หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1361-1366
บทที่ 1361 ปะทะเจ้าสำนักเมฆาม่วง
“แกพร้อมที่จะตายหรือยัง?”
เสียงเจ้าสำนักเมฆาม่วงดังราบเรียบระหว่างสวรรค์และโลก ถ้าเป็นคนอื่นพูดประโยคดังกล่าว คงมีผู้คนหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็งแล้ว แต่ตอนนี้กลับไม่มีใครกล้าหัวเราะออกมา
นั่นเป็นเพราะในจักรวรรดิเหนือ นอกเหนือจากผู้นำอีกสอง คนที่เหลือก็ได้แต่รอความตายประทานจากเจ้าสำนักเมฆาม่วงเท่านั้น
แต่…ตอนนี้อาจมีบุคคลที่สามเพิ่มเข้ามา
ภายใต้สายตานับไม่ถ้วน มู่เฉินไม่ได้ให้ความสนใจกับเจ้าสำนักเมฆาม่วง เขาหันไปมองเจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าไม่คิดจะเข้ามาพร้อมกันเหรอ?”
เขารับรู้ความอยากฆ่าที่ทั้งสองมีต่อเขาโดยธรรมชาติ แต่ที่น่าแปลกคือเขากลับไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวอะไร แต่ยังยั่วโมโหฝ่ายตรงข้ามอีกด้วย
บนที่ราบเป่ยยู่ใบหน้าของทุกคนกระตุก ตกลงมู่เฉินคนนี้มั่นใจจริงหรือบ้าบิ่นกันแน่? เขาไม่เพียงท้าทายเจ้าสำนักเมฆาม่วง แต่ยังคิดจะลากเจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองเข้ามาในการต่อสู้ด้วย?
พวกเขาเชื่อว่าหากผู้นำทั้งสามเคลื่อนไหวพร้อมกันละก็ งานนี้มู่เฉินตายคาที่แน่
เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองก็หรี่ตาลงกับการกระทำของมู่เฉินพร้อมกับแสงเย็นรวมเข้ามาในส่วนลึกของดวงตา พวกเขาจ้องไปที่มู่เฉินราวกับว่าต้องการมองอีกฝ่ายให้ทะลุ
พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมมู่เฉินถึงได้จองหองขนาดนี้
เผชิญหน้ากับสายตาของพวกเขา มู่เฉินก็ยิ้มออกมาโดยไม่มีความกลัวใดๆ ในดวงตา มีเพียงไฟการต่อสู้ลุกโชน
เมื่อมองไปที่เขา ดวงตาของเจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองก็กะพริบ สถานการณ์เช่นนี้มู่เฉินยังสามารถสงบสติอารมณ์ได้ แสดงว่าถ้าเขาไม่ใช่คนบ้าบิ่นก็ต้องมีไพ่ตายอยู่ในเขนเสื้อ
ในฐานะผู้นำจักรวรรดิเหนือ พวกเขาระมัดระวังโดยธรรมชาติ ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นอย่างหลังแน่นอน
เจ้าภูเขาเหลยยิงยิ้ม “ตอนนี้เจ้าเป็นเหยื่อของเจ้าสำนักเมฆาม่วง ไม่ดีมั้งที่พวกข้าจะเข้าไปยุ่ง”
ไม่ว่ามู่เฉินจะบ้าหรือมีความสามารถจริงๆ เจ้าสำนักเมฆาม่วงจะเป็นคนผู้ทดสอบ ขณะที่พวกเขาจะประเมินความสามารถของมู่เฉินด้วยสายตา
ตอนนี้พวกเขายังไม่ชัดเจนเกี่ยวกับวิธีการของฝ่ายตรงข้าม ถ้าเคลื่อนไหวอย่างไม่ระมัดระวังและมู่เฉินมีวิธีมัดรวมฆ่าพวกเขาทั้งหมดด้วยกัน นี่ก็เท่ากับติดร่างแหไปด้วยกัน
ตอนนี้พวกเขาสามารถรอดูอย่างใจเย็น เมื่อตรวจสอบกลยุทธ์ของมู่เฉินเสร็จสรรพ พวกเขาจะบอกให้มู่เฉินรู้ว่าราคาสำหรับการทำตัวเหมือนคนโง่ต่อหน้าพวกเขาแพงขนาดไหน
มู่เฉินไม่ได้ขยับ แต่มองไปที่ทั้งสองแล้วยิ้ม “ช่างน่าเสียดาย”
เจ้าสำนักเมฆาม่วงหลุบตาลงเอ่ยอย่างนิ่งสงบ “แกกำลังจะตาย ทำไมถึงต้องเสแสร้ง?”
มู่เฉินยิ้ม “ถ้างั้นก็ให้ข้าได้สัมผัสด้วยตัวเองว่าจอมยุทธ์ที่แตะระดับเทียนจื้อจุนมีอำนาจมากแค่ไหน”
เมื่อเขาพูดจบเจดีย์พุทธะก็เผยขึ้นในดวงตา คลื่นหลิงในร่างกายเขากวาดเข้าไปในเจดีย์เปลี่ยนรูปและขยายขนาดก่อนที่จะกลับคืนสู่ร่าง
ตู้ม!
ผลึกแสงระเบิดออกมาจากร่างกาย ทำให้เสื้อคลุมโบกสะบัด ระดับคลื่นพลังพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่อึดใจความผันผวนของคลื่นหลิงที่ระเบิดจากร่างมู่เฉินก็เกินกว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มระยะปลายสุดธรรมดาแล้ว
ทั้งบริเวณโกลาหล มู่เฉินเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเท่านั้น แต่คลื่นหลิงที่เล็ดลอดออกมาจากร่างกายทรงพลังยิ่งกว่าระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มระยะปลายสุดอีก
นอกจากนี้ผลึกคลื่นหลิงของเขาก็ไม่ธรรมดา
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตเปล่งประกายอยู่ภายในร่างกาย มู่เฉินค่อยๆ กำมือแล้วเหวี่ยงหมัดออกไป
ปัง!
หมัดผลึกขนาดใหญ่พุ่งออก พลังที่บรรจุอยู่ภายในทำให้มิติระเบิด ราวกับดาวหางเมื่อยิงไปหาเจ้าสำนักเมฆาม่วง
เผชิญหน้ากับหมัดดุร้ายของมู่เฉิน เจ้าสำนักเมฆาม่วงกลับหัวเราะเยาะ ก่อนที่จะกอดอกปล่อยให้การโจมตีของมู่เฉินซัดมาโดยไม่มีการป้องกันใดๆ
ตู้ม!
เมื่อหมัดกระแทกเข้ากับร่างเจ้าสำนักเมฆาม่วง มิติก็สั่นสะท้านเหมือนกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
กำปั้นจางลง ทุกคนก็หดตาเนื่องจากเห็นว่าเจ้าสำนักเมฆาม่วงไม่แม้แต่ขยับจากจุดที่ยืน
กำปั้นของมู่เฉินราวกับไม่สามารถขยับเขาได้
มู่เฉินซึ่งอยู่ยงคงกระพันในที่สุดก็ถูกหยุดลง
“เหมือนมดกัดเลย” เจ้าตำหนักเมฆสีม่วงยิ้มเย็น
เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองก็ดวงตาวูบไหว ‘หรือว่าเจ้านี่ขี้โม้เรอะ? เขาไม่สามารถแม้แต่จะเขย่าการป้องกันของเจ้าสำนักเมฆาม่วงได้เลย
ภายใต้สายตาผู้คน มู่เฉินก็มองไปที่เจ้าสำนักเมฆาม่วงด้วยความตกใจเล็กน้อยก่อนที่จะยิ้ม “สมกับเป็นจอมยุทธ์ที่ได้สัมผัสกับความลึกซึ้งของระดับเทียนจื้อจุนแท้จริง”
ว่ากันว่าระดับเทียนจื้อจุนสามารถรวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกับสวรรค์และโลกเพื่อสร้างการป้องกันที่ทรงพลังรอบตัว ฟ้าดินจะช่วยกระจายพลังส่วนใหญ่ในการโจมตีของฝ่ายตรงข้าม
นั่นคือความหมายที่นิยามว่า ‘เป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน’
เมื่อสักครู่เจ้าสำนักเมฆาม่วงกระจายการโจมตีของมู่เฉินไปยังสวรรค์และโลกอย่างชัดเจน มีเพียงบางส่วนของการโจมตีเท่านั้นที่เจาะเข้าไป ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะทนต่อการโจมตีนั้นได้
มู่เฉินไม่เคยมีประสบการณ์ในการต่อสู้กับจอมยุทธ์ที่ได้สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนมาก่อน ดังนั้นเขาจึงต้องการตรวจสอบให้แน่ชัด
“ถือว่ามีสายตาดี แต่น่าเสียดายที่สายเกินไป” ใบหน้าของเจ้าสำนักเมฆาม่วงมืดครึ้มด้วยจิตสังหารรวมอยู่ในดวงตา
มู่เฉินส่ายหัวพลางยิ้ม “ค่อยโม้หลังจากแกสามารถเป็นหนึ่งเดียวกับสวรรค์และโลกได้อย่างแท้จริงเมื่อก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนก่อนเถอะ ตอนนี้…แกน่ะของปลอมไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่ตัวเองคิดหรอก”
“ไอ้โง่บ้าบิ่น ตอนนี้แกยังกล้าพูดหยิ่งผยองอยู่อีกเรอะ!” เจ้าสำนักเมฆาม่วงกล่าวเสียงน่าขนลุก
ทว่ามู่เฉินไม่ได้สนใจกลับวาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว แสงสีม่วงทองระเบิดออกมา ก่อตัวเป็นเงาขนาดใหญ่
นี่ก็คือร่างเทพสุริยะนิรันดร์!
ฮึ่ม ฮึ่ม!
ลวดลายสีม่วงทองนับไม่ถ้วนปรากฏบนร่างเทพสุริยะนิรันดร์ จากนั้นก็ราวกับมังกรที่แยกตัวออกจากร่างมหึมา ขดตัวอยู่รอบร่างเขา
“รหัสเทพอมตะ ธนูทองคำอมตะ!”
มู่เฉินยื่นมือออกและลวดลายนับร้อยก็ส่งเสียงหวีดหวิวแล้วรวมตัวในฝ่ามือของเขา ก่อนที่จะสร้างคันธนูสีทองขนาดใหญ่
มือจับคันธนู สายตาไม่แยแสก็มองไปที่เจ้าสำนักเมฆาม่วงขณะขึ้นสาย แสงสีม่วงทองควบแน่นบนคันธนู ก่อนที่ลูกศรสีทองจะก่อตัวโดยมีลวดลายที่ลึกซึ้งปกคลุมไว้
เวลาเดียวกันเสื้อคลุมของมู่เฉินก็กระพือขึ้นลง ของเหลวสีทองลอยออกมาห่อหุ้มลูกศรสีทอง
ของเหลวสีทองแข็งตัวทันทีและแสงสีทองบนลูกศรก็หรี่ลง ไม่ได้มีความสุกสกราวอีกต่อไป มิหนำซ้ำยังดูธรรมดาลงมาก
นี่ก็คือของเหลววัชระทำลายวิญญาณที่มู่เฉินแลกมาด้วยคะแนนสังหารปีศาจ
หัวลูกศรชี้ไปที่เจ้าสำนักเมฆาม่วง มู่เฉินก็คลี่ยิ้ม “คราวนี้แกลองยืนรับดูอีกทีสิ?”
ฮึ่ม!
