่านี้ได้อย่างไร?!” ไป๋ซู่ซู่เช็ดน้ำตาขณะที่พูดตะกุกตะกัก
มู่เฉินยักไหล่ “ข้ามาที่นี่เพราะคำขอร้องของผู้อาวุโสท่านหนึ่ง ทำไมหรือ? เจ้ารู้จักพวกเขาไหม”
ไป๋ซู่ซู่เช็ดน้ำตาออกขณะที่พึมพำ “พวกเขาไม่ได้ทอดทิ้งเรา…”
นางเงยหน้าขึ้นพยักหน้าไปทางมู่เฉิน
“ท่านเทพ พวกเขาเป็นบรรพบุรุษของข้า”
“ภูเขาลูกนี้มีชื่อภูเขาเซิ่งหลง แต่ตอนนี้ถูกเรียกว่าภูเขาเสี่ยหมัวซึ่งเป็นกองบัญชาการใหญ่ของเผ่าเสี่ยเสีย!”
บทที่ 1381 สำนักมังกรเทวะ
“ภูเขาเสี่ยหมัว…”
มู่เฉินพึมพำกับตัวเองขณะที่ดวงตาเปล่งประกายด้วยความปีติยินดี ในที่สุดเขาก็พบเบาะแสบางอย่าง ไม่อย่างนั้นเขาคงได้วิ่งวนเหมือนแมลงวันไร้หัว
แต่เขารู้สึกประหลาดใจที่จอมยุทธ์มังกรขาวและคนอื่นๆ เป็นผู้อาวุโสของสำนักไป๋ซู่ซู่
เมื่อเห็นความประหลาดใจของมู่เฉิน ไป๋ซู่ซู่ก็ถอนหายใจรำพึงว่า “สำนักของพวกข้าเป็นที่รู้จักกันในนามสำนักมังกรเทวะ ซึ่งเป็นขั้วอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกยุคโบราณ แต่ความแข็งแกร่งที่ว่านั้นก็เพียงเป็นหลอกตัวเองเท่านั้น”
ใบหน้าของไป๋ซู่ซู่วาบขึ้นด้วยริ้วขมขื่น “เมื่อเผ่าเสี่ยเสียบุกโลกนี้ พวกข้าถึงตระหนักได้ว่าเราอ่อนแอเพียงใด แม้ว่าผู้อาวุโสจะต่อสู้จนตัวตายก็ไม่สามารถหยุดยั้งการเดินทัพของเผ่าเสี่ยเสียได้”
มู่เฉินพยักหน้าอย่างเงียบๆ โลกใบนี้เป็นเพียงพิภพเขตล่าง ส่วนสิ่งมีชีวิตแบบเผ่าปีศาจก็มีขุมพลังสูงกว่าเมื่อเทียบกับมาตรฐานของมหาพันภพด้วยซ้ำ ดังนั้นเมื่อพวกเขาเข้ามาในโลกนี้ ก็เหมือนกับเสือที่ติดในฝูงแกะ เป็นไปไม่ได้ที่โลกนี้จะต่อต้านได้
ท้ายที่สุดไม่ใช่ทุกคนที่มีความสามารถแบบเทพจักรพรรดิสงครามและเทพจักรพรรดิอัคคี… มิฉะนั้นพวกเขาคงไม่ถูกเรียกว่าเป็นตำนานมีชีวิต
“แต่เมื่อพวกเราพ่ายแพ้ ผู้อาวุโสหลายคนก็ตัดสินใจที่จะจากไป เพราะพวกเขาทราบเกี่ยวกับระนาบมิติที่อยู่เหนือโลกนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงคิดจะลองดูว่าจะหาจอมยุทธ์กลับมาช่วยโลกของเราได้หรือไม่”
“ด้วยเหตุนี้ภายใต้ความร่วมมือของสำนัก พวกเขาก็เปิดอุโมงค์มิติจากโลกนี้ไปเพื่อไปในโลกอันไกลโพ้น ส่วนพวกเราทุกคนในโลกนี้ก็เฝ้ารอวันที่พวกเขากลับมา” ไป๋ซู่ซู่ตอบ
มู่เฉินเงียบไป หากเขาเดาถูกผู้อาวุโสที่ไป๋ซู่ซู่พูดถึงน่าจะเป็นเหล่าผู้ที่ก่อตั้งตำหนักมังกรปีศาจ ทว่านางคงไม่รู้ว่าผู้อาวุโสกลุ่มนั้นมีความคิดเห็นแตกแยกกันหลังจากไปที่มหาพันภพ จนสุดท้ายได้แตกฉานซ่านเซ็น จอมยุทธ์มังกรขาวก่อกบฏ แม้แต่ตำหนักมังกรปีศาจก็สูญสิ้นในมือมู่เฉิน
แต่เขาไม่มีความคิดที่จะบอกไป๋ซู่ซู่ หากนางพบว่าศรัทธาทั้งหมดได้ลืมเลือนภัยพิบัติของโลกนี้ยกเว้นจอมยุทธ์มังกรขาวที่พยายามอย่างยิ่งยวด จิตใจของนางจะแตกสลายเพียงใด
“เรารอมานานแสนนาน แต่ก็ไม่มีข่าวคราว จนสุดท้ายสำนักถูกทำลาย ตอนนั้นข้าที่ยังเด็กกลายเป็นความหวังสุดท้ายของสำนัก เหล่าผู้อาวุโสใช้วิธีโบราณเพื่อส่งพลังที่เหลือทั้งหมดมาให้ข้า”
ไป๋ซู่ซู่ยิ้มขมขื่น “ดังนั้นข้าจึงมีพลังในปัจจุบัน แต่น่าเสียดายที่ก็ยังไม่สามารถต่อสู้กับผู้บัญชาการปีศาจโลหิตได้”
“นี่ไม่เลวเลยนะที่พวกเจ้าทำมาถึงตรงนี้” มู่เฉินกล่าว
“ท่านเทพเคยพบบรรพบุรุษของสำนักมังกรเทวะของข้าหรือไม่?” ไป๋ซู่ซู่มองมู่เฉินด้วยความคาดหวัง
มู่เฉินลังเลชั่วครู่ก่อนที่จะพยักหน้า
ไป๋ซู่ซู่รู้สึกโล่งใจมากขณะแววยินดีแผ่ซ่าน “ข้าว่าแล้วพวกเขาจะไม่ทิ้งเราไปแน่ๆ พวกเขาค้นหาวิธีการที่จะช่วยโลกเรามาตลอด!”
มู่เฉินยิ้มก่อนที่แสงหลิงจะรวมตัวกันที่ปลายนิ้ว ก่อรูปจอมยุทธ์มังกรขาวขึ้น
“ข้ามาเพราะคำขอร้องของผู้อาวุโสท่านนี้น่ะ”
เมื่อมองไปที่ภาพจอมยุทธ์มังกรขาวดวงตาของไป๋ซู่ซู่ก็เปลี่ยนแดงก่ำ “นั่นคือท่านไป๋หลง เขาเป็นต้นตระกูลของข้า!”
จากนั้นนางก็หันไปหามู่เฉินคุกเข่าลง “ท่านเทพ ซู่ซู่ขอขอบคุณแทนทุกคนบนโลกนี้!”
มู่เฉินโบกแขนเสื้อใช้คลื่นยกร่างไป๋ซู่ซู่ขึ้นมาพลางส่ายหัวไม่ได้รับความชอบคนเดียว “ข้ามาที่นี่เพื่อผลประโยชน์ ท่านไป๋หลงสัญญากับข้าถึงค่าตอบแทนที่ข้าไม่สามารถปฏิเสธได้”
ไป๋ซู่ซู่ยิ้มขณะที่มองมู่เฉินด้วยดวงตางดงาม
“ตอนนี้ข้ามั่นใจแล้ว เป้าหมายของข้าก็คือภูเขาเซิ่งหลงหรือภูเขาเสี่ยหมัวในปัจจุบัน” มู่เฉินไม่ได้สนใจสายตาของนาง เขาหรี่ตาลงความเฉียบคมวาบไหว
มีผู้บัญชาการปีศาจโลหิตสามคนอยู่ในภูเขาเสี่ยหมัว ซึ่งทั้งสามคนสัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนแล้ว ถ้าเขาต้องการขึ้นไปบนภูเขาก็จะต้องกำจัดทั้งสามคนนั่น ในเวลานั้นจะต้องมีการต่อสู้ใหญ่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ครั้งนี้ไม่เหมือนกับการต่อสู้ของเขากับพวกเจ้าภูเขาเหลยยิง นี่เป็นการต่อสู้มรณะแท้จริง
“ดูเหมือนว่าข้าต้องจัดการผู้บัญชาการปีศาจโลหิตที่ลาดตระเวนสองคนนั่นให้เร็ว มิฉะนั้นหากพวกมันรู้เรื่องนี้และรวมตัวกัน ถึงตอนนั้นข้าก็คงไม่ได้เปรียบ”
แม้ว่าเขาจะสามารถหลบหนีได้อย่างปลอดภัยแม้จะเผชิญหน้ากับทั้งห้า แต่ตอนนั้นกลัวว่าผู้คนในโลกนี้จะถูกล้างบางภายใต้ความโกรธของเหล่าปีศาจ
ในเวลานั้นภารกิจของเขาก็จะล้มเหลว
ดังนั้นเขาทำได้เพียงประสบความสำเร็จในภารกิจนี้เท่านั้น
หลายวันต่อมา
มู่เฉินอยู่ในเมืองเพื่อปรับสภาพให้สามารถปลดปล่อยพลังที่แข็งแกร่งมากที่สุดได้ทุกเมื่อต้องการ
ไป๋ซู่ซู่ก็ไม่มารบกวนเขา ไม่ว่าจะเป็นการปกปิดข่าวเกี่ยวกับการต่อสู้ก่อนหน้าหรือค้นหาร่องรอยของผู้บัญชาการทั้งสองก็ต้องใช้คนจำนวนมาก ดังนั้นงานของนางจึงล้นมือ
แต่โชคดีที่นางทำสิ่งที่สัญญาได้สำเร็จทั้งหมด
ทันใดนั้นดวงตาของมู่เฉินก็เปิดขึ้น เขาไปปรากฏตัวนอกห้องซึ่งไป๋ซู่ซู่ยืนรออยู่แล้ว
“ข้าได้รับข่าวมาแล้ว” ทันทีที่เห็นมู่เฉิน ไป๋ซู่ซู่ก็รีบบอกทันที
มู่เฉินรู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยินเนื่องจากเขารู้สึกกังวลที่มีเวลาจำกัด แต่ตัวเขาก็ไม่สามารถเร่งรีบมากเกินไปเพราะจะส่งผลต่อจิตใจคนทำงานทุกคน
“ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตคนหนึ่งอยู่ที่เมืองเทียนหยวนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ และเขาจะอยู่ที่นั่นประมาณครึ่งวัน” ไป๋ซู่ซู่ยิ้ม
เมื่อเห็นรอยยิ้มของนาง มู่เฉินก็ลังเล “สูญเสียใหญ่ไหม?”
ไป๋ซู่ซู่อึ้งไปก่อนที่จะกัดริมฝีปาก “ทางเราเปิดเผยร่องรอยบางอย่าง ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก”
มู่เฉินเงียบไป แม้ว่าไป๋ซู่ซู่จะพยายามใช้เสียงเรียบเฉย แต่เขาก็เข้าใจถึงราคาที่ต้องจ่ายสำหรับข้อมูลนี้
“ถ้างั้นข้าจะไปทันที”
“ช่วยพาข้าไปด้วยได้ไหม” ไป๋ซู่ซู่มองไปที่มู่เฉินและขอร้อง “ถ้าเราทำสำเร็จ ข้าจะได้รับข้อมูลใหม่เพื่อค้นหาผู้บัญชาการปีศาจโลหิตอีกคนทันที”
“ถ้าเราล้มเหลว…” ไป๋ซู่ซู่ยิ้ม “ก็แค่ตายไม่ใช่เหรอ?”
