หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1367-1372
บทที่ 1367 แบ่งดินแดน
ตู้ม!
บนท้องฟ้าที่ราบเป่ยยู่ เมื่อเจดีย์ผลึกแก้วสลายตัวลง พายุคลื่นหลิงทรงพลังก็พัดออกไปทำให้สวรรค์และโลกสั่นสะเทือน
สายตานับไม่ถ้วนพุ่งมองไปบนท้องฟ้า เมื่อเห็นว่าเจดีย์หายไปดวงตาทุกคู่ก็กะพริบวูบไหว ก่อนที่ความวุ่นวายจะระเบิดขึ้นอีกครั้ง
“เจดีย์ผลึกแก้วหายไปแล้ว! ดูเหมือนว่าผู้นำทั้งสามจะทำลายได้!”
“เร็วมาก ดูเหมือนมู่เฉินแสร้งทำเป็นแข็งแกร่งซะแล้ว…”
“ยังไงซะก็เป็นการต่อสู้กับจอมยุทธ์ทั้งสามคนตามลำพัง แม้ว่าเขาจะล้มเหลว แต่เขาก็ควรภาคภูมิใจได้ หลังจากวันนี้ไปข้าคิดว่าชื่อเสียงของตำหนักมู่จะขจรขจายไปจักรวรรดิเหนือ”
“แต่สุดท้ายเขาก็ล้มเหลว…”
“…”
เสียงสนทนาดังสะท้อน สมาชิกขั้วอำนาจทั้งสามก็คลายสีหน้าลง
เห็นได้ชัดว่าในสายตาพวกเขาการที่เจดีย์หายไปนั้น ต้องหมายความว่าถูกทำลายโดยผู้นำทั้งสามเป็นแน่
เมื่อจอมยุทธ์ตำหนักมู่เห็นสิ่งนี้ พวกเขาก็รู้สึกถึงความไม่สบายใจตีกวน ก่อนที่จะมองมั่นถัวหลัว อีกฝ่ายทำเพียงเงยหน้าขึ้นมองไปที่พายุพลังงานโดยไม่กะพริบตา
ฟิ้ว!
เสียงหวีดหวิวคมชัดดังขึ้น พริบตาเดียวผู้คนนับไม่ถ้วนก็เห็นเงาร่างสามร่างดิ่งพสุธาลงมาจากท้องฟ้าเหมือนอุกกาบาต ก่อนที่จะกระแทกลงไปในส่วนลึกของที่ราบเป่ยยู่
ครืน!
ผลกระทบดังกล่าวทำให้ที่ราบเป่ยยู่ทั้งหมดโยกคลอน รอยแตกขนาดใหญ่ก็แผ่กระจายออกไปอย่างรุนแรงปกคลุมไปทั่ว
ทุกคนมองไปด้วยความตกใจ ดูเหมือนว่ามู่เฉินจะแพ้หมดท่าเลยเหรอ?
ผู้คนทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชะเง้อมองไปในส่วนลึกของที่ราบ พวกเขาเห็นหลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่สามแห่ง ซึ่งมีร่างเงาสามร่างนอนพังพาบอยู่…
“นั่นมัน?”
ทุกสายตาจ้องมองไปที่ร่างเงาทั้งสาม ครู่ต่อมาก็ต้องเบิกตากว้างพร้อมกับความไม่เชื่อพล่านบนใบหน้า
เนื่องจากพวกเขาตระหนักได้ว่านั่นคือเจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองที่นอนอยู่ในหลุมอุกกาบาต!
โห่!
เสียงอุทานดังก้องระหว่างฟ้าดิน ขั้วอำนาจน้อยใหญ่ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาทั้งสามก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นความกลัวราวกับว่าพวกเขาเห็นผี
“นี่…เป็นไปได้ยังไง?!”
พวกเขาแลกเปลี่ยนสายตากันก่อนที่ปากจะพะงาบพูดขึ้น “ดูเหมือนมู่เฉินจะมีความสามารถแท้จริง เพื่อที่จะฆ่าเขา ประมุขทั้งสามยังได้รับบาดเจ็บหนัก!”
แต่ขณะที่พวกเขากำลังปลอบใจตัวเอง สายตาก็ต้องแข็งทื่อเมื่อเห็นร่างอ่อนเยาว์ค่อยๆ เคลื่อนลงมาพร้อมกวาดมองไปที่หลุมอุกกาบาตทั้งสามด้วยสีหน้าสงบ
แม้ว่าเงาบนท้องฟ้านั่นไม่ได้ทำให้เกิดความผันผวนของคลื่นหลิงใด แต่ทุกคนก็รู้สึกได้ถึงความสยองเกล้าแผ่ซ่านออกมาในใจ
ภายใต้ความกดดันที่ราบเป่ยยู่เงียบสนิทลง กระทั่งขั้วอำนาจน้อยใหญ่จำนวนมากที่อยู่ใต้บัญชาของผู้นำทั้งสามก็ไม่กล้าทำตัวหยิ่งยโสเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
ความกดดันที่เกิดขึ้นจากร่างนั่น แข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้นำทั้งสาม ดังนั้นแววเยาะเย้ยจึงเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัว…
ทว่าเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น มู่เฉินก็ไม่ได้สนใจ เขาเพียงแค่มองไปในหลุมอุกกาบาตสามแห่งจากเบื้องบนชั่วครู่ก่อนจะพูดว่า “ถ้ายังไม่ตายก็ลุกขึ้นมาซะ”
เสียงเขาถูกตอบกลับด้วยความเงียบ ไม่มีใครกล้าพูดสักแอะขณะที่มองไปยังหลุมอุกกาบาต
ความเงียบคงอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่จะเกิดการเคลื่อนไหวในหลุมอุกกาบาต ร่างสามร่างค่อยๆ ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ภายใต้การจ้องมองของทุกคน
ซี้ด
เมื่อทุกคนเห็นทั้งสามนั้น พวกเขาก็สูดลมหายใจเย็นด้วยความกลัวบนใบหน้า
เจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองเสื้อผ้าแต่ละคนขาดวิ่นไปหมด มิหนำซ้ำคลื่นหลิงทรงพลังรอบตัวก็อ่อนกำลังลงเช่นกัน
นอกจากนี้ที่สำคัญคือตรงบ่าพวกเขายังมีคราบสีดำราวกับโคลนปกคลุมพื้นผิวพยายามที่จะกัดกร่อนร่างกายและคลื่นหลิงอย่างต่อเนื่อง
ใบหน้าของทั้งสามซีดเผือด เนื้อตัวบวมฉึ่งไม่หยุด ก่อนที่จะระเบิดเลือดสดไหลลงมา
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาบาดเจ็บหนัก!
ทั้งสามยืนอยู่บนท้องฟ้าใกล้กันมองไปที่มู่เฉินอย่างเคร่งเครียด ทว่าสายตาของพวกเขาไม่ได้หยิ่งผยองอีกต่อไป แต่กลับมีความกลัวหนาแน่นแทนที่
พวกเขาเข้าใจถึงความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของมู่เฉินจากการปะทะกันแล้ว ซ้ำเหล่าปีศาจในเจดีย์ยังน่าสะพรึงกลัวมากจนแม้แต่พวกเขาร่วมมือกันก็ไม่สามารถกีดขวางใดๆ ได้
“ตอนนี้เรามาคุยเรื่องเกี่ยวกับตำหนักมู่ของข้าที่จะเข้าสู่จักรวรรดิเหนือได้หรือยัง?” มู่เฉินมองไปที่ทั้งสามด้วยรอยยิ้มอ่อน ท่าทางไม่ดุร้ายเหมือนเมื่อครู่
ทั้งสามคนตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “พวกข้าปฏิเสธได้เรอะ?”
ยามนี้พลังในการต่อสู้ของพวกเขาลดลงอย่างมากจากการบาดเจ็บ ถ้ามู่เฉินต้องการที่จะฆ่าพวกเขาจริงๆ พวกเขาก็จะกลายเป็นปุ๋ยบำรุงที่ราบเป่ยยู่ในวันนี้แน่
ดังนั้นตอนนี้พวกเขาเป็นลูกไก่ในมือคนอื่น พวกเขาไม่มีสิทธ์ที่จะคุยโวกับมู่เฉินได้
“พวกเจ้าว่ายังไงล่ะ?” มู่เฉินยิ้ม
ทั้งสามคนอยู่ในความเงียบ แต่ดูไม่เย่อหยิ่งอีกต่อไป
เมื่อมู่เฉินเห็นสิ่งนี้ เขาก็ไม่ได้สนใจอีกฝ่าย สะบัดแขนเสื้อทันที แสงหลิงพวยพุ่งขึ้นบนท้องฟ้าก่อตัวเป็นแผนที่ขนาดใหญ่ของจักรวรรดิเหนือ
ดินแดนดังกล่าวถูกแยกออกจากกันอย่างชัดเจน จักรวรรดิเหนือกว่าแปดส่วนถูกครอบครองโดยสามขั้วอำนาจใหญ่เหล่านี้ ขณะที่ภูมิภาคทางเหนือครอบครองสถานที่ห่างไกล
มู่เฉินดีดนิ้ว แสงหลิงก็ยิงเข้าไปในแผนที่ ทุกคนสามารถมองเห็นพื้นที่ภูมิภาคทางเหนือขยายตัวอย่างรวดเร็วโดยการกลืนกินเข้าไปในดินแดนของสามขั้วอำนาจทั้งสี่ด้าน
หลังจากไม่กี่ลมหายใจการขยายตัวก็หยุดลงโดยมีตำหนักมู่ได้ครอบครองครึ่งหนึ่งของจักรวรรดิเหนือ ขณะที่สำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทองคำมีส่วนแบ่งอีกครึ่งหนึ่ง
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปนี่จะเป็นการแบ่งดินแดนของจักรวรรดิเหนือ” เสียงของมู่เฉินดังขึ้นขณะที่ชี้ไปที่แผนที่
เฮือก
ขั้วอำนาจน้อยใหญ่กลืนน้ำลายลงคอดังเอื้อก จากการแบ่งนี้เกือบครึ่งหนึ่งจะถูกลากเข้าไปใต้บังคับบัญชาของตำหนักมู่
นี่เผด็จการเกินไปแล้ว!
เขากลืนกินจักรวรรดิเหนือครึ่งหนึ่งในคราวเดียว!
แม้ว่าแต่ละคนจะมีความคิดเช่นนั้น แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร ทุกคนจับจ้องไปที่ผู้นำทั้งสาม เนื่องจากพวกเขาไม่มีสิทธ์ที่จะไปโต้เถียงอะไรกับมู่เฉิน
“นี่มันเกินไปแล้ว!” เจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิง เจ้าอินทรีทองคำรามด้วยความโกรธใบหน้าแต่ละคนเขียวคล้ำ
นี่เท่ากับความเสียหายใหญ่หลวงสำหรับพวกเขา!