เขาปล่อยลูกธนู รังสีสีทองจางๆ พุ่งออกมา
สายตานับไม่ถ้วนก็มองตามไป
ทันทีที่รังสีสีทองเข้ามาหา เจ้าสำนักเมฆาม่วงก็หดดวงตา เขาสัมผัสได้ถึงความคมชัดที่อธิบายไม่ได้พุ่งมาในทิศทางของตนเอง ซึ่งทำให้ผิวของเขาเจ็บแปลบเลยทีเดียว
ความตกใจหวาดกลัวปรากฏขึ้นในหัวใจของเขา พลังของลูกธนูน่ากลัวมาก ไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถรับมือได้ด้วยการเป็นหนึ่งกับฟ้าดินในตอนนี้
“เจ้าบ้านี่มีความสามารถจริงๆ”
ใบหน้าของเจ้าสำนักเมฆาม่วงเข้มขึ้น เขามองแสงสีทองสะท้อนในดวงตาก็ไม่กล้าที่จะช้า หายใจเข้าลึกกระทืบเท้า แสงสีม่วงก็กระจายออกมา ภาพเงาสีม่วงมหึมาก่อตัวขึ้นข้างหลัง
นี่ก็คือร่างเทห์สวรรค์ที่เขาฝึกฝนนั่นเอง
“ดัชนีจักรพรรดิคว้าดาว!”
เจ้าสำนักเมฆาม่วงตะโกน ขณะที่ตราประทับเปลี่ยนแปลงวูบไหว นิ้วทั้งสองของเขายื่นออกไปในอากาศ
ร่างเงาสีม่วงก็ยื่นสองนิ้วที่ห่อหุ้มด้วยแสงเปล่งปลั่งสีม่วงออกมา ก่อตัวเป็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวสีม่วง ราวกับว่ามันพยายามดึงดวงดาวด้วยปลายนิ้ว
กระบวนท่านี้ของเจ้าสำนักเมฆาม่วงทำให้เกิดความปั่นป่วนขึ้นในทันที ทุกคนรู้ดีว่านี่เป็นหนึ่งในกระบวนท่าไม้ตาย ซึ่งเขาเอาออกมาใช้ตั้งแต่ตอนนี้
เห็นได้ชัดว่าการโจมตีจากมู่เฉินทำให้เจ้าสำนักเมฆาม่วงรู้สึกถึงการคุกคามแล้ว
ฟิ้ว!
ภายใต้ความสนใจ รังสีสีทองบางจางก็พาดผ่านขอบฟ้าปะทะกับดัชนีสีม่วงในไม่กี่อึดใจต่อมา ทุกคนเพ่งสายตาไปที่จุดประสานงานั่น…
บทที่ 1362 การคุกคามของลูกศรสีทอง
ฮึ่ม!
เสียงของธนูแหวกอากาศสะท้อนระหว่างสวรรค์และโลก ขณะที่รังสีสีทองบางจางทะยานข้ามขอบฟ้าปะทะกับดัชนีสีม่วง
แกร็ก!
ในช่วงเวลาแห่งการปะทะกันนั้น มิติก็แตกเป็นเสี่ยงๆ เศษมิตินับไม่ถ้วนปลิวว่อนออกไปทิ้งรอยไว้ในอากาศรัศมีหมื่นลี้
สายตานับไม่ถ้วนจ้องไปที่การปะทะกันระหว่างจอมยุทธ์ทั้งสอง พวกเขาบอกได้เลยว่ากระบวนท่านี้ของทั้งมู่เฉินและเจ้าสำนักเมฆาม่วงคั้นพลังทั้งหมดออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจจะยับยั้งใดๆ
ดังนั้นการเผชิญหน้าครั้งนี้สามารถบอกได้ถึงพลังของทั้งสอง
ตู้ม ตู้ม!
ดัชนีสีม่วงเปล่งประกาย มวลลมสีม่วงรุนแรงก็มาพร้อมกับความปั่นป่วนใหญ่ ขณะที่รังสีแสงสีทองยังคงดูเบาบางมาก แต่มันก็ไม่ได้ขยับในการเผชิญหน้าครั้งนี้
ภาพเงาของเจ้าสำนักเมฆาม่วงลอยอยู่บนท้องฟ้า เขามองไปที่รังสีสีทองจางด้วยสีหน้ามืดมน เนื่องจากเขาสัมผัสได้ว่าไออันตรายจากรังสีสีทองไม่ได้อ่อนลงเลย
“ไอ้เด็กนี่พิลึกจริงๆ!”
เจ้าสำนักเมฆาม่วงพึมพำกับตัวเอง ขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มของมู่เฉินเหนือคาดมาก ความแข็งแกร่งนี้สามารถต่อกรกับจอมยุทธ์ที่สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนได้เลย
ดวงตาเจ้าสำนักเมฆาม่วงกะพริบตาก่อนที่จะสูดหายใจเข้าลึกจากนั้นก็วาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว
ตู้ม!
รัศมีสีม่วงรวมตัวกันที่ดัชนีสีม่วง ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวสีม่วงก็ขยายออก เมื่อมองจากระยะไกลก็ราวกับท้องฟ้าเสมือนจริง โดยมีดาวสีม่วงโคจรอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเปล่งพลังที่น่าอัศจรรย์ออกมา
เมื่อพลังของดัชนีสีม่วงเพิ่มขึ้น ในที่สุดรังสีสีทองก็เริ่มแสดงสัญญาณของการถูกกด
ใบหน้าของหลิวเทียนเต้าและผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ ของตำหนักมู่ก็เปลี่ยนไปเมื่อเห็นฉากนี้ หมัดของพวกเขากำแน่น หัวใจโลดไปที่คอหอย พวกเขารู้ความหมายเบื้องหลังการเผชิญหน้าครั้งนี้ หากมู่เฉินทำสำเร็จนั่นจะพิสูจน์ได้ว่าเขาสามารถต่อกรกับจอมยุทธ์อย่างเจ้าสำนักเมฆาม่วงได้
แต่ถ้าเขาล้มเหลวเจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองจะไม่ลังเลที่จะกลุ้มรุมมู่เฉินและตำหนักมู่ของพวกเขาอย่างแน่นอน
ภายใต้สายตาตกประหม่า ดวงตาของมู่เฉินจับจ้องไปที่พายุสีม่วงที่ค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้น พลังที่เล็ดลอดออกมาถึงจุดสูงสุดที่น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง
เผชิญกับระดับการโจมตีนี้ถ้าเขายังอยู่ในขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายจะต้องพ่ายแพ้แน่นอน
แต่น่าเสียดาย…ที่เขามีพัฒนาการอย่างแข็งแกร่ง
เขายกนิ้วขึ้นเคาะเบาๆ ไปที่รังสีสีทองพร้อมกับเสียงเปล่งออกมาจากริมฝีปากเบาๆ “แตก!”
ตู้ม!
เมื่อเสียงดังก้อง รังสีสีทองดูเหมือนแพ้การต่อต้านก็ส่องแสงราวกับดวงอาทิตย์สีทองลุกโชติช่วงขึ้น
ความเฉียบคมที่น่าทึ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับว่าสามารถแทงทะลุฟ้าดินได้
ฮึ่ม ฮึ่ม!
ลูกศรสีทองสั่นสะเทือนรุนแรงพร้อมกับลวดลายโบราณปรากฏบนตัวลูกศร ขณะที่ลวดลายบิดเกลียวไปปรากฏที่ปลาย
ชี่!
เมื่อลูกศรสีทองสั่นไหว ผู้คนนับไม่ถ้วนก็ได้ยินเสียงแผ่วเบา ก่อนที่จะเห็นรังสีสีทองแทงทะลุดัชนีสีม่วงทันที
แม้แต่พายุที่น่ากลัวก็ไม่สามารถขัดขวางลูกศรได้
โห่
ความโกลาหลระเบิดระหว่างฟ้าดิน
“อะไรน่ะ?!” ใบหน้าของเจ้าสำนักเมฆาม่วงเปลี่ยนไปรุนแรง เขาไม่เคยคิดว่าการโจมตีของมู่เฉินจะทรงพลังขึ้นในพริบตา
ฟิ้ว!
รังสีเจาะผ่านมิติ ก็พุ่งเข้าใส่เจ้าสำนักเมฆาม่วงภายในเวลาไม่กี่อึดใจ
เมื่อมองดูรังสีสีทอง ใบหน้าของเจ้าสำนักเมฆาม่วงก็กลายเป็นเคร่งเครียด ไออันตรายหนาแน่นที่พุ่งเข้ามาทำให้ขนของเขาลุกชันเลยทีเดียว
ดังนั้นเขาจึงเปล่งเสียงคำรามลั่น ร่างสีม่วงที่อยู่ข้างหลังก็ปล่อยหมัดออกมา หมัดสีม่วงปกคลุมดวงอาทิตย์
ส่วนตัวเขาก็ถือโอกาสนี้รีบถอยออกมา
ปัง!
ลูกศรสีทองและหมัดสีม่วงปะทะกัน แต่การปะทะกันที่ทรงพลังก็ยังไม่สามารถปิดกั้นลูกศรสีทองได้
มากจนอึดใจต่อมาหมัดสีม่วงแตกเป็นเสี่ยงๆ เลยด้วยซ้ำ
ร่างเงายักษ์สีม่วงถอยกลับ แขนทั้งข้างก็ถูกทำลาย แต่หลังจากนั้นพลังงานจากลูกศรสีทองก็หมดลงแล้วแตกสลายไป
ของเหลวสีทองไหลลงจากนั้นบินกลับไปที่มู่เฉิน
“สมกับเป็นวัตถุดิบที่สำคัญสำหรับอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง” ดวงตาของมู่เฉินสว่างวาบขณะมองไปที่ของเหลววัชระทำลายวิญญาณ ความได้เปรียบก่อนหน้าของเขาทำได้สำเร็จเพราะสิ่งนี้
ถ้าไม่ใช่เพราะของเหลววัชระ แม้ลูกธนูของมู่เฉินจะทำให้เจ้าสำนักเมฆาม่วงดูน่าอนาถได้ แต่ก็ไม่สามารถทำลายมือของร่างเทห์สวรรค์ของอีกฝ่ายได้
ของเหลวสีทองราวกับว่ามีชีวิตไหลเวียนไปมาในมือของมู่เฉิน เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่เจ้าสำนักเมฆาม่วงก็เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายซีดขาวเล็กน้อย สายตามืดครึ้มมากเลยทีเดียว
“คราวนี้ยังเป็นมดกัดอยู่อีกไหม?” มู่เฉินยิ้มอ่อน ขณะมองไปที่เจ้าสำนักเมฆาม่วง
ใบหน้าของเจ้าสำนักเมฆาม่วงกระตุก แม้ว่าจะกรุ่นโกรธในใจ แต่เขาก็โต้แย้งไม่ได้ เนื่องจากทุกคนเห็นเขาถูกบีบให้เข้าสู่สถานะนี้จากการโจมตีของมู่เฉิน
“ดูเหมือนว่าแกจะไม่ยอมสินะ” มู่เฉินมองไปที่เจ้าสำนักเมฆาม่วงด้วยรอยยิ้มบาง ก่อนที่เขาจะวาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว รหัสเทพอมตะนับร้อยรวมตัวกันกลายเป็นธนูอีกคัน
ฮึ่ม!
สายธนูง้างออก รังสีสีทองอีกสายก็พล่านออกมา ในเวลาเดียวกันของเหลววัชระก็แยกเส้นใยออกมาห่อหุ้มปลายลูกศรไว้
“งั้นอีกครั้ง!”
ลูกศรพุ่งออกไป มือมู่เฉินก็ยกขึ้นอีก ภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน ทุกคนก็เห็นรหัสเทพอมตะร้อยลายกลายเป็นธนูอีกอัน
ฮึ่ม!
เมื่อสายธนูสั่นไหว ลูกศรอีกลูกก็บินออกมา
ฮึ่ม ฮึ่ม!