มู่เฉินครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนที่จะพยักหน้า เขาเข้าใจเรื่องเวลาดี เมื่อไป๋ซู่ซู่อยู่ด้วย เขาก็ไม่ต้องเดินทางไปกลับเพื่อมาสอบถามข้อมูลอีก
เมื่อเห็นว่ามู่เฉินตกลง ไป๋ซู่ซู่ก็ยิ้มออกมาทันทีก่อนที่นางจะยืนตรงหน้ามู่เฉิน เสื้อผ้าแนบเนื้อช่างเผยส่วนโค้งเว้านัก
“ถ้างั้นข้าต้องรบกวนท่านเทพเพื่อพาข้าไปด้วย!”
มู่เฉินลังเลชั่วครู่ก่อนที่จะคว้าเอวบาง แสงหลิงห่อหุ้มพวกเขาทั้งสองก่อนที่จะพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
บนภูเขานอกเมืองเทียนหยวน
มู่เฉินปรากฏตัวขึ้นคลายอ้อมกอดไป๋ซู่ซู่ ดวงหน้าเล็กแดงซ่านก่อนที่นางจะถอยหลังสองก้าว
มู่เฉินมองไปที่เมืองก็กล่าวว่า “มีพลังร้ายที่ทรงประสิทธิภาพจริงๆ น่าจะเป็นของผู้บัญชาการปีศาจโลหิต”
ไป๋ซู่ซู่มองไปที่เมืองขณะกำหมัดแน่น ไม่รู้ว่ามีคนตายในเมืองนี้มากแค่ไหน ทั้งเมืองจมในทะเลเลือด
“เจ้าซ่อนตัวอยู่ที่นี่ ข้าจะล่อผู้บัญชาการปีศาจโลหิตเข้าไปในภูเขาลึก รอข้ากลับมานะ” มู่เฉินสั่ง
ไป๋ซู่ซู่พยักหน้า นางไม่ใช่หญิงสาวเจ้าพยศและยโส ตอนนี้นางรู้ว่าไม่สามารถรบกวนมู่เฉินได้
มู่เฉินไม่ลังเลเคลื่อนตัวออกไปทันที คลื่นหลิงหมุนเวียน ความผันผวนทรงพลังพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
ขณะที่ความผันผวนของคลื่นหลิงแผ่กระจายออกไป ในโถงที่อยู่ส่วนลึกเมือง ชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อคลุมสีแดงเข้มและมีร่างเล็กสองคนอยู่ในอุ้งมือเขา ขณะที่เขาดึงเขี้ยวออก ม่านตาก็หดเกร็ง จากนั้นก็โยนร่างทั้งสองออกไปปรากฏตัวบนท้องฟ้า
เขามองไปในระยะไกล มองเห็นริ้วแสงบินลึกเข้าไปในภูเขา
“ไอ้พวกชนพื้นเมืองนี่ช่างกล้า บังอาจมาสอดแนมข้า!” ชายวัยกลางคนแสยะยิ้มน่าขนลุกก่อนที่แสงสีแดงเข้มจะปรากฏขึ้นที่ใต้ฝ่าเท้า เขาทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าไล่ตามร่างเงานั่นไป
ร่างสองร่าง หนึ่งหน้าหนึ่งหลังพุ่งเข้าสู่เทือกเขา
เมื่อไป๋ซู่ซู่เห็นฉากนี้ หน้าอกก็ยกขึ้นลงก่อนที่นางจะหายใจเข้าลึกๆ สงบใจนั่งลงบนยอดเขา
นางไม่คิดที่จะไปแอบดูการต่อสู้ แม้ว่าจะกังวลและอยากรู้ผล แต่นางก็เข้าใจดีว่าตนเองไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถึงจะรู้ไปก่อนแล้วมีประโยชน์อะไร?
หากมู่เฉินล้มเหลวความหวังทั้งหมดของพวกนางจะดับวูบ หากเป็นเช่นนั้นนางก็ระเบิดตัวที่นี่เลย ดีกว่าไปถูกทรมานโดยเผ่าเสี่ยเสีย
ไป๋ซู่ซู่ผ่อนคลายคลี่ยิ้ม จากนั้นก็ยืดเอวก่อนจะล้มนอนลงมองไปบนท้องฟ้า
ท้องฟ้าในอดีตช่างปลอดโปร่งและสดใสไม่มีกลิ่นคาวเลือดในอากาศ…
ชวนให้คิดถึง
นางค่อยๆ หลับตาลงด้วยรอยยิ้ม
ทว่านางก็ไม่ได้หลับตานาน ก่อนที่นางจะลืมตาโพลง เนื่องจากเห็นว่าร่างเงาสูงโปร่งยืนตรงหน้าพร้อมกับรอยยิ้มในมือถือไข่มุกสีแดงเข้ม
นางมองไปที่มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะยิ้ม ทว่าในดวงตากลับเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยอารมณ์ในใจ
“ท่านเทพ ถ้ายังทำเท่แบบนี้ ข้าจะตกหลุมรักเจ้าจริงๆ แล้วนะ”
บทที่ 1382 กำจัด
ทะเลสาบขนาดใหญ่
ที่มีแสงส่องระยิบระยับราวกับปลาน้อยสีเงินโผบินออกมา
มู่เฉินและไป๋ซู่ซู่ยืนอยู่บนผืนน้ำพร้อมกับแสงหลิงเล็ดลอดออกมาห่อหุ้มทั้งสองไว้เพื่อปกปิดรัศมีจนหมด
ไป๋ซู่ซู่มองไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ “ตามข้อมูลล่าสุด ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตจะผ่านมาที่นี่จากเส้นทางการลาดตระเวน ว่ากันว่ามันกำลังมุ่งหน้ากลับภูเขาเสี่ยหมัว ดังนั้นเราจะต้องจัดการมันที่นี่”
ดวงตาของมู่เฉินหดลงเมื่อได้ยิน “หรือว่าพวกมันจะรับรู้แล้ว?”
หลังจากไตร่ตรองชั่วครู่ใบหน้าของไป๋ซู่ซู่ก็เปลี่ยนไปเป็นเคร่งเครียด “ปีศาจคนนี้ตระเวนไปทั่ว ข้อมูลก็คงจะค่อนข้างดี มันอาจจะรับรู้อะไรบางอย่าง แต่ไม่น่าจะยืนยันข่าวได้ ดังนั้นจึงคิดจะไปที่ภูเขาเสี่ยหมัวเพื่อพูดคุยตัดสินใจกับผู้บัญชาการปีศาจโลหิตอีกสามคน”
“ถ้างั้นก็ปล่อยมันไปไม่ได้” มู่เฉินพยักหน้า หากผู้บัญชาการปีศาจโลหิตคนนี้ไปถึงภูเขาเสี่ยหมัว ก็จะเกิดการเตรียมการ
ไป๋ซู่ซู่พยักหน้า จากนั้นทั้งสองก็เงียบลงไปประมาณหนึ่งชั่วโมงมู่เฉินก็ลืมตาโพลงมองไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ด้วยความเฉยเมย “มันมาแล้ว”
ไม่นานหลังจากเสียงมู่เฉินดังขึ้น เมฆสีแดงเข้มก็พล่านเข้ามาจากทิศตะวันตกเฉียงใต้พร้อมกับสัตว์อสูรมากมายถูกล่ามโซ่ไว้กับตำหนักขนาดใหญ่
ตำหนักรายล้อมด้วยจอมยุทธ์เผ่าเสี่ยเสีย กระบวนทัพช่างหรูหรานัก
เมฆสีแดงพุ่งไปในทิศทางของมู่เฉินและไป๋ซู่ซู่ ทว่าก็ไม่พบทั้งสอง ยังคงมุ่งหน้าเดินทางต่อไป
เมื่อตำหนักขนาดใหญ่ผ่านไปเหนือศีรษะ ดวงตาของมู่เฉินก็เย็นชาลง เสาคลื่นหลิงขนาดมหึมาทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ากระแทกเข้ากับตำหนักจังใหญ่
ตู้ม!
ตำหนักระเบิดออกทันที คลื่นหลิงก็สร้างหายนะ จอมยุทธ์เผ่าเสี่ยเสียถูกสังหารไปทั้งแถบ ทุกอย่างตกอยู่ในความโกลาหล
“ใครกล้ารบกวนข้าคนนี้!”
ขณะที่เผ่าเสี่ยเสียตกใจวุ่นวาย เสียงตะโกนก็ดังก้องระหว่างฟ้าดิน ทำให้กองทัพสงบลง
“ผู้หญิง?” เมื่อได้ยินเสียงตะโกน มู่เฉินก็หรี่ตาลง เนื่องจากตระหนักว่าผู้บัญชาการปีศาจโลหิตคนนี้เป็นสตรี!
บนท้องฟ้า บริเวณตำหนักที่ระเบิด ภาพเงาภาพหนึ่งก็เยื้องย่างออกมา นี่เป็นหญิงสาวท่าทางเย้ายวนสวมชุดบางดึงดูดความสนใจเป็นอันมาก
ทว่าเมื่อนางปรากฏตัวจอมยุทธ์เผ่าเสี่ยเสียก็ลดศีรษะลงเผยความเคารพในสายตา
ดวงตาของนางพญาที่น่าหลงใหลวูบไหวด้วยแสงสีแดงเข้ม ขณะกวาดมองไปทั่วก่อนที่จะเล็งมาที่ทะเลสาบด้านล่าง
“ข้าจะจัดการกับผู้บัญชาการหญิงคนนี้ ส่วนเจ้าจัดการคนที่เหลือ อย่าปล่อยให้ใครหนีรอดไปได้” เมื่อเห็นสายตาผู้บัญชาการปีศาจโลหิต มู่เฉินรู้ว่านางสัมผัสได้ เขาจึงลบการปกปิดออก หันไปพูดกับไป๋ซู่ซู่
ไป๋ซู่ซู่พยักหน้า พลังของนางแข็งแกร่งกว่าเหล่าแม่ทัพปีศาจโลหิต และมู่เฉินก็ได้จัดการกับเหล่าแม่ทัพราบเป็นหน้ากลองไปแล้ว ดังนั้นงานของนางจึงไม่ยากนัก
มู่เฉินไม่พูดมาก ค่อยๆ ลอยขึ้นไปในอากาศก่อนที่จะปรากฏตัวต่อหน้าผู้บัญชาการปีศาจโลหิตภายใต้สายตาของสมาชิกเผ่าเสี่ยเสีย
เมื่อมองมู่เฉินรอยยิ้มน่าหลงใหลก็ปรากฏบนใบหน้าผู้บัญชาการหญิง “พี่ชายน้อยหล่อเหลาถูกใจจริง เจ้าหยุดพี่สาวคนนี้เพราะอยากสนุกด้วยเหรอ?”
ขณะที่พูดชุดก็กระพือขึ้นลงเผยให้เห็นเนินเนื้อที่อยู่ใต้กระโปรง
มู่เฉินยิ้มให้กับการล่อลวง แต่แววตาสงบนิ่งนัก
เมื่อผู้บัญชาการหญิงเห็นสิ่งนี้ นางก็หดดวงตา รอยยิ้มจางหายแทนที่ด้วยไอสังหารขณะที่จ้องมองมาที่มู่เฉิน “เสี่ยโสวและเสี่ยหมิงที่หายไปเกี่ยวข้องกับเจ้าใช่ไหม?”