มู่เฉินยิ้ม “ผู้ชนะเขียนกฎจะมากเกินไปได้ยังไง? ถ้าวันนี้ตำหนักมู่ของข้าพ่ายแพ้ วิธีของพวกเจ้าจะไม่เกินกว่านี้รึไง?”
ใบหน้าของทั้งสามคนกระตุกก่อนที่จะหายใจเข้าลึกๆ “ประมุขมู่ เจ้าทรงพลังมากก็จริง แต่เจ้าก็น่าจะรู้ว่าพวกข้าไม่ใช่คนตัดสินใจที่นี่ เบื้องหลังพวกข้าเป็นขั้วอำนาจชั้นสูงสุดของมหาพันภพ…”
คำพูดของเขามีการข่มขู่แอบแฝงในที
มู่เฉินทรงพลังก็จริง แต่พวกเขามีจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนอยู่ข้างหลัง เมื่อไรที่จอมยุทธ์เหล่านั้นเคลื่อนไหว ต่อให้มู่เฉินมีปีศาจเหล่านั้นก็ต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย!
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าก็แค่หุ่นกระบอกเท่านั้น” มู่เฉินพูดเบาๆ ก่อนจะว่าต่อ “ไม่งั้นพวกเจ้าคิดว่าข้าทำไมต้องเสียแรงมาพูดด้วย? แค่จัดการให้สิ้นซากและครอบครองจักรวรรดิเหนือทั้งหมดก็จบ”
ถ้าไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากท้าทายขั้วอำนาจเบื้องหลังถึงที่สุด เขาจะเหลือดินแดนครึ่งหนึ่งไว้ให้กับพวกเขาทำไม?
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ใบหน้าของทั้งสามก็ซีดและเขียวสลับกันก่อนที่จะกัดฟัน “ดูเหมือนตำหนักมู่จะสามารถเผชิญหน้ากับขั้วอำนาจสูงสุดทั้งสามได้ พวกเราพลาดไปเอง”
แม้ว่าพวกเขาจะพูดแบบนี้ แต่คำพูดเยาะเย้ยในคำพูดก็ชัดเจน
เห็นได้ชัดที่พวกเขาคิดว่ามู่เฉินเพียงแค่ปากแข็งเท่านั้น เพราะขั้วอำนาจสูงสุดในมหาพันภพต่างมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนในมือ ความแข็งแกร่งของพวกเขาไม่ใช่สิ่งที่จะแข่งขันได้
มู่เฉินยิ้ม “พวกเจ้าแต่ละคนมีกลุ่มสนุบสนุนอยู่เบื้องหลัง แล้วคิดว่าข้าไม่มีรึไง?”
เจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองหดตาลง จากนั้นก็เค้นเสียงเย็น พวกเขาเคยตรวจสอบภูมิหลังของตำหนักมู่แล้ว ซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีขั้วอำนาจสูงสุดสนับสนุนอยู่ด้านหลัง มิฉะนั้นพวกเขาคงไม่กล้าที่จะยั่วยุตรงๆ แบบนี้หรอก
เมื่อเห็นท่าทางทั้งสาม มู่เฉินก็ยิ้มก่อนที่จะโบกแขนเสื้อ แสงสีทองพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
เมื่อแสงสลายป้ายสีทองก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับตัวอักษรสลักว่า ‘ป้ายสังหารปีศาจ’ ภายใต้คำนี้มีอักษรสีแดงเข้มกระแทกตาพร้อมกับกลิ่นอายครอบงำในสายตา
ราชันสังหารปีศาจ
ทั้งสามคนพุ่งความสนใจไปทันที เมื่อเห็นตัวอักษรสีแดงเข้มคำว่าราชันสังหารปีศาจ พวกเขาก็สั่นสะท้าน หนังหัวชาหนึบไปหมด
ในที่สุดพวกเขาก็รู้ถึงขุมกำลังที่ยืนอยู่ข้างหลังมู่เฉิน…
ขั้วอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดในมหาพันภพ—วังมหาพันภพ!
บทที่ 1368 เจ้าเหนือหัวคนใหม่
“วังมหาพันภพ?!”
ใบหน้าของเจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองเต็มไปด้วยความตกตะลึง พวกเขารู้ที่มาของป้ายนั้นดี
ยิ่งไปกว่านั้นยังรู้ว่าวังมหาพันภพเป็นตัวแทนของอะไร
วังมหาพันภพเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจสูงสุดที่ทรงพลังที่สุดในมหาพันภพ ในสมัยโบราณพวกเขาคือตัวแทนของมหาพันภพที่เข้าโรมรันกับจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ
แม้ว่าในปัจจุบันจะไม่ค่อยมีใครได้ยินข่าวของพวกเขา แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะหายไป พวกเขาหมอบต่ำราวกับอสูรร้ายในมุมมืดของมหาพันภพ…
ทว่าไม่มีใครสงสัยรากฐานนี้ แม้แต่ห้าเผ่าโบราณยังเกรงกลัวเมื่อเผชิญหน้ากับวังมหาพันภพ
แม้ว่าพวกเขาจะมีขั้วอำนาจอยู่เบื้องหลัง แต่ก็ไม่มีอะไรเทียบได้กับวังมหาพันภพ… ไม่แปลกใจเลยที่มู่เฉินไม่ได้วางกลุ่มสนับสนุนพวกเขาอยู่ในสายตา ด้วยวังยิ่งใหญ่สนับสนุนเขาก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องเขาหรอก
ทว่าวังมหาพันภพมักจะเก็บงำประกาย ไม่ค่อยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในมหาพันภพ แต่ทำไมมู่เฉินถึงมีป้ายของวังยิ่งใหญ่นั้นได้?
ที่สำคัญที่สุดยังเป็นป้ายราชันสังหารปีศาจอีกด้วย!
มีข่าวลือว่ามีราชันสังหารปีศาจมีเพียงหนึ่งเดียวและป้ายสำคัญก็ไม่เคยทิ้งไว้ให้ใคร แล้วมู่เฉินไปเอาป้ายราชันสังหารปีศาจมาจากไหน?
เจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองแลกเปลี่ยนสายตากัน พวกเขามองเห็นความงุนงงในดวงตากันและกัน
“พวกข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าจะมีราชันสังหารปีศาจคนใหม่แห่งวังมหาพันภพ” สายตาของเจ้าเมฆาม่วงวูบไหวขณะที่พูด
มู่เฉินตอบสบายอารมณ์ว่า “ตอนนี้ก็รู้แล้วนี่?”
ขณะที่พูดเขาก็ยิ้มมองไปที่ทั้งสาม “สงสัยว่าเป็นของปลอมเหรอ? งั้นไปรายงานพวกที่อยู่เบื้องหลังพวกเจ้าเลยสิ”
เมื่อเห็นว่ามู่เฉินไม่มีความกลัว หัวใจทั้งสามก็สั่นสะท้านแล้วดิ่งลง มู่เฉินน่าจะรู้ผลของการแสร้งทำเป็นราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพ หากเขาถูกตรวจสอบโดยวังมหาพันภพ จากนี้ไปเขาจะไม่มีช่วงเวลาที่ดีอีกเลย
ทว่าเขาก็ยังกล้าที่จะนำออกมา นั่นหมายความว่าเขาจะต้องไม่กลัวการสอบสวนของวังมหาพันภพ…
หรือว่าเจ้าหนุ่มนี่คือราชันสังหารปีศาจคนที่สองของวังมหาพันภพ? หากเป็นเช่นนั้นพวกเขาก็ได้แต่กลืนความเสียใจลงไปย่อยในท้องได้เท่านั้น เนื่องจากขั้วอำนาจที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาไม่กล้าที่จะยั่วยุวังยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน
เพียงแค่คิดใบหน้าของทั้งสามก็น่าเกลียดราวกับกินแมลงวันเข้าไป
มู่เฉินยิ้มเมื่อเห็นทั้งสามคนกล้ำกลืนความแค้น เหตุผลที่เขานำชื่อของวังมหาพันภพออกมาก็ชัดว่าต้องการข่มขู่ขั้วอำนาจที่อยู่เบื้องหลังทั้งสาม ในระดับหนึ่งเขาถือว่าแกล้งข่มขู่แต่ก็ทำโดยชอบธรรม เพราะจากการพูดคุยของเขากับทางวัง เขาไม่ได้มีอำนาจใดๆ ในฐานะราชันสังหารปีศาจแต่เขามีตำแหน่ง
หากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเหล่านั้นต้องการทำอะไรกับเขา พวกเขาก็ต้องคิดเกี่ยวกับวังมหาพันภพสักหน่อย
ขณะที่ทั้งสี่คนกำลังสนทนากัน ผู้คนในที่ราบเป่ยยู่ก็หายจากอาการตกตะลึงและเริ่มรู้ว่าป้ายสีทองนี้เป็นตัวแทนของอะไร
ดังนั้นเมื่อขั้วอำนาจน้อยใหญ่มองไปที่จอมยุทธ์ตำหนักมู่ ดวงตาก็ลุกโชนด้วยความอิจฉา
นั่นคือวังมหาพันภพ! ขั้วอำนาจยอดสุดที่ทรงพลังที่สุดในมหาพันภพ!
ไม่มีใครคิดว่าตำหนักมู่จะมียักษ์ใหญ่แบบนี้ยืนเบื้องหลัง ถ้าพวกเขารู้เรื่องนี้ละก็ ต่อให้เจ้าเมฆาม่วงให้ความกล้า พวกเขาก็ไม่กล้ายั่วยุตำหนักมู่หรอก
นอกจากนี้ด้วยการสนับสนุนที่ทรงพลังเช่นนี้พร้อมกับพรสวรรค์และไม่อาจหยั่งรู้ของประมุขมู่ สามารถจินตนาการได้ถึงอนาคตของตำหนักมู่ได้เลย
จอมยุทธ์ตำหนักมู่อึ้งไปกับสายตาเหล่านั้น เนื่องจากสถานการณ์นี้เกินความคาดหมายเช่นกัน
“ประมุขได้ป้ายราชันสังหารปีศาจจากวังมหาพันภพได้ยังไง?” พวกหลิ่วเทียนเต้าอดไม่ได้ที่จะถามออกมาด้วยความตื่นเต้น
พวกเขารู้ถึงผลของการแสร้งทำเป็นราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพ กลัวว่ามู่เฉินจะปลอมแปลงขึ้นมา หากเป็นเช่นนั้นก็จะดึงดูดปัญหาใหญ่ให้กับที่ตำหนักมู่แน่!
