หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1339-1344
บทที่ 1339 สั่นสะท้าน
ใจกลางเมืองเซิ่งยวน วังมหาพันภพ
ชายชราชุดเทาที่นั่งหลังโต๊ะรับสมัครลูบไล้ขวดหยกงดงามในมือด้วยความระมัดระวัง ทันใดนั้นมือของเขาก็สั่นเทิ้มเขาตกใจเงยหน้าขึ้น แสงกะพริบอยู่ในดวงตา ขณะที่เขามองไปที่ศิลาสังหารปีศาจที่กลางเมือง
พร้อมกับสายตาจ้องมองไป ศิลาขนาดใหญ่ก็เริ่มสั่นสะท้าน
ทุกคนสังเกตเห็นการสั่นนี้ ดังนั้นทุกสายตาจึงจ้องมองไป นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นความปั่นป่วนมาจากศิลาสังหารปีศาจนี้
“เกิดอะไรขึ้น?”
เสียงงงงวยสะท้อนออกไป ประกายแสงสีทองปรากฏบนศิลา บนยอดดูราวกับดวงอาทิตย์สีทองลุกโชน
แสงสีทองปกคลุมทั้งเมืองเซิ่งยวน มือสังหารที่อยู่ในเมืองสามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดดันเบาบาง
ความแวววาวคงอยู่สิบกว่านาทีก่อนที่จะค่อยๆ สลายลง เมื่อแสงสีทองจางหายทุกคนก็พุ่งความสนใจไปทันที จากนั้นทั้งเมืองก็เงียบกริบ
เพล้ง!
ขวดหยกร่วงจากมือลู่ทง ขณะที่ตัวแข็งทื่อมองไปที่ศิลาสังหารปีศาจด้วยความตะลึงงัน
เคร้ง เพล้ง!
ข้าวของร่วงมือของเหล่ามือสังหารหลายคนในมุมรับสมัคร ใบหน้าทั้งหมดแข็งค้าง
“อะไรกัน… นี่มันอะไรกันเนี่ย!” บางคนถึงกับพูดซ้ำไม่หยุด
ภายใต้ความเงียบ แสงสีทองบนศิลาสังหารปีศาจก็จางลง อักษรสีทองเผยขึ้นใต้ชื่อราชันสังหารปีศาจฉิงเทียน
ราชาสังหารปีศาจ—มู่เฉิน!
โห่!
ในที่สุดทุกคนก็ฟื้นคืนสติ ความปั่นป่วนเกิดขึ้น พวกเขาตกตะลึงกับชื่อราชันสังหารปีศาจคนใหม่
เนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่ในเมืองเซิ่งยวนเป็นมือสังหารปีศาจของวังมหาพันภพ พวกเขาจึงรู้ความหมายของคำว่าราชันสังหารปีศาจดี
นั่นคือเป้าหมายสูงสุดของทุกคน ตราบใดที่พวกเขาคว้าตำแหน่งราชันสังหารปีศาจได้ พวกเขาจะได้อยู่ในตำแหน่งสูงส่งของวังมหาพันภพมีตำแหน่งพิเศษ แม้แต่ขั้วอำนาจอื่นๆ ก็ต้องสุภาพและให้ความเคารพ
อาจกล่าวได้ว่าราช้นสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพเทียบเท่ากับผู้นำของขั้วอำนาจสูงสุด!
มือสังหารปีศาจทุกคนต่างมุ่งมั่นเพื่อเป้าหมายนี้ แต่ถ้าไม่ใช่ช่วงสงครามการรวบรวมคะแนนสังหารหมื่นคะแนนก็ไกลเกินเอื้อม แม้ว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายได้หากสังหารจอมปีศาจระดับเทียน แต่นั่นก็เป็นเส้นทางที่ไม่มีใครคิดจะทำ
จอมปีศาจระดับเทียนเป็นสิ่งมีชีวิตที่เทียบเคียงได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง ไม่ว่าจะอยู่ในเผ่าปีศาจหรือมหาพันภพสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นยืนอยู่ที่ด้านบนสุดของพีระมิด
ไม่มีใครกล้าพุ่งชน
นั่นพิสูจน์ว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้รับตำแหน่งราชันสังหารปีศาจ แต่จู่ๆ ก็มีชื่อไม่คุ้นหูได้รับสมญานามว่าราชันสังหารปีศาจ ซึ่งทำให้เหล่ามือสังหารปีศาจรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
“มู่เฉินคนนี้เป็นใคร? ทำไมข้าไม่เคยได้ยินชื่อเขามาก่อน”
“ดูเหมือนจะไม่มีชื่อนี้ในหมู่มือสังหารปีศาจขั้นสูงนะ!”
“ไม่มี? เขาเลื่อนตำแหน่งมาจากขั้นกลางเหรอ?”
“แกพูดไร้สาระอะไร? เขาจะทะยานพรวดพราดขนาดนี้ได้ เว้นแต่จะต้องสังหารราชันปีศาจทีเดียวหลายคน”
“…”
ความวุ่นวายกวนตัวในเมืองเซิ่งยวน
เมื่อลู่ทงหายจากอาการตกใจก็จ้องไปที่ชื่อด้วยแสงวูบไหวในดวงตา “มู่เฉิน? หรือว่าเจ้าหนูที่ไอ้แก่ขี้เหล้าพามา”
“แต่…เขาเพิ่งได้รับป้ายไป ยังเป็นแค่มือสังหารขั้นต่ำอยู่เลย… หรือว่า…”
จู่ๆ ลู่ทงก็นึกถึงบางสิ่ง ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปรุนแรง วิธีเดียวที่จะกระโจนจากมือสังหารขั้นต่ำเป็นราชันสังหารปีศาจได้คือการฆ่าจอมปีศาจระดับเทียนและได้รับเศษวิญญาณของมัน
แต่ขุมพลังของมู่เฉินอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงการฆ่าจอมปีศาจระดับเทียนเลย ถ้าเขาตอบโต้ สิ่งมีชีวิตแบบนั้นสามารถฆ่าเขาได้ง่ายปอกกล้วยเสียอีก
ดังนั้นมีทางเดียวที่เป็นไปได้
“เขาสามารถลบล้างหนึ่งในสี่เศษวิญญาณจอมปีศาจระดับเทียนที่ผนึกไว้ในเหวเทพร่วงหรือ?” ชายชรามีสีหน้าครุ่นคิด เพราะนั่นถือเป็นความเป็นไปได้สูงสุด
หากมู่เฉินได้รับความช่วยเหลือจากหนึ่งในสี่บรรพชนก็อาจจะลำบากแค่เล็กน้อยเท่านั้น แต่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
“ถ้าเป็นแบบนั้น เจ้าหนูคนนั้นก็โชคดีไปหน่อยแล้ว!”
ชายชราส่ายหัวพลางยิ้มขมขื่น วิธีนี้เป็นกลโกง ถ้าได้รับการพิสูจน์ความจริงเรียบร้อย วังมหาพันภพก็จะมีราชันสังหารปีศาจที่อ่อนแอที่สุดเป็นประวัติการณ์
‘ดูเหมือนข้าต้องรายงานเรื่องนี้ไปที่สำนักงานใหญ่’
ชายชราพึมพำในใจ เรื่องนี้สำคัญมา แม้แต่เขาก็ไม่สามารถตัดสินใจได้ ดังนั้นเขาจึงต้องรายงานเรื่องนี้ไปยังสำนักงานใหญ่เพื่อให้สภาตัดสินใจ
เมื่อตัดสินใจได้ ลู่ทงก็มองไปที่ศิลาสังหารปีศาจอีกครั้ง เขาอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวขณะมองชื่อที่สอง แม้แต่เขาก็เจอเรื่องแปลกประหลาดแบบนี้เป็นครั้งแรก ช่างทำให้มุมมองของเขากว้างขึ้นจริงๆ
ขณะที่ลู่ทงกำลังวางแผนว่าจะจัดการอย่างไร
ในเวลาเดียวกันคนสามคนในสวนแห่งหนึ่งในเมืองก็เงยหน้าขึ้นจากจัตุรัสมองไปที่อักษรสีทองบนศิลาสังหารปีศาจ
“มู่เฉิน? ไอ้ตัวกาลกิณีนั่นเหรอ?” ผู้อาวุโสชุดเงินมองไปที่อักษรสีทองก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าบูดเบี้ยว
ผู้อาวุโสชุดดำที่อยู่ข้างๆ ก็ขมวดคิ้ว แม้ว่าจะไม่อยากยอมรับ แต่ก็ยังพยักหน้า “ข้าคิดว่าเป็นไอ้เด็กบ้านั่นจริงๆ”
ทั้งสองคนก็คือผู้อาวุโสมั่วหยิงและเฮยกวางตระกูลมั่วแห่งเผ่าฝูถู
“เป็นไปได้ยังไง?!” มั่วหยิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม เขารู้ว่าการเป็นราชันสังหารปีศาจในวังมหาพันภพยากเพียงใด
เฮยกวางลังเลชั่วครู่ก่อนที่จะตอบ “ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะมีเศษวิญญาณจอมปีศาจระดับเทียนที่ถูกผนึกอยู่ในเหวเทพร่วง”
ใบหน้าของมั่วหยิงเปลี่ยนไป ‘ถ้าเป็นเช่นนั้นไม่ได้หมายความว่ามู่เฉินได้รับมรดกไปรึ? เพราะมีเพียงหนึ่งในสี่บรรพบุรุษเท่านั้นที่มีเศษวิญญาณที่ปิดผนึกอยู่’
และพวกเขาเดาว่ามีความเป็นไปได้สูงที่มู่เฉินจะพบมรดกของผู้อาวุโสฝูถู!
หรือว่าวิชาเจดีย์แปดองค์จะตกอยู่ในมือของมู่เฉิน?
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ สีหน้าของทั้งสองก็น่าเกลียดลง
ที่ด้านข้างสายตาของชิงเซวียนก็วูบไหว ขณะที่มองไปที่ศิลาสังหารปีศาจด้วยหัวใจที่สั่นสะท้าน
“กลายเป็นราชันสังหารปีศาจเชียวเหรอ” นางพึมพำ ถ้ามู่เฉินมีตำแหน่งเป็นราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพ งานนี้สถานะของเขาจะเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์
“หึ อย่าฝัน วังมหาพันภพไม่ยอมรับวิธีการนี้อย่างแน่นอน นอกจากนี้จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายในฐานะราชันสังหารปีศาจรึ? วังมหาพันภพจะไม่อับอายขายหน้าถ้าเรื่องนี้กระจายออกไปเรอะ?” เฮยกวางเยาะเย้ย
ชิงเซวียนเหลือบมองอีกฝ่าย ก่อนที่จะตอบเสียงแผ่วเบา “คำพูดของเจ้าช่างไร้น้ำหนัก เฮยกวาง วังมหาพันภพจะเป็นผู้ตัดสินเรื่องนี้เอง”
เฮยกวางอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะพูดขึ้น“ ไม่ว่ายังไงเราจะไม่ปล่อยให้วิชาเจดีย์แปดองค์ตกอยู่ในมือไอ้เด็กกาลกิณีได้ มิฉะนั้นเผ่าฝูถูจะกลายเป็นตัวตลก!”
คำพูดของเขาอัดแน่นด้วยไอเย็นชา
“เฮยกวง เจ้าคิดจะทำอะไร?! หากเจ้าเคลื่อนไหวก็ถือว่าขัดขืนคำสั่งของผู้อาวุโสใหญ่!” ชิงเซวียนรับรู้ถึงความหมายเบื้องหลังคำพูดของเขาได้ ดังนั้นนางจึงตะคอกด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป
“เจ้าคิดจะบีบน้องสาวข้าให้แตกหักกับเผ่ารึ?”