มู่เฉินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้ารู้จริงด้วยแฮะ”
“ข้าติดต่อกับพวกเขาเสมอ แต่ก่อนหน้าทั้งสองกลับหายไป ดังนั้นจึงรู้สึกแปลก แต่ข้าไม่คิดว่าจะเป็นคนจากมหาพันโลกที่เข้ามายุ่ง” ผู้บัญชาการหญิงกล่าวอย่างเย็นชา นางสังเกตแหล่งกำเนิดของมู่เฉินจากคลื่นพลังงานของเขา
“ผู้หญิงนี่หลอกยากจริง” มู่เฉินยิ้ม
ผู้บัญชาการหญิงจ้องมองมู่เฉินอย่างเย็นชาก่อนที่หมอกสีแดงเข้มรอบด้านจะพุ่งขึ้นกระจายไปทั่วฟ้าดิน
แต่ขณะที่ทุกคนคาดว่าจะเกิดการต่อสู้ใหญ่ ผู้บัญชาการหญิงกลับกลายเป็นร่างแสงพุ่งหนีไปปานสายฟ้าแลบ
ฉากที่เกิดขึ้นกะทันหัน ไม่เพียงแต่ทำให้จอมยุทธ์เผ่าเสี่ยเสียตกตะลึงเท่านั้น แต่ยังทำให้มู่เฉินอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะยิ้ม “ผู้หญิงช่างมารยาสาไถย”
ชัดว่าผู้บัญชาการปีศาจโลหิตรู้สึกถึงความไม่สบายใจ เพราะถ้าเขาสามารถจัดการกับผู้บัญชาการปีศาจโลหิตสองคนได้ เขาก็ต้องทรงพลัง ดังนั้นหากต่อสู้กันนางก็รู้ว่าตนเองไม่มีโอกาสมากนักที่จะชนะ
ดังนั้นทันทีที่รู้ว่ามู่เฉินเป็นผู้กระทำการ นางก็ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะต่อสู้ เพียงแค่ใช้จริตหยอดก่อนที่จะหาโอกาสหนี
มีเพียงการกลับไปยังภูเขาเสี่ยหมัวและร่วมมือกับผู้บัญชาการปีศาจโลหิตอีกสามคน ถึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
“ข้านั่งรอมาตั้งนานแล้วจะปล่อยให้เจ้าหนีไปได้ยังไง?” แต่ชัดว่ามู่เฉินที่รออยู่ที่นี่มาครึ่งค่อนวันก็ไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ร่างเขากลายเป็นลำแสงไล่ตามนางไป
ร่างแสงสองร่างไล่จับกันโดยที่มิติบิดเบือนอย่างต่อเนื่อง พริบตาก็ห่างออกไปหนึ่งพันลี้แล้ว
แต่ไม่ว่าผู้บัญชาการหญิงจะพยายามหลบหนีแค่ไหน นางก็สลัดมู่เฉินออกไปไม่ได้ แม้แต่ระยะห่างระหว่างทั้งสองก็ใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว
“ให้ตายสิ น่ารำคาญจริงๆ!”
ใบหน้าของผู้บัญชาการหญิงซีดเซียว ขณะที่นางสาปแช่งพลางกัดฟันกรอด นางไม่เคยคิดมาก่อนว่ายมทูตสังหารจะปรากฏตัวขึ้น หลังจากที่พวกนางปกครองโลกนี้มานาน
ตู้ม!
แต่ขณะที่นางสาปส่ง ท้องฟ้าเหนือศีรษะก็สั่นสะเทือน นางเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ จากนั้นก็เห็นเจดีย์ผลึกแก้วใสขนาดใหญ่ตกลงมาจากสวรรค์ก่อนที่จะครอบร่างนางเอาไว้
เจดีย์พุ่งลงมาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่นางจะได้ตอบสนองทั่วทั้งสรรพางค์กายก็ถูกห่อหุ้มไว้หมดแล้ว
มู่เฉินที่เห็นก็ยิ้มพลางพุ่งเข้าไปด้านใน
เจดีย์ลอยอยู่ในอากาศเงียบๆ ประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนที่ร่างมู่เฉินจะปรากฏขึ้น
เขาถือไข่มุกสีแดงเข้ม ภาพผู้บัญชาการหญิงปีศาจโลหิตปรากฏพร้อมความกลัวฉายบนใบหน้า
“นายท่านตราบใดที่ท่านไว้ชีวิตข้า ผู้น้อยคนนี้ยอมที่จะเป็นข้ารับใช้!” ผู้บัญชาการหญิงร้องขอในขณะที่ดิ้นรนครั้งสุดท้าย
“ข้าเลี้ยงงูเห่าไม่ไหวหรอก”
มู่เฉินยิ้มบางก่อนที่จะเก็บไข่มุกไว้ในเจดีย์ หากมีโอกาสในอนาคตค่อยฆ่าพวกมัน
จัดการกับผู้บัญชการหญิงปีศาจโลหิตเรียบร้อย มู่เฉินก็รู้สึกผ่อนคลายลง เขาทำตามแผนสำเร็จลุล่วง
ตอนนี้เหลือผู้บัญชาการปีศาจโลหิตสามคน เมื่อไรที่เขาสามารถกำจัดพวกมันได้ เขาก็ทำภารกิจที่ได้รับสำเร็จและจะได้รับโอกาสที่จอมยุทธ์มังกรขาวพูดไว้
“แต่ข้าใช้ของเหลวจื้อจุนไปเกือบสามร้อยล้านหยดเพื่อผนึกผู้บัญชาการสามคนนี้” แค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มู่เฉินก็กุมหัวใจด้วยความเจ็บปวด เขานำของเหลวจื้อจุนทั้งหมดจากตำหนักมู่มาใช้ในการเดินทางครั้งนี้ แม้ว่าตอนนั้นมั่นถัวหลัวจะเข้าใจ แต่นางก็ไม่ได้ให้สีหน้าที่ดีกับเขา ตำหนักมู่ก็มีค่าใช้จ่ายมหาศาล จากการกระทำของมู่เฉินทำให้พวกเขาต้องรัดเข็มขัดและใช้จ่ายเท่าที่จำเป็นเท่านั้น
“หวังว่าโอกาสจะช่วยให้ข้าก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนได้จริง มิฉะนั้นการลงทุนครั้งนี้ก็ถือว่าขาดทุนเกินไปแล้ว”
มู่เฉินยิ้มขณะที่ส่ายหัวอย่างขมขื่น ไม่กี่นาทีต่อมาเขาก็กลับไปที่ทะเลสาบ ตอนนี้บนผืนน้ำถูกย้อมเป็นสีแดงฉายมีศพนอนเกลื่อนไปหมด
ไป๋ซู่ซู่ยืนอยู่บนทะเลสาบพร้อมกับรัศมีเย็นเยือกแผ่ออกมาจากร่างกาย
เมื่อนางเห็นมู่เฉินสายตาเย็นชาของนางก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอ่อนโยน
“ขอแสดงความยินดีกับความสำเร็จอีกครั้ง”
มู่เฉินยิ้มขณะพลิ้วตัวลงไปข้างๆ ไป๋ซู่ซู่วางมือบนไหล่บาง คลื่นหลิงแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายของหญิงสาว ของเหลวสีแดงเข้มไหลซึมออกมาจากผิวหนังก่อนที่จะระเหยออกไป
ในเวลาเดียวกันรัศมีเย็นเยือกรอบตัวนางก็หายไป
“พิษโลหิต…” เมื่อเห็นของเหลวสีแดงเข้มใบหน้าของไป๋ซู่ซู่ก็เปลี่ยนไป พิษโลหิตบุกเข้าสู่ร่างกายของนางโดยที่ไม่รู้ตัวเลยเรอะ
“พลังเจ้าไม่ได้อ่อนแอ แต่ยังไม่เสถียรภาพพอ ฝึกฝนให้ดีในอนาคต ไม่เช่นนั้นจะยากสำหรับที่จะเกิดพัฒนาการ” มู่เฉินถอนมือกลับพลางเอ่ยเตือน
“รับทราบเจ้าค่ะ!” ไป๋ซู่ซู่พยักหน้ารับฟัง
มู่เฉินพยักหน้าไม่พูดอะไรอีก เพียงมองไปทางทิศตะวันออก เขาไตร่ตรองสั้นๆ ก่อนที่จะพูดช้าๆ “ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสามแห่งภูเขาเสี่ยหมัวคงจะรู้เรื่องนี้ในไม่ช้า ถึงตอนนั้น…จะเกิดการต่อสู้ใหญ่ขึ้น”
คราวนี้เขาต้องเผชิญหน้ากับสามผู้บัญชาการที่ได้สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุน
บทที่ 1383 สงครามใหญ่กำลังจะปะทุ
ภูเขามหึมาตั้งตระหง่านระหว่างชั้นฟ้าชั้นดิน
ช่างดูยิ่งใหญ่เหลือเชื่อ เชื่อมโยงผืนดินกับผืนเมฆบนฟ้าเข้าด้วยกัน เมื่อมองจากด้านบนก็ราวกับเป็นจุดสูงสุดในโลก
นี่คือภูเขาเซิ่งหลงอันศักดิ์สิทธิ์ แต่ตอนนี้กลับถูกย้อมจนแดงฉาน กลิ่นเลือดกระจายออกไปทำให้แม้แต่ท้องฟ้าก็ยังเป็นสีแดง
กระทั่งสายน้ำที่ไหลลงมาจากภูเขาก็เป็นสีแดงเหมือนเลือดสด ทำให้สถานที่ทั้งหมดดูราวกับสถานที่เพาะบ่มปีศาจ
ในบางครั้งจะเห็นแสงสีแดงเข้มระยิบระยับมาจากภูเขา
ขณะนี้รัศมีสีแดงเข้มแผ่ซ่านไปในส่วนลึกของภูเขา ร่างเงาสามร่างยืนอยู่เบื้องหน้าเหวโดยมีรัศมีสีแดงเข้มผันผวนรอบตัว ทำให้มิติโดยรอบแปรปรวน
ในบรรดาทั้งสามคน หนึ่งในนั้นมีใบหน้าซีดขาวพร้อมสัญลักษณ์สีแดงเข้มอยู่บนหน้าผาก ซึ่งปลดปล่อยความผันผวนที่น่าสยดสยอง
ทั้งสองคนที่เยื้องไปข้างหลังก็สาดสายตาน่ากลัวราวกับหมาป่าดุร้ายพร้อมกับความเกรี้ยวกราดไร้ขอบเขตวูบไหวในดวงตา
คนที่มีสัญลักษณ์บนหน้าผากหันกลับมาพูดอย่างไม่แยแส “ตอนนี้แทบจะยืนยันได้แล้วว่ามีบางคนกำลังเคลื่อนไหวต่อต้านเผ่าเสี่ยเสียของเรา และพวกมันจับผู้บัญชาการทั้งสามไป”
ขณะที่พูด ใบหน้าของผู้บัญชาการปีศาจโลหิตอีกสองคนก็อดเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แม้พวกเขาจะคาดไว้ก่อนมาแล้ว แต่เมื่อได้รับการยืนยันก็ยังรู้สึกตกตะลึงไม่ได้
เพราะพวกเขาอยู่ยงคงกระพันในโลกนี้มานานแล้ว จอมยุทธ์ที่นี่ไม่มีค่าในสายตาของพวกเขาเลย แต่ตอนนี้ทำไมถึงมีศัตรูทรงพลังปรากฏตัวขึ้น?
“น่าจะเป็นคนจากมหาพันภพ” ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตที่มีสัญลักษณ์บนหน้าผากกล่าวอย่างเย็นชา
“บ้าเอ๊ย!” ใบหน้าของอีกสองคนสั่นสะท้านขณะที่สาปส่ง ถ้าเป็นจอมยุทธ์จากมหาพันภพจริงๆ สถานการณ์ก็จะลำบากแล้ว พวกเขารู้ว่าประชากรที่อาศัยในโลกนี้ไม่มีใครเทียบได้กับมหาพันภพ ความแข็งแกร่งที่นั่นเป็นอะไรที่ไม่อาจมองข้ามได้
“แต่จากการคาดการณ์ของข้ามันน่าจะยังไม่ได้ก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน อย่างมากก็มีพลังพอๆ กับเรา” ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตที่มีสัญลักษณ์บนหน้าผากหรี่ตาขณะที่พูดต่อ “จากสถานการณ์ที่ข้าคำนวณไว้ อีกสามคนน่าจะถูกจัดการไปทีละคนแล้ว ถ้าคนผู้นั้นเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน จะทำให้ลำบากแบบนี้ทำไม”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น อีกสองคนก็รู้สึกโล่งใจ ตราบใดที่ไม่ใช่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ไม่มีอะไรที่พวกเขาต้องกลัว ถ้าพวกเขาสามคนรวมพลังกัน แม้แต่จอมยุทธ์ลึกลับจากมหาพันภพก็ยังต้องหวาดกลัว
“ถ้างั้นเราจะทำยังไงกันดี?” อีกสองคนมองไปที่ชายที่มีสัญลักษณ์บนหน้าผาก
สัญลักษณ์บนหน้าผากเต้นยุบยับก่อนเขาจะพูดว่า “ออกคำสั่งเรียกระดมพลเผ่าเสี่ยเสียกลับมายังภูเขาเสี่ยหมัวทั้งหมด”
อีกสองคนตกใจก่อนที่จะพูดว่า “พี่ใหญ่แล้วเมืองที่ปกครองล่ะ?”