มั่นถัวหลัวส่ายหัว นางไม่รู้เรื่องนี้เช่นกัน
ขณะที่ทุกคนกำลังกระวนกระวาย หลิงซีก็ยิ้มบาง “นี่เป็นความจริงตอนนี้มู่เฉินเป็นราชาสังหารปีศาจคนที่สองของวังมหาพันภพ”
“ซี้ด!”
เมื่อได้ยินคำยืนยันจากหลิงซี หลิ่วเทียนเต้าและคนอื่นๆ ก็สูดอากาศเย็นเข้าปอดพร้อมกับความตื่นเต้นกระจายบนใบหน้า
เนื่องจากพวกเขารู้ดีว่าด้วยภูมิหลังดังกล่าวตำหนักมู่จะเติบโตแบบฉุดไม่อยู่ในอนาคต
ไม่ต้องพูดถึงเกี่ยวกับจักรวรรดิเหนือ แม้แต่ทั้งทวีปเทียนหลัวก็ไม่มีใครกล้าปลุกปั่นตำหนักมู่ของพวกเขา!
ที่ราบเป่ยยู่ตกอยู่ในความโกลาหล ภายใต้สายตาจ้องมองร้อนแรงโดยรอบ มู่เฉินก็มองไปที่เจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทอง ก่อนจะชี้แผนที่บนท้องฟ้า “ตอนนี้มีใครคัดค้านเกี่ยวกับการแบ่งดินแดนหรือไม่”
หลังจากหยุดคิดชั่วครู่เขาก็พูดต่อว่า “แน่นอนว่าถ้ากลุ่มที่อยู่เบื้องหลังพวกเจ้ามีความคิดเห็นใดๆ ก็ให้มาพูดกัน”
ใบหน้าของเจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองกระตุก แต่กลับไร้เสียง ตำหนักมู่ครอบครองพื้นที่ครึ่งหนึ่งของจักรวรรดิเหนือ นี่เป็นการโจมตีอย่างมีนัยสำคัญ แต่พวกเขาจะทำอะไรได้?
มู่เฉินเอาชนะพวกเขาสามคนได้ แม้ว่าขั้วอำนาจที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาจะทรงพลัง แต่จะมีพลังมากกว่าวังมหาพันภพได้หรือ?
พลังแข็งแกร่งที่สุด ไม่ว่าพวกเขาจะรู้สึกฝืนใจมากแค่ไหนก็ทำได้เพียงกัดฟันและทนกลืนลงไป
เมื่อทุกคนเห็นทั้งสามตกอยู่ในความเงียบงัน หัวใจทุกดวงก็สั่นสะท้านเพราะพวกเขารู้ว่าสถานการณ์ในจักรวรรดิเหนือจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงหลังจากวินาทีนี้
สถานการณ์ที่ไม่มีใครกล้าที่จะท้าทายผู้นำทั้งสามสิ้นสุดลง ตำหนักมู่กลายเป็นขั้วอำนาจใหญ่แห่งจักรวรรดิเหนือแท้จริง
เมื่อมู่เฉินเห็นว่าแต่ละคนกล้ำกลืนฝืนทนอย่างไร เขาก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปดินแดนเหล่านั้นจะเป็นของตำหนักมู่ข้า”
ขณะที่พูดเขากวาดสายตาไปยังกลุ่มต่างในที่ราบเป่ยยู่ แต่ละคนก็ลดศีรษะลงไม่กล้ามองไปที่เจ้าเหนือหัวคนใหม่
“ขั้วอำนาจในดินแดนดังกล่าวห้ามเคลื่อนไหว หลังจากที่ตำหนักมู่ของข้าจัดการทุกอย่างเรียบร้อย พวกเจ้าจะถือว่าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของตำหนักมู่”
เสียงของมู่เฉินสะท้อนออกไป ทำให้เกิดความปั่นป่วนอีกระลอก
เจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองใบหน้าไม่น่าดูอีกครั้ง มู่เฉินไม่เพียงแต่จะยึดครองเขตแดน ยังจะลากขั้วอำนาจใต้บัญชาพวกเขาไปด้วย
เทียบกับสีหน้าน่าเกลียดของทั้งสามผู้นำ กลุ่มเหล่านั้นไม่เพียงแต่ไม่ต่อต้าน กลับยังรู้สึกมีความสุขมากเสียอีก
ท้ายที่สุดไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหนก็ยังคงต้องส่งบรรณาการให้กับขั้วอำนาจที่อยู่ภายใต้ เมื่อเทียบกับผู้นำสามคนเก่า ตำหนักมู่มีศักยภาพมากกว่าอย่างชัดเจน ถ้าได้เข้าร่วมก็มีโอกาสยิ่งใหญ่กว่าในอดีต
การมีต้นไม้ใหญ่อยู่ข้างหลังสามารถป้องกันพวกเขาจากความหนาวเย็นได้และการมีวังมหาพันภพย่อมดีกว่าสำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทองคำ!
พวกที่ไม่ได้อยู่ในขอบเขตของตำหนักมู่ก็ตกอยู่ในความเงียบ พากันมองไปที่คนที่เข้าร่วมด้วยความอิจฉา
วิหคสง่างามเกาะอยู่บนต้นไม้ที่ยอดเยี่ยม พวกเขาทั้งหมดหวังว่าจะได้มีที่พึ่งที่ดีขึ้น
มู่เฉินไม่ได้สนใจเกี่ยวกับทั้งสามคนอีกต่อไป เขามองไปรอบๆ คลี่ยิ้ม “งั้นวันนี้จบการประชุมกันดีไหม?”
เขาไม่ใช่ว่าไม่ต้องการจะครอบครองจักรวรรดิเหนือทั้งหมด แต่เขารู้ว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่ดีที่สุด ขอบเขตที่ได้มาครึ่งหนึ่งตำหนักมู่ก็ต้องใช้เวลาพอสมควรในการย่อยแล้ว
นอกจากนี้หากความกระหายของเขามีมากเกินไป อาจทำให้ขั้วอำนาจที่อยู่เบื้องหลังสามคนอดเคลื่อนไหวไม่ได้ เวลานั้นต่อให้มีชื่อวังมหาพันภพ ตำหนักมู่ก็ยังคงอยู่ในตำแหน่งอันตราย
ความโกรธเกรี้ยวของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนไม่ใช่เรื่องที่จะทนได้
ดังนั้นมู่เฉินจึงหยุดเรื่องนี้ให้สิ้นสุดลงชั่วคราว เมื่อไรที่เขาเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนก็ไม่จำเป็นต้องกลัวขั้วอำนาจเหล่านั้น ดินแดนจักรวรรดิเหนือทั้งหมดจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาโดยธรรมชาติ
เมื่อเห็นความเผด็จการของมู่เฉิน เจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองก็กลืนความโกรธลงไปและฝืนยิ้มออกมา “ในเมื่อประมูขมู่ชนะแล้ว ก็ช่วยกำจัดสิ่งเหล่านี้ให้พวกข้าด้วย”
พวกเขายังคงได้รับผลกระทบจากของเหลวสีดำ ความสามารถในการกัดกร่อนที่น่ากลัวทำให้คลื่นหลิงในร่างกายของพวกเขาตกอยู่ในสภาวะสับสนวุ่นวาย เป็นเรื่องยากมากที่จะกำจัดออก
มู่เฉินมองไปที่พวกเขาก็ยิ้ม “ไม่ต้องกังวลสิ่งนี้ไม่ฆ่าพวกเจ้าหรอก ด้วยพลังที่มีสักครึ่งปีก็น่าจะเพียงพอที่จะกำจัดออกไปได้เอง”
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีเจตนาที่จะช่วยเหลือ ถึงยังไงมู่เฉินก็ไม่ชอบทั้งสามคน ถ้าไม่ใช่เพราะเขาระแวงขั้วอำนาจที่อยู่เบื้องหลังทั้งสาม เขาอาจจะฆ่าพวกเขาไปแล้วก็ได้
ดังนั้นแม้ว่าจะฆ่าไม่ได้ เขาก็ไม่ใส่ใจที่จะทรมานคนเหล่านี้สักเล็กน้อย
เมื่อทั้งสามคนเห็นสายตาล้อเลียนของมู่เฉิน พวกเขาก็รู้สึกเดือดดาลในใจ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะหัวร้อน พวกเขาเค้นเสียงออกมาก่อนที่จะหันหลังกลับจากไป
“ไป!”
สามเสียงดังก้องในที่ราบเป่ยยู่ ขณะที่ออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับแบกความพ่ายแพ้ไป
เมื่อขั้วอำนาจที่ยังคงอยู่ภายใต้สามสำนักเห็นสิ่งนี้ พวกเขาก็ทำได้เพียงลดศีรษะลงตามหลังออกไป ทว่าท่าทางของพวกเขาหดหู่ลงหลายส่วนเลยทีเดียว
มู่เฉินยืนอยู่บนท้องฟ้ามองลงไปบนที่ราบเป่ยยู่ นอกเหนือจากสมาชิกตำหนักมู่แล้ว ยังมีกลุ่มต่างๆ ที่อยู่ในดินแดนที่ถูกแบ่งใหม่ ซึ่งในอนาคตจะอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของตำหนักมู่
ตอนนี้แต่ละกลุ่มรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เนื่องจากก่อนหน้านี้มีบางคนเคยพยายามขัดขวางตำหนักมู่ พวกเขากลัวว่ามู่เฉินจะคิดบัญชีแค้นเอา
มู่เฉินกวาดตามองก็รู้ว่าพวกเขารู้สึกไม่สบายใจ ดังนั้นเสียงนุ่มนวลก็สะท้อนออกมา “ข้าจะไม่ไล่บี้เรื่องในอดีต ตราบใดที่พวกเจ้ามีคุณูปการในอนาคตก็จะได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับสมาชิกตำหนักมู่ แน่นอนว่าถ้าใครมีความคิดกบฏ การลงโทษของตำหนักมู่ก็หนักหนาสาหัสเช่นกัน”
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ทุกคนต่างก็ชื่นชมยินดี เสียงความเคารพสะท้อนไปทั่วที่ราบเป่ยยู่
“เราจะปฏิบัติตามคำสั่งของท่านประมุข!”
