หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1345-1348
บทที่ 1345 ขัดขวาง
เมื่อภารกิจเจดีย์สี่เทวะสิ้นสุดลง
การเดินทางของจอมยุทธ์ในแดนเซิ่งยวนโบราณก็ปิดฉากลงด้วย ผู้คนเริ่มทยอยออกไป ทว่าก็ยังมีบางคนที่ยังไม่ได้ไปไหนแต่พยายามใช้ช่วงเวลาสุดท้ายเพื่อค้นหารอบๆ และดูว่าตนเองจะได้พบกับโชคลาภบ้างหรือไม่
สำหรับพวกมู่เฉินซึ่งได้รับการเก็บเกี่ยวมหาศาล พวกเขาไม่ได้อยู่ในแดนเซิ่งยวนโบราณต่อ พวกเขาบดขยี้เครื่องรางออกจากแดนนี้ไป
ที่มุมหนึ่งของแดนเซิ่งยวน
มิติบิดเบี้ยว เงาร่างหลายร่างปรากฏขึ้น แต่ละคนเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดมิดก็รู้สึกโล่งใจ แดนเซิ่งยวนโบราณราวกับคุกที่ทำให้พวกเขารู้สึกกดดันขณะที่อยู่ภายใน
“ไปที่เมืองเซิ่งยวนกันก่อนเถอะ” มู่เฉินโบกมือเซียนชื่อเหยียนคงรอฟังข่าวดีจากลั่วหลีอยู่แน่
ทุกคนพยักหน้า เมื่อเทียบกับแดนเซิ่งยวนโบราณซึ่งเต็มไปด้วยอันตราย การอยู่ในเมืองเซิ่งยวนทำให้พวกเขารู้สึกผ่อนคลายมากกว่า
จากนั้นทุกคนก็ระเบิดความเร็วจากไป พวกเขาเดินทางต่อไปอีกหลายชั่วโมงก่อนที่ท้องฟ้าจะสว่างขึ้น มองเห็นโครงร่างเมืองใหญ่ทีละน้อย
ฟิ้ว ฟิ้ว!
ริ้วแสงมากมายพุ่งมาจากทุกทิศทุกทาง ก่อนที่จะมาหยุดตรงประตูเมือง ทั้งเมืองคึกคักด้วยความมีชีวิตชีวา
ความมีชีวิตชีวานี้เป็นภาพแบ่งชัดเจนกับแดนเซิ่งยวนโบราณที่รกร้างและมีแต่ซากปรักหักพัง ภาพนี้ทำให้กลุ่มของมู่เฉินผ่อนคลายลงหลายส่วน
เมื่อแลกเปลี่ยนสายตากันพวกเขาก็ยิ้มก่อนจะกลายเป็นร่างแสงพลิ้วลงที่ประตูเมือง จากนั้นก็เข้าไปในเมืองทันที
เมืองยังคงครึกครื้นเหมือนเคย มีผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา ทว่ามู่เฉินสัมผัสได้ว่ามีความแปลกประหลาดเนื่องจากผู้คนต่างเงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศทางหนึ่งด้วยสายตาซับซ้อน
ดังนั้นกลุ่มของมู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นอย่างสงสัย เมื่อพวกเขามองไปที่ศิลาสังหารปีศาจที่ยืนอยู่ใจกลางเมือง ฝีเท้าของพวกเขาก็หยุดชะงักเมื่อเห็นด้านบนนั่น แม้แต่สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป
“นั่นอะไร?” หลงเซี่ยงขยี้ตา ดูเหมือนเขาจะเห็นชื่อราชันสังหารปีศาจสองคนและหนึ่งในนั้นก็คือมู่เฉิน
เวินชิงเฉวียน เวินซื่อหยู่และคนอื่นๆ ก็ฉายความตกตะลึงบนใบหน้า ครู่หนึ่งต่อมาพวกเขาก็หันขวับไปทางมู่เฉิน “เจ้าอย่าบอกพวกข้านะว่าเจ้าคือมู่เฉินบนนั้นน่ะ?”
พวกเขารู้ชัดเจนว่าราชันสังหารปีศาจเป็นตัวแทนของอะไร นั่นคือการดำรงอยู่บนยอดพีระมิดในวังมหาพันภพ ซึ่งสูงกว่าพวกแขกและผู้อาวุโสด้วยซ้ำ
เผชิญหน้ากับราชันสังหารปีศาจ แม้แต่ตระกูลเวินยังต้องรักษามารยาทและความเคารพ
สายตาของลั่วหลีก็มองไปที่มู่เฉินด้วยความสงสัยเช่นกัน มู่เฉินได้ป้ายสังหารปีศาจพร้อมกันกับนาง แต่ตอนนี้ตัวนางยังคงเป็นมือสังหารปีศาจขั้นต่ำอยู่เลย แล้วจู่ๆ มู่เฉินกระโดดขึ้นสู่อันดับที่น่ากลัวของราชันสังหารปีศาจได้อย่างไร?
มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะลูบใบหน้า ขณะยิ้มอย่างขมขื่นก่อนจะเล่ารายละเอียดว่าเขาดูดซับวิญญาณจอมปีศาจเทียนเสี่ยเจียงเข้าไปในป้ายได้อย่างไร
เมื่อทุกคนได้ยินก็ตกตะลึงไป ก่อนจะอดอุทานออกมาไม่ได้ “นี่ก็ได้เหรอ?”
มู่เฉินยักไหล่ “ดูจากภาพตอนนี้เหมือนจะได้นะ”
เวินชิงเฉวียนและคนที่เหลือแลกเปลี่ยนสายตากัน แม้ว่าวิธีของมู่เฉินคือกลโกง แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถเลียนแบบสิ่งที่เขาทำได้ เหมือนกับที่มีเศษวิญญาณของจอมปีศาจระดับเทียนอยู่สี่คน แต่ก็มีเพียงมู่เฉินเท่านั้นที่ทำได้
แต่…ขุมพลังของมู่เฉินตอนนี้อ่อนแอเกินไปจริงๆ
“เจ้าทำลายประวัติศาสตร์ของวังมหาพันภพ… ไม่เคยมีราชันสังหารปีศาจที่ต๊อกต๋อยขนาดนี้มาก่อนเลย” เวินชิงเฉวียนแซว
มู่เฉินยังยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ ตอนนั้นเขาแค่ลองดูว่าจะได้ผลหรือไม่ เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะมีผลเช่นนี้จริงๆ
“ก็ต้องดูว่าทางวังมหาพันภพจะยอมรับเรื่องนี้หรือไม่” ลั่วหลีกล่าว
ทุกคนพยักหน้า หากทางวังมหาพันภพไม่ยอมรับเรื่องนี้ ชื่อของมู่เฉินในฐานะราชันสังหารปีศาจก็น่าจะถูกปลดออก
ทว่ามู่เฉินไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มาก ตอนแรกเขาก็แค่จะลองดู หากวังมหาพันภพไม่ยอมรับ เขาก็ไม่ได้ลำบากอะไร
ขณะที่ทุกคนพูดคุยกัน พวกเขาก็มาถึงตำหนักหมื่นพันแล้ว
ที่ตำหนักยังคงคึกคักกันเช่นเคย แต่มู่เฉินก็ได้ยินเสียงลอยเข้าหูเกี่ยวกับหัวข้อราชันสังหารปีศาจคนใหม่อยู่ตลอด
นั่นทำให้เขาส่ายหน้าจนใจ เขาไม่เคยคิดว่าความอยากรู้อยากเห็นของตนเองจะทำให้เกิดความโกลาหลเช่นนี้ คงจะต้องมีมือสังหารปีศาจมากมายอยากเห็นว่าเขาที่เป็นราชันสังหารปีศาจคนใหม่จะเป็นสัตว์ประหลาดแบบใด
“ฮ่าฮ่านี่ไม่ใช่ราชันสังหารปีศาจคนใหม่ของเราเหรอ!”
ขณะที่มู่เฉินตั้งใจเข้าไปเงียบๆ เสียงหัวเราะเยาะเย้ยก็ดังออกมา ทำให้ทั้งตำหนักเงียบลง สายตามากมายมารวมตัวกันที่มู่เฉิน
“เขาคือราชันสังหารปีศาจคนใหม่—มู่เฉินเหรอ?!”
“แต่…ทำไมเขาถึงเป็นแค่จอมยุทธ์เกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเท่านั้น?!”