ผู้บัญชาการที่มีสัญลักษณ์บนหน้าผากเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ดูเหมือนพวกเจ้ายังไม่ชัดเจนเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบัน ถ้าเราล้มเหลวเมืองเหล่านั้นจะมีประโยชน์อะไรอีก?”
“เจ้านั้นแข็งแกร่งขนาดนั้นเชียวหรือ?” ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสองตกใจไป
“ไม่ว่ามันจะแข็งแกร่งแค่ไหน เราก็ต้องเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่เลวร้ายที่สุด พวกเจ้าต้องจำไว้ เป้าหมายสุดท้ายของเราคืออะไร…” ผู้บัญชาการที่มีสัญลักษณ์บนหน้าผากก้มลงมองไปที่หุบเหว ที่นั่นเป็นมหาสมุทรสีแดงเข้มที่ส่งกลิ่นเหม็นคาวเลือด
ในมหาสมุทรเลือดมีไข่โลหิตมหึมาลอยคว้างอยู่ซึ่งสลักด้วยลวดลายน่ากลัวทุกรูปแบบ ขณะเดียวกันก็ยังเปล่งรัศมีดุร้ายราวกับว่ากำลังหล่อเลี้ยงบางสิ่งอยู่
ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสามมองไปที่ไข่โลหิตด้วยดวงตาลุกโชน
“เราใช้ความพยายามทุกหยาดหยดเพื่อครอบครองพิภพเขตล่างนี้อย่างลับๆ ไม่ได้แจ้งให้เผ่าอื่นทราบ เพื่อใช้เลือดของสิ่งมีชีวิตที่นี่เลี้ยงดูผู้นำของเรา เมื่อเขาถือกำเนิดขึ้นเผ่าเสี่ยเสียก็จะมีจอมปีศาจสักที!”
“ในเวลานั้นเผ่าเสี่ยเสียก็จะมีตำแหน่งที่ยืนในจักรวรรดิปีศาจ ไม่ได้รับการปฏิบัติเหมือนซากสัตว์!
“แผนของเรามาถึงช่วงสำคัญแล้ว ดังนั้นจะต้องไม่มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น!”
ขณะที่พูดดวงตาก็เปล่งประกายเย็นชา ก่อนที่เขาจะหันไปหาพรรคพวกอีกสองคน “แต่พวกเจ้าไม่ต้องกังวลมากเกินไป ข้าแค่เตรียมการสำหรับสิ่งที่เลวร้ายที่สุดเท่านั้น สำหรับผู้บุกรุกในเมื่อมันโจมตีผู้บัญชาการปีศาจโลหิตคนอื่นๆ แบบลอบกัด นั่นก็หมายความว่าพลังของมันน่าจะเหนือกว่าพวกเขาเล็กน้อย ดังนั้นมันไม่กล้ามาที่ภูเขาปีศาจเสี่ยหมัวแน่”
ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสองพยักหน้า ตอนนี้ทั้งสามประจำการอยู่ที่ภูเขาเสี่ยหมัว ไม่มีทางแยกออกจากกันแน่ ตราบใดที่จอมยุทธ์จากมหาพันภพไม่ได้อยู่ในระดับเทียนจื้อจุน การเข้ามาที่นี่ก็เท่ากับเดินเข้าสู่ความตาย
ตอนนี้พวกเขาปล่อยให้ชายคนนั้นลิงโลดไปก่อน ตราบใดที่จอมปีศาจของพวกเขาถือกำเนิดขึ้นแล้ว พวกเขาจะคืนทุกอย่างให้เป็นร้อยเท่า…
ที่ราบรกร้าง
มู่เฉินและไป๋ซู่ซู่ยืนอยู่บนยอดเขาโดดเดี่ยว มู่เฉินมองไปที่เมืองห่างไกลด้วยดวงตาหรี่ลง “สมาชิกเผ่าเสี่ยเสียเคลื่อนพลออกจากเมืองตลอดเวลา…”
“พวกมันกำลังไปรวมพลที่ภูเขาเสี่ยหมัว” ใบหน้าของไป๋ซู่ซู่เคร่งเครียดลงหลายส่วนขณะที่พูดต่อ “ดูเหมือนว่าผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสามจะจับสังเกตได้แล้ว”
มู่เฉินพยักหน้า แต่ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยที่เกิดการขาดการติดต่อของผู้บัญชาการปีศาจโลหิตสามคนในเวลาเดียวกัน ดังนั้นไม่ว่าอีกสามคนจะโง่แค่ไหนก็ต้องระแวงบ้าง
“พวกมันรู้สึกถึงอันตราย ดังนั้นจึงเริ่มเรียกระดมพล” ไป๋ซู่ซู่ขมวดคิ้วก่อนจะหันไปหามู่เฉิน “ท่านเทพ เราจะทำยังไงดี?”
ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสามกำลังรอการมาถึงของมู่เฉินอย่างชัดเจน ถ้าเขาไปถึงก็จะเกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ขึ้น
มู่เฉินยิ้ม “ทำยังไงได้ล่ะ? ก็ลุยขึ้นเขากันเลย”
เขาพูดเป็นกันเองราวกับว่าไม่ได้มุ่งหน้าสู่ดินแดนอันตราย แต่ไปเพื่อกินลมชมวิว
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา กระทั่งสตรีอย่างไป๋ซู่ซู่ก็อดไม่ได้ที่เลือดจะเดือดพล่าน นางเม้มริมฝีปาก “ในเมื่อท่านเทพมั่นใจขนาดนี้ งั้นครั้งนี้พวกเราขอติดตามท่านไปด้วย”
มู่เฉินยิ้มขณะที่จะพูดเขาก็มองไปในระยะไกลด้วยความประหลาดใจ รัศมีนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นที่นั่นราวกับคลื่นยักษ์ถั่งโถมเข้ามายังทิศทางของเขา
มู่เฉินอึ้งเมื่อเห็นฉากนี้ คนเหล่านี้ไม่ได้มาจากเผ่าเสี่ยเสียแต่เป็นผู้คนที่อาศัยอยู่ในโลกนี้ เมื่อพิจารณาจากขนาดแล้วน่าจะเป็นทุกคนที่พุ่งตรงมา
เขาหันไปมองไป๋ซู่ซู่
เมื่อนางเห็นสายตานั่นก็เม้มริมฝีปาก “ท่านเทพ สงครามครั้งนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นตายของเรา เป้าหมายของท่านคือผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสาม คนที่เหลือปล่อยให้เราจัดการ ท่านเทพจะได้ไม่ต้องเสียพลังเปล่าประโยชน์”
“พวกข้าจะไม่ให้ท่านได้รับการรบกวนเด็ดขาด”
มู่เฉินขมวดคิ้ว “พวกเจ้าช่างกล้าบ้าบิ่น!”
แม้ว่าประชาชนที่นี่จะมีจำนวนมาก แต่ถ้าพวกเขาต้องต่อสู้กับเผ่าเสี่ยเสีย พวกเขาก็ต้องสู้ถวายชีวิตเลยทีเดียว
ไป๋ซู่ซู่ยิ้ม แม้ว่าน้ำเสียงจะแผ่วเบาแต่ก็ตั้งมั่น “ท่านเทพคงไม่สามารถจินตนาการได้ถึงความเกลียดชังของเราที่มีต่อเผ่าเสี่ยเสียได้หรอก แม้ว่าทุกคนจะต้องตาย แต่ก็ไม่เสียใจที่จะทำ”
“ดังนั้นได้โปรดให้เราสู้ศึกครั้งนี้ด้วย”
ไป๋ซู่ซู่พูดขณะที่คุกเข่าให้มู่เฉิน
ในเวลาเดียวกันคลื่นมหาชนขนาดใหญ่ที่รวมตัวกันก็คุกเข่าพร้อมกับเสียงดังก้องไปทั่วขอบฟ้า “ท่านเทพให้พวกเราติดตามไปด้วยเถอะ!”
มู่เฉินตกอยู่ในความเงียบกับภาพนี้ เขามองเห็นความเกลียดชังในดวงตาแต่ละคู่ ชัดว่าคนส่วนใหญ่เตรียมพร้อมที่จะสู้ด้วยชีวิต
ในเวลานี้แม้เขาจะพูดให้หยุด แต่คนที่นี่ก็คงจะตามไปด้วยแน่นอน
มู่เฉินถอนหายใจเบาๆ “ถ้าอีกฝ่ายไม่เคลื่อนไหว พวกเจ้าก็ห้ามเคลื่อนไหว ตราบใดที่ข้าสามารถจัดการผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสามได้ เผ่าเสี่ยเสียก็ถึงคราวล่มสลายแน่”
เขาไม่รู้ว่าถ้าจอมยุทธ์มังกรขาวที่ถูกอัญเชิญมาต้องเห็นลูกหลานตายตกตามไปทั้งหมด ในเวลานั้นจอมยุทธ์มังกรขาวจะยังคงรักษาสัญญาอยู่หรือไม่ ดังนั้นเขาจึงต้องพยายามปกป้องคนให้ได้มากที่สุด
“เราจะทำตามคำสั่งของท่านเทพ!”
เสียงสะท้อนก้องออกมา สายตาที่มองมู่เฉินอัดแน่นด้วยความเคารพศรัทธา
มู่เฉินไม่ได้พูดอะไรอีก พยักหน้าไปทางไป๋ซู่ซู่ก่อนที่ร่างจะขยับกลายเป็นริ้วแสงทะยานออกไปพร้อมกับคลื่นยักษ์ตามหลังมา
ไม่กี่วันจากนั้นความเร็วของคลื่นยักษ์ก็ค่อยๆ ช้าลง…
มู่เฉินยืนเอามือไพล่หลังบนท้องฟ้า สายตามองไปที่ภูเขาใหญ่ในระยะไกล
ภูเขาลูกนั้นสูงจนสัมผัสกับก้อนเมฆราวกับว่ากำลังมองโลกใบนี้
ไป๋ซู่ซู่ยืนอยู่ข้างๆ มองไปที่ภูเขาเซิ่งหลงที่ตอนนี้แปดเปื้อนด้วยเลือด ดวงตานางแดงก่ำ เส้นเลือดปูดโปนขึ้นบนเรียวแขน
มู่เฉินมองไปที่ภูเขาใหญ่ก็เห็นร่างเงานับไม่ถ้วนที่มีรัศมีโลหิตอยู่รอบตัว
ขณะที่มู่เฉินมองไป ร่างเงาสีแดงเข้มสามร่างก็พุ่งออกมาพร้อมกับกลิ่นคาวเลือดลอยฟุ้งในอากาศ ขณะเดียวกันเสียงเยือกเย็นก็ดังก้องไปทั่วสวรรค์และโลก
“ไอ้งั่ง ตอนแรกพวกข้าก็ว่าจะให้แกมีชีวิตนานขึ้นอีกหน่อย ไม่คิดว่าเจ้าจะกล้ามาที่ภูเขาเสี่ยหมัว สวรรค์มีทางไม่ไป นรกไร้ประตูดันแส่เข้ามา”
“ในเมื่อแกรนหาที่ตาย พวกข้าจะทำให้ความปรารถนาเป็นจริงเอง!”