มองฉากยิ่งใหญ่ตระการนี้ พวกหลิ่วเทียนเต้าก็รู้สึกโล่งใจมาก เนื่องจากพวกเขารู้ว่าหลังจากวันนี้ชื่อของตำหนักมู่จะดังเป็นพลุแตกไปทั่วทวีปเทียนหลัว…
ชื่อของมู่เฉินจะถูกจัดให้อยู่ในอันดับต้นๆ ของทวีปเทียนหลัว…
มั่นถัวหลัวเงยหน้าขึ้นมองร่างเงาอ่อนเยาว์ด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าน้องชาย…ทำสำเร็จจริงๆ…”
บทที่ 1369 ชื่อเสียงของตำหนักมู่
การต่อสู้แย่งชิงอำนาจบนที่ราบเป่ยยู่
จบลงด้วยตำหนักมู่ครอบครองดินแดนเกือบครึ่งหนึ่ง ผลลัพธ์นี้กวาดคลื่นไปทั่วจักรวรรรดิเหนือทั้งหมด
ไม่มีใครมองแง่ดีเกี่ยวกับตำหนักมู่ในตอนแรก เนื่องจากพวกเขาทราบดีว่าผู้นำทั้งสามจะต้องรวมพลังกันหยุดขั้วอำนาจใหม่อย่างที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
ดังนั้นทุกคนจึงรู้สึกว่าความทะเยอทะยานของตำหนักมู่ก็คงเหมือนกับสำนักรุ่นก่อนๆ ที่ถูกลบออกไปภายใต้ความโกรธเกรี้ยวของผู้นำทั้งสาม
ดังนั้นผลลัพธ์บนที่ราบเป่ยยู่ครั้งนี้ทำเอาทุกคนตกตะลึงไป
พวกเขาจินตนาการไม่ออกว่าประมุขตำหนักมู่ที่อายุน้อยจะมีพลังลึกล้ำและไร้เทียมทานเพียงใดถึงได้สามารถต่อกรด้วยตัวเอง ซ้ำยังเอาชนะจอมยุทธ์ทั้งสามที่สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนแล้วได้
ต้องรู้ว่าพลังของประมุขตำหนักมู่เกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเท่านั้น…
ขณะที่ทุกคนตกตะลึง บางคนก็ดวงตาแดงฉานเพราะคิดว่าการกระทำของตำหนักมู่เป็นการแสวงหาความตาย ผู้นำทั้งสามต่างมีขั้วอำนาจสูงสุดหนุนหลังพวกเขา ซึ่งทั้งสามนับว่าเป็นเพียงหุ่นเชิดเท่านั้น
แต่ในไม่ช้าความคิดของพวกเขาก็ดับวูบเมื่อวังมหาพันภพถูกพูดออกมา ไม่มีใครกล้ารู้สึกอิจฉามู่เฉินอีกต่อไป
เนื่องจากพวกเขารู้ว่าวังมหาพันภพเป็นยักษ์ใหญ่ที่แม้แต่ขั้วอำนาจสูงสุดอื่นๆ ก็ต้องยอมถอยออกมาได้
ตอนนี้พวกเขาเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่าตำหนักมู่ไม่ใช่ขั้วอำนาจที่ไม่มีรากฐาน พวกเขาไม่เพียงแต่มีประมุขหนุ่มที่ลึกล้ำและไม่อาจหยั่งรู้ แต่พวกเขายังมีขั้วอำนาจสุดยอดคอยหนุนหลังอีกด้วย
ไม่ว่าในแง่ของขุมกำลังหรือการหนุนหลัง ตำหนักมู่ก็แข็งแกร่งกว่าสามผู้นำหลายขุม!
เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้แบบนี้ ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมแม้แต่สำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทองถึงพ่ายแพ้ยับเยินแม้จะร่วมมือกัน
ขณะนี้ทุกคนในจักรวรรดิเหนือรู้ว่าผู้นำของที่นี่ไม่ใช่ประมุขทั้งสามอีกต่อไป แต่เป็นตำหนักมู่ที่เพิ่งก่อตั้งได้เพียงสองปี…
“จักรวรรดิเหนือกำลังจะเปลี่ยนแปลง”
ขั้วอำนาจน้อยใหญ่ต่างพากันถอนหายใจและเริ่มหาเส้นสายสร้างความสัมพันธ์กับตำหนักมู่
ทุกคนบอกได้ว่าอิทธิพลของตำหนักมู่จะพุ่งทะยานจนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ในฐานะหนึ่งในห้าจักรวรรดิของทวีปเทียนหลัว
การเปลี่ยนแปลงมีนัยสำคัญนี้ โดยธรรมชาติไม่สามารถหลีกเลี่ยงความสนใจของเจ้าเหนือหัวจักรวรรดิอื่นๆ ได้
ทวีปเทียนหลัวเป็นมหาทวีปที่มีพื้นที่และทรัพยากรมากมาย ดังนั้นจึงดึงดูดความสนใจของขั้วอำนาจจำนวนมากในมหาพันภพ ทว่าเนื่องจากคนที่จับจ้องมีมากไปกลับทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะเคลื่อนไหว ดังนั้นจึงมีกฎสร้างขึ้นมา ห้ามไม่ให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเข้ามายุ่งกับการแย่งชิงอำนาจของทวีปเทียนหลัว
แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าเหนือหัวส่วนใหญ่ในจักรวรรดิอื่นๆ ล้วนมีขั้วอำนาจสูงสุดยืนอยู่ข้างหลัง
ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผู้นำจักรวรรดิอื่นๆ จะแอบเฝ้าดูเหตุการณ์ในจักรวรรดิเหนือ พวกเขามีความสุขมากที่ได้เห็นเหตุการณ์จลาจล เนื่องจากพวกเขาอาจได้รับประโยชน์จากมัน
ดังนั้นเมื่อพวกเขาพบรู้ว่าตำหนักมู่เอาชนะสามขั้วอำนาจที่ยืนยงมานานได้ พวกเขาก็มีความคิดที่จะเคลื่อนไหว ทว่าแผนการของพวกเขาก็พังครืนไม่เป็นท่า เมื่อพวกเขาได้รับข้อมูลจากขั้วอำนาจที่อยู่เบื้องหลังว่าห้ามเข้ามายุ่งเกี่ยวกับจักรวรรดิเหนือ
ในข้อความระบุชัดเจนว่าประมุขมู่แท้จริงแล้วคือราชันสังหารปีศาจคนที่สองของวังมหาพันภพ
ข้อมูลนี้คล้ายกับถังน้ำเย็นราดรดใส่ทำให้พวกเขาตกใจไปเลยทีเดียว พวกเขาเคยคาดเดาที่มาของป้ายสังหารปีศาจ แต่ไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินจะเป็นราชันสังหารปีศาจคนที่สองของวังมหาพันภพจริง
เพราะลือกันว่าราชันสังหารปีศาจทุกคนจะมีพลังเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งซึ่งถือเป็นเสาหลักของมหาพันภพ แต่ทำไมตอนนี้ถึงมีราชันขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มโผล่มา?
พวกเขาเคยได้ยินชื่อเสียงของมู่เฉินมาก่อน เนื่องจากชายหนุ่มคนนี้ได้รับความชื่นชมจากเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามเมื่อตอนที่วังสวรรค์บรรพกาลปรากฏ มิหนำซ้ำยังได้รับผลประโยชน์สูงสุดจากวังโบราณมาอีกด้วย
แต่ในเวลานั้นมู่เฉินยังคงไม่มีอะไรน่าสนใจในสายตาของขั้วอำนาจเหล่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขากลัวเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม พวกเขาคงจะเคลื่อนไหวเข้าแก่งแย่งวังสวรรค์บรรพกาลแล้ว
แต่ใครจะคิดว่าชายหนุ่มคนนี้จะขึ้นดำรงตำแหน่งราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพในเวลาเพียงปีเดียว นอกจากนี้เขายังยกระดับไปยังขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มอีกด้วย
แต่ไม่ว่าพวกเขาจะรู้สึกไม่เชื่อมากแค่ไหน พวกเขาก็ต้องยอมรับความจริงอันโหดร้ายนี้ก่อนที่จะตัดสินลงไป บางคนพยายามส่งสารแสดงความยินดีไปยังตำหนักมู่โดยแสดงความปรารถนาดีที่จะสนับสนุนประมุขมู่ในฐานะเจ้าเหนือหัวจักรวรรดิเหนือด้วย
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เหตุการณ์ของจักรวรรดิเหนือก็สะเทือนไปทั่วทวีปเทียนหลัว ทุกคนรู้ว่าตำหนักมู่คือเจ้าเหนือหัวคนใหม่และประมุขหนุ่มของพวกเขาก็คือราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพอีกด้วย…
ภูมิภาคทางเหนือ ตำหนักมู่
มู่เฉินมองไปที่ทูตที่จากไปพร้อมกับสารสีทองในมือ นี่เป็นการแสดงความยินดีอีกครั้งที่มาจากขั้วอำนาจของจักรวรรดิอื่น
“จนถึงตอนนี้มีขั้วอำนาจอย่างน้อยแปดแห่งจากจักรวรรดิอื่นๆ ที่มาแสดงความยินดีกับเรา” มั่นถัวหลัวส่ายหัวไปมาข้างหลังมู่เฉิน
ต้องรู้ว่าความวุ่นวายของจักรวรรดิเหนือเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะใช้ประโยชน์ แต่ตอนนี้คนเหล่านั้นไม่เพียงแต่ไม่ได้ทำอะไรเลย พวกเขายังส่งสารแสดงความยินดีมาอีกด้วย
“ดูเหมือนตำแหน่งของเจ้าในฐานะราชันสังหารปีศาจของวังมหาพันภพจะน่ากลัวจริงๆ” มั่นถัวหลัวยิ้มให้กับมู่เฉิน นางเข้าใจเหตุผลเบื้องหลังการกระทำเหล่านั้นโดยธรรมชาติ
มู่เฉินยิ้มขณะที่ทอดถอนหายใจ ชื่อของวังมหาพันภพมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง แต่น่าเสียดายที่เขาไม่มีอำนาจใดๆ มิฉะนั้นทำไมเขาต้องกลัวเผ่าฝูถูด้วย? แค่บุกเข้าไปช่วยเหลือมารดาก็จบ