เพียงไม่กี่สิบลมหายใจ ร่างมู่เฉินก็ถูกแสงสีทองห่อหุ้ม รังสีสีทองสิบสายบินออกมาครอบไปยังเจ้าสำนักเมฆาม่วง
เมื่อลูกศรสีทองทั้งสิบล้อมรอบ ใบหน้าของเจ้าสำนักเมฆาม่วงก็เปลี่ยนไปเมื่อเห็น เนื่องจากเขาได้ลิ้มรสชาติพลังของลูกศรมาแล้ว ยิ่งมีลูกศรสิบดอกพุ่งเข้ามา เขาทนไม่ได้แน่หากถูกโจมตี
เขาไม่กล้าที่รอช้าแผดเสียงลั่น รังสีสีม่วงพุ่งออกมาจากปากเขา ก่อตัวเป็นเมฆปกคลุมตนไว้ภายใน
“เมฆาม่วงเทวะ!”
มองไปที่เมฆสีม่วง ความวุ่นวายก็ระเบิดขึ้นระหว่างสวรรค์และโลก ทุกคนในจักรวรรดิเหนือรู้ว่าเจ้าสำนักเมฆาม่วงมีอาวุธมหสรรค์ขั้นเกือบจะยอดเยี่ยมที่เรียกว่าเมฆาม่วงเทวะ นี่เป็นอาวุธประเภทป้องกันที่ทรงประสิทธิภาพมาก ถ้าเปิดใช้แม้แต่จอมยุทธ์ระดับเดียวกันก็ทำลายมันไม่ได้
แต่เจ้าสำนักเมฆาม่วงแทบจะไม่เคยใช้อาวุธมหสวรรค์ขั้นเกือบจะยอดเยี่ยมนี้ ทว่าวันนี้เขากลับใช้ดังนั้นบอกได้ว่ามู่เฉินเป็นตัวอันตรายแค่ไหน
เมื่อเจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองเห็นภาพนี้ใบหน้าก็เปลี่ยนไป พลังของพวกเขาถือได้ว่าอยู่ในระดับเดียวกัน ถึงกระนั้นเจ้าสำนักเมฆาม่วงยังถูกบังคับให้มาถึงจุดนี้ นั่นหมายความว่ามู่เฉินมีความสามารถในการคุกคามพวกเขา
“เราประเมินไอ้หนูนี่ต่ำไป!”
พวกเขาสบตากันโดยมีแสงเย็นพล่านในดวงตา
ตู้ม ตู้ม ตู้ม!
ภายใต้ความปั่นป่วน รังสีสีทองก็กระแทกกับเมฆสีม่วงเกิดเสียงดังกระทบแก้วหู มิติพังทลายลงไม่หยุด เมฆสีม่วงก็กวนตัวไปมาอย่างรุนแรงภายใต้คลื่นกระแทก…
ทว่าการป้องกันของกลุ่มเมฆสีม่วงน่ากลัวอย่างแท้จริง ลูกศรลูกเดียวที่ทำให้เจ้าสำนักเมฆาม่วงตกอยู่ในสภาพที่เลวร้าย แต่ด้วยการปกป้องของเมฆสีม่วง ลูกศรสีทองทั้งสิบก็ทำให้เมฆสีม่วงอ่อนลงเล็กน้อยเท่านั้น
เจ้าสำนักเมฆาม่วงมองเมฆที่กำลังม้วนตัวก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่มู่เฉินก่อนพูดเสียงน่าขนลุก “ไอ้หนูการโจมตีของแกทรงพลังก็จริง แต่แกจะสามารถปล่อยกระบวนท่านี้ได้มากกี่ครั้ง?”
ถึงยังไงเจ้าสำนักเมฆาม่วงก็เป็นจอมยุทธ์ที่สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุน ดังนั้นสายตาของเขาจึงไม่เลว เขารู้ดีไม่ว่ามู่เฉินจะทรงพลังเพียงใด ก็ไม่สามารถปลดปล่อยการโจมตีดังกล่าวได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดเนื่องจากมีขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเท่านั้น
ดังนั้นตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำคือซ่อนตัวในเมฆสีม่วง รอจนกว่าคู่ต่อสู้จะหมดแรง จากนั้นเขาก็สามารถฆ่ามู่เฉินได้อย่างง่ายดาย
แน่นอนว่าวิธีนี้จะทำให้เขาเสียหน้ามาก แต่ตราบใดที่เขาสามารถชนะได้ การเสียหน้านิดหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไรไม่ใช่รึ?
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นมู่เฉินก็ฉีกยิ้มก่อนที่จะพยักหน้า “การโจมตีเช่นนี้เสียพลังมากก็จริง”
ด้วยขุมพลังปัจจุบันลูกศรสีทองสิบลูกถือว่าเป็นขีดจำกัดของเขาแล้ว
รอยยิ้มเยาะเย้ยปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเจ้าสำนักเมฆาม่วง เมื่อไรที่มู่เฉินเปิดเผยข้อบกพร่องเพียงเล็กน้อย ก็ถึงเวลาที่เขาต้องตอบโต้บ้าง
แต่ก่อนที่อาการเยาะเย้ยจะขยายออกมา เขาก็เห็นรอยยิ้มผิดปกติของมู่เฉิน จากนั้นอีกฝ่ายก็วาดตราประทับขึ้น
ทันทีที่ตราประทับก่อตัว มิติก็ผันผวนอยู่ข้างๆ มู่เฉิน ร่างเงาสีดำและสีขาวปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ
พร้อมกับการปรากฏตัวของมู่เฉินชุดขาวและชุดดำ พวกเขาก็ยกมือขึ้นรหัสเทพอมตะเริ่มกลั่นตัวสร้างคันธนูขึ้นอีกสองคัน
พวกเขาเหนี่ยวสายธนูเล็งไปที่เจ้าสำนักเมฆาม่วง
รอยยิ้มบางพร้อมเพรียง เสียงมู่เฉินก็ดังสะท้อนระหว่างฟ้าดิน
“เอาล่ะ ให้ข้าสิว่ากระดองเต่าอันนี้จะปกป้องแกได้นานขนาดไหน”
ทันใดนั้นรอยยิ้มเยาะเย้ยของเจ้าสำนักเมฆาม่วงก็แข็งค้าง
บทที่ 1363 เหนือชั้น
บนท้องฟ้า
ร่างเงาสามร่างยืนอยู่พร้อมกับร่างสีดำและสีขาวที่ดูเหมือนกับมู่เฉินเปี๊ยบ นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้คนอื่นรู้สึกตกใจมากขึ้นก็คือความผันผวนของพลังงานที่มาจากทั้งสองไม่ได้อ่อนแอไปกว่ามู่เฉินเลย!
“พวกนั้นคือร่างดวงจิตหรือ? ทำไมถึงมีพลังเทียบเท่าร่างหลักได้ล่ะ” มีคนร้องอุทานด้วยความไม่เชื่อ ร่างดวงจิตไม่ใช่สิ่งแปลกประหลาด แต่การมีพลังเฉกเช่นร่างหลักนั้นไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน!
ทันใดนั้นใบหน้าของเจ้าเมฆาม่วงก็แข็งค้างครู่หนึ่ง ก่อนที่ความตกใจจะกะพริบในดวงตา เขารู้สึกถูกคุกคามโดยมู่เฉินที่มาใหม่ด้วย
‘เป็นไปได้ยังไง? ร่างดวงจิตของมันจะทรงพลังขนาดนี้ได้เหรอ?!’ เจ้าเมฆาม่วงคำรามในใจ หากเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีของมู่เฉินที่ทรงพลังใกล้เคียงกันสามคนไม่ใช่หรือ?
แค่มู่เฉินคนเดียวก็แทบกระอักเลือดแล้ว ดังนั้นแม้แต่เจ้าเมฆาม่วงยังผวาที่จะต้องเผชิญหน้ากับสามคน
แต่มู่เฉินไม่ได้สนใจกับความตื่นตระหนกของอีกฝ่าย เขาโบกแขนเสื้อ ของเหลวจื้อจุนก็ไหลออกมาก่อนที่เขาจะดูดซับและกลั่นพวกมันเพื่อทดแทนพลังที่เสียไป
ขณะที่เขาเติมพลัง มู่เฉินชุดขาวและชุดดำก็ก้าวออกมาพร้อมกับธนูเล็งไปที่เจ้าเมฆาม่วง ก่อนที่จะปล่อยสายธนูโดยไม่มีการแสดงสีหน้าใดๆ ออกมา
ฮึ่ม ฮึ่ม!
สายธนูดีดออก รังสีสีทองสองสายก็ทะลุผ่านมิติด้วยความคมชัดที่น่ากลัว อึดใจต่อมารังสีทั้งสองก็ปะทะกับเมฆสีม่วงหนาทึบ
ครืน!
จังหวะนั้นเมฆสีม่วงก็สั่นไหวกลิ้งตัวไปมาอย่างรุนแรงพร้อมกับชั้นเมฆสลายไปภายใต้รังสีสีทอง
ก่อนที่เมฆสีม่วงจะสงบลง มู่เฉินชุดขาวและชุดดำก็ทำการโจมตีระลอกสอง รังสีสองสายกระทบกับเมฆสีม่วง ทำให้ชั้นเมฆเริ่มอ่อนตัวลง
ทุกคนที่เฝ้ามองฉากนี้ ท่าทางก็ดูซับซ้อนขึ้น มู่เฉินได้เปรียบในตอนนี้ ทำให้เจ้าเมฆาม่วงได้แต่ซ่อนตัวอยู่ในการปกป้องของเมฆสีม่วงเท่านั้น
ทว่าการป้องกันก็อ่อนแอลงอย่างช้าๆ หลังจากเผชิญหน้ากับการโจมตีของสามมู่เฉิน ไม่ว่าเจ้าเมฆาม่วงจะทรงพลังแค่ไหน แต่ก็มีช่วงเวลาที่ไม่สามารถยืนหยัดได้อีกต่อไป
ทุกคนได้เห็นอย่างชัดเจนผ่านการเผชิญหน้าครั้งนี้ การปราบฝ่ายเดียวที่พวกเขาคาดไว้ไม่ได้เกิดขึ้น ตรงข้ามมู่เฉินที่น่าจะแพ้กลับทำให้พวกเขาตกใจแทน
มู่เฉินพิสูจน์ด้วยความแข็งแกร่งแล้วว่าเขาไม่ได้อ่อนแอไปกว่าสามผู้นำจักรวรรดิเหนือ ในกรณีนี้เขามีคุณสมบัติและอำนาจพอที่จะนำตำหนักมู่เข้าเป็นหนึ่งในผู้นำจักรวรรดิเหนือได้
ทุกคนมองหน้ากันก็ได้แต่ถอนหายใจ ดูเหมือนว่าจำนวนผู้นำจักรวรรดิเหนือจะเพิ่มขึ้นเป็นสี่ที่หลังจากวันนี้…
เมื่อเทียบกับจอมยุทธ์ขั้วอำนาจคนอื่นๆ สมาชิกตำหนักมู่ก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงยินดี สายตาที่มองมู่เฉินเพิ่มความเคารพมากขึ้น พวกเขารู้ว่าโชคดีแค่ไหนที่มีผู้นำทรงพลังเช่นนี้
“ประมุขน่าเกรงขามอย่างแท้จริง” หลิ่วเทียนเต้าอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
คนอื่นๆ ก็พยักหน้ารัวๆ ขณะนี้เกียรติยศของมู่เฉินในใจของทุกคนถึงจุดสูงสุดแล้ว
มั่นถัวหลัวมองทุกคนที่ตื่นเต้น รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้า นางมองมู่เฉินด้วยสายตาซับซ้อน
ตอนที่นางเจอมู่เฉินครั้งแรก เขาเพิ่งจะบรรลุขุมพลังจื้อจุน แต่ไม่กี่ปีต่อมาเด็กหนุ่มที่อ่อนแอก็ก้าวนำนางไปโดยไม่รู้ตัว
“ดูท่าข้าก็ต้องฝึกหนักแล้ว ไม่งั้นจะโดนเจ้านี่เหวี่ยงกลับมากกว่านี้” มั่นถัวหลัวพึมพำ
ในฐานะที่เป็นคนมั่นใจตัวเองสูง นางไม่ต้องการอยู่ภายใต้การคุ้มครองของมู่เฉินตลอดเวลา ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองไร้ประโยชน์ในอนาคต นางก็ต้องพยายามฝ่าฟันเส้นทางเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน
ขณะที่ความคิดสั่นไหวในหัวใจของขั้วอำนาจอื่นๆ เมฆสีม่วงก็ค่อยๆ สลายไปภายใต้การโจมตีของสามมู่เฉิน…
มู่เฉินยืนอยู่ระหว่างมู่เฉินชุดดำและชุดขาวพลางมองไปที่ร่างเจ้าเมฆาม่วงที่ค่อยๆ เผยออกมาพร้อมกับรอยยิ้มเย็นชา
มู่เฉินยกมือขึ้นธนูสีทองก็รวมตัวอีกครั้ง รังสีสีทองพุ่งข้ามมิติก่อนที่จะกระแทกเข้ากับเมฆสีม่วง
ตู้ม!
