หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1373-1376

บทที่ 1373 พิภพเขตล่าง

 

ฟ้าดินถูกย้อมเป็นสีแดงเข้ม


แม้แต่ภูเขาก็ยังเป็นสีแดงจางๆ ราวกับถูกย้อมไปด้วยเลือดมากมายมหาศาล ทำให้สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยรัศมีโหดร้าย


ฮึ่ม!


ทันใดนั้นมิติก็ฉีกออกบนยอดเขาแห่งหนึ่ง ทางเดินก่อตัวขึ้นมีร่างเงาทอดลงมา


นี่ก็คือมู่เฉินที่เดินผ่านเส้นทางพิภพเขตล่างเข้ามา


ขณะที่ร่างกายเคลื่อนลงไป เขาก็รู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งผิดปกติอยู่รอบตัว ดังนั้นเขาจึงดึงคลื่นหลิงกลับคืนมา


“พลังงานในพิภพเขตล่างต่ำมากจริงๆ” มู่เฉินยื่นมือออก รวบรวมพลังงานระหว่างฟ้าดินให้เป็นทรงกลม เขาสัมผัสวูบหนึ่งก่อนที่คิ้วจะขมวดเข้าหากัน


พลังงานระหว่างฟ้าดินไม่บริสุทธิ์เท่ากับคลื่นหลิงในมหาพันภพ ดังนั้นจึงต้องใช้เวลานานกว่าที่จะฟื้นตัวที่นี่


“แต่โชคดีที่ข้าเอาของเหลวจื้อจุนจากตำหนักมู่มาด้วย” มู่เฉินถอนหายใจ หากเขาไม่มีของเหลวจื้อจุน ในการต่อสู้เขาก็ต้องกังวลเกี่ยวกับการสูญเสียของคลื่นพลัง


แต่ถึงกระนั้นเขาก็ให้ความสำคัญมากขึ้น กลัวว่าจะเกิดกรณีที่คลื่นหลิงหมดลงและเขาตกอยู่ในอันตราย


หลังจากถอนหายใจ ไข่มุกมังกรขาวก็ปรากฏขึ้นในมือ แสงสีขาวพวยพุ่งขึ้น แต่มู่เฉินก็ต้องประหลาดใจที่ผนึกภายในไม่ได้ถูกกระตุ้น


“หรือว่าข้าจะต้องไปถึงบ้านเกิดของจอมยุทธ์มังกรขาวเพื่อให้เจตจำนงถูกกระตุ้น?” มู่เฉินพึมพำ แต่ไม่ว่าอะไรเขาก็ต้องลองดู อย่างน้อยไข่มุกมังกรขาวก็ตอบสนองต่อพิภพเขตล่าง ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าเขาไม่ได้มาผิดที่


“พิภพเขตล่างแห่งนี้น่าจะถูกครอบครองโดยเผ่าเสี่ยเสีย…” มู่เฉินกวาดมองพื้นที่สีแดงเข้ม เขาสามารถได้กลิ่นร่องรอยความผันผวนของเลือดที่ทำให้คลื่นหลิงในร่างกายเขาปฏิเสธ เห็นได้ชัดว่าต้องเป็นเผ่าเสี่ยเสียแน่นอน


ดูเหมือนว่าเผ่าปีศาจกำลังพยายามปรับเปลี่ยนพิภพเขตล่างนี้ โดยทำให้พลังงานระหว่างฟ้าดินกลายเป็นพลังที่พวกมันต้องการ


“ไม่รู้ว่าพลังของเผ่าเสี่ยเสียเป็นอย่างไร…” มู่เฉินพึมพำ หากไม่มีข้อมูลที่แน่นอนเกี่ยวกับศัตรู เขาก็ไม่สามารถทำอะไรโดยประมาทได้ อย่างน้อยก็ต้องรู้ว่ามีราชันนักรบปีศาจในเผ่าเสี่ยเสียหรือไม่


ราชันปีศาจมีพลังในการต่อสู้เทียบเท่าจอมยุทธ์เทียนจื้อจุน คงจะไม่ใช่ข่าวดีสำหรับเขาหากมีอยู่ เพราะโอกาสในการชนะของเขาคงไม่ดีเมื่อเผชิญหน้ากับราชันปีศาจแท้จริง


“ข้าต้องรวบรวมข้อมูลก่อน”


หลังจากตัดสินใจร่างมู่เฉินก็เปลี่ยนเป็นลำแสงทะยานออกไป แต่เพื่อไม่ให้ดึงดูดความสนใจ เขาเดินทางด้วยการบินระดับต่ำเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกเผ่าเสี่ยเสียจับได้


ภายใต้ความเร็วเต็มพิกัด เขาก็บินผ่านเทือกเขา แต่ยิ่งเดินทางมาไกลขึ้นคิ้วก็ยิ่งเริ่มขมวดแน่นขึ้น เนื่องจากพบว่าไม่มีเสียงรบกวนจากสิงสาราสัตว์ใดในภูมิภาคนี้ ช่างเงียบสงัดจนดูเหมือนกับโลกใต้พิภพ


“หรือเผ่าเสี่ยเสียสังหารสิ่งมีชีวิตทั้งหมดแล้ว?” เพียงแค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้สีหน้ามู่เฉินก็มืดมนลง เผ่าปีศาจต่างมิติโหดเหี้ยมขนาดนั้นเลยเหรอ?


ประสาทสัมผัสของมู่เฉินกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว โชคดีที่เขารู้สึกได้ถึงความผันผวนบางอย่างในหนึ่งชั่วโมงต่อมา


ดังนั้นเขาจึงไปปรากฏตัวบนยอดเขามองเข้าไปจากระยะไกล เขาเห็นโครงร่างเมืองเบื้องหน้าสายตาได้อย่างเลือนราง


เมื่อมองไปที่เมืองนั้น มู่เฉินก็สามารถสัมผัสได้ถึงรัศมีมากมายที่อยู่ภายใน มีบางส่วนที่มีรัศมีคล้ายกับโลกใบนี้ ถ้าเขาเดาไม่ผิดพวกเขาน่าจะเป็นคนที่อาศัยอยู่ในพิภพเขตล่างนี้


“ยังมีคนอาศัยอยู่เรอะ?” สายตาของมู่เฉินเปล่งประกายก่อนที่จะไปปรากฏตัวบนท้องฟ้าเหนือเมืองพร้อมกับดึงพลังงานทั้งหมดกลับคืนมา ราวกับว่าหลอมรวมเข้ากับความว่างเปล่าไม่มีใครสามารถรู้สึกถึงเขาได้


เมื่อกวาดสายตาไป เขาก็มองเห็นทิวทัศน์เจริญรุ่งเรือง ผู้คนนับไม่ถ้วนเดินขวักไขว่อยู่ในเมือง


ทว่าเขาถึงกับขมวดคิ้วกับฉากนี้ เขารู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ผิดปกติภายใต้ความรุ่งเรืองนี้


คนเหล่านี้แม้จะทำกิจกรรมต่างๆ อยู่ แต่ก็เห็นใบหน้าของผู้คนซีดเซียว มีอาการด้านชาอยู่ในส่วนลึกของดวงตา


แม้จะมีชีวิต แต่พวกเขาราวกับผีดิบอย่างไรอย่างนั้น


หวือ หวือ!


ในขณะที่มู่เฉินรู้สึกสงสัยหนัก ทันใดนั้นเสียงกระหึ่มก็ดังก้องจากในเมืองสะท้อนไปทั่วสวรรค์และโลก


ตู้ม!


เมื่อเสียงดังขึ้นเมืองที่พลุกพล่านก็วุ่นวาย ทุกคนหันหลังวิ่งกลับเข้าไปในอาคาร แม้แต่รอยยิ้มที่มีบนใบหน้าก็หายไปแทนที่ด้วยความกลัวหนาแน่น


“คึ คึ!”


ทันใดนั้นภาพเงาโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนก็บินออกมาพร้อมกับเสียงหัวเราะบาดหู พวกมันราวกับเหยี่ยวทะยานลงมาหาคนในเมือง


มู่เฉินหดดวงตาขณะมองไปที่เงาโลหิตเหล่านั้น พวกมันสวมเสื้อคลุมสีแดงเข้มใบหน้าซีดเซียว มีเขี้ยวแหลมสองข้างยื่นออกมาจากริมฝีปาก


นี่จะต้องเป็นเผ่าเสี่ยเสีย!