บทที่ 1384 หนึ่งต่อสาม
ภูเขาเสี่ยหมัวกำจายกลิ่นเลือดคละคลุ้ง
ขณะที่เงาสีแดงเข้มทั้งสามยืนอยู่ในอากาศพร้อมกับรัศมีน่าสะพรึงเล็ดลอดออกมาจากร่าง เมื่อมองจากระยะไกลก็ราวกับเทพปีศาจสามคน
เมื่อผู้คนเห็นภาพเงาทั้งสาม พวกเขาก็เริ่มสั่นสะท้านด้วยความกลัวในสายตา เนื่องจากพวกเขารู้ว่าทั้งสามคนก็คือผู้บัญชาการปีศาจโลหิตที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าเสี่ยเสีย
ในปีที่ผ่านๆ มา ไม่รู้ว่ามีคนจำนวนเท่าไรที่ตายในมือของพวกมัน
แต่ขณะที่ทุกคนกำลังถูกข่มโดยทั้งสามอยู่นั้น มู่เฉินก็สะบัดแขนเสื้อ แสงหลิงพวยพุ่งขึ้น ประหนึ่งคลื่นปกคลุมครึ่งหนึ่งของขอบฟ้า ปิดกั้นรัศมีดุร้ายที่มาจากผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสามไว้
ด้วยการเคลื่อนไหวของมู่เฉิน ไป๋ซู่ซู่และคนที่เหลือก็รู้สึกโล่งใจ ร่างกายของพวกเขาคลายตัวก่อนที่จะมองไปที่อีกฝ่ายด้วยความเคารพ
เหนือภูเขาเสี่ยหมัว ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตที่มีสัญลักษณ์อยู่หน้าผาก ซึ่งก็คือผู้บัญชาการใหญ่เสี่ยหมัวมองไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชา “จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มกล้าโอหังต่อหน้าข้าคนนี้หรือ? แกช่างไม่เจียมกะลาหัว!”
เมื่อพิจารณาจากความผันผวนพลังงานของมู่เฉิน เสี่ยหมัวก็รู้ถึงขุมพลังของอีกฝ่าย ซึ่งทำให้เขาต้องประหลาดใจ โดยทั่วไปแล้วจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มจะเทียบเท่ากับแม่ทัพปีศาจโลหิตของเผ่าเสี่ยเสีย แล้วผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสามตกอยู่ในมือของมู่เฉินได้อย่างไร?
เมื่อได้ยินคำเยาะเย้ยมู่เฉินก็ฉีกยิ้ม “ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็เพียงพอที่จะจัดการกับพวกแกแล้ว”
“อวดดี!”
ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตอีกสองคนตะเบ็งเสียงอย่างเย็นชาพร้อมกับจ้องมองไปที่มู่เฉิน
“พี่ใหญ่ ทำไมต้องไปคุยกับมันล่ะ? ร่วมมือกันฆ่ามันแล้วโยนอาหารทั้งหมดนี่ลงไปในอเวจีโลหิตเลยดีกว่า” สายตาดุร้ายกวาดไปยังผู้คนที่ตามมา
“ถ้างั้นก็ร่วมมือกันจัดการเจ้านี่เลย” ผู้บัญชาการใหญ่พยักหน้าอย่างไม่แยแส แม้ว่าเขาจะเยาะเย้ยมู่เฉินว่าเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่เขาก็ยังระวังอยู่ในใจและไม่ต้องการให้โอกาสใดกับมู่เฉิน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจต่อสู้พร้อมกัน
ตู้ม!
ลำแสงสีแดงเข้มหมื่นจั้งสามสายพุ่งทะยานจากร่างผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสาม แรงผลักดันดังกล่าวทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือน ทั้งภูมิภาคนี้ตลบอบอวลด้วยกลิ่นเหม็นคาว
เมื่อทั้งสามเคลื่อนไหวในเวลาเดียวกันก็ทำให้สวรรค์และโลกสั่นสะเทือน แม้แต่ใบหน้าของไป๋ซู่ซู่ก็เปลี่ยนไปขณะที่หมัดกำแน่น นางเข้าใจว่ามู่เฉินแข็งแกร่งเพียงใด แต่ก่อนหน้านี้เขาสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่งมาตลอด ทว่าตอนนี้เขากลับต้องเผชิญหน้ากับผู้บัญชาการปีศาจโลหิตที่แข็งแกร่งที่สุดสามคนในคราวเดียว
ฟิ้ว!
ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตไม่แม้แต่จะคุยกับมู่เฉิน ออกกระบวนท่าพร้อมเพรียงกัน คลื่นพลังงานมหาศาลสามสายเดินทางผ่านมิติราวกับมหาสมุทรขนาดใหญ่กวาดไปทางมู่เฉิน
เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ เขาก็สะบัดแขนเสื้อ ปราการพลังงานปกคลุมร่างไว้
ครืน!
มหาสมุทรขนาดใหญ่กระแทกเข้ากับปราการ พลังที่น่ากลัวดูราวกับพยายามจะฉีกสวรรค์และโลกออกจากกัน
เมื่อผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสามเห็นฉากนี้ รอยยิ้มน่ากลัวก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า แม้ว่าการโจมตีของพวกเขาอาจดูธรรมดา แต่ก็ไม่ได้ออมมือ มหาสมุทรเลือดที่น่าสะอิดสะเอียนสามารถกัดกร่อนคลื่นหลิงได้อย่างรวดเร็ว
ทว่าไม่ช้ารอยยิ้มของพวกเขาก็แข็งค้าง เนื่องจากพวกเขาเห็นผลึกแสงพล่านออกมา ทำให้มหาสมุทรเลือดจางลงอย่างรวดเร็วก่อนที่จะสลายไป
เมื่อทั้งสามเห็นฉากนี้ดวงตาก็หดลง
จุดที่มู่เฉินอยู่ก่อนหน้า แสงตกผลึกก่อตัวขึ้นเป็นปราการห่อหุ้มเขาไว้ภายใน ที่ด้านข้างมิติบิดเบี้ยว ร่างเงาสองร่างปรากฏขึ้นมา
ร่างเงาสองร่างสวมชุดสีดำและสีขาวมีรูปลักษณ์เหมือนกับมู่เฉินทุกประการ สิ่งที่ทำให้ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตตกตะลึงก็คือความผันผวนของคลื่นหลิงเหมือนกับมู่เฉินเปี๊ยบเลย
“นั่นคือร่างดวงจิตรึ? แต่ทำไมพวกมันทรงพลังพอๆ กับร่างหลักล่ะ?” ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตคนหนึ่งร้องออกมา ดูท่าเขาคงมีความเข้าใจพอสมควรเกี่ยวกับเคล็ดวิชาของมหาพันภพ
ใบหน้าของผู้บัญชาการใหญ่ปีศาจโลหิตก็ดิ่งลง ก่อนที่เสียงจะเปลี่ยนเป็นน่ากลัว “มิน่าล่ะไอ้ตัวนี้ถึงกล้ามาที่ภูเขาเสี่ยหมัวของเรา มันมีความสามารถอยู่จริงๆ”
“พี่ใหญ่ตอนนี้ทำยังไงดี?” ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตคนหนึ่งถามขึ้น แบบนี้ไม่ใช่ว่าความได้เปรียบด้านจำนวนของพวกเขาก็หายไปแล้วหรือ?
ใบหน้าของผู้บัญชาการใหญ่มืดครึ้ม ก่อนที่สายตาจะกะพริบเอ่ยเยาะเย้ย “ข้าไม่เชื่อว่าร่างดวงจิตของมันจะทรงพลังเท่าร่างหลัก ทิ้งร่างหลักไว้ให้ข้า พวกเจ้าสองคนไปจัดการกับร่างเสมือนพวกนัน้ให้เรียบร้อยซะแล้วมาช่วยข้าจัดการมัน!”
“รับทราบ!”
ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสองพยักหน้า เนื่องจากพวกเขาก็มีความคิดคล้ายคลึงกัน ท้ายที่สุดทักษะที่แยกร่างเสมือนซึ่งไม่ได้ลดพลังก็ยากที่จะเห็นกระทั่งในเผ่าเสี่ยเสียเอง แล้วจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มจะครอบครองทักษะเช่นนี้ได้อย่างไร?
ร่างของพวกเขาขยับกลายเป็นริ้วแสงสีแดงเข้มพุ่งออกมา
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นก็เห็นฉากเบื้องหน้าก่อนที่เขาจะยิ้มพลางพยักหน้าให้กับร่างรองทั้งสอง
มู่เฉินชุดดำและชุดขาวหัวเราะร่วนแล้วทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ามุ่งหน้าไปในสองทิศทางที่แตกต่างกันโดยมีผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสองติดตามไปกระชั้นชิด
จากนั้นมู่เฉินชุดดำก็โบกมือ แหวนปรากฏขึ้น อึดใจต่อมาร่างเงานับไม่ถ้วนก็ทะยานออกมายืนอยู่ข้างหลังเขา
ตู้ม!
รัศมีจั้นยี่ขนาดใหญ่พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
นักรบหลายพันคนยืนอยู่ด้านหลังมู่เฉินชุดดำส่งเสียงคำราม ทันใดนั้นรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตก็บินฉวัดเฉวียนบนท้องฟ้า ราวกับมหาสมุทรปลดปล่อยพลังอันทรงประสิทธิภาพ
นี่คือกองทัพมังกรดำ
มู่เฉินชุดดำยืนอยู่ท่ามกลางกองทัพ นั่งลงในมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่พลางยิ้มอ่อนให้ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตที่ฉายความตกตะลึงบนใบหน้า เขาสะบัดแขนเสื้อ รัศมีจั้นยี่ก็พุ่งออกมาพร้อมกับพลังน่ากลัวกวาดใส่ผู้บัญชาการปีศาจโลหิต
อีกมุมสมรภูมิสัญลักษณ์หลิงยิ่งพลุ่งพล่านออกมาจากแขนเสื้อของมู่เฉินชุดขาวแล้วรวมเข้ากับสภาพแวดล้อม ผนึกนับไม่ถ้วนยิงออกไปก่อนจะถักทอเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ห่อหุ้มร่างผู้บัญชาการปีศาจโลหิตอีกคนไว้ภายใน
เมื่อไป๋ซู่ซู่และชาวโลกเห็นภาพนี้ พวกเขาก็ตะลึงลานไป พวกเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะมีทักษะที่ทรงพลังเช่นนี้ แค่ร่างรองของเขาสองร่างก็สามารถดักจับผู้บัญชาการปีศาจโลหิตสองคนได้
“จั้นเจิ้นซือ? หลิงเจิ้นซือ?!”
ขณะที่พวกเขาตกตะลึง ใบหน้าของเสี่ยหมัวก็ดูน่าเกลียดไป ตอนนี้เขาต้องเชื่อแล้วว่าร่างรองทั้งสองของมู่เฉินมีพลังการต่อสู้ที่ไม่แพ้ร่างหลักเลย
“พวกเจ้าก่อการในโลกนี้มานาน วันนี้ถึงเวลาที่ต้องชดใช้ด้วยเลือดบ้างแล้ว” มู่เฉินมองไปที่ผู้บัญชาการใหญ่ปีศาจโลหิต ไม่มีริ้วกระเพื่อมในสายตาของเขาเลย
“พูดจาใหญ่โตจริง เมื่อไรที่ข้าสังหารร่างหลักได้ร่างดวงจิตของเจ้าก็จะแตกสลาย” เสี่ยหมัวยิ้มน่าขนลุกก่อนที่แสงสีแดงจะวูบไหวในดวงตา อึดใจเขาก็อ้าปาก แม่น้ำเลือดไหลทะลักออกมาจากร่างกายจากนั้นก็กลายเป็นมหาสมุทรแผ่กระจายไปทั่วขอบฟ้า
“โฮก!”
มหาสมุทรสีเลือดพลุ่งพล่าน จากนั้นเสียงคำรามดุร้ายก็สะท้อนออกมา อึดใจถัดมามหาสมุทรเลือดก็ถูกฉีกออกจากกัน สัตว์ปีศาจขนาดมหึมาคืบคลานออกมา
สัตว์ปีศาจนี้มีสีแดงเข้มเต็มไปด้วยไอร้ายกาจรอบตัว แม้ว่าจะดูเหมือนลิงยักษ์ แต่กลับมีสามหัว ใบหน้าดุร้าย ราวกับสุนัขสามหัวที่เฝ้าประตูนรก
โฮก!