มั่วหยิงเยาะเย้ย “ถ้าถึงขั้นนั้นจริงๆ พวกข้าก็ได้แต่วางคำพูดของผู้อาวุโสใหญ่ลง ข้าเชื่อว่าผู้อาวุโสใหญ่จะสนับสนุนในเรื่องนี้”
“ผู้อาวุโสใหญ่ผ่อนปรนกับชิงเหยี่ยนจิ้งมากเกินไป ปล่อยให้นางล้ำเส้นถึงเพียงนี้!”
“ข้าจะไม่ยอมให้ไอ้เด็กกาลกิณีนั่นกระโดดอยู่ใต้ตาหรอก!”
ชิงเซวียนโกรธจนใบหน้าซีดไปหมด คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพวยพุ่งออกมาจากร่างกาย ทันใดนั้นมิติก็แตกสลาย พุ่งปราบปรามเฮยกวางและมั่วหยิง
“ชิงเซวียน เจ้าคิดจะทำอะไร?!”
ทั้งสองถอยกลับออกไปด้วยใบหน้ามืดครึ้ม ก่อนที่ความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังจะระเบิดออกจากร่างกายต่อต้านแรงกดดันคลื่นหลิงชิงเซวียน
“ชิงเซวียน เจ้าจะช่วยไอ้กาลกิณีเรอะ?! หากเป็นเช่นนั้นข้าคิดว่าตระกูลชิงจะต้องถูกลงโทษทั้งหมด!” มั่วหยิงกล่าวอย่างเย็นชา
ชิงเซวียนกัดฟัน หน้าอกขยับอย่างเบาๆ ชั่วครู่นางก็ค่อยๆ ดึงคลื่นหลิงกลับมาพลางมองไปที่ทั้งสองคนอย่างเย็นชา “ถ้าเจ้าสองคนยืนกรานที่จะทำก็รอรับผลกรรมที่ตามมาด้วย!
“ดูสิว่าผู้อาวุโสใหญ่สามารถปกป้องคนโง่สองคนได้หรือไม่ เมื่อน้องสาวของข้าคลั่งขึ้นมา!”
เมื่อพูดจบนางก็สะบัดแขนเสื้อจากไป
ดวงตาของเฮยกวางและมั่วหยิงกะพริบวูบไหว แต่สุดท้ายทั้งสองก็เค้นเสียงเย็นชา พวกเขาไม่เชื่อว่าเผ่าฝูถูจะไม่สามารถทำอะไรนางได้ แม้ว่านางจะทรงพลังก็ตาม!
ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่สามารถปล่อยให้วิชาเจดีย์แปดองค์ตกอยู่ในมือของมู่เฉินได้
คราวนี้พวกเขาต้องจับไอ้เด็กบ้านั่นให้ได้ละนำกลับไปเพื่อรับการพิพากษา!
บทที่ 1340 ผู้สืบทอดมรดก
“สำเร็จเหรอเนี่ย?”
มู่เฉินมองไปที่ป้ายสังหารปีศาจที่มีประกายสีทองกะพริบอยู่บนนั้นด้วยความตกใจ เขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่มาจากคำว่าราชันสังหารปีศาจ
ผลลัพธ์นี้ทำให้เขาประหลาดใจ เนื่องจากนี่เป็นเพียงความคิดที่จะลอง เขาไม่มั่นใจว่าจะสำเร็จหรือไม่ แต่นี่กลับสำเร็จจริงๆ
“ฮ่าๆ จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย-ราชันสังหารปีศาจ” ฝูถูมองไปที่ป้ายสีทองในมือของมู่เฉินพร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่อาจคาดเดาได้บนใบหน้า
วังมหาพันภพมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ฝูถูจึงรู้เรื่องสถานะราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพ อาจกล่าวได้ว่าราชันสังหารปีศาจทุกคนมีสถานะที่สำคัญในมหาพันภพ การดำรงอยู่สามารถสั่นสะเทือนโลกได้ด้วยการแตะเท้าเบาๆ
แต่ตอนนี้มีราชันสังหารปีศาจที่อยู่ในขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“นับจากนี้ไปวังมหาพันภพจะมีราชันที่อ่อนแอที่สุด” ฝูถูเอ่ยแซว
ใบหน้าของมู่เฉินปกคลุมไปด้วยเส้นสีดำ แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องผิดปกติ แต่ก็เป็นการล้างสมองของฝูถูที่ทำให้เขากล้าทำเช่นนี้
ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงเหลือบมองท่านบรรพบุรุษก่อนจะเก็บป้ายสังหารปีศาจ จากนั้นก็หันไปดูแผ่นภาพผนึกปีศาจ ร่างเงาของเสี่ยเจียงจางลงและกำลังจะหายไป
“อ็อก”
เสียงคร่ำครวญดังขึ้น ร่างปีศาจก็หดเล็กลง รัศมีที่ทำให้มู่เฉินหวาดกลัวก็เริ่มหายไป
ขณะนี้จอมปีศาจเทียนเสี่ยเจียงสูญสลายไปแล้วอย่างแท้จริง
แม้ว่าเสี่ยเจียงจะหายไปจากโลกตลอดกาล แต่ภาพเงาก็ยังคงสั่นสะท้านพร้อมเสียงคำรามก้อง “ปล่อยข้าออกไป!”
“นั่นเสียงซือเทียนโยวนี่” คิ้วของมู่เฉินเลิกขึ้น ด้วยการทำลายล้างเสี่ยเจียง ทำให้ซือเทียนโยวกลับมาควบคุมร่างกายได้อีกครั้ง
“เจ้าอยากทำอะไรกับมัน” ฝูถูมองไปที่มู่เฉินขณะถาม
“กำจัดมันทิ้ง” มู่เฉินพูดแบบไม่ลังเลใดๆ ซือเทียนโยวเป็นสมาชิกเผ่าปีศาจต่างมิติ มิหนำซ้ำยังเป็นคนโหดเหี้ยม ในเมื่อจับไว้ได้ก็ไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยไป
“งั้นก็กำจัดมันซะ” คำพูดฝูถูดังสะท้อนเบาๆ ราวกับว่าเขากำลังบี้มด ที่จริงซือเทียนโยวก็ไม่ต่างจากมดในสายตาของเขาหรอก
เมื่อได้ยินทั้งสองเสียง ซือเทียนโยวก็เริ่มดิ้นรนรุนแรงในแผนภาพผนึกปีศาจ แต่ไม่ว่าจะพยายามตะเกียกตะกายอย่างไร ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากพันธนาการได้
สุดท้ายซือเทียนโยวก็ทำได้เพียงหยุดลง เสียงดุร้ายดังก้อง “มู่เฉิน ถ้าแกฆ่าข้าวันนี้ เผ่าซือหมัวไม่ปล่อยแกไปแน่!”
มู่เฉินหัวเราะกับคำพูดที่ฟังจนเบื่อ มหาพันภพและจักรวรรดิปีศาจต่างมิติเป็นศัตรูกันชั่วกัปชั่วกัลป์ แม้ว่าจะไม่มีซือเทียนโยว เผ่าปีศาจก็ไม่ยอมปล่อยเขาไปหรอกหากต้องปะหน้ากัน
“ถ้างั้นข้าจะรอที่มหาพันภพและรอดูว่าเผ่าซือหมัวจะทำอะไรกับข้า” มู่เฉินหัวเราะเยาะเสียงเย็นชา
ขณะที่ซือเทียนโยวคิดจะพูดพล่ามต่อ มือของฝูถูก็เช็ดไปทั่วท้องฟ้าคล้ายกับการเช็ดน้ำหมึก ภาพเงาของซือเทียนโยวก็หายไปจากแผนภาพ
ซือเทียนโยวไม่สามารถแม้แต่จะกรีดร้องก่อนที่จะหายไปตลอดกาล
เมื่อซือเทียนโยวหายไป เส้นใยรัศมีสีดำก็พุ่งออกมาจากแผ่นภาพหมุนไปรอบๆ ตัวมู่เฉิน
ภาพนี้ทำให้มู่เฉินตกใจ เขาพยายามใช้คลื่นหลิงเพื่อต่อต้านรัศมีสีดำ ทว่ารัศมีนั่นก็หายไปทันทีที่สัมผัสกับร่างกายของเขา
“ผู้อาวุโสเกิดอะไรขึ้น?” เมื่อเห็นฉากแปลกประหลาดเช่นนี้ มู่เฉินก็ขมวดคิ้วถามไม่ได้
ฝูถูยิ้มสบายๆ “นี่เป็นรูปแบบหนึ่งของรัศมีศพปีศาจซึ่งไม่เป็นอันตราย แต่เผ่าซือหมัวจะตรวจพบได้ง่าย น่าจะเป็นแผนการสุดท้ายของเจ้าเด็กปีศาจนั่นที่จะให้เผ่าของมันมาแก้แค้นได้น่ะ”
มู่เฉินรู้สึกโล่งใจในคำพูดของฝูถู แม้ว่าเผ่าซือหมัวจะน่ากลัวไปสักหน่อย แต่เขาก็ไม่กลัว หากเผ่าซือหมัวกล้าโผล่หน้ามาที่มหาพันภพ ไม่รอให้เขาลงมือก็จะมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจัดการเอง
เขาไม่เชื่อว่าเผ่าซือหมัวจะสร้างหายนะในมหาพันภพได้
“ท่านเอาออกให้ได้ไหม?” แม้ว่าจะไม่กลัว แต่มู่เฉินก็ยังถามด้วยความระแวง
ฝูถูส่ายหัว “นั่นคือเส้นใยรัศมีศพปีศาจที่เขาสร้างขึ้นจากการเผาผลาญพลังชีวิต ถ้าข้ายังมีชีวิตอยู่ก็เป็นเรื่องง่ายที่จะจัดการ แต่ตอนนี้ยากเลยทีเดียว”
มู่เฉินยักไหล่ไม่ใส่ใจเรื่องนี้อีก เขากลับมองไปที่แผนภาพผนึกปีศาจด้วยความไม่สบายใจ “งั้นตอนนี้เสี่ยเจียงก็ถูกจัดการแล้วใช่ไหมขอรับ?”
เพราะพลังชีวิตของจอมปีศาจระดับเทียนน่ากลัวเกินไป
ฝูถูพยักหน้า “มันเป็นเพียงเศษวิญญาณ ด้วยความช่วยเหลือจากกระบี่เกล็ดจักรพรรดิก็เกินพอที่จะลบล้างการดำรงอยู่ที่มีแล้ว”
ขณะที่พูดเขายกมือขึ้น กระบี่เกล็ดจักรพรรดิพุ่งกลับมาหามู่เฉิน
ฝูถูเอ่ยต่อว่า “กระบี่เกล็ดจักรพรรดินั้นเทียบเท่ากับอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นเซิ่งเมื่ออยู่ในจุดสูงสุด น่าเสียดายที่ตอนนี้หมดพลังลงแล้ว มิหนำซ้ำยังผ่านการกัดกร่อนของเวลา แม้ว่าจะฟื้นตัวได้ในภายหลังข้าก็กลัวว่าอาวุธชิ้นนี้จะมีขีดจำกัดอยู่ในชั้นเซียนเท่านั้น”
เสียงฝูถูฟังดูสลดหดหู่ เพราะอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นเซิ่งมีค่าอย่างยิ่งแม้แต่กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง แม้แต่กระจกผนึกปีศาจที่เขาครอบครองก็เป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยนชั้นเซียนเท่านั้น
มู่เฉินพยักหน้าขณะรับกระบี่เกล็ดจักรพรรดิ ตัวกระบี่สลัวรางราวกับว่าถูกปกคลุมด้วยสิ่งสกปรกที่ไม่สามารถทำความสะอาดได้
มู่เฉินรู้ว่านี่เป็นเพราะพลังงานหมดลง เว้นแต่เขาจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุน มิเช่นนั้นกระบี่เกล็ดจักรพรรดิก็จะไม่สามารถปลดปล่อยแสงโชติช่วงที่เคยมีได้อีก
“มั่นใจเถอะ วันที่ข้าบรรลุระดับเทียนจื้อจุน คือวันที่เจ้าจะกลับมาในโลกนี้อีกครั้ง” มู่เฉินกล่าวขณะที่ลูบกระบี่
ฮึ่ม
กระบี่เกล็ดจักรพรรดิสั่นเบาๆ ดูเหมือนจะส่งเสียงครางอีกด้วย
เก็บกระบี่เอาไว้แล้วมู่เฉินก็หันกลับมา เผ่าปีศาจกำลังหลบหนีโดยมีจอมยุทธ์มหาพันภพจัดการอยู่รอบแท่นบูชา
แต่ไม่ไกลจากแท่นบูชาก็ยังมีบางคนมองมายังทิศทางนี้อยู่เรื่อย
พวกเขาก็คือกลุ่มของเฉวียนหลัวและมั่วซิน เห็นชัดว่าพวกเขายังคงรู้สึกไม่เต็มใจเกี่ยวกับเรื่องที่มู่เฉินจะได้รับวิชาเจดีย์แปดองค์
“ผู้อาวุโส ข้าถือว่าทำงานเสร็จเรียบร้อยหรือไม่ขอรับ?”
