หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1331-1334
บทที่ 1331 สู้กับศพราชันอีกครั้ง
เสียงของมู่เฉินสะท้อนทั่วบริเวณ
ซึ่งดึงดูดสายตาตกตะลึงมากมายเข้ามา เพราะไม่มีใครคิดว่าคนแรกที่จะยืนหยัดต่อสู้กับซือเทียนโยวจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย
“มันอยากตายนักรึไง!”
สายตาของมั่วซินมืดครึ้มลงเมื่อมองมู่เฉิน เขาได้ลิ้มรสพลังของซากนั่นไปเมื่อครู่ จากการคาดการณ์แม้ว่าเขาจะใช้พลังและนำไพ่ตายออกมาทั้งหมด โอกาสในการชนะของเขาก็ไม่สูงนัก
เพราะศพราชันทรงพลังเกินไป!
มู่เฉินกล้ายืนหยัดต่อสู้กับบางสิ่งที่แม้แต่มั่วซินยังไม่สามารถต่อกรได้ ซึ่งในสายตาเขานี่เป็นการรนหาที่ตายชัดๆ
เฉวียนหลัวก็หรี่ตาพร้อมกับแววเยาะเย้ยโค้งที่มุมปาก ชัดว่ากำลังหัวเราะมู่เฉินที่ช่างอหังการเกินไป
“พี่ใหญ่ชิงซวง เขาจะทำได้เหรอ?” ชิงหลิงอดไม่ได้ที่จะดึงแขนเสื้อของชิงซวง แม้ว่าพวกนางจะเคยเห็นความแข็งแกร่งของมู่เฉินมาก่อนและในใจพวกนางมู่เฉินก็ไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่ามั่วซินและเฉวียนหลัว
แต่ศัตรูที่ต้องเผชิญในครั้งนี้น่ากลัวยิ่งกว่าเดิม ไม่เห็นหรือว่าแม้แต่มั่วซินที่ทรงพลังยังถูกซัดกระเด็นออกไปด้วยหมัดเดียว? นอกจากนี้ซือเทียนโยวยังไม่ได้เคลื่อนไหวเลยนะ
ชิงซวงก็เม้มริมฝีปากพร้อมกับความสับสนพล่านในหัวใจ แต่ในเวลานี้ไม่มีอะไรที่พวกนางสามารถทำได้ยกเว้นเชื่อในตัวมู่เฉิน
“ในเมื่อเขาตัดสินใจที่จะทำ ข้าเชื่อว่าเขาน่าจะมีความมั่นใจพอสมควร” ชิงซวงกล่าวว่า จากการรู้จักที่สัมผัสมาก่อนหน้า มู่เฉินมีพื้นนิสัยใจเย็นและไม่ประมาท การฝืนตัวในสนามรบไม่ใช่สิ่งที่เขาจะทำออกมาได้”
ชิงหลิงพยักหน้า นางทำได้แค่ปลอบใจตัวเองในเวลานี้
ทว่ามู่เฉินไม่ได้สนใจสายตาสงสัยที่จ้องมองมา สายตาของเขาจับจ้องไปที่ซือเทียนโยวตั้งแต่เริ่มต้น ด้วยแววตาแหลมคมราวกับเหยี่ยว
“อา แกนั่นเอง…”
ซือเทียนโยวรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นมู่เฉิน ก่อนที่จะหัวเราะออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง “แต่แกช่างกล้าที่สะเออะยืนหยัดต่อหน้าข้าแบบนี้”
ซือเทียนโยวมองไปที่ศพพร้อมกับหรี่ตายิ้ม “แกไม่รู้สึกถึงความแข็งแกร่งของมันเรอะ? หลังจากถูกข้าปรับแต่งแล้วตอนนี้พลังของมันมีมากกว่าเดิมหลายส่วนเลย”
มู่เฉินยิ้มเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น “แล้วยังไงล่ะ? ก็แค่ซากศพไม่ใช่ราชันที่แท้จริง”
“โอ้อวดซะเหลือเกิน” ซือเทียนโยวตอบเสียงเย็นเยือกเมื่อเห็นว่ามู่เฉินไม่สนใจศพราชันโดยสิ้นเชิง
“ข้าโอ้อวดหรือไม่ มาสู้กันเดี๋ยวก็รู้” มู่เฉินเยาะเย้ย
ซือเทียนโยวมองไปที่มู่เฉินอย่างเย็นเยือก ไอสังหารกะพริบผ่านดวงตาไป
วาบ!
จังหวะนั้นเองศพราชันก็พุ่งออกมายื่นมือแห้งเหี่ยวทะลุมิติตรงเข้าคว้าลำคอของมู่เฉิน
กรงเล็บทำให้มิติแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย พลังน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
ทว่ามู่เฉินได้ตั้งระวังศพราชันมานานแล้ว ดังนั้นเมื่อมิติแตกสลายเขาก็แตะปลายเท้าถอยออกไปทิ้งภาพมายาไว้เบื้องหลัง
ขณะที่ล่าถอย มู่เฉินก็รูดแหวนสีดำบนนิ้ว
ฮึ่ม
แสงพร่างพราวระเบิดออกบนท้องฟ้า ทุกคนพากันตกใจไปเมื่อเห็นร่างเงาหลายพันร่างยืนอยู่ในตำแหน่งเดิมของมู่เฉิน
เมื่อเงาร่างนับพันปรากฏขึ้นรัศมีจั้นยี่ยิ่งใหญ่ก็กวาดไปทั่วพื้นที่ทั้งหมด
ม่านตาของมั่วซินและเฉวียนหลัวหดเกร็งลงในขณะนี้ กระทั่งพวกเขาที่ใจเย็นก็ยังอกตกใจไม่ได้เมื่อเห็นนักรบหลายพันคนปรากฏตัวออกมา ยิ่งเมื่อรู้สึกถึงรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขต พวกเขาก็ต้องร้องอุทาน “รัศมีจั้นยี่? นี่คือกองทัพหรือเนี่ย?!”
ด้วยรัศมีจั้นยี่ที่ทรงพลังนี่จะต้องเป็นกองทัพชั้นยอดแน่นอน
ชิงหลิงและชิงซวงเบิกตากว้าง พักใหญ่กว่าจะร้องอุทานออกมา “เขาครอบครองกองทัพที่ทรงพลังเช่นนี้เชียวหรือ?”
รัศมีจั้นยี่ที่กระจายออกจากกองทัพนี้ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มอย่างชิงซวงยังรู้สึกหวาดกลัว
นี่คือกองทัพมังกรดำที่ปรากฏตัวบนท้องฟ้า โดยมีเจียงหลงยืนอยู่ด้านหน้า เขาหันไปมองมู่เฉินป้องมือคารวะ “จอมทัพมู่”
“จอมทัพมู่!”
