หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1349-1352
บทที่ 1349 แยกจากกัน
ของเหลววัชระทำลายวิญญาณ
นี่เป็นวัตถุพิเศษระหว่างฟ้าดิน ซึ่งเปลี่ยนมาจากหินวัชระทำลายวิญญาณ มันเป็นสิ่งที่นุ่มนวลเหมือนน้ำ แต่กลับมีคุณสมบัติไม่แตกหักและสามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคุณสมบัติเจาะทะลวงไม่เหมือนใคร พลังทำลายล้างรุนแรงยิ่งนัก อาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมส่วนใหญ่จะเพิ่มของเหลววัชระทำลายวิญญาณเข้าไปด้วยเล็กน้อยขณะการสร้าง นี่บอกได้ว่าสิ่งนี้มีค่าเพียงใด
“สนใจเหรอ? อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดจะสร้างอาวุธมหสวรรค์?” ลู่ทงถามด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นการจ้องมองของมู่เฉิน
มู่เฉินส่ายหัวขณะยิ้ม เขาไม่มีความคิดจะสร้างอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมอะไร แต่ของเหลววัชระทำลายวิญญาณมีประโยชน์ต่อเขามาก ร่างเทพสุริยะนิรันดร์สามารถสร้างรหัสเทพอมตะซึ่งจะมีรูปร่างตามความปรารถนาของเขา
หากเขาสามารถครอบรหัสเทพอมตะด้วยชั้นของของเหลววัชระทำลายวิญญาณ พลังการโจมตีของเขาก็จะสูงขึ้นไปอีกระดับ ใครจะรู้นี่อาจเทียบได้กับอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมเลยทีเดียว
นี่เป็นวัตถุสมบูรณ์แบบสำหรับเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อมองไปที่ป้ายราคาก็มีค่าใช้จ่ายสามพันคะแนน หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเขาก็โบกมือแลกเปลี่ยน
ของเหลววัชระทำลายวิญญาณจับคู่กับรหัสเทพอมตะก็จะสามารถปลดปล่อยพลังของอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมของแท้ได้ นอกจากนี้เนื่องจากคุณสมบัติการเปลี่ยนแปลงของรหัสเทพ เขาจะสามารถใช้เพื่อโจมตีและป้องกันได้ เทียบเท่ากับการเป็นเจ้าของอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมที่สามารถแปลงร่างได้
ดังนั้นหลังจากรับของเหลววัชระทำลายวิญญาณไปแล้ว มู่เฉินก็เหลืออีกสองพันคะแนน ซึ่งเขาเปลี่ยนเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นกลางและเม็ดยาที่มีประโยชน์สำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าและขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้ แต่ก็เป็นของสำคัญสำหรับตำหนักมู่
หลังจากใช้คะแนนจนหมดเกลี้ยง มู่เฉินก็ปัดมือออกจากคลังพร้อมกับลู่ทง
“เจ้าตั้งใจจะไปเผ่าไท่หลิงเหรอ?”
เมื่อมู่เฉินกลับมาหาลั่วหลี เขาก็ต้องอุทานออกมาหลังจากได้ยินความตั้งใจของนางที่จะตามชื่อเหยียนไปที่เผ่าไท่หลิง
ลั่วหลียิ้มพลางพยักหน้า ใบหน้าขาวราวกับไข่มุกแวววาวด้วยเกลียวรัศมีที่ดูพร่างพราวเป็นพิเศษ
“ตระกูลลั่วเสินเข้าที่เข้าทางแล้ว ส่วนตระกูลเสี่ยเสินก็ไม่ได้เป็นภัยคุกคามอีกต่อไป พวกมันสูญเสียหนัก ตราบใดที่ตระกูลลั่วเสินยังเดินทางนี้ก็จะไม่มีปัญหา” ลั่วหลีตอบเบาๆ
มู่เฉินขมวดคิ้ว ลั่วหลีไม่ได้สนใจเผ่าไท่หลิงก่อนหน้านี้มากนัก ทำไมนางถึงเปลี่ยนใจกะทันหัน?
ดวงตาของมู่เฉินกะพริบจากนั้นก็มองลั่วหลี “เจ้าจะไปที่เผ่าไท่หลิงเพื่อข้าใช่ไหม?”
ลั่วหลีอึ้งไปชั่วครู่ แต่นางรู้ว่าตนเองไม่สามารถหลอกเขาได้ นางจึงกัดริมฝีปากเบาๆ ตอบว่า “ตอนนี้ข้าอ่อนแอเกินไปที่จะช่วยเจ้า”
นางโกรธมากที่เผ่าฝูถูพยายามบีบบังคับมู่เฉิน แต่นางทำอะไรไม่ได้ในการเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน แม้แต่ร่างเทพวารีที่นางฝึกฝนก็ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้
นอกจากนี้นางยังตระหนักว่าตนเองอ่อนแอเพียงใดในการเดินทางมาที่แดนเซิ่งยวนโบราณ นางไม่สามารถช่วยมู่เฉินได้ มิหนำซ้ำเขายังต้องมากังวลเกี่ยวกับนางตลอดเวลา
นี่เป็นสิ่งที่คนที่ภาคภูมิใจในตัวเองอย่างนางไม่อาจรับได้
หากนางต้องการก้าวตามมู่เฉินให้ทัน นางก็ต้องมุ่งหน้าไปยังเผ่าไท่หลิงเพื่อรับตำแหน่งธิดาเทพ นอกจากนี้ถ้านางได้ตำแหน่งก็จะมีสถานะพิเศษในเผ่าอีกด้วย
การมีเผ่าไท่หลิงสนับสนุน หากมู่เฉินและเผ่าฝูถูปะทะกันจริงๆ นางจะสามารถใช้พลังของเผ่าไท่หลิงเพื่อช่วยเขาได้
มู่เฉินจ้องมองไปที่ลั่วหลี เขารู้ว่านางคิดอะไรอยู่ในใจก็อดซึ้งใจไม่ได้
เผ่าไท่หลิงเป็นหนึ่งในห้าเผ่าโบราณ แม้ว่าลั่วหลีจะได้รับมรดกวิชาช่องแสงวิญญาณ แต่ก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับนางที่จะรักษาตำแหน่งให้มั่นคงในฐานะธิดาเทพ
แต่เขาเข้าใจความรู้สึกที่นางตั้งมั่นจะไปทำ
“ลั่วหลี…”
ลั่วหลียื่นมือนวลเนียนออกมาปิดปากมู่เฉินเบาๆ และยิ้ม “หยุด อย่าพยายามเกลี้ยกล่อม ข้าตัดสินใจแล้ว อย่างน้อยก็มีความปลอดภัยในเผ่าไท่หลิง เจ้าจะได้ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับข้า”
แววตาของมู่เฉินซับซ้อนเมื่อมองไปที่ใบหน้าของคนรัก เขามองเห็นความแน่วแน่ในดวงตาของนาง เขารู้ว่าลั่วหลีตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว
ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าเบาๆ ก่อนที่จะหยิบแก่นหยกวิญญาณสวรรค์ออกมาพลางยิ้ม “สำหรับเจ้า นี่จะเป็นประโยชน์ต่อการเพาะบ่มขุมพลัง”
ลั่วหลีรับมาด้วยความอยากรู้ นี่เป็นต่างหูที่งดงามที่ทำจากผลึกอัญมณีใส แก่นหยกมรกตที่แขวนอยู่บนนั้นทำให้เกิดรัศมีบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ทำเอาหัวใจของนางรู้สึกสงบขณะที่การไหลเวียนของคลื่นหลิงเร่งขึ้น
“นี่คือแก่นหยกวิญญาณสวรรค์?” ลั่วหลีจำได้ทันทีและอุทานด้วยความตกใจ นางรู้ว่าสิ่งนี้มีค่าเพียงใด
มู่เฉินพยักหน้า “ลองสวมดูสิว่าเป็นอย่างไร”
ลั่วหลีไม่ปฏิเสธ นางพยักหน้าสวมต่างหูทันที
ใบหูสีขาวมุกเมื่อประดับด้วยต่างหูผลึกอัญมณีก็ทำให้ดูงดงามยิ่งขึ้น เพิ่มเสน่ห์ให้กับนางหลายส่วน
ลั่วหลีหันซ้ายหันขวาแล้วคลี่ยิ้ม “ดูดีไหม?”