มู่เฉินรู้ทันความคิดของพวกเขา ดังนั้นจึงถามฝูถูโดยไม่ลังเล เนื่องจากเขาต้องการได้รับวิชาเจดีย์แปดองค์อย่างรวดเร็ว
ฝูถูพยักหน้า ตอนแรกเขาตั้งใจที่จะใช้มู่เฉินผนึกจอมปีศาจระดับเทียน แต่ไม่คิดว่ามู่เฉินจะช่วยสังหารจนสิ้นซากแทน ดังนั้นภารกิจนี้จึงสมบูรณ์แบบเกินกว่าอะไรทั้งสิ้น
“แล้วผู้อาวุโสจะให้รางวัลอะไรกับข้า?” มู่เฉินไม่ได้ปกปิดความตั้งใจถามอย่างตรงไปตรงมา
ฝูถูอึ้งไปกับคำพูดของมู่เฉินชั่วครู่ ก่อนที่จะยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “เจ้านี่เห็นแก่รางวัลจริงๆ!”
มู่เฉินยิ้มบาง “ข้าอยู่คนเดียว ดังนั้นก็ต้องพึ่งพาตัวเองเพื่อให้ได้มาทุกอย่าง ไม่เหมือนคนที่มีภูมิหลังยิ่งใหญ่ที่สามารถหาทุกสิ่งที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย”
สีหน้าของฝูถูค่อยๆ เปลี่ยนไปเมื่อได้ยินความหมายเบื้องหลังคำพูดนี่ เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มไม่มีความสัมพันธ์อันดีกับทางเผ่าเลย
ฟิ้ว ฟิ้ว!
เฉวียนหลัวและมั่วซินรีบทะยานขึ้นไปบนแท่นบูชา
“ลูกหลานทักทายท่านบรรพบุรุษ!” ทั้งสองคนโค้งคำนับด้วยมารยาสูงสุด
ฝูถูพยักหน้ารับ
เมื่อกวาดสายตามองไปที่มู่เฉิน เฉวียนหลัวก็ก้มหน้าพูดกับฝูถูว่า “ท่านบรรพบุรุษ พวกข้าแบกความรับผิดชอบยิ่งใหญ่และภายใต้คำสั่งให้นำวิชาเจดีย์แปดองค์กลับไป พวกข้าหวังว่าท่านบรรพบุรุษจะสามารถส่งต่อวิชานี้ให้เพื่อประโยชน์ของเผ่าเรา ในฐานะลูกหลาน เราจะไม่มีวันลืมพระคุณนี้!”
“ใช่ การสูญเสียมรดกของท่านเป็นการสูญเสียที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ข้าเชื่อว่าท่านก็คงต้องการให้มรดกตกทอดในเผ่าเราใช่ไหมขอรับ?” มั่วซินกล่าวด้วยความเคารพ
ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งขรึมราวกับผืนน้ำ แสงเย็นเยือกวูบไหวในนัยน์ตา ชัดว่าเขาโกรธมากกับไอ้วายร้ายสองคนที่พยายามแย่งชิงของรางวัลของเขา
‘ไอ้พวกนี้วิ่งเร็วเหมือนหมาตอนเผชิญหน้ากับจอมปีศาจเทียนเสี่ยเจียง พอตอนนี้ไม่มีภัยคุกคามพวกมันก็เสนอหน้าจะมาฉกของของข้า!’
ฝูถูมองไปที่ทั้งสองพลางพูดช้าๆ “ก่อนหน้าข้าก็บอกไปแล้วว่าใครก็ตามที่สามารถช่วยข้าจัดการกับเสี่ยเจียงจะได้รับรางวัลจากข้า ซึ่งมู่เฉินทำสำเร็จ”
เฉวียนหลัวและมั่วซินเริ่มเหงื่อตก ทั้งสองรีบพูดว่า “ท่านบรรพบุรุษ มู่เฉินเป็นตัวกาลกิณีไม่ลงรอยกับเผ่า ถ้าเขาได้รับวิชาเจดีย์แปดองค์ก็คล้ายกับติดปีกให้พยัคฆ์ ข้ากลัวว่าเขาจะใช้วิชาเทพของท่านบรรพบุรุษสังหารหมู่พวกเราด้วยความแค้นที่มีต่อกัน!”
พอได้ยินคำพูดนั่น ฝูถูก็ขมวดคิ้วจมลงในความเงียบ
ได้เห็นผลที่เกิดจากคำพูดของพวกเขา เฉวียนหลัวและมั่วซินก็รู้สึกเบิกบานใจ
ฝูถูหันมามองมู่เฉินโดยไม่แสดงออกใดๆ จากนั้นก็พูดว่า “มู่เฉิน ตาเฒ่าคนนี้มีเรื่องจะถาม”
“เชิญขอรับ”
ฝูถูถอนหายใจ “ถ้ามีวันหนึ่งที่เจ้าและเผ่าฝูถูอยู่ในความขัดแย้ง เจ้าจะทำอย่างไร?”
มู่เฉินเงียบไป คำตอบที่ถูกต้องในการพูดตอนนี้ก็คือเขาจะไม่ขัดแย้งกับตระกูลพระโบราณ ทว่าเขาก็ไม่สามารถพูดได้เพราะด้วยมารดาของเขา เรื่องนี้จะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นอกจากนี้ถ้าฝืนปฏิเสธก็หนีไม่พ้นสายตาที่เฉียบคมของผู้อาวุโสฝูถูหรอก
ในเมื่อเป็นแบบนี้… มู่เฉินเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ฝูถู “ไม่ว่าจะเกิดอะไรก็ตามข้าจะทำตามหัวใจของตนเอง”
ไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเผ่าฝูถูจะพัฒนาไปสู่อะไร เขารู้ดีว่าตนเองจะไม่ดึงผู้บริสุทธิ์มาพัวพันและทำตามหัวใจจนถึงที่สุดโดยไม่เกรงกลัว
เมื่อเฉวียนหลัวและมั่วซินได้ยินคำตอบ ความสุขก็กระจายบนใบหน้า พวกเขาเงยหน้าก็เห็นสายตาของฝูถูจับจ้องไปที่มู่เฉินนิ่ง
ชายหนุ่มก็มองเข้าไปในดวงตาของฝูถูโดยไม่กลัวอะไร
หลังจากทั้งสองแลกเปลี่ยนสายตากัน เฉวียนหลัวและมั่วซินก็ตะลึงไปเมื่อเห็นรอยยิ้มพึงพอใจบนใบหน้าของฝูถู
“ทำตามหัวใจของตนเอง ดีๆ สำหรับคนที่กล้าเผชิญหน้ากับเผ่าปีศาจในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ ตาเฒ่าคนนี้เชื่อในหัวใจของเจ้า!”
ฝูถูยื่นมือออกตบไหล่ของมู่เฉินหนักแน่น
“นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าคือผู้สืบทอดวิชาเจดีย์แปดองค์!”
เมื่อได้ยินคำพูดนั่นใบหน้าของเฉวียนหลัวและมั่วซินก็ซีดลง
บทที่ 1341 สืบทอดวิชาเจดีย์แปดองค์!
บนแท่นบูชา
ใบหน้าของเฉวียนหลัวและมั่วซินซีดลง พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าฝูถูจะมีความประทับใจอย่างมากต่อมู่เฉิน ถึงแม้จะรู้ว่ามู่เฉินและเผ่ามีความสัมพันธ์เลวร้าย แต่เขาก็ยังตัดสินใจที่จะมอบวิชาเจดีย์แปดองค์ให้กับมู่เฉิน
“ท่านบรรพบุรุษ!” พวกเขาสองคนยังคงใช้ความพยายามลองโน้มน้าวต่อ
“ข้าตัดสินใจแล้ว” ทว่าฝูถูก็โบกมือตัดบทด้วยเสียงแน่วแน่จากนั้นก็หันไปมองทั้งสองคน “พวกเจ้าสองคนกลับไปบอกเหล่าผู้อาวุโส เผ่าฝูถูยืนยงจนถึงปัจจุบันเพราะความสามารถ ทว่าพวกเจ้าเป็นบัวใต้โคลนตม หากยังคงดำเนินความคิดแบบนี้ต่อไปเผ่าจะต้องเผชิญกับความเสื่อมโทรมแน่นอน!”
เสียงของเขาฟังดูเคร่งขรึม การที่มู่เฉินถูกมองว่าเป็นคนบาปเพราะเรื่องมารดาขี้ปะติ๋ว ทำให้บรรพบุรุษคนนี้โกรธมาก
เฉวียนหลัวและมั่วซินไม่กล้าเปิดปากพูดหลังจากถูกตำหนิ ทั้งคู่ก้มหน้าด้วยความอิจฉา กะพริบตาด้วยความไม่เต็มใจ
พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าตัวกาลกิณีในสายตาของพวกเขาจะเป็นผู้ชนะยิ่งใหญ่ในการเดินทางสู่แดนเซิ่งยวนโบราณ พวกเขาที่ควรจะเป็นจุดสนใจ กลับหม่นหมองต่อหน้ามู่เฉิน
“มู่เฉินตามข้าไปเพื่อรับมรดก”
ฝูถูเลิกสนใจคนอื่นต่อไป เขามองไปที่มู่เฉินก่อนที่จะโบกมือ จากนั้นทั้งสองก็หายตัวไป
พร้อมกับการหายไปของพวกเขา เฉวียนหลัวและมั่วซินก็เงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้ามืดมน
“จะปล่อยให้มันรับมรดกงั้นหรือ?” มั่วซินถามด้วยเสียงน่ากลัว
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เฉวียนหลัวก็พูดขึ้น “ไอ้กาลกิณีคู่ควรกับวิชาเจดีย์แปดองค์เหรอ? ในเมื่อท่านบรรพบุรุษตัดสินใจแล้วก็ปล่อยให้มันได้ไป”
“แต่มันจะนำวิชาเจดีย์แปดองค์ออกจากแดนซิ่งยวนได้หรือไม่ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ท่านบรรพบุรุษจะตัดสินได้” ขณะที่พูดก็มีแสงเย็นวูบวาบในดวงตา
มั่วซินอึ้งไปก่อนที่จะถาม “เจ้าหมายถึง?”