เมื่อพวกมันพุ่งลงมาก็ยื่นมือตะปบคนหนีตายขึ้นมา ก่อนจะทะยานกลับขึ้นไปบนท้องฟ้า เขี้ยวสองข้างกัดเข้าที่คอเหยื่อ ไม่กี่อึดใจร่างเหยื่อก็เหี่ยวแห้งอย่างรวดเร็ว ขณะที่พวกเขาดีดดิ้นอย่างบ้าคลั่งก่อนที่เลือดจะถูกสูบออกจนหมด จากนั้นมันก็โยนร่างแห้งเหี่ยวทิ้งไปอย่างไม่ไยดี


ไม่กี่นาทีเมืองที่คึกคักก็เต็มไปด้วยซากศพและเลือด


มู่เฉินที่อยู่บนท้องฟ้าก็ได้สติ ใบหน้าเขาเขียวคล้ำ ในที่สุดเขาก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เผ่าเสี่ยเสียรวบรวมผู้ที่อยู่อาศัยบนโลกใบนี้สร้างโรงปศุสัตว์ขึ้น เริ่มเข่นฆ่าเมื่อพวกมันหิวโหยและเพลิดเพลินไปกับความกลัวความสิ้นหวังของเหยื่อในเวลาเดียวกัน…


แม้ว่าผู้คนที่นี่จะรอดชีวิต แต่พวกเขาก็ถูกเลี้ยงเป็นอาหาร


โหดร้ายทารุณยิ่งนัก!


ร่างสีแดงเข้มร่างหนึ่งร่อนลงมาจากท้องฟ้าคว้าหญิงสาวที่กำลังวิ่งหนีไว้ได้ มือเย็นเฉียบของมันแตะที่แก้มของหญิงสาวคนนั้นที่ฉายความสิ้นหวังบนใบหน้า


ไม่ว่านางจะดิ้นรนแค่ไหนก็ไร้ผล ร่างสีแดงเข้มเลียลำคอขาวผ่องเบาๆ พลางสูดกลิ่นก่อนที่มันจะยิ้มพร้อมกับหรี่ตา “ยังบริสุทธิ์ โชคดีอะไรแบบนี้”


ขณะที่พูดเขี้ยวแหลมคมก็วาววับกางออกพร้อมจะแทงลงบนคอขาว มันอดรนทนไม่ไหวที่จะลิ้มรสเลือดบริสุทธิ์ของสาวพรหมจรรย์แล้ว


แต่ก่อนที่เขี้ยวของมันจะฝังลงในลำคอ ทันใดนั้นหัวของมันก็ขยับไม่ได้ มือเรียวข้างหนึ่งจับหัวมันไว้แน่น


จอมยุทธ์เผ่าเสี่ยเสียอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนที่จะปรายตามองก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหลัง ใบหน้าของมันเปลี่ยนไปกะทันหันตะโกนเสียงลั่น “แกเป็นใคร?! กล้าดีมารบกวนนายท่านคนนี้ในการกินอาหารได้!”


ปัง!


ทว่าการตอบสนองกลับมาก็คือสมองแตกดังโพละ เลือดสาดกระเซ็นบนใบหน้าหญิงสาว


การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันทำให้หญิงสาวคนนั้นตกตะลึง นางมองจอมยุทธ์เผ่าเสี่ยเสียล้มฟุบลง ลืมแม้กระทั่งเช็ดเลือดออกจากใบหน้า


แต่นางก็คืนสติในไม่ช้า ทว่าสายตาไม่มีแววความสุขเลย ตรงกันข้ามมีเพียงความสิ้นหวังเพิ่มอีกหลายส่วน นางมองไปที่มู่เฉินพร้อมกับอาการตัวสั่น “เจ้าหนีไปเร็ว!”


ที่ผ่านมามีคนพยายามต่อต้านปีศาจเหล่านั้น แต่พวกเขาทั้งหมดถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แม้แต่คนที่เหลือก็ยังได้รับผลกระทบจากความโกรธของเผ่าปีศาจ


ดังนั้นในความคิดนาง ครั้งนี้ไม่มีใครสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกต่อไปแล้ว


ทันใดนั้นสมาชิกเผ่าเสี่ยเสียคนอื่นก็รู้สึกได้ถึงสิ่งนี้ เสียงกรีดร้องโกรธเกรี้ยวดังขึ้นในเมือง อึดใจต่อมาเงาจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งเข้าใส่ในทิศทางของมู่เฉิน


เมื่อชาวบ้านเห็นฉากนี้ พวกเขาก็ทรุดตัวลงกับพื้น ความสิ้นหวังฉายบนใบหน้า พวกเขารู้ดีว่าหลังจากที่พวกปีศาจแยกร่างชายผู้นี้ พวกเขาก็ต้องเป็นที่รองรับความโกรธของพวกมัน…


แต่…ก็ดี การตายคงดีกว่าการมีชีวิตที่เลวร้ายยิ่งกว่าตาย


วาบ วาบ!


เงาสีแดงเข้มนับไม่ถ้วนพุ่งลงมาหามู่เฉินภายใต้สายตาด้านชาของผู้คน


ทว่ามู่เฉินไม่ได้ใส่ใจกับเงาเหล่านั้น เขายื่นมือเช็ดเลือดบนใบหน้าหญิงสาวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “วางใจเถอะ ไม่เป็นไรแล้ว”


พูดจบเขาก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่ร่างสีแดงเข้มที่กำลังพุ่งเข้ามาหา สายตาค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นเย็นชา แสงเย็นรวมตัวกันอยู่ในส่วนลึกของดวงตา


เขาค่อยๆ ยกเท้าขึ้นและกระทืบลงไป


ตู้ม!


พายุคลื่นหลิงกวาดอาละวาดโดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง ส่งผลกระทบต่อชั้นฟ้าและชั้นดิน


ปัง ปัง ปัง!


ขณะที่พายุส่งเสียงหวีดหวิว เงานับหมื่นที่กำลังพุ่งเข้ามาก็แข็งค้างจากนั้นก็ส่งเสียงร้องโหยหวนอย่างสิ้นหวัง ทว่าเมื่อเสียงของพวกมันเพิ่งจะดังออกมา ร่างกายก็กลายเป็นหมอกเลือดภายใต้คลื่นกระแทกหลิงที่น่าสะพรึงกลัว… เพียงไม่กี่สิบลมหายใจร่างสีแดงเข้มทั้งหมดก็ถูกลบออก


ทั้งเมืองตกอยู่ในความเงียบงัน


เมื่อชาวบ้านที่เตรียมตัวตายได้เห็นฉากนี้ พวกเขาก็ตะลึงเป็นเวลานาน พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าปีศาจที่อยู่ยงคงกระพันในสายตาของพวกเขาจะถูกลบออกไปอย่างง่ายดายราวกับแมลงวันภายใต้การกระทืบเท้าครั้งเดียวของชายคนนี้…


พวกเขาค่อยๆ หันหน้าไปมองชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่อยู่ภายใต้หมอกเลือด จากนั้นก็เริ่มตัวสั่น


หญิงสาวตัวสั่นก่อนที่จะคุกเข่าลงเบื้องหน้ามู่เฉิน


ในเวลาเดียวกันเสียงแหบก็ดังสะท้อน


“ท่านเทพ โปรดช่วยพวกเราด้วย!”


ในสายตาของนางคนที่สามารถสังหารปีศาจทรงพลังเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย นอกจากเป็นเทพแล้วจะเป็นอะไรได้อีก?

 

 

 


บทที่ 1374 แม่ทัพปีศาจโลหิต

 

เสียงหญิงสาวดังสะท้อนไปทั่วเมือง


ความสิ้นหวังในน้ำเสียงเพียงพอที่จะทำให้ทุกคนหัวใจสั่นไหว


เวลานี้ชาวเมืองก็ฟื้นสติจากเสียงร้องของหญิงสาว ก่อนที่พวกเขาจะคุกเข่าไปในทิศทางของมู่เฉิน ร่างกายแต่ละคนสั่นสะท้านราวกับว่ากำลังคว้าฟางเส้นสุดท้ายแห่งความอยู่รอด


“ท่านเทพ โปรดช่วยเราด้วย!”