เมื่อสัตว์ปีศาจตัวนั้นปรากฏขึ้น มันก็กู่คำรามไปบนท้องฟ้า ความดุร้ายอัดแน่นในเนื้อเสียงคำรามของมันก่อนที่จะมองไปที่มู่เฉิน ทันใดนั้นมันดูดปากลูกกลมสีแดงเข้มหลายหมื่นจั้งก็รวมอยู่ในปาก ก่อนที่จะยิงมาทางมู่เฉิน
มู่เฉินหดดวงตากับภาพนี้ เขารู้สึกว่าถูกสัตว์ปีศาจตัวนี้คุกคาม ดังนั้นจึงทำให้เขาระมัดระวังตัวมากขึ้น ผู้บัญชาการใหญ่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาจอมยุทธ์ที่ได้สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนที่เขาเคยพบมา
ฮา
มู่เฉินหายใจเข้าลึกๆ มือวาดตราประทับ แสงสีม่วงทองระเบิดออกที่ด้านหลังกลายเป็นร่างขนาดใหญ่
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว
เมื่อร่างเทพสุริยะนิรันดร์ปรากฏขึ้น รหัสเทพอมตะนับร้อยก็ระเบิดออกรวมตัวกันเป็นตาข่ายสีม่วงทองขนาดใหญ่
ปัง!
ลูกกลมสีแดงเข้มยิงเข้ามาทำลายมิติในเส้นทางผ่านจากนั้นก็กระแทกเข้ากับตาข่ายด้วยพลังที่น่ากลัว
พลังนั้นทำให้ตาข่ายถูกบีบอัด แต่ถึงอย่างนั้นลูกกลมก็ยังคงเคลื่อนไปยังทิศทางของมู่เฉิน
มู่เฉินไม่ได้ขยับ แต่มองไปที่ลูกกลมที่เคลื่อนมาหาด้วยความไม่แยแส ขณะที่ไป๋ซู่ซู่และคนอื่นๆ เกือบอุทานด้วยความกังวลใจ ในที่สุดลูกกลมก็ถูกสลายแรงกระแทกเมื่อห่างจากมู่เฉินออกไปเพียงหนึ่งจั้ง
ลูกกลมถูกผูกรัดด้วยตาข่ายมหึมา หยุดชะงักเบื้องหน้ามู่เฉิน
มู่เฉินค่อยๆ ยกมือขึ้นแล้วสะบัดนิ้ว
ฮึ่ม!
ตาข่ายสีม่วงทองสั่นและหดตัวทันที ก่อนที่ลูกกลมจะบินกลับไปชนร่างสัตว์ปีศาจในพริบตา
โฮก!
สัตว์ปีศาจคำราม พลองหนึ่งพันจั้งก็ควบแน่นจากมหาสมุทรสีแดงเข้มขณะที่ควงสว่านลงมา มิติแตกเป็นเสี่ยงๆ ลูกกลมสีแดงก็แตกออกใต้พลอง
คลื่นกระแทกที่น่ากลัวแผ่ออกมา ส่งเสียงดังก้องไปทั่วสวรรค์และโลก
“หึ มีความสามารถใช้ได้” เมื่อเห็นว่ามู่เฉินรับการโจมตีได้ แสงสีแดงเข้มในดวงตาของเสี่ยหมัวก็หนาแน่นขึ้นก่อนที่จะร้องตะโกน “งั้นข้าจะให้แกได้ลิ้มรสว่าปีศาจล้างโลกของเผ่าเสี่ยเสียน่ากลัวแค่ไหน!”
โฮก!
เมื่อเสี่ยหมัวพูดจบ สัตว์ปีศาจร่างแดงก่ำก็เปล่งเสียงคำรามแหลมคม คลื่นเสียงที่มองเห็นด้วยตาเปล่ากระจายออกไป สัตว์ปีศาจควงพลองเปลี่ยนเป็นแสงสีแดงพุ่งเข้าหาร่างเทพสุริยะนิรันดร์พร้อมกับรัศมีทำลายล้าง ราวกับว่ามันต้องการทำลายทุกสรรพชีวิตทั้งหมดในโลก
เมื่อมองไปที่สัตว์ปีศาจ ใบหน้าของมู่เฉินก็เคร่งเครียดลงหลายส่วน ก่อนที่เขาจะวาดตราประทับอีกครั้ง ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ใต้เท้าระเบิดแสงสีม่วงทองนับไม่ถ้วน รหัสเทพอมตะควบแน่นเป็นหอกสีทองยาวหนึ่งพันจั้ง
หอกหมุนคว้าง ประกายแสงสีทองราวกับดวงอาทิตย์ลุกโชติช่วง ร่างเทพสุริยะนิรันดร์พุ่งออกมาปะทะกับสัตว์ปีศาจเต็มกำลังภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน
ในเวลาเดียวกันเสียงเย้ยของมู่เฉินก็ดังก้องไปทั่วขอบฟ้าราวกับเสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง
“วันนี้ข้าจะดูว่าสัตว์ปีศาจของแกหรือร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของข้า ใครแน่กว่ากัน!”
บทที่ 1385 เร่งปฏิกิริยา
ครืน!
บนท้องฟ้าร่างเทพสุริยะนิรันดร์กับสัตว์ปีศาจโลหิตปะทะกันจังใหญ่ พลังนั้นคล้ายกับการปะทะของอุกกาบาต ทำให้เกิดเสียงสนั่นหวั่นไหวพร้อมกับคลื่นกระแทกที่มองเห็นได้กวาดตัวออกมาราวกับพายุ
มิติโดยรอบพังทลายลงแม้แต่ผืนโลกยังสั่นสะเทือน
โฮก!
สัตว์ปีศาจปล่อยเสียงคำรามที่ทำเอาแก้วหูเกือบแตก พาดพลองลงมาที่ร่างเทพสุริยะนิรันดร์
เคร้ง!
แต่ทันใดนั้นหอกสีม่วงทองก็พุ่งออกไปปะทะกับพลองทำให้เกิดประกายไฟขนาดใหญ่ ก่อนที่จะดีดพลองกลับไป
ทว่าสัตว์ปีศาจก็ยิ่งดุร้ายขึ้นขณะที่พาดพลองก็ทิ้งภาพไว้ข้างหลังนับไม่ถ้วน มุ่งเป้าไปที่ร่างเทพสุริยะนิรันดร์
ร่างเทพสุริยะนิรันดร์เปล่งแสงสีทองหมื่นจั้ง พุ่งเข้าปะทะพร้อมหอกม่วงทองในมือ ซึ่งทำให้ทั้งฟ้าดินสั่นสะเทือน
มองภาพยักษ์สองตัวปะทะกัน ดวงตาของมู่เฉินก็วูบไหวก่อนที่ร่างจะทะยานไปหาเสี่ยหมัวที่อยู่ด้านหลัง
สัตว์ปีศาจตัวนั้นไม่ธรรมดา ต้องใช้เวลาในการจัดการ ทว่าจะจับใครให้จับผู้นำก่อน ตราบใดที่เสี่ยหมัวพ่ายแพ้ สัตว์ปีศาจก็จะหยุดการโผเข้าใส่เอง
เมื่อเห็นมู่เฉินพุ่งเข้ามาหา เสี่ยหมัวก็เยาะเย้ย “ไม่มีร่างดวงจิตและร่างเทห์สวรรค์ แกคิดว่าตัวเองจะเผชิญหน้ากับข้าได้เรอะ? รนหาที่ตายแท้จริง!”
เมื่อไม่มีทักษะเหล่านั้น มู่เฉินก็เป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ขณะที่เสี่ยหมัวเหนือกว่าผู้บัญชาการทั่วไป พลังของเขาอยู่ห่างจากจอมปีศาจโลหิตอีกเพียงก้าวเดียว ดังนั้นก็เป็นปกติที่เขาจะไม่กลัวมู่เฉิน
ดังนั้นเขาจึงก้าวเท้าออกไปเมื่อเห็นมู่เฉินพุ่งเข้ามา ปรากฏตัวต่อหน้ามู่เฉินอย่างลึกลับ ร่างกายของเขาสั่นเบาๆ ก่อนที่จะเริ่มพองตัวเป็นยักษ์ฟาดหมัดไปที่มู่เฉิน
ขณะที่กำปั้นวาดลง มิติก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ปล่อยพลังที่น่ากลัวออกมา
“ร่างกายทรงพลังจริงๆ”
หมัดโลหิตขยายขนาดอย่างรวดเร็วในม่านตาของมู่เฉิน เมื่อรู้สึกถึงพลังนั่นมู่เฉินก็หรี่ตาลง ผลึกแสงกวาดออกมาจากดวงตา
คลื่นหลิงแผ่ออกมาจากร่างกายราวกับกระแสน้ำ
โฮก!
มู่เฉินกำหมัดแน่นชกออกไป ยามนี้เสียงคำรามของมังกรดังก้อง วิญญาณมังกรแท้จริงบินฉวัดเฉวียนไปที่แขนของมู่เฉินเชื่อมต่อกรงเล็บของมันกับนิ้วของมู่เฉิน ทำให้พลังเพิ่มระดับน่ากลัวขึ้น
ตู้ม!
หมัดและฝ่ามือปะทะกันรุนแรง มิติปะทุกลายเป็นหลุมดำ ร่างเสี่ยหมัวกับมู่เฉินสั่นสะท้านก่อนถลากลับ
“พลังกายของมันก็ทรงพลังเหมือนกันเรอะ!”
ความตกใจฉายขึ้นบนใบหน้าเสี่ยหมัว ความแข็งแกร่งของร่างกายของมู่เฉินอยู่เหนือความคาดหมาย ทว่าเขาก็ไม่กลัวเพราะเขารู้สึกได้ว่าถือไพ่เหนือกว่าเล็กน้อยในการแลกกระบวนท่าเมื่อครู่
เสี่ยหมัวเค้นเสียงเย็น ไม่ปล่อยให้มู่เฉินพักพุ่งตัวออกไป พริบตาพายุการโจมตีก็ปกคลุมร่างมู่เฉิน
เขาต้องจัดการกับมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ขณะที่ร่างดวงจิตและร่างเทพสุริยะนิรันดร์กำลังถูกดักไว้!
ตู้ม ตู้ม!
เผชิญหน้ากับการโจมตีดุดันจากเสี่ยหมัว สายตาของมู่เฉินก็เคร่งขรึมลง ผลึกแสงกะพริบออกจากร่างกายพร้อมกับวิญญาณมังกรแท้จริง เขาเร้าพลังหลิงและพลังกายไปถึงขีดสุดแล้ว
เขาสัมผัสได้ว่าเสี่ยหมัวทรงพลังมากกว่าผู้บัญชาการปีศาจโลหิตคนอื่นๆ เป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เขาเคยเผชิญหน้ามาภายใต้ระดับเทียนจื้อจุน
ครั้งนี้การต่อสู้ยากแล้วจริงๆ
เหล่าจอมยุทธ์เฝ้าดูฉากนี้อย่างกังวล การเผชิญหน้าของทั้งสามคู่ทำให้พวกเขารู้สึกว่าหนังชาหนึบไปหมด
การต่อสู้ในระดับนี้ เพียงแค่พวกเขาได้รับผลกระทบเล็กน้อยก็จะถูกทำลายจนสิ้นซาก
“จักรพรรดินี ท่านเทพดูเหมือนจะถูกยับยั้งโดยผู้บัญชาการใหญ่ปีศาจโลหิตนะ” จอมยุทธ์ชั้นแนวหน้าบางคนรวมตัวกันข้างๆ ไป๋ซู่ซู่ พวกเขาวิตกกังวลขณะมองไปยังมู่เฉินตัวจริง เสี่ยหมัวดูเหมือนจะกุมความได้เปรียบและควบคุมมู่เฉินด้วยพายุการโจมตี
แม้ว่าไป๋ซู่ซู่จะกำมือแน่น แต่ท่าทางก็ดูสงบนิ่งนัก นางติดตามมู่เฉินในช่วงวันที่ผ่านมาและรู้ว่าอีกฝ่ายยังมีไพ่ตายทรงพลังอีกใบ ตอนนี้ที่ยังไม่ใช้เพราะกำลังรอโอกาสที่ดีที่สุดอยู่
การต่อสู้ในระดับดังกล่าวเป็นการต่อสู้ที่เสี่ยง ดูว่าใครจะแสดงข้อบกพร่องออกมาก่อน
ครืนๆๆๆ!