เฉวียนหลัวตอบอย่างเย็นชา “เจ้าคิดว่าผู้อาวุโสเฮยกวางและมั่วหยิงจะมองดูวิชาเจดีย์แปดองค์ตกอยู่ในมือของมู่เฉินเหรอ? เมื่อพวกเขารู้ข้อมูลนี้แล้ว พวกเขาก็จะละทิ้งคำสั่งของผู้อาวุโสใหญ่เอง”
มั่วซินพยักหน้า หากเฮยกวางและมั่วหยิงเคลื่อนไหวละก็ ไม่ว่ามู่เฉินจะทรงพลังแค่ไหนก็ไม่สามารถหลบหนีจากการตามล่าของสองจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนได้
“ปล่อยให้มันยินดีไปก่อน”
เมื่อแสงหายไปที่เบื้องหน้ามู่เฉิน
สภาพแวดล้อมก็เปลี่ยนไปโดยพลัน ดูเหมือนว่าเขาจะอยู่ภายในเจดีย์ที่มีภาพวาดโบราณบนผนังกระดำกระด่าง
กลิ่นอายโบราณฟุ้งกระจายรอบๆ
“นี่คือ?” มู่เฉินมองไปที่ฝูถูขณะที่สัมผัสได้ถึงความผันผวนที่คุ้นเคย
“นี่คือเจดีย์ของข้า” ฝูถูยิ้มกล่าวด้วยความระลึกถึง “แต่เมื่อข้าสิ้นชีพ เจดีย์ก็สูญเสียความเปล่งประกาย ค่อยๆ หายไปตามกาลเวลา”
มู่เฉินพยักหน้า แต่แม้ว่าเจดีย์นี้จะเริ่มเสียหาย แต่เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ไม่สามารถอธิบายได้ซึ่งทำให้เขาหวาดกลัว
ฝูถูนั่งลงในเจดีย์พลางยิ้มให้มู่เฉิน “เจ้ารู้ที่มาของวิชาเจดีย์แปดองค์หรือไม่?”
มู่เฉินส่ายหัว เขารู้เพียงว่าวิชาเจดีย์แปดองค์เป็นหนึ่งในวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่าเท่านั้น ส่วนอย่างอื่นเขาไม่รู้เลย
เมื่อฝูถูเห็นก็ไม่ใส่ใจและเริ่มอธิบาย “วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดนี้เป็นสิ่งที่ตาเฒ่าคนนี้สร้างขึ้นเมื่อเผ่าปีศาจต่างมิติเข้าโจมตีมหาพันภพ”
“ข้าได้สังหารปีศาจนับไม่ถ้วนและปิดผนึกราชันปีศาจหลายสิบคนไว้ในเจดีย์ มีกระทั่งที่เทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน”
มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะเดาะลิ้น การปิดผนึกราชันปีศาจหลายสิบคนนั่นเป็นความสำเร็จที่น่ากลัวอย่างยิ่ง เพราะนั่นเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเลยทีเดียว
“เป็นเพราะข้าได้ผนึกเหล่าราชันปีศาจมากเกินไป ทำให้เจดีย์เกิดความไม่มั่นคง ดังนั้นจึงมีความคิดหนึ่งพุ่งเข้ามา ข้าเลยลองชำระให้พวกมันให้เป็นผู้พิทักษ์เจดีย์”
มู่เฉินตกใจอีกครั้ง กลั่นราชันปีศาจให้เป็นผู้พิทักษ์? นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะต้องลบล้างเจตจำนงของราชันปีศาจเหล่านั้นและปรับแต่งให้เป็นหุ่นเชิด พูดโดยทั่วไปหุ่นเชิดจะอ่อนแอลงเมื่อผ่านกระบวนการ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น วิชาเจดีย์แปดองค์ก็จะไม่สามารถเป็นหนึ่งในสามสิบหกกระบวนท่าของวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดได้
“ข้ารู้เรื่องนั้นดี ข้าจึงปรับแต่งพวกมันให้เป็นผู้พิทักษ์และประทับลงในเจดีย์ ด้วยวิธีนี้พวกมันจะได้รับการเชื่อมโยงกับตัวเองผสานกับทักษะลับในการชำระ ข้าจึงสามารถคงความแข็งแกร่งของพวกมันไว้ได้มากที่สุด” ฝูถูกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
มู่เฉินอุทานด้วยความชื่นชม ฝูถูคู่ควรกับการเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญสุดยอดของโลก วิธีการของเขาช่างแยบยลอย่างแท้จริง
“แต่น่าเสียดายที่โอกาสล้มเหลวสูงมาก ในบรรดาราชันปีศาจหลายสิบคนข้าสามารถกลั่นได้สำเร็จเพียงสามคนเท่านั้น ดังนั้นในปีหลังๆ ข้าจึงใช้ประโยชน์จากสงคราม ปิดผนึกพวกมันเพื่อกลั่น ในที่สุดหนึ่งปีก่อนที่ข้าจะตาย ข้าก็สร้างวิชาเจดีย์แปดองค์ได้สำเร็จ” ฝูถูถอนหายใจ
มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะปาดเช็ดเหงื่อเย็นเมื่อได้ยิน ประสบความสำเร็จในการกลั่นราชันปีศาจได้สามคนจากหลายสิบคน โอกาสที่จะล้มเหลวมีมากจริงๆ ท้ายที่สุดแล้วเหล่าราชันปีศาจไม่ใช่กะหล่ำปลีที่จะเจอได้ในตลาด การดำรงอยู่ของพวกมันเปรียบได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ดังนั้นสามารถจินตนาการได้ว่าฝูถูจะบ้าคลั่งเพียงใด เมื่อเขาตระเวนไปรอบมหาพันภพเพื่อจัดการเหล่าราชันปีศาจ
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมไม่มีใครสามารถฝึกวิชาเจดีย์แปดองค์ได้อีกเลย เนื่องจากทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับมันหายากมาก มิหนำซ้ำยังไม่สามารถใช้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนในมหาพันภพเป็นวัตถุดิบแทนได้ เนื่องจากพวกเขาคงไม่ยอมให้มีวิชามารเช่นนี้อยู่แน่หากรู้เรื่องเข้า
มู่เฉินยิ้มอย่างขมขื่นเมื่อได้ยิน ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อให้เขาได้วิธีการฝึกฝนวิชาเจดีย์แปดองค์แล้วจะมีประโยชน์อะไร?
เมื่อเห็นท่าทางของเขา ฝูถูก็ยิ้ม “คุณค่าของวิชาเจดีย์แปดองค์ไม่ได้อยู่ที่ทักษะการฝึกฝน แต่เป็นตัวมันเอง”
พูดจบฝูถูก็ยกมือขึ้น เจดีย์เสียหายเริ่มสั่นสะเทือน จากนั้นรอยแตกก็ปรากฏขึ้นบนผนังเจดีย์ก่อนที่จะมีเสียงแตกดังขึ้น ลำแสงสีแดงเข้มแปดแฉกพุ่งออกมาจากผนัง
ลำแสงสีแดงเข้มทั้งแปดโคจรรอบตัวฝูถู มู่เฉินเพิ่งเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามันคือไข่มุก ซึ่งถูกสลักด้วยลวดลายที่น่ากลัวและดุร้าย
มู่เฉินเพียงแค่มองไปที่ไข่มุกสีแดงเข้มก็รู้สึกว่าเลือดในกายเดือดพล่านพร้อมกับรังสีสังหารพลุ่งพล่านอยู่ในใจ
ฮึ่ม
ทันใดนั้นแสงศักดิ์สิทธิ์ก็คลี่ออกมาจากเจดีย์พุทธะในร่างของมู่เฉิน ขับไล่รังสีสังหาร ทำให้เขาฟื้นคืนสติ
ฮา
เมื่อมู่เฉินได้สติก็อดไม่ได้ที่จะถอยหลังไป สายตาจ้องเขม็งที่ไข่มุกสีแดงเข้มทั้งแปดด้วยความกลัว วัตถุนี้น่าสะพรึงจริงๆ หากไข่มุกเหล่านี้ตกอยู่ในมือของคนธรรมดา พวกเขาก็จะกลายเป็นปีศาจสังหารในทันที
“นี่คือแกนกลางของเจดีย์แปดองค์…เจดีย์ไข่มุก” ฝูถูชี้ไปที่ไข่มุกสีแดงเข้มแปดเม็ดพลางยิ้มก่อนที่จะโบกมือ เกลียวสีแดงเข้มระเบิดออกมาจากไข่มุกทั้งแปด ก่อนที่จะรวมตัวกันเป็นร่างมหึมาแปดร่าง
ร่างมหึมาทั้งแปดมีขนาดประมาณร้อยจั้งสีหน้าถมึงทึงน่ากลัว พวกเขาดูราวกับการอวตารของอสูร… ทั้งหมดสาดแรงกดดันที่น่ากลัว
เมื่อมองไปที่ร่างยักษ์ทั้งแปดมู่เฉินก็นึกขึ้นได้พูดว่า “นี่คือเจดีย์แปดองค์หรือ?”
ฝูถูยิ้มพลางพยักหน้า
“เป็นเช่นนี้นี่เอง” มู่เฉินอุทาน เขาเข้าใจแล้ว แทนที่จะบอกว่าเจดีย์แปดองค์เป็นวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนาน บอกว่ามันเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นสุดยอดซะจะดีกว่า เพราะวิชานี้ไม่จำเป็นต้องได้รับการฝึกฝน เพียงแต่สืบทอดผ่านไข่มุกแปดเม็ดก็ถือว่าฝึกเจดีย์แปดองค์สำเร็จ!
เจดีย์แปดองค์ทรงคุณค่าไม่ใช่เพราะทักษะการฝึก แต่เป็นเจดีย์ไข่มุกที่กลั่นจากราชันปีศาจจำนวนมาก
“ในตอนนั้นที่ข้าสามารถปรับแต่งเจดีย์ไข่มุกทั้งแปดได้ นับเป็นความโชคดี ข้าว่าต่อให้พยายามลองดูอีกครั้งก็เกรงว่าจะไม่สามารถปรับแต่งได้อีก” ฝูถูถอนหายใจ
มู่เฉินพยักหน้า การพยายามปรับแต่งราชันปีศาจให้เป็นผู้พิทักษ์ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากต้องใช้โชคที่มีอย่างมาก
“แต่วัตถุเหล่านี้เป็นของราชันปีศาจ หากคนธรรมดาแปดเปื้อนด้วยรัศมีชั่วร้าย แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนธรรมดาก็ถูกผลาญหัวใจจนหมดสิ้น” ขณะที่พูดฝูถูก็ดูพึงพอใจเมื่อมองไปที่มู่เฉิน “แต่โชคดีที่เจ้ามีเจดีย์พุทธะ ด้วยการปกป้องนี้รัศมีชั่วร้ายจะไม่สามารถกินหัวใจเจ้าได้”
“เมื่อพลังของเจ้าเติบโตขึ้น เจดีย์แปดองค์นี้ก็จะเติบโตขึ้นเช่นกัน พวกมันไม่สามารถเพาะบ่มพลังได้ ดังนั้นทุกครั้งที่ใช้ในการต่อสู้ก็ต้องกินของเหลวจื้อจุนจำนวนมาก ซึ่งเจ้าจะต้องเตรียมพร้อมสำหรับมัน” ฝูถูเอ่ยเตือน
“ของเหลวจื้อจุนอีกแล้วหรือ?” มู่เฉินรู้สึกหัวบวมขึ้นทันที เขามีจอมเขมือบอย่างกองทัพมังกรดำอยู่แล้ว ไม่คิดว่าจะมีนักกินเพิ่มอีกคนที่นี่
จินตนาการได้เลยว่าจำนวนที่เจดีย์แปดองค์ต้องกินเข้าไปอย่างน้อยก็หลายสิบล้านหยด
“นอกจากนี้…” ใบหน้าของฝูถูนิ่งอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “หากพลังของเจ้าไม่เพียงพอ อย่าได้เปิดใช้งานเด็ดขาด เพราะยังไงพวกมันก็เป็นราชันปีศาจ แม้ว่าจะได้รับการชำระแล้ว แต่ความดุร้ายก็มีอยู่ในเลือดและเนื้อ ตราบใดที่เจ้าสูญเสียการควบคุม พวกมันก็จะกัดกินเจ้าแทน!”
มู่เฉินพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม ดูเหมือนว่าวิชาเจดีย์แปดองค์จะเป็นดาบสองคม
“ในเมื่อเป็นแบบนี้…”
ฝูถูมองไปที่มู่เฉินก็ยกมือขึ้น ไข่มุกสีแดงเข้มแปดเม็ดหมุนอย่างช้าๆ
“เจ้าพร้อมที่จะสืบทอดวิชาเจดีย์แปดองค์หรือยัง?”