เสียงดังสะท้อนออกไป แต่ละคนฉายความสิ้นหวังบนใบหน้า พวกเขาสูญเสียศักดิ์ศรีไปหมดแล้ว หลังจากได้รับการปฏิบัติเหมือนสัตว์ มากจนพวกเขาไม่มีสิทธิ์ตายด้วยซ้ำ


เหตุผลที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ได้ก็คือเป็นแหล่งเลือดสดสำหรับเหล่าปีศาจ


แม้ว่าจะได้รับอนุญาตให้มีลูกหลานเพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ แต่คนรุ่นหลังก็ต้องได้รับการปฏิบัติเหมือนสัตว์ไม่เปลี่ยนแปลง


ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยคิดต่อต้าน แต่การต่อต้านไร้ประโยชน์ภายใต้พลังแท้จริง นอกเหนือจากนี้นี่ก็เป็นการให้ความบันเทิงแก่เหล่าปีศาจด้วย การต่อต้านของพวกเขาไม่มีอะไรเลย


ปีศาจเหล่านั้นอยู่ยงคงกระพัน


แต่ตอนนี้ความหวังยิ่งใหญ่ได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าผู้คนที่สิ้นหวัง แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าชายหนุ่มเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันหรือไม่ อย่างน้อยเขาก็ไม่มีรัศมีที่เป็นลางร้าย


บางทีชะตากรรมของพวกเขาอาจเปลี่ยนแปลงจากชายลึกลับเบื้องหน้าก็เป็นได้


เมื่อคิดแล้วชาวบ้านก็เริ่มเอาหัวโขกพื้นโดยไม่สนใจว่าเลือดที่หน้าผากจะเปรอะเปื้อนแค่ไหน ความเจ็บปวดนี้ไม่มีอะไรเทียบได้กับความอัปยศอดสูของการถูกเลี้ยงเป็นสัตว์


มู่เฉินที่เห็นภาพนี้ก็ถอนหายใจเบาบางในใจ เวลานี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมตอนที่เผชิญหน้าปีศาจต่างมิติ สิ่งมีชีวิตในมหาพันภพถึงเลือกทิ้งความแค้นระหว่างกันและร่วมมือกันต่อต้าน


เนื่องจากหากเผ่าปีศาจครอบครองมหาพันภพได้ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดก็จะเป็นเหมือนพิภพเขตล่างนี้ที่ถูกเลี้ยงไว้เป็นโรงปศุสัตว์


เผ่าปีศาจนับเป็นศัตรูตัวฉกาจแท้จริง!


มู่เฉินสะบัดแขนเสื้อ พลังอ่อนโยนพัดออกมายกร่างทุกคนที่คุกเข่าขึ้น เขามองไปรอบๆ พยักหน้าและยิ้ม “วางใจเถอะ ข้าจะช่วยพวกเจ้าออกจากที่นี่”


พิภพเขตล่างเป็นของมหาพันภพ แม้ว่าจะอยู่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกัน แต่ก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่ง ในมหาพันภพไม่มีใครเลือกปฏิบัติกับคนเหล่านี้ ด้วยเหตุผลที่เรียบง่ายคือเมื่อมีคนที่สามารถทะลุผ่านระนาบมิติเข้าสู่มหาพันภพได้ พวกเขาล้วนเป็นยอดยุทธ์ที่แท้จริง อนาคตของพวกเขาไม่มีขีดจำกัด


เช่นเดียวกับเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม…


ดังนั้นแม้ว่ามู่เฉินจะไม่ใช่คนดีมีเมตตาอะไร แต่ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของมหาพันภพ เขาก็ไม่อาจเฝ้าดูคนเหล่านี้ถูกเลี้ยงแบบทารุนโดยเผ่าปีศาจได้


“ขอบคุณท่านเทพ!”


หญิงสาวน้ำตานองหน้า คนอื่นก็คิดจะคุกเข่าด้วยแรงอารมณ์ แต่ก็ถูกพลังอ่อนโยนยกไว้จนไม่สามารถทำได้


“ดูเหมือนจะมีบางคนยังอยู่ที่นี่นะ?” มู่เฉินถามหญิงสาวหลังจากมองเข้าไปในส่วนลึกของเมือง


จากการรับรู้ยังคงมีรัศมีทรงพลังอยู่ในส่วนลึกของเมือง เพียงแต่ว่าหลับใหลอยู่เท่านั้น


เมื่อได้ยินคำถามของมู่เฉิน ใบหน้าของหญิงสาวก็ซีดเผือดลง เสียงเริ่มสั่นพร่า “ท่านเทพ นั่นคือแม่ทัพปีศาจโลหิต เขาทรงพลังมาก แต่ตอนนี้กำลังหลับอยู่ เรารีบไปก่อนที่เขาจะตื่นเถอะ”


พวกเขาต่างหวาดกลัวแม่ทัพปีศาจโลหิต เนื่องจากทุกครั้งที่ตื่นขึ้นเขาจะกินเลือดคนอย่างน้อยหนึ่งพันคน


“แม่ทัพปีศาจโลหิตเรอะ…”


มู่เฉินยิ้มก่อนที่จะกำหมัดแน่น ลูกกลมหลิงขนาดร้อยจั้งก่อตัวขึ้นในฝ่ามือ ก่อนที่เขาจะขว้างไปในส่วนลึกของเมืองภายใต้สายตาสะพรึงกลัวนับไม่ถ้วน


ตู้ม!


ลูกกลมหลิงระเบิดทำให้พื้นที่ส่วนลึกราบเป็นหน้ากลอง อึดใจต่อมาเสาสีแดงเข้มก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เสียงคำรามดุร้ายดังก้องออกมา


“ใครกล้าปลุกแม่ทัพคนนี้จากการนอน?!”


เมื่อได้ยินเสียงคำราม ชาวเมืองก็ขาสั่นพั่บล้มลงกับพื้นพร้อมกับความกลัวพล่านบนใบหน้า


“พวกเราถึงคราวตายแล้ว…” บางคนพูดด้วยความสิ้นหวัง ในสายตาของพวกเขาพลังของแม่ทัพปีศาจโลหิตสุดยอดมาก ต่อให้เทพลึกลับคนนี้ทรงพลังก็จริง แต่คงไม่สามารถเอาชนะแม่ทัพปีศาจโลหิตได้


“ท่านเทพ ถ้าเห็นท่าไม่ดีก็รีบหนีไปเถอะ!” หญิงสาวกล่าวด้วยสีหน้าซีดเซียว


เมื่อเห็นความกลัวของผู้คน มู่เฉินก็อดส่ายหน้าไม่ได้ เขาสัมผัสได้ถึงพลังของแม่ทัพปีศาจโลหิต ซึ่งเทียบเท่ากับระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มในมหาพันภพ ตอนนี้เขาสามารถสังหารได้อย่างง่ายดายด้วยการพลิกมือ


“แม่ทัพปีศาจโลหิตอยู่ระดับไหนของเผ่าเสี่ยเสีย?” มู่เฉินถาม


หญิงสาวอึ้งไปก่อนที่จะส่ายหัวแบบเหม่อลอย ในสายตาของพวกเขาแม่ทัพปีศาจโลหิตก็ราวกับผู้นำปีศาจแล้ว พวกเขาเคยเจอใครที่มีพลังมากกว่านี้ซะที่ไหน?


เมื่อมู่เฉินเห็นการตอบสนองของนาง เขาก็ผิดหวัง ดูเหมือนว่าข้อมูลที่คนเหล่านี้มีจะจำกัดมาก


“ท่านเทพ เราไม่มีข้อมูลมากนักเกี่ยวกับเผ่าเสี่ยเสีย แต่จักรพรรดินีของเรารู้เรื่องพวกนี้แน่นอน!” เมื่อเห็นความผิดหวังของมู่เฉิน หญิงสาวก็รีบกล่าว


“จักรพรรดินี?” มู่เฉินอึ้งไป ‘นั่นคือใคร? ชาวบ้านเหล่านี้ยังมีจักรพรรดินีด้วยเรอะ?’


แต่ก่อนที่เขาจะได้ถาม แสงสีแดงเข้มก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้า นี่เป็นภาพเงาในชุดคลุมสีแดงเข้มที่มีรอยสักสีแดงเข้มบนร่างกายทำให้ดูแปลกตาเป็นพิเศษ


เห็นได้ชัดว่านั่นคือแม่ทัพปีศาจโลหิต หลังจากที่เขาปรากฏตัวใบหน้าก็เปลี่ยนไปเมื่อเห็นหมอกโลหิตฟุ้งบนท้องฟ้า เขาตะเบ็งเสียงลั่น “พวกแกกล้าฆ่าพรรคพวกข้าเหรอ?!


”ใครทำ?! ไสห้วออกมา!”


