หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1353-1360

บทที่ 1353 การต่อสู้ทางอำนาจของจักรวร...

 

“สำนักเมฆาม่วง…”


เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน สีหน้าของมั่นถัวหลัวก็กลายเป็นเคร่งเครียดก่อนที่นางจะเหลือบไปที่ด้านนอกห้องโถงพูดว่า “ตาเฒ่าสามคนนั่นเป็นผู้อาวุโสของสำนักเมฆาม่วงที่มีตำแหน่งสำคัญ เจ้าใจกว้างจริงๆ ที่ปล่อยพวกมันไป”


ถึงยังไงทั้งสามคนก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ถ้าจับพวกเขาไว้ก็จะสามารถข่มขู่สำนักเมฆาม่วงได้


“เวลาหนึ่งปีต่อจากนี้พวกเขาจะสูญสิ้นศักยภาพ ต่อให้หายพลังก็อยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นเท่านั้น” มู่เฉินยิ้มเหี้ยมก่อนจะพูดต่อ “ผนึกที่ข้าทิ้งไว้ไม่สามารถลบออกได้ เว้นแต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจะเป็นผู้ลบออกให้”


เขาพูดอย่างสบาย แต่คำพูดนี้ก็ทำให้หัวใจของทุกคนในห้องโถงสั่นสะเทือนด้วยความหวาดผวา วิธีของประมุขพวกเขาน่ากลัวเกินไปแล้ว เขาเป็นเพียงจอมยุทธ์เกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่ผนึกที่เขาทิ้งไว้นั้น ต้องใช้ระดับเทียนจื้อจุนลบออกเชียวเหรอ?


มั่นถัวหลัวก็ประหลาดใจไปเช่นกัน ขณะที่นางมองมู่เฉิน นางไม่คิดมาก่อนว่าเขาจะทรงพลังมากขนาดนี้ หากเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีอะไรที่นางต้องกังวลเกี่ยวกับผีแก่สามตัวนั่น


ต่อหน้าความแข็งแกร่งแท้จริง กลอุบายเล็กน้อยก็ไม่มีความสำคัญ


“เจ้าก็รู้ว่าภูมิภาคทางเหนือของเราเป็นเพียงส่วนหนึ่งของจักรวรรดิเหนือ แม้ว่าเราจะรวมกันเป็นหนึ่ง แต่ความแข็งแกร่งของเราถือได้อยู่ชั้นกลางในจักรวรรดิเหนือเท่านั้น” มั่นถัวหลัวกล่าวช้าๆ


มู่เฉินพยักหน้า ทวีปเทียนหลัวเป็นมหาทวีปในมหาพันภพ ทวีปที่มีขนาดใหญ่เพียงนี้มีน้อยมากกระทั่งในมหาพันภพ ก็เป็นธรรมดาที่จะมีขั้วอำนาจพอกับดวงดาวบนท้องฟ้า


ในบรรดาขั้วอำนาจเหล่านั้นก็มีบางส่วนที่ยากแท้หยั่งถึง


“จักรวรรดิเหนือมีขั้วอำนาจที่แข็งแกร่งอยู่สามขั้วในตอนนี้ ก็คือสำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทอง พวกเขาเป็นยักษ์ใหญ่ที่มีดินแดนกว่าเจ็ดส่วนอยู่ภายใต้การปกครองของพวกเขา” มั่นถั่วหลัวอธิบาย


“สำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทอง…” มู่เฉินพยักหน้า ในอดีตเขาไม่เคยได้ยินชื่อเหล่านี้มาก่อนเนื่องจากภูมิภาคทางเหนือมีแต่ความวุ่นวายและอ่อนแอเกินไป ซึ่งเป็นผลให้ไม่มีขั้วอำนาจระดับสูงใดพยายามจะจับมือกับภูมิภาคทางเหนือ


ตอนนี้ภูมิภาคทางเหนือรวมเป็นหนึ่งเดียวและเริ่มแข็งแกร่งขึ้นบวกกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มอย่างมั่นถัวหลัว ทำให้พวกเขาเริ่มให้ความสนใจกับที่นี่ ดังนั้นจึงไปดึงดูดสายตาสำนักเมฆาม่วงเข้าให้


“พลังของสำนักเมฆาม่วงเป็นยังไง?” มู่เฉินถาม สำนักเมฆาม่วงคงไม่ปล่อยให้เรื่องนี้อย่างสงบแน่นอนดังนั้นเขาต้องเตรียมพร้อมสำหรับทุกสิ่งที่อาจเกิดขึ้น


“สำนักเมฆาม่วงมีผู้อาวุโสใหญ่หกคน ทั้งหมดอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ตาแก่สามคนที่มาก่อนหน้านี้ก็เป็นสามในนั้น”


มู่เฉินพยักหน้า การมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มหกคนถือว่าทรงพลังแท้จริง แม้แต่แคว้นเซี่ยและตำหนักเทพอสูรที่เขาเคยพบมาก่อนซึ่งมีชื่อเสียงมากในทวีปเทียนหลัวก็ยังอ่อนแอเมื่อเทียบกัน


ดูเหมือนว่าเขาจะประเมินทวีปเทียนหลัวต่ำไปในอดีต


“แน่นอนว่าผู้อาวุโสใหญ่ทั้งหกไม่ใช่จอมยุทธ์แข็งแกร่งที่สุด แต่เป็นประมุขสำนักเมฆาม่วงซึ่งอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มระยะปลายสุดมานาน มีข่าวลือว่าเขาเริ่มสัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุน พลังของเขาน่ากลัวมากจนไม่ใช่สิ่งที่ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มจะสามารถต่อกรได้” ขณะที่พูดดวงตาของมั่นถัวหลัวก็อัดแน่นด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง


ในมหาพันภพมีผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่ชะงักการเพาะบ่มพลังอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มและมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถสัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนได้ นั่นเป็นเพราะการบรรลุขั้นตอนนั้นจะทำให้พวกเขาเปิดประตูสู่ระดับเทียนจื้อจุน เพื่อที่พวกเขาจะได้มีโอกาสบุกเข้าไปในระดับดังกล่าวในอนาคต


“เขาสัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนแล้วหรือ?” สายตาของมู่เฉินเป็นประกายด้วยแสงแปลกประหลาดเมื่อได้ยินก่อนที่จะครุ่นคิด “ไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนในจักรวรรดิเหนือเรอะ?”


ด้วยประสบการณ์และมุมมองที่กว้างขึ้น เขาพบว่านี่แปลกเกินไป โดยทั่วไปทวีปเทียนหลัวที่เป็นมหาทวีปควรเป็นสิ่งที่ขั้วอำนาจมากมายต้องการจะครอบครอง แล้วเหตุใดทวีปเทียนหลัวจึงยังคงไม่มีเจ้าเหนือหัวสักที


จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนแห่งมหาพันภพไม่น่าจะปล่อยให้ทรัพยากรเหลือเฟือของทวีปทียนหลัวไม่ถูกแตะต้อง


“บางทีในทวีปเทียนหลัวยังอาจไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเลย” มั่นถัวหลัวส่ายหน้าก่อนที่จะพูดต่อด้วยรอยยิ้ม “แต่จำนวนจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่ให้ความสนใจกับทวีปเทียนหลัวอาจจะอยู่นอกเหนือจินตนาการของเจ้าเลย”


มู่เฉินอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะเข้าใจบางอย่าง “ดูเหมือนว่าขั้วอำนาจจำนวนมากจับตาดูทวีปเทียนหลัวสินะ…”


ทวีปเทียนหลัวเป็นชิ้นเนื้อติดมันชุ่มฉ่ำ แม้แต่ขั้วอำนาจอื่นๆ ในมหาพันภพยังปรารถนา ทว่าก็มีคู่แข่งมากเกินไปสำหรับเนื้อติดมันนี้ ซึ่งเป็นสาเหตุว่าทำไมถึงไม่มีขั้วอำนาจใดสามารถครอบครองได้ ด้วยวิธีนี้จึงก่อเกิดเป็นความสมดุลแทนโดยมีขั้วอำนาจคอยตรวจสอบซึ่งกันและกัน ส่งผลให้ทวีปเทียนหลัวไม่มีเจ้าเหนือหัวสักที


มั่นถัวหลัวพยักหน้า “เหล่าขั้วอำนาจที่จับตามองทวีปเทียนหลัวต่างร่างสนธิสัญญาว่าจะไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนมาที่ทวีปเทียนหลัวนี้ ปล่อยให้แข่งขันกันเองจนกว่าเจ้าเหนือหัวจะปรากฏขึ้น”


“แต่แม้ว่าจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนจะเข้ามาในทวีปไม่ได้ แต่ขั้วอำนาจเหล่านั้นก็ยังมีวิธีอื่น นั่นก็คือส่งคนที่มีขุมพลังต่ำกว่านั้นมาสร้างขุมกำลังในทวีปและเสริมกำลังจนกว่าจะกลายเป็นเจ้าเหนือหัว”


ดวงตาของมู่เฉินหดลง หากเป็นเช่นนั้นขั้วอำนาจชั้นสูงในทวีปเทียนหลัวไม่ถือว่าได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังหรือ?


เมื่อเห็นสายตาของมู่เฉิน มั่นถัวหลัวก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ขณะที่พยักหน้า “ถูกต้อง สำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทองต่างมีขั้วอำนาจยิ่งใหญ่คอยหนุนหลังพวกเขา”


“หลายปีที่ผ่านมาขั้วอำนาจทั้งสามพยายามต่อสู้เพื่อตำแหน่งเจ้าจักรวรรดิเหนือ ในเดือนหน้าก็จะถึงวันชิงอำนาจตามสนธิสัญญา ผู้แพ้จะต้องถอนตัวออกจากจักรวรรดิเหนือ”


“มิน่าพวกเขาถึงก้าวร้าวขนาดนี้” มู่เฉินขมวดคิ้ว ไม่น่าแปลกใจที่สำนักเมฆาม่วงจะเย่อหยิ่ง ที่แท้พวกเขามีขั้วอำนาจยิ่งใหญ่ให้การสนับสนุนอยู่นี่เอง


ดูเหมือนว่าเขาประเมินความลึกของทวีปเทียนหลัวต่ำไป ตอนแรกเขายังคิดว่าไม่มีขั้วอำนาจสูงสุดในทวีป ที่ไหนได้คนเหล่านั้นจับตามองทวีปนี้ไว้นานแล้ว ก็เหมือนกับหมากรุก ในอดีตเขาและอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นตัวหมากบนกระดานด้วยซ้ำ


ถ้าในกรณีนี้การปรากฏของวังสวรรค์บรรพกาลก็ต้องดึงดูดความสนใจเป็นอย่างมากเช่นกัน แต่การมาของเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามยับยั้งพวกเขาไว้ได้กลายๆ


ทว่าสถานการณ์ที่ซับซ้อนในทวีปเทียนหลัวไม่ได้ทำให้มู่เฉินรู้สึกหวาดกลัว เขาไม่ใช่เด็กอ่อนหัด เขาไม่กลัวจอมยุทธ์คนใดที่อยู่อยู่ใต้ระดับเทียนจื้อจุน ไม่เว้นแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มระยะปลายสุดที่ได้สัมผัสกับขุมพลังเทียนจื้อจุนแล้ว


สำหรับขั้วอำนาจสูงสุดเหล่านั้น ตอนนี้ตัวเขาถือเป็นราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพ แม้ว่าจะไม่ได้ครอบครองอำนาจใด แต่วังมหาพันภพก็ยอมรับสถานะของเขา


ไม่ต้องสงสัยนี่เป็นยันต์ป้องกันที่ยอดเยี่ยม หากขั้วอำนาจเหล่านั้นและจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนอยากจะแตะต้องตัวเขาก็ต้องพิจารณาถึงวังมหาพันภพให้ดี


ยิ่งกว่านั้นเขายังมีหินสลักของเทพจักรพรรดิสงครามอยู่ด้วย


ไม่ว่าจะในแง่ของขุมพลังหรือปัจจัยอื่นๆ ก็ไม่สามารถเอาอดีตมาเทียบได้อีกต่อไป ในอดีตสิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำหรับเขาสามารถทำได้ในตอนนี้


“ตอนนี้ตำหนักมู่ของเรามีรายได้ต่อปีละเท่าไร?” จู่ๆ มู่เฉินก็ถามขึ้นขณะที่มองไปที่มั่นถัวหลัว


มั่นถัวหลัวอึ้งไปชั่วครู่เมื่อได้ยินคำถาม ก่อนที่นางจะตอบหลังจากไตร่ตรองสั้นๆ “ปัจจุบันตำหนักมู่มีของเหลวจื้อจุนประมาณสามร้อยล้านหยดต่อปี”


“สามร้อยล้าน…”


มู่เฉินส่ายหน้าเบาๆ เขามีกองทัพมังกรดำซึ่งเป็นตัวสูบขั้นสุดซึ่งต้องใช้ปริมาณของเหลวจื้อจุนแปดร้อยล้านหยดต่อปี


ไม่ต้องพูดถึงวิชาเจดีย์แปดองค์ที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าวิชาสามพิสุทธิ์ แม้ว่าจะมีพลังที่น่าสะพรึงกลัว แต่ก็จำเป็นต้องใช้ของเหลวจื้อจุนจำนวนมากเพื่อเปิดใช้


ดังนั้นตามการคาดการณ์เขาน่าจะต้องใช้ประมาณหนึ่งพันล้านหยดต่อปีเพื่อรักษากองทัพมังกรดำและวิชาเจดีย์แปดองค์


เห็นได้ชัดว่าปริมาณการบริโภคนี้ไม่ใช่สิ่งที่ตำหนักมู่ในตอนนี้สามารถรองรับได้


ดวงตาของมู่เฉินกะพริบเล็กน้อยก่อนที่จะถามอีกครั้ง “แล้วปีหนึ่งสำนักเมฆาม่วงมีรายได้เท่าไร?”


มั่นถัวหลัวหันไปทางเทียนจิ้วที่ปัจจุบันดูแลหน่วยสืบราชการลับของตำหนักมู่อยู่


เทียนจิ้วตอบอย่างรวดเร็วว่า “รายงานท่านประมุข จำนวนผลกำไรที่สำนักเมฆาม่วงได้รับของเหลวจื้อจุนมีประมาณหนึ่งพันห้าร้อยล้านหยดต่อปี”


“หนึ่งพันห้าร้อยล้านหยด…”


รอยยิ้มเผล่ปรากฏบนใบหน้ามู่เฉิน ต้องขั้วอำนาจระดับนี้ถึงจะสามารถทนต่อการบริโภคของเขาได้ ซ้ำยังช่วยให้ตำหนักมู่ขยายตัวได้อีกด้วย


เมื่อเห็นมู่เฉินยิ้มออกมา มั่นถัวหลัวก็รู้สึกงงงวยก่อนที่จะตอบกลับ “ตอนนี้เจ้าควรคิดว่าจะจัดการกับสำนักเมฆาม่วงดีกว่า พวกเขาไม่ปล่อยให้เรื่องไปอย่างสงบแน่นอน”


“นอกจากนี้เจ้ายังแสดงให้เห็นถึงพลังยอดเยี่ยม ข้ากลัวว่างานนี้ตำหนักมู่ของเราจะตกอยู่ในสายตาของสามยักษ์ใหญ่จักรวรรดิเหนือซะแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นข้ากลัวว่าเราจะเผชิญหน้ากับปัญหาอื่นมากขึ้น”


คนอื่นๆ ก็พยักหน้า สำนักเมฆาม่วงเป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่ของจักรวรรดิเหนือซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกกดดันมาก แม้ตอนนี้จะมีมู่เฉิน แต่พวกเขาก็อดรู้สึกกังวลไม่ได้


มู่เฉินยิ้ม “ไม่เห็นมีอะไรต้องกังวล…การแย่งชิงอำนาจเพื่อครอบครองจักรวรรดิเหนือจะเริ่มในอีกหนึ่งเดือนใช่ไหม?”


มั่นถัวหลัวพยักหน้า ไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร


มู่เฉินคลี่รอยยิ้ม เสียงดังก้องไปทั่วทั้งโถงทำเอาทุกคนตกตะลึงไป


“งั้นข้าตัดสินใจแล้ว ครั้งนี้ตำหนักมู่ของเราจะเข้าร่วมการต่อสู้ชิงอำนาจจักรวรรดิเหนือเพื่อเป็นเจ้าเหนือหัวด้วย!”