ความทรงเสน่ห์เหลือล้นสามารถล้มเมืองได้ด้วยรอยยิ้มนี้
แม้ว่านางและมู่เฉินจะคุยกันที่มุมหนึ่งของตำหนักหมื่นพัน แต่นางก็ยังดึงดูดสายตาตื่นตะลึงจำนวนมาก
มู่เฉินพลิกตัวกลับปิดกั้นมุมมองของพวกเขาที่มีต่อลั่วหลี “ในอนาคตเจ้าจะอย่ายิ้มเปี่ยมเสน่ห์แบบนี้ ถ้าข้าไม่อยู่ด้วยนะ”
ลั่วหลีอดไม่ได้ที่จะยิ้มขณะที่พูดเบาๆ “ทำไม?”
“ข้ากลัวว่าคนอื่นจะอดกลั้นต่อเสน่ห์ของเจ้าไม่ได้” มู่เฉินหัวเราะเบาๆ
ลั่วหลีเหลือบมองไปที่มู่เฉิน จากนั้นก็สังเกตเห็นเขาเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้พร้อมกับกลิ่นคุ้นเคยโชยมาที่ตัวนาง นางยื่นมือกดหน้าอกมู่เฉินตอบสนอง ม่านตาฉายแววเขินอาย
“เจ้าจะทำอะไร?”
มู่เฉินเหยียดริมฝีปากยิ้ม “อีกครู่เราก็ต้องแยกย้าย เจ้าไม่คิดจะปลอบใจข้าสักหน่อยเหรอ? ไม่งั้นข้าไม่ยอมให้เจ้าไปแน่”
ลั่วหลีกัดริมฝีปากสีแดงชาดขณะที่มองมู่เฉินอย่างเขินอาย ‘โดยปกติเขาจะอ่อนโยนและนิ่งเฉย แต่ตอนนี้กลับเล่นบทตัวโกง’
แต่เนื่องจากเราสองคนกำลังจะแยกจากกันชั่วระยะหนึ่ง ลั่วหลีก็รู้สึกไม่เต็มใจอยู่ในใจ หลังจากลังเลชั่วครู่นางก็ดึงมือกลับหลับตาลง
มองไปที่ใบหน้างดงามที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม มู่เฉินก็ลดอารมณ์พลุ่งพล่านในหัวใจลงไม่ได้ เขาเหยียดแขนออกจับที่เอวบาง โน้มริมฝีปากเข้าไปใกล้
เคร้ง!
แม้ว่าคู่รักจะอยู่ในมุมอับ แต่ลั่วหลีก็โดดเด่นเกินไป ผู้คนจำนวนมากในตำหนักยังคงจ้องมองไปที่ทั้งสอง จากนั้นเสียงถ้วยชาก็ตกลงพื้นอย่างต่อเนื่อง
มือสังหารปีศาจหลายคนรู้สึกปวดใจ สาวงามมีเจ้าของเสียแล้ว เจ้านั่นต้องถูกฟ้าผ่าในชาติก่อนเพื่อให้ได้รับโชคในชาตินี้
มู่เฉินไม่ได้ให้ความสนใจกับความวุ่นวาย แต่เพลิดเพลินกับจูบอันหอมหวาน
ลั่วหลีคิดว่านี่เกินพอแล้วก็ผลักมู่เฉินออกไป ใบหน้างดงามเห่อแดง แววตาของนางเต็มไปด้วยความเขินอาย
“คิก”
เมื่อถูกจ้องมองจากลั่วหลี มู่เฉินก็ยิ้มเก้อ ขณะที่เขายังคงอ้อยอิ่งอยู่ ท่าทางที่แสดงออกก็ทำให้ลั่วหลีส่งค้อนให้เขาสองครั้งซ้อน
“แค่ก!”
ขณะที่ทั้งสองกำลังอยู่ในห้วงแห่งความรัก เสียงกระแอมไอก็ดังมาจากอีกด้าน ชื่อเหยียนเดินปราดเข้ามา เขาเหลือบมองไปที่มู่เฉินก่อนที่จะเค้นเสียงพูด “เจ้าหนู มียางอายมั่งไหม บังอาจกล้ารังแกธิดาเทพของเผ่าไท่หลิงในที่สาธารณะ”
มู่เฉินไม่ใส่ใจ เขายิ้มพลางประสานมือ “ข้าต้องรบกวนผู้อาวุโสช่วยดูแลลั่วหลีตอนอยู่ที่เผ่าไท่หลิงให้ดีด้วย”
“พูดอะไรไร้สาระ” ชื่อเหยียนยื่นปากตอบว่า “วางใจเถอะ การฝึกฝนของนางที่เผ่าไท่หลิงจะเร็วกว่าเจ้าแน่”
มู่เฉินไม่สงสัยในคำพูดเหล่านั้น ด้วยพรสวรรค์ของลั่วหลีและวิชาช่องแสงวิญญาณ เผ่าไท่หลิงจะต้องดูแลนางเป็นอย่างดีแน่นอน การบรรลุระดับเทียนจื้อจุนคงเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น
“ร่ำลากันเสร็จแล้วก็ไปกันเถอะ” ชื่อเหยียนตอบสนองอย่างว่องไว เขามองไปที่ลั่วหลีและยิ้ม
ลั่วหลีพยักหน้าเหลือบมองไปที่มู่เฉิน
ชื่อเหยียนโบกมือ น้ำเต้าสีแดงเข้มก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาและลั่วหลีก็กลายเป็นลำแสงสีแดงเข้มหายไปในเส้นขอบฟ้า
มองไปที่ทิศทางที่ทั้งสองจากไป มู่เฉินก็ใช้เวลานานก่อนที่จะออกจากอาการเหม่อลอย
“มู่เฉิน เรื่องครั้งนี้เสร็จสิ้นแล้ว พวกข้าก็จะกลับไปที่ตระกูลเวิน” เวินชิงเฉวียนเดินมาที่ด้านข้างมู่เฉินพลางตบไหล่ปุๆ จากนั้นก็หัวเราะเสียงพลิ้ว
“พี่มู่ ถ้ามีเวลาก็มาเยี่ยมตระกูลเวินได้นะ” เวินซื่อหยู่ยิ้มพร้อมกับประสานมือ
มู่เฉินยิ้มและพยักหน้า
เวินชิงเฉวียนโบกมือขณะที่แม่เฒ่าเหอสะบัดมือรวบสมาชิกก่อนที่จะกลายเป็นลำแสงหายไป…
มองทุกคนออกเดินทางไปแล้ว มู่เฉินก็หันกลับมายิ้มให้กับหลิงซีและหลงเซี่ยงก่อนจะยืดเอวบิดขี้เกียจ
“ไปกันเถอะ เรากลับไปที่ทวีปเทียนหลัวก่อน…”
เขาออกจากทวีปเทียนหลัวหนึ่งปีกว่าแล้ว ตอนที่จากมายังเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น ตอนนี้เขาขึ้นแท่นเป็นจอมยุทธ์เกือบจะบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว
ตอนนั้นเขาไม่ได้การยอมรับจากตำหนักมู่ทั้งหมด ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากมั่นถัวหลัว ตอนนี้…เขาอยู่ยงใต้ระดับเทียนจื้อจุนแล้ว!
“ไม่รู้ว่าตอนนี้ตำหนักมู่เป็นอย่างไรบ้าง?”