ภายใต้สายตาวิตกกังวล การต่อสู้ระหว่างมู่เฉินและเสี่ยหมัวก็ยิ่งทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น เมื่อความได้เปรียบของเสี่ยหมัวชัดเจนขึ้น สมาชิกของเผ่าเสี่ยเสียในภูเขาก็เริ่มส่งเสียงโห่ร้องยินดี
ตู้ม!
มู่เฉินและเสี่ยหมัวแลกกระบวนท่ากันอีกครั้ง คลื่นหลิงพร่างพราวและแสงสีแดงเข้มพวยพุ่งออกมาปกคลุมขอบฟ้า แต่ตอนนั้นเองที่รอยยิ้มน่ากลัวก็ปรากฏบนริมฝีปากของเสี่ยหมัว ก่อนที่ลำคอเขาจะบิดเกลียว จากนั้นก็ยืดออกมาราวกับงูแผ่แม่เบี้ย พุ่งไปกัดที่ลำคอของมู่เฉิน
แต่ในวินาทีนั้น มู่เฉินก็เอียงศีรษะเล็กน้อย ทำให้สุดท้ายกัดลงบนหัวไหล่ เลือดสดสาดกระเซ็น
“ข้าจะดูดแกให้แห้ง!” เสี่ยหม้วหัวเราะเยาะขณะที่เริ่มสูบเลือดของมู่เฉิน
แต่ในตอนนี้รอยยิ้มเย็นชากลับปรากฏขึ้นบนใบหน้ามู่เฉิน มือเขาสะบัดออกเจดีย์ผลึกแก้วใสก็บินออกมาห่อหุ้มร่างทั้งสองไว้
เขารู้ดีว่าหากต้องการเอาชนะก็จะต้องใช้วิชาเจดีย์แปดองค์ ทว่าเสี่ยหมัวว่องไวกว่าเขาส่วนหนึ่ง ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะดักแล้วลากเข้าไปหากนำเจดีย์ออกมาเลย
เมื่อเจดีย์ครอบลงมาเสี่ยหมัวก็สะดุ้ง เขารู้สึกได้ถึงความไม่สบายใจ พยายามที่จะถอนเขี้ยวออก แต่เขาก็ตกใจเมื่อพบว่าเนื้อของมู่เฉินยึดเขี้ยวของเขาไว้แน่น ไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหนก็ไม่สามารถถอนเขี้ยวออกมาได้
ครืน!
สถานการณ์ยันกันนี้ทำให้เจดีย์พุ่งลงมาห่อหุ้มทั้งสองเอาไว้ได้
ในเจดีย์
มู่เฉินรีบถอยออกเมื่อเข้ามาภายในเจดีย์ โดยไม่ได้สนใจเลือดที่หัวไหล่ เขายิ้มให้เสี่ยหมัวก่อนที่จะโบกมือ ของเหลวจื้อจุนก็ไหลบ่าออกมา
มีความผันผวนของคลื่นหลิงขนาดใหญ่กระจายออกไปภายในเจดีย์
ครั้งนี้มู่เฉินนำของเหลวจื้อจุนออกมาถึงแปดสิบล้านหยด เขารู้ว่าเสี่ยหมัวทรงพลังขนาดไหน ในเมื่อเขาตัดสินใจที่จะออกกระบวนท่าแล้ว ก็ต้องทำให้สะอาดหมดจด!
กระแสน้ำพลุ่งพล่าน มู่เฉินสร้างตราประทับขึ้น ร่างส่วนบนของภาพร่างปีศาจทั้งแปดยื่นออกมาจากกำแพง
ฮา
พวกมันอ้าปากกลืนกินของเหลวจื้อจุนเข้าไป
“วิชาเจดีย์แปดองค์ แสงเจดีย์ล้างปีศาจ!”
ไอเย็นเยือกรวมตัวกันในสายตาของมู่เฉิน ขณะที่เขาออกกระบวนท่าเจดีย์แปดองค์ ภาพร่างปีศาจทั้งแปดก็ยื่นนิ้วชี้ไปที่ร่างเสี่ยหมัว จากนั้นลำแสงแปดสายก็พุ่งออกมา
เมื่อลำแสงสีดำแปดสายถูกยิงออก ใบหน้าของเสี่ยหมัวก็เปลี่ยนไปด้วยความหวาดผวา เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกถึงความตายจากกระบวนท่านี้ของมู่เฉิน
“ให้ตายเถอะ เจ้านี่มีทักษะแบบนี้ด้วย!”
เสี่ยหมัวสาปแช่งพลางวาดตราประทับ แสงสีแดงเข้มไร้ขอบเขตพุ่งออกมา ก่อตัวเป็นลูกกลมแสงสีแดงล้อมรอบตัว
ชี่ ชี่!
ลำแสงทั้งแปดยิงเข้าถึงลูกแสงก็ทะลุผ่านสิ่งกีดขวางเข้าโจมตีเสี่ยหมัวในพริบตา
อ๊าก!
เสียงกรีดร้องสะท้อนพร้อมกับร่างเสี่ยหมัวระเบิดออก เลือดสาดกระเด็นไปทั่ว
สมกับเป็นพลังอำนาจของวิชาเจดีย์แปดองค์ วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่าในตำนาน
เมื่อเห็นภาพนี้มู่เฉินก็สะบัดแขนเสื้อ ผลึกคลื่นหลิงห่อหุ้มเป็นตราประทับกลายเป็นลูกกลม
มู่เฉินก้มมองไปที่ลูกกลมก็ขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าใบหน้าเสี่ยหมัวเผยท่าทางเลวร้าย ก่อนที่จะเริ่มจางหายไป
“รัศมีของมันหายไป? ชายคนนี้เป็นตัวปัญหาจริงๆ”
มู่เฉินเงียบไปก่อนที่จะกำมือแน่น ทำให้ผลึกทรงกลมแตกเป็นเสี่ยงๆ เขารู้ว่าเสี่ยหมัวไม่ได้ถูกฆ่า แต่อีกฝ่ายใช้ทักษะลับหลบหนีไป
ทว่าแม้เขาจะหนีทัน แต่ร่างกายก็ถูกทำลาย ดังนั้นพลังในการต่อสู้ของเขาจึงลดลงอย่างมาก
“ไม่ว่ามันจะทำอะไร ข้าต้องไปจัดการกับผู้บัญชาการปีศาจโลหิตอีกสองคนก่อน”
ร่างของมู่เฉินทะยานออกจากเจดีย์ ตราบใดที่เขาจัดการกับผู้บัญชาการปีศาจโลหิตอีกสองคนได้ การใช้วิชาสามพิสุทธ์จัดการกับเสี่ยหมัวก็จะเป็นเรื่องง่าย
ส่วนลึกของภูเขาเสี่ยหมัว
ในช่วงเวลาเดียวกันกลุ่มเลือดสีแดงเข้มรวมตัวกันกลายเป็นภาพเงาสีซีดเซียว นี่ก็คือเสี่ยหมัวที่มู่เฉินเพิ่งจัดการไป
ยามนี้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่างกายจึงดูเป็นภาพลวงตา
เขามองออกไปนอกภูเขาด้วยสายตาที่น่ากลัวพลางกัดฟัน “ไอ้เวรนั่นมีกระบวนท่าที่ทรงพลังอะไรขนาดนี้”
เขารู้สึกหวาดกลัวกับพลังของภาพปีศาจทั้งแปดในเจดีย์ หากไม่ใช่เพราะเขาทิ้งร่างครึ่งหนึ่งไว้ในอเวจีโลหิต เขาก็คงถูกจับฆ่าตายแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังได้รับบาดเจ็บหนัก ความสามารถในการต่อสู้ลดฮวบลง
แม้ว่าเขาหนีจากการต่อสู้มาได้ชั่วคราว แต่มู่เฉินก็จะจัดการกับผู้บัญชาการที่เหลืออีกสองคนได้อย่างแน่นอน คงใช้เวลาไม่นานก่อนที่ทั้งสองจะล้มลง
ตอนนี้พวกเขาไม่ได้เปรียบในการต่อสู้นี้อีกต่อไป
สายตาเขาดูเคร่งขรึมขณะมองไปที่ไข่สีแดงเลือด ลวดลายที่น่ากลัวเต้นยุบยับไปมาบนเปลือกไข่ ราวกับว่ากำลังหายใจ
“เจ้านั้นผิดประหลาดมาก เพื่อจัดการกับมัน… ก็ต้องเร่งความเร็วในการถือกำเนิดของจอมปีศาจ”
เสี่ยหมัวหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะกัดฟันปล่อยเสียงร้องแหลม
เสียงร้องสะท้อนออกไป จากนั้นรอบๆ ก็มีสมาชิกเผ่าเสี่ยเสียนับไม่ถ้วนเดินออกมาและสังเวยตัวเองลงไปในอเวจีโลหิตราวกับถูกควบคุมอย่างไรอย่างนั้น
ร่างแต่ละร่างละลายทันทีที่สัมผัสกับมหาสมุทรสีแดงเข้ม รวมเข้ากับอเวจีโลหิต…
ตุบ ตุบ!
จอมยุทธ์เผ่าเสี่ยเสียกระโดดเข้าสู่อเวจีโลหิตอย่างต่อเนื่อง
คนแล้วคนเล่ากระโดดเข้าไป ลวดลายบนเปลือกไข่ที่น่ากลัวก็เรืองรองขึ้น รอยแตกเริ่มปรากฏขึ้นอย่างเงียบๆ…
บทที่ 1386 กำเนิดจอมปีศาจโลหิต
นอกภูเขาเสี่ยหมัว
ทันใดนั้นเจดีย์ผลึกแก้วก็สั่นสะท้านก่อนที่จะเริ่มหดตัวลง ร่างเงาปรากฏขึ้นในครรลองสายตาของทุกคน
“นั่นท่านเทพ!”
เมื่อไป๋ซู่ซู่และเหล่าจอมยุทธ์ในโลกเห็นภาพเงานั่น พวกเขาก็ส่งเสียงโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น ความยินดีกระจายบนใบหน้าทุกคน
พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าการต่อสู้ระหว่างมู่เฉินและเสี่ยหมัวจะจบลงรวดเร็วเช่นนี้
เทียบกับเสียงโห่ร้องลั่นสนั่น ฝั่งภูเขาเสี่ยหมัวกลับตกอยู่ในความเงียบงัน ความตกใจและหวาดกลัวปรากฏบนใบหน้าของสมาชิกเผ่าเสี่ยเสียขณะที่เฝ้าดูฉากนี้
พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าผู้บัญชาการใหญ่ที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าจะแพ้ให้กับมู่เฉิน…
ทว่ามู่เฉินไม่ใส่ใจกับความตกใจเหล่านั้น สายตาเขาพุ่งตรงไปยังส่วนลึกของภูเขาเสี่ยหมัว ยามนี้เขาสัมผัสถึงรัศมีเสี่ยหมัวไม่ได้อีกต่อไป ชัดว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายซ่อนตัวไว้
ฉากนี้ไม่ได้ทำให้มู่เฉินรู้สึกดีใจ กลับรู้สึกไม่สบายใจด้วยซ้ำ
“ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องจัดการผู้บัญชาการปีศาจโลหิตอีกสองคนที่เหลือก่อน”
สายตาของมู่เฉินวูบไหวจากนั้นก็ทะยานไปยังสมรภูมิอื่นๆ ไม่ว่าเสี่ยหมัวจะเคลื่อนไหวอื่นใด เขาจะต้องกำจัดผู้บัญชาการปีศาจโลหิตอีกสองคนก่อน ด้วยวิธีนี้เขาจะมุ่งเน้นไปที่การต่อสู้กับเสี่ยหมัวได้
สมรภูมิที่มู่เฉินพุ่งไป รัศมีจั้นยี่พวยพุ่งส่งเสียงหวีดหวิวข้ามขอบฟ้าดักจับผู้บัญชาการปีศาจโลหิตไว้
เมื่อมู่เฉินปรากฏตัวขึ้นเหนือมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ ใบหน้าผู้บัญชาการปีศาจโลหิตก็เปลี่ยนไปรุนแรง
มู่เฉินมาปรากฏที่นี่ได้หมายความว่าผู้บัญชาการใหญ่ล้มเหลวแล้ว…
“เป็นไปได้ยังไง?!” ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตคำรามออกมา เสี่ยหมัวแข็งแกร่งกว่าพวกเขา ดังนั้นเขาจะพ่ายแพ้ให้กับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้อย่างไร?