“เขากลายเป็นราชันสังหารปีศาจได้ยังไง?”
“…”
ความเงียบสงบกินเวลาชั่วครู่ ก่อนที่ทั้งตำหนักจะเข้าสู่ความโกลาหล สายตานับไม่ถ้วนรวมตัวกันที่มู่เฉิน พวกเขาทั้งหมดสงสัยว่าชื่อของเขาในฐานะราชันสังหารปีศาจเป็นของจริงหรือไม่
ทันทีที่กลายเป็นจุดรวมสายตา มู่เฉินก็เหลือบมองไปที่ชื่อเหยียนที่ยิ้มขี้เล่นแบบกวนๆ จากนั้นเขาก็นำลั่วหลีและคนที่เหลือเดินไปหาถามอย่างไม่เกรงใจว่า “ท่านยังอยากได้วิชาช่องแสงวิญญาณโบราณรึเปล่า?”
ดวงตาของชื่อเหยี่ยนสว่างวาบก่อนที่จะมองลั่วหลีด้วยความสุขบนใบหน้า “เจ้าทำสำเร็จจริงๆ รึ?”
แม้ว่าเขาจะรู้ว่าลั่วหลีมีโอกาสดีที่จะประสบความสำเร็จ แต่เมื่อเป็นจริงใบหน้าของชื่อเหยียนก็เต็มไปด้วยความสุข
ลั่วหลีไม่ตอบกลับ แต่มองไปที่มู่เฉินด้วยรอยยิ้ม
“ดีมาก เจ้าเด็กบ้าสองคน คิดจะกลั่นแกล้งตาแก่คนนี้เรอะ” เมื่อเห็นสายตาลั่วหลีที่ต้องการช่วยเหลือมู่เฉิน ชื่อเหยียนก็ควันออกหู ก่อนที่เขาจะหันกลับมาตะโกนลั่น “พวกเจ้าทุกคนหุบปาก!”
เมื่อร่องรอยแรงกดดันของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเล็ดลอดออกมา ทั้งตำหนักก็เงียบเสียงลง ไม่ว่าพวกเขาจะยโสโอหังแค่ไหน พวกเขาก็ต้องหดหัวเมื่อต้องเผชิญหน้ากับระดับเทียนจื้อจุน
หลังจากระงับความวุ่นวาย ชื่อเยียนก็ถูมือพลางหัวเราะเบาๆ ไปทางลั่วหลี
เมื่อเห็นการตอบสนองของเขา ลั่วหลีก็ยิ้มขณะพยักหน้า “ข้าไม่ทำให้ผิดหวัง โชคดีได้รับมรดกของท่านบรรพบุรุษไท่หลิงมา”
ฮา
ชื่อเหยียนเหมือนยกภูเขาออกจากอก เผ่าไท่หลิงคลุมเครือกับเรื่องนี้มาหลายปี ในที่สุดก็ได้รับการแก้ไข
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ พวกเราก็ไปกันเถอะ ลั่วหลีตามข้าไปยังเผ่าไท่หลิง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเจ้าคือธิดาเทพคนใหม่!” ชื่อเหยียนโบกมือขณะที่พูด
เมื่อเห็นว่าชื่อเหยียนต้องการพานางไปที่เผ่าไท่หลิง นั่นไม่ได้หมายความว่านางต้องแยกกับมู่เฉินอีกครั้งเหรอ? เรื่องนี้ทำให้ลั่วหลีตกตะลึงไปช่วงสั้นๆ ขณะที่นางกำลังจะพูดเสียงหัวเราะเยือกเย็นก็ดังออกมาจากภายในตำหนัก
“ต้องการออกไปเหรอ? จะง่ายขนาดนั้นได้ยังไง?!”
สายตาทุกคู่จ้องไปที่ต้นเสียงก็เห็นกลุ่มคนย่างสามขุมเข้ามาพร้อมกับรัศมีดุร้าย โดยมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสองคนนำหน้า ซึ่งก็คือเฮยกวางและมั่วหยิงนั่นเอง
ที่ด้านหลังเฉวียนหลัวและมั่วซินก็ตามมา พร้อมกับที่จ้องมองมู่เฉินด้วยสายตาอาฆาตที่น่ากลัว
สายตาของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสองก็จับจ้องไปที่มู่เฉิน ขณะพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ปล่อยแรงกดดันซึ่งทำให้มู่เฉินรู้สึกหนักหน่วงออกมา
สายตาของมู่เฉินเปลี่ยนเป็นเย็นชาเมื่อมองไปที่เฉวียนหลัวและมั่วซิน เห็นได้ว่านี่เป็นแผนของไอ้วายร้ายสองคนคิดขึ้นมา
“เฮ้ ไอ้แก่หน้าด้านสองคนคิดรังแกเด็กเหรอ?” ร่างสูงวัยปราดมาที่เบื้องหน้ามู่เฉิน ต่อต้านแรงกดดันที่มาจากเฮยกวางและมั่วหยิง
นี่เป็นใครไม่ได้ขอกจากชื่อเหยียน
“ชื่อเหยียนเรื่องนี้เป็นเรื่องของเผ่าฝูถูไม่เกี่ยวกับแก!” เฮยกวางตะเบ็งเสียงใส่ด้วยสายตามืดมน
มั่วหยิงมองไปที่มู่เฉินอย่างน่าขนพองสยองเกล้าขณะที่แผดเสียงลั่น “ไอ้เด็กเวรส่งมอบวิชาเจดีย์แปดองค์มาให้ซะดีๆ ถ้ารู้ว่าอะไรดีสำหรับตัวเอง มิฉะนั้นวันนี้เราจะนำแกกลับไปที่เผ่าเพื่อรับโทษ!”
มู่เฉินเยาะเย้ย “พวกแกไม่มีปัญญาได้รับการยอมรับจากท่านบรรพบุรุษ จะโทษใครได้?”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นใบหน้าของเฉวียนหลัวและมั่วซินก็น่าเกลียดลงมาก
มั่วหยิงตอบด้วยเสียงเคร่งเครียด “ท่านบรรพบุรุษแค่ปลอบโยนเจ้าที่ฆ่าปีศาจ แต่วิชาเจดีย์แปดองค์ไม่ใช่สิ่งที่แกจะครอบครองได้!”
“มั่วหยิง แกหน้าหนามาก ถ้าบรรพบุรุษรู้เรื่องนี้เข้าละก็ เขาจะต้องกลับมาจากความตายเพราะความโกรธที่มีลูกหลานโง่เขลา” ชื่อเหยียนทอดถอนหายใจ
พอได้ยินคำถากถางของชื่อเหยียนเปลือกตาของมั่วหยิงก็กระตุกก่อนที่เขาจะมองไปที่อีกฝ่ายด้วยท่าทางมืดมน พูดช้า-ชัดว่า “ชื่อเหยียน แกคิดจะแส่เรื่องนี้ใช่ไหม?”
“มู่เฉินเป็นคนที่ข้าพามา ดังนั้นข้าไม่ปล่อยให้พวกแกพาเขาไปได้” ชื่อเหยียนหัวเราะเยาะขณะที่พูดโดยไม่มีความลังเลใดๆ หลังจากได้ยินน้ำเสียงของมั่วหยิง
มั่วหยิงและเฮยกวางสบตากัน แสงเย็นเยือกพล่านในดวงตา วันนี้พวกเขาต้องพามู่เฉินกลับไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม วิชาเจดีย์แปดองค์ตกอยู่ในกำมือของไอ้เด็กนี่ไม่ได้!
“ในเมื่อเป็นแบบนี้”
รัศมีเทียนจื้อจุนไม่ปกปิดอีกต่อไป ระเบิดออกฉับพลันทำให้ท้องฟ้าเมืองเซิ่งยวนมืดลง
แรงกดดันน่ากลัวแผ่ซ่านไปทั่ว
สายตาของพวกเขาจับจ้องไปที่ชื่อเหยียนราวกับกระบี่คมกริบ
“งั้นพวกข้าสองคนก็จะพาไอ้เด็กกาลกิณีนี่กลับไปให้ได้!”
บทที่ 1346 การเผชิญหน้าของเหล่าจอมยุท...
ตู้ม!