“การเก็บเกี่ยวเป็นอย่างไร?” มู่เฉินหันไปมองมั่นถัวหลัว การเพิ่มขึ้นของดินแดนที่ครอบครองครึ่งหนึ่งของจักรวรรดิเหนือโดยมีขั้วอำนาจจำนวนมาก ซึ่งทั้งหมดจะอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขา
“ราบรื่นดี” มั่นถัวหลัวพยักหน้า หลังจากที่มู่เฉินแสดงพลังและการสนับสนุนเป็นที่ประจักษ์ ก็ไม่มีใครในจักรวรรดิเหนือกล้าไม่พอใจ ดังนั้นการรวมตัวกันจึงค่อนข้างราบรื่น มิหนำซ้ำยังมีกลุ่มบางส่วนหวังที่จะเข้ามาอยู่ภายใต้การคุ้มครองของตำหนักมู่ด้วย
มู่เฉินพยักหน้ายืดเอว “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ที่เหลือให้พวกเจ้าจัดการก็แล้วกัน”
เมื่อได้ยินคำพูดนั่น มั่นถัวหลัวก็กลอกตาทันที “นี่คิดจะโบ้ยงานอีกแล้วเหรอ”
“ข้าหาดินแดนให้พวกเจ้าแล้ว ก็ต้องปล่อยให้พวกเจ้าจัดการสิ!” มู่เฉินพูดก่อนที่จะหัวเราะเบาๆ “ข้าได้รับความเข้าใจขั้นสองของวิชาสามพิสุทธิ์ ดังนั้นก็ต้องเข้าสมาธิศึกษาสักหน่อย”
มั่นถัวหลัวส่งเสียงขึ้นจมูก แต่ก็ไม่บ่นอะไรต่อ เนื่องจากนางรู้ชัดเจนว่าหากตำหนักมู่ต้องการเติบโตก็จะต้องมีเสาหลักเพื่อรองรับไว้
ตอนนี้มู่เฉินแซงหน้านางไปแล้ว ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของเขาที่จะเป็นเสาหลักนั้น
เขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นถังปิงเดินเข้ามา เขารีบตบไหล่มั่นถัวหลัว “ฝากด้วยนะ”
พูดจบเขาก็วาบหายไปทันที
เมื่อมั่นถัวหลัวเห็นว่าเขาวิ่งเร็วแค่ไหน นางก็อดส่ายหัวไม่ได้ก่อนจะมองไปที่ถังปิงที่กำลังจะเดินเข้ามา พูดอย่างเปรี้ยวใจว่า “มีอะไรก็บอกข้าเลย เจ้านั่นหนีไปอีกแล้ว”
เมื่อถังปิงได้ยินคำพูดเหล่านั้น นางก็มองไปยังจุดที่มู่เฉินหายตัวไปด้วยความผิดหวัง ก่อนที่จะพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
ทะเลสาบสวรรค์ทอดตัวยาวภายในวังโบราณ
ปลดปล่อยคลื่นหลิงออกมาอย่างไร้ขอบเขตทั่วทั้งบริเวณ
ในส่วนลึกมู่เฉินนั่งลงเตรียมตัวทำความเข้าใจกับวิชาสามพิสุทธิ์ขั้นสอง
ด้วยการรับรู้ เขาสัมผัสถึงขั้นสองของวิชาสามพิสุทธิ์แล้ว เขาต้องการเพียงโอกาสให้ก้าวไปสู่พัฒนาการ
“ในที่สุดข้าก็เข้าสมาธิได้สักที”
มู่เฉินพึมพำ เขาอยู่ที่ตำหนักมู่มาระยะหนึ่งเพื่อรักษาเสถียรภาพของสิ่งต่างๆ ดังนั้นเขาจึงละในแง่ของการเพาะบ่มไป ตอนนี้ทุกอย่างจัดการเรียบร้อย เขาจึงมีเวลาว่างสักที
พอพูดจบเขาก็ค่อยๆ หลับตาลง
ในขณะที่มู่เฉินเข้าสมาธิ
เขาไม่รู้เลยว่ามีร่างเงาร่างหนึ่งพุ่งมายังทิศทางของทวีปเทียนหลัวอย่างรีบร้อน
ภาพเงานั้นดูงดงามแฝงความเย็นชา นี่ก็คือชิงซวงซึ่งมู่เฉินเคยพบมาก่อนในแดนเซิ่งยวน
ยามนี้ชิงซวงมีสีหน้าหนักหน่วง นางมองแผนที่ในมือที่บอกจุดทวีปเทียนหลัวพลางกำหมัดแน่น
“มู่เฉิน ท่านน้าจิ้งมีปัญหาเข้าแล้ว!”
บทที่ 1370 เส้นทางเทียนจื้อจุน
การเข้าสมาธิครั้งนี้อยู่ไม่นานอย่างที่เขาคาดหวัง
เพราะในวันที่สิบเขาก็ได้รับข่าวสารเร่งด่วน ทำให้ต้องออกจากสมาธิทันที
มู่เฉินลืมตาขึ้นในส่วนลึกของทะเลสาบสวรรค์ โดยที่มีแสงสีม่วงกะพริบอยู่ที่เบื้องหน้า นี่คือกลีบดอกไม้ที่กระเพื่อมไหวอยู่ตลอดเวลา ทำให้มิติถึงกับแปรปรวนไปด้วย
ดวงตาของมู่เฉินหดลงมองไปที่กลีบดอกไม้สีม่วง นี่เป็นข้อความจากมั่นถัวหลัว โดยปกตินางจะไม่รบกวนเขาเมื่อเข้าสมาธิ… ยกเว้นแต่จะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นที่นางไม่สามารถจัดการได้
“หรือว่าขั้วอำนาจสูงสุดที่อยู่เบื้องหลังสามสำนักนั่นเคลื่อนไหว?”
สีหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด หากขั้วอำนาจเหล่านั้นไม่ได้ถูกข่มขู่โดยวังมหาพันภพและเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้าน คงจะเป็นเรื่องลำบากสักเล็กน้อย บางทีเขาอาจต้องใช้ความช่วยเหลือจากเทพจักรพรรดิสงคราม
“ปัญหามากจริง ตราบใดที่ข้ายังไม่บรรลุระดับเทียนจื้อจุน”
มู่เฉินขมวดคิ้ว หากเขาต้องการปกครองอย่างไม่เกรงกลัวภายในมหาพันภพนี้ เขาก็ต้องเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนให้จงได้
ขณะที่ถอนหายใจมู่เฉินก็ยื่นมือออกไปจับกลีบดอกไม้แล้วหายตัวออกไป
ในโถงตำหนักมู่
เมื่อภาพเงาของมู่เฉินปรากฏขึ้นก็มองไปที่มั่นถัวหลัว ตอนนี้แม้แต่หลิงซีและหลงเซี่ยงก็อยู่ที่นี่ เขาจึงอดถามไม่ได้ “เกิดอะไรขึ้น?”
มั่นถัวหลัวโล่งใจเมื่อเห็นเขา นางชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง “มีคนมาหาเจ้าน่ะ บอกว่าต้องพบตัวเจ้าให้ได้”
ขณะที่พูดนางก็กวาดสายตาไปที่มู่เฉินก่อนที่จะหยอกล้อ “นี่เป็นเรื่องอื้อฉาวตอนท่องยุทธภพรึเปล่า?”
มู่เฉินกลอกตาก่อนแล้วมองตามไปก็ต้องตะลึง หญิงสาวชุดขาวราวกับหิมะยืนอยู่ที่นั่นราวกับมีภูเขาน้ำแข็งตั้งไว้
“ชิงซวง?”
มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเมื่อเห็นนาง เขาไม่คิดว่าคนที่มาเขาที่ตำหนักมู่จะเป็นนาง
เมื่อมองเห็นมู่เฉิน ซิงชวงก็โล่งใจก่อนที่นางจะกัดฟันพูด “มู่เฉิน ท่านน้าจิ้งมีปัญหาเข้าแล้ว!”
พอได้ยินเสียงของนาง ใบหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนไปรุนแรง เขาวาบไปตรงหน้าชิงซวงจับข้อมือนางไว้ “ท่านแม่เป็นอะไรไป?!”
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตระเบิดออกจากร่างกายเขา ทำให้มิติสั่นสะเทือน ชัดว่าอารมณ์ของเขาผันผวนรุนแรง
ชิงซวงมองไปที่มู่เฉินก่อนที่นางจะถอนหายใจ “ตอนที่ผู้อาวุโสเฮยกวางและมั่วหยิงกลับไปที่เผ่า พวกเขารายงานผู้อาวุโสใหญ่ว่าเจ้าได้รับวิชาเจดีย์แปดองค์ไป”
“จากนั้นก็มีการประชุมในสภา ด้วยมีความต้องการที่จะส่งผู้คุ้มกฎมาจับตัวเจ้านำกลับไปที่เผ่าเพื่อยึดวิชาเจดีย์แปดองค์”
สายตาของมู่เฉินเย็นเยือกลง ไอ้หมาแก่สองตัวนี่ตามหลอกหลอนไม่เลิกจริงๆ เขาไม่คิดมาก่อนว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมแพ้เรื่องนี้
“ตระกูลมั่วและเฉวียนมีตำแหน่งมากที่สุดในสภา แม้ตระกูลชิงจะพยายามคัดค้านก็ไร้ประโยชน์ แต่เมื่อคำสั่งดังกล่าวกำลังจะประกาศ…”
พูดถึงตรงนี้ ชิงซวงก็ยิ้มขมขื่น “ทันใดนั้นน้าจิ้งก็ปรากฏตัวในสภาผู้อาวุโส”
ใบหน้าของมู่เฉินมืดครึ้มลงเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“หลังจากน้าจิ้งรู้ว่าเฮยกวางและมั่วหยิงต่อสู้กับเจ้า นางก็พุ่งใส่อย่างโกรธเกรี้ยว ทำให้ทั้งสองได้รับบาดเจ็บหนัก หลังจากนั้นนางก็อาละวาดจนที่ประชุมโกลาหลไปหมด…” ชิงซวงยิ้มขมขื่น สามารถจินตนาการได้ว่าฉากนั้นเป็นแบบไหน
ผู้อาวุโสส่วนใหญ่รวมตัวกันในที่ประชุม แต่ถึงอย่างนั้นผู้อาวุโสเหล่านั้นก็ไม่มีเวลาดีนักที่จะเผชิญหน้ากับชิงเหยี่ยนจิ้ง
มู่เฉินหายใจเข้าลึกสุดปอดถามว่า “เกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น?”
เขารู้ดีว่าถ้าแค่นี้ชิงซวงคงไม่วิ่งมาถึงที่นี่เพื่อแจ้งข่าวเขา
ชิงซวงถอนหายใจ “สถานการณ์บานปลาย ผู้อาวุโสใหญ่ถึงกับออกโรงเอง หลังจากต่อสู้กับน้าจิ้ง ผู้อาวุโสใหญ่ก็ไม่ได้เป็นฝ่ายเหนือกว่า เขาจึงนำตราประทับเจดีย์โบราณออกมาและใช้เจดีย์บรรพบุรุษกักขังน้าจิ้งไว้”
เมื่อมู่เฉินได้ยินความโกรธก็พรั่งพรูออกมาจากดวงตาขณะที่ถามด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ “เจดีย์บรรพบุรุษคืออะไร?”