เขายิ้มอ่อนโยนก่อนจะกลายเป็นลำแสงทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
บทที่ 1350 สำนักเมฆาม่วง
ทวีปเทียนหลัว ภูมิภาคทางเหนือ โถงใหญ่ตำหนักมู่
จอมยุทธ์ทั้งหมดรวมตัวกันอยู่ในโถง ตอนนี้ตำหนักมู่เป็นขั้วอำนาจที่ทรงพลังที่สุดในภูมิภาคทางเหนืออย่างไม่ต้องสงสัย ขั้วอำนาจมากมายในภูมิภาคทางเหนือมาสวามิภักดิ์ เหล่าจอมยุทธ์นับไม่ถ้วนมาขอเข้าร่วม ทำให้ตำหนักมู่เติบโตขึ้นอย่างโดดเด่น
แต่ขณะนี้แม้จะมีจอมยุทธ์มารวมตัวกันมากมาย แต่บรรยากาศก็ยังรู้สึกกดดัน
บนบัลลังก์สีทองมั่นถัวหลัวตัวเล็กบางสวมชุดดำนั่งอยู่ ในฐานะรักษาการประมุขชื่อเสียงของนางมาถึงขีดสุดแล้ว
หลังจากตำหนักมู่ก่อตั้งขึ้น ประมุขมู่เฉินก็จากไปจนตอนนี้ยังไม่ได้กลับมา ดังนั้นเรื่องราวทั้งหมดจึงถูกจัดการโดยมั่นถัวหลัว
สิ่งนี้ทำให้ทุกคนในภูมิภาคทางเหนือรู้จักแต่ชื่อของมั่นถัวหลัว สำหรับประมุขมู่เฉินผู้ลึกลับไม่มีใครรู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย
ถัดจากมั่นถัวหลัวก็คือหลิ่วเทียนเต้า วั้นเซิ่ง โยวมิ่งและขั้วอำนาจเก่าแก่อื่นๆ ของภูมิภาคทางเหนือ ทว่าตอนนี้ทั้งหมดเข้าร่วมตำหนักมู่แล้ว
ลงไปอีกขั้นเป็นจอมยุทธ์คนอื่นๆ ซึ่งการรวมตัวนั้นเมื่อเทียบกับในอดีตก็แข็งแกร่งขึ้นมาก
มั่นถัวหลัวเคาะปลายนิ้วบนพนักแขนขณะที่มองไปรอบๆ ครู่หนึ่งต่อมานางก็เอ่ยช้าๆ ว่า “ข้าได้รับสารว่าทูตของสำนักเมฆาม่วงจะมาถึงตำหนักมู่เร็วๆ นี้”
ทั่วทั้งห้องโถงเงียบลง ใบหน้าของผู้คนมากมายเปลี่ยนเป็นขนพองสยองเกล้าเมื่อได้ยินคำว่าสำนักเมฆาม่วง
ทวีปเทียนหลัวเป็นหนึ่งในมหาทวีปของมหาพันภพที่มีดินแดนกว้างใหญ่ ตามการจัดสรรของที่นี่ถูกแบ่งออกเป็นห้าจักรวรรดิได้แก่เหนือ-ใต้-ตะวันออก-ตะวันตกและกลาง
ภูมิภาคทางเหนือเป็นเพียงมุมเล็กๆ ของจักรวรรดิเหนือ
แม้ว่าตำหนักมู่จะขึ้นเป็นเจ้าเหนือหัวของภูมิภาคทางเหนือแล้ว แต่ก็ถือว่าธรรมดาในจักรวรรดิเหนือเท่านั้น สำนักเมฆาม่วงที่มั่นถัวหลัวพูดถึงก่อนหน้าเป็นหนึ่งในสามขั้วอำนาจของจักรวรรดิเหนือ
ว่ากันว่าผู้อาวุโสทุกคนในสำนักเมฆาม่วงเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ซึ่งมีรากฐานที่แข็งแกร่งมาก
เมื่อเทียบกับสิ่งนั้น ตำหนักมู่ที่มีเพียงมั่นถัวหลัวค้ำจุนอยู่คนเดียว ช่างคล้ายกับหิ่งห้อยโดยไม่ต้องสงสัย
น้ำไหลลึกในทวีปเทียนหลัว ในอดีตแม้ว่าแคว้นเซี่ยและตำหนักเทพปีศาจจะมีชื่อเสียง แต่พวกเขาก็ยังต้องหลังงุ้มลงเมื่อเทียบกับขั้วอำนาจระดับนั้น
ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงตกใจเมื่อได้ยินเรื่องสำนักเมฆาม่วง
“พวกมันต้องการอะไร?” หลังจากครุ่นคิดสั้นๆ หลิ่วเทียนเต้าก็ถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
มั่นถัวหลัวเย้ยหยัน “จะมีอะไรอีก? พวกมันก็ต้องการให้ตำหนักมู่ของเราสวามิภักดิ์ การแข่งขันเพื่อตำแหน่งเจ้าจักรวรรดิเหนือจะเกิดขึ้นในไม่ช้า เห็นได้ชัดว่าสำนักเมฆาม่วงต้องการให้เราเป็นกองทัพเดนตายสำหรับพวกมันเพื่อต่อสู้กับอีกสองขั้วอำนาจ”
“ในอดีตภูมิภาคทางเหนือยุ่งเหยิง ดังนั้นจึงไม่ดึงดูดความสนใจของใคร แต่ตอนนี้ตำหนักมู่ของเราได้รวบรวมทุกคนเข้ามาเป็นหนึ่งเดียว ก็ต้องถูกคนอื่นจับตามองเป็นธรรมดา”
ใบหน้าของทุกคนไม่น่าดูเมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว พวกเขาเพิ่งรวมภูมิภาคทางเหนือเข้าด้วยกัน แต่กลับถูกบางคนจับตามองก่อนที่จะทันได้เฉลิมฉลอง
“การแข่งขันตำแหน่งเจ้าเหนือหัวของจักรวรรดิเหนือจะต้องโหดร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย นี่เป็นการต่อสู้ของกองทัพระดับขั้วอำนาจใหญ่ทั้งสาม ทุกการปะทะจะลบกองทัพจำนวนมากอย่างเราออกไป ถ้าเราเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ข้ากลัวว่า…” วั้นเซิ่งกล่าว
“แต่ถ้าเราปฏิเสธ ก็แปลว่าไม่ให้หน้าสำนักเมฆาม่วง ด้วยพลังที่มีอยู่ตอนนี้เราไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธได้เลย” วั้นตู๋เสอถอนหายใจเอ่ยออกมา
“แต่เราจะไปเป็นกองทัพเดนตายให้สำนักเมฆาม่วงไม่ได้นะ!”
“…”
เสียงถกเถียงวุ่นวายดังขึ้นในตำหนัก ทุกคนตื่นตระหนกเกี่ยวกับการมาถึงของทูตสำนักเมฆาม่วงยิ่งนัก
เมื่อมั่นถัวหลัวเห็นภาพนี้คิ้วก็ขมวดขึ้น ตอนแรกนางเพียงต้องการรวบรวมภูมิภาคทางเหนือทั้งหมดเพื่อเสริมพลังให้ตำหนักมู่ แต่ใครจะคิดว่าดันไปดึงดูดความสนใจของสำนักเมฆาม่วงได้?
‘ปัญหามาถึงตัวซะแล้ว’
“ไม่รู้ว่าตอนนี้ประมุขอยู่ที่ไหน ตำหนักมู่เกิดปัญหาใหญ่ขนาดนี้ เขายังไม่ปรากฏตัวอีก” เมื่อความวุ่นวายกระจายออกไป เสียงไม่พอใจก็ดังขึ้น
“ตั้งแต่ข้าเข้าร่วมตำหนักมู่ก็ยังไม่เคยเห็นประมุขผู้ลึกลับของเรามาก่อน รักษาการประมุขมั่นเป็นคนจัดการทุกอย่าง”
“ดูเหมือนว่าประมุขจะยังเด็กเกินไป มิหนำซ้ำยังเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น แม้ว่าเขาจะกลับมา แต่ก็คงทำอะไรไม่ได้”
เมื่อได้ยินว่าหัวข้อลอยอวลทั่วโถง ใบหน้าของมั่นถัวหลัวก็เย็นชาตวาดว่า “หุบปาก!”
ทุกคนหุบปากฉับ พวกเขาเกรงกลัวแรงกดดันจากมั่วถัวหลัว
แสงเย็นเยือกวูบวาบในนัยน์ตาของมั่นถัวหลัว ทุกคนก็เบนสายตาไป ครู่ต่อมาท่าทางของนางก็เปลี่ยนไปกะทันหันพลางจดจ้องไปที่ประตู “สหายจากสำนักเมฆาม่วงช่วยแสดงตัวด้วยในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว”
“ฮ่าๆ ได้ยินมาว่าประมุขตำหนักมู่เป็นคนพิเศษ ตอนนี้ได้เห็นกับตาตัวเองแล้ว สมคำล่ำลือจริงๆ” เมื่อเสียงของมั่นถัวหลัวลดลง เสียงหัวเราะเยาะเย้ยก็ดังมาจากด้านนอก
เมื่อได้ยินเสียงนั้นจอมยุทธ์ตำหนักมู่ก็มีสีหน้าเปลี่ยนเป็นความโกรธ เนื่องจากมีคนกล้าล้อเลียนรักษาการประมุขมั่นถัวหลัวของพวกเขา!
แววตาของมั่นถัวหลัววาววับด้วยความโกรธ แต่นางก็สงบสติอารมณ์มองออกไปนอกประตูอย่างเย็นชา นางเห็นแสงเลือนรางก่อนที่เงาร่างสามร่างจะเดินทอดหุ่ยเข้ามา
ทั้งสามคนเป็นตาแก่สวมชุดสีม่วง คนเดินนำหน้ามีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าขาวที่ดูราวกับผิวเด็กทารกพร้อมกับผมสีขาว
ที่ยืนอยู่ด้านข้างเขา เป็นชายชราสองคนที่ดูภาคภูมิใจและไม่แยแส
เมื่อพวกเขาปรากฏตัว พลังงานหลิงมหาศาลก็พัดออก ทำให้จอมยุทธ์ตำหนักมู่ที่อยู่ใกล้ปลิวออกไป
“ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม?!”