เมื่อทั้งสองพูดจบมิติก็ยุบลง โดยที่มีพวกเขาเป็นศูนย์กลาง ระลอกแรงกดดันขนาดใหญ่สองสายทำให้ตำหนักหมื่นพันสั่นสะเทือน
ทว่าพวกเขาก็ควบคุมการเคลื่อนไหว มุ่งเน้นไปที่รอบตัว ไม่ได้ทำลายตำหนัก เนื่องจากนี่เป็นอาณาเขตของวังมหาพันภพ แม้แต่เผ่าฝูถูของพวกเขาก็ต้องไว้หน้าให้
แต่ถึงอย่างนั้นแรงกดดันจากจอมยุทธิ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสองคนที่แผ่ออกไป ก็ทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มยังต้องหวาดกลัว
“ข้าจะดูสิว่าใครจะฉกเขาไปจากมือข้าได้!” เมื่อเห็นทั้งสองคนเอาแต่ใจ ชื่อเหยียนก็โกรธจนต้องหัวเราะเยาะระบายออกมา แรงกดดันรอบตัวเขาเพิ่มขึ้นขณะที่คลื่นหลิงสีแดงเข้มเดือดราวกับลาวาทำให้อุณหภูมิในตำหนักพุ่งสูงขึ้น
ชื่อเหยียนยืนอยู่เบื้องหน้ามู่เฉินต่อต้านแรงกดดันที่มาจากมั่วหยิงและเฮยกวาง
เมื่อเห็นว่าชื่อเหยียนมุ่งมั่นที่จะปกป้องมู่เฉิน มั่วหยิงและเฮยกวางก็มีสีหน้ามืดครึ้ม ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้แสดงเจตนาที่จะหยุด พวกเขาได้ตัดสินใจที่จะจับตัวมู่เฉินแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม!
‘วิชาเจดีย์แปดองค์ตกอยู่ในมือมู่เฉินไม่ได้!’
ด้วยความคิดนี้ ทั้งสองก็แลกเปลี่ยนสายตากัน เฮยกวางก้าวออกไปก่อนที่จะเหยียดฝ่ามือใส่ชื่อเหยียน แม้ว่าฝ่ามือนั้นจะดูนุ่มนวล แต่คลื่นหลิงสีดำก็ควบแน่นรุนแรงในฝ่ามือ ก่อร่างเป็นดวงอาทิตย์สีดำที่มีขนาดพอกับศีรษะมนุษย์
ภาพดวงอาทิตย์สีดำไม่ได้เปล่งประกายใดๆ แม้ว่าจะดูเล็ก แต่ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงพลังงานที่น่ากลัวที่มีอยู่ภายใน
หากดวงอาทิตย์สีดำพุ่งออกไปโดยไร้การควบคุมละก็ เมืองเซิ่งยวนคงจะยุบตัวกลายเป็นปล่องภูเขาไฟขนาดใหญ่ในพริบตา
กระบวนท่าของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนปลดปล่อยพลังอำนาจในการทำลายล้างที่ไม่อาจจินตนาการได้
เมื่อเห็นดวงอาทิตย์สีดำบนฝ่ามือของเฮยกวาง ชื่อเหยียนก็หดตาลงไม่คิดรอช้า ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว ขณะที่เขาอ้าปากกว้าง เปลวไฟพวยพุ่งออกมาราวกับลาวาเลยทีเดียว
เปลวไฟสั่นไหวไม่หยุด ราวกับจะดับลงได้ทันทีเมื่อลมพัด แต่เมื่อมันปรากฏทุกคนก็สัมผัสได้ถึงอุณหภูมิที่น่ากลัวแผ่ออกมา แม้แต่มิติก็เหมือนจะถูกเผาไหม้
ทุกคนรู้ว่าทั้งเฮยกวางและชื่อเหยียนควบคุมพลังเอาไว้ มิฉะนั้นเปลวไฟที่พ่นออกมาสามารถเปลี่ยนระยะทางหมื่นลี้ให้กลายเป็นมหาสมุทรเพลิงได้
ชี่!
ดวงอาทิตย์สีดำและเปลวไฟปะทะกัน แต่ไม่ได้สร้างความปั่นป่วนใดๆ อย่างไรก็ตามทุกคนสามารถเห็นได้ว่าพลังทั้งสองพยายามกัดเซาะซึ่งกันและกันในมิติ บริเวณที้ปะทะกันก็เริ่มแตกสลาย…
ขณะที่เฮยกวางกับชื่อเหยียนปะทะกัน มั่วหยิงก็มองไปที่มู่เฉินด้วยรอยยิ้มน่าขนลุก ก่อนที่จะย่างเท้าเข้ามาในทิศทางของมู่เฉิน
ใบหน้าของชื่อเหยียนเปลี่ยนไปเมื่อเห็นภาพนี้ ทว่าตอนนี้เขากำลังเผชิญหน้ากับเฮยกวาง ถ้าเขาถอยไป เฮยกวางก็จะฉวยโอกาศขึ้นเป็นฝ่ายได้เปรียบและปราบปรามเขาได้
“เผ่าฝูถูทรราชเกินไป! พวกแกพยายามสร้างความเป็นศัตรูกับเผ่าไท่หลิงของข้ารึ?!” ชื่อเหยียนกล่าวเสียงเคร่งขรึม
มั่วหยิงไม่คิดหยุดขณะที่เยาะเย้ยขึ้น “ชื่อเหยียน แกประเมินตัวเองสูงเกินไป แกไม่ได้เป็นตัวแทนของเผ่าไท่หลิง!”
ขณะที่พูดสายตาเย็นชาของเขาก็จดจ้องไปที่มู่เฉินราวกับเหยี่ยวจ้องมองเหยื่อ “ข้าจะดูสิว่าวันนี้แกจะหนีไปได้ยังไง”
ใบหน้าเฉวียนหลัวและมั่วซินเต็มไปด้วยความสุขกับฉากนี้ เมื่อพวกเขามองไปที่มู่เฉินแววตาก็กลายเป็นเวทนา ‘ถึงแกได้รับการยอมรับจากบรรพบุรุษแล้วไงล่ะ? สุดท้ายก็ไม่สามารถปกป้องวิชาเจดีย์แปดองค์ได้!’
มองไปที่มั่วหยิงที่เข้ามา มู่เฉินก็ไม่แสดงความหวาดกลัว เนื่องจากเขารู้ว่าความกลัวไม่ได้ช่วยอะไร
เขากำหมัดแน่น ปกป้องลั่วหลีด้วยแสงเย็นพล่านในดวงตา
หากเป็นก่อนที่จะเข้าไปในแดนเซิ่งยวนโบราณ ตัวเลือกของเขาคงมีเพียงวิ่งหนีเมื่อต้องเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน แต่ตอนนี้เขาเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มบวกกับการได้รับกองทัพมังกรดำและวิชาเจดีย์แปดองค์เป็นไพ่ตายเพิ่มขึ้น
ด้วยไพ่ตายเหล่านี้ถ้าเขาเสี่ยงชีวิต มั่วหยิงก็ไม่สามารถฆ่าเขาได้ง่ายๆ
หากไอ้หมาแก่ตัวนี้ต้องการบีบบังคับจริงๆ มู่เฉินก็จะบอกให้เขารู้ว่าการพยายามทำให้จนตรอก เขาก็ต้องจ่ายราคาที่สมน้ำสมเนื้อ!
“แม่เฒ่าเหอ!”
แต่เมื่อแสงเย็นรวมตัวในนัยน์ตาของมู่เฉินจนถึงขีดสุด เขากำลังจะเหวี่ยงไพ่ตายเผชิญหน้ากับมั่วหยิง เวินชิงเฉวียนก็ตะโกนขึ้น
วาบ!
ภาพเงาสายหนึ่งปรากฏเบื้องหน้ามู่เฉิน นางสวมชุดคลุมสีแดง นี่ก็คือแม่เฒ่าเหอของตระกูลเวิน!
นางยืนเบื้องหน้ามู่เฉินมองไปที่มั่วหยิงอย่างเย็นชา เมื่อแขนเสื้อสะบัดออก เสียงของแม่น้ำที่สาดกระเซ็นก็ดังออกมาจากร่างกายนางคลุมเครือ
มั่วหยิงหยุดชะงักลงใบหน้ามืดครึ้ม สายตาจ้องมองไปที่แม่เฒ่าเหอ เสียงกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ตระกูลเวินคิดจะแส่เรื่องภายในของเผ่าฝูถูด้วยเรอะ?”