เสียงตะโกนดังก้อง ทำให้ชาวบ้านที่นี่ตัวสั่นด้วยความกลัว


“ก็แค่ยุงดูดเลือด ตายก็ตายไป ไม่เห็นมีอะไรให้น่าสะเทือนใจเลย” มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองแม่ทัพปีศาจโลหิตด้วยรอยยิ้ม


“แกทำเรอะ? รนหาที่ตาย!” แสงสีแดงพุ่งขึ้นในดวงตาของแม่ทัพปีศาจโลหิตขณะมองไปที่มู่เฉิน อึดใจต่อมาลำแสงโลหิตขนาดหมื่นจั้งก็ปะทุออกมาจากร่าง เขาพุ่งใส่มู่เฉินทิ้งภาพมายาไว้


มหาสมุทรสีแดงเพลิงคำรามอยู่ที่ข้างหลัง


เมื่อมองไปที่มหาสมุทรสีแดงเพลิง มู่เฉินก็ส่ายหัว อึดใจสายตาเปลี่ยนไปเป็นเย็นชา เขากำหมัดเหวี่ยงออกไป


ตู้ม!


มีผลึกแสงกระจายออกมาบนหมัดของเขา ขณะพุ่งเป้าไปที่มหาสมุทรโลหิต


ปัง!


ภายใต้หมัดมิติแตกกระจาย มหาสมุทรโลหิตเชี่ยวกรากก็ระเบิดออกพร้อมกับเสียงกรีดร้องดังก้อง จากนั้นพวกชาวบ้านก็ต้องตกใจเมื่อเห็นภาพเงาน่าสยดสยองกระเด็นออกมาจากมหาสมุทรโลหิตที่แตกเป็นเสี่ยงๆ


ปัง ปัง!


ร่างสีแดงเข้มทำลายสิ่งก่อสร้างนับไม่ถ้วน ทิ้งรอยยาวหลายหมื่นจั้งไว้บนพื้น ถูกซัดออกไปนอกเมืองเลยทีเดียว…


เมื่อมองไปที่ร่างนั้น มู่เฉินก็กำมือ แรงดูดทรงพลังระเบิดออกทำให้ร่างเงานั้นกลับมาอยู่ในมือเขา


เขาก้มมองศพเย็นชืด ยังคงมีความไม่เชื่อบนใบหน้าของแม่ทัพปีศาจโลหิต ทว่าริมฝีปากของมู่เฉินกระตุกอย่างช่วยไม่ได้


เขาไม่เคยเลยว่าแม่ทัพปีศาจโลหิตจะด๋อยขนาดนี้ แค่หมัดเดียวก็ถูกฆ่าตายซะแล้ว


“ไอ้ขยะเปียก ตอนแรกคิดจะดึงข้อมูลสักหน่อย” มู่เฉินส่ายหัวอย่างไม่พอใจ ก่อนที่จะโยนศพแม่ทัพปีศาจโลหิตออกไป


ขณะนี้ทั้งเมืองเข้าสู่ความเงียบงันอีกครั้ง


ชาวบ้านที่ตกใจกลัวจากการปรากฏของแม่ทัพปีศาจโลหิต ใบหน้าก็ค่อยๆ แข็งค้างอีกครั้ง พวกเขารู้สึกเหมือนทุกอย่างในวันนี้เป็นภาพลวงตา ไม่เพียงแต่ปีศาจเผ่าเสี่ยเสียถูกจะสังหารด้วยการกระทืบ แม้แต่แม่ทัพปีศาจโลหิตที่ทรงพลังก็ยังถูกสังหารจากหมัดเดียวของชายลึกลับคนนี้…


“เราถูกทรมานจนเริ่มหลอนแล้วเหรอ?” มีคนยิ้มอย่างขมขื่น เนื่องจากภาพนี้เหลือเชื่อเกินไป พวกเขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าจะมีจอมยุทธ์ทรงพลังเพียงนี้ในโลกใบนี้ด้วย


“ท่านเทพ!”


หญิงสาวจ้องมองมู่เฉินด้วยสายตาร้อนแรง นอกเหนือจากการเป็นเทพในตำนานแล้วจะมีใครทรงพลังมากขนาดนี้?


หรือว่าท่านเง็กเซียนฮ่องเต้เห็นความสิ้นหวังของพวกนางจึงลงมาช่วยเหลือ?


“รีบไปกันซะ”


มู่เฉินยิ้มขณะที่โบกมือให้ทุกคน ก่อนที่พวกเขาจะได้พูดอะไร เขาก็หายตัวไปแล้ว


หญิงสาวและชาวบ้านตื่นตระหนก แต่มู่เฉินก็หายตัวไปอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถทันพูดอะไรได้ ท้ายที่สุดพวกเขาก็ทำได้เพียงแค่แลกเปลี่ยนสายตาพลางยิ้มอย่างขมขื่น


ทุกคนคุกเข่าและโขกหัวไปในทิศทางที่มู่เฉินหายตัวไป


จากนั้นไม่นานพวกเขาก็ยืนขึ้นหนีออกจากเมืองทันที พวกเขารู้ว่าในไม่ช้าสมาชิกเผ่าเสี่ยเสียที่อื่นจะต้องมาที่นี่ ดังนั้นหากพวกเขาไม่หนีตอนนี้ก็จะวนกลับสู่สถานะเริ่มต้น


ขณะที่ผู้คนวิ่งวุ่นไป บนท้องฟ้าร่างมู่เฉินก็ปรากฏมองดูพวกเขาหนีไปและบ่นพึมพำ


“ใครคือจักรพรรดินีที่พวกเขาพูดถึง? ดูเหมือนว่านางจะมีความเข้าใจเกี่ยวกับเผ่าเสี่ยเสีย”


“ในโลกที่ถูกครอบงำโดยเผ่าเสี่ยเสีย พวกเขายังมีพลังที่จะต้านทานหรือ?”


“แต่พลังของพวกเขาไม่น่าจะสามารถเผชิญหน้ากับเผ่าเสี่ยเสียได้…”


“ดูเหมือนว่าข้าต้องแอบสะกดรอยตามพวกเขาไปแล้ว…”

 

 

 


บทที่ 1375 จักรพรรดินีชุดขาว

 

ในเทือกเขาหนาทึบ


มองเห็นภาพผู้คนมากมายกำลังวิ่งหนีกันเตลิดเปิดเปิงพร้อมกับสีหน้าหวาดกลัว บางครั้งพวกเขาจะมองไปข้างหลังด้วยความกังวลว่าปีศาจอาจไล่ตามมา…


นี่ก็คือกลุ่มชาวบ้านที่มู่เฉินได้ช่วยปลดปล่อยให้เป็นอิสระ หลังจากออกจากเมืองได้ ทุกคนก็เร่งรีบเดินทางเพราะกลัวว่าจะถูกเผ่าเสี่ยเสียจับไปอีกครั้ง


ดังนั้นพวกเขาจึงเดินทางตลอดโดยไม่หยุดพัก แม้ว่าจะมีบางคนตามไม่ทัน แต่กลุ่มใหญ่ก็ไม่ได้ลดความเร็วลง…


บนท้องฟ้าที่ทุกคนกำลังหลบหนี มู่เฉินยืนอยู่พร้อมกับถอนพลังงานกลับ เขาซ่อนตัวขณะที่จ้องมองชาวบ้านกลุ่มนี้


จากการสังเกตเขาบอกได้เลยว่าคนเหล่านี้มีเป้าหมาย พวกเขาดูเหมือนจะรู้สถานที่ที่ต้องไป


“พวกเขาจะไปที่ที่มี ‘จักรพรรดินี’ หรือ?”


มู่เฉินพึมพำขณะที่รู้สึกประหลาดใจ หรือว่าพลังของผู้คนในพิภพเขตล่างส่วนนี้สามารถป้องกันตัวเองได้?


ทว่าเขาไม่รู้สึกถึงความเป็นไปได้ แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น ภายใต้การปกครองของเผ่าเสี่ยเสียทำไมกลุ่มชาวบ้านยังสามารถรวมกลุ่มกันได้?