 

 

 


บทที่ 1354 ตำหนักมู่อันเฟื่องฟู

 

“เข้าร่วมการต่อสู้ชิงอำนาจจักรวรรดิเหนือเพื่อเป็นเจ้าเหนือหัว?”


เสียงของมู่เฉินทำให้ผู้คนตกตะลึง พวกเขาสติหลุดลอยไปอย่างเห็นได้ชัดกับแผนการทะเยอทะยานนี้


ที่สุดแล้วภูมิภาคทางเหนือก็ถือว่าเป็นขั้วอำนาจชั้นกลางในจักรวรรดิเหนือเท่านั้น ในแง่ของความแข็งแกร่งเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะลงชิงชัย


ถึงแม้ว่ามู่เฉินจะโดดเด่น แต่ตำหนักมู่อ่อนแอเกินไป มีเพียงมั่นถัวหลัวหนึ่งเดียวที่มีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม


เมื่อมองไปเห็นสีหน้าตกตะลึงของทุกคน มู่เฉินก็ยิ้มบางก่อนที่จะชี้ไปทางหลิงซีและหลงเซี่ยง “หลงเซี่ยงและหลิงซีจะเข้าร่วมกับตำหนักมู่ด้วย คนหนึ่งเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม อีกคนเป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียน”


พวกเขาได้เห็นความแข็งแกร่งของหลงเซี่ยงแล้วจึงไม่มีใครแปลกใจ แต่เมื่อได้ยินว่าหญิงสาวชุดขาวเป็นหลิงเจิ้นจงซือ พวกเขาก็อุทานออกมาด้วยความตกใจทันทีเมื่อมองไป


ขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึง มู่เฉินก็โบกแขนเสื้อแสงหลิงวูบไหวก่อนที่ภาพเงาแข็งแกร่งจะปรากฏขึ้น นี่ก็คือเจียงหลงแม่ทัพมังกรดำ


“นายท่าน” เจียงหลงประสานมือให้มู่เฉิน ก่อนจะมองไปรอบๆ ด้วยความสงสัย


“แม่ทัพเจียงหลงจะเข้าร่วมตำหนักมู่ของเราด้วย” มู่เฉินตบไหล่เจียงหลง อีกฝ่ายก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม มีพลังอันยิ่งใหญ่


แม้ว่าเจียงหลงไม่รู้ว่ามู่เฉินกำลังทำอะไร แต่ก็พยักหน้ารับ


โห


ความโกลาหลกวนตัวในโถงขณะที่พวกหลิ่วเทียนเต้าฉายสีหน้าไม่อยากเชื่อ พวกเขาไม่คิดเลยว่าไม่เพียงแต่มู่เฉินจะเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง เมื่อเขากลับมาครั้งนี้ยังนำกลุ่มผู้เชี่ยวชาญมาด้วย


ทั้งสามเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ในแง่ของพลังแค่พวกเขาก็เหนือชั้นกว่าทั้งตำหนักมู่แล้ว


แต่หลังจากความปั่นป่วน ทุกคนก็มีไฟลุกโชนในดวงตา ในอดีตตำหนักมู่ไม่กล้าแม้แต่จุ่มมือไปแตะยังตำแหน่งเจ้าจักรวรรดิเหนือ เนื่องจากพวกเขายังอ่อนแอ ทว่าการกลับมาของมู่เฉินได้นำพาความแข็งแกร่งไปสู่ระดับใหม่


ด้วยพลังนี้บางทีพวกเขาก็สามารถไปลองดูบ้าง อย่างน้อยแม้ว่าจะไม่สามารถเป็นเจ้าจักรวรรดิเหนือ แต่ก็สามารถได้รับตำแหน่งที่คล้ายกับสำนักเมฆาม่วง


ในเวลานั้นสถานะและทรัพยากรของพวกเขาจะเปลี่ยนไปอย่างมาก


แค่คิดถึงก็ทำให้ทุกคนรู้สึกร้อนรุ่มในใจ ทั้งหมดผุดลุกขึ้นประสานมือคำนับต่อมู่เฉิน “เรายินดีที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของประมุข!”


เมื่อมองไปโดยรอบมู่เฉินก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ถ้าตำหนักมู่ต้องการที่จะเป็นเจ้าจักรวรรดิเหนือ พวกเขาก็ต้องสร้างความมั่นใจคนของตัวเองก่อน เพื่อทำให้ขวัญกำลังใจเพิ่มขึ้น


มู่เฉินหันกลับมามองไปที่มั่นถัวหลัวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าคิดอย่างไร?”


มั่นถัวหลัวยักไหล่อย่างสบายๆ “เจ้าเป็นประมุข ดังนั้นเจ้าคือคนตัดสินใจ”


นางยังประหลาดใจกับจอมยุทธ์ที่มู่เฉินพากลับมา เมื่อมีทั้งสามคนเข้าร่วมพลังของตำหนักมู่จะถูกยกขึ้นไปอีกระดับ


แน่นอนว่าหากพวกเขาต้องการตำแหน่งเจ้าเหนือหัวก็ต้องพึ่งพามู่เฉิน เพราะพวกเขาขาดพลังในการต่อสู้ระดับสูงเพื่อเผชิญหน้ากับเจ้าสำนักเมฆาม่วงที่เป็นจอมยุทธ์ซึ่งสัมผัสกับระดับตี้จื้อจุนแล้ว


ขณะที่พูดนางก็กวาดมองไปที่ทุกคน “ในเมื่อประมุขตั้งใจที่จะแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งเจ้าจักรวรรดิเหนือ ทุกคนก็ต้องเพิ่มการฝึกฝน อีกหนึ่งเดือนต่อจากนี้เราจะเข้าร่วมในการประชุมจักรวรรดิเหนือเพื่อชิงชัยตำแหน่งเจ้าเหนือหัว!”


“รับทราบ!” ทุกคนตอบรับก่อนที่จะหันไปมองมู่เฉิน เมื่อเขาพยักหน้า แต่ละคนก็ออกจากห้องโถงไป


เมื่อทุกคนไปหมดแล้ว มั่นถัวหลัวก็มองไปที่มู่เฉินกะพริบตาด้วยความสงสัย “ทำไมจู่ๆ เจ้าถึงสนใจที่จะเป็นเจ้าจักรวรรดิเหนือ?”


นางรู้จักนิสัยมู่เฉินที่ไม่ใช่คนทะเยอทะยาน มิฉะนั้นเขาคงไม่ละทิ้งตำหนักมู่และหายตัวไปนานขนาดนี้


มู่เฉินดูอึกอักไปเล็กน้อยก่อนที่จะตอบตรงไปตรงมา “ข้าต้องการของเหลวจื้อจุนอย่างน้อยหนึ่งพันล้านหยดต่อปี ข้ากลัวว่าจะไม่สามารถทำได้ด้วยตัวคนเดียว”


จริงอย่างที่มั่นถัวหลัวพูด เขาไม่ได้สนใจตำแหน่งเจ้าจักรรรดิเหนือ แต่เพื่อสนับสนุนกองทัพมังกรดำเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำเช่นนี้ การสนับสนุนกองทัพที่สามารถต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนได้ตอนที่อยู่ในจุดสุงสุดเป็นสิ่งที่มู่เฉินไม่สามารถปล่อยวางได้ ทว่าเขาไม่มีเวลาในการคิดมากนักในการหาวิธีรับของเหลวจื้อจุน ดังนั้นหากต้องการของเหลวจื้อจุนมหาศาลในระยะยาว การสร้างขั้วอำนาจที่ทรงพลังเป็นหนทางเดียวที่จะแก้ไขปัญหานี้


ตอนนี้มั่นถัวหลัวเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แม้ว่ามู่เฉินจะไม่ได้ลงรายละเอียด แต่นางสามารถเข้าใจได้ว่าของเหลวจื้อจุนต้องมีความจำเป็นสำหรับเขา มิฉะนั้นเขาคงไม่ไปทำอะไรที่ยุ่งยากเช่นนี้


“ที่นี่คือตำหนักมู่ เจ้าเป็นประมุขเพียงคนเดียว ตราบเท่าที่เจ้าเสนอตำหนักมู่ก็จะสนองทุกอย่างเพื่อเจ้าได้” มั่นถัวหลัวเหลือบมองมู่เฉินพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า นางเห็นได้ว่ามู่เฉินรู้สึกผิดในใจอยู่เล็กน้อย


มู่เฉินพยักหน้า แม้ว่าเขาจะเป็นประมุขแต่ก็เป็นสิ่งที่มั่นถัวหลัวมอบให้ นับตั้งแต่ก่อตั้งสำนักนี้ขึ้นมา มั่นถัวหลัวก็ทำงานหนักและนี่ก็คืองานหนักทั้งหมดของนาง ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เขาจะรู้สึกอึดอัดใจเนื่องจากเขาต้องการให้ตำหนักมู่ได้ของเหลวจื้อจุนเพิ่มจำนวนมหาศาลเพื่อสำหรับเขาไว้ใช้


“ใช่แล้ว นี่พี่หลิงซี หลงเซี่ยงและเจียงหลง” มู่เฉินระงับความรู้สึกขอบคุณไว้ในใจก่อนที่จะแนะนำ


หลิงซีเผยรอยยิ้มอ่อนโยนให้มั่นถัวหลัว ระหว่างทางมู่เฉินเล่าเรื่องมั่นถัวหลัวให้พวกนางฟัง ดังนั้นพวกนางจึงรู้สึกขอบคุณมั่นถัวหลัวที่ดูแลมู่เฉินอย่างดีมาตลอด


มั่นถัวหลัวสัมผัสได้ถึงความรู้สึกขอบคุณในดวงตาของหลิงซี นางก็กวาดสายตาไปที่มู่เฉิน จากรูปลักษณ์ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดูเหมือนจะไม่ธรรมดา


หลังจากทั้งสองฝ่ายรู้จักกันแล้ว มั่นถัวหลัวก็นำกลุ่มมู่เฉินออกจากห้องโถง ตำหนักมู่ในตอนนี้ก็คือเขตต้าหลัวเทียนแห่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์นั่นเอง


ตอนนี้สำนักงานใหญ่ยังเชื่อมต่อกับวังสวรรค์บรรพกาล


มู่เฉินก็อยากรู้เช่นกัน พวกเขาเข้าไปในวังสรรค์บรรพกาลภายใต้การนำทางของมั่นถัวหลัว


เมื่อเข้าสู่วังสวรรค์บรรพกาล พื้นที่ยังคงปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายโบราณ แต่ซากปรักหักพังแต่เดิมเริ่มถูกทำความสะอาดบ้างแล้ว วังสร้างขึ้นใหม่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างด้วยโครงร่างของผู้นำทวีปเทียนหลัวก่อนหน้า


“ยังมีพื้นที่ขนาดใหญ่ที่ยังไม่ได้เปิด เนื่องจากมีค่ายกลเสียหายทรงพลังที่หลงเหลือ แม้กระทั่งข้ายังไม่กล้าที่จะเข้าไป จึงได้แต่จำกัดการเข้าสู่สถานที่เหล่านั้น” เมื่อมองไปที่ดินแดนโบราณ รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าของมั่นถัวหลัว ที่นี่ครั้งหนึ่งเคยเป็นบ้านเกิดของนาง ทว่ามันถูกทำลายเมื่อนางตื่นจากนิทรา


“เจ้ามอบหน้าที่ค่ายกลที่เสียหายให้พี่หลิงซีได้เลย นางเป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียน น่าจะสามารถปรับแต่งหรือจัดการลบออกได้” มู่เฉินพอใจมากที่วังสรรค์บรรพกาลเต็มไปด้วยชีวิตชีวา จึงยิ้มแย้มแจ่มใส


หลิงซีพยักหน้า นางเองรักในศาสตร์ค่ายกลอยู่แล้ว ดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนางที่จะได้ศึกษาค่ายกลโบราณเหล่านั้น


มั่นถัวหลัวชื่นชมยินดีในหัวใจ วังสวรรค์บรรพกาลจะสามารถพัฒนาได้เร็วยิ่งขึ้นด้วยความช่วยเหลือของหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียน


ทุกคนเดินต่อไป อึดใจต่อมาพวกเขาก็เห็นแม่น้ำสีเงินพราวระยับไหลเอื่อยบนท้องฟ้า กำจายคลื่นหลิงไร้ขอบเขตออกมา


“คลื่นหลิงบริสุทธิ์อะไรปานนี้!” เมื่อหลิงซีและหลงเซี่ยงเห็นแม่น้ำขนาดมหึมาก็พากันร้องอุทานทันที


คลื่นหลิงที่นี่หนาแน่นกว่าภายนอกหลายสิบเท่า หากพวกเขาสามารถฝึกยุทธ์ได้ที่นี่ ความเร็วในการเพาะบ่มก็จะเร็วขึ้นมากอย่างไม่ต้องสงสัย


“ช่างเป็นสถานที่ฝึกยุทธ์ที่ดีนัก!”


มู่เฉินก็อุทานขณะที่กวาดสายตาไป เขาเห็นแท่นหยกสีขาวรอบๆ แม่น้ำที่ปกคลุมไปด้วยแสงหลิงที่ไร้ขอบเขต


มีเงาร่างมากมายอยู่บนนั้น


ฟิ้ว!


ในระยะไกลลำแสงสองสายทะยานเข้ามาที่เบื้องหน้ากลุ่ม ภาพหญิงสาวทรงเสน่ห์สองคนเผยออกมา คนหนึ่งมีรัศมีเย็นชา ส่วนอีกคนอ่อนโยนสดใส


ทั้งสองเป็นพี่น้องกัน นี่ก็คือถังปิงและถังโหยว


“คารวะท่านประมุขและท่านมั่นถั่วหลัว!” ถังปิงและถังโหยวกล่าวด้วยเสียงเคารพ


แต่เมื่อพวกนางกำลังจะโค้งคำนับก็ถูกหยุดไว้ด้วยพลังอ่อนโยน มู่เฉินส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “เรารู้จักกันมานาน ไม่จำเป็นต้องมากมารยาทเช่นนี้”


ย้อนกลับไปตอนนั้นทั้งถังปิงและถังโหยวก็ดูแลเขาตั้งแต่เข้าร่วมหอวิหคโลกันตร์ในฐานะแม่ทัพตัวน้อย เพราะพวกนางเขาจึงสามารถผงาดขึ้นท่ามกลางหอวิหคโลกันตร์และอาณาเขตกงเวทสวรรค์


พอเห็นรอยยิ้มคุ้นเคยบนใบหน้ามู่เฉิน ร่างกายที่ตึงเครียดของถังปิงและถังโหยวก็คลายลง ดูเหมือนแม้ว่ามู่เฉินจะมีสถานะใหม่ แต่เขาก็คือมู่เฉินคนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง


“ตอนนี้ถังปิงและถังโหยวเป็นผู้ดูแลตำหนักมู่ กิจการภายในหลายอย่างอยู่ภายใต้การกำกับของพวกนางเช่นป้ายยุทธ์ทะเลสาบสวรรค์ เป็นสิ่งร้อนแรงที่สุดในภูมิภาคทางเหนือตอนนี้” มั่นถัวหลัวยิ้ม


“ป้ายยุทธ์ทะเลสาบสวรรค์?” มู่เฉินอึ้งไป


“ทะเลสาบสวรรค์เป็นสถานที่เพาะบ่มที่หาได้ยากในภายนอก ดังนั้นเพื่อให้รางวัลและจูงใจจอมยุทธ์ของตำหนักมู่ เราได้วางกฎไว้ว่าทุกเมืองภายใต้การปกครองจะได้รับป้ายยุทธ์ในจำนวนหนึ่งต่อปีตามผลงานที่ทำไว้และทุกป้ายสามารถส่งจอมยุทธ์คนหนึ่งมาฝึกฝนที่นี่ได้เป็นเวลาหนึ่งปี” มั่นถัวหลัวอธิบาย


“ตอนนี้ทุกคนทำงานอย่างหนักเพื่อรับป้ายยุทธ์ไป”


มู่เฉินเต็มไปด้วยการสรรเสริญเมื่อได้ยิน นั่นหมายความว่าพวกเขาเพิ่มความน่าสนใจมากล้นของทะเลสาบสวรรค์ มิหนำซ้ำยังดึงดูดจอมยุทธ์ให้เข้าร่วมกับตำหนักมู่ในระยะยาว


“สุดยอด” มู่เฉินยกนิ้วหัวแม่มือให้ถังปิงและถังโหยว


รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของถังปิง ขณะที่ใบหน้าของถังโหยวแดงซ่านมือไม้บิดมุมเสื้อผ้าจนม้วนต้วนไปหมด


มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองทุกคนที่ฝึกฝนอยู่ที่นี่ก็อดถอนหายใจไม่ได้ ตำหนักมู่เจริญรุ่งเรืองเต็มไปด้วยพลังชีวิต เพียงรอแค่โอกาสหนึ่ง ตำหนักมู่ก็จะสามารถเติบโตขึ้นกว่านี้แน่นอน


ขณะที่มู่เฉินถอนหายใจ จู่ๆ ท่าทางก็เปลี่ยนไป สายตาเบนไปทางมั่นถัวหลัวพูดขึ้นว่า “ช่วยข้าดูแลพี่หลิงซีกับคนอื่นๆ ด้วย”


เมื่อบอกเสร็จ ร่างก็หายไป มั่นถัวหลัวเฝ้ามองภาพนี้อย่างครุ่นคิด


นั่นเป็นเพราะเมื่อครู่นางรู้สึกได้ถึงคำเรียกคลุมเครือและคุ้นเคย ซึ่งดูเหมือนจะมาจากหอคัมภีร์เทพซ่อนของวังสวรรค์บรรพกาลนี้…



 

 

 


บทที่ 1355 ข้อแลกเปลี่ยนกับหอคัมภีร์เ...