ใบหน้าของหลิ่วเทียนเต้าและคนอื่นๆ เปลี่ยนไป พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าทูตทั้งสามที่ส่งมาจากสำนักเมฆาม่วงจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม พลังของสำนักนี้ลึกล้ำไม่อาจหยั่งถึงได้จริงๆ
“สามหาว!”
เมื่อเห็นว่าทั้งสามคนแสดงท่าทางไม่เกรงกลัว ดวงตาเย็นชาของมั่นถัวหลัวก็วาบแสงเย็นก่อนที่นางจะตบฝ่ามือออกไปแทงทะลุมิติ คลื่นพลังงานพุ่งไปที่ทิศทางของตาแก่หน้าขาวโพลน
เมื่อชายชราหน้าขาวเห็นภาพนี้ ก็เค้นเสียงเหวี่ยงหมัดกระทุ้งออกไป แสงสีม่วงกะพริบบนหมัดเขา ราวกับดวงจันทร์สีม่วงปะทะกับการโจมตีที่เข้ามา
ตู้ม!
คลื่นหลิงป่าเถื่อนกวาดคร่าสร้างความหายนะทำให้โถงสั่นสะเทือน ชายชราหน้าขาวถอยหลังไปหลายก้าว ขณะที่ร่างเล็กบางของมั่นถัวหลัวสั่นเทิ้ม มีรอยแตกกระจายบนพนักแขนที่นางคว้าไว้
การประจันหน้ากันระหว่างทั้งสอง ชัดว่าไม่มีผลแพ้ชนะ
“ฮ่าๆ สมกับเป็นดอกแมนดาลาโบราณจริงๆ ทรงพลังอะไรอย่างนี้ จื่อเทียนเปยทักทายประมุขตำหนักมู่” ชายชรากวาดสายตามองไปที่มั่นถัวหลัวก่อนที่เขาจะพูดพร้อมกับหรี่ตาแคบลง
มั่นถัวหลัวกล่าวโดยไม่มีสีหน้าใด “ข้าไม่ใช่ประมุขเป็นแค่รักษาการประมุข นอกจากนี้สำนักเมฆาม่วงของเจ้ามาที่ภูมิภาคทางเหนือเพื่ออะไร?”
จื่อเทียนเปยยิ้ม “ข้าเชื่อว่าประมุขมั่นถัวหลัวต้องรู้ว่าการแข่งขันชิงตำแหน่งเจ้าเหนือหัวของจักรวรรดิเหนือกำลังจะมาถึง ข้าจึงนำคำสั่งของของประมุขสำนักเพื่อเชิญตำหนักมู่เข้าร่วมกับเรา ในอนาคตเมื่อสำนักเมฆาม่วงเติบโตขึ้น ตำหนักมู่จะได้รับรางวัลเป็นดินแดนสำหรับความพยายามที่ให้มา”
ขณะที่เขาพูดก็หยิบหนังสือหยกสีม่วงที่มีแสงหลิงเปล่งประกายออกมา ทำให้เกิดแรงกดดันขึ้นเล็กน้อย เมื่อเขาสะบัดนิ้วหนังสือหยกก็พุ่งไปหามั่นถัวหลัว
มั่นถัวหลัวส่งแรงต่อต้านหนังสือโดยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงใดๆ นางตอบกลับเสียงนุ่มนวลว่า “ตำหนักมู่ของเราอ่อนแอนัก ข้ากลัวว่าจะไม่สามารถช่วยอะไรได้มากแม้ว่าเราจะเข้าร่วมกับสำนักเมฆาม่วงก็ตาม ดังนั้นไปเชิญคนอื่นแทนเถอะ”
จื่อเทียนเปยหัวเราะเบาๆ “ท่านมั่นถัวหลัวไม่มีใครกล้าปฏิเสธคำเชิญที่ส่งมาจากสำนักเมฆาม่วง โปรดระมัดระวังการตอบของเจ้าด้วย”
แม้ว่าเขาจะสวมรอยยิ้ม แต่น้ำเสียงก็เต็มไปด้วยการคุกคาม
ใบหน้าของมั่นถัวหลัววูบไหวด้วยความโกรธเกรี้ยว
จื่อเทียนเปยพูดอย่างไม่แยแส “นอกจากนี้ข้ากลัวว่าอารมณ์ของพวกข้าจะไม่ดีสักเท่าไร ถ้าไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้ ในเวลานั้นพวกข้าจะไม่รับผิดชอบหากเกิดอะไรขึ้นกับตำหนักมู่”
แม้ว่าจะมีเพียงสามคน แต่ทุกคนล้วนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ตราบใดที่หนึ่งในนั้นเข้าขัดขวางมั่นถัวหลัว อีกสองคนก็จะสร้างหายนะล้างบางตำหนักมู่จนสะอาดเรี่ยมเร้แน่นอน
เมื่อได้ยินคำพูดนั่น จอมยุทธ์ในโถงก็สีหน้าเปลี่ยนเป็นทั้งโกรธและหวาดกลัว เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครคาดคิดว่าสำนักเมฆาม่วงจะเอาแต่ใจมากขนาดนี้
ร่างเล็กบางของมั่นถัวหลัวสั่นสะท้านด้วยความโกรธ นางกำมือแน่นจ้องมองไปที่จื่อเทียนเปย สีหน้าของนางเปลี่ยนแปลงวูบไหวก่อนที่อาการต่อต้านจะค่อยๆ สงบลง
เนื่องจากนางสู้ทั้งสามคนไม่ไหวจริงๆ
“ฮ่าๆ ตกลงตามนี้เนอะ? การติดตามสำนักเมฆาม่วงไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้ายสำหรับพวกเจ้าทุกคนหรอก” จื่อเทียนเปยหัวเราะเบาๆ ก่อนจะโบกมือหนังสือหยกม่วงก็บินไปหามั่นถัวหลัว
ทุกคนเฝ้ามองหนังสือหยกร่วงลงมาพร้อมกับความมืดมิด สิ่งที่สำนักเมฆาม่วงทำสร้างความอับอายให้ตำหนักมู่ของพวกเขานัก
มือของมั่นถัวหลัวกำแน่นก่อนที่นางจะถอนหายใจพร้อมหลับตาลง นางไม่ต้องการดูหนังสือหยกนั่น
แต่ในความเงียบเมื่อหนังสือหยกม่วงกำลังจะตกลง มือข้างหนึ่งก็ยื่นคว้าไว้
“ใคร?” จื่อเทียนเปยสีหน้าเปลี่ยนไปขณะที่ตะเบ็งเสียง
มิติบิดเบี้ยวร่างอ่อนเยาว์ก็ปรากฏเบื้องหน้าสายตาทุกคนที่จ้องมองด้วยความตะลึงใจ เขาจับหนังสือหยกพร้อมกับขมวดคิ้ว
“สำนักเมฆาม่วง? พวกเจ้ามีค่าพอที่จะให้ตำหนักมู่ไปเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเหรอ?”
ขณะที่พูดเขาก็ออกแรงมากขึ้น หนังสือหยกแตกสลายเป็นผุยผงสีม่วงภายใต้สายตาที่ตกตะลึงนับไม่ถ้วน
พวกหลิ่วเทียนเต้าก็ตะลึงงันไป แม้แต่มั่นถัวหลัวก็เบิกตากว้างเมื่อมองไปที่ร่างคุ้นเคย จากนั้นเสียงอุทานก็ดังสะท้อนในโถง
“ท่านประมุข?!”
“มู่เฉิน?”
บทที่ 1351 ประมุขตำหนักมู่
เหตุการณ์พลิกผันไปมาทำให้ทุกคนตะลึงงัน
เมื่อเสียงมั่นถัวหลัว หลิ่วเทียนเต้าและคนอื่นๆ เปล่งตามออกมา ทุกคนก็หลุดจากอาการตกใจ จากนั้นก็มุ่งความสนใจไปที่หนังสือหยกที่มู่เฉินบดขยี้จนไม่เหลือซาก
หนังสือหยกเล่มนั้นเป็นตัวแทนของสำนักเมฆาม่วง ไม่มีใครกล้าปฏิเสธคำเชิญนี้มาก่อน ไม่ต้องพูดถึงการบดขยี้ต่อหน้าสาธารณชน… การบดขยี้ตีความหมายถึงการดูหมิ่นก่อให้เกิดภัยพิบัติใหญ่หลวง
“เขา…คือประมุขตำหนักมู่งั้นเหรอ?”