ยามนี้แสงสีทองบานสะพรั่งทำลายเมฆสีม่วงได้ในที่สุด
ฟิ้ว!
เมื่อเมฆสีม่วงแตกสลาย ร่างเจ้าเมฆาม่วงก็ทะยานออกไป เขาอ้าปากดูดเมฆเข้าไปสถิตในร่างก่อนที่จะมองมู่เฉินด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ดูเหมือนกระดองเต่าของเจ้าจะไม่น่ากลัวอย่างที่อ้างนะ” มู่เฉินยิ้มบาง
หากพูดประโยคนี้ก่อนหน้า มู่เฉินอาจจะดึงดูดการเยาะเย้ย แต่ขณะนี้ทั่วฟ้าดินเงียบสงัด ผู้คนมากมายตัวสั่นสะท้าน
เพราะไม่มีใครคิดว่าเจ้าเมฆาม่วงจะถูกมู่เฉินบังคับให้อยู่ในสภาพที่เลวร้ายเช่นนี้…
โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับคำสั่งให้หยุดตำหนักมู่ ใบหน้าของพวกเขาซีดลงหลายส่วน ตอนแรกพวกเขายั่วยุอีกฝ่ายเพราะคิดว่าตำหนักมู่ถึงคราวล่มสลายในวันนี้ แต่เมื่อมองตอนนี้พลังของตำหนักมู่เกินความคาดหมายของพวกเขาไปไกล
ใบหน้าของเจ้าเมฆาม่วงดูเคร่งขรึม รูม่านตาสีม่วงกะพริบด้วยความโกรธ ทว่าหลังจากได้สัมผัสกับพลังของมู่เฉิน เขาก็รู้ว่าตนเองไม่สามารถทำอะไรกับชายหนุ่มคนนี้ได้ด้วยตัวคนเดียว
“ตอนนี้เจ้าคิดว่าตำหนักมู่ของข้ามีคุณสมบัติพอที่จะต่อสู้เพื่อตำแหน่งเจ้าจักรวรรดิเหนือหรือยัง?” มู่เฉินจ้องไปที่เจ้าเมฆาม่วงด้วยรอยยิ้มบางขณะที่ถาม
เจ้าเมฆาม่วงเค้นเสียง “ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันของจักรวรรดิเหนือ ข้ากลัวว่าจะไม่มีที่สำหรับผู้นำคนที่สี่ได้!”
ผู้นำทั้งสามแบ่งแยกดินแดนมากกว่าแปดส่วนของจักรวรรดิเหนือไปแล้ว ดังนั้นหากคนที่สี่ปรากฏขึ้น นั่นจะทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนขนาดใหญ่ ทำลายสถานการณ์ปัจจุบันลงอย่างสิ้นเชิง
“งั้นก็น่าเสียดายจริงๆ”
มู่เฉินส่ายหัวด้วยความเสียดายก่อนที่สายตาจะเปลี่ยนเป็นคมกริบ ธนูสีทองปรากฏขึ้นจากนั้นธนูก็ขึ้นสายโดยไม่ลังเล
ฮึ่ม ฮึ่ม ฮึ่ม!
ในเวลาเดียวกันมู่เฉินชุดขาวและชุดดำก็ขึ้นสายธนู รังสีสีทองสามสายทะยานออกมาทันทีพร้อมกับความคมกริบที่ไม่สามารถอธิบายได้เล็งไปที่เจ้าเมฆาม่วง ปิดทางหนีทั้งหมด
เมื่อลูกศรสีทองแหลมคมสามดอกพุ่งออกมา สีหน้าเจ้าเมฆาม่วงก็เปลี่ยนไป ก่อนที่เขาจะหายใจเข้าลึกๆ แสงสีม่วงรวมตัวกันอย่างรุนแรงในดวงตา กลายเป็นรังสีสีม่วงพวยพุ่งออกมา
ปัง!
รังสีสีม่วงและสีทองสายหนึ่งปะทะกัน ระเบิดเสียงดังสนั่น ทั้งสองลบล้างกันและกัน
ทว่าอึดใจนี้ลูกศรสีทองอีกสองดอกก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าร่างเจ้าเมฆาม่วง แต่เมื่อลูกศรสีทองกำลังจะพุ่งทะลุอีกฝ่าย พลังงานไร้ขอบเขตสองสายก็พุ่งลงมาห่อหุ้มลูกศรสีทองไว้
ปัง ปัง!
พลังงานรุนแรงระเบิดออก ลูกศรสีทองแตกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกับพลังงานสองสาย
ความโกลาหลปั่นป่วนในภูมิภาคนี้อีกครั้ง สายตานับไม่ถ้วนมองไปในทิศทางของเจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทอง ทั้งสองกำลังมองมาที่มู่เฉินโดยไม่แสดงท่าทางใดๆ ออกมา
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาสองคนเป็นคนช่วยเจ้าเมฆาม่วงเอาไว้
“ในที่สุดก็ลงมือแล้วเรอะ?” คิ้วของมู่เฉินยกขึ้น ท่าทางไม่ได้แปลกใจมาก
เนื่องจากเขารู้ชัดว่าตนเองสั่นบัลลังก์ผู้นำทั้งสามเข้า หากตำหนักมู่ต้องการขึ้นเป็นหนึ่ง พวกเขามองว่าจักรวรรดิเหนือเป็นพื้นที่หวงห้าม แต่ตอนนี้มีใครบางคนพยายามจะแตะต้อง ทั้งสามคนก็จะมองว่าเขาเป็นศัตรูโดยธรรมชาติ
“ประมุขมู่ ในเมื่อเจ้าอยู่ในตำแหน่งเหนือกว่าแล้ว ทำไมต้องก้าวล้ำกันด้วย” เจ้าภูเขาเหลยยิงมองไปที่มู่เฉินขณะพูดช้าๆ
มู่เฉินยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “งั้นเจ้าสองคนคิดยังไงกับคำถามของข้า?”
เจ้าภูเขาเหลยยิงถอนหายใจกล่าวด้วยความสงสาร “ประมุขมู่สถานการณ์ในจักรวรรดิทางเหนือมั่นคงแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ขั้วอำนาจทั้งสามของพวกข้ารักษาไว้ ดังนั้นหากตำหนักมู่ต้องการอ้างสิทธิ์ในตำแหน่งเจ้าเหนือหัว ข้ากลัวว่าจะเกิดการนองเลือด”
“ดังนั้นพวกข้าหวังว่าประมุขมู่จะเล็งไปนอกจักรวรรดิเหนือ หากเป็นเช่นนั้นพวกข้าสามคนจะสนับสนุนเต็มที่”
เมื่อได้ยินคำพูดที่ไร้ยางอายเหล่านั้นมู่เฉินก็อดยิ้มไม่ได้ก่อนที่จะพูด “ถ้าข้ายืนยันคำพูดเดิมล่ะ?”
เจ้าภูเขาเหลยยิงแลกเปลี่ยนสายตากับเจ้าอินทรีทองและเจ้าเมฆาม่วง ก่อนที่เขาจะถอนหายใจ “ถ้าเป็นเช่นนั้น ตำหนักมู่ก็ต้องเผชิญหน้ากับพวกข้าสามคนจนกว่าจะหยุด”
เขาถอนหายใจพลางส่ายหัว ทว่าดวงตากะพริบอย่างเย็นชาด้วยเจตนาฆ่า พลังของมู่เฉินกระตุ้นความกลัวและเจตนาฆ่าของพวกเขา
เมื่อพูดประโยคนี้ออกมาก็ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนอีกครั้ง ดูเหมือนว่าผู้นำทั้งสามจะร่วมมือกันชั่วคราวเพื่อทำลายผู้ท้าชิงแล้ว…
หากเป็นเช่นนี้ตำหนักมู่ก็คงต้องตกอยู่ในอันตราย
แม้ว่ามู่เฉินจะแสดงความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดา มากจนสามารถผลักเจ้าเมฆาม่วงไปเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่ตอนนี้ทั้งเจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองออกโรงแล้ว ดังนั้นสถานการณ์นี้ก็น่าจะพลิกผัน
ภายใต้สายตานับไม่ถ้วน มู่เฉินก็หรี่ตามองไปที่ทั้งสาม ทั่วบริเวณเงียบสงัดมีเพียงเสียงลมพัด
ความเงียบเกิดขึ้นชั่วครู่ก่อนที่มู่เฉินจะส่ายหัวมองไปที่ทั้งสามคน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้…”
“งั้นก็มาดูกันสิว่าพวกเจ้าสามคนมีความสามารถเพียงพอหรือไม่…”
แม้ว่าน้ำเสียงจะนุ่มนวล แต่ก็เหมือนเสียงคำรณที่ดังก้องทำให้หัวใจของทุกคนสั่นไหว ‘ประมุขตำหนักมู่คิดจะเผชิญหน้ากับผู้นำสามคนด้วยตัวคนเดียวรึ?!’
บทที่ 1364 ประมุขตำหนักมู่ปะทะสามผู้นำ
บนที่ราบเป่ยยู่
เมื่อเสียงสงบราบเรียบของมู่เฉินดังกึกก้อง คลื่นเชี่ยวกรากกวาดไปทั่ว ทุกคนถึงกับตกตะลึงขณะมองดูภาพเงาอ่อนเยาว์
เห็นได้ชัดที่ไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินยังคงไม่ขยับเขยื้อนแม้ว่าผู้นำทั้งสามจะร่วมมือกัน ตรงกันข้ามเขากลับมีท่าทางไม่ยอมแพ้
ต้องรู้ว่าทั้งสามคนเป็นจอมยุทธ์ที่สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนแล้ว แม้ว่ามู่เฉินจะมีร่างดวงจิตที่ผิดแผก แต่เขาก็ไม่มีโอกาสสูงนักที่จะกำชัยชนะหากต่อสู้
จอมยุทธ์ตำหนักมู่ดูไม่วิตกกังวลมากนัก ซ้ำยังมีท่าทางตั้งมั่น พวกเขารู้ดีว่าตำหนักมู่ของพวกเขาต้องปะทะกับผู้นำทั้งสามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้ามู่เฉินล่าถอยในวันนี้ ผู้นำทั้งสามคงตีตลบหลังพวกเขาแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นการทำลายล้างก็รออยู่ข้างหน้า
ในเมื่อจะเป็นเช่นนั้น ทำไมไม่พยายามสุดกำลังแล้วลองเสี่ยงดู!
ขณะที่ฟ้าดินเดือดพล่าน เจ้าเมฆาม่วงก็มองไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชาพูดว่า “โอหังนัก แกคิดจะท้าทายพวกข้าสามคนตามลำพังเนี่ยนะ?”