 

มิติบิดเบี้ยวที่เบื้องหน้ามู่เฉิน


พริบตามุมมองก็สว่างขึ้นกลายเป็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวพร้อมกับดาวหางนับไม่ถ้วนบินผ่านทิ้งหางยาวเอาไว้


มู่เฉินรู้ดีว่าในดาวหางเหล่านั้นจะต้องวิชาเทพพิเศษ ทักษะการเพาะบ่ม หรือแม้กระทั่งร่างเทห์สวรรค์


สายตาเขาจ้องมองไปที่มิติเบื้องหน้าด้วยความสงสัย เขารู้สึกได้ถึงการเรียกของหอคัมภีร์เทพซ่อน จึงได้ติดตามคลื่นความผันผวนมา


อย่างไรก็ตามหอคัมภีร์เทพซ่อนมักหลบอยู่ในวังสวรรค์บรรพกาลและจะปรากฏเฉพาะเมื่อพบผู้ที่เหมาะสมที่จะได้รับโชค


แต่ตัวเขาเคยเข้ามาที่นี่แล้ว ดังนั้นเขาไม่รู้ว่าทำไมหอคัมภีร์เทพซ่อนจึงเรียกเขาในครั้งนี้


ขณะที่เขารู้สึกสับสน มิติก็บิดเบี้ยวข้อความโบราณปรากฏที่เบื้องหน้า


“เจ้ามีวิชาเทพที่ไม่ได้อยู่ในบันทึกของข้า”


มู่เฉินอึ้งไปเมื่อมองคำพูดเหล่านั้น ที่แท้เขามีวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดที่หอคัมภีร์เทพซ่อนสนใจ แต่ตัวมันก็มีวิทยายุทธชั้นยอดตั้งมากมายแล้ว ดังนั้นสิ่งที่ต้องจับตามองจะต้องไม่ธรรมดา


บนตัวเขาสิ่งที่ทำให้หอคัมภีร์เทพซ่อนสนใจได้มีเพียงวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนาน…


“วิชาเจดีย์แปดองค์…”


ไม่ช้ามู่เฉินก็หาเหตุผลได้ เขาเลิกคิ้วพลางยิ้ม “แล้วเจ้าต้องการอะไร?”


หอคัมภีร์เทพซ่อนไม่ธรรมดา มีสติปัญญาไม่แพ้ใคร มันต้องการจะรวบรวมวิทยายุทธเทพทรงพลังทุกประเภททั่วสากลจักรวาล


“เก็บสะสม” คำโบราณปรากฏขึ้นอีกครั้ง


หลังจากไตร่ตรองครู่หนึ่งมู่เฉินก็พูดว่า “ก็ได้ แต่เจ้าต้องจ่ายในราคาที่เหมาะสม วิชาเจดีย์แปดองค์เป็นวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่าในตำนานของมหาพันภพ ซึ่งไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าวิชาสามพิสทุธิ์ ดังนั้นเจ้าน่าจะรู้เกี่ยวกับมูลค่าดี”


มู่เฉินไม่ได้ยึกยักกับหอคัมภีร์เทพซ่อน เนื่องจากเขารู้ว่ามูลค่าที่แท้จริงของวิชาเจดีย์แปดองค์ไม่ได้อยู่ที่วิธีการฝึก แต่เป็นเจดีย์ไข่มุกที่ได้รับการขัดเกลาโดยผู้อาวุโสฝูถู


นั่นเป็นเพราะวัสดุที่ใช้ในการปลอมแปลงไข่มุกเหล่านั้นก็คือราชันปีศาจ


ไม่มีราชันปีศาจมากพอที่จะถูกใช้เป็นวัสดุในมหาพันภพ นอกจากนี้ยังมีโอกาสล้มเหลวสูงและเป็นไปได้ที่จะมือเปล่ากลับมา


ดังนั้นมู่เฉินจึงไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธที่จะส่งวิธีฝึกฝนวิชาเจดีย์แปดองค์ไว้กับหอคัมภีร์เทพซ่อน เพราะไม่ว่าอย่างไรตอนนี้เขาครอบครองวังสวรรค์บรรพกาลและหอคัมภีร์เทพซ่อนก็อยู่ที่นี่ ดังนั้นจากมุมมองหนึ่งก็เหมือนเขาส่งของจากมือซ้ายไปยังมือขวาเท่านั้น


เพียงแต่ว่าหอคัมภีร์เทพซ่อนแปลกประหลาด แม้ในฐานะเจ้าวังโบราณ ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะควบคุมมัน


ดังนั้นเขาจะดีใจมากถ้าสามารถแลกเปลี่ยนวิธีฝึกวิชาเจดีย์แปดองค์เพื่อสิ่งที่มีค่า


เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน หอคัมภีร์เทพซ่อนก็เงียบไป มู่เฉินยิ้มไม่ได้รีบร้อน คิดจะเอาวิธีฝึกวิชาเจดีย์แปดองค์ไปเปล่าๆ มีเรื่องง่ายขนาดนี้ซะที่ไหน?


แม้ว่าหอคัมภีร์เทพซ่อนนี้จะถือว่าเป็นของเขาก็ตาม


หลังจากเงียบไปครึ่งก้านธูปคำพูดโบราณก็ขยับวูบไหวอีกครั้ง “ตามมูลค่า เจ้ามีสองทางเลือก หนึ่งรับวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดไป”


“วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอด?” ดวงตาของมู่เฉินสว่างขึ้น ตามที่เขาคาดไว้มีวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดเก็บอยู่ภายในหอคัมภีร์เทพซ่อน ทว่าเขาไม่รู้ว่านี่เป็นวิชาหนึ่งในสามสิบหกกระบวนท่าในตำนานหรือธรรมดาสามัญ หากเป็นสิ่งแรกเขาก็ทำกำไรได้มหาศาลแล้ว!


ดังนั้นเขาจึงถามตรงๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้


ซึ่งหอคัมภีร์เทพซ่อนก็ให้คำตอบอย่างรวดเร็ว “แบบธรรมดา”


มุมปากของมู่เฉินบิดเบ้ หอคัมภีร์เทพซ่อนขี้งกซะจริง คิดจะใช้วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดธรรมดามาแลกเปลี่ยนกับวิชาเจดีย์แปดองค์ของเขา? หรือว่ามันจะรู้เรื่องที่แก่นแท้ของวิชาเจดีย์แปดองค์ไม่ใช่วิธีฝึกฝน?


“ทางที่สองล่ะ?”


มู่เฉินถาม ถ้าเป็นวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดแบบสามัญ ถึงแม้ว่าจะน่าดึงดูด แต่เขาก็ไม่ได้มีความจำเป็นเร่งด่วนเพราะเขาเพิ่งได้รับวิชาเจดีย์แปดองค์มา


“ทางที่สองแลกเปลี่ยนเพื่อความเข้าใจในวิชาสามพิสุทธิ์ขั้นสอง”


ดวงตาของมู่เฉินหดเกร็ง ความเข้าใจวิชาสามพิสุทธิ์ขั้นสอง?


เมื่อเขาเริ่มฝึกฝนวิชาสามพิสุทธิ์ก็รู้ว่ามีสามขั้นตอนคือสามแยก สามรวมและสามพิสุทธิ์


แม้จะฝึกฝนทั้งวันทั้งคืน แต่เขาก็ยังติดอยู่ในขั้นแรกคือสามแยก สำหรับสามรวมยังไม่มีแนวคิดอะไรเลย


วิชาสามพิสุทธิ์เป็นหนึ่งในไพ่ตายที่สำคัญที่สุดของมู่เฉิน นอกจากนี้ก็จะมีพลังมากขึ้นเมื่อความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มพูน


ดังนั้นถ้าเขาสามารถพัฒนาวิชาสามพิสุทธิ์ให้ถึงขั้นสองได้ นั่นก็เป็นสิ่งที่น่าดึงดูดใจแน่นอน


เขาก็อยากทราบถึงพลังของสามรวม


เมื่อความคิดวนเวียนอยู่ในใจ สายตาของมู่เฉินก็เปลี่ยนเป็นแน่วแน่ ก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นพยักหน้า “ข้าเลือกทางที่สอง!”


เมื่อเทียบกับความพยายามในการเรียนรู้วิชาใหม่ เขามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มีอยู่ให้พัฒนามากขึ้นจะดีกว่า


ขณะที่มู่เฉินพยักหน้าสภาพแวดล้อมก็เริ่มเปลี่ยนไป ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวเริ่มถอยห่าง ใบไม้สีทองปูพรมบนพื้น ต้นไม้ยักษ์ยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้า ดูเหมือนถูกสลักด้วยลวดลายนับไม่ถ้วนที่วูบไหว ให้ความรู้สึกถึงความมีสติปัญญา


ใต้ต้นไม้โบราณทันใดนั้นแสงก็รวมตัวกันก่อตัวเป็นเงา


“ท่านอาจารย์?” มู่เฉินอุทานเมื่อเห็นร่างคุ้นเคย นี่คือจักรพรรดิฟ้าที่เขาเคยพบมาก่อน


แต่จักรพรรดิฟ้าไม่ได้หายไปจากโลกแล้วหรือ? ทำไมเขาถึงมาที่นี่?


ขณะที่มู่เฉินงงงวย ภาพเงาของจักรพรรดิฟ้าที่อยู่ใต้ต้นไม้โบราณก็ยิ้มให้ก่อนจะโบกมือเรียกมู่เฉินเข้ามายืนใต้ต้นไม้


จักรพรรดิฟ้านั่งลง ก่อนที่จะชี้ไปที่พื้นบอกให้มู่เฉินนั่งด้วย


จากนั้นมือของจักรพรรดิฟ้าก็เริ่มสร้างตราประทับ มิติรอบตัวบิดเบี้ยว เงาร่างสองร่างปรากฏขึ้น พวกเขาคือจักรพรรดิฟ้าชุดขาวและชุดดำ


นี่คือวิชาสามพิสุทธิ์!


เมื่อมู่เฉินเห็นสิ่งนี้ก็ตกอยู่ในภวังค์ ‘นี่ไม่น่าใช่จักรพรรดิฟ้า แต่เป็นภาพประทับที่จักรพรรดิฟ้าทิ้งเอาไว้ตอนที่กำลังฝึกฝนวิชา ซึ่งได้รับการเก็บบันทึกไว้ในหอคัมภีร์เทพซ่อน’


ร่างรองทั้งสองนั่งลงพลางหลับตาก่อนจะค่อยๆ ยื่นมือออกไป


ร่างหลักของจักรพรรดิฟ้าพยักหน้าไปทางมู่เฉิน เขาลังเลชั่วครู่ก่อนที่จะวาดตราประทับเรียกมู่เฉินชุดดำและชุดขาวออกมานั่งอยู่เบื้องหน้าร่างรองทั้งสองของจักรพรรดิฟ้า


ใต้ต้นไม้สีทองเงาร่างหกร่างหันหน้าเข้าหากัน มู่เฉินทั้งสามยื่นมือออกมาประสานกับจักรพรรดิฟ้าทั้งสาม


ตู้ม!


จังหวะที่ฝ่ามือสัมผัสกัน จิตของมู่เฉินก็สั่นไหว นี่เป็นเหมือนบทสวดมนต์ ข้อมูลไร้ขอบเขตกำลังไหลเข้ามาในห้วงแห่งจิตของเขา


ชิ้นส่วนข้อมูลเหล่านั้นเป็นฉากๆ ทั้งหมดนี้เป็นภาพการฝึกฝนของจักรพรรดิฟ้าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ทุกภาพบรรจุแน่นด้วยความเข้าใจของเขา


มู่เฉินกวาดสายตาสั้นๆ ก่อนที่เขาจะจมลงไปในฉาก ปัญหาคอขวดที่เขาเคยพบตอนฝึกฝนวิชาสามพิสุทธิ์ก็เปิดขึ้น ทำให้เขารู้แจ้ง


เขารู้ดีว่าช่วงเวลานี้มีค่าเพียงใด เขาจึงมุ่งความสนใจไปที่ความเข้าใจ ด้วยความช่วยเหลือนี้เขาจะสามารถทดลองและสรุปขั้นสองของวิชาสามพิสุทธิ์ได้ …


มู่เฉินและร่างรองทั้งสองเปล่งแสงหลิงออกมาอย่างแผ่วเบา แสงทั้งสามสายเริ่มพันกันกลายเป็นเส้นเชื่อมโยงทั้งสามเข้าด้วยกัน…


 


สำนักเมฆาม่วง จักรวรรดิเหนือ


ใบหน้าของชายชราทั้งสามซีดเผือดอยู่ในห้องโถง ขณะที่แสงสีม่วงล้อมร่างพวกเขาพร้อมกับหมอกสีม่วงลอยอวลขึ้นเหนือศีรษะ จากนั้นไม่นานมือข้างหนึ่งก็ดึงออกจากแผ่นหลังของพวกเขา


“ท่านประมุข!”


พวกจื่อเทียนเปยหันหลังอย่างรวดเร็ว ก็เห็นชายที่มีใบหน้าขาวราวกับหยกยืนอยู่ข้างหลังโดยเอามือไพล่หลัง เขาสวมชุดคลุมสีม่วง กำจายแรงกดดันที่น่ากลัวซึ่งทำให้แม้แต่มิติยังสั่นสะท้าน


ยามนี้ใบหน้าของชายชุดม่วงมืดครึ้มลงขณะเค้นเสียงเย็น “ช่างเป็นผนึกที่ครอบงำ”


เมื่อทั้งสามได้ยินเช่นนั้นหัวใจก็สั่นสะท้านด้วยความกลัว “แม้แต่ประมุขก็ไม่สามารถทำลายผนึกได้เหรอ?”


ประมุขตำหนักมู่น่ากลัวมากถึงขนาดที่แม้แต่ประมุขของพวกเขาก็ไม่สามารถปลดผนึกได้?


ใบหน้าของประมุขสำนักเมฆาม่วงดูเคร่งขรึมขณะที่ตอบเสียงเบา “ชายคนนั้นมีพลังผลึกที่ทรงประสิทธิภาพมาก ถ้าข้าทำลายด้วยความรุนแรง พวกเจ้าก็จะได้รับบาดเจ็บ แต่โชคดีที่ผนึกนี้จะคงอยู่เพียงหนึ่งปีจากนั้นก็สลายหายไปตามธรรมชาติ”


ใบหน้าพวกจื่อเทียนเปยดูขมขื่นมาก แบบนี้ไม่ได้หมายความว่าในหนึ่งปีต่อจากนี้ขุมพลังของพวกเขาจะอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นเท่านั้นรึ? ชายหนุ่มคนนั้นน่ากลัวจริงๆ ถ้าพวกเขารู้เรื่องล่วงหน้าก็จะไม่ไปที่ตำหนักมู่หรอก…


เมื่อเห็นท่าทางของพวกเขา ประมุขสำนักเมฆาม่วงก็ขมวดคิ้วพูดอย่างเรียบเฉยว่า “เราประเมินตำหนักมู่ต่ำไป ไม่คิดเลยว่าในภูมิภาคทางเหนือเล็กจ้อยจะมีจอมยุทธ์หนุ่มที่โดดเด่นเช่นนี้”


ดวงตาของจื่อเทียนเปยวาบไอเย็นชาขณะที่ตอบว่า “ท่านประมุข ประมุขตำหนักมู่ยโสโอหัง ไม่เพียงแต่เขาทำลายสารสำนักเมฆาม่วง ได้ข่าวว่ายังมีความตั้งใจที่จะคว้าตำแหน่งเจ้าจักรวรรดิเหนือเพื่อยืนอยู่ในระดับเดียวกับสำนักเมฆาม่วงของเรา!”