บทที่ 1342 วิธีปลุก
ในชั้นผู้อาวุโสไท่หลิงของเจดีย์สี่เทวะ
การสังหารหมู่ดังก้องทั่วแท่นบูชาขนาดใหญ่ คลื่นหลิงและรัศมีปีศาจปะทะกันเปรี้ยงปร้างทำให้เกิดเสียงเสียดแทงแก้วหู ในเวลาเดียวกันแรงปะทะยังทำให้ชั้นนี้สั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง
นั่นเป็นเพราะแต่ละฝ่ายพยายามปกป้องและทำลาย ทำให้จอมยุทธ์มหาพันภพและเผ่าปีศาจเริ่มระเบิดสงครามกันที่นี่
มีการรวมกลุ่มกันอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ นี่ก็คือลั่วหลี หลิงซี เวินชิงเฉวียนและพรรคพวกที่ยืนล้อมกรอบอยู่รอบตัวพวกนาง
การรวมตัวของพวกนางไม่โดดเด่น เพราะตอนนี้ทั้งสนามรบ แค่จำนวนจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มอย่างเดียวก็สามารถนับได้ด้วยสองมือ นี่ยังไม่รวมถึงพวกเผ่าปีศาจ
แต่โชคดีที่ไม่มีตัวฉกาจเหมือนซือเทียนโยวในชั้นนี้ ดังนั้นการต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่ายจึงรุนแรง แต่ไม่มีใครถือไพ่เหนือกว่า
“ลั่วหลี ผู้หญิงคนนั้นพยายามจะทำอะไร?”
เวินชิงเฉวียนสะกิดลั่วหลี สายตามองไปในระยะไกลที่มีหญิงสาวชุดสีขาวทรงเสน่ห์ยืนอยู่ตรงกลางแท่นบูชา
ตอนนี้เวินชิงเฉวียนและทุกคนรู้แล้วว่าหญิงสาวคนนั้นชื่อว่าไป๋ซินเอ๋อ มิหนำซ้ำยังเป็นคู่แข่งของลั่วหลีในครั้งนี้ เนื่องจากเป้าหมายของนางคือมรดกของผู้อาวุโสไท่หลิง
ทักษะของไป๋ซินเอ๋อยอดเยี่ยมมาก เนื่องจากรอบตัวนางรายล้อมไปด้วยจอมยุทธ์น่าเกรงขาม มีกระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม การรวมกลุ่มของพวกเขาถือว่าหรูหราที่สุดเลย
ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นกลุ่มคนที่เข้าใกล้แท่นบูชาได้มากที่สุดและต่อต้านเผ่าปีศาจได้
ไป๋ซินเอ๋อที่ได้รับการปกป้องในวงกลมมองไปที่ลั่วหลีที่อยู่ไกล ก่อนที่ริมฝีปากสีกุหลาบจะยกขึ้น จากนั้นนางก็นั่งลง
มือของนางวาดตราประทับเร็วรี่ วงแสงรวมตัวกันเหนือศีรษะก่อนที่จะกระจายออกไปในรูปวงกลม
“นางพยายามปลุกเจตจำนงของผู้อาวุโสไท่หลิงน่ะ” ลั่วหลีหดตาลงเมื่อเห็นภาพนี้
ที่ชั้นนี้ไม่มีใครมาปลดปล่อยเศษวิญญาณของจอมปีศาจระดับเทียนที่ถูกปิดผนึก ดังนั้นเจตจำนงของผู้อาวุโสไท่หลิงจึงยังคงหลับใหลอยู่
ถ้าไป่ซินเอ๋อสามารถสื่อสารกับเจตจำนงของผู้อาวุโสไท่หลิงได้ นางก็จะสามารถยืมพลังกวาดล้างเผ่าปีศาจทั้งหมดออกไปจากที่นี่ ในเวลานั้นนางก็จะเป็นผู้มีส่วนร่วมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัยและวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานก็จะตกอยู่ในมือนางแน่แท้
“เราต้องหยุดนาง!” หลิงซีขมวดคิ้ว ถ้าไป๋ซินเอ๋อได้รับวิชาช่องแสงวิญญาณ ภารกิจครั้งนี้ของลั่วหลีก็จะล้มเหลว
เหตุผลที่มู่เฉินให้ทุกคนมากับลั่วหลี ก็เพื่อที่พวกเขาจะได้ช่วยนางทำงานให้สำเร็จลุลล่วง แต่ถ้าพวกเขาล้มเหลว ก็ไม่รู้ว่าจะตอบมู่เฉินว่าอย่างไร
“ข้าจะไปขัดขวางนางเอง!” หลงเซี่ยงกระแทกหมัดเข้าด้วยกันกล่าวด้วยท่าทางเคร่งขรึม แม้ว่าจะมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มอยู่รอบตัวไป๋ซินอ๋อ คนอย่างเขาก็ไม่กลัว
แต่เขาก็ถูกลั่วหลีหยุด นางส่ายหัว “ทักษะที่นางฝึกฝนน่าจะเป็นคัมภีร์ต้าหลิงของเผ่าไท่หลิง ว่ากันว่านี่เป็นทักษะที่คล้ายคลึงกับผู้อาวุโสไท่หลิง นางจึงพยายามใช้ทักษะนี้เพื่อปลุกเจตจำนงของเขา”
“นี่เป็นความคิดที่ดีนะ แต่จะง่ายอย่างที่นางคิดได้อย่างไร”
จากข้อมูลที่ลั่วหลีได้รับ ผู้อาวุโสไท่หลิงเป็นคนแรกที่สิ้นชีพในหมู่บรรพชนทั้งสี่ ดังนั้นเจตจำนงของเขาจึงเข้าสู่ห้วงนิทรา ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะปลุก ลั่วหลีไม่คิดว่าไป๋ซินเอ๋อจะสามารถทำให้สำเร็จได้
เมื่อเห็นว่าลั่วหลีสงบแค่ไหน ทุกคนก็ระงับความวิตกกังวลในใจและเฝ้าดู
ขณะที่พวกเขาไม่พลุ่งพล่าน ไป๋ซินเอ๋อก็เหลือบมาเห็นหลังจากไม่เห็นการเคลื่อนไหวใดๆ นางก็ยิ้มจาง ก่อนที่จะโบกมือไปให้จอมยุทธ์ที่อยู่รอบตัว
จอมยุทธ์เหล่านั้นดึงความสนใจออกจากตัวลั่วหลี กลับไปล้อมไป๋ซินเอ๋อเพื่อปกป้อง
“ผู้หญิงคนนั้นระวังตัวแจ คุมเชิงพวกเราตลอดเวลา” เวินชิงเฉวียนพูดพร้อมกับยกคิ้ว
“คนที่สามารถขึ้นเป็นเสมือนธิดาเทพของเผ่าไท่หลิงได้จะไม่ฉลาดได้อย่างไร?” ลั่วหลียิ้มบาง ไป๋ซินเอ๋อมาคนเดียว แต่จอมยุทธ์จำนวนมากเต็มใจจะช่วยเหลือ วิธีการของนางไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถทำได้
ขณะที่พวกเขากำลังสนทนากัน แสงลึกลับเหนือศีรษะของไป๋ซินเอ๋อก็ราวกับดวงจันทร์สาดส่องแสงไปทั่วบริเวณ
ประกายแสงกระจายออกไปรอบแท่นบูชา ศิลาโบราณเริ่มสั่นสะเทือน
ไป๋ซินเอ๋อจ้องมองไปด้วยความสุข ทว่าความสุขบนใบหน้านางก็อยู่ไม่นาน เพราะศิลากลับสู่ความเงียบไม่ขยับเขยื้อนดังเดิม
ไป๋ซินเอ๋อกัดฟันแน่นปลดปล่อยคลื่นหลิงในร่างกายอย่างบ้าคลั่ง แสงซ่านเซ็นออกไปห่อหุ้มไปที่ศิลานั้นอย่างต่อเนื่อง
ตู้ม ตู้ม!
ไม่ช้าเผ่าปีศาจก็สังเกตเห็นความวุ่นวายนั้น พวกมันมุ่งการโจมตีไปที่นาง แต่ก็ถูกสกัดไว้โดยจอมยุทธ์ที่อยู่รอบกายนาง
“ตื่นเร็วสิ!”
ไป๋ซินเอ๋อกัดริมฝีปากขณะที่หมุนเวียนวิชาอย่างต่อเนื่อง พยายามติดต่อกับเจตจำนงของผู้อาวุโสไท่หลิง ทว่านางก็ยังคงล้มเหลวเนื่องจากไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เกิดขึ้น
หลังจากพยายามอยู่นานไป๋ซินเอ๋อก็ลืมตาขึ้น ความไม่พอใจอัดแน่นในนัยน์ตา ก่อนที่นางจะมองไปที่แท่นบูชาพลางพึมพำกับตัวเอง “หรือว่าการขึ้นไปบนแท่นบูชาเป็นวิธีเดียวที่จะปลุกเจตจำนงของบรรพบุรุษ?”
แต่นางจะต้องถูกขัดขวางโดยเผ่าปีศาจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และถ้าเผ่าปีศาจสามารถขึ้นไปบนแท่นบูชาปลุกวิญญาณจอมปีศาจได้ละก็ พวกนางลำบากแน่
“แม่นางซินเอ๋อล้มเหลวเหรอ?” ชายรูปร่างแกร่งพุ่งเข้ามาถามด้วยความห่วงใย
ไป๋ซินเอ๋อพยักหน้าเบาๆ “ลำบากพวกเจ้าแล้ว”
เมื่อชายคนนั้นเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนของไป๋ซินเอ๋อ ดวงตาเขาก็กระตุก “แม่นางซินเอ๋อไม่ต้องกังวล รอให้เราส่งเจ้าขึ้นไปที่แท่นบูชาได้ เจ้าก็จะสามารถปลุกเจตจำนงของผู้อาวุโสไท่หลิงได้อย่างแน่นอน”
“สำหรับพวกเขาไม่ต้องกังวล นี่เป็นสิ่งที่แม้แต่เจ้ายังทำไม่สำเร็จ ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นเลย”
ที่พูดนี้หมายถึงกลุ่มของลั่วหลี เนื่องจากพวกเขารู้ว่าลั่วหลีเป็นภัยคุกคามใหญ่สำหรับไป๋ซินเอ๋อ
ไป๋ซินเอ๋อยิ้มอ่อนโยน “พูดอย่างนี้ไม่ได้นะ เราควรระวังลั่วหลีให้มากขึ้น”
ขณะที่พูดสายตานางก็มองไปยังทิศของกลุ่มลั่วหลี ก่อนที่ดวงตาจะหดลงทันทีเมื่อเห็นว่าลั่วหลีนั่งลงอย่างกะทันหัน
เมื่อรู้สึกถึงการจ้องมองของไป๋ซินเอ๋อ ลั่วหลีก็เงยศีรษะขึ้นช้าสายตาประสานกับไป๋ซินเอ๋อ ก่อนที่จะละสายตาออกอย่างรวดเร็ว
ไป๋ซินเอ๋อก็เบนสายตากลับ ดวงตากลับหรี่ลง “ลั่วหลีตั้งใจที่จะสื่อสารกับเจตจำนงของผู้อาวุโสไท่หลิงด้วยหรือ?”
แต่รอยยิ้มลึกก็ปรากฏบนใบหน้าของนางเมื่อคิดถึงเรื่องนั้น นางรู้ว่าลั่วหลีเพิ่งได้รับตำแหน่งเสมือนธิดาเทพจากเซียนชื่อเหยียนมาไม่กี่เดือน ลั่วหลีไม่เคยได้รับการฝึกฝนในเผ่า ดังนั้นในฐานะคนที่ไม่มีประสบการณ์ในการฝึกฝน ก็เป็นเพียงความคิดปรารถนาที่จะสื่อสารกับวิญญาณบรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่
“ลั่วหลี เจ้าทำได้ไหม?” เวินชิงเฉวียนถามอย่างเป็นห่วงจากด้านข้าง เมื่อนางเห็นว่าขนาดไป๋ซินเอ๋อยัง ล้มเหลว นางรู้ว่าการสื่อสารกับเจตจำนงของผู้อาวุโสไท่หลิงยากเพียงใด
ถึงยังไงไป๋ซินเอ๋อก็ได้รับการฝึกฝนคัมภีร์มานาน ขณะที่ลั่วหลีไม่เคยเรียนรู้วิทยายุทธหรือทักษะการเพาะบ่มของเผ่าไท่หลิงเลย
ลั่วหลียิ้ม “เจ้ารู้ไหมว่าทำไมเซียนชื่อเหยียนจึงมั่นใจในตัวข้ามากและรู้สึกว่าข้าจะได้รับวิชาช่องแสงวิญญาณ?”