มู่เฉินยิ้ม พูดอย่างไม่แยแส “คนขี้แพ้มีสิทธิ์พูดด้วยเหรอ?”
เมื่อได้ยินคำเยาะเย้ยจากมู่เฉิน ใบหน้าของเจ้าเมฆาม่วงก็กระตุก สายตาที่มองมู่เฉินราวกับจะฉีกเนื้อออกมากัดกินให้สาแก่ใจ เพราะด้วยสถานะของเขาในจักรวรรดิเหนือไม่มีใครกล้าพูดแบบนี้กับเขา
แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกโกรธมากก็คือความจริงที่ตนเองไม่สามารถทำอะไรกับมู่เฉินได้ แม้จะมีการเยาะเย้ยก็ตาม เนื่องจากการประมือเมื่อครู่พิสูจน์ได้แล้วว่ามู่เฉินไม่ได้อ่อนแอไปกว่าตัวเขา มิหนำซ้ำยังเหนือกว่า
ขณะที่เจ้าเมฆาม่วงแทบคลั่ง เจ้าภูเขาเหลยยิงก็ถอนหายใจ “ดูเหมือนประมุขมู่จะรั้นมากจริงๆ”
แม้ว่าจะแสดงท่าทางเสียดายบนใบหน้า แต่สายตากลับฉายแววเย็นชา เขาต้องการให้มู่เฉินดื้อจนถึงที่สุดเพื่อพวกเขาสามคนจะได้ผนึกกำลังกันอย่างจริงจัง
ในวัยเท่านี้มู่เฉินก็ไม่ธรรมดาแล้ว ถ้าปล่อยให้เติบโตเขาก็อาจกลายเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนหนึ่งเดียวในจักรวรรดิเหนือก็เป็นได้
ถึงเวลานั้นราชันแท้จริงของจักรวรรดิเหนือจะเป็นใครไม่ได้นอกจากมู่เฉิน ดังนั้นอันตรายที่ซ่อนอยู่เช่นนี้จะต้องถูกกำจัดออกไปโดยเร็วที่สุด
เขาเชื่อว่าอีกสองคนก็มีความคิดเช่นเดียวกัน
เจ้าภูเขาเหลยยิงหันไปมองเจ้าอินทรีทองและเจ้าเมฆาม่วง ตามคาดทั้งสองคนพยักหน้าพร้อมกับรังสีสังหารแน่นหนาวูบไหวอยู่ในส่วนลึกของดวงตา
พรสวรรค์และศักยภาพของมู่เฉินทำให้พวกเขารู้สึกถูกคุกคาม
“ในเมื่อแกยืนยันที่จะทำลายสมดุลของจักรวรรดิเหนือ งั้นพวกข้าก็ต้องร่วมมือกันกำจัดแกเพื่อผดุงความสมดุลไว้” เจ้าอินทรีทองกล่าวด้วยเสียงแหบพร่าช้าๆ สายตาเฉียบคมมากขึ้น
กีด!
ทันทีที่พูดจบ รัศมีสีทองก็ระเบิดออกมาจากเจ้าอินทรีทอง ก่อร่างเป็นปีกสีทองคู่หนึ่งข้างหลังกำจายความผันผวนแปลกประหลาด
ขณะเดียวกันคลื่นทรงพลังก็เปล่งออกมาจากเจ้าอินทรีทอง ทำให้ทั่วทั้งฟ้าดินตกอยู่ในแรงกดดัน
เมื่อเจ้าเมฆาม่วงเห็นเช่นนั้น ก็หมุนเวียนคลื่นหลิงโดยไม่ลังเล รัศมีสีม่วงพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าขณะที่มองมู่เฉินอย่างเย็นชาโหดเหี้ยม
เจ้าภูเขาเหลยยิงยิ้ม เร้าคลื่นหลิงกระเพื่อมอยู่ข้างหลัง มองเห็นรูปร่างของเงาขนาดใหญ่คลุมเครือ
ทั้งสามออกกระบวนท่าในเวลาเดียวกัน แรงกดดันของคลื่นหลิงปกคลุมไปทั่วทั้งที่ราบเป่ยยู่ จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนสั่นสะท้านด้วยความกลัวบนใบหน้าภายใต้แรงกดดันนี้
ภายใต้แรงกดดันแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มบางคนยังสูญเสียความตั้งใจที่จะต่อสู้
เพียงแค่อยู่รอบนอกก็ยากสำหรับพวกเขาที่จะทน ไม่รู้ว่าความกดดันที่มู่เฉินกำลังเผชิญอยู่นั้นน่ากลัวเพียงใด
ขณะที่ทุกคนมองไปที่ภาพเงานั้นบนท้องฟ้า ร่างอ่อนเยาว์ก็ไม่เคลื่อนไหวแม้แต่เสื้อผ้าก็ไม่มีการกระเพื่อมจากผลกระทบของพลังงาน
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองไปที่จอมยุทธ์ทั้งสามที่สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุน แม้แต่เขายังรู้สึกกดดันเลย
ฮา
มู่เฉินหายใจเข้าลึกๆ สองมือเริ่มวาดตราประทับ ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็ปรากฏขึ้น ขณะที่แสงสีม่วงทองเคลื่อนไหว คลื่นหลิงก็ปกคลุมชั้นฟ้าและชั้นดินราวกับหมู่เมฆ
แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีสามคน แต่เขาก็มีวิชาสามพิสุทธิ์ด้วย ดังนั้นจำนวนไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรนัก
ทั้งหกประจันหน้ากันบนท้องฟ้า รัศมีที่แผ่ออกมาทำให้กระทั่งมิติยังแช่แข็ง
ปัง!
แต่อึดใจต่อมาบรรยากาศก็ถูกทำลาย เจ้าเมฆาม่วงเคลื่อนไหวเป็นคนแรก สายตาเย็นชาของเขาจ้องไปที่มู่เฉิน ขณะที่เมฆสีม่วงล้อมกรอบมู่เฉินไว้
ส่วนเจ้าอินทรีทองและเจ้าภูเขาเหลยยิงก็ทะยานเข้าไปสู้กับมู่เฉินชุดดำและชุดขาวตามลำดับ
มู่เฉินกระทืบเท้าส่งแรงทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าเผชิญหน้ากับเจ้าเมฆาม่วง ขณะที่ร่างรองก็หันไปประจัญบานกับผู้นำอีกสองคน
ตู้ม ตู้ม!
คลื่นกระแทกรุนแรงสร้างความหายนะในท้องฟ้า ชั้นฟ้าถูกฉีกออก รอยแตกกระจายอยู่บนชั้นดิน…
ที่ราบเป่ยยู่ถูกปกคลุมไปด้วยคลื่นกระแทกของการต่อสู้ ซึ่งทำให้จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนหน้าถอดสี
ฟิ้ว!
ร่างเงาสีทองของเจ้าอินทรีทองพาดผ่านขอบฟ้า ปีกสีทองที่อยู่ข้างหลังกระพือยกระดับความเร็วจนน่ากลัว
ที่ด้านหลังมู่เฉินชุดดำตามมาอย่างใกล้ชิดขณะที่ปล่อยเสียงฟ้าร้องดังก้อง
เหลือบมองภาพเงาสีดำที่ตามมาข้างหลัง เจ้าอินทรีทองคำก็ปรากฏตัวขึ้นข้างเจ้าภูเขาเหลยยิง ซึ่งตอนนี้มู่เฉินชุดขาวอยู่เบื้องหน้าอีกฝ่าย
“ล่อมันมาแล้ว” เมื่อเห็นมู่เฉินชุดดำและชุดขาวอยู่ด้วยกัน เจ้าอินทรีทองก็เหลือบมองไปที่ร่างหลักมู่เฉินที่ถูกกักเอาไว้โดยเจ้าเมฆาม่วงก่อนที่จะเค้นเสียง
เจ้าภูเขาเหลยยิงยิ้มพลางพยักหน้า ในทันใดนั้นแขนเสื้อกว้างของเขาก็เริ่มกระพือปีกเปล่งแสงที่ไม่มีที่สิ้นสุด ขยายตัวอย่างรวดเร็ว
“แขนอาภรณ์ฟ้าดิน!”
แขนเสื้อก่อร่างเป็นช่องมิติที่ดูเหมือนหลุมดำ ขณะที่พุ่งออกไปห่อหุ้มมู่เฉินชุดดำและชุดขาว
แขนเสื้อห่อหุ้มขอบฟ้าไว้โดยมีมู่เฉินทั้งสองติดอยู่ข้างใน
โห่
ความปั่นป่วนดังขึ้นในฉากนี้พร้อมกับเสียงอุทาน “นั่นแขนอาภรณ์ฟ้าดิน!”
“ว่ากันว่านี่คือสมบัติของภูเขาเหลยยิง ซึ่งเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมที่มีมิติเป็นของตัวเอง แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มระยะปลายสุดยังไม่สามารถหลบหนีได้เมื่อถูกขังอยู่ในนั้น!”
เมื่อได้ยินเสียงอุทานเหล่านั้น ใบหน้าของจอมยุทธ์ตำหนักมู่ก็เปลี่ยนไป พวกเขาบอกได้เลยว่าเจ้าภูเขาเหลยยิงตั้งใจจะดักจับร่างดวงจิตของมู่เฉินไว้ชั่วคราว เพื่อทั้งสามคนจะได้พุ่งเป้าไปที่ร่างหลักของมู่เฉิน
ตู้ม ตู้ม!
ขณะที่แขนเสื้อขนาดใหญ่สะบัดไปมา เสียงดังก้องก็มาพร้อมกับการโจมตีที่น่ากลัวอย่างต่อเนื่องจากแขนเสื้อด้านใน ทำให้แขนเสื้อสั่นพั่บรุนแรงพร้อมกับรอยแตกเริ่มปรากฏขึ้น
เมื่อเจ้าภูเขาเหลยยิงเห็นภาพนี้ก็รู้สึกปวดหัวใจ แม้ว่าแขนอาภรณ์ฟ้าดินจะทรงพลัง แต่การดักจับสองคนไว้แบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้ว่าเขาจะทำสำเร็จ แต่อาวุธล้ำค่าก็จะได้รับความเสียหายอย่างมากเช่นกัน
“ไม่ต้องปวดใจ รอให้ลบล้างตำหนักมู่ สมบัติในวังสวรรค์บรรพกาลสามารถชดเชยความสูญเสียของเจ้าได้สบาย” เจ้าอินทรีทองเอ่ยอยู่ด้านข้าง
เมื่อได้ยินเจ้าภูเขาเหลยยิงก็พยักหน้า
“อย่าเสียเวลา ไปจัดการกับร่างหลักของมู่เฉินเถอะ แขนอาภรณ์ฟ้าดินสามารถดักจับร่างดวงจิตได้เพียงครึ่งก้านธูปเท่านั้น” เจ้าภูเขาเหลยยิงพูด
“ไป!”
เจ้าอินทรีทองพยักหน้า ทั้งสองกลายเป็นริ้วแสงเข้าร่วมการต่อสู้ระหว่างมู่เฉินและเจ้าเมฆาม่วง
ตู้ม!