ดวงตาของประมุขเมฆาม่วงหรี่ลงพลางหัวเราะเยาะ “เพ้อฝันซะจริง!”


ตอนนี้จักรวรรดิเหนือแบ่งออกโดยสำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลงยิงและคฤหาสน์อินทรีทอง ดังนั้นหากตำหนักมู่ต้องการเทียบเคียงก็ต้องยึดดินแดนบางส่วนจากสามขั้วอำนาจใหญ่


ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ทั้งสามขั้วอำนาจจะไม่ยอมให้เกิดขึ้น


เพียงแค่คิดแสงสีม่วงก็วูบไหวในดวงตาของประมุขเมฆาม่วง “ในเมื่อตำหนักมู่ของเจ้าเด็กนั่นทะเยอทะยานมากนัก ข้าจะส่งคำเชิญให้เขาสำหรับการประชุมจักรวรรดิเหนือ ข้าจะขอดูว่าเขามีความสามารถในการฉกฉวยจากเราหรือไม่!”


สถานการณ์ของจักรวรรดิเหนือถูกกำหนดไว้แล้ว หากตำหนักมู่คิดว่าสามารถทำลายสถานการณ์นี้และแทรกแซงได้ ผลลัพธ์สุดท้ายจะทำให้ประมุขตำหนักมู่รู้ว่าความทะเยอทะยานอันเย่อหยิ่งไร้เดียงสาเพียงใด!



 

 

 


บทที่ 1356 การประชุมมาถึง

 

บรรยากาศในภูมิภาคทางเหนือรื่นเริงและร้อนแรง


เนื่องจากการปรากฏตัวของมู่เฉินประมุขผู้ลึกลับของตำหนักมู่บวกกับความทะเยอทะยานที่มีที่จะให้ตำหนักมู่กลายเป็นหนึ่งในเจ้าจักรวรรดิเหนือ


ความทะเยอทะยานของเขานี้ ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมในจักรวรรดิเหนือทั้งหมด ความโกลาหลเกิดไปทั่วทุกหย่อมหญ้า


เมืองหนึ่งในภูมิภาคเหนือ


โรงเตี๊ยมขนาดเล็กในเมืองนี้กำจายบรรยากาศคุกรุ่น เนื่องจากความร้อนแรงทั่วภูมิภาค


ประเด็นร้อนแรงที่พูดถึงเกี่ยวกับความตั้งใจของตำหนักมู่ในการเป็นหนึ่งในเจ้าจักรวรรดิทางเหนือ…


“หึ ข้าว่าประมุขมู่หยิ่งผยองเกินไป จักรวรรดิเหนือกว้างใหญ่และน้ำนิ่งไหลลึกนัก แม้ว่าตำหนักมู่จะรวบรวมภูมิภาคทางเหนือไว้เป็นหนึ่งเดียว แต่ก็มีพลังในระดับกลางเท่านั้นย่อมไม่สามารถแข่งขันกับขั้วอำนาจทั้งสามได้!”


“ถึงตอนนั้นข้ากลัวว่าความโกรธของสำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทองจะทำให้พื้นที่ภูมิภาคทางเหนือทั้งหมดกลายเป็นแม่น้ำเลือด!”


“เอ… แม้ว่าประมุขมู่ของเราจะอายุน้อย แต่เขาก็มีพรสวรรค์ เมื่อไม่นานมานี้ผู้อาวุโสสามคนของสำนักเมฆาม่วงแสดงอำนาจบาตรใหญ่เพื่อข่มตำหนักมู่ แต่พวกเขาก็ถูกจัดการโดยท่านประมุขอย่างง่ายดายตามความคิดของข้าพลังของประมุขไม่ได้ด้อยไปกว่าประมุขทั้งสามเลย!”


“เจ้าพูดถูก ด้วยความสามารถของประมุข ตำหนักมู่ของเราก็ไม่จำเป็นต้องลดระดับตนเองลง ต่อให้ต้องสู้กันแล้วไง ข้ายิ่งกังวลว่าผลงานจะไม่พอให้ได้รับป้ายยุทธ์ทะเลสาบสวรรค์ในปีอยู่เลย”


“ทะเลสาบสวรรค์เป็นของดีแท้จริง มีข่าวลือว่าที่นั่นเป็นดินแดนฝึกฝนศักดิ์สิทธิ์ที่วังโบราณทิ้งไว้ ข้าเคยได้ยินว่ามีหอคัมภีร์เทพซ่อนอยู่ภายในด้วย ถ้ามีโชคชะตาได้เข้าไปในนั้น สามารถได้รับกระทั่งวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเต็มเลย!”


“เฮ้ แม้ว่าจะของดี แต่ก็ต้องมีชีวิตเพื่อที่จะเพลิดเพลิน พลังที่อยู่เบื้องหลังทั้งสามขั้วอำนาจคือขั้วอำนาจสูงสุดของมหาพันภพ ต่อให้ประมุขมู่จะประสบความสำเร็จ แต่ภูมิภาคทางเหนือก็ยังคงต้องทนทุกข์ทรมานหากทำให้ขั้วอำนาจเหล่านั้นโกรธ”


“เพื่อเติมเต็มความทะเยอทะยานของตนเอง ประมุขมู่นำภูมิภาคทางเหนือทั้งหมดไปพร้อมกันนี่ไม่ใช่เรื่องดีเลยนะ”


“…”


บทสนทนาหลากประเภทกระจายในโรงเตี๊ยม


ที่มุมหนึ่งมั่นถัวหลัวนั่งฟังการพูดคุยเหล่านั้นอย่างสงบ ด้านข้างเทียนจิ้ว หลิ่วเทียนเต้าและคนอื่นๆ ก็ขมวดคิ้วแน่น


“ท่านมั่นถัวหลัวทั่วทั้งภูมิภาคทางเหนือกำลังคุยกันเรื่องนี้และก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ… ซึ่งดูแล้วเหมือนจะไม่ถูกต้อง” เทียนจิ้วเอ่ย


ช่วงเวลานี้การสนทนาราวกับโรคระบาดที่แพร่กระจายไปทั่ว ความเร็วก็นับว่าผิดปกติไปหลายส่วน


ดวงตาของมั่วถัวหลัวกะพริบวูบไหว “เจ้ากำลังบอกว่ามีใครอยู่เบื้องหลังรึ?”


เทียนจิ้วพยักหน้า “ข้ากลัวว่ามีคนพยายามใช้วิธีนี้เพื่อทำให้ผู้คนภูมิภาคทางเหนือเกิดความหวั่นไหว”


“กลยุทธ์ของสำนักเมฆาม่วง”


มั่นถัวหลัวพูดเบาๆ นางรับรู้เรื่องนี้ได้เช่นกัน ดังนั้นนางจึงส่งคนไปสืบเรื่องนี้อย่างลับๆ เมื่อเร็วๆ นี้มีสมาชิกจากสำนักเมฆาม่วงแฝงตัวเข้ามาในภูมิภาคทางเหนือและโหมกระพือข่าวลือไปทั่ว


แม้ว่าจะไม่สามารถสั่นคลอนรากฐานของตำหนักมู่ได้ แต่ก็นับว่าน่ารังเกียจ นอกจากนี้หากตำหนักมู่กลับมามือเปล่าจากการประชุมจักรวรรดิเหนือ ก็อาจทำให้ชื่อเสียงศักดิ์ศรีของตำหนักมู่ลดลงอย่างมีนัย ซึ่งส่งผลให้ภูมิภาคทางเหนือแตกแยกกันได้


หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็อาจมีขั้วอำนาจมากมายคอยจับตาดู เนื่องจากวังสวรรค์บรรพกาลของตำหนักมู่ได้รับความสนใจจากขั้วอำนาจมากมาย


“หน้าด้าน” หลิ่วเทียนเต้าสบถ พวกเขาเป็นสมาชิกของตำหนักมู่ ดังนั้นก็เป็นธรรมดาที่ต้องแค้นเคืองกับการกระทำที่บ้าบอของสำนักเมฆาม่วง


มั่นถัวหลัวโบกมือพูดอย่างเย็นชาว่า “ออกคำสั่งตรวจสอบเมืองทั้งหมดในภูมิภาคทางเหนือ หากเจอใครที่มาจากสำนักเมฆาม่วงพยายามที่จะโน้มน้าวผู้คนในภูมิภาคทางเหนือ ก็ให้จับกุมและ…”


นางวาดมือออกไปเบาๆ พร้อมกับรัศมีเย็นเยือก


ในเมื่อสำนักเมฆาม่วงต้องการเล่นแง่ ดังนั้นก็ไม่จำเป็นที่ตำหนักมู่ต้องสุภาพ มาเท่าไรก็จัดการให้เรียบ


หัวใจของพวกหลิ่วเทียนเต้าสั่นไหวเมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว ดูเหมือนว่าครั้งนี้มั่นถัวหลัวจะดำเนินการขั้นเด็ดขาดแล้ว


“ในเมื่อมู่เฉินต้องการให้ตำหนักมู่เป็นหนึ่งในเจ้าจักรวรรดิเหนือ เราก็ต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือ แม้ว่าพวกการต่อสู้ชั้นแนวหน้าต้องให้เขาเป็นคนไปจัดการ แต่เรื่องกลยุทธ์ลับหลังเราสามารถช่วยแบ่งเบาได้ ไม่งั้นตำหนักมู่เลี้ยงสมาชิกไว้เยอะขนาดนี้เพื่ออะไรกันล่ะ?” มั่นถัวหลัวเอ่ยเบาๆ


“รับทราบ!”


ทุกคนพยักหน้ารับทราบ


หลังจากเงียบไปชั่วครู่หลิ่วเทียนเต้าก็อดถามไม่ได้ “ท่านมั่นถัวหลัว ท่านคิดว่าประมุขจะสามารถแข่งขันกับจอมยุทธ์อย่างเจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองได้จริงหรือ?”


เห็นได้ชัดว่าแม้แต่คนผ่านศึกโชกโชนอย่างหลิ่วเทียนเต้าก็ยังกังวลเกี่ยวกับการประชุมที่กำลังจะมาถึง ถึงยังไงสามคนนั่นก็เป็นจอมยุทธ์ที่สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุน ชื่อเสียงของพวกเขาได้รับการสลักไว้อย่างลึกซึ้งในหัวใจของทุกคนในจักรวรรดิเหนือ


แม้ว่ามู่เฉินทรงพลังอีกหลายส่วนหลังจากกลับมา แต่ชื่อเสียงก็ยังด้อยกว่าพวกเก่าแก่ที่อยู่ในจักรวรรดิเหนือมาเป็นเวลานาน


มั่นถัวหลัวที่ได้ยินก็หันไปมองหลิ่วเทียนเต้า


อีกฝ่ายยิ้มแหยออกมาช้าๆ “ท่านมั่นถัวหลัว ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อในตัวประมุข แต่เรื่องนี้สำคัญมากกับการที่ตำหนักมู่จะทะยานหรือดับวูบก็ต้องอาศัยสิ่งนี้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะกังวล”


มั่นถัวหลัวไม่ได้ตำหนิอะไร เพราะนี่เป็นการตัดสินใจกะทันหันของมู่เฉินอยู่เหมือนกัน ขณะที่ชื่อเสียงของประมุขทั้งสามเลื่องลือในจักรวรรดิทางเหนือมาเนิ่นนาน ในอดีตก็มีขั้วอำนาจอื่นพยายามที่จะต่อต้าน แต่ก็ไม่มีใครประสบผลสำเร็จ…


ดังนั้นในภูมิภาคทางเหนือนอกจากนางแล้ว คงไม่มีใครมั่นใจว่ามู่เฉินจะประสบความสำเร็จได้


นี่เป็นการเดิมพันของมู่เฉินอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าเขาสามารถทำลายสถานการณ์ระหว่างสำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทองได้อย่างแท้จริง ตำหนักมู่ก็จะกลายเป็นเจ้าเหนือหัวแต่เพียงผู้เดียวของจักรวรรดิเหนือ


ในอนาคตเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมตำหนักมู่อาจสามารถปกครองกระทั่งทวีปเทียนหลัว เมื่อถึงเวลาที่พวกเขาประสบความสำเร็จก็จะอยู่ในระดับเดียวกับแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูที่กลายเป็นเพชรยอดคทาในมหาพันภพ


แน่นอนว่าถ้ามู่เฉินถูกหยุดโดยประมุขทั้งสามในการประชุม ตำหนักมู่ต้องกลับมาอย่างสูญเปล่า นี่จะเป็นการระเบิดอย่างมีนัยสำคัญต่อขวัญกำลังใจของตำหนักมู่ ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นการทำลายล้าง ในเวลานั้นสำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทองก็จะเข้ามารุมทึ้ง เพราะพวกเขาต่างหวังจะครอบครองวังสวรรค์บรรพกาล


ภายใต้การขัดขวางมีโอกาสสูงที่ตำหนักมู่จะแตกเป็นเสี่ยงๆ


นี่เป็นผลที่ร้ายแรงซึ่งเป็นสาเหตุที่พวกหลิ่วเทียนเต้ารู้สึกกังวล


ทว่ามั่นถัวหลัวไม่ได้ปลอบใจพวกเขามาก กลับมีรอยยิ้มจางบางปรากฏขึ้น “พวกเจ้าจะคิดอย่างไรข้าบังคับอะไรไม่ได้ แต่ข้ารู้ว่ามู่เฉินเป็นคนที่จักรพรรดิฟ้าเลือก ขณะเดียวกันแม้แต่เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามยังยอมรับในตัวเขา ยอมที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเขา…”


“พวกเจ้าคิดว่าสายตาของตัวเองเทียบกับสามคนนั่นแล้วเป็นเช่นไร?”


ทิ้งประโยคนี้ไว้นางก็โบกมือจากไป


คนอื่นๆ สบสายตากัน ก่อนที่พวกเขาจะถอนหายใจและรู้สึกโล่งอกในใจ จักรพรรดิฟ้า เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามมีใครที่ไม่ใช่ยอดยุทธ์? พวกเขามองการณ์ไกลแค่ไหน มิหนำซ้ำยังมีทัศนคติที่ดีกับมู่เฉิน ดังนั้นนั่นจึงบ่งบอกถึงศักยภาพที่ประมุขของพวกเขามี


การมีเจ้านายเช่นนี้ ในอนาคตพวกเขาจะไม่ต้องเสียใจ ตราบเท่าที่พวกเขาติดตามและพยายามช่วยเหลือสุดกำลัง


 


เวลาผ่านไปในภูมิภาคทางเหนือ


บรรยากาศก็ทวีความรุนแรงมากขึ้นเนื่องจากการประชุมจักรวรรดิเหนือที่จะเกิดขึ้น ทว่าจากการกระทำแบบลับๆ ของมั่นถัวหลัวก็ส่งผลให้ขวัญกำลังใจในตำหนักมู่พุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง ผู้คนที่พยายามเผยแพร่ข่าวลือสลายกลายเป็นอากาศธาตุจนหมดสิ้น


ทว่านี่ก็เป็นเฉพาะในพื้นที่ภูมิภาคทางเหนือเท่านั้น สำหรับจักรวรรดิเหนือหลายคนเฝ้าดูจากข้างสนามด้วยความสงสารและเยาะเย้ย


ท้ายที่สุดแล้วภูมิภาคทางเหนือไม่ได้โดดเด่นเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับดินแดนจักรวรรดิเหนือทั้งหมด ที่นั่นทั้งวุ่นวายและยุ่งเหยิงไร้ความสามัคคี ตอนนี้เพิ่งจะรวมเป็นหนึ่งเดียวก็มีผู้ปกครองใหม่ที่หยิ่งผยองต้องการท้าทายอำนาจของสำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทอง…


ในอดีตขั้วอำนาจที่มีความทะเยอทะยานเช่นนี้จะถูกลบล้างไปตามกาลเวลา


ดังนั้นจากมุมมองของพวกเขาตำหนักมู่ก็จะกลายเป็นตัวตลกในการประชุมจักรวรรดิเหนือ…


ท่ามกลางความโกลาหลนี้ เวลาก็เข้าใกล้การเปิดสภาจักรวรรดิเหนือ


ตำหนักมู่ ภูมิภาคทางเหนือ


กองบัญชาการใหญ่เต็มไปด้วยจอมยุทธ์มากมายที่มารวมตัวกัน เห็นได้ชัดว่านี่คือความมีชีวิตชีวาของตำหนักมู่ในปัจจุบัน


ด้านนอกโถงมั่นถัวหลัวมองความผันผวนของคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขต ก่อนที่จะหันไปมองไปยังทิศทางของวังโบราณคิ้วของนางขมวดเป็นปมอย่างกังวล


มู่เฉินยังไม่ออกมาเลยนับตั้งแต่เข้าไปในหอคัมภีร์เทพซ่อน


แต่วันนี้ถึงเวลาที่ต้องไปยังสภาจักรวรรดิเหนือ ตอนนี้ทุกคนมารวมตัวกันแล้ว ถ้ามู่เฉินไม่แสดงตัวนี่จะเป็นเรื่องตลก ขวัญกำลังใจทั้งหมดที่ทุกคนรวบรวมมาตลอดเดือนที่ผ่านมาจะพังทลายเป็นอากาศธาตุ


“เจ้านั่น!”