“อาวุธมหสวรรค์ล้ำค่าของเผ่าฝูถู เจดีย์ที่พวกเราฝึกฝนก็มีต้นกำเนิดจากที่นั่น”
ชิงซวงกล่าวต่อ “แต่เจดีย์บรรพบุรุษแทบไม่ได้ใช้ แต่ถ้ามีการใช้งานแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ยังหวาดกลัว น้าจิ้งถูกขังอยู่ในนั้น ข้ากลัวว่านางจะไม่มีช่วงเวลาที่ดีเหมือนแต่ก่อนแล้ว”
ในอดีตชิงเหยี่ยนจิ้งถูกคุมขังในเผ่า แต่นางก็สามารถไปไหนมาไหนได้ตามที่ต้องการด้วยพลังที่มี แต่ตอนนี้นางถูกคุมขังอยู่ในเจดีย์บรรพบุรุษ แม้ว่าจะไม่เป็นภัยคุกคามใดๆ ต่อชีวิต แต่นางก็ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน
มู่เฉินกำหมัดแน่น ร่างกายสั่นสะท้านไปหมด ใครก็บอกได้เลยว่าอารมณ์ของเขาคล้ายกับภูเขาไฟที่กำลังจะปะทุ
“มู่เฉินใจเย็นๆ!”
หลิงซีเดินเข้ามาจับมือเขาไว้
“ไอ้สารเลวพวกนั้น!” มู่เฉินเงยหน้าขึ้นพร้อมกับดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานจากไอสังหาร มารดาของเขาอยู่ที่เผ่าฝูถูอย่างโดดเดี่ยว แต่ก็ยังวางเขาเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของนาง เมื่อสิ่งสำคัญถูกละเมิดนางก็สติหลุดโดยลืมคิดผลที่ตามมา
แค่คิดถึงเรื่องนี้มู่เฉินก็รู้สึกผิดมหันต์ในฐานะบุตรชาย!
“มู่เฉินอย่าเพิ่งผลีผลาม! แม้ว่าน้าจิ้งจะถูกกักขังอยู่ในเจดีย์บรรพบุรุษ แต่ด้วยพลังของนางจะไม่เป็นไรแน่นอน นอกจากนี้แม้แต่ผู้อาวุโสใหญ่ก็ไม่กล้าบังคับน้าจิ้ง เพราะถ้าหลิงเจิ้นต้าจงซือที่เทียบได้กับจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งจะสู้โดยไม่สนใจผลตามหลัง แม้แต่เผ่าฝูถูก็ต้องจ่ายราคาแพงระยับ”
“ซึ่งราคานั้นไม่ใช่สิ่งที่ทางเผ่าจะรับทนได้!”
ชิงซวงพูดรัวเร็วจากนั้นก็เอ่ยต่อว่า “เหตุผลที่น้าจิ้งทำเช่นนี้เพื่อเป็นการเตือนเหล่าผู้อาวุโส อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนคนใดในเผ่ากล้าที่จะเคลื่อนไหวมาจัดการเจ้าอีกต่อไป”
ทว่าเมื่อพูดจบนางก็เห็นมู่เฉินจ้องมองมาอย่างเย็นชาขณะพูดว่า “งั้นข้าต้องคารวะขอบคุณพวกเขารึไง?”
ชิงซวงยิ้มอย่างขมขื่น “ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่เจ้าต้องรู้ว่าน้าจิ้งทำทั้งหมดนี้เพื่อปกป้องเจ้า”
สายตาของมู่เฉินยังคงมืดครึ้ม พักใหญ่ร่างกายที่สั่นเทิ้มก็สงบลง เขารู้ดีว่าแม้ว่าตอนนี้จะโกรธ แต่ก็ไม่มีอะไรที่สามารถทำได้ ถึงเขาจะบุกตะลุยเข้าไปที่เผ่าฝูถู
เนื่องจากตอนนี้เขายังอ่อนแอเกินกว่าที่จะทำให้คนเหล่านั้นหลาดกลัว
จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มยืนหนึ่งในที่อื่นๆ ได้ แต่ตราบใดที่ไม่ใช่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน เขาก็จะไม่สามารถต่อกรกับขั้วอำนาจสูงสุดระดับเผ่าฝูถูได้
มู่เฉินมองไปที่ชิงซวงอย่างเย็นชา “แล้วตระกูลชิงก็เฝ้าดูแม่ของข้าอยู่โดดเดี่ยวอย่างนั้นเรอะ?”
ชิงซวงกัดริมฝีปาก “ตระกูลชิงอ่อนกำลังกว่าตระกูลเฉวียนและมั่ว นอกจากนี้…ประมุขปัจจุบันของตระกูลชิงยังเป็นพวกสงวนท่าที ดังนั้นเขาจึงได้แต่ถอยห่างออกมาภายใต้แรงกดดันจากตระกูลอื่นๆ”
“ขี้ขลาดอะไรอย่างนี้ เขายังคิดไม่ออกถึงตรรกะการพึ่งพาซึ่งกันและกัน” มู่เฉินหัวเราะเยาะ แม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นประมุขตระกูลชิง แต่คนที่รู้วิธียอมเอาแต่หนีก็ไม่ต่างอะไรขยะเปียก
ชิงซวงยิ้มฝืดเฝื่อน “ข้ามาที่นี่เพื่อเตือนเจ้าว่า แม้น้าจิ้งจะสร้างความปั่นป่วนมากมาย จนผู้อาวุโสในเผ่าไม่กล้าทำอะไรเจ้าตอนนี้ แต่พวกเขามีเครือข่ายยอดเยี่ยม รู้จักกับจอมยุทธ์คนอื่นๆ แม้ว่าพวกเขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีใครมาจัดการกับเจ้าได้”
มู่เฉินหรี่ตาลงพร้อมกับแสงเย็นเยือกวูบไหวภายใน ความรู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อยที่ตำหนักมู่สามารถครอบครองจักรวรรดิเหนือได้แตกเป็นเสี่ยงๆ แล้ว
ถึงแม้เขาจะมีช่วงเวลาที่ดีในจักรวรรดิเหนือ แต่เขาก็ยังต้องให้มารดาปกป้องเขาจากเผ่าคร่ำครึ มากจนนางต้องเสี่ยงและขัดขวางอันตรายสำหรับเขาทั้งหมดด้วยซ้ำ
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเขาแข็งแกร่งไม่พอ!
จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มยังอ่อนแอเกินไป ถ้าเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ไม่มีอะไรที่ต้องกลัวเผ่าโบราณล้านปีนั่น
ถึงเวลานั้นมารดาก็ไม่ต้องถูกคุมขังเพื่อปกป้องเขาอีกต่อไป
“ขอบใจ” มู่เฉินหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับอารมณ์ก่อนที่สายตาจะสงบลงขณะที่มองไปที่ชิงซวง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องขอบคุณชิงซวงที่อุตส่าห์เดินทางไกลมาส่งข่าวนี้ให้
ชิงซวงส่ายหน้าตอบอย่างรู้สึกผิดว่า “พวกเราเป็นคนที่ไม่สามารถช่วยเจ้าได้”
ทั้งๆ ที่มู่เฉินเป็นหนึ่งในสายเลือดชิง แต่พวกนางกลับทำอะไรไม่ได้เลย
มู่เฉินโบกมือเงียบๆ จากนั้นก็หันไปหาทุกคนพูดว่า “ข้าจะออกจากที่ตำหนักมู่ชั่วคราว จะทิ้งป้ายราชันสังหารปีศาจไว้ให้ หากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนคนอื่นคิดพยายามสร้างปัญหาที่นี่ ด้วยป้ายนี้ต่อให้ไม่พบข้า พวกเขาก็ไม่กล้าหาเรื่องตำหนักมู่มากนัก”
“แล้วเจ้าล่ะ?” มั่นถัวหลัวและหลิงซีถามพร้อมกัน
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองขอบฟ้าไร้ขอบเขต ดวงตาสีดำเด็ดเดี่ยวมั่นคงขณะที่กำหมัดแน่น
“ถึงเวลาที่ข้าจะไปตามหาเส้นทางสู่เทียนจื้อจุนแล้ว…”
บทที่ 1371 โอกาสของจอมยุทธ์มังกรขาว
บนภูเขาโดดเดี่ยวที่ขอบชายแดนจักรวรรดิเหนือ
มู่เฉินยืนอยู่บนยอดเขากวาดมองอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นของตำหนักมู่ในขณะนี้ ภายใต้การควบคุมของพวกเขาดินแดนเหล่านั้นจะค่อยๆ ฟื้นคืนความรุ่งเรือง
หลังจากมองมานานเขาก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองไปที่ขอบฟ้าพร้อมกับเม้มปาก
หลังจากที่เขาบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม เขาก็หย่อนยานการฝึกฝนลงเล็กน้อย ตอนแรกเขาคิดว่ามีเวลาเพียงพอ แต่หลังจากที่ชิงซวงมาหา เขาก็ตระหนักว่าช่วงเวลาพักผ่อนทุกครั้งของเขาหมายความว่ามารดาจะต้องทนทุกข์ทรมานนานขึ้นในเจดีย์บรรพบุรุษ
ดังนั้นความไม่เร่งร้อนในหัวใจของเขาจึงแตกสลายหมดสิ้นในเวลานี้ เขารู้ดีว่าตัวเองจะต้องบรรลุระดับเทียนจื้อจุนหากต้องการให้มารดาหลุดพ้นจากการคุมขังของเผ่าฝูถู
“ท่านพ่อ ข้าเคยสัญญากับท่านตอนที่ออกจากมณฑลเป่ยหลิง…”
มู่เฉินกำหมัดแน่น นับเวลาเขาออกจากบ้านมาหลายปีแล้ว ไม่ใช่ว่าเขาไม่ต้องการกลับ แต่เขายังไม่สามารถทำตามสัญญาที่เคยทำไว้ในอดีตได้สำเร็จ
บางทีบิดาก็กำลังรอคอยการกลับไปของเขาอยู่
แม้ว่าที่นั่นจะไม่น่าตื่นเต้นและหลากหลายเท่ากับมหาพันภพ แต่ก็เป็นที่ที่เขาคิดถึงอยู่ตลอดเวลา
อารมณ์ของเขาราวกับเมฆกลิ้งบนท้องฟ้า จากนั้นพักใหญ่เขาก็ค่อยๆ สงบใจคืนสู่ความสงบ
“เส้นทางเทียนจื้อจุน…”