นักรบมังกรดำหลายพันคนเปล่งเสียงดังกึกก้องออกมาอย่างเป็นระเบียบประหนึ่งเสียงฟ้าคำรนเลยทีเดียว กระบวนทัพนี้ทำให้ผู้คนมากมายตกตะลึง
มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ มองที่กองทัพมังกรดำก่อนจะยกคางขึ้นไปในทิศทางของศพ “แม่ทัพเจียงหลง เราได้พบเพื่อนเก่าอีกครั้งแล้ว”
เจียงหลงหันกลับไปมอง ดวงตาเต็มไปด้วยความเกลียดชังหลังจากเห็นซากร่างนั่น “จอมทัพมู่โปรดสั่งการเพื่อเราจะได้ฉีกศพเส็งเคร็งนั่นเป็นชิ้นๆ”
“ไอ้โง่ทั้งยวง รนหาที่ตาย!”
ซือเทียนโยวยิ้มน่าขนลุกก่อนที่จะสะบัดมือ “ฆ่าพวกมันทั้งหมดซะ!”
โฮก!
ศพคำรามลั่น รัศมีปีศาจเชี่ยวกรากพวยพุ่ง อึดใจมันก็พ่นควันปีศาจมหาศาลพุ่งใส่กองทัพมังกรดำ
หากนี่เป็นกองทัพธรรมดาปะทะกับศพราชันปีศาจละก็ อาจจะล่มสลายไปในพริบตาพร้อมกับกำลังใจทั้งหมดสูญเสีย แต่นี่คือกองทัพมังกรดำที่สามารถปราบปรามราชันปีศาจได้เมื่อในอดีต แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะยังไม่สามารถแสดงความแข็งแกร่งเต็มที่ในมือมู่เฉิน แต่ราชันปีศาจตัวนี้ก็เป็นเพียงศพ
“สู้!”
เจียงหลงคำราม นักรบมังกรดำหลายพันคนก็ปลดเปล่งเสียงตะโกน อึดใจต่อมารัศมีจั้นยี่เชี่ยวกรากก็กลายเป็นมหาสมุทรไร้ขอบเขต ขณะที่ม้วนตัว แม้แต่มิติก็ทนรับไม่ได้
นี่เป็นครั้งแรกที่มู่เฉินรวมตัวกับรัศมีจั้นยี่มังกรดำ สัมผัสถึงพลังอันไร้ขอบเขต เพียงแค่คิดกรงเล็บมังกรที่ปกคลุมไปด้วยลวดลายจั้นเหวินนับไม่ถ้วนก็เหยียดขึ้นจากมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่พุ่งไปในทิศทางของศพราชันปีศาจ
“โฮก!”
ศพคำรามไม่ได้ถอยกลับ มันเหวี่ยงฝ่ามือออกไปเพื่อตอบโต้ กำปั้นแห้งเหี่ยวปะทะกับกรงเล็บของมังกรจังใหญ่
ครืนๆๆๆ!
ขณะที่พลังสองสายปะทะกันก็เกิดเสียงสนั่นหวั่นไหว ศพราชันปีศาจก็หยุดชะงัก ทว่ากรงเล็บมังกรถูกผลักกลับไป มิหนำซ้ำยังมีรอยแตกกระจายออกราวกับว่ากำลังจะแตกสลาย
มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะหดดวงตากับฉากนี้ “พลังของศพนั่นแข็งแกร่งขึ้นมากจริงๆ”
ย้อนไปในมิติมังกรดำ แม้ว่าศพราชันปีศาจจะไม่อ่อนแอ แต่ก็อยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มระยะปลายสุดเท่านั้น แต่หลังจากได้รับการปรับแต่งโดยซือเทียนโยว ก็แข็งแกร่งกว่าระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มระยะปลายสุดธรรมดาไปเล็กน้อย
แม้ว่าจะเล็กน้อย แต่ก็ทำให้ไม่มีใครในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มจะเทียบได้
“จอมทัพมู่ ซือเทียนโยวคงจะใช้ทักษะลับกระตุ้นพลังงานที่เหลืออยู่ในศพ ข้าเกรงว่านักรบมังกรดำสามพันคนจะไม่เพียงพอที่จะปราบแล้ว” เสียงของเจียงหลงซึ่งถูกห่อหุ้มด้วยคลื่นหลิงดังก้องในโสตประสาทของมู่เฉิน
เห็นได้ชัดว่าเขาก็รู้สึกเช่นกันที่ศพราชันปีศาจแข็งแกร่งขึ้นมาก
มู่เฉินพยักหน้าขณะคลี่ยิ้ม “ในเมื่อสามพันสู้ไม่ได้… ก็เพิ่มไปอีกสองพัน!”
เจียงหลงอึ้งไปจากนั้นก็รีบตอบ “แต่ด้วยความแข็งแกร่งปัจจุบันของจอมทัพมู่ นักรบสามพันคนเป็นขีด จำกัดแล้ว มิฉะนั้นจะโดนผลกระทบย้อนกลับได้ง่ายนะขอรับ”
มู่เฉินยิ้มบางขณะที่มู่เฉินชุดดำและชุดขาวปรากฏขึ้นข้างกาย เขาคนเดียวสามารถควบคุมกองทัพมังกรดำสามพันคนเท่านั้น แต่ถ้าสามคนล่ะ
ด้วยความช่วยเหลือของพวกเขา การควบคุมนักรบมังกรดำห้าพันคนก็ไม่เป็นปัญหา
มู่เฉินโบกมือแสงเปล่งออกมาจากแหวนมังกรดำอีกครั้ง อึดใจนักรบอีกสองพันนายก็ปรากฏขึ้น
เมื่อจำนวนนักรบเพิ่มขึ้นก็ทำให้สีหน้าทุกคนเปลี่ยนไป มากจนกระทั่งใบหน้าของมั่วซินและเฉวียนหลัวบิดเบี้ยวจนน่าเกลียดไปหมด
แม้ว่าพวกเขาจะหวาดเกรงกับกองทัพมังกรดำสามพันคนก่อนหน้า แต่ก็ยังไม่เพียงพอจะให้พวกเขารู้สึกกลัว แต่ด้วยจำนวนที่เพิ่มขึ้นอีกสองพันคน ทำให้ขนาดของรัศมีจั้นยี่น่าสะพรึงไปทั้งหัวใจ
‘ไอ้เวรนี่ไปได้กองทัพชั้นยอดนี่มาจากไหน?!’ หัวใจของมั่วซินดิ่งลึกลงราวกับมหาสมุทรขณะที่เขากรีดร้องอยู่ในใจ ในฐานะประมุขน้อยตระกูลมั่วเผ่าฝูถู เขารู้ชัดถึงคุณค่าของกองทัพชั้นยอดนี่
ใบหน้าของเฉวียนหลัวก็สลับไปมาระหว่างเขียวกับขาว ขณะที่มองมู่เฉินอย่างเย็นชา ยามนี้เขารู้สึกหน้าชาไปหมด ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาดูถูกมู่เฉิน เนื่องจากตัวเขาโดดเด่นที่สุดในบรรดาจอมยุทธ์รุ่นใหม่ของเผ่าฝูถู ซึ่งแม้แต่มั่วซินก็แทบจะไม่สามารถแข่งขันกับเขาได้
สำหรับมู่เฉิน เขายิ่งมองอย่างดูถูก รู้สึกว่าตราบใดที่ปะทะกันก็จะสามารถซัดมู่เฉินหมอบราบคาบแก้วอย่างง่ายดาย
ดังนั้นสายตานิ่งสงบที่มองมู่เฉินจึงได้แฝงความเย่อหยิ่ง แต่ตอนนี้จู่ๆ เขาก็ตระหนักได้ว่าตนเองน่าหัวเราะแค่ไหน
นั่นเป็นเพราะพลังที่เขาภาคภูมิใจไม่เป็นภัยคุกคามต่อมู่เฉินแม้แต่น้อย
พลังที่อีกฝ่ายแสดงออกมาไม่ได้อ่อนแอไปกว่าตัวเขาเลย!