มั่นถัวหลัวกำมือแน่นพลางกัดฟัน


แต่ยามนี้นางไม่สามารถแสดงความกังวลใดๆ นางได้แต่เงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์ที่ห้อยอยู่บนท้องฟ้า จอมยุทธ์ที่มารวมตัวกันก็เริ่มกระซิบกระซาบเนื่องจากมู่เฉินยังไม่ปรากฏตัว


เมื่อเห็นหัวใจของทุกคนเริ่มสั่นคลอน มั่นถัวหลัวก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ขณะที่คิดจะพูดปลอบใจ มิติก็ผันผวนอยู่ข้างๆ ก่อนที่ร่างสูงโปร่งอ่อนเยาว์จะเดินออกมาภายใต้สายตาของทุกคน


“คารวะท่านประมุข!”


เมื่อภาพเงานั้นปรากฏขึ้น เสียงสั่นสะเทือนฟ้าดินก็ดังต้อนรับการมาถึงของเขา


เมื่อมองไปที่กองทัพใหญ่มู่เฉินก็พยักหน้าก่อนที่จะยิ้มให้มั่นถัวหลัว จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นสะบัดเบาๆ พร้อมกับเสียงสะท้อนระหว่างฟ้าดิน


“เคลื่อนพล!”



 

 

 


บทที่ 1357 ที่ราบเป่ยยู่

 

จักรวรรดิเหนือกว้างใหญ่ไพศาล


เกือบแปดส่วนของดินแดนถูกแบ่งโดยสำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทอง เหลือเพียงภูมิภาคทางเหนือถือครองดินแดนอีกสองส่วนที่เหลือ


แน่นอนว่าสาเหตุที่ภูมิภาคทางเหนือตั้งตนเป็นอิสระได้นั้น เนื่องมาจากอยู่ห่างไกลและทรัพยากรก็ถือว่าดาษดื่น ดังนั้นผู้นำทั้งสามก็เลยไม่ได้ทิ้งสายตามามองมากเท่าไร


แต่ความสงบก็จบลง หลังจากที่ตำหนักมู่รวมดินแดนเข้าด้วยกัน


นอกจากนี้ตำหนักมู่ยังเป็นผู้สืบทอดวังสวรรค์บรรพกาล ตอนแรกอาจยังปิดบังไว้ได้ แต่เมื่อมีผู้คนจำนวนมากขึ้นในภูมิภาคทางเหนือรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้อมูลก็ถูกส่งต่อไปสามขั้วอำนาจที่ยิ่งใหญ่


วังสวรรค์บรรพกาลเคยเป็นเจ้าเหนือหัวของทวีปเทียนหลัว ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงเป็นดินแดนเพาะบ่มพลังยุทธ์ที่หายากในโลกอย่างไม่ต้องสงสัย หากพวกเขาได้รับมาก็จะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งอย่างมาก


สาเหตุที่ตำหนักมู่สามารถขยายอิทธิพลอย่างรวดเร็วและดึงดูดจอมยุทธ์จำนวนมากก็เนื่องจากการมีอยู่ของวังสวรรค์บรรพกาลนั่นเอง


ดังนั้นสำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทองจึงให้ความสนใจวังสวรรค์บรรพกาลและกำลังมองหาโอกาสที่จะกลืนตำหนักมู่และรับวังโบราณไป


 


ตะวันตกเฉียงใต้ของจักรวรรดิเหนือ ที่ราบเป่ยยู่


ชื่อเสียงของสถานที่แห่งนี้เลื่องลือในจักรวรรดิเหนือ เนื่องจากที่ราบนี้เป็นจุดตัดระหว่าง สำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทอง


เป็นเพราะภูมิประเทศนี้ทำให้การประชุมของจักรวรรดิเหนือถูกจัดขึ้นที่นี่


ดังนั้นช่วงเวลานี้จึงเป็นช่วงเวลาที่ที่ราบเป่ยยู่คึกคัก โดยขั้วอำนาจเกือบแปดส่วนมารวมตัวกัน


คลื่นหลิงจำนวนมหาศาลทำให้ท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยแสง ความผันผวนของคลื่นหลิงทำให้ผู้มาเยือนที่นี่เป็นครั้งแรกต้องตะลึง


ซึ่งรวมถึงตัวมู่เฉินด้วยเช่นกัน


มู่เฉินมองที่ราบอันกว้างใหญ่ก็รู้สึกได้ถึงการสั่นไหวของคลื่นหลิงมากมายราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า ในช่วงเวลาสั้นๆ แม้กระทั่งเขายังไม่สามารถรับรู้ได้ทั้งหมด


“ข้าเกรงว่าจอมยุทธ์ส่วนใหญ่ในจักรวรรดิเหนือคงมารวมตัวกันที่นี่หมดแล้ว” มู่เฉินถอนหายใจกับฉากตระการตานี้


“การประชุมสภาจักรวรรดิเหนือเป็นการตัดสินเกี่ยวกับเจ้าเหนือหัว ดังนั้นจึงไม่มีใครอยากพลาด” มั่นถัวหลัวบอกกล่าวที่ด้านข้างมู่เฉิน


มู่เฉินพยักหน้า เขาสามารถรับรู้ได้ถึงเส้นแสงที่ทะยานมาจากทุกทิศทางก่อนที่จะเคลื่อนตัวลงสู่ที่ราบกว้างใหญ่


“เห็นเครื่องหมายบนแขนจอมยุทธ์เหล่านั้นไหม?” ทันใดนั้นมั่นถัวหลัวก็พูดขึ้น


ดวงตาของมู่เฉินหดลงก่อนที่จะพยักหน้า เขามองเห็นแทบทุกขั้วอำนาจจะมีเครื่องหมายที่เป็นเอกลักษณ์บนแขน


“ผ้าสีม่วงแปลว่าอยู่ใต้การปกครองของสำนักเมฆาม่วง สีเทาคือภูเขาเหลยยิง และสีทองคือคฤหาสน์อินทรีทอง”


“เฉพาะคนที่มีผ้าพันที่แขนเท่านั้นที่สามารถเข้าสู่ที่ราบเป่ยยู่ได้ มิฉะนั้นขั้วอำนาจใดที่ก้าวเข้ามาโดยไม่มีผ้าพันที่แขนก็หมายความว่าพวกเขาตั้งใจที่จะต่อสู้กับยักษ์ทั้งสามนี้ ถึงเวลานั้นเกรงว่าเราจะไปต่อได้ยาก” มั่นถัวหลัวกล่าวช้าๆ


“โอ้? พวกเขาจะขัดขวางเราเรอะ?” มู่เฉินหรี่ตาลง


“ตามกฎของจักรวรรดิเหนือ หากขั้วอำนาจใหม่ตั้งใจที่จะแข่งขันกับทั้งสามเพื่อชิงอำนาจ ก็มีเพียงวิธีเดียว นั่นคือการต่อสู้จากขอบที่ราบเป่ยยู่เข้าสู่ใจกลาง หากสามารถยืนหยัดที่ศูนย์กลางได้ก็จะสิทธิ์แข่งขันกับพวกเขา”


“ในอดีตมีสองขั้วอำนาจทรงพลังที่ตั้งใจจะเป็นหนึ่งในผู้นำจักรวรรดิเหนือ แต่พวกเขาไม่เคยกลับมาอีกเลยเมื่อก้าวเข้าไป กลุ่มของพวกเขาสลายหายไปในที่สุด…”


มู่เฉินตอบ “ฟังดูโหดไปหน่อยแฮะ”


“ในโลกนี้ พลังคือผู้ตัดสิน หากไม่มีพลังเพียงพอก็จะถูกกลืนถ้าคิดแหย่มือไปกวนเรื่องนี้”


มั่นถัวหลัวมองไปที่มู่เฉินถามว่า “ดังนั้นเจ้าพร้อมหรือยัง? ถ้าล้มเหลวสองขั้วอำนาจนั่นก็คือตัวอย่างของพวกเรา”


มู่เฉินยิ้มก่อนที่จะหันกลับไปมองภาพเงาหลายสิบคน ทุกคนที่ได้ติดตามเขามาที่นี่ก็คือจอมยุทธ์ชั้นสูงของตำหนักมู่ ซึ่งแต่ละคนอยู่ในระดับตี้จื้อจุนแล้วทั้งสิ้น


เวลานี้จอมยุทธ์ตำหนักมู่กำลังมองที่ประมุขด้วยสายตาร้อนแรงโดยไม่มีความกลัว


“ถ้าทุกคนเชื่อมั่นว่าข้าสามารถนำพาพวกเจ้าออกไปได้ ก็จงตามข้ามา”


มู่เฉินยิ้มให้พรรคพวก เขาไม่ได้พูดคำปลุกขวัญใดๆ เพียงโบกมือทะยานเข้าไปในที่ราบเป่ยยู่


หลิงซี หลงเซี่ยงและเจียงหลงติดตามไปโดยไม่ลังเล


สำหรับคนอื่นๆ จำนวนพวกเขาดูน้อยอย่างไม่ต้องสงสัยเมื่อเทียบกับคนนับไม่ถ้วนที่รวมตัวกันในที่ราบแห่งนี้


แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดพวกเขารู้สึกมั่นใจมากเมื่อมองภาพเงาอ่อนเยาว์ที่เบื้องหน้าครรลองสายตา จากนั้นแต่ละคนก็ทะยานออกติดตามไป


เมื่อมั่นถัวหลัวเห็นฉากนี้ รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ดูเหมือนว่ามู่เฉินจะประสบความสำเร็จในการเป็นเสาหลักของตำหนักมู่ หากพวกเขาชนะการต่อสู้ครั้งนี้ จินตนาการได้ว่าตำแหน่งของเขาจะมั่นคงแค่ไหนในฐานะประมุขตำหนักมู่


รอยยิ้มคลี่ออก นางก็ย่างกรายไปปรากฏตัวที่ด้านหลังมู่เฉิน


ฟิ้ว ฟิ้ว!


ร่างแสงหลายสิบร่างจากตำหนักมู่พุ่งไปในที่ราบเป่ยยู่ จังหวะที่เข้ามาสายตาแหลมคมก็รวมตัวกันจากโดยรอบ


“ฮ่าๆ ตำหนักมู่แห่งภูมิภาคทางเหนือจริงด้วย!”


“พวกเขาช่างเป็นคนโง่เขลาที่กล้าหาญ คิดจะบุกเข้าไปในที่ราบเป่ยยู่ด้วยคนจำนวนเท่านี้เรอะ? ข้าพนันว่าพวกเขาหมดแรงตายก่อนที่จะเข้าสู่ใจกลางที่ราบได้”


“นั่นที่อยู่ด้านหน้าประมุขตำหนักมู่ใช่ไหม? เขายังเด็กมากไม่น่าแปลกใจเลยที่หยิ่งยโสเหลือเกิน”


“แต่น่าเสียดายที่หลังจากวันนี้เขาจะหลงเหลือแต่กองกระดูกบนที่ราบแห่งนี้…”


“…”


เมื่อสมาชิกตำหนักมู่เข้าสู่ที่ราบเป่ยยู่ เสียงสนทนาก็ดังก้อง สายตาเหล่านั้นเต็มไปด้วยการเยาะเย้ย เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ไว้หน้าตำหนักมู่มากนัก


สุดท้ายเหตุการณ์เช่นนี้ก็เคยเกิดขึ้นในอดีต แต่ทุกคนที่ท้าทายศักดิ์ศรีของประมุขทั้งสามกลายเป็นปุ๋ยอยู่บนที่ราบเป่ยยู่แห่งนี้


การเดินหน้าท่ามกลางสายตามองมาด้วยความสงสาร ชัดว่าต้องการความกล้ามาก จอมยุทธ์หลายคนของตำหนักมู่เริ่มรู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็ทำได้เพียงแค่ติดตามร่างเบื้องหน้าที่ไม่รีบร้อนไปอย่างใกล้ชิด


มู่เฉินเดินนำหน้าด้วยท่าทางเรียบเฉยราวกับบ่อน้ำลึก แม้ว่าเสียงจะดังกระหึ่มมาจากรอบข้าง แต่เขาก็ไม่ถูกรบกวนจากสิ่งเหล่านี้


สายตาของเขาจ้องมองไปที่ใจกลางที่ราบเท่านั้น เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงที่แผ่วเบาและลึกซึ้งสามสาย


คลื่นหลิงเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มธรรมดาจะเทียบได้


“หยุด!”


แต่ในขณะที่มู่เฉินมองลึกเข้าไป เสียงตะโกนเย็นเยือกก็ดังขึ้นก่อนที่ร่างเงาหลายสิบร่างจะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อเข้าขัดขวาง


หลายสิบร่างนั้นเปล่งความผันผวนรุนแรงพร้อมกับผ้าพันแขนสีม่วงปลิวไสว ชัดว่าเป็นจอมยุทธ์จากขั้วอำนาจใต้การปกครองของสำนักเมฆาม่วงทั้งสิ้น


พวกเขาส่วนใหญ่อยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย โดยมีสองคนอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม


ชัดว่าความโกรธแค้นที่สำนักเมฆาม่วงมีต่อตำหนักมู่ ทำให้พวกเขารวบรวมจอมยุทธ์ออกมาโจมตี


ทว่าท่าทางของมู่เฉินก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากการกีดขวาง รวมถึงความเร็วในการเดินหน้าด้วย


“ไอ้พวกหุ่นกระบอกบังอาจขวางทางนายน้อยของข้างั้นรึ? ไสหัวไป!”


หลงเซี่ยงตะโกนอย่างเย็นชาก่อนที่ร่างจะทะยานออกไปราวกับสายฟ้าพร้อมกับพลังที่น่าทึ่งพุ่งเข้าหาศัตรูด้วยหมัดที่ไม่สามารถหยุดยั้งได้


“อวดดี!”


จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มทั้งสองเกรี้ยวกราด เคลื่อนออกมาขัดขวางหลงเซี่ยง


“ฮึ่ม!”


แต่เมื่อพวกเขาเคลื่อนไหว คลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตก็กวาดเข้ามา ค่ายกลขนาดมหึมากางลงมาจากท้องฟ้าห่อหุ้มพวกเขาไว้ ทันใดนั้นคลื่นหลิงขนาดใหญ่ก็รวมกันก่อตัวเป็นพายุเฮอริเคนพัดเข้าใส่ทั้งสองโดยกักขังเอาไว้ภายใน


ปัง ปัง ปัง!


สิบกว่าลมหายใจจอมยุทธ์สำนักเมฆาม่วงที่ขวางทางก็ร่วงผล็อยเป็นใบไม้ร่วง แต่ละคนได้รับบาดเจ็บสาหัสภายใต้หมัดของหลงเซี่ยง


มู่เฉินไม่ได้มองไปที่คนเหล่านั้นตั้งแต่เริ่มต้น เขายังคงเอามือไพล่หลังเดินไปข้างหน้าภายใต้สายตาตกตะลึงรอบด้าน


สายตาเขาจดจ้องไปที่ใจกลางอย่างไม่แยแส แม้ว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของทั้งสามสำนักจะมารวมตัวกันที่นี่ แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะขัดขวางเขา


เว้นแต่ทั้งสามคนนั่นจะลงมือเอง


แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาต้องทำให้ตำหนักมู่ผงาดขึ้นเป็นผู้นำในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อพรรคพวกที่ให้ความไว้วางใจหรือทรัพยากรมหาศาลในอนาคต…


เขาต้องได้รับตำแหน่งเจ้าเหนือหัวแห่งจักรวรรดิเหนือ!