แม่เฒ่าเหอยกเปลือกตาเบาบางกล่าวว่า “แม้ว่าตระกูลเวินจะไม่มีรากฐานที่ลึกซึ้งเท่ากับเผ่าฝูถู แต่เราก็รู้จักตอบแทนบุญคุณ เจ้าหนุ่มคนนี้ช่วยพวกชิงเฉวียนเอาไว้มากมาย ดังนั้นข้าคงไม่ยืนดูไอ้หน้าด้านแก่หงำเหงือกรังแกเขา”
ความเกรี้ยวกราดพวยพุ่งในดวงตาของมั่วหยิง แต่ไม่ได้ระเบิดความโกรธ เขาหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะมองไปที่มู่เฉินอย่างมืดมน “ไม่คิดว่าจะมีคนพยายามปกป้องแกมากขนาดนี้”
มู่เฉินจ้องกลับไปที่มั่วหยิงด้วยเจตนาฆ่าที่กะพริบอยู่ในดวงตาของเขา
“แต่น่าเสียดาย… วันนี้ไม่ว่าจะมีคนพยายามช่วยแกมากแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์!” ทันใดนั้นรอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้ามั่วหยิงก่อนที่เขาจะหันไป ประสานมือไปที่ด้านนอกของตำหนัก “ท่านผู้อาวุโสเก้าโปรดแสดงตัว”
“เฮ้อ…”
เสียงถอนหายใจดังออกมาจากด้านนอก ก่อนที่ทุกคนจะเห็นชายชราหลังค่อมถือไม้เท้าสีดำเดินเข้ามาทางประตูอย่างช้าๆ
ใบหน้าเขาซูบตอบ ดวงตาดำสนิท ฝีเท้าเชื่องช้าไปปรากฏตัวที่ข้างๆ มั่วหยิง
ชายชราคนนี้ไม่มีความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังรอบตัว แต่เมื่อเขาปรากฏตัวใบหน้าของชื่อเหยียนและแม่เฒ่าเหอก็เปลี่ยนไปอย่างไม่สามารถควบคุมได้
“ผู้อาวุโสเก้าแห่งเผ่าฝูถู—มั่วโยว?!” เสียงเคร่งขรึมของชื่อเหยียนดังก้อง
“จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน?!” แม่เฒ่าเหอหดดวงตา เผ่าฝูถูส่งจอมยุทธ์ระดับนี้มาจับมู่เฉินเชียวเรอะ?
จอมยุทธ์ประเภทนี้มีอำนาจมากแม้แต่ในเผ่าฝูถู แต่เขาถูกส่งตัวมาจับชายหนุ่มคนนี้เนี่ยนะ?
ในตำหนักเกิดความโกลาหลขึ้นอีกครั้ง เหล่ามือสังหารปีศาจมองไปที่มู่เฉินด้วยความตกใจ ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความสงสาร ชายหนุ่มคนนี้สร้างปัญหาเก่งจริงๆ เขาทำให้จอมยุท์ขุมพลังเทียนจื้อจุนมากมายต้องเคลื่อนไหว
แววตาของมู่เฉินมืดมนลง เนื่องจากเขาไม่คาดคิดว่าเฮยกวงและมั่วหยิงจะระวังขนาดนี้ เพื่อจับตัวเขา พวกเขาถึงกับเชิญจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนมา!
“แกหรือไอ้เด็กกาลกิณี?” มั่วโยวมองไปที่มู่เฉิน พูดโดยไม่มีเสียงกระเพื่อมใดๆ
มู่เฉินตอบ “ดูเหมือนว่าคำพูดของผู้อาวุโสใหญ่อะไรนั่นจะไม่มีประโยชน์ในเผ่าฝูถูเลย”
ชิงซวงเคยบอกเขาเกี่ยวกับข้อตกลงที่มารดาเขาสัญญากับผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าฝูถู แต่ตอนนี้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนกลับโผล่ออกมาทีละคน ตั้งใจที่จะเพิกเฉยต่อข้อตกลงนั่น
“เหตุฉุกเฉินบานปลายแบบนี้ ข้าเชื่อว่าผู้อาวุโสใหญ่จะเข้าใจเรื่องนี้”
มั่วโยวกล่าวต่อ “ตราบใดที่เจ้ามอบวิชาเจดีย์แปดองค์ให้ ข้าก็จะปล่อยเจ้าไป”
ใบหน้าของมู่เฉินไม่แยแสขณะที่ส่ายหัว หินสลักปรากฏขึ้นในมือ นี่เป็นสิ่งที่เทพจักรพรรดิสงครามมอบให้เขา ดูเหมือนว่าวันนี้เขาคงจะต้องพึ่งพามันเสียแล้ว
เผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิง เขายังสามารถเขวี้ยงไพ่ตายออกไปทั้งหมด เพื่อพยายามต่อสู้สุดความสามารถ แต่สำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน… เป็นไปไม่ได้เลยนอกจากเขาจะควบคุมกองทัพมังกรดำได้ทั้งหมด
“ในเมื่อเจ้าดื้อขนาดนี้ ข้าก็คงต้องรังแกเด็กแล้ว” พอเห็นมู่เฉินปฏิเสธมั่วโยวก็ถอนหายใจ ไม้เท้าสีดำในมือเคาะลงบนพื้นเบาๆ รัศมีสีดำพวยพุ่งออกมาจากไม้เท้า ปิดผนึกพื้นที่ทันที มากจนแม้แต่คลื่นหลิงในฟ้าดินก็ยังถูกผนึกไว้
มู่เฉินรู้สึกถึงการจำกัดลง เขาเม้มริมฝีปาก ทันใดนั้นก็เตรียมออกแรงบีบเพื่อบดขยี้หินสลัก เชิญเทพจักรพรรดิสงครามออกมาช่วยเหลือ
ปัง!
แต่ทันทีที่เขาตัดสินใจจะทำ ถ้วยน้ำชาก็บินเข้ามากระแทกเข้ากับวงรัศมี ทำให้มันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
การเปลี่ยนแปลงกะทันหันทำให้มั่วโยวอึ้งไป จากนั้นเขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองไปที่โต๊ะรับรองของตำหนัก ผู้อาวุโสชุดคลุมสีเทากำลังย่างเท้าออกมาช้าๆ
เขาก็คือผู้รับผิดชอบตำหนักแห่งนี้
“เผ่าฝูถูไม่มากไปหน่อยเหรอ…” ลู่ทงเดินมาที่ด้านข้างของมู่เฉิน พูดอย่างเกียจคร้าน
มั่วโยวขมวดคิ้ว “วังมหาพันภพคิดจะยุ่งเรื่องนี้ด้วยเหรอ?”
แม้ว่าเผ่าฝูถูจะเป็นหนึ่งในห้าเผ่าโบราณ แต่วังมหาพันภพก็มีสถานะสูงส่งในมหาพันภพ มิหนำซ้ำยังไม่กลัวต่ออำนาจเผ่าฝูถูอีกด้วย
“นี่เป็นเรื่องภายในของพวกข้า ข้าว่าวังมหาพันภพละเมิดกฎด้วยการเข้ามายุ่งเรื่องนี้แล้ว” มั่วโยวพูดช้าๆ แม้ว่าวังมหาพันภพจะทรงอำนาจ แต่ก็มีกฎระเบียบ พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ยุ่งกิจการภายในของขั้วอำนาจอื่น
“ไม่ใช่พวกข้าหรอกที่แหกกฎ แต่เป็นพวกเจ้า” ลู่ทงส่ายหัว
เขาหันไปมองมู่เฉิน สายตาพิลึกพิลั่นลงหลายส่วน ก่อนที่จะถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้และยื่นมือออกไป “เอาป้ายสังหารปีศาจของเจ้าให้ข้า”
มู่เฉินอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะหยิบป้ายสีทองอร่ามวางในมือของชายชราชุดเทา
ลู่ทงถือป้ายยิ้มอ่อนให้มั่วโยว “คิดจะจัดการราชันสังหารปีศาจของวังมหาพันภพในถิ่นของข้า พวกเจ้าไม่ใช่คนที่ทำผิดกฎเรอะ?”