เวินชิงเฉวียนส่ายหน้า
ลั่วหลีหัวเราะเบาๆ ขณะที่ตอบว่า “เป็นเพราะข้าฝึกฝนร่างเทพวารียังไงล่ะ”
เวินชิงเฉวียนยิ่งงุนงงเข้าไปใหญ่ ‘ร่างเทพวารีเกี่ยวข้องอะไรกับเผ่าไท่หลิงกัน?’
ลั่วหลีเงยหน้าขึ้นมองไปที่แท่นบูชาโบราณ “เซียนชื่อเหยียนเคยบอกว่าในสมัยโบราณท่านไท่หลิงคนนี้เป็นคนที่หลงใหลในความรัก”
“แล้วเขาหลงเสน่ห์ใครล่ะ?” หลิงซีดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง
ลั่วหลียิ้มเจ้าเล่ห์ตอบว่า “เขาหลงใหลเจ้าของคนสุดท้ายของร่างเทพวารี บรรพบุรุษของข้า—ท่านลั่วเสิน!”
“ข้าเข้าใจล่ะ! เจ้าคิดจะใช้แผนสาวงามหลอกล่อใช่ไหม ใช้ร่างเทห์สวรรค์ที่งดงามเพื่อปลุกเจตจำนงของผู้อาวุโสไท่หลิง!” เวินชิงเฉวียนปรบมือพร้อมกับร้องลั่นด้วยความชอบใจ
ลั่วหลีกะพริบตาพูดอย่างสนุกสนาน “เพื่อวิชาช่องแสงวิญญาณ ข้าคิดว่าจะต้องเสียสละความงามของบรรพบุรุษสักหน่อย”
เวินชิงเฉวียนกับคนอื่นๆ แลกเปลี่ยนสายตากัน ‘แบบนี้ก็ได้เหรอ?’
ลั่วหลีไม่พูดอะไรอีก แต่ประสานมือเข้าด้วยกัน โดยมีแสงไร้ขอบเขตส่องออกมาจากด้านหลัง แสงหลิงพวยพุ่งปกคลุมสวรรค์และโลก เกิดภาพเงาที่งดงามก่อตัวขึ้นที่เบื้องหลัง
ร่างเทพวารีแห่งลั่วเสิน ร่างเทห์สวรรค์ที่งดงามแห่งมหาพันภพ!
บทที่ 1343 วิชาช่องแสงวิญญาณ
แสงหลิงกำจายระหว่างสวรรค์และโลก
ก่อนที่ร่างสง่างามจะปรากฏขึ้นในสนามรบ ทันใดนั้นทั้งสนามรบก็เหมือนจะหยุดชะงัก สายตานับไม่ถ้วนพุ่งมาที่ร่างเทห์สวรรค์ที่งดงาม ความอัศจรรย์ใจใจวูบไหวในดวงตาแต่ละคู่
ภาพเงาของลั่วหลียืนอยู่ตรงหน้าร่างเทพวารีก็เปล่งรัศมีหลิงห่อหุ้มกายเอาไว้ เรือนผมราวกับแม่น้ำสีเงินกระเพื่อมไหวโดยไม่มีสายลมพัดผ่าน กระโปรงของนางพลิ้วสะบัด ทำให้นางดูน่าทึ่งมาก
“ลั่วหลีงดงามนัก!” เวินชิงเฉวียนเอ่ยชม ยามนี้ลั่วหลีมองดูเหมือนภาพสะท้อนของลั่วเสินด้วยใบหน้าที่เปล่งประกาย แม้แต่รูม่านตาของนางก็ดูโปร่งใสมากขึ้น
ความงามของนางสยบทั้งสนามรบ แม้แต่เวินชิงเฉวียนและไป๋ซินเอ๋อก็ดูหมองลงเมื่อเปรียบเทียบกับนางในขณะนี้
“ช่างงดงามจริงๆ…”
จอมยุทธ์รอบตัวไป่ซินเอ๋อมองไปที่ลั่วหลีด้วยสายตาที่มึนเมาขณะที่อุทานลั่น
รอยยิ้มบนใบหน้าไป๋ซินเอ๋อแข็งกระด้างลงหลายส่วน ขณะที่มองไปที่ภาพเงางดงามชั่วครู่ ก่อนที่คำพูดจะเปล่งออกมาทีละคำ “ร่างเทพวารีแห่งลั่วเสิน?!”
ในฐานะเสมือนธิดาเทพเผ่าไท่หลิง นางมีความรู้มากมายจึงจดจำได้ในทันที ร่างเทพวารีเป็นวิชาที่โด่งดังที่สุดในมหาพันภพภายใต้ความงดงาม!
เพราะนอกจากนี่จะเป็นร่างเทห์สวรรค์ที่งดงามที่สุดในมหาพันภพยังมีพลังอันยิ่งใหญ่ คงมีแต่เทพเซียนเท่านั้นที่รู้ว่ามีหญิงสาวกี่คนที่ใฝ่ฝันที่จะฝึกฝน
ไป่ซินเอ๋อก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน
ดังนั้นเมื่อนางเห็นว่าลั่วหลีได้ฝึกฝนร่างเทพวารี แม้แต่คนอย่างนางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉานิดๆ หากนางสามารถฝึกฝนร่างเทห์สวรรค์แบบนั้นได้ นางจะกลายเป็นจอมยุทธ์หญิงที่เจิดจรัสที่สุดในอนาคตอันใกล้ของมหาพันภพ
“แต่นางนำมันออกมาเพื่ออะไร?” ไม่นานไป๋ซินเอ๋อก็มุ่นคิ้วก่อนจะพึมพำกับตัวเอง ดูเหมือนว่านางจะไม่รู้เรื่องระหว่างไท่หลิงและลั่วเสินเท่าไร
ทว่าถึงจะเป็นจุดรวมสายตาผู้คนโดยรอบ ลั่วหลีก็ไม่ได้สนใจ นางค่อยๆ เชื่อมโยงตัวเองกับร่างเทพวารี จากนั้นร่างเทพวารีก็ระเบิดเกลียวแสงพร่างพราวออกมานับไม่ถ้วน ขณะที่แสงหลิงกระจายออกก็พุ่งเข้าหาแท่นบูชาอย่างรวดเร็ว ปรากฏที่ด้านบนก่อนที่จะเทลงบนศิลาโบราณ
เมื่อแสงหลิงของร่างเทพวารีแตะต้อง ศิลาหินก็เริ่มสั่นสะเทือนรุนแรง
การสั่นสะเทือนนั้นไม่เหมือนกับของไป่ซินเอ๋อ มันรุนแรงและรุนแรงมากขึ้น เสียงก็แรงกล้ายิ่งขึ้น
เมื่อไป่ซินเอ๋อเห็นฉากนี้ หัวใจของนางก็ดิ่งลง นี่ช่างเกินความคาดหมายไปไกล นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าร่างเทพวารีของลั่วหลีจะทำให้เกิดปฏิกิริยาสะท้อนกลับรวดเร็วเช่นนี้จากศิลาโบราณ
“แม่นางซินเอ๋อเราจะทำอย่างไรดี?” จอมยุทธ์ที่อยู่รอบตัวนางอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
ขณะที่สายตาวูบไหว ไป๋ซินเอ๋อก็ถอนหายใจ “ดูเหมือนว่าครั้งนี้ข้าด้อยกว่านางไปเอง”
นางกัดริมฝีปากทำให้ดูน่าสงสารอย่างยิ่ง จอมยุทธ์โดยรอบรู้สึกปวดใจแทนนาง จากนั้นพวกเขากล่าวว่า “อย่าเพิ่งรีบร้อน เราสามารถขัดขวางพวกเขาไว้ ขณะที่แม่นางซินเอ๋อขึ้นไปบนแท่นบูชาเพื่อปลุกผู้อาวุโสไท่หลิง”
แววตาไป๋ซินเอ๋อฉายประกายความสุขวูบไหวแต่กลับส่ายหัว “ข้าจะปล่อยให้พวกเจ้าเสี่ยงอันตรายได้ยังไง? รอบตัวลั่วหลีเต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญเช่นกัน”
“ฮ่าๆ ก็แค่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มสองคนไม่มีอะไรต้องกลัว” ชายหนุ่มที่พูดกับไป๋ซินเอ๋อหัวเราะด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความมั่นใจ เนื่องจากฝั่งพวกเขาจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มถึงสี่คน
“ลุยกันเลย!”
เห็นได้ชัดว่าเขามีความสุขมากกับสายตาชื่นชมที่มาจากไป่ซินเอ๋อ จากนั้นเขาก็โบกมือและจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มสามคนก็ทะยานออกไปมุ่งหน้าไปยังทิศทางของลั่วหลี
มองไปที่ภาพเงาของพวกเขาริมฝีปากของไป่ซินเอ๋อก็ยกขึ้น ก่อนที่นางจะมองไปที่ลั่วหลี จากนั้นก็หันกลับพุ่งตัวออกไป มุ่งหน้าไปที่แท่นบูชา
“ระวัง!”
เวินชิงเฉวียนและคนอื่นๆ รับรู้ทันทีเมื่อจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มสี่คนพุ่งเข้ามาในทิศทางของพวกเขาจึงรีบตะโกนเตือน
“พวกมันรนหาที่ตายจริงๆ!”
หลงเซี่ยงเค้นเสียงเย็นชาพุ่งตัวนำหน้าออกไป มังกรพลายคำรามรอบตัวมาพร้อมกับพลังอำนาจอันน่าสะพรึง พุ่งเข้าใส่จอมยุทธ์สี่คนจังใหญ่
เวินซื่อหยู่ตามมาอย่างรวดเร็ว ที่เบื้องหลังเกลียวแสงหลิงเปล่งประกายออกมาจากในแขนเสื้อของหลิงซีก่อนที่ค่ายกลทรงพลังจะก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ
ขณะที่หลิงซีและคนอื่นๆ เข้าโรมรันกับจอมยุทธ์ทั้งสี่ ลั่วหลีก็ไม่ได้วอกแวกกับสถานการณ์นี้ นางมุ่งเน้นไปที่การควบคุมร่างเทพวารี ระลอกคลื่นหลั่งไหลเข้าสู่เสาที่สั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง
ฮึ่ม ฮึ่ม
การสั่นสะเทือนทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
ไม่กี่นาทีต่อมาก็หยุดลง เมื่อมองฉากนี้ไป๋ซินเอ๋อซึ่งกำลังมุ่งหน้าไปที่แท่นบูชาก็รู้สึกดีใจ แต่ก่อนที่ความสุขจะกระจายบนใบหน้า นางก็เห็นลำแสงโบราณไร้ขอบเขตทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าจากศิลาบนแท่น
แสงกลั่นตัวก่อร่างภาพเงาวัยกลางคนที่มีใบหน้าที่เข้มงวด แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีรูปลักษณ์หล่อเหลา แต่เขาก็ให้บรรยากาศแบบผ่านประสบการณ์ชีวิตมาแบบโชกโชนรอบตัว
เมื่อเขาปรากฏตัวขึ้นก็มองทางร่างเทพวารี ก่อนที่ความปรารถนาจะลุกโชนในดวงตา “ไม่คิดเลยว่าหลังจากผ่านไปหลายหมื่นปีจะได้พบกับเทพธิดาอีกครั้ง”
แม้ว่าสายตาจะจับจ้องไปที่ร่างเทพวารี แต่ชัดว่าภาพที่ปรากฏในใจกลับเป็นร่างเงาในความทรงจำที่ห่างไกล
เมื่อมองไปที่ภาพเงานั้น เสียงของลั่วหลีก็ดังขึ้น “ผู้อาวุโสไท่หลิง หนึ่งในสี่ชั้นของเจดีย์สี่เทวะถูกล้างบางไปแล้ว โปรดให้ความช่วยเหลือแก่พวกเราในการทำลายล้างปีศาจ!”