“เฮ้อ คนหนุ่มใจร้อน ระงับอารมณ์ไม่อยู่เลย ตอนนี้เขาทำลายหนังสือหยกไปแล้ว เกิดปัญหาใหญ่ตามมาแน่!” จอมยุทธ์ตำหนักมู่คนอื่นๆ กล่าวด้วยสีหน้าปวดใจ
“เขาห้าวเกินไป!” หลายคนมีใบหน้ามืดครึ้ม แม้ว่าการทำเช่นนี้จะช่วยระบายความโกรธในใจของพวกเขาออกไป แต่ความโกรธของสำนักเมฆาม่วงไม่ใช่สิ่งที่ตำหนักมู่จะสามารถทนได้
“ดูเหมือนหายนะกำลังจะเกิดขึ้นในตอนนี้ คงต้องหาทางถอยออกก่อน”
ทั้งโถงเกิดความโกลาหล จอมยุทธ์ตำหนักมู่หลายคนมีความกลัวเขียนอยู่บนใบหน้า พวกเขาตกใจกับการกระทำของมู่เฉิน ไม่ต้องพูดถึงสำนักเมฆาม่วง เอาแค่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มสามคนนี่ก็สามารถดีดพวกเขาเป็นปุ๋ยได้
หลิ่วเทียนเต้า โยวมิ่งและผู้อาวุโสคนอื่นๆ คอตกก่อนจะถอนหายใจพลางส่ายหัว สถานการณ์วันนี้อิรุงตุงนังจนแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว
เมื่อห้องโถงเข้าสู่จลาจล จอมยุทธ์ทั้งสามจากสำนักเมฆาม่วงก็ฟื้นสติ ขณะที่จื่อเทียนเปยเห็นหนังสือหยกถูกบดขยี้ รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไปแทนที่ด้วยความโกรธที่พลุ่งพล่านในดวงตา
“ฮ่าๆ ดี! หลายปีที่ผ่านมานี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นคนบ้าบิ่นกล้าบดขยี้หนังสือหยกของสำนักเมฆาม่วง!” น้ำเสียงน่าขนลุกขณะที่สายตาจ้องมองไปที่มู่เฉินราวกับใบมีดคม
“งั้นก็เริ่มมีตั้งแต่ตอนนี้เลย”
มู่เฉินพูดเบาๆ พลางปัดฝุ่นผงบนมือ “ข้าให้เวลาสิบอึดใจ ไสหัวออกไปจากตำหนักมู่ซะ”
ในขณะเดียวกันสายตาเขาก็กวาดไปทั่วกลุ่มคนที่ตื่นตระหนกในตำหนักมู่ เขาประทับใบหน้าคนเหล่านี้ที่เลือกที่จะปกป้องตัวเองในช่วงเวลาวิกฤต คนที่คิดแค่ตัวเองไม่เหมาะสมกับตำหนักมู่หรอก
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ชายชราทั้งสามก็อึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะระเบิดเสียงหัวเราะดังก้องสะท้อนทั้งโถง
พวกหลิ่วเทียนเต้าแลกเปลี่ยนสายตากัน พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมมู่เฉินไม่มองจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มสามคนนี้ในสายตาเลย
สายตาของพวกเขาอดไม่ได้ที่จะเบนไปทางมั่นถัวหลัว เมื่อพวกเขาสังเกตเห็นว่านางไม่ได้พูดอะไร พวกเขาก็กลับมามองมู่เฉินพลางครุ่นคิด…
“ไม่คิดมาก่อนว่าประมุขตำหนักมู่จะเป็นเด็กไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำขนาดนี้” จื่อเทียนเปยส่ายหัวด้วยความสงสารก่อนจะพูดต่อ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องให้ตำหนักมู่คงอยู่ต่อไป”
ตู้ม!
เมื่อคำสุดท้ายจบลง แขนเสื้อเขาก็สะบัดคลื่นหลิงไร้ขอบเขตกวาดออกจากร่างกายโดยไม่มีการยับยั้ง ทำให้โถงสั่นสะเทือนส่งสัญญาณใกล้จะพังทลาย
“ลงมือจากเจ้าก่อนเลย!”
จื่อเทียนเปยยิ้มน่าขนลุกขณะที่ก้าวออกไป ภาพเงาปรากฏขึ้นอย่างลึกลับเบื้องหน้ามู่เฉินพร้อมกับฝ่ามือกระแทกลง ฝ่ามือนั่นทิ้งรอยแตกในมิติแสดงให้เห็นว่าการโจมตีกระบวนท่านี้น่ากลัวเพียงใด
เมื่อทุกคนในตำหนักมู่เห็นจื่อเทียนเปยคิดจะฆ่ามู่เฉิน พวกเขาก็ร้องอุทาน ไม่ว่ายังไงเขาก็เป็นประมุข ถ้าเขาตาย ตำหนักมู่ล่มสลายแน่
ใบหน้าของหลิ่วเทียนเต้าและคนอื่นๆ เปลี่ยนไปก่อนที่จะกัดฟันแน่น พวกเขาคิดจะช่วยมู่เฉิน แต่ถูกมั่นถัวหลัวกางแขนหยุดเอาไว้
“ท่านมั่นถัวหลัว!” ทั้งหมดอดไม่ได้ที่จะอุทานออกไป
ไม่ต้องพูดถึงมู่เฉิน กระทั่งพวกเขายังต้องเผชิญหน้ากับความตายหากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มซัดเต็มกำลัง
มั่นถัวหลัวจ้องมองไปที่ภาพเงาของมู่เฉิน นางรู้สึกได้ถึงแรงกดดันคลุมเครือที่มาจากเขา
แรงกดดันนั้นทำให้นางรับรู้ว่ามู่เฉินไม่เหมือนกับตอนที่เขาจากไปอีกแล้ว…
ตู้ม!
ฝ่ามือของจื่อเทียนเปยตกลงภายใต้การมองจากทุกคน แต่เมื่อกำลังจะสัมผัสกับหน้าอกของมู่เฉิน เขาก็ยกมือขึ้นตบมือเหี่ยวย่นเบาๆ ราวกับกำลังตีแมลงวัน
ตึง!
เสียงทุ้มต่ำดังจากการปะทะ ทุกคนอดไม่ได้ที่จะหลับตา เหมือนไม่ต้องการดูมู่เฉินตาย
แต่ขณะที่พวกเขากำลังจะปิดตาลง จู่ๆ ก็เห็นร่างหนึ่งปลิวออกไปสร้างรอยยาวบนพื้น
ทันใดนั้นบรรยากาศในโถงก็เงียบสงัด
เนื่องจากพวกเขาเห็นชัดว่าคนที่ปลิวออกไปคือจื่อเทียนเปย!
วาบ!
สายตาไม่อยากจะเชื่อพุ่งตรงไปที่มู่เฉิน พวกเขาเห็นเขาคงท่าทางเอาไว้ขณะยืนอยู่บนพื้น ไม่ได้ขยับแม้แต่น้อย
ฝ่ามืออันโหดร้ายของจื่อเทียนเปยไม่สามารถแม้แต่จะทำให้มู่เฉินขยับเขยื้อนร่างกาย ขณะที่การตบออกไปครั้งเดียวกลับเป่าชายชราซะหน้าหงายได้?
อ็อก
เมื่อจื่อเปยเทียนทรงตัวได้ก็กระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ ขณะที่จ้องมองมู่เฉินด้วยความหวาดผวา จากการแลกกระบวนท่ากันเมื่อครู่ เขารับรู้ได้ถึงพลังน่ากลัวจากมือของมู่เฉินที่ทำให้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มอย่างเขายังรู้สึกตกใจ
มาถึงตอนนี้เขาบอกได้เลยว่ามู่เฉินแกล้งเป็นหมูเพื่อกินเสือ!
“เกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม?!” จื่อเทียนเปยมองมู่เฉินพลางกัดฟันแน่น
ตอนที่พวกเขาต่อสู้กัน คลื่นหลิงที่ผันผวนจากร่างกายของมู่เฉินเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว แต่เขาไม่อยากเชื่อว่าด้วยขุมพลังนี้มู่เฉินสามารถปราบเขาได้อย่างไร?
โห!
เมื่อเขาพูดขึ้น ทุกคนในตำหนักมู่ก็ตกตะลึงไป โดยเฉพาะพวกหลิ่วเทียนเต้าที่ฉายไม่เชื่อบนใบหน้า ตอนที่มู่เฉินออกจากตำหนักมู่ พลังอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นเท่านั้น เวลาผ่านไปเพียงประมาณหนึ่งปีตอนนี้เขาเสมือนจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว?!