บทที่ 1347 ราชันสังหารปีศาจคนที่สอง
แสงสีทองพวยพุ่งขึ้นภายในตำหนัก
ดึงดูดสายตาทุกคู่ให้จับจ้องไปยังป้ายสีทองพร้อมด้วยตัวอักษรสีแดงเข้มที่ด้านล่างที่ทำให้เกิดแรงกดดันแปลกประหลาด
ราชันสังหารปีศาจ!
เหล่ามือสังหารปีศาจมองไปที่ป้ายด้วยดวงตาลุกโชน ดูเหมือนว่าจะมีน้ำลายไหลออกจากปากของพวกเขา เห็นชัดเจนว่าพวกเขาเข้าใจความหมายของสิ่งนี้ในวังมหาพันภพดี…
ราชันสังหารปีศาจอยู่ด้านบนสุดของพีระมิดในวังมหาพันภพ สูงกว่าแขก ผู้อาวุโสและผู้ดูแลตำหนักบางส่วนด้วยซ้ำ!
พวกเขายอมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายก็เพียงเพื่อเพิ่มอันดับ เมื่อสามารถดำรงตำแหน่งราชันสังหารปีศาจได้ พวกเขาก็จะมีชีวิตพลิกผันไปอย่างสิ้นเชิง
ในมหาพันภพตำแหน่งราชันสังหารปีศาจไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้นำขั้วอำนาจสูงสุดเลย
“เจ้าเด็กนั่นเป็นราชันสังหารปีศาจจริงด้วย…” สายตาอิจฉามากมายจ้องมองมาที่มู่เฉิน โดยเฉพาะคนที่เข้าไปผจญภัยในแดนเซิ่งยวนโบราณมานานหลายปี แต่ยังคงอยู่ในขั้นกลางเท่านั้น
นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้ว่ามู่เฉินเพิ่งได้รับป้ายสังหารปีศาจก่อนที่จะเข้าสู่แดนเซิ่งยวนโบราณเป็นครั้งแรก
ป้ายกะพริบด้วยแสงสีทอง ทำให้ใบหน้าของมั่วโยวดิ่งลงอย่างช้าๆ พร้อมกับความเคร่งเครียดรุนแรงพล่านในส่วนลึกของดวงตา
“เขา? ราชันสังหารปีศาจ? ข้าเคยได้ยินแค่ชื่อของราชันสังหารปีศาจฉิงเทียนเท่านั้น มีคนที่สองตั้งแต่เมื่อไร?” เสียงแหบพร่าของมั่วโยวดังก้อง เขาเพิ่งมาที่เมืองเซิ่งยวน ดังนั้นจึงไม่รู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของศิลาสังหารปีศาจ
“ผู้ดูแลตำหนักบ้าไปรึเปล่า? เจ้ายอมรับตัวตนของราชันสังหารปีศาจแบบนี้ได้จริงรึ? นับตั้งแต่ก่อตั้งวังมหาพันภพเมื่อไรกันที่มีราชันต่ำต้อยขนาดนี้?” ใบหน้าของมั่วหยิงและเฮยกวางเขียวคล้ำ ขณะที่พูดด้วยความไม่เชื่อ
“เจ้าไม่กลัวชื่อเสียงของวังจะพังพินาศหากเรื่องนี้กระจายออกไปรึ!”
เมื่อได้ยินเสียงของมั่วหยิง ลู่ทงก็ยิ้มบาง “ป้ายสังหารปีศาจสามารถเพิ่มคะแนนได้โดยใช้ชิ้นส่วนวิญญาณของเผ่าปีศาจต่างมิติเท่านั้น ในเมื่อเขาสามารถก้าวขึ้นสู่ระดับราชันสังหารปีศาจได้ นั่นหมายความว่าเขามีส่วนร่วมอย่างเพียงพอแล้ว”
“เขาแค่โชคดี เศษวิญญาณของจอมปีศาจระดับเทียนนั่นได้มาเพราะบรรพบุรุษของพวกข้าช่วยเขาไว้ เขาหาผลประโยชน์จากด้านข้าง!” เฮยกวางพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ลู่ทงส่ายหัว “ข้าไม่สนใจว่าเขาได้รับเศษวิญญาณจอมปีศาจระดับเทียนมาได้อย่างไร ข้ารู้แค่ว่าเขาได้รับการยอมรับจากป้ายสังหารปีศาจและถูกยกให้เป็นราชันสังหารปีศาจ”
“นอกจากนี้ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร นั่นหมายความว่ามีจอมปีศาจระดับเทียนตายในมือของเขา แม้ว่าจะเป็นเพียงเศษวิญญาณ เขาก็มีส่วนช่วยอย่างมากในการลบล้าง ถือว่าเป็นการสนับสนุน ตามบัญญัติตั้งแต่ก่อตั้งวังมหาพันภพ ในเมื่อเขาสังหารเผ่าปีศาจได้สำเร็จทางวังก็ไม่คิดปฏิเสธ”
ขณะที่พูดเขาก็หันไปมองเฮยกวาง มั่วหยิงและมั่วโยวพูดย้ำช้าๆ “นอกจากนี้ข้าได้รายงานเรื่องนี้ไปยังกองบัญชาการใหญ่แล้ว ข่าวที่ได้รับแจ้งก็คือ… พวกเขายอมรับเรื่องนี้เช่นกัน”
โห่
ทันใดนั้นทั้งตำหนักก็เกิดความโกลาหล ดวงตาสีแดงนับไม่ถ้วนจ้องมองมาที่มู่เฉิน นั่นไม่ได้หมายความว่านับจากวันนี้เป็นต้นไปวังมหาพันภพจะมีราชันสังหารปีศาจคนที่สองเรอะ?
ตอนนี้ชายหนุ่มกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในวังมหาพันภพ แม้แต่ผู้ดูแลตำหนักก็ยังอยู่ใต้ระดับเขา
ใบหน้าของเฮยกวางและมั่วหยิงน่าเกลียดลงหลายส่วน ใบหน้าของมั่วโยวก็มืดครึ้มลง หากวังมหาพันภพยอมรับตัวตนของมู่เฉินในฐานะราชัชนสังหารปีศาจจริงๆ ละก็ เรื่องนี้เป็นปัญหาแน่
ราชาผู้สังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพดำรงตำแหน่งสูงล้ำในมหาพันภพไม่ต้องพูดถึงเขาเลย เขาอยู่ในระดับเดียวกับผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าโบราณด้วยซ้ำ
ดังนั้นหากพวกเขาต้องการจับมู่เฉินไปในวันนี้ ก็เท่ากับว่าท้าทายวังมหาพันภพ ซึ่งผลลัพธ์นั้นช่างเลวร้ายเหลือเกิน
ในฐานะผู้อาวุโสลำดับเก้าของเผ่าฝูถู มั่วโยวรู้ชัดเจนเกี่ยวกับความแข็งแกร่งและรากฐานของวังมหาพันภพ ในระดับหนึ่งสำนักนี้ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเผ่าฝูถูเลย เพียงแต่ว่าวังมหาพันภพมุ่งเน้นจัดการเผ่าปีศาจต่างมิติจึงไม่เคยแทรกแซงในเรื่องมหาพันภพ
ผู้ดูแลตำหนักไม่ได้สนใจมองไปอีกฝ่ายต่อไป เขาคืนป้ายให้กับมู่เฉิน ประสานมือขึ้นด้วยรอยยิ้ม “แดนเซิ่งยวน เจ้าตำหนักหมื่นพัน—ลู่ทง ทักทายราชันสังหารปีศาจ”
มู่เฉินผงะไปก่อนที่จะพูดอย่างรัว “เจ้าตำหนักลู่ อย่าแกล้งข้าแบบนี้เลย”
สถานการณ์นี้เหนือความคาดหมายของเขา เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่ากองบัญชาการใหญ่ของวังมหาพันภพจะยอมรับราชันสังหารปีศาจอย่างเขาจริงๆ
ลู่ทงยิ้ม “สถานะของราชันสังหารปีศาจในวังมหาพันภพสูงกว่าข้าด้วยซ้ำ ดังนั้นเจ้าสามารถรับการคารวะได้เต็มที่”
เมื่อมั่วโยว มั่วหยิงและเฮยกวางเห็นสิ่งนี้ใบหน้าก็ยิ่งดูไม่น่าดู เพราะพวกเขาบอกได้เลยว่าที่ลู่ทงตั้งใจทำสิ่งนี้ก็เพื่อให้พวกเขาตระหนักถึงความสำคัญของมู่เฉินในฐานะราชันสังหารปีศาจ
“ทำยังไงดี?” สายตาของมั่วหยิงสั่นไหวก่อนที่จะหันไปมองมั่วโยว คลื่นเสียงที่ถูกห่อหุ้มด้วยคลื่นหลิงส่งไปยังมั่วโยวทันที
มั่วโยวไม่มีการแสดงออกใดๆ บนใบหน้า แต่เกิดอาการหน้ากระตุกครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะส่ายหัว
“ผู้อาวุโสเก้า!”