ภาพเงาของผู้อาวุโสไท่หลิงไปปรากฏที่เบื้องหน้าลั่วหลีทันที สายตามองไปก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนทันที “เจ้ามีความสัมพันธ์อะไรกับลั่วเสิน?”
“นางเป็นบรรพบุรุษของข้า” ลั่วหลีตอบด้วยมารยาท
“มิน่ารูปลักษณ์ของเจ้าถึงคล้ายคลึงกับนางมาก” ไท่หลิงยิ้มพร้อมกับจ้องมองใบหน้าของลั่วหลีด้วยความรู้สึกลึกซึ้งในดวงตา ทว่าลั่วหลีรู้ดีว่านี่ไม่ใช่สำหรับนาง แต่เป็นลั่วเสิน
“ไม่คิดว่าวันหนึ่งสภาวะหลับใหลของข้าจะถูกปลุก… และคนที่ปลุกก็คือลูกหลานของนาง นางมักจะพูดเสมอว่าเราไม่มีโชคชะตาต่อกัน แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างนั้น” ไท่หลิงยิ้มอ่อนโยน
ลั่วหลีแอบแลบลิ้น ดูเหมือนว่านี่เป็นหนึ่งในผู้ไล่ตามบรรพบุรุษของนางและล้มเหลว
แต่โชคดีที่เจตจำนงของไท่หลิงไม่ได้ระลึกถึงอดีตมากเกินไป เขาหันไปมองรอบๆ เมื่อเห็นเผ่าปีศาจอยู่ทั่วทุกหนแห่งตรงแท่นบูชา ใบหน้าของเขาก็ดิ่งลง
“เจตจำนงของผู้อาวุโสเชียงถูกทำลายแล้วเรอะ ชั้นหนึ่งของเจดีย์สี่เทวะก็ล้มสลายลงแล้ว” สายตาของไท่หลิงวูบไหวจากนั้นก็หยุดชั่วครู่ ก่อนที่เขาจะอุทานด้วยความตกใจ “เศษวิญญาณจอมปีศาจเทียนเสี่ยเจียงถูกทำลาย? วิธีการของตาแก่ฝูถูรวดเร็วเด็ดขาดขนาดนั้นเชียวเหรอ?”
เมื่อลั่วหลีได้ยินหัวใจก็สั่นไหว เศษวิญญาณจอมปีศาจเทียนเสี่ยเจียงในชั้นของผู้อาวุโสฝูถูถูกทำลายเหรอ?
“มู่เฉินแน่!” แม้ว่านางจะยังไม่ทราบข้อมูลแน่ชัด แต่นั่นคือสิ่งที่ลั่วหลีใช้สัญชาตญาณผู้หญิงวัด งานนี้มู่เฉินเป็นคนทำแน่นอน
“แม่นางน้อยปลุกข้าได้ให้ทันเวลา มิฉะนั้นหากเศษวิญญาณของจอมปีศาจระดับเทียนเป็นอิสระ ผลลัพธ์ของชั้นนี้ก็คงเป็นเช่นเดียวกับตาแก่เชียงแน่นอน” ไท่หลิงยิ้มให้ลั่วหลี ในบรรดาบรรพบุรุษทั้งสี่ เขาเป็นคนที่ได้รับบาดเจ็บมากที่สุด ดังนั้นเจตจำนงจึงอ่อนแอที่สุดเช่นกัน ถ้าเศษวิญญาณจอมปีศาจระดับเทียนจากชั้นของเขาถูกปลดปล่อยออกไปละก็ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะทำเหมือนกับฝูถูที่ลบวิญญาณออกไปตลอดกาล
ไท่หลิงเหยียดนิ้วออกแตะลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วของลั่วหลี แสงกำจายจากปลายนิ้วเทลงไป
“ฮึ่ม!”
เมื่อแสงหลิงหลั่งไหลเข้ามา ร่างลั่วหลีก็สั่นสะท้าน คลื่นหลิงกลุ่มใหญ่คำรามอยู่ภายในร่างกาย ทว่าพลังงานนี้ไม่ใช่สิ่งที่เป็นของนาง
“ช่วยข้าทำความสะอาดชั้นนี้หน่อยเถอะ”
ไท่หลิงมองไปที่ลั่วหลีอย่างลึกซึ้ง ความระลึกถึงลุกโชนในดวงตาอีกครั้ง จากนั้นร่างเขาก็ค่อยๆ หายไป
ลั่วหลีผงกศีรษะปรากฏตัวบนไหล่ของร่างเทพวารีมองไปที่สนามรบอันโกลาหลก่อนที่จะยกมือขึ้น
ซ่า ซ่า
ลำแสงพุ่งออกมาจากปลายนิ้วร่างเทพวารีแล้วขยายออก ทันใดนั้นก็กลายเป็นแม่น้ำสีเงินที่มีความยาวหลายหมื่นลี้ซึ่งแผ่ซ่านด้วยพลังงานหลิงไม่มีที่สิ้นสุด
แม่น้ำสีเงินพวยพุ่งอย่างแรกที่ทำก็คือส่งร่างจอมยุทธ์สี่คนที่กำลังต่อสู้กับหลงเซี่ยง เหวินซื่อหยู่และคนอื่นๆ กระเด็นออกไปพร้อมกับกระอักเลือดออกมา ใบหน้าของพวกเขาปกคลุมไปด้วยความกลัว
ทว่าลั่วหลีไม่ได้ใส่ใจพวกเขามาก นางแตะปลายเท้า แม่น้ำสีเงินก็เริ่มกวาดหายนะไปในสนามรบ ทันใดนั้นจอมยุทธ์เผ่าปีศาจก็ถูกแม่น้ำสีเงินกัดกร่อนกลายเป็นขี้เถ้า ไม่มีแม้แต่กระดูกเหลือไว้ต่างหน้า
การต่อสู้ที่ตึงเครียดตั้งแต่แรกเปลี่ยนเป็นเผ่าปีศาจเริ่มสูญเสีย ท้ายที่สุดพวกเขาไม่สามารถระงับความกลัวได้อีกต่อไปและเริ่มหนี
ส่วนจอมยุทธ์มหาพันภพก็ได้รับกำลังใจเพิ่มขึ้น พวกเขาพุ่งเข้าโรมรัน
ใต้แท่นบูชาไป่ซินเอ๋อหยุดลงพลางกัดริมฝีปากขณะกำมือแน่น นางรู้ว่าตัวเองล้มเหลวในการต่อสู้ครั้งนี้แล้ว
นางไม่คาดคิดมาก่อนว่าแม้จะใช้ทักษะการปลุกของเผ่าไท่หลิง ก็ยังไม่สามารถปลุกเจตจำนงที่ยิ่งใหญ่ของบรรพบุรุษได้ กลับกันเพียงแค่สัมผัสได้ถึงร่างเทพวารี ไท่หลิงก็ตื่นขึ้นอย่างรวดเร็ว
มองไปที่สนามรบที่ถูกกวาดล้างอย่างรวดเร็ว ลั่วหลีก็รู้สึกโล่งใจ เนื่องจากนางรู้สึกได้ว่าพลังงานหลิงกลุ่มใหญ่ในร่างกายกำลังหายไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อคลื่นหลิงเส้นสุดท้ายหายไป ดวงตาลั่วหลีก็สว่างวาบขึ้น เพราะในขณะนี้มีข้อมูลเก่าแก่มากมายหลั่งไหลเข้ามาในห้วงแห่งจิตของนาง
“นี่คือ…วิชาช่องแสงวิญญาณโบราณ”
บทที่ 1344 เสมือนระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม
มู่เฉินนั่งเงียบๆ ภายในเจดีย์แตกหัก
ก่อนที่ดวงตาจะเบิกโพลงพร้อมกับผลึกแสงเข้มข้นพุ่งออกมา เจดีย์โปร่งใส่ก็บินออกไป
ฮึ่ม
เจดีย์พุทธะหมุนคว้างที่เบื้องหน้ามู่เฉินขณะที่ขยายตัว จากนั้นก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้าห่อหุ้มมู่เฉินและฝูถูไว้ภายใน
ขณะที่เกลียวผลึกแสงกระจายออกไปในเจดีย์ มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นจ้องมองไปที่ผนังของเจดีย์ ยามนี้มีภาพร่างเงาแปดภาพบนผนังของเจดีย์
ภาพทั้งแปดดูน่ากลัวและปลดปล่อยรัศมีชั่วร้าย แม้แต่คนธรรมดาที่มองก็จะถูกยึดครองจิตใจโดยรัศมีนี้
ทว่าเมื่อมู่เฉินมองไปที่ภาพที่น่ากลัวเหล่านั้น ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความสุข
“นี่หรือวิชาเจดีย์แปดองค์?” มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง ตอนนี้เขายังไม่อยากจะเชื่อ เพราะนี่เป็นหนึ่งในวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่าแห่งมหาพันภพ
ไม่ต้องพูดถึงระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มกระทั่งระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็จะถูกดึงดูดด้วยทักษะเทพเหล่านี้
มองไปที่ภาพน่ากลัวทั้งแปดบนผนัง จิตใจมู่เฉินก็กระเพื่อม เกลียวแสงหลิงพรั่งพรูออกมาจากภาพ จากนั้นภาพทั้งแปดก็ทะยานออกจากผนัง ก่อนที่จะควบแน่นลอยอยู่บนท้องฟ้าปลดปล่อยพลังอันน่าสะพรึงกลัวออกมา
“พลังนี้”
รอยยิ้มผุดขึ้นบนริมฝีปากของมู่เฉิน ตามการคาดการณ์ถ้าเขาปะทะซือเทียนโยวอีกครั้ง ตราบใดที่สามารถดักจับซือเทียนโยวเข้ามาในเจดีย์พุทธะได้ มันจะต้องตายคาที่ทันทีที่วิชาเจดีย์แปดองค์เปิดใช้งาน สำหรับเฉวียนหลัวและมั่วซิน พวกเขายิ่งไม่มีคุณสมบัติที่จะต้านทานภายในเจดีย์ได้
พลังของผู้พิทักษ์ทั้งแปดสามารถปราบปรามจอมยุทธ์ที่อยู่ใต้ระดับเทียนจื้อจุนได้ทั้งหมด
ตอนนี้มู่เฉินครอบครองสองวิชาระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานที่ทรงพลังที่สุดในโลก ดังนั้นความสามารถในการต่อสู้ของเขา ถือได้ว่าเป็นหนึ่งของจอมยุทธ์ที่อยู่ต่ำกว่าระดับเทียนจื้อจุน!