 

 

 


บทที่ 1358 กลยุทธ์ปานสายฟ้า

 

ปัง!


ขณะที่บรรยากาศในที่ราบปั่นป่วน คลื่นหลิงรุนแรงก็ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ร่างสิบกว่าร่างก็ถูกพัดกระเด็นพร้อมกับกระอักเลือดออกมา ร่างร่วงหล่นลงสู่พื้น


“นั่นเป็นกลุ่มที่แปดแล้ว”


มู่เฉินมองไปที่คนน่าสมเพชอย่างไม่แยแส นับตั้งแต่พวกเขาก้าวเข้าสู่ที่ราบนี่เป็นกลุ่มที่แปดที่ขัดขวางพวกเขา


อันที่จริงแต่ละกลุ่มไม่ได้อ่อนแอ ทุกกลุ่มมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่ไม่ว่าจะจู่โจมอย่างไร พวกเขาก็ไม่สามารถฝ่าการป้องกันของหลงเซี่ยง มั่นถัวหลัว หลิงซีและเจียงหลงได้


สำหรับจอมยุทธ์คนอื่นๆ ของตำหนักมู่ นอกจากกลุ่มหลิ่วเทียนเต้าที่มีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย คนอื่นๆ ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร อยู่ที่นี่เพื่อให้ครบจำนวนเท่านั้น


ส่วนตัวมู่เฉินก็ยังไม่ได้ออกกระบวนท่าใดแม้แต่ครั้งเดียว


เห็นได้ชัดว่าการกีดขวางเหล่านั้นไม่เพียงพอสำหรับประมุขมู่ที่จะออกโรงด้วยตัวเอง


“ไอ้พวกแมลงวันนี่!” มั่นถัวหลัวกล่าวเสียงเย็นชา นางเริ่มรำคาญคนพวกนี้แล้ว


“พวกมันมาเป็นระลอกพยายามทำให้เราหมดแรง ทันทีที่รัศมีของเราอ่อนลงคนที่จับตามองเหล่านั้นก็อาจพุ่งใส่เรา” หลิงซีกล่าวเบาๆ


“งั้นก็ให้เข้ามาได้เลย แล้วมาดูกันว่าใครจะหัวเราะเป็นคนสุดท้าย” หลงเซี่ยงยิ้มน่าขนลุก คลื่นหลิงแปรปรวนรอบๆ ตัวเขา ซึ่งบางครั้งก่อตัวเป็นภาพมังกรพลายปล่อยพลังอันน่ากลัวสั่นสะเทือนมิติออกมา


เจียงหลงกอดอก ศัตรูเหล่านี้ไม่เข้าตาเขาสักคน เนื่องจากศัตรูที่เขาต่อสู้ในอดีตล้วนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน แม้ว่าจะเป็นเพราะกองทัพมังกรดำ แต่ยังไงก็ทำให้มุมมองกว้างขึ้น


“ตอนนี้เราถือได้ว่าอยู่ในส่วนลึกที่ราบเป่ยยู่แล้ว คนเหล่านี้ก็เริ่มหวาดกลัว” มู่เฉินยิ้มอ่อน เขารู้สึกได้ว่าการกีดขวางเริ่มลดลง เห็นได้ชัดว่าหลังจากความล้มเหลวมาแปดกลุ่ม จอมยุทธ์เหล่านี้ก็เริ่มสูญเสียขวัญกำลังใจ


“ตรงไปที่ใจกลางกันเถอะ” มู่เฉินยิ้มเอามือไพล่หลังมองอย่างสบายใจ ราวกับไม่เห็นสายตาที่จ้องมองมาเลย


ทว่าด้วยท่าทางไม่แยแสของมู่เฉิน ทำให้จอมยุทธ์ที่นี่รู้สึกหวาดกลัว พวกเขาไม่กล้าหาญชาญชัยเหมือนเมื่อก่อนแล้ว


จากการปะทะกันหลายครั้ง พวกเขาสามารถบอกได้ว่าแม้ความแข็งแกร่งโดยรวมของตำหนักมู่จะไม่ได้โดดเด่น แต่จอมยุทธ์ชั้นแนวหน้าของพวกเขากลับทรงพลังอย่างมาก


จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มมีเพียงสี่คน แต่ไม่มีใครที่ปะทะได้ง่ายเลย แม้แต่ในระดับเดียวกันพวกเขาก็นับเป็นชนชั้นสูง


ตามการคาดการณ์อาจต้องใช้จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มอย่างน้อยแปดคนเพื่อหยุดยั้งทัพหน้าทั้งสี่เหล่านี้


นอกจากนี้… ยังไม่รวมถึงประมุขตำหนักมู่ที่ลึกล้ำยากหยั่งถึงได้


แม้ว่ามู่เฉินจะมีขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่ก็ไม่มีใครโง่ พวกเขาได้รับข่าวว่าประมุขอายุน้อยและลึกลับคนนี้ ทำให้ผู้อาวุโสสามคนของสำนักเมฆาสีม่วงถูกลดขั้นเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นไปเลยทีเดียว


วิธีดังกล่าวพูดได้ว่าผิดแผกนัก


“ตำหนักมู่ใช้ได้นะเนี่ย”


“พวกเขามีความสามารถจริง มิน่าล่ะถึงกล้ามาชิงตำแหน่งเจ้าเหนือหัว แต่ด่านที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขาไม่ใช่คนเหล่านี้ แต่เป็นประมุขทั้งสามที่อยู่ในใจกลางที่ราบเป่ยยู่”


“ใช่ ทั้งสามเป็นจอมยุทธ์ที่ได้สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนแล้ว พลังของพวกเขาไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มธรรมดาจะเทียบได้ บางทีในสายตาของพวกเขาการต่อสู้ที่นี่เป็นเพียงการละเล่นเท่านั้น”


“น่าเสียดายที่สุดท้ายตำหนักมู่ก็ต้องล้มเหลว”


“…”


จอมยุทธ์หลายคนพูดคุยกัน ขณะที่พวกเขามองฝ่ายที่บุกรุกเข้ามา แม้ว่าตำหนักมู่จะสามารถล้มคนแปดกลุ่มลงได้ แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าพวกเขาจะประสบผลสำเร็จ


นั่นเป็นเพราะรากฐานของประมุขทั้งสามแห่งจักรวรรดิเหนือแข็งแกร่งเกินไป


ฟิ้ว!


สมาชิกตำหนักมู่เดินทางผ่านไปแม้ว่าจะไม่เร็วมาก แต่สิ่งที่กีดขวางเส้นทางของพวกเขาก็ต้องถอยกลับไปเหมือนกระแสน้ำลง


พวกเขาตระหนักได้ถึงช่องว่างระหว่างกันหลังจากได้เห็นความแข็งแกร่งของตำหนักมู่ ดังนั้นถ้าพวกเขาเสนอหน้าออกไปก็คงจบเห่เหมือนพวกที่โชคร้ายก่อนหน้าแน่


ดังนั้นสมาชิกตำหนักมู่จึงเข้าไปถึงใจกลางได้อย่างง่ายดายโดยไม่มีสิ่งกีดขวางใดๆ


เมื่อเข้ามาถึงที่นี่ มู่เฉินก็สัมผัสได้ว่าแม้ว่าคนจะลดลง แต่คุณภาพกลับเพิ่มขึ้น


เห็นได้ชัดว่าใครก็ตามที่มาอยู่ที่นี่ได้ค่อนข้างมีชื่อเสียงในจักรวรรดิเหนือ ดังนั้นพวกเขาจึงมีพลังที่แข็งแกร่งขึ้นตามธรรมชาติ


ทว่าท่าทางของมู่เฉินก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเพียงเพราะอีกฝ่ายแข็งแกร่งขึ้น เขาพาทุกคนตัดผ่านเข้าไปราวกับใบมีดคมกรีดตัด


แต่น่าแปลกที่ไม่มีใครเคลื่อนไหวขัดขวางปล่อยให้พวกเขาผ่านไป


เมื่อมั่นถัวหลัวเห็นภาพนี้ นางก็ไม่มีความสุข คิ้วขมวดแน่นเพราะนางรู้สึกได้ว่าคนเหล่านั้นกำลังมองมาที่พวกนางด้วยสายตาเยาะเย้ย


ราวกับว่ามีละครดีๆ รอพวกเขาอยู่


มั่นถัวหลัวหันไปมองมู่เฉิน ทว่าเขาก็ยังไม่มีอาการใดๆ เอามือไพล่หลังเดินไปข้างหน้าต่อ


ดังนั้นนางจึงไม่พูดมากความรีบเดินตามเขาไป


หลังจากเดินไปพักหนึ่ง จอมยุทธ์โดยรอบก็เริ่มล่าถอยเผยให้เห็นพื้นดินโล่งเตียน ที่มีคนเก้าคนมองมาที่พวกเขาอย่างเย็นชา


ทั้งเก้าปล่อยความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังซึ่งทำให้มิติสั่นสะเทือน


ทั้งเก้าคนนั้นเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มชั้นยอดกระทั่งในหมู่จอมยุทธ์ชั้นสูง! ช่างน่ากลัวอย่างแท้จริงกับรูปแบบการรวมตัวกันที่นี่


เมื่อมั่นถัวหลัว หลิงซี หลงเซี่ยงและเจียงหลงเห็นทั้งเก้าคน ท่าทางของพวกเขาก็เปลี่ยนไปเป็นจริงจัง เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่พวยพุ่งใส่


“พวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญของสำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทอง ดูเหมือนว่าในที่สุดพวกเขาก็อดกลั้นไม่ได้ที่จะผนึกกำลังเพื่อหยุดพวกเราที่นี่แล้ว” มั่นถัวหลัวกล่าวเสียงเคร่งขรึม


ผู้ที่ขัดขวางพวกเขาก่อนหน้าคือสมาชิกจากขุมกำลังภายใต้ขั้วอำนาจทั้งสาม ทว่าตอนนี้กลับเป็นผู้เชี่ยวชาญในสำนักเหล่านั้นที่ปรากฏตัว


มู่เฉินกวาดสายตามองไปก็พบว่าเป็นตามที่มั่นถัวหลัวพูดจริงๆ ในบรรดาทั้งเก้า มีผ้าพันสีม่วง-สีเทา-สีทองอย่างละสามคน


“คนเหล่านี้แข็งแกร่งที่สุดในสามสำนักนอกเหนือจากผู้นำของพวกเขา” มั่นถัวหลัวอธิบายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ แต่การแสดงออกก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง


“ตำหนักมู่กระจ้อยร่อยคิดจะปกครองจักรวรรดิเหนือรึ? รนหาที่ตาย!” เมื่อพวกเขาก้าวเข้ามา จอมยุทธ์ทั้งเก้าก็สาดสายตาตะโกนออกมาอย่างเย็นชา


“ไสหัวออกจากที่ราบเป่ยยู่และส่งมอบวังสวรรค์บรรพกาลมาซะ มิฉะนั้นพรุ่งนี้ตำหนักมู่จะถูกล้างบางแน่!”


เสียงของพวกเขาดังสะท้อนระหว่างฟ้าดินดึงดูดความสนใจจากขั้วอำนาจอื่นๆ เมื่อพวกเขาเห็นทั้งเก้าคนขวางทางไว้ก็ได้แต่แอบเดาะลิ้น พวกเขาบอกได้เลยว่าทั้งเก้าคนนั้นอยู่รองลงจากผู้นำทั้งสามเท่านั้น


ดูเหมือนว่าก้าวเดินของตำหนักมู่จะหยุดอยู่ที่นี่แล้ว


“อวดดี!”


หลงเซี่ยงยิ้มเย็นชา ขณะที่มองไปที่ทั้งเก้าด้วยสายตาอำมหิต เสียงคำรามของมังกรพลายดังก้องอยู่รอบตัวเขา ไอสังหารเข่นฆ่าหนาแน่นกะพริบอยู่ในดวงตา


ขณะที่หลิงซีเคลื่อนไหวสัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนก็แล่นแปลบปลาบ ส่วนมั่นถัวหลัวคว้าแส้สีดำที่เต็มไปด้วยหนามแหลมออกมา เจียงหลงเร้าคลื่นหลิงทรงพลังเต็มกำลัง


ชัดว่าแต่ละคนเข้าสู่สภาพพร้อมรบ


แต่เมื่อพวกเขากำลังจะโผทะยานออกไป มู่เฉินก็โบกมือเบาๆ “ครั้งนี้ให้ข้าจัดการเถอะ”


จอมยุทธ์ทั้งเก้าไม่ได้อ่อนแอ พวกเขาอยู่ในระดับเดียวกับมั่นถัวหลัวและคนอื่นๆ บวกกับความได้เปรียบเรื่องจำนวนแล้ว แม้แต่พวกมั่นถัวหลัวก็ยังไม่ได้เปรียบมากนัก


นอกจากนี้การขัดขวางมากมายระหว่างทาง ก็ค่อยๆ ปลุกจิตสังหารในใจของมู่เฉิน ดูเหมือนว่าขั้วอำนาจทั้งสามตั้งใจที่จะลบตำหนักมู่ออกจากโลกเลยทีเดียว


ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องไว้หน้าใคร


ท่าทางของมู่เฉินสงบนิ่งก่อนที่จะก้าวออกไปโดยไม่มีความผันผวนใดๆ เขาย่างเท้าเข้าไปหาทั้งเก้าคน


“ยโสนัก!”


เมื่อจอมยุทธ์ทั้งเก้าเห็นว่ามู่เฉินกล้าเข้ามาหาพวกเขาตามลำพัง ดวงตาของพวกเขาก็สาดประกายเย็นชาขณะที่เอ่ยเยาะเย้ย “ถ้าแกไม่ย้ายก้นออกไปในสามอึดใจ ที่ราบเป่ยยู่จะเป็นหลุมศพของแก!”


ทว่ามู่เฉินไม่คิดจะตอบสนองต่อสิ่งนี้ ฝ่าเท้ายังคงก้าวเดินต่อไป


“รนหาที่ตาย!”


เมื่อเห็นว่าคำพูดของพวกตนถูกเพิกเฉย ความโกรธก็เพิ่มขึ้นในหัวใจของจอมยุทธ์ทั้งเก้า


“ในเมื่อแกเรียกร้องความตาย พวกข้าก็จะทำตามความปรารถนาให้เอง!”


จอมยุทธ์สองคนไม่สามารถข่มใจไว้ได้ พวกเขาแผดเสียงคำรามแฝงการกลั้วหัวเราะ ฝ่าเท้ากระทืบลงส่งแรงไป ร่างพุ่งเข้าหามู่เฉินพร้อมกับคลื่นหลิงทรงพลัง


ตู้ม!


หมัดทรงพลังสองหมัดพุ่งออกมาจากซัดลงบนร่างกายของมู่เฉิน


พื้นดินสั่นสะเทือน มิติแปรปรวน ทว่ามู่เฉินก็ยังคงนิ่งไม่ไหวติงพร้อมกับแสงหลิงแล่นพล่านบนร่างกาย การโจมตีที่ดุร้ายจากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มสองคนไม่สามารถสร้างความเสียหายให้กับเขาเลย


ใบหน้าของจอมยุทธ์ทั้งสองเปลี่ยนไปกะทันหัน


จังหวะเดียวกันร่างเงาของมู่เฉินก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าพวกเขาพร้อมกับเกลียวแสงระเบิดออกมาจากเจดีย์พุทธะในนัยน์ตา


เขายื่นมือออกตบลงไปเบาๆ ด้วยสีหน้านิ่งเฉย


ฝ่ามือแหวกผ่านมิติซัดบนศีรษะของจอมยุทธ์คนหนึ่ง ส่วนอีกมือกระแทกไปที่หน้าอกของอีกคน


มวลลมจากฝ่ามือราวกับสายลมพัดผ่านเบาๆ นุ่มนวลยิ่งนัก


ร่างเงาของมู่เฉินเคลื่อนผ่านจอมยุทธ์ทั้งสองไปอย่างง่ายดาย ขณะที่เขาปัดมือเบาๆ


ปัง ปัง!