เมื่อเห็นความตั้งใจนี้ เฮยกวางก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา นี่เป็นโอกาสดีที่สุดที่จะจับตัวมู่เฉินไป หากเรื่องนี้ส่งกลับไปที่เผ่าก็จะทำให้เกิดคลื่นมหาศาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในเวลานั้นก็คงไม่ง่ายที่พวกเขาจะแอบดำเนินการอะไรก่อนรายงาน
มั่วโยวจ้องไปที่เฮยกวาง ด้วยสถานะปัจจุบันของมู่เฉินที่ดำรงตำแหน่งราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพ หากพวกเขาจับมู่เฉินในตำหนักหมื่นพัน ก็คล้ายกับการตบหน้าวังมหาพันภพ คนเหล่านั้นคงจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ไปแบบง่ายดายแน่นอน
ดวงตามั่วโยวกะพริบก่อนที่จะหันไปมองมู่เฉิน ท่าทางของเขาเปลี่ยนไปเป็นอ่อนโยน “มู่เฉิน เจ้าเป็นสมาชิกของเผ่าฝูถู หากเจ้าสามารถไปยังเผ่ากับพวกข้าและมอบวิชาเจดีย์แปดองค์กลับคืนสู่เผ่า บางทีผู้อาวุโสใหญ่อาจปล่อยมารดาของเจ้าก็ได้”
พอได้ยินประโยคดังกล่าว ทุกคนก็เบ้ปากด้วยความรังเกียจ ผีแก่คนนี้พยายามทำตัวดีหลังจากเห็นว่างานหนักไม่ได้ผลเรอะ?
มู่เฉินหลุบตาลงไม่มีริ้วกระเพื่อมบนใบหน้าก่อนที่จะตอบเบาๆ “ข้าจะไปเยี่ยมเผ่าฝูถูแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้”
เขาไม่ใช่เด็กชายตัวเล็กที่จะเชื่อคำพูดของมั่วโยว ถ้าเขาอยู่ในเงื้อมมือของคนเหล่านี้ ไม่เพียงแต่เขาจะสูญเสียวิชาเจดีย์แปดองค์เท่านั้น ตัวเขาอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อบีบบังคับมารดาอีกด้วย
เมื่อถึงวันที่เขาบรรลุระดับเทียนจื้อจุน สามารถปกป้องตัวเองได้ เขาก็จะมุ่งหน้าไปยังเผ่าฝูถูแน่!
เมื่อเห็นว่ามู่เฉินไม่ให้หน้า ใบหน้าของมั่วโยวก็มืดครึ้ม “มู่เฉินอย่าโง่น่า เจ้าคิดว่าสถานะราชันสังหารปีศาจจะสามารถทำให้เผ่าฝูถูยอมศิโรราบได้เหรอ?”
“งั้นก็ลองดู” มู่เฉินตอบโดยไม่มีอารมณ์ใดๆ บนใบหน้า แม้ว่ามั่วโยวจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน แต่เขาก็ไม่ได้จนหนทาง ในสถานการณ์ที่เลวร้ายยิ่งกว่าเขาสามารถขอความช่วยเหลือจากเทพจักรพรรดิสงครามได้ เขาไม่เชื่อว่ามั่วโยวจะหยิ่งผยองเมื่อถึงตอนที่หลินต้งมาถึงได้
การขอความช่วยเหลือไม่ใช่เรื่องน่าอาย ในโลกนี้การยืมกำลังก็เป็นส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่งเช่นกัน
ใบหน้าของมั่วโยวกระตุกขณะที่จับจ้องไปที่มู่เฉินด้วยความโกรธในใจ
แต่เผชิญหน้ากับสายตานั่น มู่เฉินก็ไม่สนใจ
แววตาของมั่วโยวมืดมนลง เขาจ้องมองมู่เฉินอยู่เป็นเวลานานก่อนที่จะสูดหายใจเข้าลึกสุดปอด ทำให้ไฟที่โหมกระหน่ำในใจสงบลง จากนั้นเขาก็ยกเปลือกตาขึ้น “หวังว่าเจ้าจะไม่เสียใจที่ตัดสินใจในวันนี้”
เมื่อพูดจบมั่วโยวก็หันกลับจากไปทันที
เมื่อเห็นว่ามั่วโยวยอมแพ้กับเรื่องนี้ ใบหน้าของมั่วหยิงและเฮยกวางก็เคร่งขรึมและไม่เต็มใจ แต่พวกเขารู้ดีว่าวันนี้ทำอะไรกับมู่เฉินไม่ได้แล้ว
ดังนั้นพวกเขาจึงสาดสายตามืดมนไปที่มู่เฉิน ก่อนที่จะสะบัดแขนเสื้อจากไป
ใบหน้าของเฉวียนหลัวและมั่วซินดำมืดราวกับก้นกระทะ พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าภายใต้แรงกดดันของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนก็ยังคงไม่สามารถทำอะไรกับมู่เฉินได้
“ไอ้เวรโชคดีนักนะ!”
พวกเขาสบตากันพลางกัดฟันแน่น พวกเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะกลายเป็นราชันสังหารปีศาจของวังมหาพันภพกะทันหัน มิหนำซ้ำยังได้รับการยอมรับจากองบัญชาการใหญ่ด้วย…
ทว่าพวกเขาเข้าใจถ่องแท้ว่าถึงความล้มเหลวในการจับมู่เฉินเพื่อรับวิชาเจดีย์แปดองค์ไป
เพียงแค่คิดถึงในอนาคตว่าวิชาเจดีย์แปดองค์จะเป็นของมู่เฉิน หัวใจของทั้งสองก็เต็มไปด้วยความไม่เต็มใจและโกรธเกรี้ยว
ความโกรธในใจพุ่งสูงขึ้นก่อนที่พวกเขาจะกวาดสายตามองไปที่มู่เฉิน จากนั้นก็สะบัดหน้าออกไปอย่างรวดเร็ว
มู่เฉินมองทั้งสองคนจากไปโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในท่าทาง เมื่อคนเหล่านั้นกำลังจะออกจากตำหนัก ในที่สุดเขาก็พูดออกมาอย่างใจเย็น “จะต้องมีสักวันหนึ่งที่ข้าจะเยี่ยมเผ่าฝูถูเป็นการส่วนตัวเพื่อช่วยท่านแม่”
เสียงฝีเท้าของมั่วโยวหยุดลงชั่วขณะที่เอียงใบหน้ามองด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ยบนริมฝีปาก เขามองไปที่มู่เฉินอย่างน่าขนลุก เสียงเย็นชาดังก้อง “โอ้? จริงเหรอ? งั้นข้าจะรีบไปปัดกวาดคุกรอการมาถึงของเจ้า…”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความดูถูก แม้จะมีวิชาเจดีย์แปดองค์ แต่จอมยุทธ์ที่เกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็เพ้อฝันไปถ้าคิดจะช่วยนักโทษออกจากเผ่าฝูถู!