การเทียบนี้ทำให้ใบหน้าของเฉวียนหลัวมืดครึ้มพร้อมกับไอเย็นเยือกวูบไหวในดวงตา
เขารู้สึกว่าภัยคุกคามที่มาจากมู่เฉินยิ่งใหญ่กว่ามั่วซินเสียอีก!
ตู้ม!
ขณะที่หัวใจของมั่วซินและเฉวียนหลัวเต้นรัว นักรบมังกรดำทั้งห้าพันคนก็รวบรวมรัศมีจั้นยี่เข้าด้วยกัน ทันใดนั้นสวรรค์และโลกก็เปลี่ยนไป ความกดดันที่น่ากลัวแผ่ขยายออกไปรุนแรง ทำให้ทุกคนรู้สึกถึงแรงกดดันรุนแรง
มู่เฉินอยู่เหนือกองทัพ ส่วนมู่เฉินชุดดำและชุดขาวนั่งอยู่ท่ามกลางรัศมีจั้นยี่ขนาดใหญ่ ช่วยเขาแบ่งเบาภาระนี้ ขณะที่รู้สึกถึงรัศมีจั้นยี่ที่ยิ่งใหญ่และทรงพลัง มู่เฉินก็หายใจออกเบาๆ
ระดับของรัศมีจั้นยี่นี้น่าจะเป็นขีดจำกัดในปัจจุบันของเขา ด้วยสิ่งนี้เขาถึงมีพลังพอจะเผชิญหน้ากับศพราชันปีศาจได้
ดังนั้นเมื่อเขากวาดสายตาจ้องมองใบหน้าซือเทียนโยวที่เปลี่ยนไป เสียงหัวเราะแผ่วเบาก็สะท้อนไปมา
“มาลองกันอีกรอบไหมล่ะ?”
บทที่ 1332 พลังอำนาจพายุหลอมวิญญาณ
“มาลองกันอีกรอบไหมล่ะ?”
เมื่อได้ยินคำถามยั่วยุจากมู่เฉิน สายตาของซือเทียนโยวก็กะพริบด้วยแสงเย็นเยือกขณะที่ยิ้มน่าขนลุก “แกคิดว่าแค่เพิ่มจำนวนคนก็สู้กับข้าและศพราชันปีศาจได้แล้วเรอะ? ปัญญาอ่อนจริงๆ!”
หลังจากพูดจบก็โบกมือพูดเสียงเหี้ยม “สังหารไอ้กองทัพเส็งเคร็งนี่ทั้งหมด ไม่ต้องไว้ชีวิตใคร!”
โฮก!
ศพคำรามพร้อมกับรัศมีปีศาจเชี่ยวกรากแผ่ออกมาจากโครงกระดูก สร้างความหายนะระหว่างสวรรค์และโลก ทำให้สั่นสะเทือนไปหมด
เมื่อเผชิญหน้ากับแรงกดดันนี้ ใบหน้าของจอมยุทธ์มหาพันภพก็เปลี่ยนไป ดวงตาแต่ละคนพล่านด้วยความกลัว แม้แต่ท่าทางของมั่วซินและเฉวียนหลัวก็ดิ่งลง
ฟิ้ว!
ศพราชันปีศาจกลายเป็นลำแสง ขณะที่ทะยานไปยังกองทัพมังกรดำที่มีนักรบที่แข็งแกร่งถึงห้าพันคน
“หึ”
มู่เฉินเค้นเสียงขึ้นจมูก รัศมีจั้นยี่จากนักรบมังกรดำห้าพันคนก็พวยพุ่งสูง ทำให้สวรรค์และโลกเปลี่ยนสี ขณะที่มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่คำรามรุนแรง มังกรขนาดใหญ่เหยียดหัวออกเปิดปากกว้างพร้อมกับลมปราณมังกรที่ยาวเหยียดไม่สิ้นสุดพุ่งเข้าใส่ราชันปีศาจที่ตะลุยเข้ามาด้วยคลื่นทำลายล้าง
“โฮก!”
ราชันปีศาจคำราม แต่ก็ไม่ได้ถอย เผชิญหน้ากับรัศมีจั้นยี่ลมปราณมังกร มันก็เปิดปากควันปีศาจขนาดใหญ่พวยพุ่งออกมาปะทะกัน
ครืน!
จังหวะที่พลังงานสองสายสัมผัสกันนั้น ทั่วบริเวณก็โยกคลอนไปหมด พายุเฮอริเคนที่ไม่สามารถบรรยายได้สร้างความหายนะให้กับผู้คนจำนวนมากที่อยู่ด้านล่าง คลื่นกระแทกซัดเข้าใส่พวกเขา
ทว่าแม้จะถูกเป่ากระเด็น แต่ทุกคนก็ยังจับจ้องไปที่การปะทะกัน
เมื่อพายุเฮอริเคนหายไป ลมปราณมังกรและควันปีศาจก็ยังคงอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่จะกระจัดกระจาย มองจากรูปลักษณ์แล้วเสมอกัน!
เห็นได้ชัดว่าเมื่อบวกนักรบอีกสองพันคน รัศมีจั้นยี่ก็สามารถเผชิญหน้ากับศพราชันปีศาจได้
ดังนั้นเสียงโห่ร้องจึงดังขึ้นรอบแท่นบูชา คนที่รู้สึกหวาดกลัวกับการปรากฏของศพราชันปีศาจในตอนแรกก็รู้สึกโล่งใจลงมาก
“เขาทำได้จริงๆ!” ชิงหลิงเบิกตากว้างด้วยความไม่เชื่อเขียนอยู่บนใบหน้า
นั่นคือศพราชันปีศาจเชียวนะ! แม้แต่มั่วซินยังถลาออกไป แต่มู่เฉินกลับสามารถต้านทานได้ด้วยกองทัพ!