แต่ไม่ว่าจะตกใจแค่ไหน มู่เฉินก็โบกมือใส่อย่างไม่แยแสร่างเทพสุริยะนิรันดร์ปรากฏขึ้น รหัสเทพอมตะบินฉวัดเฉวียนออกมา
เขาเลือกที่จะไม่ใช้วิชาเจดีย์แปดองค์ เนื่องจากต้องใช้ของเหลวจื้อจุนจำนวนมากเกินไป บวกกับการรวมตัวกับมู่เฉินชุดดำก็เพียงพอแล้วที่จะปราบผู้บัญชาการปีศาจโลหิตคนนี้
ตู้ม ตู้ม!
อย่างที่คาดไว้เมื่อร่างหลักของมู่เฉินเข้าร่วมศึก ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตก็พ่ายแพ้ เขาถูกรัศมีจั้นยี่โถมใส่ ก่อนที่หอกสีม่วงทองจะแทงทะลุหน้าอกทำลายร่างกายและพลังงานทั้งหมด
หลังจากจัดการกับผู้บัญชาการปีศาจโลหิตคนนี้ ร่างหลักและร่างรองก็ทะยานสู่สมรภูมิสุดท้าย ซึ่งเป็นการต่อสู้ระหว่างมู่เฉินชุดขาวกับผู้บัญชาการปีศาจโลหิตอีกคน
แต่เมื่อผู้บัญชาการปีศาจโลหิตเห็นร่างหลักและร่างรองของมู่เฉินเข้ามา ใบหน้าของเขาก็ซีดเผือดเพราะเขารู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหลบหนี ดังนั้นเขาจึงกัดฟัน ร่างกายพองขึ้นแล้วระเบิดออก
ครืน!
เสียงระเบิดดังก้อง คล้ายกับดวงอาทิตย์สีแดงเข้มลอยคว้างบนท้องฟ้า ราวกับว่าต้องการที่จะกลืนกินทั้งสวรรค์และโลก
แต่ก่อนที่มันจะกระจายออกไป มู่เฉินก็สะบัดแขนเสื้อ เจดีย์ก็ทะยานออกไป ผลึกแสงแผ่เข้าไปห่อหุ้มมันก่อนที่จะเปลี่ยนแสงสีแดงเข้มให้กลายเป็นผลึก ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า…
ขณะที่ผลึกสีแดงเข้มตกลงมา ลำแสงสีแดงก็พุ่งออกไปทางทิศของภูเขาเสี่ยหมัว
“คิดจะหนีไปไหน?”
แต่ขณะที่มันบินออกไป มู่เฉินก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าพลางเค้นเสียงเย็น แสงผลึกแล่นแปลบปลาบในมือห่อหุ้มมันเอาไว้ ดักไว้ในผลึกอัญมณีสีแดงเข้ม
ใบหน้าสิ้นหวังของผู้บัญชาการปีศาจโลหิตปรากฏขึ้นบนผลึกอัญมณี เมื่อมู่เฉินเห็นก็ไม่ใจอ่อน กำมือแน่นแล้วบดขยี้
“อย่าเพิ่งได้ใจไปเลย! เมื่อไรที่จอมปีศาจของพวกข้าถือกำเนิดแกทุกคนจะต้องตาย!” เมื่อเห็นว่าไร้ประโยชน์ที่จะหลบหนี เสียงหัวเราะแหลมคมก็สะท้อนออกมาอย่างน่าขนลุก
หลังจากบดผลึกอัญมณีแล้ว มู่เฉินก็โยนออกไปอย่างไร้ความรู้สึก
การต่อสู้จบลงด้วยผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสามถูกกำจัดในกำมือเขา
ชาวโลกส่งเสียงโห่ร้องดังกระหึ่มก่อนที่จะคุกเข่าลงด้วยแรงอารมณ์ ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตเหล่านั้นกดหัวพวกเขามานาน ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามต่อต้านอย่างไรก็ไม่ต่างจากมดปลวกที่ถูกเหยียบตาย
แต่ตอนนี้ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งหมดถูกสังหารโดยท่านเทพ นี่ก็หมายความว่าโลกของพวกเขาได้รับอิสรภาพแล้ว!
ทว่าไป๋ซู่ซู่สังเกตเห็นว่ามู่เฉินไม่มีความยินดีบนใบหน้า นางทะยานเข้าไปหา “ท่านเทพมีอะไรผิดปกติเหรอ?”
“ผู้บัญชาการใหญ่ไม่ได้ตาย มันหนีไปได้”
มู่เฉินมองไปที่ภูเขาด้วยสายตาวูบไหว ขณะที่เขาพยายามค้นหาร่องรอย
เมื่อไป๋ซู่ซู่ได้ยินก็ตกใจ “ภูเขาเสี่ยหมัวตอนนี้เป็นกองบัญชาการของเผ่าเสี่ยเสีย ถ้าผู้บัญชาการใหญ่หนีไป มันจะต้องมุ่งหน้าไปที่นั่นแน่”
มู่เฉินพยักหน้า มองไปที่ภูเขาเสี่ยหมัวพร้อมกับแสงเย็นเยือกแล่นแปลบปลาบในดวงตา เขาสะบัดมือ เจดีย์ก็ทะยานออกขยายขนาดเป็นแสนกว่าจั้ง ก่อนที่มันจะลอยอยู่เหนือภูเขาเสี่ยหมัว
ฉากนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ผู้คนตกตะลึง กระทั่งสมาชิกเผ่าเสี่ยเสียก็ตื่นตระหนกขณะที่หนีกันจ้าละหวั่น
มู่เฉินและร่างรองทั้งสองสร้างตราประทับ คลื่นหลิงเทลงในเจดีย์ก่อนที่ผลึกแสงจะบีบลงไปห่อหุ้มภูเขาเสี่ยหมัวทั้งหมด
เมื่อผลึกแสงบีบลงมา สมาชิกเผ่าเสี่ยเสียที่สัมผัสโดนก็จะหดตัวกลายเป็นผลึกแก้ว
เคร้ง เคร้ง
เสียงผลึกแก้วร่วงหล่นลงบนพื้นดังสะท้อนจากภูเขา
ในส่วนลึก ผู้บัญชาการใหญ่ปีศาจโลหิตเฝ้าดูสิ่งนี้ ใบหน้าก็เปลี่ยนไป เขารู้สึกได้ว่าผลึกแสงกำลังทะลุผ่านภูเขา ใช้เวลาอีกไม่นานก็จะซัดเข้าใส่ในทิศทางของเขา
“ข้าต้องเร่งแล้ว!”
เสี่ยหมัวมองไปที่ไข่สีแดงเข้ม จำนวนรอยแตกเพิ่มขึ้นและความผันผวนที่น่ากลัวก็กระเพื่อมไหว
เขาขบฟันปลดปล่อยเสียงร้องอีกครั้ง จอมยุทธ์เผ่าเสี่ยเสียก็เพิ่มความเร็วพุ่งตัวเข้าสู่ห้วงอเวจีเพื่อให้พลังงานแก่ไข่ใบนั้น
มู่เฉินมองไปที่ภูเขาแม้ว่าจะอยู่ในความสับสนวุ่นวาย แต่เสี่ยหมัวก็ยังไม่แสดงตัว
มู่เฉินขมวดคิ้ว ทันใดนั้นม่านตาก็หดเกร็ง เนื่องจากเขารู้สึกได้ถึงความผันผวนที่น่ากลัวซึ่งมาจากส่วนลึกของภูเขา
“ตู้ม!”
ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งเครียดลงหลายส่วน จากนั้นก็วาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว เสาผลึกขนาดหมื่นจั้งพุ่งลงมา เล็งเป้าไปที่ความผันผวนนั้น
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ด้วยความระมัดระวังเขารู้ว่าจะต้องทำลายมันให้ได้
ครืน!
เสี่ยหมัวก็สัมผัสได้เช่นกัน ใบหน้าเปลี่ยนแปรไป เขามองไปที่เสาก่อนจะสะบัดมือ
ซ่าๆๆ
น้ำพุเลือดนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากอเวจีโลหิต ก่อตัวเป็นปราการกั้นล้อมรอบทั่วบริเวณราวกับชามที่คว่ำไว้
ตู้ม!
เมื่อเสาผลึกกระแทกกับกำแพง ทำให้เกิดระลอกคลื่นกระจายวงออกไปอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากพลังของกำแพงมาจากอเวจีโลหิต จึงสามารถต้านทานการโจมตีได้ ไม่ได้แตกเป็นเสี่ยงๆ
“เจอแล้ว!”
ดวงตาของมู่เฉินหดลง เขาหมุนวนเจดีย์โดยไม่ลังเลใดๆ ทันใดนั้นเสาผลึกจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งลงเหมือนสายฟ้าฟาด
ครืน!
พายุสีม่วงสร้างความหายนะในอเวจีโลหิต เมื่อเสี่ยหมัวเห็นว่าปราการเลือดอ่อนแอลงอย่างรวดเร็วใบหน้าของเขาก็ดูน่าเกลียดลง
เขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะเด็ดเดี่ยวถึงขนาดใช้พลังทั้งหมดทำลายความไม่แน่ใจ
เสี่ยหมัวมองไปที่ไข่สีแดงเข้ม แม้ว่าจะถูกปกคลุมไปด้วยรอยแตก แต่ก็ยังไม่ฟักออกมาสักที ดูเหมือนจะขาดอะไรบางอย่าง
ใบหน้าของเสี่ยหมัวเปลี่ยนไป สุดท้ายเขาก็เงยหน้าขึ้นมองไปข้างนอกด้วยสายตากินเลือดกินเนื้อก่อนจะขบฟัน “ไอ้สารเลว ในเมื่อแกพยายามล้างบางเผ่าเสี่ยเสีย ข้าจะให้แกเป็นเครื่องสังเวยคนแรกให้กับจอมปีศาจของเรา!”
พูดจบเขาก็ไม่ลังเล ร่างกายระเบิดกลายเป็นกระแสไหลไปยังไข่สีแดงเข้ม
ในเวลาเดียวกันมู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงบางอย่าง สายตามืดครึ้มลง เสาผลึกบดขยี้ปราการจากนั้นก็พุ่งไปยังกระแสสีแดงเข้มที่สร้างขึ้นโดยเสี่ยหมัว
ตู้ม!
อึดใจต่อมาก็เกิดการระเบิดรุนแรงจากภายในอเวจีโลหิตขณะที่พังทลายลง…
ในเวลานั้นไข่สีแดงเข้มก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ลอยอยู่บนยอดเขาเสี่ยหมัว…
เมื่อมองไปที่ไข่ใบนั้น ม่านตามู่เฉินก็หดเกร็ง ภัยคุกคามที่เขารู้สึกได้ทำให้ขนลุกซู่ไปหมด จากนั้นเขาก็หมุนเจดีย์โดยไม่ลังเลใดๆ และเสาผลึกดุร้ายนับไม่ถ้วนก็พุ่งลงมากระแทกกับไข่
แต่จังหวะที่กำลังจะตี ไข่ก็แตกออก มือซีดเซียวข้างหนึ่งยื่นออกมาบดขยี้เสาผลึกอย่างง่ายดาย…
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น