ด้วยข้อเท็จจริงนี้เขาจึงไม่แสดงตัว เลือกที่จะแอบตามไปอย่างเงียบๆ เนื่องจากเขาต้องการเห็น ‘จักรพรรดินี’ ภายใต้การนำของพวกเขา


แน่นอนว่าก่อนที่เขาจะได้รับข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับ ‘จักรพรรดินี’ มู่เฉินไม่คิดที่จะพูดคุยกับพวกเขา ตอนนี้เขาต้องระมัดระวังในเมื่อมาอยู่ในดินแดนของเผ่าเสี่ยเสียโดยลำพัง


เมื่อความคิดวาบผ่านมู่เฉินก็ก้มศีรษะลงมองผู้คนที่กำลังเดินทาง…


การเดินทางดำเนินไปสองวัน ในที่สุดมู่เฉินก็รู้สึกได้ว่าพวกชาวบ้านชะลอตัวลง และเขาก็หดดวงตาเมื่อมองออกไประยะไกล


เนื่องจากเขามองเห็นเมืองตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหลังเทือกเขาไม่มีที่สิ้นสุด ความมีชีวิตชีวาล้อมอยู่ในกำแพงสูงด้านใน


เมื่อมองคร่าวๆ มู่เฉินก็มองไม่เห็นด้านปลายของเมือง ตามการคาดการณ์ของเขาต้องมีผู้อยู่อาศัยอย่างน้อยนับร้อยล้านคนที่นั่น


สิ่งนี้ทำให้เขาสะดุ้งโหยง เผ่าเสี่ยเสียปล่อยให้มีเมืองขนาดมหึมาเช่นนี้จริงหรือ?


ขณะที่มู่เฉินกำลังตะลึงงัน ชาวบ้านที่เดินทางมาถึงก็ร้องด้วยความตื่นเต้น พวกเขาพุ่งไปที่เมือง


เมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้ก็มีเงาร่างหลายร้อยตัวทะยานออกมากีดขวางเส้นทางไว้


“พวกเจ้ามาจากไหน?!” เงาเหล่านั้นดูเหมือนจะเป็นทหารรักษาการณ์ พวกเขามองชาวบ้านมากมายที่เข้าใกล้ก็ตะโกนถาม


“เรามาจากเมืองเถี่ยเสี่ย” หญิงสาวที่มู่เฉินช่วยไว้ก่อนหน้าเดินออกมา ตอบกลับเสียงดัง


“เมืองเถี่ยเสี่ย?” ทหารมองหน้ากัน สีหน้าเปลี่ยนเป็นตกใจก่อนที่จะถามว่า “นั่นคือเมืองที่มีแม่ทัพปีศาจโลหิตคุมอยู่ พวกเจ้าหนีออกมาได้อย่างไร?”


หญิงสาวตอบอย่างตื่นเต้นว่า “ท่านเทพลงมาจากสวรรค์ฆ่าสมาชิกเผ่าเสี่ยเสียในเมืองเถี่ยเสี่ยจนหมด แม้แต่แม่ทัพปีศาจโลหิตก็ถูกสังหารด้วยฝ่ามือเดียว!”


ทหารทุกคนตกตะลึงชั่วครู่ก่อนที่จะตอกกลับอย่างขุ่นเคือง “พูดบ้าอะไร!”


พวกเขารู้ชัดถึงพลังของเผ่าเสี่ยเสียที่น่ากลัว พลังนั้นไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะต้านทานได้ สำหรับแม่ทัพปีศาจโลหิตก็น่ากลัวยิ่งกว่าอะไร แต่หญิงสาวคนนี้กลับบอกว่ามันถูกฆ่าตายด้วยฝ่ามือเดียว? น่าตลกยิ่งนัก!


ทว่าเผชิญหน้ากับเสียงตะโกนกระโชกโฮกฮาก ชาวบ้านคนอื่นๆ ก็เข้ามาเป็นพยาน อารมณ์ตื่นเต้นที่พวกเขาแสดงออกทำให้เหล่าทหารตกใจ


“หัวหน้าหรือว่าที่พวกเขาพูดเป็นความจริง?” ทหารคนหนึ่งหันไปพูดกับหัวหน้า


หัวหน้าขมวดคิ้ว แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าไม่จริง แต่ก็มีคนจำนวนมากพูดเป็นเสียงเดียว หรือว่าเป็นอย่างที่พวกเขาพูดจริงๆ?


“ถ้านี่เป็นเรื่องจริง เราต้องรีบรายงานตรงต่อจักรพรรดินีทันที”


สายตาของหัวหน้าเปลี่ยนไปก่อนที่เขาจะโบกมือ “ปล่อยพวกเขาเข้าไป”


ขณะเดียวกันเขาก็หันไปมองหญิงสาว “เจ้าตามข้าไปรายงานข่าวต่อจักรพรรดินี!”


เขาหันกลับ ประตูเมืองที่อยู่เบื้องหลังก็เปิดออก คนด้านนอกส่งเสียงโห่ร้องดีใจทันที


 


ที่ใจกลางเมืองมีวังหลวงตั้งตระหง่าน


หลังจากที่หัวหน้าทหารรักษาการณ์รายงานเรื่องนี้ เสียงระฆังก็ดังไปทั่ววัง…


ในห้องโถงใหญ่แห่งหนึ่ง ผู้ที่มีตำแหน่งสูงทั้งหมดของเมืองนี้ก็มารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว


มู่เฉินซ่อนตัวขณะกวาดสายตามองรอบโถง เขาตกใจวูบหนึ่งเมื่อเห็นทุกคนเปล่งความผันผวนที่ไม่อ่อนแอออกมา แน่นอนว่าคำว่าไม่อ่อนแอคือเมื่อเทียบกับกลุ่มชาวบ้าน…


แต่ก็มีบางส่วนที่มีพลังแข็งแกร่ง ตามการประเมินอาจใกล้เคียงกับแม่ทัพปีศาจโลหิตแล้ว


ในมหาพันภพมาตรฐานขุมพลังของพวกเขาน่าจะเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ตี้จื้อจุนขั้นปลาย


แต่… เขาสังเกตเห็นว่าในร่างคนเหล่านี้มีรัศมีเย็นยะเยือกซ่อนอยู่ในร่างกายซึ่งเป็นของเผ่าเสี่ยเสีย


“ในร่างมีพลังของเผ่าเสี่ยเสีย…” มู่เฉินหรี่ตาลง แม้ว่าเมืองนี้จะดูเป็นอิสระ แต่ก็ยังอยู่ภายใต้การจับจ้องของเผ่าเสี่ยเสีย


“ถวายบังคมองค์จักรพรรดินี!”


ขณะที่มู่เฉินทำการสำรวจระดับพลังของจอมยุทธ์ที่นี่ เสียงดังก้องก็สะท้อนภายในวัง ทุกคนคุกเข่าลงข้างหนึ่ง


มู่เฉินรับรู้ถึงภาพเงาในชุดสีขาวย่างกรายออกมา สิ่งที่ทำให้มู่เฉินประหลาดใจก็คือคนที่ถูกเรียกว่า ‘จักรพรรดินี’ กลับกลายเป็นสาวงาม…


รูปลักษณ์ของหญิงสาวทรงเสน่ห์มาก นางมีผิวขาวจัด รูปร่างยั่วยวนเผยส่วนโค้งเว้าชัดเจน ความทรงอำนาจในดวงตาทำให้เกิดแรงกดดัน


แต่สิ่งที่ทำให้มู่เฉินตกใจยิ่งกว่านั้นไม่ใช่อายุและรูปลักษณ์ของนาง แต่เป็นความผันผวนที่มาจากนาง ซึ่งไม่ได้อ่อนแอไปกว่าแม่ทัพปีศาจโลหิตเลย


“นางไม่มีรัศมีเย็นเยือกของเผ่าเสี่ยเสีย นั่นหมายความว่าพลังของนางมาจากตัวเองรึ? แต่พลังของนางไม่ถือว่าเสถียร น่าจะมาจากแหล่งภายนอกด้วยส่วนหนึ่ง…”


มู่เฉินอุทานในใจ เขาเกิดมุมมองใหม่เกี่ยวกับสตรีนางนี้ เนื่องจากเขารู้ชัดว่าโอกาสและพรสวรรค์ใดที่ต้องมีเพื่อให้มีพลังเช่นนี้ในพิภพเขตล่าง…


ถ้าเขาเดาถูกแล้ว หญิงสาวคนนี้น่าจะเป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของโลกพิภพเขตล่างใบนี้


ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะที่ใด จะมีคนที่โดดเด่นก้าวออกมาเพื่อช่วยเหลือเมื่อเผ่าพันธุ์กำลังเผชิญกับการถูกฆ่าล้าง…


ขณะที่มู่เฉินอุทานชื่นชม หญิงสาวชุดขาวก็นั่งลงและมองไปที่หญิงสาวที่คุกเข่าจากนั้นพูดเบาๆ “ช่วยบอกข้าเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองเถี่ยเสี่ยอย่างละเอียดได้ไหม?”


หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวในชุดขาวด้วยความตื่นเต้น ขณะที่สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกนี้ได้รับการปฏิบัติเหมือนปศุสัตว์ จอมยุทธ์หญิงคนนี้ก็ยืนหยัดรักษาที่หลบภัยสุดท้ายของมวลมนุษยชาติ


ภายใต้ช่วงเวลาที่สิ้นหวัง เทพเซียนเท่านั้นที่รู้ว่ามีกี่คนที่ปฏิบัติกับหญิงสาวคนนี้ในฐานะพระโพธิสัตว์


“จักรพรรดินีสิ่งที่พวกข้าพูดคือความจริง มีท่านเทพยาตราลงมาจากสวรรค์ด้วยพลังสุดยอด เขาสามารถสังหารแม่ทัพปีศาจโลหิตของเมืองเถี่ยเสี่ยได้ด้วยฝ่ามือเดียว” หญิงสาวพูดด้วยความตื่นเต้น


เมื่อเสียงกระจายออกไปก็ทำให้เกิดความโกลาหลโดยรอบ


แม้แต่หญิงสาวชุดขาวยังเผยความสั่นไหวบนใบหน้า เนื่องจากตัวนางรู้ชัดเกี่ยวกับความแข็งแกร่งที่แม่ทัพปีศาจโลหิตครอบครอง แม้ว่านางจะสามารถเอาชนะพวกมันได้ แต่ก็ไม่สามารถฆ่าได้ในกระบวนท่าเดียว


“หึ ท่านเทพยิ่งใหญ่อะไรกัน หลอกตัวเองกันชัดๆ!”


ทว่าขณะที่บรรยากาศในห้องโถงกำลังตกตะลึง เสียงเยาะเย้ยก็เปล่งออกมาจากชายชราหน้าตาน่ากลัว


“ข้าว่าตอนนี้เราไม่จำเป็นต้องพิจารณาว่าเป็นท่านเทพอะไร แต่เราจะเผชิญกับความโกรธเกรี้ยวของเผ่าเสี่ยเสียอย่างไร?!” ชายชราคนนั้นมองไปรอบๆ จากนั้นก็หันไปมองจักรพรรดินี “สมาชิกเผ่าเสี่ยเสียพร้อมกับแม่ทัพปีศาจตายเป็นเบือ งานนี้เผ่าเสี่ยเสียไม่ปล่อยให้เรื่องนี้สงบลงอย่างแน่นอน พวกมันจะต้องสอบสวนเรื่องนี้แน่!


“ดังนั้นข้าขอแนะให้ส่งคนเหล่านี้กลับไปและสังเวยประชาชนเพิ่มอีกห้าล้านคนเพื่อให้พวกมันสงบ มิฉะนั้นดินแดนอุดมรัฐสุดท้ายของเราจะถูกทำลายล้างภายใต้ความโกรธเกรี้ยว!”


“ท่านเสนาบดีใหญ่พูดถูก เราต้องรีบจัดการกับความโกรธเกรี้ยวของเผ่าเสี่ยเสีย คนเหล่านี้ต้องถูกส่งมอบกลับไปทั้งหมด” เมื่อชายชราพูด เสียงสามเสียงก็ดังขึ้นสนับสนุน พวกเขาเป็นชายวัยกลางที่มีแสงสีแดงเข้มบางจางพล่านในดวงตา


เสียงเหล่านี้ทำให้จอมยุทธ์ชั้นสูงหลายคนใบหน้าเขียวคล้ำขณะที่กำหมัดแน่น ทว่าพวกเขาไม่กล้าที่จะพูด เนื่องจากพวกเขารู้ว่าเสนาบดีกลุ่มนี้มีพลังน้อยกว่าจักรพรรดินีคนเดียว มิหนำซ้ำยังเป็นกลุ่มที่มีความใกล้ชิดกับเผ่าเสี่ยเสียและพลังของพวกเขาก็มาจากปีศาจเหล่านั้น


“จักรพรรดินีได้โปรด!”


เมื่อหญิงสาวได้ยินว่าพวกเขาต้องการส่งพวกนางไปให้เผ่าเสี่ยเสีย ใบหน้าของนางก็ซีดลง นางโขกศีรษะลงบนพื้นจนเกิดเสียงดังกึกก้อง


หญิงสาวชุดสีขาวก็กำหมัดแน่น เล็บฝังลงไปบนฝ่ามือ


ในที่สุดชายสวมชุดเกราะคนหนึ่งก็อดรนทนไม่ได้ เขาร้องตะโกนว่า “ท่านเสนาบดีใหญ่ คนเหล่านี้มองพวกเราเป็นความหวังสุดท้ายของพวกเขา แต่ละคนต้องเดินเท้ามาไกลเพื่อดั้นด้นมาที่นี่ ตอนนี้ท่านกลับต้องการส่งพวกเขากลับไปให้ปีศาจเหล่านั้น หัวใจของท่านทำด้วยเหล็กหรือยังไง?”


เสนาบดีใหญ่กวาดสายตามองพลางพูดจาเย้ยหยันอย่างเย็นชา “ไม่คิดว่าท่านแม่ทัพใหญ่จะเห็นใจเช่นนี้ ถ้าความโกรธแค้นของเผ่าเสี่ยเสียโถมเข้ามา ท่านจะเป็นคนออกไปสู้กับพวกมันเรอะ?”


แม่ทัพใหญ่กัดฟัน “ตายก็ดีกว่าขี้ขลาดตาขาว! ทุกคนคิดว่าเราพึ่งพาตัวเองในการยืนหยัดอยู่ แต่เรารู้ดีกว่าใครว่าที่อยู่ได้ทุกวันนี้เพราะเราต้องส่งพลเมืองห้าล้านคนต่อปีเพื่อให้พวกมันไปเลี้ยงไว้เป็นปศุสัตว์ เป็นอาหารให้เดรัจฉานเหล่านั้น!


“ด้วยวิธีนี้เราถึงอยู่รอดได้ แต่การอยู่รอดอย่างไร้ศักดิ์ศรีคือสิ่งที่เราต้องการจริงๆ หรือ!


“เทียบกับการถูกกินเป็นอาหาร เราต่อสู้กับเผ่าเสี่ยเสียให้สุดกำลังไปซะยังดีกว่า แม้ว่าจะพังพินาศก็ตาม!”


ตอนเขาพูดจบ ดวงตาเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ อารมณ์โศกเศร้าโกรธแค้นกระจายไปทั่วโถงส่งผลต่อดวงตาของเหล่าขุนนางน้อยใหญ่หลายคนเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วย


ร่างจักรพรรดินีชุดขาวก็สั่นสะท้าน เล็บฝังลงไปบนฝ่ามือพร้อมกับเลือดสดไหลลงมา


หลายคนมองว่านางเป็นพระผู้มาโปรด แต่นางรู้ดีว่าตนเองยังมีพลังไม่พอ ไม่ใช่เพราะพลังของนางที่ทำให้มวลมนุษยชาติสามารถอยู่รอดในเมืองนี้ได้ แต่เป็นเพราะเผ่าเสี่ยเสียไม่ต้องการให้พวกนางพินาศ เนื่องจากพวกมันยังต้องการอาหารสดๆ…


ทุกครั้งที่มอบพลเมืองกว่าห้าล้านคน น้ำตาของพวกเขาที่หลั่งไหลทำให้นางเกลียดตัวเองที่ไร้อำนาจ นางเคยคิดที่จะพินาศไปกับเผ่าเสี่ยเสียหลายต่อหลายครั้ง แต่นางรู้ดีว่าหากทำแบบนั้น พวกนางก็จะสูญเสียโอกาสสุดท้าย…


มู่เฉินมองไปก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่น่าแปลกใจที่เมืองนี้ยังคงอยู่ได้ เพราะนี่เป็นสิ่งที่เผ่าเสี่ยเสียมอบให้เนื่องจากพวกมันต้องการอาหาร แม้ว่าดินแดนแห่งนี้ดูเหมือนจะเป็นดินแดนอุดมรัฐ แต่จริงๆ แล้วก็แค่การดิ้นรนเฮือกสุดท้ายเบื้องหน้าประตูแห่งความตาย


ช่างน่าสงสารจริงๆ


มู่เฉินถอนหายใจเบาๆ ในใจ แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นว่าจักรพรรดินีชุดขาวเงยหน้าขึ้นมองมายังทิศทางของเขา


หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้านกับสายตาของนาง ตอนนี้เขาซ่อนตัวอยู่และคนอื่นๆ ไม่สามารถเห็นเขาได้ แต่นางกลับสัมผัสถึงตัวเขาได้เรอะ?