ชิงซวงกัดริมฝีปากขณะที่มองร่างอ่อนเยาว์ด้วยสายตาซับซ้อน เห็นได้ชัดว่าฉากนี้ส่งผลกระทบต่อนางอย่างมาก
เทียบกับคำอุทานชื่นชมของพวกนาง ใบหน้าของมั่วซินและเฉวียนหลัวกลับมืดครึ้มราวกับก้นหม้อ ในอดีตพวกเขาจะเป็นจุดสนใจของทุกคน แต่วันนี้พวกเขาดันตกเป็นผู้สังเกตการณ์
เสียงโห่ร้องโดยรอบทำเอาซือเทียนโยวขมวดคิ้ว ก่อนที่จะมองไปที่มู่เฉินด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แม้ว่าเขาจะได้รับศพราชันปีศาจมา แต่มู่เฉินก็ได้รับกองทัพยิ่งใหญ่ที่เคยสังหารจอมปีศาจผู้นี้ในอดีต
ด้วยความแข็งแกร่งของกองทัพนี้ มู่เฉินไม่จำเป็นต้องกลัวศพราชันปีศาจเลย!
ดวงตาของซือเทียนโยวกะพริบก่อนที่จะกวาดสายตาไปที่โลงศพสีดำบนแท่นบูชาด้วยความโลภ นั่นคือเศษวิญญาณจอมปีศาจระดับเทียน! หากเขาได้รับและปรับแต่งได้สำเร็จ เขาจะสามารถก้าวเข้าสู่ระดับราชันได้!
ดังนั้นไม่ว่ายังไงเขาจะต้องได้รับเศษวิญญาณจอมปีศาจนั่น!
เขาโบกมือ ศพราชันปีศาจก็พุ่งเข้าหากองทัพอีกครั้ง ขณะที่ตัวเขามุ่งหน้าไปยังจุดสูงสุดของแท่นบูชา
การกระทำนี้ทำให้ผู้คนตกตะลึงหวาดหวั่น เหล่าจอมยุทธ์มหาพันภพรู้ว่าถ้าซือเทียนโยวทำลายโลงศพ ปลดปล่อยเศษวิญญาณออกไป ไม่มีใครที่อยู่นี่ที่จะมีชีวิตอยู่ต่อได้!
สายตาของมั่วซินและเฉวียนหลัวเปลี่ยนไปก่อนที่เคลื่อนไหว ตั้งใจที่จะขัดขวางซือเทียนโยว เนื่องจากพวกเขารู้ว่ามีผู้สืบทอดได้เพียงหนึ่งเดียว ดังนั้นผู้ที่มีผลงานยอดเยี่ยมที่สุดจะมีโอกาสได้รับสูง ตอนนี้มู่เฉินกำลังยุ่งอยู่กับศพราชันปีศาจ พวกเขาก็สามารถฉวยโอกาสนี้เพื่อคว้าผลประโยชน์ได้!
“ไปไหน!”
แต่เมื่อพวกเขาเคลื่อนไหว จอมยุทธ์เผ่าปีศาจสองคนก็ปรากฏตัวตรงหน้า ขัดขวางทั้งสองไว้
“ไสหัวไป!”
มั่วซินและเฉวียนหลัวแผดเสียง พายุคลื่นหลิงกวาดไปหาจอมยุทธ์เผ่าปีศาจทั้งสอง
ตู้ม ตู้ม!
ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงเข้าโรมรันพันตูกันอีกครั้ง ความปั่นป่วนสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ว
มู่เฉินก็เห็นการเคลื่อนไหวของซือเทียนโยวเช่นกัน ทันใดนั้นสายตาก็หดเกร็ง เขารู้ดีถึงความตั้งใจของอีกฝ่าย ดังนั้นจึงไม่มีทางปล่อยให้ซือเทียนโยวทำสำเร็จอย่างแน่นอน
มู่เฉินทะยานออกไป แยกตัวออกจากกองทัพ ร่างกลายเป็นลำแสงพุ่งไปที่แท่นบูชา สำหรับกองทัพมังกรดำมีร่างรองของเขาควบคุม แม้ว่าจะไม่ง่ายเมื่อเทียบกับสามคนควบคุม แต่ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับพวกเขาในการควบคุมรัศมีจั้นยี่เพื่อขัดขวางศพราชันปีศาจเอาไว้
มู่เฉินพุ่งลงไปบนแท่นสายตาจ้องเขม็งที่ซือเทียนโยว
อีกฝ่ายก็หยุดมองมาด้วยแววตาอันตราย “แกช่างกล้านัก กล้าแยกตัวออกจากกองทัพเพื่อมาหยุดข้าด้วยตัวคนเดียวเนี่ยนะ? ด้วยขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายนี่นะเหรอ?”
มู่เฉินยิ้มขณะที่ตอกกลับ “ได้ลองก็รู้เอง”
“ถ้างั้นข้าขอลองดูเลยละกัน!”
ซือเทียนโยวแสยะยิ้มน่ากลัว จากนั้นร่างก็หายไป ขณะที่มิติสั่นไหวก็สามารถมองเห็นเงาแสงเลือนรางพุ่งทะลุมิติทะยานเข้าใส่มู่เฉินเต็มแรง
มู่เฉินสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ฝ่าเท้ากระแทกลงไป สัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนบินฉวัดเฉวียนออกไปรวมเข้ากับสภาพแวดล้อม
“ค่ายกลเพลิงทะยาน!”
ขณะที่มู่เฉินคำราม ค่ายกลขนาดใหญ่ก็ก่อร่างพร้อมกับพลังงานหลิงไร้ขอบเขตรวบรวมเข้าด้วยกัน เป็นร่างมหึมาปลดปล่อยอุณหภูมิที่น่าสะพรึงกลัวที่เบื้องหน้าพลางชกหมัดออกไปในทิศทางของมิติที่กำลังบิดเบือน
ปัง!
มิติแตกเป็นเสี่ยงๆ ร่างซือเทียนโยวปรากฏตัวขึ้น เขามองไปที่ค่ายกลเพลิงทะยานที่พวยพุ่ง แสงเย็นเยือกวูบไหวในดวงตา เขางอเข่าลงเล็กน้อยเขา กลายเป็นภาพลวงตาเผยตัวที่เบื้องหน้าร่างมหึมาในอึดใจต่อมา
มือราวกับใบมีดห่อหุ้มด้วยรัศมีความตายที่น่ากลัว แทงทะลุมิติเสือกเข้าไปที่หน้าอกของร่างมหึมานั้นทันที
เมื่อรัศมีความตายแผ่ออก ร่างยักษ์มหึมาก็สลายไปพร้อมกับค่ายกลเพลิงทะยาน
“ทรงพลังมาก!”
มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะหดตากับฉากนี้ เนื่องจากเขาไม่คิดว่าซือเทียนโยวจะทรงพลังขนาดนี้ ค่ายกลเพลิงทะยานกักเขาได้เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนที่จะแตกเป็นเสี่ยงๆ!
“แกเป็นรายต่อไป!”
ทำลายค่ายกลเพลิงทะยานเรียบร้อย ซือเทียนโยวก็คลี่ยิ้มน่าขนพองสยองเกล้ามาปรากฏตัวตรงหน้ามู่เฉิน จากนั้นก็กระแทกฝ่ามือออกไปพร้อมกับกลิ่นอายความตายเชี่ยวกราก ซึ่งดูเหมือนว่าสามารถกลืนกินพลังทั้งหมดได้
สายตาของมู่เฉินวาบขึ้นกับฉากนี้ ก่อนที่ผลึกคลื่นหลิงจะมาบรรจบกัน มือทั้งสองข้างของเขากลายเป็นผลึกแก้วใส ขณะที่เผชิญหน้ากับฝ่ามือของซือเทียนโยว
ตู้ม!
พื้นใต้เท้าพวกเขาซึ่งสร้างจากวัสดุพิเศษแตกออก เมื่อรัศมีความตายหนาแน่นห่อหุ้มฝ่ามือของมู่เฉินกลืนกินพลังชีวิตของเขาอย่างต่อเนื่อง
ทว่าผลึกแสงก็เบ่งบานจากฝ่ามือของมู่เฉิน พยายามปิดผนึกรัศมีความตายไว้
เมื่อฝ่ามือทั้งสองปะทะกัน ดวงตาของมู่เฉินก็วาบแสง เจดีย์เทพทะยานออกมาขยายตัวเป็นเจดีย์ขนาดใหญ่ห่อหุ้มมู่เฉินและซือเทียนโยวเอาไว้
การเปลี่ยนแปลงกะทันหันทำให้ซือเทียนโยวขมวดคิ้ว มู่เฉินจงใจรับกระบวนการของเขาซึ่งหน้าเพื่อที่จะดักจับเขาไว้ในเจดีย์
กลิ่นอายความตายปกคลุมซือเทียนโยวขณะที่สายตามองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง อึดใจต่อมาเขาก็จับจ้องไปที่ลูกกลมผลึกแก้วใสซึ่งมีเส้นใยสายลมสีเหลืองส่งเสียงหวีดหวิวอยู่ภายใน
ซือเทียนโยวรู้สึกหนังหัวลุกชันไปหมดกับสายลมนี้
“รู้สึกได้แล้วเหรอ?”
มู่เฉินยิ้มบาง จากนั้นก็วาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว ลูกกลมแสงที่ลอยอยู่เหนือเจดีย์เทพเริ่มจางหายไป ปลดปล่อยพายุที่ปิดผนึกอยู่ภายใน
หวือ หวือ!
เมื่อผนึกหายไป พายุหลอมวิญญาณที่ดักอยู่ภายในก็ส่งเสียงครางกระหึ่ม ด้วยความคิดเข้าควบคุม พลังงานปิดผนึกก็กระจายออกในเจดีย์พุทธะ จำกัดพายุหลอมวิญญาณให้ห่อหุ้มไปทางซือเทียนโยว
ภายในเจดีย์ พายุสีเหลืองสร้างหายนะไปทั่ว ปลดปล่อยรัศมีน่ากลัวออกมา
เมื่อเห็นพายุนี้ ใบหน้าของซือเทียนโยวก็เปลี่ยนไปอย่างควบคุมไม่ได้ เขาไม่กล้าที่จะชักช้า หายใจเข้าลึกสุดปอด รัศมีศพไม่สิ้นสุดพ่นออกมาจากปากเขา ก่อตัวเป็นมหาสมุทรปกป้องเขาไว้ภายใน
ขณะที่ซือเทียนโยววาดกระบวนท่าป้องกันตัว พายุหลอมวิญญาณก็กวาดเข้ามา ซัดเข้าที่มหาสมุทรรัศมีศพไม่ยั้ง
มู่เฉินมองไปที่ฉากเบื้องหน้าอย่างอยากรู้ เขาอยากเห็นว่า ‘พายุหลอมวิญญาณ’ ที่เขาได้ผนึกจากแรงกระตุ้นกะทันหันในตอนนั้นจะทรงพลังเพียงใด
บทที่ 1333 กราบศพเทพสามครั้ง
หวือ หวือ!
พายุสีเหลืองคำรามลั่นในเจดีย์ ขณะที่พัดเข้าหามหาสมุทรรัศมีศพ สีหน้าของซือเทียนโยวที่ยืนอยู่ในมหาสมุทรซากศพก็เคร่งเครียดลงหลายส่วน ราวกับว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
ชี่ ชี่!
ทันใดนั้นเมื่อพายุสีเหลืองสัมผัสกับรัศมีศพ รัศมีที่หนาแน่นก็สลายไปอย่างรวดเร็ว
ความรู้สึกนั้นราวกับหิมะต้องลาวา
ดวงตาของมู่เฉินสว่างวาบกับภาพเบื้องหน้า พายุหลอมวิญญาณไม่เพียงแต่ละลายคลื่นหลิง แต่ยังมีผลเช่นเดียวกันกับรัศมีศพด้วย
จากการแลกกระบวนท่าเมื่อครู่ มู่เฉินได้ลิ้มรสความแข็งแกร่งของรัศมีศพแล้ว สิ่งนี้เต็มไปด้วยความสามารถในการกัดกร่อนและยังกลืนกินพลังชีวิตอีกด้วย หากไม่ใช่เพราะคลื่นหลิงเขาถูกขยายผ่านเจดีย์พุทธะเพิ่มพลังผนึกเข้าไปละก็ เขาคงต้องทนทุกข์ทรมานในสิ่งนี้อย่างแน่นอน
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับพายุหลอมวิญญาณ รัศมีศพของซือเทียนโยวก็สลายหายไปอย่างรวดเร็ว
ภายใต้แนวปกป้องของรัศมีศพ สีหน้าของซือเทียนโยวก็ดูน่าเกลียดมาก พายุหลอมวิญญาณนี้ทำให้เขาตั้งตัวไม่ทัน
ชี่!
พายุสีเหลืองกวาดออกอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ผลกระทบของการละลายจากพายุหลอมวิญญาณ รัศมีศพรอบร่างซือเทียนโยวก็สลายลงไปเรื่อยๆ
ไม่ว่าซือเทียนโยวจะพยายามเสริมรัศมีศพอย่างไร ก็ไม่สามารถขัดขวางการสลายตัวนี้ได้
ดังนั้นไม่กี่นาทีต่อมารัศมีศพรอบตัวก็หมดลงอย่างสมบูรณ์ เผยให้เห็นร่างของซือเทียนโยว
“ไป”
มู่เฉินชี้นิ้วด้วยสายตาเย็นชา พายุหลอมวิญญาณก็ส่งเสียงหวีดหวิวพุ่งเข้าไป ก่อนหน้านี้เพียงแค่จัดการแนวป้องกันของซือเทียนโยว ลำดับต่อไปต้องทำให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บสาหัส
พายุสีเหลืองล้อมรอบร่างซือเทียนโยวที่พยายามหลบหนี ทันใดนั้นเสื้อผ้าของเขาก็ขาดวิ่นเผยให้เห็นร่างซีดแห้งเหี่ยว แม้จะดูผอมราวกับโครงกระดูก แต่ก็มีแสงสีดำกะพริบอยู่บนพื้นผิวทำให้ดูเหมือนเหล็กกล้าที่ทนทาน
แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับพายุหลอมวิญญาณ
เส้นใยพายุสีเหลืองกวาดผ่านร่างซือเทียนโยว ผิวซีดของเขาก็ฉีกออกจากกัน บาดแผลเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแสดงสัญญาณว่ากำลังสลายกลายเป็นฝุ่น
ซือเทียนโยวพยายามหลบหนี แต่พายุหลอมวิญญาณก็ตามติดไปอย่างใกล้ชิด
การไล่ล่าครั้งนี้กินเวลาไม่กี่นาที ร่างซือเทียนโยวก็กลายเป็นสภาพน่าสมเพช ทั่วร่างเต็มไปด้วยบาดแผล แม้แต่รัศมีศพที่ปกคลุมก็เบาบางลง
เผชิญหน้ากับพายุหลอมวิญญาณที่ไม่สามารถป้องกันได้ แม้แต่ซือเทียนโยวก็ทำอะไรไม่ถูก
“ฉิบหาย!”
ซือเทียนโยวคำราม ถ้าเป็นการปะทะซึ่งหน้า เขาก็ไม่กลัวแม้แต่น้อย แต่พายุสีเหลืองที่ผิดปกตินี้ กลับทำให้เขารู้สึกที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“เป็นแบบนี้ต่อไม่ได้!” ซือเทียนโยวคำรามในใจ หากเขายังคงวิ่งหนีพายุหลอมวิญญาณที่ควบคุมโดยมู่เฉินไปเรื่อยๆ แบบนี้ ไม่นานรัศมีศพของเขาก็จะหมดลงอย่างสมบูรณ์ ตอนนั้นเขาคงนอนเป็นปลาบนเขียงให้มู่เฉินแล่เนื้อเถือหนังตามใจชอบ
สายตาของซือเทียนโยววูบไหว ในเวลาต่อมาก็กัดฟันกรอดราวกับว่าได้ตัดสินใจแล้ว
อึดใจต่อมามือเขาก็ประสานกันรัศมีศพหนาแน่นหลั่งไหลออกมาจากรูขุมขน ก่อนที่จะกลายเป็นรังไหมห่อหุ้มเขาไว้
“โล่กำเนิดศพ!”
เมื่อรังไหมห่อหุ้มตัวเอาไว้ เสียงของซือเทียนโยวก็ดังออกมาเบาๆ
ทว่าพายุหลอมวิญญาณก็สลายรังไหมไปอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อถูกสลายไปก็มองเห็นแต่โครงกระดูกแห้ง ร่างของซือเทียนโยวอันตรธานหายไป
ม่านตามู่เฉินหดลงกับภาพที่เห็น ก่อนที่จะสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง ใบหน้าเขาเปลี่ยนไป “เขาหนีออกจากเจดีย์ไปแล้วเหรอเนี่ย?”
เขาสัมผัสได้ถึงรัศมีศพที่เป็นของซือเทียนโยวที่ด้านนอกเจดีย์
“ทักษะทดแทนเรอะ? แปลกประหลาดเหลือเกิน” ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งเครียดลง เนื่องจากกระบวนท่าของซือเทียนโยวครั้งนี้พิเศษอย่างมาก โครงกระดูกนี้แลกชีวิตแทน ส่วนตัวเขาหนีออกมาได้อย่างปลอดภัย
ในขณะที่มู่เฉินตื่นตะลึงกับวิธีดังกล่าว เขาก็รู้สึกโชคดีที่สามารถบีบให้ซื้อเทียนโยวใช้วิธีนี้กับพายุหลอมวิญญาณ หากอีกฝ่ายใช้ในช่วงเวลาสำคัญก็จะสามารถหลอกตาได้อย่างสมบูรณ์และใช้โอกาสนี้ในการโจมตี เพื่อพลิกสถานการณ์
“แต่กระบวนท่านี้ต้องมีขอบเขตจำกัด ดังนั้นซือเทียนโยวคงไม่สามารถใช้ได้อีก”
มู่เฉินครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนที่จะมองพายุหลอมวิญญาณในเจดีย์ด้วยรอยยิ้ม ที่จริงซือเทียนโยวผวาพายุนี้มาก หลังจากที่ตกไปในสภาพน่าสมเพช หากเขาสงบสติอารมณ์และสังเกตดีๆ ก็จะตระหนักว่าแม้ว่าพายุหลอมวิญญาณจะทรงพลัง แต่เป็นสิ่งที่มีจำกัด เป็นเพียงเรื่องเวลาที่มันจะหมดไป
นั่นเป็นเพราะตอนนี้พายุหลอมวิญญาณเริ่มเบาบางลงเมื่อเวลาผ่านไป
แต่โชคดีที่มู่เฉินบรรลุเป้าหมายเสียก่อน
เขาสะบัดแขนเสื้อ เจดีย์ก็หดตัวลงอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะพุ่งเข้ามาสถิตในนัยน์ตา ตัวเขาก็ปรากฏบนแท่นบูชาอีกครั้งพลางมองไปที่ซือเทียนโยวด้วยสายตาเยาะเย้ย
ตอนนี้ซือเทียนโยวดูน่าอนาถมาก ร่างกายซูบซีดปกคลุมไปด้วยบาดแผล เนื้อเต้นยุบยับพยายามที่จะฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากความเสียหาย
โห่
ทุกคนรอบแท่นบูชาพุ่งความสนใจมายังการเผชิญหน้ากันของทั้งสองพร้อมกับแววตาตกตะลึง พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าในเวลาเพียงสิบนาทีหลังจากที่มู่เฉินดึงซือเทียนโยวเข้าไปในเจดีย์ อีกฝ่ายจะกลับออกมาด้วยสภาพเช่นนี้
เกิดอะไรขึ้นในเจดีย์กันถึงทำให้ซือเทียนโยวดูน่าสมเพชขนาดนี้?