ยิ่งไปกว่านั้นที่น่ากลัวมากที่สุดก็คือจอมยุทธ์เกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มสามารถปราบปรามระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มอย่างจื่อเทียนเปยได้?
“ไอ้เด็กเวรนี่แปลกมาก ลงมือด้วยกัน!” จื่อเทียนเปยตะโกน ในตอนนี้ไม่ว่าเขาจะโง่แค่ไหน ก็รู้แล้วว่ามู่เฉินไม่ใช่คนโค่นล้มลงง่ายๆ แค่เขาคนเดียวไม่สามารถต่อกรกับมู่เฉินได้
ชายชราอีกสองคนจากสำนักเมฆาสีม่วงก็พยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนที่ไอสังหารจะควบแน่นในสายตาขณะมองไปที่มู่เฉิน
วาบ!
ทว่าก่อนที่พวกเขาจะรวมพลังเข้าด้วยกัน มู่เฉินก็ก้าวย่างออกไป มิติบิดเบี้ยวไปปรากฏตัวต่อหน้าทั้งสามทันที
“เร้าร่างเทห์สวรรค์ออกมา!”
ทั้งสามคนม่านตาหดเกร็งตะโกนออกมาโดยไม่ลังเล เบื้องหลังร่างเทห์สวรรค์เริ่มควบแน่น เนื่องจากพวกเขารู้สึกว่าถูกคุกคามหนักหน่วงโดยมู่เฉิน
แต่เมื่อร่างมหึมารวมตัวอยู่ด้านหลังพวกเขา ฝ่ามือผลึกใสก็พุ่งผ่านเจาะผ่านการป้องกันรอบตัวพวกเขาก่อนที่จะตบลงบนหน้าอกทั้งสามเบาๆ
ปัง!
เสียงอู้อี้ดังขึ้น เปลือกตาของทุกคนกระตุก ก่อนที่จะเห็นว่าชายชราทั้งสามถูกซัดไปกระแทกกับเสาหินในห้องโถง
อ็อก
ทั้งสามคนกระอักเลือดเต็มปาก ก่อนที่พวกเขาจะตระหนักได้ว่าคลื่นหลิงในร่างกายเริ่มหายไป พวกเขารีบก้มหน้ามองก็เห็นลายพิมพ์ฝ่ามือตกผลึกบนหน้าอก ผลึกคลื่นหลิงเข้าสู่ร่างกายทำให้พลังงานของพวกเขาหลุดออกจากการควบคุม
ราวกับว่าคลื่นหลิงถูกปิดผนึกไว้
เพียงไม่กี่อึดใจคลื่นหลิงทรงพลังรอบตัวก็อันตรธานหายไป
ความกลัวปรากฏบนใบหน้า คลื่นหลิงในร่างกายของพวกเขาถูกปิดผนึก วิธีของมู่เฉินน่าสะพรึงเกินไป พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะไม่มีแม้แต่โอกาสนำร่างเทห์สวรรค์ออกมา!
นี่ไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำให้สำเร็จได้โดยระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว มีเพียงจอมยุทธ์ที่ได้สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนสามารถบรรลุสิ่งนี้ได้
เหมือนกับประมุขสำนักเมฆาม่วง!
หรือว่าประมุขตำหนักมู่ก็มาถึงขั้นนั้นแล้ว?!
“หนี!”
ใบหน้าแต่ละคนซีดเผือด พวกเขาควบคุมคลื่นหลิงเฮือกสุดท้ายในร่างกายทะยานออกจากห้องโถง เวลานี้พวกเขากลัวพลังที่มู่เฉินแสดงออกมายิ่งนัก
เมื่อมองสามคนที่เปิดตูดหนี สีหน้ามู่เฉินเรียบเฉย แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรเพื่อหยุดพวกเขา
ปัง!
แต่เมื่อทั้งสามพุ่งออกจากโถง คลื่นหลิงรุนแรงก็ส่งเสียงหวีดหวิว ก่อนที่ทุกคนจะเห็นเงาทั้งสามถูกพัดกลับเข้ามาตกลงในห้องโถง
“นายน้อยยังไม่ได้บอกให้พวกแกไป ไอ้หมาแก่สามตัวกล้าหยามขนาดนี้เชียวเหรอ?” เสียงหัวเราะดังออกมาจากด้านนอกโถง ทุกคนเห็นร่างจอมยุทธ์สองคนเดินเข้ามา
คนที่เดินนำหน้าเป็นหญิงสาวทรงเสน่ห์สวมชุดขาว ที่เยื้องไปเป็นชายฉกรรจ์รูปร่างแข็งแรงยืนอยู่ เขากระแทกหมัดเข้าด้วยกันปรายตามองไปที่ผู้อาวุโสสามคนจากสำนักเมฆาม่วงด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม ความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังเกิดขึ้นรอบตัวเขา บ่งบอกว่าเป็นจอมยุทธ์ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มตัวจริงอีกคน
ชัดว่าชายคนนี้เป็นคนที่เป่าตาเฒ่าทั้งสามกลับเข้ามาในโถง
มู่เฉินค่อยๆ ลดศีรษะลงมองความหวาดกลัวบนใบหน้าของทั้งสามคนด้วยสีหน้าสงบ “พวกแกคิดว่าตำหนักของข้าเป็นอะไร คิดจะไปคิดจะมาตามที่ต้องการได้เหรอ?”
โถงเงียบกริบ ทุกคนมองไปที่ชายชราสามคนที่ตัวสั่นงันงกด้วยความอึ้งทึ่ง จากนั้นพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกภาคภูมิใจในหัวใจ
สายตาของพวกเขาถูกแทนที่ด้วยความเคารพเมื่อมองไปที่มู่เฉินอีกครั้ง…
ความห้าวหาญและวิธีการเช่นนี้…
นี่หรือประมุขตำหนักมู่ตัวจริงของพวกเขา?
บทที่ 1352 ข่มขู่
ทั้งโถงเงียบกริบ
ทุกคนถูกข่มจากแรงกดดันที่มาจากร่างอ่อนเยาว์ไม่ว่าจะเป็นจอมยุทธ์จากสำนักเมฆาม่วงหรือตำหนักมู่
พวกหลิ่วเทียนเต้ายังตกตะลึง ไม่ฟื้นคืนสติจากพลังที่มู่เฉินแสดงออกมา
นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้จักมู่เฉินมานาน โดยเฉพาะหลิ่วเทียนเต้าที่พบกับมู่เฉินครั้งแรกก็ไม่ลงรอยเพราะเรื่องบุตรชายโดนหยามเกียรติ ในเวลานั้นมู่เฉินเป็นเพียงมดในสายตาที่เขาสามารถฆ่าได้อย่างง่ายดายด้วยการพลิกมือ
ทว่าใครจะคิดว่าในเวลาเพียงไม่กี่ปีมดในสายตาพวกเขาจะเติบโตด้วยความเร็วที่คาดไม่ถึง จนตอนนี้พุ่งแซงหน้าพวกเขาไปแล้ว
เมื่อมองดูร่างอ่อนเยาว์ หลิ่วเทียนเต้าก็ถอนหายใจลึกๆ ความไม่เต็มใจที่เหลืออยู่ในใจถูกลบล้างหมดสิ้น
พรรคพวกคนอื่นดวงตาก็หดลง พวกเขาเริ่มมองไปที่มู่เฉินด้วยความเคารพ
ย้อนกลับไปตอนที่พันธมิตรภาคเหนือก่อตั้งตำหนักมู่พวกเขาไม่พอใจที่ต้องยอมให้มู่เฉินเป็นประมุข ทว่าพวกเขาก็ต้องปฏิบัติตามเนื่องจากแรงกดดันของมั่นถัวหลัว ซึ่งสร้างความไม่พอใจในใจลึกๆ เพราะยังไงมู่เฉินก็เพิ่งบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นมาได้เอง
แต่ความไม่พอใจนี้ก็หายวับไปกับตา เมื่อมู่เฉินซัดจอมยุทธ์จากสำนักเมฆาม่วงปลิวเหมือนกระสอบทราย
ในตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่าทำไมมั่นถัวหลัวถึงต้องการให้มู่เฉินเป็นประมุขตำหนักมู่ นั่นเป็นเพราะศักยภาพของเขาน่ากลัวเหลือเกิน
เขาเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มด้วยวัยเพียงเท่านี้ มิหนำซ้ำยังมีความสามารถในการต่อสู้ที่เหนือกว่าระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มของแท้ ยากที่จะจินตนาการได้ว่าเขาจะน่ากลัวเพียงใดเมื่อไปถึงระดับเทียนจื้อจุน
การมีคนในฐานะอย่างเขาเป็นผู้ปกครองตำหนักมู่ ในบางแง่มุมพวกเขาก็มีที่ยึดเหนี่ยวแล้ว
ท้ายที่สุดด้วยขุมพลังของพวกเขา ต่อให้อยากไปเข้าร่วมขั้วอำนาจที่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน อีกฝ่ายก็อาจไม่ต้องการรับไว้ เนื่องจากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นถือได้ว่าอยู่กลางๆ ในขั้วอำนาจเหล่านั้นเท่านั้น
ด้วยศักยภาพของมู่เฉิน ภูมิภาคทางเหนือไม่อาจรั้งเขาไว้ได้แน่นอน อนาคตอาจได้ปกครองทั้งจักรวรรดิเหนือ หรือกระทั่งทั้งทวีปเทียนหลัว สร้างตำหนักมู่ให้กลายเป็นขั้วอำนาจสูงสุดของมหาพันภพ
เมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาคงต้องรู้สึกดีใจจริงๆ ที่พวกเขาโชคดีได้เป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นสูงตั้งแต่ตอนที่ตำหนักมู่ก่อตั้งขึ้น
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้พวกเขาอดไม่ได้ที่จะมองมั่นถัวหลัวด้วยสายตานับถือ เพราะพวกเขาประทับใจในการมองการณ์ไกลของนาง
สัมผัสถึงการจ้องมองมา มั่นถัวหลัวก็อดเบ้ปากไม่ได้ นางรู้ดีถึงศักยภาพของมู่เฉิน แต่นางก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าเขาเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มในเวลาเพียงหนึ่งปี
นางมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาซับซ้อน จากที่รู้สึกความสามารถในการต่อสู้ของมู่เฉินน่าจะก้าวเกินนางไปแล้ว
นี่ทำให้นางมีความรู้สึกที่ประหลาดไป เพราะในอดีตนางเป็นโล่คุ้มครองมู่เฉินมาโดยตลอด แต่ ณ สถานการณ์ตอนนี้ทุกอย่างพลิกผันสิ้นเชิง
สิ่งนี้ทำให้จิตใจนางรู้สึกซับซ้อน
ทว่ามู่เฉินไม่รู้ว่าคนอื่นรู้สึกอย่างไร สายตาเขาจับจ้องไปที่ตาเฒ่าทั้งสามที่ตัวสั่นเทา
“ประมุขมู่ พวกข้าเป็นทูตเท่านั้น ไม่ว่ายังไงตามกฎสงครามก็ไม่สมควรจะสังหารทูต!”