ขณะที่มู่เฉินกำลังประหลาดใจ จักรพรรดินีชุดขาวก็ลุกขึ้นยืนกัดฟันเบาๆ ก่อนที่จะโค้งคำนับให้เขาพร้อมกับเสียงแหบพร่าดังก้อง


“ท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่ ในเมื่อท่านมาแล้วก็โปรดแสดงตัวด้วยเถิด…”

 

 

 


บทที่ 1376 ผู้บัญชาการปีศาจโลหิต

 

เสียงแหบพร่าของจักรพรรดินีดังก้องในวัง


ทำให้ใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป ก่อนที่พวกเขาจะเงยใบหน้าตื่นตัวมองไปทิศทางนั้นด้วย


มีบางคนอยู่ที่นี่โดยที่พวกเขาสัมผัสไม่ได้รึ?


ภายใต้สายตาตกประหม่ามากมาย ความเงียบงันก็คงอยู่พักใหญ่ก่อนที่ระลอกคลื่นจะถูกยกขึ้น ทุกคนก็เห็นภาพเงาสูงโปร่งปรากฏขึ้นก่อนที่จะพลิ้วตัวลงมาในโถง


“ประสาทสัมผัสดีจริง”


มู่เฉินกล่าวขณะที่มองจักรพรรดินีด้วยความประหลาดใจ


การเร้นกายของเขา กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มชั้นสูงในมหาพันภพยังไม่สามารถตรวจพบได้ ไม่คิดว่าจะถูกค้นพบในพิภพเขตล่างแบบนี้


“ประสาทสัมผัสของข้าแค่เฉียบแหลมตั้งแต่กำเนิด ดังนั้นข้าจึงสามารถตรวจจับได้อย่างเลือนราง” มองไปที่ชายอ่อนอาวุโส จักรพรรดินีก็คลี่ยิ้ม น้ำเสียงของนางไม่ถือยศอะไรเพราะนางรู้สึกถึงแรงกดดันที่มาจากอีกฝ่าย


ซึ่งเป็นแรงกดดันที่ทำให้นางรู้สึกถูกคุกคาม


ชายผู้นี้ทรงพลังมาก


“ท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่!”


หญิงสาวที่คุกเข่าอยู่กลางโถงก็ร้องอย่างตื่นเต้นเมื่อเห็นมู่เฉิน


ความปั่นป่วนกวนตัวทั่ววัง ทุกคนจ้องมองไปที่มู่เฉิน พวกเขาไม่คิดเลยว่าชายหนุ่มที่ดูเยาว์วัยคนนี้จะเป็นท่านเทพที่หญิงสาวเมืองเถี่ยเสี่ยพูดถึง


“หึ เจ้าเป็นคนสร้างเรื่องยุ่งยากนี้ขึ้นเรอะ?”


ทว่าท่ามกลางความตกใจนั้น เสียงหัวเราะเย็นก็ดังก้องมาจากชายชราหน้าตาน่ากลัวซึ่งมองมาที่มู่เฉินอย่างเย็นชาก่อนจะแผดเสียง “เจ้ารู้ไหมว่าสร้างความยุ่งยากอะไรขึ้นมา? เจ้ากล้าฆ่าจอมยุทธ์เผ่าเสี่ยเสียทั้งเมือง ถึงเวลานั้นเราทุกคนจะถูกเจ้าลากลงนรกไปด้วย!”


มู่เฉินหันหน้าไปมองชายชราก่อนที่จะยิ้ม “ดูเหมือนไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็จะมีคนทรยศอยู่เสมอ”


“แกว่าไงนะ?!” ชายชราหัวร้อนขึ้นทันที


แต่เมื่อเสียงเขาจบลง ร่างมู่เฉินก็ไปปรากฏที่เบื้องหน้า ท่าทางชายชราเปลี่ยนไป แสงสีแดงเข้มพุ่งขึ้นในดวงตา ก่อนที่พลังงานจะระเบิดออกจากร่างกาย ฝ่ามือผลักออกไป


แกร็ก


ทว่าก่อนที่พลังจะปะทุขึ้น มือเรียวก็เหมือนทะลุมิติคว้าเข้าที่ลำคอเหี่ยวย่นโดยไม่สนใจการป้องกันอะไร


มู่เฉินยกร่างชายชราขึ้น ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่สามารถสลัดมือมู่เฉินออกไปได้


“แกมีสิทธิ์อะไรที่จะมาพูดกับข้า?” มู่เฉินยิ้มเหยียดหยามในสายตา


ในที่สุดชายชราเผยความหวาดกลัวบนใบหน้า เนื่องจากเขาตระหนักได้แล้วว่าชายลึกลับคนนี้น่ากลัวเพียงใด…


“ปล่อยข้า! ไม่งั้นเผ่าเสี่ยเสียไม่ปล่อยแกไปแน่!” ชายชราดิ้นขลุกขลัก


“วางใจเถอะ คนอย่างแกยังไม่คู่ควรให้ข้าจัดการหรอก”


มู่เฉินสะบัดมือไม่ใส่ใจโยนร่างชายชรากระแทกเสาถูกฝังอยู่ข้างใน จากนั้นพลังงานแข็งกร้าวก็มัดตัวเขาไว้ ทำให้เคลื่อนไหวไม่ได้ ร่างอยู่ในเสาราวกับของตกแต่งก็มิปาน


ฉากนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึง เสนาบดีใหญ่เป็นจอมยุทธ์แข็งแกร่งรองจากจักรพรรดินีเชียวนะ แต่เมื่ออยู่ในชายลึกลับคนนี้กลับไม่สามารถต้านทานได้เลยราวกับมดปลวก


เสนาบดีคนอื่นๆ ใบหน้าก็ซีดขาวขณะที่ถอยรนออกไป ไม่กล้ามองหน้ามู่เฉินเพราะกลัวว่าจะเป็นรายต่อไป


ในโถงเงียบสงบ มู่เฉินกวาดสายตาออกไป คนที่เขามองจะตัวสั่นสะท้านด้วยความกลัวจากแรงกดดันมหาศาลที่รู้สึกได้


ในที่สุดสายตาเขาก็เลื่อนไปมองที่จักรพรรดินี ฝ่ายหลังไม่กลัวที่จะจ้องตาเขาตอบ


“ตอนแรกข้าก็คิดว่านี่เป็นดินแดนอุดมรัฐสุดท้ายของโลกใบนี้ ไม่คิดว่ามันจะเป็นหลุมพราง” มู่เฉินยิ้มให้จักรพรรดินี


จากบทสนทนาที่ผ่านมาทำให้เขาทราบว่าที่เรียกว่า ‘ดินแดนอุดมรัฐ’ กลับเป็นสถานที่ที่ต้องส่งพลเมืองออกไปเป็นปศุสัตว์หลายล้านคนเพื่อบรรณาการ


เมื่อได้ยินคำพูดเยาะเย้ยของมู่เฉินใบหน้าของจักรพรรดินีก็ซีดลงด้วยความรู้สึกผิด


“ท่านเทพ… จักรพรรดินีทำดีที่สุดแล้ว หากไม่ใช่เพราะนางต่อสู้เพื่อพวกเราตลอดมา บางทีเราอาจไม่มีเมืองนี้อยู่ด้วยซ้ำ” จอมยุทธ์ชั้นสูงบางคนอดไม่ได้ที่จะช่วยพูดแทนจักรพรรดินีของพวกเขา


“พอเถอะ” จักรพรรดินีหยุดทุกคนตอบว่า “ข้าไร้ประโยชน์เอง ไม่สามารถช่วยทุกคนได้”


จากนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นสายตาลุกโชนมองไปที่มู่เฉิน “ท่านเทพ เจ้าไม่ได้มาจากเผ่าเสี่ยเสีย มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่จะเป็นราชันปกป้องเราได้”


มู่เฉินที่อยู่เบื้องหน้ามีพลังที่แข็งแกร่งเหลือล้น เขาเปรียบได้กับผู้บัญชาการปีศาจโลหิต ถ้าได้การคุ้มครองจากเขา เผ่าเสี่ยเสียก็คงจะหวาดกลัวเช่นกัน


มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะเบ้ปากจากคำพูดของนาง ผู้หญิงคนนี้คิดว่าเขาเป็นคนของโลกนี้


ดังนั้นเขาจึงตอบเสียงเปรี้ยวว่า “ข้าไม่ใช่คนบนโลกของเจ้าหรอกนะ”


จักรพรรดินีอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะพูดอย่างตื่นเต้น “ท่านเทพเป็นคนมาจากนอกโลกหรือ?”