ผู้คนแลกเปลี่ยนสายตากันด้วยความสงสัยพล่านในหัวใจ ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่ามู่เฉินช่างลึกล้ำและไม่อาจหยั่งรู้ได้
มั่วซินและเฉวียนหลัวที่กำลังต่อสู้ก็รู้สึกตกใจ จากนั้นความรู้สึกหวาดผวาหนักจากวิธีของมู่เฉินก็ผุดขึ้นในใจ
ขณะที่เนื้อสีซีดเต้นยุบยับ ซือเทียนโยวก็เขม่นมองมู่เฉินด้วยสายตาน่ากลัวยิ่งขึ้น ตอนนี้เขาราวกับหมาป่าดุร้ายที่กำลังวางแผนการตอบโต้ ขณะที่เลียบาดแผลของตัวเองไปด้วย
“ไม่คิดว่าจะมีวันที่ข้าซือเทียนโยวตกอยู่ในสภาพที่น่าสมเพชเช่นนี้” เสียงของซือเทียนโยวฟังราวกับสะท้อนมาจากนรก จิตสังหารเข้มข้นทำเอาหัวใจของผู้คนต้องตัวแข็งทื่อ
เมื่อเห็นสายตาของซือเทียนโยว ม่านตามู่เฉินก็หดลงก่อนที่ร่างกายจะค่อยๆ เกร็งเครียดขึ้น ยามนี้ซือเทียนโยวราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะคลั่ง
ทันใดนั้นดวงตาของซือเทียนโยวก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาว ไม่กี่ลมหายใจต่อมาทั้งนัยน์ตาก็ขาวโพลนพร้อมกับรูม่านตาหายไป
ดวงตาสีขาวคู่นั้นประหนึ่งดวงตาเทพแห่งความตาย เปล่งรัศมีความตายที่น่ากลัวออกมา
เมื่อมองไปที่ดวงตาคู่นั้น คลื่นหลิงก็พวยพุ่งออกมาจากร่างของมู่เฉินทันที กลายเป็นร่างสีม่วงทองที่เบื้องหลัง เขาเร้าร่างเทพสุริยะนิรันดร์ออกมาทันที
นั่นเป็นเพราะเขาสัมผัสได้ถึงอันตรายที่ไม่อาจอธิบายได้จากดวงตาคู่นั้น ทำให้เขาเรียกร่างเทพสุริยะนิรันดร์ออกมาโดยสัญชาตญาณเพื่อได้รับการป้องกันที่ทรงพลังที่สุด
ร่างของซือเทียนโยวค่อยๆ ลอยขึ้นก่อนที่จะคุกเข่าบนท้องฟ้าพร้อมกับร่างแห้งเหี่ยวยิ่งเหี่ยวเฉาลงเรื่อยๆ ราวกับว่าพลังทั้งหมดในเนื้อหนังถูกบีบออก
ร่องรอยสีซีดเล็ดลอดออกมาจากเนื้อหนัง ก่อนที่จะหลอมรวมกับรัศมีศพข้างหลัง ค่อยๆ ก่อร่างเป็นยักษ์สีซีดที่มีความสูงพันจั้ง
ร่างยักษ์พร่าเลือนดูเหมือนจะสวมมงกุฎสีดำถือเคียวสีขาวพร้อมปลดปล่อยรัศมีความตายดุเดือดรุนแรง มองคล้ายเทพแห่งความตายยาตราขึ้นมาบนโลกมนุษย์
รัศมีความตายไม่มีที่สิ้นสุดกระจายไปทั่วสวรรค์และโลก ทำให้การต่อสู้บริเวณโดยรอบหยุดชะงักลง คนทั้งหมดพุ่งมองไปที่แท่นบูชาด้วยสายตาหวาดผวา
“นั่นมันอะไร?”
เมื่อมั่วซินและเฉวียนหลัวเห็นเงายักษ์นั้น สายตาก็ปรากฏความตกตะลึง ชัดว่ารู้สึกถึงกลิ่นอายอันตรายหนาแน่นจากบนนั้น
เมื่อจอมยุทธ์เผ่าเหยียนหมัวและเผ่าเตาหมัวเห็นภาพนี้ ความกลัวก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ก่อนที่พวกเขาจะแลกสายตาอุทานขึ้นว่า “ซือเทียนโหยวเรียนรู้ทักษะเทพของเผ่าซือหมัวได้สำเร็จหรือเนี่ย!”
พวกเขาอดไม่ได้ที่จะฉายแววตกตะลึงมองไปที่มู่เฉิน การที่จะบังคับซือเทียนโยวมาถึงจุดนี้ได้ ชายหนุ่มคนนั้นจะต้องมีพลังน่าเหลือเชื่อ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัว เขารู้สึกโชคดีที่ตอนต่อสู้กับมู่เฉิน อีกฝ่ายไม่ได้จริงจัง ไม่เช่นนั้นเขาไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าจะหลบหนีออกมาได้
กระทั่งจอมยุทธ์ที่ทรงพลังอย่างซือเทียนโยวยังถูกบังคับให้ต้องใช้ทักษะนี้ ดังนั้นสามารถจินตนาการได้ว่ามู่เฉินร้ายกาจแค่ไหน
ท่ามกลางสายตาตกตะลึงมากมาย ม่านตามู่เฉินก็หดเกร็งลง รังสีอันตรายนั้นทำให้หัวใจเขาเต้นไม่เป็นส่ำ จากนั้นเขาก็หายใจเข้าลึก รหัสเทพอมตะหลายสิบลวดลายเริ่มรวมตัวเป็นหอกยาวซัดใส่ซือเทียนโยว
เขาต้องหยุดไม่ให้อีกฝ่ายทำสำเร็จ
ปัง!
แต่หอกกลับแตกออกเมื่ออยู่ห่างจากซือเทียนโยวอีกหลายสิบจั้ง ก่อนที่สลายเป็นอากาศธาตุ
ซือเทียนโยวไม่ได้สนใจกับการรบกวนของมู่เฉิน ดวงตาสีขาวขุ่นจ้องมองมู่เฉินโดยไม่มีริ้วอารมณ์ใดๆ จากนั้นเขาก็คุกเข่าลงไปในทิศทางของมู่เฉิน
ขณะเดียวกันร่างยักษ์ที่อยู่ข้างหลังก็ทำเช่นกัน
เสียงที่อัดแน่นด้วยเจตนาฆ่าไร้ขอบเขตสะท้อนออกมา
“กราบศพเทพสามครั้ง!”
บทที่ 1334 ทักษะศพเทพ
“กราบศพเทพสามครั้ง!”