จื่อเทียนเปยพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือใบหน้าซีดเซียวไปหมดภายใต้สายตาไม่แยแสของมู่เฉิน คลื่นหลิงของเขาถูกปิดผนึก ตอนนี้เขาก็ไม่ต่างจากชายชราธรรมดาที่สามารถฆ่าได้อย่างง่ายดายภายใต้ความโกรธของมู่เฉิน
“เมื่อครู่เจ้าไม่ได้เป็นแบบนี้นะ” มู่เฉินยิ้มให้จื่อเทียนเปยที่แสดงท่าทีหยิ่งผยองก่อนหน้าเมื่อคิดว่าไม่มีใครหยุดเขาได้
จื่อเทียนเปยยิ้มอย่างขมขื่นในใจ เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีคนที่น่ากลัวเช่นนี้ในตำหนักมู่ จากการแลกกระบวนท่าก่อนหน้าที่กินเวลาเพียงจิบน้ำ พวกเขาทั้งสามคนก็สิ้นสภาพ พลังในการต่อสู้ของมู่เฉินน่ากลัวมาก
ถ้าเขารู้เรื่องนี้มาก่อนก็ไม่กล้าแสดงท่าทีหยิ่งผยองแม้ว่าเขาจะมีความกล้าเทียมฟ้าก็ตาม
“ตาแก่คนนี้ตาบอด ไม่คิดถึงอำนาจของท่านประมุขมู่ นี่เป็นบทเรียนที่ข้าสมควรได้รับ” จื่อเทียนเปยยิ้มแห้ง ท่าทางของเขาในตอนนี้แตกต่างจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง
“ช่างรู้กาลเทศะซะจริง” เมื่อเห็นคนไร้ยางอายคนนี้ มู่เฉินก็ส่ายหัวและยิ้ม
จอมยุทธ์คนอื่นๆ ของตำหนกักมู่ก็รู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นภาพนี้
“กลับไปบอกเรื่องนี้กับสำนักเมฆาม่วงซะ แม้ว่าตำหนักมู่จะไม่สร้างปัญหา แต่พวกข้าก็ไม่กลัวหน้าไหนเช่นกัน ถ้าพวกเจ้าคิดว่าตำหนักมู่เป็นพวกเต่าหดหัว งั้นเราก็ต้องขอลองดีสักหน่อย” มู่เฉินยิ้มบาง
จื่อเทียนเปยทำได้เพียงพยักหน้ารัวๆ ไม่กล้าพูดอะไรหักล้าง
“ไปซะ”
มู่เฉินไม่คิดพูดมากความ เขาไม่คิดที่จะให้ทั้งสามคนอยู่ต่อ เนื่องจากทั้งสามมีผนึกประทับไว้ซึ่งจะทำให้พวกเขาอ่อนแอลงจนถึงปีหน้าเลยทีเดียว
“ขอรับๆ พวกข้าขอลาไปก่อนนะ”
จื่อเทียนเปยรู้สึกโล่งใจมากเมื่อได้ยินเช่นนั้น รีบออกไปพร้อมกับพรรคพวก สำหรับผนึกในร่างพวกเขาไม่ได้ใส่ใจมากนัก เนื่องจากประมุขของพวกเขาน่าจะสามารถแก้ไขได้
มู่เฉินมองเงาที่จากไปมุมปากก็ยกขึ้น ทั้งสามคนคิดว่าผนึกของเขาจะลบล้างง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ? ตราบใดที่ประมุขสำนักเมฆาม่วงไม่ใช่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ไม่สามารถแก้ไขได้
หลังจากข่มขู่ทูตสำนักเมฆาสีม่วงจากไป มู่เฉินก็หันกลับมาถามว่า “จิ่วโยวล่ะ?”
เขาไม่สามารถรับรู้ถึงรัศมีของจิ่วโยวในตำหนักมู่ได้เลย
“ไม่นานหลังจากที่เจ้าไปดินแดนซีเทียนเล็ก นางก็มุ่งหน้ากลับไปที่เผ่าวิหคโลกันตร์ ดูเหมือนนางจะถูกกระตุ้นด้วยความเร็วในการฝึกฝนของเจ้า ตั้งใจที่จะเริ่มเส้นทางวิวัฒนาการ ดูว่าจะสามารถพัฒนาไปสู่วิหคอมตะได้หรือไม่” มั่นถัวหลัวอธิบาย
มู่เฉินพยักหน้า จิ่วโยวมีสายเลือดเข้มข้นของวิหคอมตะ ดังนั้นจึงมีโอกาสสำหรับการวิวัฒนาการ หากนางสามารถพัฒนาได้จริง สายเลือดของนางจะได้รับการเปลี่ยนแปลงมากมายและพัฒนาสู่การเป็นวิหคอมตะโบราณที่เทียบเท่ากับระดับเทียนจื้อจุนเลยทีเดียว
เส้นทางการฝึกฝนของเทพอสูรไม่ธรรมดาตั้งแต่เริ่มต้น บางคนไม่สามารถวิวัฒนาการได้แม้จะผ่านไปหลายร้อยหลายพันปี แต่ถ้าสามารถพัฒนาได้ก็ก้าวผ่านประตูสวรรค์ในก้าวเดียว
“ลำบากเจ้าที่ทำงานหนักเพื่อตำหนักมู่” มู่เฉินหันไปมองรอบๆ เหล่าผู้เชี่ยวชาญในโถงก็ถอนหายใจ ในปีที่ผ่านมามั่นถัวหลัวต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการขยายอาณาเขตของตำหนักมู่
แต่มั่นถัวหลัวก็กลอกตากับคำพูดของเขา เนื่องจากน้องชายคนนี้ทิ้งภาระงานให้อย่างตรงไปตรงมา
“ฮ่าๆ ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง ข้ามีของขวัญมอบให้เจ้าด้วยนะ” เมื่อมู่เฉินเห็นการตอบสนองของนาง เขาก็ชิงพูดก่อน ลำแสงสีดำพุ่งไปหามั่นถัวหลัวเมื่อเขาโบกมือ
มั่นถัวหลัวพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ลำแสงสีดำก็หยุดลงต่อหน้า ปรากฏเป็นภาพแส้สีดำประดับหนามแหลม
“นี่คือ?” มั่นถัวหลัวอึ้งไปชั่วครู่ขณะที่มองแส้สีดำก่อนจะอุทาน “อาวุธมหสวรรค์ขั้นเกือบจะยอดเยี่ยมที่สร้างมาจากกิ่งก้านของดอกแมนดาลาโบราณเรอะ?!”