มู่เฉินและเจ้าเมฆาม่วงปะทะกันจังใหญ่ คลื่นหลิงรุนแรงสร้างหายนะไปทั่ว ฝ่ายหลังถอยกลับและทรงตัว ทว่าแม้ครั้งนี้เขาจะไม่สามารถคว้าตำแหน่งเหนือกว่าได้ แต่ก็มีรอยยิ้มน่าขนลุกบนใบหน้า
“มู่เฉิน สุดท้ายแกก็ต้องจ่ายราคาสำหรับความหยิ่งผยอง”
มู่เฉินหรี่ตาลง เอียงศีรษะเล็กน้อยก็เห็นเจ้าอินทรีทองและเจ้าภูเขาเหลยยิงปรากฏตัวอยู่ไม่ไกล ปิดเส้นทางหนีทีไล่ของเขาไว้หมดแล้ว
มู่เฉินขมวดคิ้ว เขารู้สึกได้ตอนร่างรองถูกขังไว้ในแขนอาภรณ์ฟ้าดิน แต่ดูเหมือนมันจะจัดการลำบากกว่าเมฆาม่วงเทวะ ทำให้ร่างรองของเขาไม่สามารถหลุดพ้นได้ในช่วงเวลาสั้นๆ
“ท่าทางข้าจะประเมินพวกเจ้าต่ำเกินไป”
มู่เฉินถอนหายใจเบาๆ การจัดการกับจอมยุทธ์ที่ได้สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนเป็นเรื่องยากยิ่งกว่าที่จะจัดการกับระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ในตอนนี้เขาถือได้ว่าอยู่ยงคงกระพันในหมู่จอยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับพวกที่สัมผัสระดับเทียนจื้อจุน เขาก็ยังต้องระวังหนัก
เมื่อขั้วอำนาจอื่นๆ บนที่ราบเป่ยยู่เห็นฉากนี้ก็ได้แต่ส่ายหัว ดูเหมือนว่าการต่อสู้ในวันนี้ได้ถูกกำหนดแล้ว การเผชิญหน้ากับผู้นำทั้งสาม สุดท้ายมู่เฉินก็ต้องตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
ทว่าเขาสามารถบังคับให้ผู้นำทั้งสามต้องร่วมมือกัน ต่อให้วันนี้จะพ่ายแพ้แต่มู่เฉินก็ควรภาคภูมิใจแล้ว
“ประมุขมู่ ไม่ว่าจะมีพรสวรรค์แค่ไหน บางครั้งก็ต้องรู้ขีดจำกัดของตัวเอง พิจารณาสถานการณ์ให้ดีๆ… วันนี้ถือว่าเป็นบทเรียนก็แล้วกัน หวังว่าเจ้าจะดูตาม้าตาเรือมากขึ้นในอนาคตนะ” เจ้าภูเขาเหลยยิงถอนหายใจ
แต่สายตากลับฉายแววเย็นชาในที ‘แน่นอนว่าเขาต้องมีอนาคตให้ได้ก่อน…’
เมื่อได้ยินคำพูดของเจ้าภูเขาเหลยยิง มู่เฉินก็พยักหน้าเบาๆ และยิ้ม “วันนี้ข้าได้รับคำชี้แนะแท้จริง…”
พูดไป เขาก็หยุดชั่วคราวก่อนจะพูดต่อ “แต่ก็มีบางอย่างที่ข้าจะชี้แนะเจ้าเช่นกัน”
“โอ้?” เจ้าภูเขาเหลยยิงยิ้ม
มู่เฉินยิ้มบาง จากนั้นผลึกแสงก็เบ่งบานในดวงตา เจดีย์ทะยานออกมาพลิ้วลงบนฝ่ามือของเขา
มู่เฉินถือเจดีย์พุทธะไว้พลางเงยหน้าขึ้นมองพวกเขาทั้งสามพร้อมกับเจตนาฆ่าผสานอยู่ในน้ำเสียงที่ค่อยๆ สะท้อนออกมา
“บางครั้งการเฉลิมฉลองไปก่อนอาจทำให้เจ้ากลายเป็นตัวตลก…”
บทที่ 1365 บรรลุในศึก
“บางครั้งการเฉลิมฉลองไปก่อนอาจทำให้เจ้ากลายเป็นตัวตลก…”
เสียงหัวเราะเบาๆ ที่แฝงด้วยเจตนาฆ่าของมู่เฉินดังออกมา ทำเอาดวงตาของเจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองหดลงขณะจ้องมู่เฉินเขม็งราวกับใบมีด
จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ไม่คิดว่ามู่เฉินจะยังคงยืนหยัดอยู่ โดยไม่ได้แสดงความกลัวอะไรออกมาเลย
“ดูเหมือนว่าประมุขมู่เตรียมจะเดินไปตามทางยมโลกนะ” เจ้าภูเขาเหลยยิงส่ายหัวพลางพูดอย่างช่วยไม่ได้
แสงเย็นวูบวาบในดวงตาของเจ้าอินทรีทองก่อนจะพูดเสียงเย็นชา “อย่าพูดกับเขามาก เขาแค่พยายามถ่วงเวลา”
“จัดการมันเลย!” เจ้าเมฆาม่วงกล่าวเสียงเคร่งขรึม เจ้าภูเขาเหลยยิงจ่ายราคาแพงเพื่อดักจับร่างรองทั้งสองของมู่เฉินไว้ หากปล่อยให้พวกเขาหลุดออกมาได้ละก็ เท่ากับศึกนี้จะกลับไปเป็นสามต่อสามอีกครั้ง เมื่อถึงเวลานั้นความได้เปรียบของพวกเขาจะลดลง
“งั้นก็ลงมือกันเถอะ”
เจ้าภูเขาเหลยยิงก็พยักหน้า ชัดว่าไม่ต้องการให้สถานการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นจากความล่าช้า
ตู้ม!
เมื่อทั้งสามคนบรรลุข้อตกลงแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้ให้เวลามู่เฉินพูดพล่ามอีก พวกเขาส่งแรงไปที่ฝ่าเท้า พายุคลื่นหลิงสร้างความหายนะระหว่างสวรรค์และโลก ขณะที่ทั้งสามพุ่งเข้าหามู่เฉิน
เมื่อมองไปที่เงาทั้งสาม มู่เฉินก็วาดตราประทับเรียบเฉยด้วยมือข้างเดียว ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ระเบิดแสงมหาศาลออกมาห่อหุ้มร่างเขาไว้
“แกคิดว่าสามารถป้องกันตัวเองได้จนกว่าไอ้ร่างพวกนั้นจะเป็นอิสระเรอะ?”
เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน ทั้งสามก็แสยะยิ้มเยาะเย็นชา จากนั้นแขนเสื้อของพวกเขาโบกสะบัด เริ่มปล่อยการโจมตีที่น่ากลัวใส่ปราการสีทอง
ครืนๆๆๆ!
แม้ว่าการป้องกันที่เกิดจากร่างเทพสุริยะนิรันดร์จะทรงพลัง แต่ก็ยังสั่นสะเทือนรุนแรงพร้อมกับระลอกคลื่นกระจายออกไปภายใต้การโจมตีป่าเถื่อนของสามจอมยุทธ์
มองไปก็ดูเหมือนว่าคงจะแตกในไม่ช้า
เมื่อขั้วอำนาจอื่นๆ เห็นสิ่งนี้ พวกเขาก็แอบเดาะลิ้น การโจมตีจากผู้นำทั้งสามนั้นน่าเกรงขามอย่างแท้จริง แม้แต่มู่เฉินซึ่งได้เปรียบก่อนหน้าก็ตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบแล้ว
หากเป็นเช่นนี้ต่อไปมู่เฉินก็จะตกอยู่ในเงื้อมมือของทั้งสาม เมื่อการป้องกันของเขาถูกทำลายก็จะไม่สามารถหลบหนีได้
เวลานี้ผลลัพธ์ที่น่าสมเพชของตำหนักมู่ก็ถูกกำหนดแล้ว…
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ดวงตาของหลายๆ คนก็เริ่มเย็นเยือกลง ช่วงเวลาที่มู่เฉินเสียชีวิตนั่นหมายความว่าเสาหลักของตำหนักมู่ก็จะล้มครืน สมาชิกจากตำหนักมู่คงไม่สามารถหลบหนีจากที่ราบเป่ยยู่ได้เลย
เมื่อรู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองอย่างดุร้ายจากสภาพแวดล้อมโดยรอบ ใบหน้าของจอมยุทธ์ตำหนักมู่ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดลงหลายส่วน พวกเขาขยับเข้ามาใกล้กันมากขึ้นพร้อมกับคลื่นหลิงผันผวนไปทั่วบริเวณ ขณะที่มองมั่นถัวหลัวนิ่ง
มั่นถัวหลัวไพล่มือไว้ด้านหลังขณะอยู่ในอาการสงบ นางเพียงเงยหน้าขึ้นมองดูการต่อสู้รุนแรงบนท้องฟ้าโดยไม่มีความตื่นตระหนกในสายตา
เมื่อเห็นท่าทางสงบของนาง ร่างกายของทุกคนก็คลายลง สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้ในตอนนี้คือเชื่อมั่นในตัวมู่เฉิน
ตั้งแต่ติดตามประมุขมายังที่ราวเป่ยยู่ พวกเขาก็รู้แล้วไม่ใช่หรือว่าการเดินทางครั้งนี้มีความเสี่ยง?
เพื่ออนาคตของตำหนักมู่และอนาคตของพวกเขา
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ติดตามประมุขไปจนถึงจุดสิ้นสุดเถอะ
ตู้ม ตู้ม!
ท่ามกลางสายตาตั้งมั่นของสมาชิกตระกูลมู่ การปะทะกันครั้งใหญ่ก็ดังก้องบนท้องฟ้า การโจมตีรุนแรงกระแทกเข้ากับปราการสีทอง
ร่างมู่เฉินถูกปกคลุมไปด้วยแสง ขณะมองไปที่ภาพเงาทั้งสามโดยไม่มีระลอกคลื่นใดๆ ในดวงตา เขาเพียงก้มศีรษะลงมองไปที่เจดีย์ผลึกใส
“หนักเกินไปที่จะใช้วิชาเจดีย์แปดองค์ด้วยขุมพลังที่มีตอนนี้”
มู่เฉินยิ้มบางดูเหมือนเขาจะต้องเลือกที่จะบรรลุแล้ว วันนี้เขาต้องการที่จะทำลายความมั่นใจของทั้งสาม เพื่อที่พวกเขาเหล่านั้นจะไม่กล้าต่อกรกับตำหนักมู่ตลอดกาล!
เม็ดยาเม็ดหนึ่งปรากฏขึ้นระหว่างนิ้วซึ่งมีกลิ่นหอม
นี่ก็เม็ดยาเซิ่งหว่า
นอกปราการสีทอง ผู้นำทั้งสามก็สังเกตเห็นการกระทำของมู่เฉิน แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าชายหนุ่มพยายามจะทำอะไร แต่ด้วยความระมัดระวังพวกเขาจึงเพิ่มความเร็วในการโจมตีทันที
มู่เฉินยกนิ้วโยนเม็ดยาเซิ่งหว่าเข้าปากและหลับตา
ยาไหลลงคอก่อนที่จะระเบิด ราวกับพายุแพร่กระจายไปทั่วสรรพางค์กายของมู่เฉินในทันที
พลังงานหลิงผันผวนภายในร่างกาย เนื้อหนังเปล่งแสงแวววาวประหนึ่งเขาถูกสลักจากอัญมณี
ในเวลาเดียวกันเจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองก็สัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังงานที่แผ่ออกมาจากร่างกายของมู่เฉิน ช่างพลุ่งพล่านด้วยความเร็วที่น่าตกใจอย่างยิ่ง
คลื่นหลิงที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแผ่ซ่านอยู่รอบๆ ร่างของมู่เฉิน
“เขาพยายามจะบรรลุขุมพลัง!”
เจ้าเมฆาม่วงอุทานด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ
ชายหนุ่มคนนี้บ้าบิ่นแท้จริง มันกล้าที่จะบรรลุขุมพลังต่อหน้าพวกเขา!
“หยุดเขา!”
ทั้งสามแผดเสียงพร้อมกัน แค่เกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มมู่เฉินก็เป็นตัวปัญหามากแล้ว ถ้าเขาสามารถบรรลุขั้นเต็มได้ละก็ จะเหนียวเคี้ยวยากเกินกว่าจะรับมือแค่ไหน?