“ดูเหมือนว่าเจ้าจะรู้เรื่องบางอย่างจริงๆ” มู่เฉินประหลาดใจกับปฏิกิริยาของนาง ท่าทางนางจะรู้ถึงการมีอยู่ของมหาพันภพ


“ข้าเคยอ่านในบันทึกโบราณว่ามีโลกอื่นนอกเหนือจากที่นี่ ผู้เชี่ยวชาญของโลกนั้นสามารถเผชิญหน้ากับเผ่าเสี่ยเสียได้” จักรพรรดินีตอบ


ดวงตาของทุกคนในห้องโถงเปลี่ยนเป็นสีแดงขณะที่พวกเขามองไปที่มู่เฉินด้วยความตื่นเต้น


มองไปที่สายตาของพวกเขา ขณะที่มู่เฉินจะพูด ท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไป เขาหันไปมองในทิศทางหนึ่ง “ตัวปัญหามาแล้ว”


เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน คนอื่นๆ ยังไม่รู้ว่าเขากำลังพูดถึงอะไร แต่ใบหน้าของจักรพรรดินีอดเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ร่องรอยแห่งความกลัวและความเกลียดชังเผยในดวงตาของนาง


ไม่นานหลังจากเสียงของมู่เฉินดังขึ้น ทุกคนก็เห็นท้องฟ้าเริ่มมืด กระทั่งเมฆยังค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม


ทั่วทั้งฟ้าดินปกคลุมไปด้วยกลิ่นคาวเลือด


“บัดซบ เผ่าเสี่ยเสียมาแล้ว!” ใบหน้าของจอมยุทธ์ชั้นสูงเปลี่ยนไป พร้อมกับความกลัวหนาแน่นผุดขึ้นบนใบหน้า


ขณะนี้ทั้งเมืองตกอยู่ในความโกลาหล ผู้คนจำนวนมากมองไปที่ท้องฟ้าด้วยความกลัวพร้อมกับเสียงสิ้นหวัง


การปรากฏตัวของเผ่าเสี่ยเสียเป็นเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด


เมฆสีแดงเข้มบินเข้ามาปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าของเมืองนี้ โดยมีเงาสีแดงเข้มนับไม่ถ้วน


เมื่อเมฆสีแดงเข้มด้านหน้าสุดกระจายออกจากกัน เงาร่างปีศาจที่แข็งแกร่งสี่ร่างก็ปรากฏขึ้น พวกเขากอดอกมองลงมาที่เมืองด้วยสายตาโหดเหี้ยม แรงกดดันมหาศาลกวาดออกจากร่างพวกเขา


“สี่แม่ทัพปีศาจโลหิต!”


เมื่อมองไปที่ภาพเงาเหล่านั้น จอมยุทธ์ชั้นสูงก็หน้าซีดขาวด้วยความกลัวบนใบหน้า กระทั่งจักรพรรดินีก็ยังสามารถเผชิญหน้าได้แค่คนเดียวเท่านั้น


สายตาของมู่เฉินไม่ได้มองไปที่ทั้งสี่ แต่มองข้างหลังด้วยดวงตาหรี่ลง


ภายใต้สายตาของมู่เฉิน แม่ทัพปีศาจโลหิตทั้งสี่ก็เลื่อนตัวเปิดทาง บัลลังก์สีแดงเข้มปรากฏขึ้นพร้อมกับภาพเงาที่มีผมขาวสวมเสื้อคลุมสีแดงเข้มนั่งอยู่อย่างเกียจคร้าน


เมื่อร่างนี้ปรากฏขึ้น ทุกคนก็ตัวสั่นสะท้านด้วยความสิ้นหวังในดวงตา บางคนถึงกับล้มพับลงกับพื้น


แม้แต่จักรพรรดินียังกำหมัดแน่นขณะที่ร่างกายสั่นสะท้าน “แม้แต่ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตก็มา…”


“ผู้บัญชาการปีศาจโลหิต?”


มู่เฉินมองไปที่ภาพเงานั้น ตามการรับรู้ของเขาพลังของผู้บัญชาการปีศาจโลหิตนี้เทียบได้กับเจ้าเมฆาม่วงที่ได้สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุน


พลังนี้เพียงพอที่จะทำให้มู่เฉินมองอีกฝ่ายอยู่ในระดับเดียวกัน


ขณะเดียวกันร่างเงานั้นก็มองลงมาที่เมืองด้วยความเฉยเมยในสายตาราวกับว่ากำลังมองสัตว์ที่รอให้ถูกฆ่า


อึดใจเสียงไร้อารมณ์ก็สะท้อนขึ้น “ส่งคนมารับโทษและครั้งนี้ข้าจะพาอาหารสิบล้านคนไปเป็นการทำโทษ”


เสียงของเขาสะท้อนออกมาทำให้ทุกคนในเมืองสิ้นหวัง


สมาชิกชั้นสูงในวังก็ตัวสั่น


“คิๆ ก่อนหน้านี้พวกแกดูเก่งนักไม่ใช่เหรอ?” ชายชราที่ฝังอยู่ในเสาหัวเราะร่วน ขณะที่มองมู่เฉินอย่างดุร้าย


ขุนนางน้อยใหญ่มองไปที่จักรพรรดินีถามว่า “จักรพรรดินี เราจะทำอย่างไรดี”


พวกเขาลอบมองไปที่มู่เฉิน ชัดเจนที่รู้สึกว่าควรส่งชายคนนี้ไป


มู่เฉินเฝ้าดูฉากนี้ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า เขาไม่พูดแต่มองไปที่จักรพรรดินี อยากรู้ว่านางจะเลือกอย่างไร


ความเงียบปกคลุม ทุกคนต่างมองไปที่จักรพรรดินี นางกำหมัดแน่นร่างสั่นสะท้าน ไม่นานนางก็สูดหายใจลึก อกอวบอิ่มสะท้อนขึ้นลง


นางกวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างช้าๆ พูดว่า “ทุกคนอยากมีชีวิตแบบนี้จริงๆ หรือ? ปล่อยให้พวกมันเลี้ยงเราราวกับเป็นสัตว์?”


ดวงตาของทุกคนแดงก่ำขณะที่ร่างกายสั่นสะท้าน พวกเขาเกลียดเผ่าเสี่ยเสีย แต่พลังที่เหนือล้ำของเผ่าเสี่ยเสียทำให้พวกเขารู้สึกสิ้นหวังนัก


จักรพรรดินีกล่าวต่อว่า “ไม่ว่าพวกเจ้าจะคิดยังไง แต่…ข้าไม่อยากส่งประชาชนไปเลี้ยงเหมือนสัตว์อีกต่อไปแล้ว…”


พูดถึงจุดนี้ ใบหน้านางก็เปลี่ยนไปอย่างเด็ดเดี่ยว นางกวาดสายตาออกไป “ครั้งนี้ข้าจะไม่ส่งใครไปอีกเด็ดขาด!”


ทุกคนตัวสั่น จากนั้นมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาซับซ้อน พวกเขาจะดูไม่ออกได้อย่างไรว่าจักรพรรดินีของพวกเขาฝากความหวังทั้งหมดไว้กับชายลึกลับคนนั้น…


หากพวกเขาแพ้ก็จะถูกล้างเผ่าพันธุ์


มู่เฉินก็มองไปที่จักรพรรดินีด้วยความประหลาดใจ การตัดสินใจของนางเด็ดขาดนัก เพราะไม่ใช่ทุกคนที่สามารถเลือกแบบนี้ได้


ดังนั้นเขาจึงจ้องมองลึกล้ำไปที่จักรพรรดินี “มีไอ้เดรัจฉานตัวไหนที่ทรงพลังมากกว่าผู้บัญชาการปีศาจโลหิตอีกหรือไม่?”


จักรพรรดินีส่ายหัวเอ่ยเสียงขรึม “มีผู้บัญชาการปีศาจโลหิตหกคนในเผ่าเสี่ยเสีย พวกเขาคือผู้ปกครองของเผ่า”


“เป็นอย่างนี้เหรอ…”


มู่เฉินหายใจออกเบาๆ จากนั้นก็ก้าวเท้าออกไปภายใต้สายตาของทุกคน ก่อนที่เสียงของเขาจะกระจายออกไป


“งั้นจากวันนี้ไปพวกมันจะเหลือห้าคนแล้ว”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)