นางมีร่างเป็นดอกแมนดาลาโบราณ ดังนั้นนางจึงรู้สึกได้ว่าเจ้าของแส้ดอกไม้คนก่อนหน้าเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนอย่างแน่นอน
นี่เป็นอาวุธที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับนาง
“พีระมิดแสงดาวปราบปีศาจไม่ช่วยส่งเสริมอะไรมากแล้ว ดังนั้นถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนเป็นอาวุธใหม่” มู่เฉินยิ้ม ด้วยแส้นี้พลังของมั่นถัวหลัวน่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัย
“หืม ดูเหมือนว่าผลเก็บเกี่ยวในการเดินทางครั้งนี้ดีเลยเชียว” มั่นถัวหลัวอุทานชื่นชม อาวุธมหสวรรค์ขั้นเกือบจะยอดเยี่ยมเป็นสมบัติแท้จริง ซึ่งจอมยุทธ์ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มทุกคนใฝ่ฝันต้องการ
คนอื่นๆ น้ำลายไหลกับภาพน่าตกใจนี้
หากนำอาวุธมหสวรรค์ขั้นเกือบจะยอดเยี่ยมไปประมูล ราคาอาวุธชิ้นนี้จะต้องตกอยู่ที่ของเหลวจื้อจุนอย่างน้อยหลายร้อยล้านหยด
“อย่างน้อยก็มีสำนึกดี ข้ารับไว้แล้วกัน” รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของมั่นถัวหลัว ชัดว่านางพอใจกับของขวัญชิ้นนี้มาก
มู่เฉินยิ้มก่อนที่จะหันไปมองเทียนจิ้ว หลิงถงและซุ่ยนอน ทั้งสามคนยังติดอยู่ที่ระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุด อีกเพียงครึ่งก้าวก็จะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นแล้ว
หลังจากไตร่ตรองชั่วครู่ เขาก็สะบัดนิ้วลำแสงสามสายพุ่งเข้าหาทั้งสาม นี่เป็นเม็ดยาสามเม็ด
“สิ่งนี้คือเม็ดยาพั่วจุน สามารถช่วยทำลายขอบเขตระหว่างระดับจื้อจุนขั้นเก้ากับระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น พวกเจ้าทั้งสามคนมีพลังเพียงพอแล้ว รอแค่โอกาสที่จะสร้างความก้าวหน้า” มู่เฉินยิ้มให้ทั้งสามคน
พวกเขาทั้งสามเป็นสมาชิกที่อยู่มานานที่สุดอย่างแท้จริง ติดตามมั่นถัวหลัวมาตั้งแต่เริ่มต้นตั้งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ดังนั้นในเรื่องความภักดีไม่มีข้อสงสัยใดเลย ในเมื่อตอนนี้มีพลังเพียงพอ มู่เฉินจึงคิดจะช่วยเหลือพวกเขาสักหน่อย
ใบหน้าของเทียนจิ้วเต็มไปด้วยความสุข เมื่อรู้สึกถึงคลื่นหลิงบริสุทธิ์ในเม็ดยา แม้ว่าพวกเขาจะขาดโอกาส แต่บางครั้งโอกาสกลับไม่มาสักที ด้วยเม็ดยาพั่วจุนนี้ พวกเขาจะสามารถสร้างความก้าวหน้าได้ทันที
“ขอบคุณท่านประมุข!”
พวกเขาทั้งสามกำหมัดด้วยความรู้สึกซาบซึ้งขณะที่ถอนหายใจ ย้อนกลับไปเมื่อมู่เฉินมาถึงอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เขาเป็นเพียงแม่ทัพตัวน้อยที่อ่อนแอและมีสถานะแตกต่างจากพวกเขาอย่างมาก แต่ใครจะคาดคิดว่าไม่กี่ปีต่อมาเขาจะไปถึงจุดสูงสุดนี้
จอมยุทธ์ในห้องโถงมองด้วยความอิจฉา เนื่องจากเป็นเรื่องยากที่จะพบกับเม็ดยาที่สามารถช่วยให้ผู้ฝึกทะลวงขุมพลังได้ แม้แต่ในงานประมูลยังหาได้ยาก ไม่คิดว่าประมุขมู่จะนำออกมาแจกจ่ายได้อย่างง่ายดาย
หลังจากให้รางวัลทั้งสามคนแล้ว มู่เฉินก็หันไปมองพวกหลิ่วเทียนเต้า ตอนนั้นเมื่อเขาประจันหน้ากับจื่อเทียนเปย เขาก็เห็นพวกเขาพยายามเข้ามาช่วยเหลือ
แม้ว่าในอดีตจะมีความขุ่นเคืองกันบ้าง แต่พวกเขาก็สามารถไว้เนื้อเชื่อใจตั้งแต่ยอมเข้าร่วมตำหนักมู่ แม้จะแอบวางแผนเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม
ดังนั้นเขาจึงโบกมือ เม็ดยาห้าเม็ดบินเข้าไปหาทั้งห้าคน
เม็ดยาเหล่านั้นเป็นสิ่งที่เขาได้รับจากสุสานภูตผีเสื้อโอสถซึ่งมีค่าเหลือล้น
“พวกเจ้าทั้งห้ามีคุณูปการมากในการช่วยมั่นถัวหลัวขยายอำนาจตำหนักมู่ สมควรได้รับรางวัล” มู่เฉินยิ้มบาง “นี่คือเม็ดยาตู้เอ้อที่จะสามารถช่วยเพิ่มโอกาสให้ในการบุกทะลวงระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นไปสู่ขั้นปลาย แต่การประสบความสำเร็จได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคนแล้ว”
ร่างกายของหลิ่วเทียนเต้าสั่นสะท้านเมื่อได้ยิน ก่อนที่ความสุขจะกระจายบนใบหน้า พวกเขาติดอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นมาเป็นเวลาหลายปี ดังนั้นสามารถบอกได้ว่าเม็ดยาตู้เอ้อมีค่าแค่ไหนสำหรับพวกเขา
นอกจากนี้เม็ดเหล่านั้นมีค่ามากกว่าที่มู่เฉินมอบให้เทียนจิ้ว หลิงถงและซุ่ยนอน หากสิ่งนี้ถูกนำไปประมูลราคาก็จะทะลุเพดานแน่นอน
“ขอขอบคุณท่านประมุข!”
ทั้งห้ากุมเม็ดยาอย่างระมัดระวังก่อนจะประสานมือ การกระทำของมู่เฉินบ่งบอกถึงทัศนคติที่มี เขาลืมเลือนสิ่งที่พวกเขาทำในอดีตได้ ตราบเท่าที่พวกเขายังคงภักดีต่อไปในอนาคต
มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ
เมื่อผู้จอมยุทธ์คนอื่นๆ ในห้องโถงเห็นคนเก่าแก่ได้รับรางวัลกันถ้วนหน้า สายตาของพวกเขาลุกโชนด้วยความอิจฉา แต่พวกเขารู้ว่าผู้ที่ได้รับรางวัลก็คือผู้บุกเบิกที่ได้สร้างผลงานสำคัญเอาไว้
“ตำหนักมู่ให้รางวัลอย่างยุติธรรม ตราบใดที่พวกเจ้ามีส่วนร่วมก็จะได้รับรางวัล” มู่เฉินกวาดมองทุกคนพลางพูดย้ำช้าๆ
“รับทราบ!”
ทุกคนตอบสนองด้วยเสียงที่กระทั่งท้องฟ้ายังสั่นสะท้าน
มั่นถัวหลัวยิ้มบางกับภาพนี้ วิธีการของมู่เฉินฉลาดมาก เขาลบความไม่คุ้นเคยในช่วงปีที่ผ่านมาและสร้างสถานะให้กับตัวเองในตำหนักมู่ทันที
ในอนาคตไม่รู้จะมีจอมยุทธ์กี่คนยอมทำงานถวายหัวจากคำพูดของเขา
มู่เฉินพยักหน้าหันไปมองมั่นถัวหลัว “ตอนนี้…ถึงเวลาคุยกันว่าสำนักเมฆาม่วงคิดจะทำอะไรกันแล้ว…”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น