ดังนั้นพลังงานหลิงจึงรวมตัวกันอยู่เบื้องหลังทั้งสามคน ก่อเป็นเงาร่างสามร่างอย่างรวดเร็วซึ่งสร้างแรงกดดันที่น่ากลัว
ทั้งสามเร้าร่างเวทสวรรค์ออกมาแล้ว!
ขณะที่ร่างเวทสวรรค์ทั้งสามยืนตระหง่านระหว่างฟ้าดิน พลังงานหลิงก็ครางกระหึ่มราวกับพายุ
ตู้ม!
ร่างเวทสวรรค์ของทั้งสามเคลื่อนไหว กำปั้นมหึมาเหมือนได้รวบรวมพลังงานที่น่ากลัวไว้ภายใน ขณะที่เหวี่ยงซัด มิติก็แตกสลาย สุดท้ายกำปั้นก็พุ่งเข้าหาปราการสีทอง
ตึง ตึง!
ปราการสีทองผันผวนรุนแรงก่อนที่จะถึงขีดสุด อึดใจก็ระเบิดออก
“ตายซะ!”
เมื่อปราการสีทองแตกเป็นเสี่ยงๆ หมัดสามหมัดก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้าตรงไปที่มู่เฉินที่ยืนอยู่บนไหล่ของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ ขณะที่มิติยุบลงอย่างต่อเนื่อง
ทุกคนเฝ้ามองฉากนี้ด้วยเปลือกตากระตุกไม่หยุด มู่เฉินจะเอาชีวิตรอดภายใต้การโจมตีนี้ได้อีกหรือ?
หมัดพุ่งลงมา ท่ามกลางสายตาที่จับจ้องมา มู่เฉินบนไหล่ของร่างสีม่วงทองก็ลืมตาโพลง
รูม่านตาสีดำของเขาลึกซึ้งบรรจุด้วยพลังที่ไม่อาจจินตนาการได้
ขณะนี้ทุกคนรู้สึกถึงความผันผวนของพลังงานหลิงที่เล็ดลอดออกมาจากมู่เฉินมาถึงจุดสูงสุดที่น่ากลัวแล้ว
“เขาทำได้จริงเหรอ?! นี่ไม่เร็วเกินไปรึไง?!” ทั้งสามตัวสั่นสะท้าน หากเป็นจอมยุทธ์ธรรมดาจะต้องใช้เวลานานในการบุกทะลวงขุมพลังแต่ละขั้น แต่ทำไมถึงใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีสำหรับมู่เฉิน?!
ทว่าที่พวกเขาไม่รู้คือมู่เฉินมีคุณสมบัติในการบรรลุนานแล้ว เขาแค่ละการทำเช่นนี้เอาไว้ เพราะเขาต้องการให้รากฐานพลังแข็งแรงมากขึ้นก่อน ดังนั้นเมื่อมียาเซิ่งหว่าเป็นตัวกระตุ้นก็คล้ายกับความกดดันคลายตัวลง ทำให้เกิดพัฒนาการได้อย่างง่ายดาย
“หึ ต่อให้แกจะบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม วันนี้ก็ต้องตาย!”
แต่ทั้งสามคนที่ตกใจก็กลับมาสงบลงได้อย่างรวดเร็ว ความดุร้ายในการโจมตีเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน ไม่ต้องพูดถึงว่ามู่เฉินแค่บรรลุขั้นเต็ม ต่อให้มันสัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนเหมือนกับพวกเขาก็ไม่มีโอกาสที่จะชนะ!
ครืน!
ขณะที่เกิดความคิดนี้ การโจมตีที่ดุเดือดก็ได้ซัดลงไปแล้ว
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมือวาดตราประทับ ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ส่งเสียงคำราม แสงสีม่วงทองพวยพุ่งก่อนที่จะซัดออกไป แสงพัฒนาเป็นโล่สีทองปะทะกับหมัดทั้งสาม
ตู้ม!
จังหวะที่ปะทะกันฟ้าดินก็เงียบงันไป วินาทีต่อมาคลื่นกระแทกกวาดออกไปในระยะหลายแสนจั้งระเบิดไปทั่วท้องฟ้า ลบหมู่เมฆจนหมดสิ้น
ทุกคนจับจ้องไปที่จุดปะทะ
ตรงจุดนนั้น ร่างสีม่วงทองถอยออกไปหลายพันจั้ง ส่วนหมัดทั้งสามก็ถูกต้านทานไว้ได้
“หึ”
ทั้งสามคนครวญครางด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก แม้ว่าพวกเขาจะเหนือกว่าในการเผชิญหน้าครั้งก่อน แต่พวกเขาก็ไม่สามารถเอาชนะมู่เฉินได้
ต้องรู้ว่าแม้แต่คนที่อยู่ในระดับเดียวกับพวกเขาก็ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการโจมตีนี้!
แต่ตอนนี้มู่เฉินเพียงแค่ถูกผลักถอยกลับเท่านั้น ไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงใดๆ
ความโกลาหลกวนตัวพร้อมกับจอมยุทธ์หลายคนส่ายหัวด้วยความอัศจรรย์ใจ ชัดเจนที่พวกเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะสามารถรับการโจมตีทั้งสามได้จริงๆ
“ช่างน่าเกรงขามนัก เผชิญหน้ากับสามจอมยุทธ์ยิ่งใหญ่ยังเสียเปรียบเพียงเล็กน้อย ประมุขมู่ดุดันจริงๆ!” แม้แต่ขั้วอำนาจที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้นำทั้งสามยังอดถอนหายใจไม่ได้
“แต่ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถต้านทานได้ ก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเผชิญหน้ากับทั้งสามคนด้วยตัวคนเดียว เวลาต่อจากนี้ไปผู้นำทั้งสามจะเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างแน่นอน!”
ขณะที่เสียงสนทนาดังสะท้อน สายตาของผู้นำทั้งสามก็จับจ้องไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชา เจตนาฆ่าไหลพล่านออกมาจากดวงตาพวกเขา
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่พอใจกับการได้เปรียบก่อนหน้า
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาเย็นชานั่น มู่เฉินบนไหล่ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็โบกมือเบาๆ “มีความสามารถอยู่จริงๆ นะเนี่ย”
มู่เฉินยิ้มขณะเงยหน้ามองไปที่ทั้งสามคน “อวดกันจบแล้ว งั้นต่อไปก็ควรถึงตาข้าบ้างแล้วมั้ง?”
เมื่อพูดจบเขาไม่ได้รั้งรอให้ทั้งสามพล่ามอะไร เจดีย์ผลึกใสก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าก่อนที่เงาขนาดใหญ่จะพลิ้วลงมาโอบล้อมทั้งสามคนไว้พร้อมกับร่างเวทสวรรค์…
บทที่ 1366 วิชาเจดีย์แปดองค์สำแดงอำนาจ
ครืนๆๆๆ!
เจดีย์ขนาดใหญ่ทอดตัวลงมา เงาก็ทอดเหนือที่ราบเป่ยยู่ ทุกคนเงยหน้าขึ้นด้วยความกลัวขณะมองเจดีย์ พวกเขารู้สึกได้ถึงความผันผวนน่ากลัวที่แผ่ซ่านออกมา
ขณะนี้จอมยุทธ์สามคนที่ยืนอยู่บนร่างเวทสวรรค์ได้ถูกดึงเข้าไปในเจดีย์ หายวับไปกับตา
ทุกคนแลกเปลี่ยนสายตากัน ชัดว่าฉากนี้เกินความคาดหมายนัก
“ที่มู่เฉินทำคืออะไร? เจดีย์ผลึกแก้วนั่นดูเหมือนจะไม่ใช่อาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยม…”
“ไม่ว่าเขาจะทำอะไร วันนี้เขาคิดจะเอาชนะสามผู้นำด้วยตัวเองจริงๆ หรือไง!”
“เป็นไปได้ยังไง…”
“ช่างเป็นการต่อสู้ที่ไร้ประโยชน์…”
“…”
เสียงกระซิบดังก้องที่ราบเป่ยยู่ แต่มีไม่กี่คนที่มองในแง่ดีสำหรับมู่เฉิน เพราะการสู้แบบหนึ่งต่อสามเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อยิ่งนัก
ทว่าพวกมั่นถัวหลัวไม่ได้ใส่ใจมากเกี่ยวกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้น พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่เจดีย์ผลึกใส พวกเขารู้ดีว่าเมื่อมู่เฉินนำเจดีย์ออกมา ผลลัพธ์ก็น่าจะใกล้กำหนดแล้ว…
ภายในเจดีย์
ผลึกคลื่นหลิงกวาดพายุออกมา โดยมีเงาขนาดใหญ่สามร่างยืนอยู่ เจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองกำลังมองเจดีย์ขนาดมหึมาด้วยสายตาตกใจและประหลาดใจ
“หึ ไอ้เวร เวลานี้แล้วยังจะมาเสแสร้งอีกเรอะ?” เจ้าเมฆาม่วงมองไปยังมู่เฉินด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนที่เค้นเสียงอย่างเย็นชา
เจ้าภูเขาเหลยยิงพยักหน้า “ประมุขมู่ทำไมต้องขัดขืน? แค่พาสมาชิกตำหนักมู่ออกจากที่ราบเป่ยยู่ พวกข้าก็จะปล่อยเจ้าไป”
มู่เฉินมองไปที่ทั้งสามคนก็กอดอกพลางยิ้ม “ทำไม? กลัวแล้วเหรอ?”
“ตลกร้ายแล้ว” เจ้าเมฆาม่วงเยาะเย้ย
“วาจาใหญ่โตจริง” เจ้าอินทรีทองถากถาง
“ร่วมมือกันทำลายเจดีย์นี้!” เจ้าภูเขาเหลยยิงตะเบ็งเสียง ไม่รู้เพราะเหตุใดเจดีย์นี้ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ ดังนั้นควรออกไปก่อนดีกว่า
เจ้าเมฆาม่วงและเจ้าอินทรีทองพยักหน้า แม้ว่าพวกเขาจะดูหมิ่นทางวาจา แต่ในใจลึกๆ พวกเขาก็ยังหวาดผวาเกี่ยวกับเจดีย์นี้ เพราะพวกเขารู้ว่ามู่เฉินจะไม่นำสิ่งที่ไร้ประโยชน์ออกมา ในเมื่อเขาก่อความวุ่นวายใหญ่โตเพื่อนำเจดีย์ออกมา ดังนั้นเขาต้องมีวิธีการบางอย่างแน่
ตู้ม!
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพรั่งพรูออกมาจากร่างเวทสวรรค์ ขณะที่หมอกหลิงควบแน่น พลังงานก้อนใหญ่พุ่งเข้าใส่ผนังของเจดีย์
เมื่อเห็นภาพนี้มู่เฉินก็วาดตราประทับผนึกด้วยฝ่ามือข้างเดียว
เจดีย์เริ่มสั่นสะเทือน พลังงานผลึกปกคลุมผนังของเจดีย์เพื่อต้านทานการโจมตีจากทั้งสาม
หลังจากที่เร้าการป้องกันของเจดีย์ มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่ผนังก่อนที่ใบหน้าจะเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เขาสร้างตราประทับขึ้นพร้อมกับภาพมายาวูบไหวออกมา
ขณะที่ก่อร่างตราประทับ ลวดลายโบราณก็เริ่มปรากฏขึ้นบนผนังโดยรอบเจดีย์ ภาพแปดภาพปรากฏขึ้นบนผนัง
“นั่นอะไร?”