ที่เบื้องหลัง คนหนึ่งหัวระเบิดกระจุยเลือดสดสาดกระเซ็น อีกคนหนึ่งตรงหน้าอกยุบลง เลือดและเนื้อพุ่งออกไปจากด้านหลัง


เงียบ


ความวุ่นวายของที่นี่เงียบกริบลง ผู้คนนับไม่ถ้วนเบิกตากว้าง ความกลัวสุดขีดฉายบนใบหน้า


ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มสองคนไม่สามารถทนรับแม้แต่กระบวนท่าเดียวของมู่เฉินก็ถูกสังหารเรียบร้อย


ยิ่งไปกว่านั้นความเด็ดขาดและความโหดเหี้ยมของมู่เฉิน ก็ทำให้จิตใจของพวกเขาสั่นสะท้านไปหมด


สายตานับไม่ถ้วนเลื่อนมองไปที่มู่เฉินที่ยังสงบนิ่งด้วยความกลัว เขายังคงนิ่งเฉยราวกับว่าเมื่อครู่เพียงแค่ตบแมลงวันไปสองตัว


ในที่สุดพวกเขาก็ตระหนักได้ว่าร่างเงาอ่อนเยาว์คนนี้ลึกล้ำและไม่อาจหยั่งรู้ได้ขนาดไหน


ความแข็งแกร่งของเขาเกินขอบเขตระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มไปแล้ว


ภายใต้สายตาหวาดผวานับไม่ถ้วน มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่จอมยุทธ์ทั้งเจ็ดที่ตกตะลึงพร้อมกับเสียงสะท้อนด้วยไอเย็นเยือก


“พวกเจ้าเข้ามาพร้อมกันเลย”



 

 

 


บทที่ 1359 สำแดงอำนาจ

 

ลมเย็นเยือกกรูเข้ามาในที่ราบเป่ยยู่


ผู้คนนับไม่ถ้วนก็รู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งสรรพางค์กาย ทว่าเมื่อสายตาของพวกเขารวมกันอยู่ที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ ความหนาวเย็นถึงได้พุ่งขึ้นสุดขั้วทำให้พวกเขาตัวสั่นสะท้าน


เบื้องหลังร่างเงาอ่อนเยาว์ ศพสองศพค่อยๆ เย็นชืดลง ไม่กี่อึดใจก่อนศพนั่นยังเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มตัวเป็นๆ อยู่เลยนะ!


แต่จอมยุทธ์ที่ทรงพลังเช่นนี้ ยังถูกกระชากชีวิตออกไปอย่างง่ายดายโดยยังไม่ได้แลกเปลี่ยนกระบวนท่ากันแม้แต่ครั้งเดียวกับร่างเงาอ่อนเยาว์


พวกเขาไม่มีโอกาสหนีด้วยซ้ำ!


สายตานับไม่ถ้วนจ้องมองไปที่มู่เฉิน ความกลัววูบไหวในดวงตาพวกเขา แม้ว่าพวกเขาจะเคยได้ยินมาว่าประมุขตำหนักมู่ไม่ธรรมดา แต่เมื่อได้เห็นกับตาพวกเขาถึงได้รู้ว่าเขาไม่ธรรมดาเพียงใด


“มิน่าตำหนักมู่ถึงคิดเข้ามายุ่งเรื่องนี้ ความแข็งแกร่งนี้คงไม่ได้อ่อนแอไปกว่าประมุขขั้วอำนาจทั้งสามเลย” มีคนพูดด้วยสีหน้าหนักใจ ดูเหมือนว่าจะเกิดการสู้รบครั้งใหญ่ในที่ราบเป่ยยู่วันนี้แน่แล้ว


ท่ามกลางสายตาหวาดผวา มู่เฉินปัดมือเบาๆ ราวกับว่ากำลังสะบัดรอยเลือดที่ไม่มีอยู่จริง จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่จอมยุทธ์ทั้งเจ็ดที่อยู่ในอาการตะลึงงัน “ยังไม่คิดจะเข้ามาพร้อมกันอีกเหรอ?”


นับตั้งแต่เขาก้าวเข้าสู่ขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มที่ถือว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่ยากต่อกรเมื่อก่อนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องท้าทายอีกต่อไป เขารู้สึกว่าแม้จะไม่ได้ใช้ทักษะเทพใดๆ มีเพียงแค่เจดีย์พุทธะและคลื่นหลิง เขาก็ไปไกลเกินกว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มหลายขุมแล้ว


ไม่ต้องพูดถึงความสามารถในการปิดผนึกอันทรงพลังของเจดีย์พุทธะ เผชิญหน้ากับความสามารถในการปิดผนึกนี้ จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็อ่อนปวกเปียกเหมือนลูกเจี๊ยบในสายตาของเขา


“กะ…แกกล้าฆ่าพวกเขาเหรอ!” ในที่สุดจอมยุทธ์ทั้งเจ็ดก็หายจากอาการตกใจก่อนที่จะแผดเสียงลั่น พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่ามู่เฉินจะเด็ดเดี่ยวและไร้ปรานีเช่นนี้


ทันทีที่เคลื่อนไหวเขาก็สังหารโดยไม่ลังเลใดๆ


นอกจากนี้สองคนที่เสียชีวิตก็อยู่สถานะรองจากผู้นำของขั้วอำนาจใหญ่ทั้งสามเท่านั้นซึ่งดำรงตำแหน่งระดับสูง พวกเขามีชื่อเสียงมากแม้แต่ในจักรวรรดิเหนือ แต่พวกเขาถูกฆ่าในพริบตาเนี่ยนะ?


มู่เฉินยิ้มอ่อน “ไม่งั้นพวกแกคิดว่าตำหนักมู่ของข้ามาเล่นเหรอไง?”


“ยิ่งไปกว่านั้นนี่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น”


มู่เฉินยิ้มออกมา ทำให้จอมยุทธ์ทั้งเจ็ดหนาวสั่นไปถึงหัวใจ ราวกับว่าพวกมันถูกมองโดยยมทูตที่ทำเอารู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึง


“วาบ!”


ทว่ามู่เฉินไม่ได้สนใจที่จะพูดมากนัก ร่างเขาหายไปอีกครั้ง ช่างคลุมเครือราวกับว่าลำแสงพร่าเลือนกำลังพุ่งผ่านมิติ


“โจมตีพร้อมกัน!” ทั้งเจ็ดร้องตะโกนด้วยความหวาดหวั่นบนใบหน้า


ตอนนี้พวกเขารู้ซึ้งแล้วว่ามู่เฉินน่าสะพรึงเพียงใด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่หยิ่งผยองอีกต่อไป เนื่องจากพวกเขารู้ว่าจะสามารถต้านทานปีศาจนี้ได้ก็ด้วยการร่วมมือกันเท่านั้น


ตู้ม ตู้ม!


ดังนั้นทั้งเจ็ดจึงเร้าร่างเทห์สวรรค์ออกมาโดยไม่ลังเลใดๆ เมื่อร่างมหึมาเจ็ดร่างปรากฏขึ้นก็กวาดพายุคลื่นหลิงไปทั่วบริเวณ


วาบ!


มู่เฉินไม่ได้หยุดชะงัก เขาไปปรากฏตัวต่อหน้าร่างเทห์สวรรค์ร่างหนึ่ง จากนั้นก็เหยียดฝ่ามือออกไปตบลงบนหน้าอกของอีกฝ่าย


เมื่อฝ่ามือกระแทกลง ผลึกแสงก็คลี่กระจาย ร่างเทห์สวรรค์ยิ่งใหญ่ก็แข็งทื่อ คลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตจางลงอย่างรวดเร็ว


ปัง!


ร่างขนาดใหญ่แตกสลายทันที เนื่องจากพลังงานที่อยู่ภายในถูกปิดผนึก ไม่สามารถรองรับได้อีกต่อไป


เมื่อร่างเทห์สวรรค์แตกสลาย เงาน่าสมเพชก็ปลิวออกไป ความไม่เชื่อและตกใจฉายบนใบหน้าของเขา


เขาไม่คิดเลยว่าถึงแม้จะนำร่างเทห์สวรรค์ออกมาก็ยังไม่สามารถเผชิญกับมู่เฉินได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว


ผลึกคลื่นหลิงผิดปกติบีบคั้นยิ่งนัก ทันทีที่สัมผัสกับร่างเทห์สวรรค์ก็จะปิดผนึกคลื่นหลิงและทำลายจากภายในสู่ภายนอก


แม้ว่าคนคนนั้นจะถอยไปอย่างรวดเร็ว แต่มู่เฉินก็เร็วกว่า ก่อนที่จอมยุทธ์คนอื่นๆ จะตอบสนอง เขาก็ได้ปรากฏตัวต่อหน้าอีกฝ่ายเหวี่ยงหมัดซัดที่หน้าอกอย่างจัง


ปัง!


ผลึกแสงพุ่งออกมาบนหมัด เมื่อผลึกแสงสัมผัสกับจอมยุทธ์คนนั้นก็ทะลุทะลวงผ่านร่างไป จากนั้นคลื่นหลิงในร่างก็หรุบหรู่ลงอย่างรวดเร็ว


“ระเบิด!”


มู่เฉินฉายท่าทางไม่แยแสพูดเบาๆ


ผลึกแสงราวกับหนามแหลมนับพันนับหมื่นระเบิดจากภายในร่างจอมยุทธ์โชคร้าย ร่างกายปริแตกออกมา


ผลึกแสงส่องประกายไปทุกอณู ด้วยคลื่นหลิงที่ถูกปิดผนึก ไม่ว่าพลังชีวิตของจอมยุทธ์คนนั้นจะทรงพลังมากเพียงใด ตราบใดที่สูญเสียคลิ่นหลิงไปเขาก็จะอ่อนแอเหมือนคนธรรมดา


พริบตาจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มอีกคนก็ลาจากโลกนี้ไป


มู่เฉินไม่แม้แต่จะเหลือบมอง เขาหลบเลี่ยงการโจมตีหลายกระบวนท่าที่เข้ามาในทิศทางของเขาก่อนที่จะทะยานเข้าใส่ร่างเทห์สวรรค์ร่างอื่น


ตู้ม ตู้ม ตู้ม!


ขณะที่คลื่นหลิงป่าเถื่อนสร้างความหายนะ ร่างขนาดใหญ่ทั้งหกก็กำจายความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลัง พร้อมกับร่างเล็กจ้อยวูบวาบท่ามกลางพวกเขา


ทว่าเมื่อใดก็ตามที่ร่างนั้นวาบผ่าน ก็จะมีร่างมหึมาถอยกลับไป จากนั้นร่างเล็กก็จะคว้าโอกาสในเสี้ยวอึดใจโจมตีด้วยผลึกคลื่นหลิงทำลายร่างเทห์สวรรค์ แล้วเริ่มไล่ล่าคนที่อยู่ภายใน ทำให้ร่างแหลกสลายเป็นชิ้นๆ


คลื่นหลิงแผดเสียงตลอดเวลาทั่วทั้งฟ้าดิน สภาพแวดล้อมเงียบสงัดลง มีเพียงเสียงคนกลืนน้ำลายเท่านั้นที่ส่งเสียงออกมาเป็นครั้งคราว


สถานการณ์ตอนนี้ แม้จะดูเหมือนว่ามีหลายคนพุ่งเป้าไปที่มู่เฉิน แต่ทุกคนบอกได้ว่าจังหวะในการโจมตีของเหล่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มวุ่นวายไปหมด ทุกกระบวนท่าที่ปล่อยออกมาอัดแน่นด้วยความกลัว


เนื่องจากพวกเขารู้ว่าเมื่อมู่เฉินพบช่องโหว ผลลัพธ์ของพวกเขาก็จะเหมือนกับคนก่อนหน้านี้


แต่ไม่ว่าพวกเขาจะหวาดกลัวเพียงใด หลังจากนั้นไม่กี่นาทีพวกเขาก็ตระหนักด้วยความสยดสยองว่าสหายรอบตัวลดลงเรื่อยๆ จำนวนของพวกเขาลดลงจากเจ็ดเหลือสี่คนแล้ว


นั่นหมายความว่าตั้งแต่เริ่มการต่อสู้จนถึงตอนนี้มีสามคนลาลับเพิ่มอีก!


นอกจากนี้คู่ต่อสู้ของพวกเขายังไม่ได้นำร่างเทห์สวรรค์ออกมาด้วยซ้ำ


ยามนี้สี่คนที่เหลือรู้สึกหวาดกลัวสุดขีดในหัวใจ พวกเขาซึ้งแล้วว่าวันนี้ดันไปปะทะกับอสูรกายที่น่ากลัวเพียงใด


พวกเขาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย


“เผ่นเร็ว!”


จิตวิญญาณการต่อสู้ของพวกเขามอดดับ ทั้งสี่ถอยออกไปในเวลาเดียวกัน พวกเขารู้ว่าถ้ายังดันทุรังต่อไป พวกเขาคงตายอยู่ที่นี่ทั้งหมด


“คิดหนีเหรอ? สายไปหน่อยมั้ง” มู่เฉินมองไปที่ทั้งสี่ก็ยิ้มบางโดยไม่มีความอบอุ่นใดๆ ในรอยยิ้ม


เขารู้ดีว่าหากตำหนักมู่ต้องการผงาดขึ้น เขาก็จะต้องข่มขู่ผู้อื่นและตอนนี้จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มฝูงหนึ่งก็ดันส่งตัวเองขึ้นเขียงมาเป็นเป้าหมายที่ดีที่สุด


ร่างวูบไหวพริบตาก็ไล่ตามร่างใหญ่ทั้งสี่ไปพร้อมกับดวงอาทิตย์ผลึกรวมอยู่ในฝ่ามือแฝงด้วยพลังที่ไม่สิ้นสุด


เมื่อสัมผัสถึงความผันผวนน่ากลัวจากดวงอาทิตย์ผลึกใบหน้าของทั้งสี่ก็ซีดเผือด พวกเขาเลิกอายตะโกนลั่น “ท่านประมุขช่วยด้วย!”


เสียงของพวกเขาถูกห่อหุ้มด้วยคลื่นหลิง สะท้อนออกไปทั่วฟ้าดิน


ตอนแรกพวกเขาไม่ต้องการขอความช่วยเหลือ เพราะกลัวเสียหน้า แต่ตอนนี้พวกเขาไม่คิดกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว เพราะหากยังไม่ขอความช่วยเหลือใดๆ พวกเขาคงจะถูกฝังอยู่ที่นี่


เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้อง มู่เฉินก็ยิ้มไม่แยแสก่อนที่จะเร่งความเร็ว ดวงอาทิตย์ผลึกพุ่งเข้าหาทั้งสี่


“กล้าดียังไง!”


เมื่อดวงอาทิตย์ผลึกกำลังจะห่อหุ้มทั้งสี่ เสียงสามเสียงก็สะท้อนออกมาราวกับฟ้าร้องก้อง


ขณะเดียวกันร่างแสงสามร่างก็พุ่งผ่านมิติ พลิ้วลงมาด้วยคลื่นหลิงทรงพลัง ปะทะกับดวงอาทิตย์ผลึก


ปัง!


เมื่อเผชิญกับการโจมตีที่น่ากลัวของทั้งสาม ดวงอาทิตย์ผลึกก็แตกออกทันที


แต่รอยยิ้มเย็นกลับปรากฏบนริมฝีปากของมู่เฉินก่อนที่จะสะบัดนิ้วออก


ฟิ้ว!


ผลึกแสงสี่สายกระจายออกจากดวงอาทิตย์ หลบลำแสงคลื่นหลิงทั้งสามยิงไปยังจอมยุทธ์สี่คนที่คลายความระวังหลังจากที่ได้รับการช่วยชีวิต


เมื่อผลึกแสงพุ่งเข้าสู่ร่างกายของพวกเขา ท่าทางของพวกเขาก็แข็งค้าง ความกลัวพุ่งขึ้นบนใบหน้าขณะที่คลื่นหลิงในร่างกายอ่อนลงด้วยความเร็วที่น่าทึ่ง


ปัง!


ร่างเทห์สวรรค์พังทลายลง เงาร่างทั้งสี่ถูกเผยออกมา แต่ละคนกระอักเลือดคำใหญ่ขณะที่ดิ่งพสุธาลงมาจากท้องฟ้า จากนั้นก็อาเจียนเป็นเลือดอีกหลายคำ


จากสภาพแม้จะรักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่พวกเขาก็ราวกับตายไปครึ่งตัวแล้ว


ที่ราบเป่ยยู่ตกอยู่ในความเงียบสงัด ทุกคนตกตะลึงพรึงเพริด ไม่มีใครคิดว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มเก้าคน ห้าคนตายคาที่ อีกสี่คนได้รับบาดเจ็บในช่วงเวลาเพียงครึ่งก้านธูป


นอกจากนี้ที่สำคัญกระทั่งผู้นำสำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทองออกโรงยังไม่สามารถปกป้องสี่คนที่เหลือได้


ประมุขตำหนักมู่คนนี้น่ากลัวแค่ไหนกัน?