เขาพึมพำ แม้ว่าเขาต้องการที่จะเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนในตอนนี้ แต่เขาก็เข้าใจว่าสิ่งนี้ยากแค่ไหน
มีอัจฉริยะนับไม่ถ้วนในมหาพันภพ แม้ว่ามู่เฉินจะได้รับการพิจารณาให้เป็นหนึ่งในจอมยุทธ์รุ่นใหม่ชั้นยอดที่สามารถเข้าถึงระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มตั้งแต่อายุเท่านี้ แต่เขาก็ไม่ใช่คนเดียวที่ทำได้
ในประวัติศาสตร์ของมหาพันโลกมีผู้คนมากมายเป็นแบบเขา แต่มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนได้สำเร็จ
อัจฉริยะหลายคนติดอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มตลอดชีวิต ได้แต่เฝ้ามองระดับที่พวกเขาไม่สามารถเข้าถึงได้แม้จะอยู่ใกล้แค่เอื้อมและลาจากโลกไปด้วยความเสียใจ…
ช่องว่างระหว่างระดับตี้จื้อจุนและเทียนจื้อจุนก็เหมือนกับสวรรค์และโลก
แม้ว่ามู่เฉินจะอยู่ในระยะปลายสุดของระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่เขาก็เป็นแค่มดต่อหน้าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน…
ดังนั้นเขาจึงรู้ชัดแจ้งว่าเส้นทางเทียนจื้อจุนยากเย็นเพียงใด ไม้กระดานที่คนนับล้านพยายามเดินต่อไป แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ประสบความสำเร็จ
เผชิญหน้ากับเส้นทางนี้แม้แต่คนที่มั่นใจอย่างมู่เฉินก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ
ฮา…
มู่เฉินหายใจเข้าลึกๆ ลบความไม่สบายใจในใจลง เขารู้ว่าไม่มีเส้นทางอื่นที่เขาเลือกเดินได้ หากเขาต้องการช่วยมารดาจากเงื้อมมือของเผ่าฝูถู การพูดคุยอย่างสันติใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่เงื่อนไขคือเขาต้องมีหมัดที่หนักพอก่อน
ดังนั้นเส้นทางเทียนจื้อจุนเป็นสิ่งที่เขาต้องท้าทายเองไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
หลังจากสงบใจแล้วท่าทางของมู่เฉินก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม แสงสีขาวกะพริบวูบไหวบนฝ่ามือ อึดใจก็บีบอัดกลายเป็นลูกทรงกลมขนาดเท่ากำปั้น
ไข่มุกสีขาวมีหมอกหลิงอยู่ภายใน ดูเหมือนว่าจะมีมังกรสีขาวขดตัวอยู่
“ไข่มุกมังกรขาว…”
มู่เฉินมองไปที่ไข่มุกก็รำพึง นี่เป็นสิ่งที่จอมยุทธ์มังกรขาวทิ้งไว้ให้เขาตอนที่อยู่ในทวีปเป่ยชาง ในเวลานั้นมู่เฉินได้รู้ว่าจอมยุทธ์มังกรขาวมีต้นกำเนิดมาจากพิภพเขตล่างซึ่งเป็นมิติที่ถูกรุกรานโดยจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ จอมยุทธ์มังกรขาวเป็นผู้รอดชีวิตมาได้
เมื่อมู่เฉินได้รับสิ่งนี้มาก็ได้รู้ความลับจากจอมยุทธ์มังกรขาว นอกจากนี้ตอนสุดท้ายจอมยุทธ์มังกรขาวก็บอกว่าถ้าวันหนึ่งสามารถช่วยขับไล่ปีศาจและพาเขากลับบ้านได้ เขาจะมอบโอกาสที่เหลือเชื่อให้แก่มู่เฉิน
ย้อนกลับไปตอนนั้นจอมยุทธ์มังกรขาวเป็นใครบางคนที่อยู่ในขุมพลังจื้อจุนที่เขาไม่สามารถเข้าถึงได้ แต่ในปัจจุบันเขาไปไกลเกินกว่าจอมยุทธ์มังกรขาวในเวลานั้นแล้ว…
แต่มู่เฉินมีความรู้สึกว่าโอกาสนี้อาจจะช่วยเขาให้ได้รับความช่วยเหลืออย่างมากในเส้นทางเทียนจื้อจุน
มู่เฉินเทคลื่นหลิงเข้าไปในไข่มุก แต่ก็ไม่มีการตอบสนองใดๆ แม้ว่าเขาจะรู้สึกคลุมเครือว่ามีผนึกวิญญาณอยู่ในไข่มุก แต่ก็อาจจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ได้หากเขาใช้พลังมากเกินไป
“ดูเหมือนว่าข้าต้องไปพิภพเขตล่างเท่านั้นถึงจะเรียกจอมยุทธ์มังกรขาวออกมาได้…”
มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง หลังจากนั้นเขาก็หลับตาลงรับรู้ถึงทุกอณูของร่างกาย ย้อนกลับไปตอนนั้นจอมยุทธ์มังกรขาวได้ทิ้งอักขระไว้กับเขาและบอกว่าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมอักขระนี้จะเปิดใช้งานเองและระบุตำแหน่งของพิภพเขตล่างนั่น…
ประสาทสัมผัสของมู่เฉินกระจายไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย แม้แต่เลือดเนื้อก็ไม่ละเลย
กระบวนการนี้ใช้เวลาหนึ่งก้านธูป ก่อนที่เขาจะลืมตาโพลงคลื่นหลิงพุ่งทะยานสูงขึ้น เขาเลื่อนสายตาไปมองหลังมือซ้าย
มีแสงสีขาวละเอียดอ่อนปรากฏในเนื้อ ค่อยๆ รวมตัวจากเลือดเนื้อ ก่อร่างเป็นลวดลายมังกรสีขาวขนาดเท่าหัวแม่มือ
อักขระแสงมังกรขาวบิดตัวแต่ไม่มีการเคลื่อนไหวต่อ ไม่ต้องพูดถึงการชี้ทิศทางเลย ดูราวกับมันกำลังรออะไรบางอย่าง
มู่เฉินหรี่ตาพลางเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยเสียงต่ำ “จะทดสอบพลังของข้าเรอะ…?”
ตอนนั้นจอมยุทธ์มังกรขาวบอกว่าเมื่อพลังของเขามาถึงระดับหนึ่งอักขระนี้ก็จะนำทางให้เขาเอง มิฉะนั้นต่อให้ชี้ทางให้ไปยังพิภพเขตล่างก็เป็นการรนหาที่ตายเท่านั้น
ตู้ม!
ดังนั้นมู่เฉินจึงกระทืบเท้าเบาๆ เจดีย์ผลึกแก้วปรากฏขึ้นในดวงตา คลื่นหลิงในร่างกายพุ่งสูงขึ้นและเทลงในเจดีย์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ช่วงเวลาต่อมาพลังงานตกผลึกก็ไหลเวียนในร่างกายของมู่เฉินอย่างไม่รู้จบ
แรงกดดันทรงพลังแผ่กระจายระหว่างสวรรค์และโลก
เสร็จสิ้นกระบวนการนี้ มู่เฉินก็สร้างตราประทับด้วยมือเดียว แสงสีม่วงทองควบแน่นอยู่ข้างหลังเปล่งรัศมี
“พอรึยัง?”
หลังจากดึงพลังทั้งหมดออกมา มู่เฉินก็มองไปที่อักขระมังกรขาวที่หลังมือ หากยังไม่สามารถเรียกได้อีก เขาคงต้องหาวิธีอื่นเพื่อเส้นทางเทียนจื้อจุนของตนเอง แต่นั่นจะทำให้เขาเสียเวลามากขึ้น
ภายใต้สายตาของมู่เฉิน มังกรขาวก็ยังคงเงียบอยู่สองสามอึดใจก่อนที่ขยายตัวพร้อมกับเสียงคำรามน่าพอใจดังก้อง
หัวมังกรขาวหันไปราวกับเข็มทิศชี้ไปในทิศทางหนึ่ง
“ทางนั้นเรอะ?”
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นด้วยความยินดี มันชี้ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ของมหาพันภพ แต่ไม่รู้ว่าตำแหน่งที่แน่นอนของพิภพเขตล่างว่าอยู่ที่ไหน
แต่ไม่ว่าจะไกลแค่ไหนอย่างน้อยตอนนี้ก็มีทางให้ไป ต่อจากนี้เขาก็แค่เดินทางมุ่งหน้าไปก็พอ
มู่เฉินสงบความยินดีในหัวใจ ก้มศีรษะลงมองดินแดนของตำหนักมู่ บางทีตอนนี้ที่กองบัญชาการใหญ่ของตำหนักมู่ มั่นถัวหลัว หลิงซีและคนอื่นๆ ก็คงกำลังมองมาที่เขา…
“ครั้งหน้าที่ข้ากลับมา ข้าจะพาตำหนักมู่ขึ้นปกครองทวีปเทียนหลัว…”
มู่เฉินพึมพำในทิศทางของตำหนักมู่ราวกับว่าเขากำลังให้คำมั่นสัญญากับพรรคพวก จากนั้นเขาก็ไม่ลังเลสะบัดแขนเสื้อ ร่างเทพสุริยะนิรันดร์หายไป ตัวเขาก็กลายเป็นริ้วแสงทะยานไปในทิศตะวันตกเฉียงใต้
ห้องโถงตำหนักมู่
มั่นถัวหลัวและหลิงซีก็สัมผัสได้ถึงบางอย่างพลางเงยหน้าขึ้นมองไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ พักใหญ่กว่าที่พวกนางจะถอนสายตากลับ จากนั้นก็แลกสายตายิ้มให้กันและกัน
พวกนางเชื่อมั่นว่าเมื่อมู่เฉินกลับมายังตำหนักมู่อีกครั้งทั่วทั้งทวีปเทียนหลัวก็จะสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นแน่นอน
บทที่ 1372 จุดตัดมิติ
พายุมิติเป็นครั้งคราวสร้างความหายนะในพื้นที่ไม่มีที่สิ้นสุด
ดาวหางข้ามผ่านไปในบางครั้งพร้อมกับเสียงดังก้องระหว่างฟ้าดิน
ฟิ้ว!