แววตาของมู่เฉินคมกริบ เขาจ้องไปที่มั่วโยวด้วยรอยยิ้มบาง “ถึงตอนนั้นข้าจะขอคำชี้แนะจากผู้อาวุโสเก้าเป็นการส่วนตัว”
“ไอ้สารเลวจอมหยิ่ง ข้าจะลับเขี้ยวรอแกเลย” มั่วโยวส่ายหัวด้วยอาการเย้ยหยันก่อนจะหันจากไป
มองกลุ่มเงาที่ห่างออกไปมู่เฉินก็ยิ้มบาง เมื่อถึงเวลาที่เขาไปยังเผ่าฝูถู เขาจะต้องบรรลุขุมพลังเทียนจื้อจุนก่อน เวลานั้นเขาจะให้ผีแก่กระหายเลือดตระหนักถึงความหมายของวงล้อแห่งโชคชะตาที่หมุนไป
บทที่ 1348 คะแนนสังหารปีศาจ
ในตำหนักหมื่นพัน
เมื่อกลุ่มจากเผ่าฝูถูจากไป บรรยากาศตึงเครียดก็หายไป มือสังหารปีศาจหลายคนรู้สึกโล่งใจ หากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเหล่านั้นต่อสู้ที่นี่จริงๆ พวกเขาคงต้องรับลูกหลงกันอลหม่านแน่นอน…
คลื่นหลิงลุกโชนรอบร่างชื่อเหยียนก็ถอยกลับ ก่อนที่เขาจะหันมามองมู่เฉินจากนั้นก็หัวเราะเบาๆ ส่งให้ลู่ทงเอ่ยล้อเล่นว่า “ไม่คิดว่าวังมหาพันภพจะยอมรับฐานะของเขา นั่นหมายความว่ามู่เฉินจะกลายเป็นราชันสังหารปีศาจตัวจ้อยร่อยที่สุดในประวัติศาสตร์แล้วล่ะสิ?”
โดยทั่วไปผู้ที่สามารถขึ้นเป็นราชันสังหารปีศาจจะต้องสามารถเผชิญหน้ากับจอมปีศาจระดับเทียนได้ ทว่าดูอย่างไรมู่เฉินก็ยังห่างไกลจากสิ่งนั้น…
ลู่ทงมองไปที่ชื่อเหยียน ก่อนที่จะหันไปมองมู่เฉิน “ตามข้ามา”
ท่าทางที่แสดงออกบ่งบอกว่าเขามีบางอย่างอยากจะพูดกับมู่เฉิน
มู่เฉินพยักหน้าจากนั้นก็ประสานมือให้แม่เฒ่าเหอตระกูลเวินเพื่อขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือจากนั้นก็รีบเดินตามลู่ทงไป
เดินตามเข้าไปในพื้นที่ภายในของตำหนักหมื่นพัน เมื่อมาถึงในห้องโถงลู่ทงก็หันกลับมามองไปที่มู่เฉิน จากนั้นก็พูดว่า “มู่เฉิน แม้ว่ากองบัญชาการใหญ่จะยอมรับตัวตนของเจ้าในฐานะราชันสังหารปีศาจ…”
“แต่เนื่องจากขุมพลังที่มี ทางวังไม่อาจมอบอำนาจที่เหมาะสมกับเจ้าในฐานะราชันสังหารปีศาจได้”
มู่เฉินไม่แปลกใจกับเรื่องนี้จึงพยักหน้ารับ เขาไม่ใช่คนโง่ ดังนั้นจึงไม่คิดว่าฐานะราชันสังหารปีศาจที่ได้มาโดยบังเอิญจะสามารถปีนขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของพีระมิดได้และมีอำนาจในการระดมพลของวังมหาพันภพ…
วังมหาพันภพมีรากฐานที่ลึกซึ้งและโครงสร้างของอำนาจชัดเจน ราชันสังหารปีศาจจะมีอำนาจและสถานะที่ยิ่งใหญ่ ถ้ามู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งทางวังคงอ้าแขนต้อนรับเขาอย่างแน่นอน แต่น่าเสียดายที่เขาเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเกือบเต็มเท่านั้น
ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะเพลิดเพลินไปกับอำนาจของราชันสังหารปีศาจในวังมหาพันภพ หากเขาดึงดันจะเอามาให้ได้ก็อาจดึงดูดปัญหาเข้ามาแทน
ท้ายที่สุดแล้วไม่มีใครยอมฟังคำสั่งของราชันสังหารปีศาจที่มีพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มหรอก
“เจ้ายอมรับสิ่งนี้ได้รึ?” เมื่อเห็นมู่เฉินพยักหน้าแบบสบายๆ ลู่ทงก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
มู่เฉินยิ้ม “ข้าเข้าใจการกระทำของวังมหาพันภพ ถ้าข้าต้องฝืนตัวเป็นราชันสังหารปีศาจละก็ คงต้องยอมขายหน้าตัวเองเท่านั้น”
ดวงตาของลู่ทงเป็นประกายด้วยความชื่นชม แม้ว่ามู่เฉินจะอายุน้อย แต่ก็ไม่ได้เย่อหยิ่งและรู้ว่าควรยืนอยู่ที่ไหน เขารู้ว่าอะไรควรทำและไม่ควรทำ
“แต่อย่าเศร้าไป แม้ว่าเจ้าจะไม่มีอำนาจเต็มของราชันสังหารปีศาจ แต่สถานะก็ได้รับการยอมรับแล้ว หากใครคิดจะลองดี พวกเขาก็ต้องมองหน้าวังมหาพันภพบ้าง”
“นอกจากนี้เมื่อเจ้ามีพลังมากพอในอนาคตและยอมมาที่วังมหาพันภพ เราก็จะมอบอำนาจเต็มของราชันสังหารปีศาจให้เจ้าได้ทุกเมื่อ” ลู่ทงกล่าว
“ขอบคุณเจ้าตำหนักลู่” มู่เฉินประสานมือพลางยิ้ม เขาไม่ได้ไม่พอใจกับการตัดสินใจของวังมหาพันภพ นอกจากนี้เขายังรู้สึกขอบคุณที่พวกเขาช่วยเขาออกจากสถานการณ์อิหลักอิเหลื่อได้
ลู่ทงยิ้ม “นอกจากนี้แม้ว่าสถานะของเจ้ากลายเป็นธรรมดาไป แต่คะแนนของเจ้าเป็นของแท้นะ…”
มู่เฉินอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่ความสุขจะกระจายในนัยน์ตา “ท่านลู่ทงหมายถึงข้าสามารถใช้คะแนนสังหารปีศาจเหล่านั้นได้เหรอ?”
คะแนนสังหารปีศาจของวังมหาพันภพสามารถใช้เพื่อแลกเปลี่ยนได้หลายอย่าง เช่นอาวุธมหสวรรค์ ร่างเทห์สวรรค์ ยาอายุวัฒนะหรือแม้แต่วิทยายุทธเทพที่ไม่มีใครเทียบได้
เมื่อครู่มู่เฉินกังวลว่าฐานะราชันสังปีศาจที่มาจากอุบายเล็กน้อยจะทำให้คะแนนสังหารปีศาจของเขาไม่มีประโยชน์ แต่เมื่อตัดสินจากคำพูดของลู่ทง เขาสามารถใช้แลกเปลี่ยนเป็นสมบัติได้
มองไปที่ท่าทางมู่เฉินที่ลิงโลด ลู่ทงก็ยิ้มพลางพยักหน้าก่อนที่จะเดินลึกเข้าไปในห้องโถง “ตามมา”
ความยินดีกระจายบนใบหน้ามู่เฉิน เขาพุ่งตัวติดตามไปอย่างรวดเร็ว
เดินตามลู่ทงผ่านโถงหลายห้องก็มาถึงคลัง ลู่ทงสะบัดมือแสงหลิงที่พร่างพราวก็กำจายจากประตูทองแดง ก่อนที่จะมีเสียงเอี๊ยดอ๊าดดังออกมาขณะที่ค่อยๆ เปิดออก
เมื่อประตูเปิดออกแสงระยิบระยับก็พุ่งเข้าสู่ดวงตาของมู่เฉิน
เขาเพ่งมองออกไปก็อดไม่ได้ที่จะหายใจลึก เขาเห็นลูกแสงจำนวนมหาศาลในคลังขนาดใหญ่ ลูกแก้วแสงเหล่านี้ทุกลูกเปล่งประกายแวววาว บอกว่าของที่อยู่ในนั้นจะต้องมีความพิเศษ
“สมกับเป็นวังมหาพันภพ”
มู่เฉินมองไปที่สมบัติในคลังก็ชื่นชมวังมหาพันภพที่สมกับเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจชั้นยอดอย่างแท้จริง แค่ตำหนักเดียวยังมีสมบัติมากมายขนาดนี้ รากฐานนี้ไม่ใช่สิ่งที่ขั้วอำนาจธรรมดาจะสามารถแข่งขันได้