“สมเป็นเจดีย์พุทธะแท้จริง ความเทพนี้ไม่มีใครเทียบได้ ไม่อย่างนั้นข้ากลัวว่าเจ้าจะควบคุมพวกมันได้ไม่ง่าย” ฝูถูคลี่ยิ้มจากด้านข้าง
องค์ประกอบที่ใช้สำหรับเจดีย์แปดองค์เป็นราชันปีศาจแท้จริงที่มีความดุร้ายอย่างไม่น่าเชื่อ หากไม่ใช่เพราะมู่เฉินมีเจดีย์พุทธะซึ่งความชั่วร้ายแปดเปื้อนไม่ได้บวกกับความสามารถในการผนึก เขาอาจต้องใช้เวลาหลายปีในการบำรุงรักษาแกนเจดีย์ ก่อนที่เขาจะสามารถประทับลงในเจดีย์ของตนเองได้
มู่เฉินพยักหน้า ขณะที่เปิดใช้เจดีย์แปดองค์ เขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังดุร้าย หากไม่ใช่เพราะเจดีย์พุทธะควบคุมไว้ละก็ เขาคงทุกข์ทรมานเอง
เห็นได้ชัดว่าต่อให้จอมยุทธ์ธรรมดาจะได้รับวิชาเทพเช่นนี้ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถฝึกฝนได้ หากฝืนทำก็อาจนำหายนะมาสู่ตัวเองแทน
“ขอบคุณผู้อาวุโส!” มู่เฉินมองไปที่ฝูถูกล่าวด้วยความจริงใจ หากไม่เป็นเพราะความชื่นชมที่อีกฝ่ายมีให้ เขาคงไม่มีชะตาต้องกันกับวิชาเจดีย์แปดองค์แน่นอน
ฝูถูส่ายหัวยิ้มพร้อมกับหรี่ตา “ข้าต้องขอบคุณเจ้าที่สามารถรับช่วงวิชาต่อไปได้”
มู่เฉินยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไรมากความ ทว่าเขาให้ความเคารพฝูถูอย่างสุดซึ้งในหัวใจ
“ใช่แล้ว ผู้อาวุโสตอนนี้เจดีย์สี่ชั้นเป็นยังไงบ้าง?” มู่เฉินนึกถึงลั่วหลีจึงรีบถาม
“นอกจากชั้นตาเฒ่าเชียงที่ล้มเหลว ชั้นอื่นๆ ยังคงตั้งมั่นไว้เป็นอย่างดี ตอนนี้เจดีย์สี่เทวะมีเสถียรภาพ เศษวิญญาณจอมปีศาจระดับเทียนที่หลุดจากชั้นตาเฒ่าเชียงก็ไม่สามารถหลบหนีได้ อีกไม่ช้ามันจะถูกลบล้างโดยพลังงานของเจดีย์” ฝูถูยิ้ม ดูเหมือนว่าวิกฤตครั้งนี้ได้รับการแก้ไขแล้ว
มู่เฉินรู้สึกโล่งใจกับเรื่องนี้ นั่นหมายความว่าชั้นที่ลั่วหลีไปก็ได้รับชัยชนะ เพียงแต่ไม่รู้ว่าวิชาช่องแสงวิญญาณจะตกอยู่ในมือของลั่วหลีหรือไม่
ขณะที่ความคิดวนเวียนอยู่ในใจของมู่เฉิน ฝูถูก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่เจดีย์ผุผัง หลังจากเงียบไปชั่วครู่เขาก็ยิ้ม “ยังมีพลังงานหลงเหลืออยู่ในเจดีย์นี้ ข้าจะขอมอบของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ให้กับเจ้า”
พูดจบฝูถูก็โบกมือ แสงหลิงพร่างพราวรวมตัวกันในเจดีย์ นั่นเป็นแสงหลิงที่แท้จริง เกิดจากการควบแน่นของคลื่นหลิง
ฮึ่ม
แสงหลิงแล่นลงมา เมื่อสัมผัสกับกระหม่อมของมู่เฉินก็เปลี่ยนเป็นคลื่นหลิงเทลงในร่างกายของมู่เฉินโดยตรง
เมื่อคลื่นหลิงปรากฏขึ้น มู่เฉินก็รู้ถึงความตั้งใจของฝูถู อีกฝ่ายพยายามที่จะเทพลังงานที่เหลืออยู่ของเจดีย์ตนเองลงในร่างกายของเขา เพื่อเพิ่มพลังในการเพาะบ่มขุมพลังของเขาอีกเล็กน้อย
ขณะที่แสงหลิงเข้ามาในร่างกาย เจดีย์ที่ผุผังก็จางลงอย่างรวดเร็ว
ร่างกายของมู่เฉินเปล่งแสงคล้ายกับอัญมณีใส ผิวกายของเขาเปลี่ยนเป็นแวววาวจากพลังงานที่ไร้ขอบเขต
ยิ่งกว่านั้นเลือดเนื้อของเขายังเริ่มมีกลิ่นหอมแทรกอยู่
นั่นมาจากการที่สิ่งสกปรกในร่างกายถูกล้างออก ทำให้กลิ่นหอมไม่มีการปนเปื้อนใดๆ
การขจัดคราบของแสงหลิงดำเนินไปไม่รู้เท่าไร มู่เฉินลืมตาขึ้นอีกครั้ง ตระหนักได้ว่าเจดีย์หรุบหรู่ลงพร้อมกับรอยแตกคืบคลานไปบนผนัง
เงาร่างฝูถูก็เริ่มจางหายไปชัดว่าพลังงานกำลังหมดลง
มู่เฉินรู้สึกได้ถึงแสงแวววาวจากผิว คลื่นหลิงทรงพลังไหลเวียนผ่านเส้นเลือด
“เสมือนระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม…”
มู่เฉินสัมผัสได้และรับรู้สภาพปัจจุบันของตน แม้ว่าจะไม่ได้บรรลุขั้นเต็ม แต่นี่กลับทำให้เขารู้สึกโล่งใจ
“ข้าใช้พลังงานที่เหลืออยู่เพื่อปรับแต่งร่างกายเจ้า คลื่นหลิงที่เหลืออยู่ก็ช่วยยกการเพาะบ่มเข้าสู่ขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ไม่ได้ช่วยให้เจ้าผ่านไป”
ฝูถูยิ้ม “ข้ารู้ถึงความทะเยอทะยานของเจ้า ในอนาคตเจ้าอาจก้าวข้ามข้าคนนี้ไปได้ แล้วข้าจะบังคับให้เจ้าเติบโตละทิ้งอันตรายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังได้อย่างไร?”
มู่เฉินเกาหัวแกรกกรากพลางยิ้มเก้อ
เขากังวลอยู่บ้างว่าฝูถูจะช่วยเขาบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มด้วยความพอใจ หากเป็นเช่นนั้นบางทีเขาอาจจะได้รับพลังยิ่งใหญ่ตอนนี้ แต่ก็ไม่ใช่ผลดีในระยะยาว
เส้นทางยอดยุทธ์ผู้ฝึกจะต้องก้าวไปทีละก้าว…ทีละก้าว มู่เฉินมีพรสวรรค์และความเร็วในการฝึกฝนก็ไม่ได้ช้าเลย ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการการเพิ่มความแข็งแกร่งในรูปแบบนี้ สิ่งที่เขาต้องการคือให้การฝึกฝนเติบโตขึ้นอย่างราบรื่น
ด้วยรากฐานที่มั่นคง เขาจะมีโอกาสได้เข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน… หรือแม้กระทั่งระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งในตำนาน
‘ถ้าเป็นขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มแบบนี้ รอให้ข้าได้ฝึกฝนอีกสักหน่อย ก็จะสามารถนำเม็ดยาเซิ่งหวาทะลวงเข้าไปอย่างสมบูรณ์แบบ’ มู่เฉินครุ่นคิดในใจ
“เอาล่ะ ตาแก่คนนี้มอบทุกอย่างให้เจ้าแล้ว” ฝูถูปัดมือพร้อมกันหยอกล้อ หลังจากที่มู่เฉินได้สติ
มู่เฉินยืนขึ้นโค้งคำนับด้วยมารยาทสูงสุดต่อท่านบรรพบุรุษ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาท่านบรรพบุรุษผู้นี้เป็นเพียงคนเดียวในเผ่าฝูถูที่เขาให้เคารพนับถืออย่างจริงใจ
ทว่าฝูถูไม่ได้ถ่อมตัวกับมู่เฉินเลย แต่รับการคำนับจากมู่เฉิน ในแง่ของสายเลือดเขาถือได้ว่าเป็นบรรพบุรุษของมู่เฉินเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงสามารถรับการคำนับจากอีกฝ่ายได้ตามธรรมชาติ
“มู่เฉิน”
“ขอรับ” มู่เฉินตอบอย่างสุภาพ
ฝูถูจ้องมองเขาอยู่นานก่อนที่จะเอ่ยเน้นย้ำชัดๆ ว่า “ไม่ว่าเจ้าจะมีความแค้นเคืองอะไรกับเผ่าฝูถู สายเลือดก็ยังไหลเวียนอยู่ในร่างกาย ข้าหวังว่าเจ้าจะให้คำมั่นได้ว่าในอนาคตหากเผ่าฝูถูพบกับอันตรายจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เจ้าจะช่วยพวกเขาสักครั้ง”
มู่เฉินอึ้งไป เนื่องจากตอนนี้เขาเป็นเพียงจอมยุทธ์เสมือนระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเท่านั้น ต่อหน้าเผ่าฝูถูเขาราวกับมดตัวน้อย แต่ท่านบรรพบุรุษกลับพูดประโยคดังกล่าวกับเขา
อารมณ์ซับซ้อนผุดขึ้นในใจ เขามองไปที่นัยน์ตาของชายชราที่มีความคาดหวัง สุดท้ายก็พยักหน้าเบาๆ
เมื่อเห็นว่ามู่เฉินสัญญา ฝูถูก็คลี่รอยยิ้มโล่งใจบนใบหน้า ร่างกายของเขาเริ่มกลับกลายเป็นภาพลวงตา ก้อนหินน้อยใหญ่ร่วงกราวลงมาจากเจดีย์อย่างต่อเนื่อง ชัดว่าใกล้จะถล่มลงแล้ว
“ข้าจะส่งเจ้าออกไป…สำหรับภารกิจปกป้องเจดีย์สี่เทวะเหล่าลูกหลานทำได้ดีมาก” ฝูถูโบกมือ ลำแสงหลิงห่อหุ้มร่างมู่เฉิน มิติบิดเบี้ยวกลืนเขาเข้าไปทันที
ครืนๆๆๆ
พร้อมกับการจากไปของมู่เฉิน เจดีย์ยุบตัวลงก้อนหินกระแทกลงบนพื้น เจดีย์แห่งนี้ครั้งหนึ่งเคยสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วมหาพันภพ บัดนี้เหลือเพียงกรวดหินไว้เท่านั้น
ขณะที่ริ้วแสงหายไป
ความโกลาหลก็กึกก้องไปทั่วสภาพแวดล้อม เมื่อกวาดสายตามองไปรอบๆ เขาก็เห็นว่าตอนนี้ตัวเองออกมาจากเจดีย์สี่เทวะแล้ว
นอกจากนี้ยังมีคนจำนวนมากรอบตัวเขาที่ถูกส่งออกมาจากเจดีย์ด้วยเช่นกัน
“มู่เฉิน!”
เสียงกระจ่างใสดังขึ้น ทำให้มู่เฉินเงยหน้าขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม เมื่อเขาเห็นพวกเวินชิงเฉวียนและลั่วหลีเข้ามาในทิศทางของเขา
“เป็นยังไงบ้าง?” มู่เฉินมองไปที่ลั่วหลีขณะที่ถามด้วยความกังวล
“ไม่ทำให้ผิดหวังหรอกน่า” ลั่วหลียิ้มอ่อนโยน รูปลักษณ์ของนางเช่นนี้ทำให้มู่เฉินผงะไป
“แล้วเจ้าล่ะ?”
มู่เฉินยื่นมือออกไปจับมือลั่วหลีพลางยิ้มกว้าง “เราคือผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในครั้งนี้”
เฉวียนลั่วและมั่วซินมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตามืดมน ก่อนที่จะแลกเปลี่ยนสายตาพลางพึมพำกับตัวเองด้วยเสียงที่น่าขนลุก “ผู้ชนะเหรอ? ค่อยพูดเรื่องนี้หลังจากแกเอาชีวิตรอดออกจากแดนเซิ่งยวนไปได้ก่อนเถอะ!”
พูดจบชิ้นหยกก็ปรากฏขึ้นบนมือ พวกเขาบดขยี้ลงไปแสงหลิงพุ่งออกมา ปกคลุมร่างทั้งสองคนก่อนที่พวกเขาจะหายไปอย่างรวดเร็ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น