ภายใต้สายตาที่ตกตะลึง มู่เฉินเหลือบมองไปที่จอมยุทธ์ที่บาดเจ็บสาหัสทั้งสี่ ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นพูดอย่างใจเย็น “ตอนนี้รู้สึกปวดใจแล้วเรอะ?”


การสูญเสียจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มของสามขั้วอำนาจถือได้ว่าทำให้รากฐานพวกเขาสั่นคลอนไปหมดทีเดียว


เสียงหัวเราะสามเสียงดังก้องจากส่วนลึก แต่ทุกคนสามารถสัมผัสได้ถึงไอสังหารที่น่ากลัวในน้ำเสียงเหล่านั้น


ทันใดนั้นมิติก็บิดเบี้ยว ทุกคนต้องตกตะลึงเมื่อเห็นร่างเงาสามร่างย่างกรายออกมา


ทั้งสามเพียงแค่ยืนอยู่บนท้องฟ้าเงียบๆ ก็ปล่อยแรงกดดันที่น่ากลัวออกมา ซึ่งเกินขอบเขตของระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มระยะปลายสุด


มีร่องรอยของระดับเทียนจื้อจุนอยู่ภายในร่างกายพวกเขา


ยามนี้สายตาของมู่เฉินก็รวมอยู่ที่พวกเขา นอกเหนือจากเจ้าสำนักเมฆาสีม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทอง พวกเขาจะเป็นใครได้อีก?


“ในที่สุดก็ออกมาซะที…”



 

 

 


บทที่ 1360 สามผู้นำ

 

เมื่อเงาทั้งสามปรากฏขึ้นทั่วบริเวณก็เงียบลง


ทุกคนมองหน้ากันความหวาดกลัว


นั่นเป็นเพราะร่างเงาทั้งสามนี้เป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวรรดิเหนือ ขณะเดียวกันก็ยังเป็นผู้นำของขั้วอำนาจทั้งสาม


เจ้าสำนักเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทอง


ทั้งสามมีชื่อก้องไปทั่วทั้งทวีปเทียนหลัว ในจักรวรรดิเหนือพวกเขาคือผู้นำที่ไม่มีใครกล้าต่อกร


มู่เฉินมองไปที่ทั้งสาม คนทางซ้ายเป็นชายวัยกลางสวมชุดขาวพลิ้วไหวในอากาศ ท่าทางดูดี ทว่าม่านตาสีม่วงของเขาดูมีเสน่ห์จนไม่มีใครกล้าดูถูก


คนที่อยู่ตรงกลางเป็นชายหัวโล้นหูใหญ่สวมเสื้อคลุมสีเทา แขนเสื้อกว้างมากปลดปล่อยความผันผวนมิติเบาบางออกมา แม้จะมีรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้า แต่คนที่มีประสาทสัมผัสว่องไวก็สามารถบอกได้ถึงความเย็นชาในดวงตาคู่นั้น


คนที่ยืนอยู่ทางขวาสวมชุดสีเทาและดูเคร่งขรึม จมูกแหลม ดวงตาทั้งสองแวววาวเป็นสีทองจางๆสายตาคมราวกับใบมีดที่ดูเหมือนว่าแทงทะลุหัวใจของคนอื่นได้


แต่ละคนปลดปล่อยความผันผวนที่ทรงพลังคล้ายคลึงกัน ทำให้มิติถึงกับสั่นสะเทือน คลื่นหลิงที่พลุ่งพล่านในฟ้าดินก็สงบลงเมื่อเข้าใกล้ตัวพวกเขา


การยืนอยู่ตรงนั้นเฉยๆ ก็ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าพวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน ให้ความรู้สึกว่าถ้าพวกเขาปลดปล่อยการโจมตี ก็เหมือนกับสวรรค์เปิดการโจมตีเอง


ความรู้สึกนี้ทำให้ดวงตาของมู่เฉินหดลง ผู้นำทั้งสามสัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนแล้ว แม้ว่าพวกเขาตอนนี้จะยังนับว่าเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่เมื่อคนอื่นๆ เทียบกับพวกเขาก็ราวกับหิ่งห้อยกับดวงจันทร์


มู่เฉินบดขยี้กลุ่มจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้อย่างง่ายดายเมื่อก่อนหน้านี้ ทั้งสามคนก็สามารถทำได้เช่นกัน


มั่นถัวหลัว หลิงซีและคนอื่นๆ ก็มาปรากฏตัวเคียงข้างมู่เฉิน แต่ละคนมองไปที่ร่างเงาทั้งสามด้วยความระวัง


“ทั้งสามคนนั้นสมกับเป็นเจ้าเหนือหัวอย่างแท้จริง พวกเขามีความสามารถเกือบจะอยู่ในระดับสี่จอมพลของวังสรรค์บรรพกาลแล้ว” มั่นถัวหลัวพูดเบาๆ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


มู่เฉินฉายสีหน้าตกใจถามด้วยความประหลาดใจว่า “จอมพลทั้งสี่ของวังสวรคค์บรรพกาลก็สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนแล้วเหรอ?”


เขาคิดมาตลอดว่าจอมพลเหล่านั้นเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มเท่านั้น


มั่นถัวหลัวกลอกตาก่อนที่จะตอบว่า “ยังไงพวกเขาทั้งสี่คนก็ได้รับการฝึกฝนจากจักรพรรดิฟ้า หากไม่ใช่เผ่าปีศาจต่างมิติบุกโจมตีตั้งแต่ที่วังสวรรค์บรรพกาลยังก่อตั้งไม่นาน พวกเขาบรรลุระดับเทียนจื้อจุนได้แน่”


มู่เฉินพยักหน้า ตอนที่เขาสามารถสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้อย่างง่ายดาย เขาก็เริ่มรู้สึกผิดปกติเล็กน้อยเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของวังสวรรค์บรรพกาล พวกเขามีจักรพรรดิฟ้าซึ่งเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง ทว่าพลังการต่อสู้ภายใต้กลับอ่อนแอกว่าปกติ


หากจอมพลทั้งสี่เป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มธรรมดา จากสถานการณ์ของจักรวรรดิเหนือในปัจจุบัน พวกเขาคงไม่สามารถดูแลที่นี่ได้ด้วยซ้ำ


แต่ถ้าเป็นจอมยุทธ์ที่ได้สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนก็แข็งแกร่งเพียงพอ แต่เมื่อเทียบกับจักรพรรดิฟ้าแล้ว พวกเขาก็ยังอ่อนแอเกินไป


“ไม่ว่าจะยุคสมัยไหนจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ไม่ใช่บุคคลที่จะพบได้ง่าย เพราะพวกเขาเป็นตัวแทนของรากฐาน ดูอย่างตำหนักซีเทียนสิ แม้ว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์จะอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียน แต่เขาก็ไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนคนอื่นอยู่ใต้บัญชาการใช่ไหมล่ะ?” เหมือนรู้ว่ามู่เฉินกำลังคิดอะไรอยู่ มั่นถัวหลัวก็ส่ายหัวพลางอธิบาย


มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ ก่อนที่จะตกอยู่ในภวังค์ความคิด จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทุกคนล้วนเป็นตัวแทนของรากฐาน แม้จะมีขั้วอำนาจมากมายในมหาพันภพ แต่ส่วนมากก็มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนหนึ่งหรือสองคนเท่านั้น ในทางตรงกันข้ามเมื่อมองไปที่เผ่าโบราณเหล่านั้น อย่างเผ่าฝูถูจำนวนจอมยุทธ์ที่มีสูงกว่ามาก จากระดับหนึ่งนั่นอาจถือได้ว่าเป็นรากฐานของพวกเขา


“ทั้งสามคนนี้ทรงพลัง แม้แต่ในวังสวรรค์บรรพกาลพวกเขาก็สามารถลงชิงชัยเพื่อตำแหน่งจอมพลได้” มั่นถัวหลัวพูดด้วยความกังวลกะพริบในดวงตา แม้ว่าเมื่อครู่มู่เฉินจะแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่มี แต่นั่นแค่การเปิดฉาก หากตำหนักมู่ต้องการที่นั่งหนึ่งในจักรวรรดิเหนือ เขาก็ต้องฉกมาจากสามคนนี้


ถ้าเขาล้มเหลว ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ก็จะถูกล้างบางเหลือเพียงเถ้าถ่าน


มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ เขาสัมผัสได้ถึงรัศมีอันตรายที่มาจากทั้งสามคน เห็นได้ชัดว่าถ้าตำหนักมู่คิดจะบรรลุเป้าหมาย การต่อสู้ครั้งใหญ่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้


ขณะที่มู่เฉินมองไปที่เจ้าสำนักเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทอง ทั้งสามก็มองไปที่มู่เฉินด้วยเจตนาฆ่าวูบไหวในส่วนลึกของดวงตา


จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มทั้งเก้านั้นล้วนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขา แต่มู่เฉินสังหารพวกเขาไปถึงครึ่งหนึ่งอย่างไร้ความปรานี ราคานี้ทำให้พวกเขารู้สึกเจ็บปวดใจอย่างยิ่ง


พวกเขาประเมินมู่เฉินและความเด็ดขาดที่อีกฝ่ายมีต่ำไปมาก


เจ้าสำนักเมฆาม่วงมองไปที่มู่เฉินอย่างน่าขนพองสยองเกล้าที่สุด ก่อนที่จะพูดอย่างช้าๆ “ฮ่าๆ ดี นานมากแล้วที่สำนักเฆาม่วงของข้าต้องประสบกับความสูญเสียเช่นนี้ เจ้าแน่จริงๆ”


หกจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มของสำนักเมฆาม่วง สามคนถูกปิดผนึกโดยมู่เฉิน สามคนที่เหลือสองคนถูกสังหารและหนึ่งคนได้รับบาดเจ็บหนัก


เหล่าผู้อาวุโสของสำนักเมฆาม่วงถูกมู่เฉินริดซะเหี้ยนเลย


เมื่อมองสายตาเย็นชาของเจ้าสำนักเมฆาม่วง มู่เฉินก็ยิ้มบาง “สำนักเมฆาม่วงของเจ้าไปที่ตำหนักข้า ทำตัวหยิ่งผยอง ดังนั้นพวกเขาก็ต้องรับผิดชอบ”


สายตาเจ้าสำนักเมฆาม่วงเย็นเยือกลงหลายส่วนก่อนที่จะแค่นเสียง “ตำหนักมู่กระจ้อยร่อย สำนักเมฆาม่วงของข้าสามารถทำลายได้ด้วยการพลิกฝ่ามือ แกยังกล้าทำตัวหยิ่งผยองต่อหน้าข้างั้นเหรอ?”


มู่เฉินส่ายหัว “น่าเสียดายที่ตอนนี้สำนักเมฆาม่วงเป็นฝ่ายถูกกำจัด”


เผชิญหน้ากับรังสีสังหารของเจ้าสำนักเมฆาม่วง มู่เฉินไม่กลัว มิหนำซ้ำยังตอกกลับคำพูดของอีกฝ่าย เพราะเขารู้ดีว่าการล่าถอยในตอนนี้จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามก้าวเข้ามาอีกก้าว


ที่ราบเป่ยยู่เงียบงัน ผู้คนที่อยู่รอบๆ มองดูการเผชิญหน้าระหว่างมู่เฉินและเจ้าสำนักเมฆาม่วง พวกเขาตัวสั่นสะท้านด้วยความกลัว ไม่กล้าพูดอะไรออกมาสักแอะเดียว


พวกเขารู้ดีว่าทั้งสองคนไม่ใช่คนที่จัดการได้ง่าย ถ้าพวกเขาปะทะกันก็จะไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ง่ายๆ


“ฮ่าๆ!”


เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน เจ้าสำนักเมฆาม่วงก็อดหัวเราะออกมาด้วยเจตนาเข่นฆ่าหนาแน่นในดวงตาไม่ได้ ทำเอาอุณหภูมิระหว่างสวรรค์และโลกลดฮวบลง


“มั่นใจได้ หลังจากวันนี้ข้าจะเคลื่อนพลเป็นส่วนตัวล้างบางตำหนักมู่ทั้งหมด!”


เจ้าสำนักเมฆาม่วงจ้องเขม็งไปที่มู่เฉินด้วยรอยยิ้มอำมหิตปรากฏขึ้นที่มุมปาก “ภูมิภาคทางเหนือของแกจะกลายเป็นทะเลเลือดภายใต้ความโกรธของข้า เมื่อถึงเวลานั้นแกจะเป็นคนบาปให้ผู้คนตราหน้า ทั้งหมดนี้เป็นเพราะความยิ่งยโสและโง่เขลาเบาปัญญาของแก!”


เมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารเยือกเย็นของเจ้าสำนักเมฆาม่วง ก็ไม่มีระลอกคลื่นใดบนใบหน้าของมู่เฉิน เขาพูดเบาๆ ว่า “พวกนกกระจิบร้องจิ๊บๆ ถ้าปากแกเก่งอย่างว่าก็คงครอบครองทวีปเทียนหลัวไปนานแล้ว”


ริมฝีปากของผู้คนโดยรอบกระตุก เห็นชัดพวกเขาไม่คิดว่าประมุขตำหนักมู่ไม่เพียงแต่โหดเหี้ยมด้วยทักษะ แต่ฝีปากยังคมกล้า ทำเอาเจ้าสำนักเมฆาม่วงบ้าคลั่งได้เลยจริงๆ


แต่ละคนแอบมองไปที่เจ้าสำนักเมฆาม่วงก็เห็นความโกรธพุ่งออกมาจากดวงตา แม้แต่มิติโดยรอบก็สั่นเทิ้มภายใต้ความโกรธเกรี้ยว รอยแตกกระจายออกมา


ฮา


ทว่าเมื่อจิตสังหารพุ่งถึงขีดสุด การแสดงออกของเขาก็ค่อยๆ สงบลง ราวกับความสงบก่อนพายุจะมา


เขาไม่ได้มองไปที่มู่เฉินอีก แต่หันกลับไปมองไปที่เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทอง “ข้าจะให้ไอ้บ้านี่ดูว่าข้าจะฉีกมันเป็นชิ้นๆ ยังไง พวกเจ้าว่าอย่างไรล่ะ?”


เจ้าสำนักเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองถือว่าเป็นศัตรูกัน แต่เนื่องจากตอนนี้มู่เฉินเป็นผู้ท้าชิงที่ปรากฏตัวขึ้น พวกเขาจึงยอมจับมือกันชั่วคราวเพื่อที่จะฆ่าผู้ท้าชิงลงเสียก่อน


เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองสบตากัน ก่อนที่จะหรี่ตายิ้ม “งั้นเราจะปล่อยให้เจ้าสั่งสอนไอ้เด็กเหลือขอจอมหยิ่งคนนี้สักหน่อย”


ยามนี้ไอสังหารของเจ้าสำนักเมฆาม่วงมาถึงขีดสุดแล้ว แม้ว่าประมุขตำหนักมู่จะอายุน้อย แต่เขาก็มีความสามารถบางอย่างและเป็นเรื่องดีที่จะให้เจ้าสำนักเมฆาม่วงลงมือทดสอบก่อน


ถ้าเจ้าเด็กนั่นทำท่าจะแพ้ พวกเขาก็จะมองหาโอกาสที่จะฆ่าเขา ก่อนที่จะตัดแบ่งตำหนักมู่ออก


ไม่ว่าอย่างไรวันนี้จะต้องไม่เหลือชื่อตำหนักมู่อยู่ในภูมิภาคทางเหนืออีก


เจ้าสำนักเมฆาม่วงพยักหน้าอย่างใจเย็น แม้ว่ามู่เฉินจะดูแปลกๆ แต่เขาก็ไม่กลัว สิ่งที่เขากลัวคืออีกสองคนจะฉวยโอกาสตอนต่อสู้ แต่ดูจากท่าทางหมาแก่สองตัวนี่ก็ต้องการกำจัดตำหนักมู่เหมือนกัน


ดังนั้นเขาจึงหันหน้ากลับมา ม่านตาสีม่วงจ้องมองไปที่มู่เฉิน พูดขึ้นช้าๆ “ในเมื่อเป็นแบบนี้แกพร้อมที่จะตายหรือยัง?”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)