ลู่ทงเดินนำมู่เฉินเข้ามาด้วยยิ้ม “ลูกแก้วแสงมีราคา ตราบใดที่เจ้ามีคะแนนเพียงพอ ก็สามารถแลกเปลี่ยนได้ตามต้องการ”
สายตาของมู่เฉินร้อนแรง ก่อนที่จะเดินขึ้นหน้าอย่างรวดเร็ว สายตากวาดไปยังลูกแก้วแสงทีละลูก
“อาวุธมหสวรรค์ขั้นสูง หอกเพลิงสวรรค์คะแนนสังหารปีศาจแปดร้อยคะแนน”
“วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเต็ม ดัชนีแสงดาว หนึ่งพันหนึ่งร้อยคะแนน”
“ร่างพฤกษาพันปี อันดับสามสิบเก้าของทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง หนึ่งพันสามร้อยคะแนน”
“…”
ลูกแก้วแสงทุกลูกบรรจุด้วยสมบัติล้ำค่า ทำให้มู่เฉินถอนหายใจด้วยความชื่นชม แต่ระดับปัจจุบันของเขาอาวุธมหสวรรค์หรือวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเต็มนั้นไร้ประโยชน์ไปแล้ว
“ท่านลู่ทงมีที่ดีกว่านี้มีหรือไม่ขอรับ?” มู่เฉินถาม
ลู่ทงยิ้มก่อนที่จะชี้ไปทางซ้าย “อาวุธมหสวรรค์ขั้นเกือบยอดเยี่ยมส่วนใหญ่อยู่ที่นั่น ข้ารู้สึกว่าเหมาะสำหรับเจ้านะ”
พูดโดยทั่วไป อาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมมีไว้สำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ดังนั้นอาวุธมหสวรรค์ขั้นเกือบยอดเยี่ยมจึงเป็นอาวุธที่ดีที่สุดสำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังที่อยู่ต่ำกว่าระดับเทียนจื้อจุนจะรับได้
มู่เฉินเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น เนื่องจากตัวเขาสนใจอาวุธเสมือนมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมอยู่บ้าง หลังจากพลังงานของกระบี่เกล็ดจักรพรรดิหมดลงแล้ว ดังนั้นเขาต้องการวัตถุที่สามารถใช้ได้
เขาหยุดลงที่เบื้องหน้าลูกแก้วแสงขนาดเท่าศีรษะ มองเห็นแส้สีดำลอยอยู่ข้างในช้าๆ แส้ถูกปกคลุมไปด้วยหนามแหลมขณะที่เปล่งประกายความมืดมิดและหนาวเหน็บออกมา ทุกส่วนของแส้ถูกสลักด้วยลวดลายโบราณที่ให้ความรู้สึกแปลกประหลาดเมื่อเคลื่อนไหว
“หืม?” มู่เฉินอุทานเมื่อได้เห็นแส้สีดำ เขารู้สึกถึงความคุ้นเคยเบาบางออกมาจากมัน
“นี่คือแส้ประสานเทพเป็นอาวุธเสมือนมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยม ซึ่งถูกสร้างขึ้นจากกิ่งก้านของดอกแมนดาลาโบราณและระดับที่ดอกแมนดาลาอยู่นั้นบรรลุระดับเทียนจื้อจุนแล้ว” ลู่ทงอธิบาย
“ที่แท้ก็ถูกสร้างขึ้นจากกิ่งก้านของดอกแมนดาลาโบราณนี่เอง” ตอนนี้มู่เฉินรู้แล้วว่าทำไมถึงรู้สึกคุ้นเคยกับวัตถุนี้ แต่ของชิ้นนี้ยอดเยี่ยมมาก หากไปอยู่ในมือของมั่นถัวหลัวละก็ พลังทั้งหมดที่มีก็สามารถปลดปล่อยออกมา
หลังจากออกจากเมืองเซิ่งยวนแล้ว มู่เฉินตั้งใจจะกลับไปที่ทวีปเทียนหลัว ถึงยังไงตำหนักมู่ก็เพิ่งจะจัดตั้ง ในฐานะประมุขหากไม่กลับไปนาน อาจทำให้จิตใจของผู้ใต้บังคับบัญชาไม่มั่นคง ต่อให้มีมั่นถัวหลัวจัดการทุกอย่างอยู่ตลอดเวลาก็ตาม
แส้ประสานเทพนี้เขาจะใช้เป็นของขวัญสำหรับมั่นถัวหลัว เพราะยังไงนางก็ทำงานหนักเพื่อช่วยเขาดูแลตำหนักมู่
เมื่อดูราคาก็มีค่าสองพันคะแนนซึ่งพอรับได้ มู่เฉินหยิบป้ายสังหารปีศาจออกมา กวาดไปที่ลูกแก้ว แสงกะพริบวาบก่อนที่ลูกแก้วจะค่อยๆ ลอยออกมาและเขาก็โบกมือเก็บลงไป
หลังจากแลกเปลี่ยนแส้ประสานเทพ มู่เฉินก็ไม่หยุดมุ่งหน้าต่อไป อึดใจเขาก็เล็งไปที่วัตถุชิ้นอื่นอีกครั้ง
วัตถุนี้เป็นต่างหูวิจิตรงดงามเหมือนจะหลอมมาจากอัญมณีใสมีของเหลวสีมรกตห้อยอยู่ ซึ่งเป็นของเหลวที่ผิดแผกทำให้ต่างหูนี้ไม่ธรรมดา
“เจ้านี่ตาแหลม นี่คือแก่นหยกวิญญาณสวรรค์ ก่อตัวมาจากพลังงานหลิงตามธรรมชาติที่ถูกบีบอัดเป็นเวลายาวนาน การสวมใส่สามารถเพิ่มความเร็วในการเพาะบ่มพลัง นับได้ว่าเป็นสมบัติประเภทช่วยเหลือการฝึกฝน แต่สิ่งนี้ไม่มีประโยชน์สำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ดังนั้นจึงจัดเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นเกือบยอดเยี่ยมเท่านั้น” ลู่ทงอดไม่ได้ที่จะยิ้มหลังจากเห็นสายตาของมู่เฉิน
มู่เฉินตกอยู่ในภวังค์ความคิด แก่นหยกวิญญาณสวรรค์เหมาะสำหรับลั่วหลีนัก ตอนนี้นางเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น ถ้านางมีสิ่งนี้ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการฝึกฝน
เมื่อมองไปที่ป้ายราคา เขาก็รู้สึกประหลาดใจที่เห็นว่ามีราคาถึงสามพันคะแนน ดูเหมือนว่าอุปกรณ์การเพาะบ่มราคาจะแพงกว่าปกติ
แต่มันไม่มีอะไรเลย เนื่องจากนี่เป็นของขวัญสำหรับลั่วหลี ดังนั้นเขาจึงแลกเปลี่ยนโดยไม่ต้องคิดมาก
“เจ้าหนุ่มจ่ายเพื่อซื้อรอยยิ้มจากสาวงามสินะ ลงทุนจริงๆ” ลู่ทงยิ้ม นี่เป็นของที่หญิงสาวใช้ การที่มู่เฉินจ่ายหนักเพื่อซื้อชัดเจนว่าสิ่งนี้คงมีไว้สำหรับคนรักของเขา
มู่เฉินยิ้มก่อนที่จะมองป้ายสังหารปีศาจ ตอนนี้เขาใช้คะแนนไปแล้วครึ่งหนึ่ง ทำให้เขาพูดไม่ออก คะแนนเท่านี้ไม่เพียงพอจริงๆ ไม่น่าแปลกใจที่เหล่ามือสังหารปีศาจจำนวนมากก็อยู่ที่แดนเซิ่งยวนเพื่อรับคะแนนสังหารปีศาจ…
“จากนี้มาดูกันว่าจะมีอาวุธมหสวรรค์ขั้นเกือบยอดเยี่ยมที่เหมาะกับข้าหรือไม่”
มู่เฉินครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็คาดหวังไว้ในใจ เดินมองลึกเข้าไปเป็นเวลานานก่อนที่จะหยุดสายตาลง
เขามองไปที่ลูกแก้วด้านข้างด้วยสายตาผิดแผกไป
นี่ไม่ใช่อาวุธมหสวรรค์ขั้นเกือบยอดเยี่ยม แต่เป็นของเหลวสีทองไหลวนอยู่ภายใน ระลอกคลื่นที่แปลกประหลาดเล็ดลอดออกมา
“นี่มัน…”
มู่เฉินดวงตาหดลงก่อนที่ความอัศจรรย์ใจจะปีนขึ้นในนัยน์ตา
“ของเหลววัชระทำลายวิญญาณ?”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น