เมื่อภาพทั้งแปดปรากฏ ความผันผวนน่ากลัวก็แผ่กระจายออกไป ทั้งสามคนที่สัมผัสได้ก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่ผนังกำแพงด้วยความตกใจ
ภาพแปดภาพบนผนังดูโบราณมาก ท่าทางโหดเหี้ยม ความโกรธเกรี้ยวที่พล่านในดวงตา ราวกับว่ากำลังปลดปล่อยพลังทำลายล้าง เพียงแค่การจ้องมองก็ส่งผลให้ผู้คนตกอยู่ในความกลัวที่ไม่มีสิ้นสุด
ภายใต้สายตาของภาพทั้งแปด แม้แต่จอมยุทธ์อย่างผู้นำทั้งสามก็ยังรู้สึกถึงความกลัวในใจ…
มู่เฉินก็มองภาพที่ดุร้ายทั้งแปด พวกมันราวกับเทพปีศาจยืนอยู่บนกำแพงเงียบๆ มองไปที่ศัตรู เตรียมพร้อมที่จะปลดปล่อยพลังทำลายล้างทุกเมื่อ
นี่ก็คือเจดีย์แปดองค์นั่นเอง
“วันนี้ข้าขอใช้พวกเจ้าทดสอบพลังของเจดีย์แปดองค์นี่หน่อยละกัน…”
มู่เฉินมองทั้งสามอย่างไม่แยแสก่อนที่จะสะบัดแขนเสื้อ ของเหลวจื้อจุนไหลทะลักออกมาแล้วรวมตัวกันราวกับสายธาร
ในนี่มีปริมาณของเหลวจื้อจุนถึงแปดสิบล้านหยด
การที่จะกระตุ้นเจดีย์แปดองค์จะต้องใช้พลังงานหลิงจำนวนมหาศาล ซึ่งเป็นสิ่งที่แม้แต่มู่เฉินก็ไม่สามารถทำได้แม้ว่าเขาจะใช้พลังงานทั้งหมดที่มีก็ตาม ดังนั้นเขาจึงต้องใช้ของเหลวจื้อจุนจำนวนมหาศาลเพื่อช่วยเหลือ
ยิ่งกว่านั้นนี่ยังเป็นเพราะมู่เฉินบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว มิฉะนั้นเขาจะต้องใช้ของเหลวจื้อจุนถึงร้อยห้าสิบล้านหยดเป็นอย่างน้อย…
“โชคดีที่ข้านำคลังของตำหนักมู่มาด้วย…”
มู่เฉินถอนหายใจในใจก่อนที่จะสูดหายใจลึก โดยไม่ลังเล ตราประทับก็เริ่มเปลี่ยนไป สายธารที่เกิดจากของเหลวจื้อจุนก็พวยพุ่งออกมา
ยามนี้ภาพร่างที่น่ากลัวทั้งแปดบนผนังก็เปิดปากเริ่มกลืนกินสายธารของเหลวล้ำค่า
ขณะที่พวกมันกลืนกินพลังงาน ภาพปีศาจทั้งแปดก็เริ่มขยับร่างกายส่วนบนผลักตัวออกจากผนังกำแพง
ตอนนี้พวกมันกลายเป็นของจริงแล้ว
หวือ หวือ!
แรงกดดันจากคลื่นหลิงน่าสะพรึงดังขึ้นภายในเจดีย์ผลึกแก้ว ความกดดันนี้ทำให้ใบหน้าของทั้งสามเปลี่ยนไป พวกเขารู้สึกว่าถูกคุกคามอย่างมากจากภาพปีศาจทั้งแปด
“ออกจากเจดีย์เร็ว!”
ทั้งสามตะเบ็งเสียงพร้อมกัน ทันใดนั้นพวกเขาก็เปิดฉากการโจมตีพยายามฉีกเส้นทางมิติ เพื่อพาตัวเองออกไป
ทว่ามู่เฉินจะให้โอกาสพวกเขาทำเช่นนั้นได้ยังไง? เขาใช้งบประมาณมหาศาลเพื่อดำเนินการกับเจดีย์แปดองค์ ดังนั้นเขาต้องเก็บเกี่ยวจากเรื่องนี้
เขาวาดตราประทับอีกครั้ง
โฮก!
เมื่อเขาสร้างตราประทับ ภาพปีศาจทั้งแปดก็คำรามเสียงดังลั่น ซึ่งอัดแน่นด้วยรัศมีการทำลายล้าง
ภาพปีศาจทั้งแปดภาพจ้องมองอย่างดุร้ายไปที่ทิศทางของเจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทอง ก่อนที่จะเหยียดนิ้วออกแตะมิติตรงหน้า
ฟิ้ว!
ลำแสงแปดสายพุ่งออกมาจากนิ้ว ทำให้มิติแตกสลาย กระทั่งคลื่นหลิงยังถูกลบเลือนไปโดยสิ้นเชิง
ลำแสงสีดำพุ่งเข้ามา แม้จะไม่ได้ดูอลังการอะไร ทว่าจอมยุทธ์ทั้งสามถึงกับเปลี่ยนสีหน้ารุนแรงความกลัวพล่านในดวงตาส่วนลึกของพวกเขา
เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้สึกถูกคุกคามจากสิ่งนี้
“โจมตีพร้อมกัน!”
ทั้งสามไม่สามารถสงบใจเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไป พวกเขาร้องคำรามทันที
“โอบเมฆม่วง!”
“ระฆังวัชระยืนยง!”
“เกราะปีกเทพทองคำ!”
ร่างเวทสวรรค์ทั้งสามรวมพลังกัน คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพุ่งออกมาสร้างปราการป้องกันสามแห่งบนท้องฟ้าเหนือร่างพวกเขา
ชั้นแรกเป็นหมอกสีม่วงปกคลุมไปด้วยลวดลายลึกซึ้ง ชั้นสองเป็นระฆังสีทองขนาดใหญ่และสุดท้ายเป็นเกราะที่ประกอบขึ้นด้วยปีกสีทอง…
เผชิญหน้ากับลำแสงสีดำ ทั้งสามก็ใช้ปราการป้องกันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดโดยไม่ลังเลใดๆ
นอกเหนือจากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนแท้จริง ก็ไม่มีใครสามารถทำลายปราการทั้งสามได้!
ฟิ้ว!
เมื่อแนวป้องกันทั้งสามถูกสร้างขึ้น ลำแสงแปดสายก็มาถึงทันที พุ่งเข้าโรมรันแสงสีม่วงชั้นแรกโดยไม่ลังเลใดๆ
ชี่ ชี่!
ในการปะทะกันไม่มีความปั่นป่วนใดเกิดขึ้น แต่เจ้าเมฆาม่วงก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าโอบเมฆม่วงถูกลำแสงทั้งแปดแทงทะลุในทันที
นิยามได้ว่าถูกบดขยี้แท้จริง!
เคร้ง!
ระฆังสีทองส่งเสียงก้องกังวาน แต่ฟังดูเหมือนเสียงโหยหวนแห่งความสิ้นหวัง เพราะไม่รอให้พวกเขาดีใจ รอยแตกก็เริ่มกระจายออกมาบนระฆังทองก่อนที่จะสลาย
ชี่!
ระฆังทองแตกออก แสงสีดำก็ส่องลงบนเกราะปีก ทันใดนั้นสีดำก็กระจายออกราวกับว่าถูกกัดกร่อน เพียงไม่กี่อึดใจชิ้นส่วนของชุดเกราะขนาดใหญ่ก็กลายเป็นของเหลวสีดำหยดแหมะลงไป
เฮือก
จอมยุทธ์ทั้งสามสูดลมหายใจเย็น ความหวาดผวาพล่านในดวงตา แนวป้องกันทั้งหมดของพวกเขาแตกพ่ายง่ายดายภายใต้ลำแสงสีดำ!
มู่เฉินเฝ้าดูฉากนี้อย่างนิ่งเฉยไม่มีความประหลาดใจเลย วิชาเจดีย์แปดองค์เป็นวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่าในตำนาน
ย้อนไปในอดีตผู้อาวุโสฝูถูก็ใช้วิชานี้สังหารราชาปีศาจมานับไม่ถ้วน ดังนั้นเป็นเรื่องปกติที่ง่ายในการจัดการจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มสามคนที่เพิ่งได้สัมผัสกับเทียนจื้อจุน
“ไป!”
มู่เฉินเคาะนิ้วออกเบาๆ พลางพูดออกมาแผ่วเบา
ฟิ้ว!
ลำแสงแปดสายเพิ่มความเร็วขึ้น พริบตาก่อนที่ทั้งสามจะตอบสนองลำแสงทำลายล้างทั้งหมดก็กระแทกเข้ากับร่างเวทสวรรค์ทั้งสาม
ชี่ ชี่!
เมื่อสัมผัสกับลำแสงสีดำทุกสรรพพสิ่งก็ถูกสึกกร่อนกลายเป็นของเหลวสีดำ สลายไปอย่างรวดเร็ว…
เจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองมองไปที่ร่างยิ่งใหญ่ที่ด้านล่างด้วยความหวาดกลัว พวกเขาสัมผัสได้ว่าร่างเทห์สวรรค์พังทลายลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ของเหลวสีดำที่ผิดปกติยังพยายามเข้าแทรกร่างหลักผ่านร่างเทห์สวรรค์ด้วย
ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามใช้คลื่นหลิงต้านทานอย่างไร ก็ไม่สามารถขวางทางของเหลวสีดำเหล่านั้นได้!
พวกเขาฉายใบหน้าซีดเซียว ไม่มีใครคิดว่าจะต้องมาอยู่ในสภาพที่น่าสมเพชเช่นนี้!
นอกจากนี้พวกเขายังไม่เข้าใจว่ามู่เฉินใช้การโจมตีที่น่ากลัวเช่นนี้ได้อย่างไร ทั้งที่มีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มเท่านั้น…
แต่ไม่ว่าพวกเขาจะรู้สึกไม่เชื่อเพียงใด ความจริงก็อยู่ต่อหน้าแล้ว ร่างเวทสวรรค์ที่แข็งแกร่งใต้เท้าพวกเขากำลังพังทลายลง ลำแสงสีดำที่ครอบงำเป็นเหมือนเชื้อโรคกำลังแพร่กระจายเข้ามาในร่างหลักอย่างรวดเร็ว
“ทำลายร่างเทห์สวรรค์!”
ทั้งสามคนสบตากันกัดฟันกรอด ยามนี้พวกเขาเลือกที่จะหักข้อมือของตัวเอง มิฉะนั้นงานนี้พวกเขาได้รับบาดเจ็บหนักแน่ ถ้าให้ลำแสงสีดำเหล่านั้นกัดกร่อนร่างพวกเขา
ตู้ม!
เมื่อทั้งสามตัดสินใจ ร่างที่อยู่ใต้เท้าก็ระเบิดออกพร้อมกับแสงหลิงมากมายแตกกระจายออกไป
เมื่อมู่เฉินเห็นสิ่งนี้ก็เลิกคิ้วพลางสะบัดแขนเสื้อ เจดีย์ผลึกใสหดตัวลงอย่างรวดเร็วก่อนที่จะกลายเป็นลำแสงกลับไปสถิตในนัยน์ตา
สามจอมยุทธ์ล่าถอย พวกเขาดีใจเมื่อเห็นว่ามู่เฉินเรียกเจดีย์กลับไป ดูเหมือนว่าการระเบิดร่างเวทสวรรค์ทำให้มู่เฉินหวาดกลัว
แต่ในขณะนี้เป็นการดีที่สุดที่พวกเขาจะถอยกลับ ไม่เช่นนั้นอาจถูกดูดเข้าไปในเจดีย์อีกครั้ง
ด้วยความคิดนี้ที่วูบไหวในใจ ทั้งสามคนก็ถอยกลับโดยไม่ลังเล แต่เมื่อพวกเขาพยายามที่จะหนีออกมิติเบื้องหน้าก็แตกเป็นเสี่ยงๆ
ม่านตาของพวกเขาหดลงทันที
ฟิ้ว ฟิ้ว!
ลำแสงสีดำหลายสายพุ่งข้ามมิติไล่ตามมา ยิงเข้าใส่ร่างพวกเขาท่ามกลางสายตาหวาดผวาสุดขีด…
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น