ทันใดนั้นลำแสงสายหนึ่งก็พุ่งผ่าน ร่างที่ดูเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางมองไปรอบๆ ราวกับว่าเขากำลังมองหาอะไรบางอย่าง
“พิภพเขตล่างที่จอมยุทธ์มังกรขาวจากมาน่าจะอยู่ในทิศทางนี้” ร่างชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองขณะที่ก้มมองลงไปที่หลังมือเป็นครั้งคราว ลวดลายมังกรสีขาวเปล่งแสงสีขาวออกมา
นี่ก็คือมู่เฉินนั่นเอง
นับตั้งแต่ที่เขาออกจากจักรวรรดิเหนือ เขาก็เดินทางมาสามเดือนแล้ว เขาไม่ได้หยุดพักมุ่งหน้ามาทางตะวันตกเฉียงใต้ของมหาพันภพอย่างต่อเนื่อง
ระหว่างทางคงมีแต่เทพเซียนเท่านั้นที่รู้ว่าเขาผ่านมากี่ทวีปแล้ว ภายใต้การเดินทางบ้าคลั่ง เขาก็ใช้เวลาสามเดือนกว่าที่จะได้เข้ามาในเขตตะวันตกเฉียงใต้ของมหาพันภพ
ตามการนำของอักขระมังกรขาว พิภพเขตล่างของจอมยุทธ์มังกรขาวน่าจะอยู่ในบริเวณนี้
ทว่านี่ก็ยังคงเป็นการค้นหาที่ยากลำบากสำหรับเขา เพราะแม้ว่ามหาพันภพจะเชื่อมต่อกับพิภพเขตล่างนับไม่ถ้วน แต่ก็ต้องพบจุดตัดมิติเพื่อจะเข้าไปได้
ซึ่งหน้าจุดตัดมิตินั้นมีขนาดเล็กราวกับฝุ่นละอองยากที่จะตรวจจับได้ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาจุดตัดนั่น
ทว่าอารมณ์ของมู่เฉินก็สงบลงระหว่างการเดินทางสามเดือนนี้ ในเมื่อตัดสินใจที่จะค้นหาเส้นทางเทียนจื้อจุน เขาก็เพียงทำสุดกำลัง
ดังนั้นเขาจึงมองไปรอบๆ ก่อนที่จะหลับตาลง คลื่นหลิงไร้ขอบเขตระเบิดออกมาจากร่างกาย พลังงานนี้คล้ายกับระลอกคลื่นกระจายไปทั่วช่องว่าง
ประสาทสัมผัสของมู่เฉินก็แผ่ออกไปพร้อมกับคลื่นหลิงเพื่อค้นหาทุกๆ ตารางนิ้ว
เขารู้ว่านี่จะเป็นกระบวนการยาวนาน แต่เขาก็ไม่ได้กังวล ราวกับการเดินทอดหุ่ยไปในโลกทีละก้าว…ละก้าว
ดังนั้นเวลาก็เคลื่อนคล้อยไปภายใต้การค้นหาของเขา
โดยไม่รู้ตัวหนึ่งเดือนก็ผ่านไปแล้ว…
มู่เฉินไม่รู้ว่าการค้นหาไปไกลแค่ไหน เขารู้เพียงว่าทุกการค้นหาจะจบลงด้วยพลังงานที่หมดไป จากนั้นเขาก็จะนั่งสมาธิเพื่อฟื้นฟูและเริ่มการค้นหาต่อ
กระบวนการนี้ดำเนินไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า…
แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับผลอะไรในเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ยังคงขยายขอบเขตการค้นหาต่อไป
ดังนั้นอีกหนึ่งเดือนก็ผ่านไป
มู่เฉินลืมตาขึ้นด้วยความเหนื่อยล้าปกคลุมใบหน้า แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มแบบเขาก็ไม่สามารถแบกรับความเหนื่อยล้าเช่นนี้ได้
เขาเงยหน้าขึ้น คลื่นหลิงของเขาแพร่กระจายไปเกือบร้อยลี้ ทว่าก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ชัดว่าเขาล้มเหลวอีกครั้ง
“คลื่นหลิงจะหมดลงอีกแล้ว” มู่เฉินขมวดคิ้วด้วยความผิดหวังในดวงตา ในเวลาสองเดือนที่ผ่านมาถ้าเขาไม่แน่วแน่พอ เขาคงยอมแพ้เรื่องนี้ไปนานแล้ว
“เป็นไปได้ไหมที่การนำทางมีปัญหา? หรือว่าพิภพเขตล่างนั้นถูกทำลายไปแล้ว?” มู่เฉินมองไปที่อักขระมังกรขาวก็เม้มริมฝีปาก หากเป็นเช่นนั้นการทำงานหนักตลอดครึ่งปีที่ผ่านมาของเขาก็จะสูญเปล่า
“ไม่ว่ายังไงข้าจะยอมแพ้กลางคันไม่ได้!”
มู่เฉินกัดฟัน เขายังคงตั้งมั่นในความคิดก่อนที่จะค่อยๆ ดึงคลื่นหลิงที่อ่อนแอกลับมาทีละน้อย เตรียมพร้อมที่จะพักผ่อนก่อนที่จะดำเนินการค้นหาต่อไป
“หืม?”
แต่ขณะที่มู่เฉินถอนการรับรู้ จู่ๆ ท่าทางของเขาก็แข็งค้าง เพราะในวินาทีนั้นเขารู้สึกได้ถึงความผันผวนแปลกประหลาดจากทางตะวันตก
ความผันผวนนั้นบอบบางมาก ถ้าไม่ใช่เพราะประสาทสัมผัสของมู่เฉินอ่อนไหวในขณะนี้ เขาคงมองข้ามไปแล้ว
ดังนั้นเขาจึงเคลื่อนตัวหายไป ไม่กี่ลมหายใจก็ไปปรากฏตัวขึ้นในพื้นที่ที่เกิดความผันผวน
สายตาเขาจับจ้องที่เบื้องหน้า คลื่นหลิงก็แผ่กระจายออกไปทีละชุ่น…ละชุ่นเพื่อควานหามิติ
คลื่นพลังแผ่ออกไปอย่างระมัดระวัง พักใหญ่ม่านตามู่เฉินก็หดเกร็ง ก่อนที่มือของเขาจะสร้างตราประทับขึ้น คลื่นหลิงรวมตัวกันไปที่บริเวณนั้น
ฮึ่ม ฮึ่ม!
คลื่นหลิงกลายเป็นวงรัศมีพร้อมกับสายตาของมู่เฉินจับจ้องไปในจุดนั้น เห็นแสงสีดำที่คล้ายกับฝุ่นละอองปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ
นั่นคือที่มาของความผันผวนที่แปลกประหลาด
มู่เฉินมองไปที่แสงสีดำด้วยความสุขบนใบหน้า นั่นคือจุดตัดมิติที่เขาค้นหามาตลอดสองเดือน
ตราบเท่าที่เขาสามารถโยงจุดตัดมิติได้ เขาก็จะสามารถเข้าสู่พิภพเขตล่างของจอมยุทธ์มังกรขาวได้
“ในที่สุดข้าก็พบแล้ว”
มู่เฉินรู้สึกโล่งใจมาก แต่เขาไม่ได้เปิดมิติในทันที เขานั่งลงโบกแขนเสื้อ ของเหลวจื้อจุนจำนวนมากพวยพุ่งออกมา เขาฟื้นพลังงานตัวเองอย่างรวดเร็ว
แม้ที่นั่นจะเป็นพิภพเขตล่าง แต่ก็ถูกครอบครองโดยเผ่าปีศาจต่างมิติ ดังนั้นหากเขาต้องการที่จะเข้าไป เขาจะต้องอยู่ในสภาพพร้อมรบ
ขณะที่เขากำลังฟื้นฟูคลื่นพลัง เขาก็ยังคงตื่นตัวและมองไปรอบๆ เผื่อมีคนมา
สำหรับมหาพันภพ พิภพเขตล่างเป็นสถานที่ที่ไม่เหมือนใครและอาจเป็นโชคชะตาที่ดี ยิ่งไปกว่านั้นพิภพเขตล่างอ่อนแอกว่ามหาพันภพ ดังนั้นถ้าสามารถเข้าสู่พิภพเขตล่างก็จะรู้สึกถึงความอยู่ยงคงกระพันตามธรรมชาติ
แต่โชคดีที่ผู้ที่อยู่ในมหาพันภพจะเข้าสู่พิภพเขตล่างได้ยาก แม้ว่าพวกเขาจะหาจุดตัดมิติได้ นั่นเป็นเพราะกฎของพิภพเขตล่าง ใครก็ตามที่ต้องการเข้าไปจะต้องมีการนำจากพิภพเขตล่างด้วย
ก็เหมือนกับที่มู่เฉินครอบครองไข่มุกมังกรขาวที่มีผนึกของจอมยุทธ์มังกรขาวอยู่ ซึ่งสามารถใช้เป็นกุญแจสำหรับเขาในการหลีกเลี่ยงกฎของพิภพเขตล่างที่จะปะทะเข้ามา
โดยธรรมชาติแล้วไม่มีอะไรแน่นอน มีผู้คนพยายามแอบเข้าไปในพิภพเขตล่างเสมอ ดังนั้นมู่เฉินจึงไม่ต้องการให้คนอื่นค้นพบจุดตัดมิติที่เขาค้นหาอย่างยากลำบาก เพราะกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น
ขณะที่มู่เฉินยังคงตื่นระวังประมาณสองชั่วโมงคลื่นหลิงที่อ่อนล้าของเขาก็ค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้น ทำให้สายตาของเขาสั่นไหวด้วยพลังงานเต็มเปี่ยมอีกครั้ง
เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังงานที่ฟื้นคืนในร่างกาย มู่เฉินก็รู้สึกโล่งใจก่อนที่จะลุกขึ้นยืนมองไปที่จุดตัดมิติ
คราวนี้เขาไม่ลังเล นิ้วชี้ออกไป คลื่นหลิงไร้ขอบเขตส่งเสียงหวีดหวิวพุ่งเข้าโจมตีจุดตัดมิติ
ฮึ่ม ฮึ่ม!
จุดตัดมิตินี้คล้ายกับหลุมดำ กลืนกินพลังงานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ภายใต้การกลืนกินมู่เฉินก็เห็นจุดฝุ่นค่อยๆ ขยายกว้างขึ้น…
หลายนาทีต่อมาจุดฝุ่นก็กลายเป็นหลุมดำขนาดหนึ่งจั้ง กระจายความผันผวนเชิงพื้นที่ออกไป
มู่เฉินมองไปที่หลุมดำก็เหวี่ยงหมัดออก แต่ก็มีอาการดีดกลับ ทำให้กำปั้นรู้สึกเจ็บร้าวไปหมด
“เป็นเรื่องยากสำหรับคนในมหาพันภพที่จะเข้าสู่พิภพเขตล่างจริงๆ”
มู่เฉินถอนหายใจก่อนที่จะเรียกไข่มุกมังกรขาว เขาเทพลังงานลงในไข่มุก แสงสีขาวจางๆ ก็ห่อหุ้มร่างมู่เฉินไว้
เมื่อเห็นสิ่งนี้ มู่เฉินก็หายใจเข้าลึก ท่าทางเคร่งขรึมลงหลายส่วน เขาเงียบไปพักหนึ่งก่อนที่จะกัดฟันก้าวเข้าไปในหลุมดำโดยไม่ลังเล
“หวังว่าข้าจะพบเส้นทางเทียนจื้อจุนที่นั่น…”
แสงสีขาวทะลุผ่านหลุมดำ ครั้งนี้มู่เฉินไม่รู้สึกถึงการขัดขวางอีกต่อไป เขาเคลื่อนเข้าไปได้อย่างง่ายดาย
เมื่อภาพเงาของมู่เฉินหายไป หลุมดำก็สั่นเบาๆ ก่อนที่จะหดตัวลงกลับเป็นจุดฝุ่น ซ่อนตัวในอากาศ…
พื้นที่นี้กลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น