เมื่อเสียงแหบแห้งของซือเทียนโยวดังสะท้อน ทั่วบริเวณก็มืดลงพร้อมกับเสียงฮึ่มฮั่มปกคลุมท้องฟ้า ทำให้ผู้อื่นรู้สึกหวาดกลัวไปหมด
สายตาของมู่เฉินเคร่งเครียดลง ความกลัวเพิ่มขึ้นในหัวใจ กระทั่งเขายังรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายความตายจากการโจมตีของซือเทียนโยวครั้งนี้
ถ้าเขาตอบโต้ได้ไม่ดีละก็ คงต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่แน่เลย
“เผ่าปีศาจแปลกประหลาดแท้จริง”
มู่เฉินสูดหายใจลึก ก่อนที่มือทั้งสองจะประสานกัน แสงสีม่วงทองรวมตัวกันในร่างเทพสุริยะนิรันดร์พร้อมกับลวดลายโบราณปรากฏขึ้น
ลวดลายเหล่านี้แยกออกมาจากร่าง ซึ่งราวกับมังกรสีม่วงทองโคจรรอบร่างเทพสุริยะนิรันดร์ เปล่งความเป็นอมตะ
สายตาทั่วฟ้าดินพุ่งไปยังแท่นบูชา พวกเขารู้ชัดเจนว่ากระบวนท่านี้จะเป็นตัวตัดสินผลลัพธ์ของสนามรบทั้งหมด
ดวงตาขาวโพลนน่าขนพองสยองเกล้าของซือเทียนโยวจ้องมองมู่เฉิน ก่อนที่รอยยิ้มโหดจะโค้งขึ้นบนริมฝีปาก จากนั้นเขาก็คุกเข่าไปในทิศทางของมู่เฉิน
“กราบศพเทพสามครั้ง คำนับหนึ่ง—ถอนชีวิต!”
ขณะที่ซือเทียนโยวคุกเข่า ร่างยักษ์ที่อยู่ด้านหลังก็ก้มศีรษะลงไปในทิศทางของมู่เฉิน
จังหวะที่ร่างยักษ์ลดศีรษะลง รัศมีความตายที่ไม่อาจอธิบายได้ก็พุ่งออกมาราวกับพายุ ในเส้นทางรัศมี พลังชีวิตทั้งหมดถูกแย่งชิงไปหมด
แม้แต่ชั้นฟ้าและชั้นดินก็เปลี่ยนเป็นสีเทาดำ ไม่มีชีวิตชีวาอีกต่อไป
ไม่ว่าจะเป็นจอมยุทธ์มหาพันภพหรือเผ่าปีศาจต่างมิติ แต่ละคนก็เริ่มถอยหนีเมื่อเห็นรัศมีความตายที่แผ่กระจายออกไปพร้อมกับความกลัวเพิ่มขึ้นในดวงตา
บางคนที่หนีช้าได้รับผลกระทบจากรัศมี พวกเขาไม่มีเวลาแม้แต่กรีดร้อง ก่อนที่ร่างกายจะกลายเป็นโครงกระดูกทันที
ชิงซวงและชิงหลิงถอยกลับอย่างรวดเร็ว ความตกใจกลัวพล่านในแววตา พวกนางไม่เคยคิดมาก่อนว่าการโจมตีของซือเทียนโยวจะน่ากลัวขนาดนี้
การโจมตีดังกล่าวสามารถเทียบได้กับวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นยอดเยี่ยมแท้จริงในมหาพันภพได้เลยทีเดียว!
เมื่อพวกนางมองไปที่มู่เฉิน ดวงตาก็กะพริบด้วยความกังวล ขนาดพวกนางที่โดนแค่คลื่นกระทบปลายๆ ยังอยู่ในสภาพเช่นนี้จากรัศมีความตาย ดังนั้นสามารถจินตนาการได้ว่ามู่เฉินกดดันแค่ไหน
“มู่เฉิน สู้ๆ นะ!”
เวลานี้พวกนางทำได้เพียงภาวนาในใจ
ขณะที่ทุกคนถอยร่นหนี รัศมีความตายก็กวาดเข้ามาที่เบื้องหน้ามู่เฉิน ภายใต้การห่อหุ้มของรัศมีความตายผิวของมู่เฉินก็เปลี่ยนเป็นสีเทาขี้เถ้าอย่างรวดเร็ว เนื้อเริ่มแห้ง พลังชีวิตหมดลงอย่างรวดเร็ว
ไม่ว่าเขาจะพยายามปกป้องตัวเองด้วยคลื่นหลิงอย่างไร ก็ไม่สามารถต่อต้านการรุกรานของรัศมีแห่งความตายได้
ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งเครียดลง ด้วยความเร็วนี้คงใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีก่อนที่พลังชีวิตทั้งหมดของเขาจะหมดลง
การโจมตีของซือเทียนโยวน่าสยดสยองจริงๆ!
ฮา
ในช่วงเวลาวิกฤตนี้ มู่เฉินก็สูดหายใจเข้าลึก แสงกะพริบวูบไหวในดวงตาก่อนที่เขาจะคำรามขึ้นไปบนท้องฟ้า ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ที่อยู่ใต้เท้าก็ระเบิดแสงสีม่วงทองกว้างใหญ่นับไม่ถ้วน
“ศพเทพของแกช่วงชิงชีวิตได้ แต่ข้าก็ได้รับการปกป้องจากความเป็นอมตะ!”
รหัสเทพอมตะครางกระหึ่ม ห่อหุ้มร่างมู่เฉินไว้ เมื่อมองจากระยะไกลก็ราวกับก่อตัวเป็นรังไหมสีม่วงทองปกป้องมู่เฉินจากภายใน
แม้โลกจะถึงจุดจบ แต่ข้าก็เป็นอมตะ!
แกจะช่วงชิงพลังชีวิตของผู้เป็นอมตะได้อย่างไร?
รัศมีความตายสีเทาดำกวาดไปที่รังไหมสีม่วงทองอย่างต่อเนื่อง แต่รังไหมก็ตั้งมั่นคงราวกับศิลา
“เขาสกัดไว้ได้จริงๆ!”
เมื่อจอมยุทธ์เผ่าปีศาจเห็นภาพนี้ก็อุทานลั่น พวกเขารู้ชัดเจนว่ากระบวนท่านี้ทรงพลังเพียงใด จอมยุทธ์ที่อยู่ภายใต้ระดับราชันปีศาจที่ถูกคำนับพลังชีวิตจะถูกแย่งชิงกลายเป็นซากศพทันที
ต่อให้เป็นพวกเขาก็มีแต่ความตายเท่านั้นที่รออยู่!
ทว่ามู่เฉินกลับสามารถต้านทานการคำนับได้จริงๆ จะไม่ให้พวกเขารู้สึกไม่อยากเชื่อได้อย่างไร
สีหน้าแต่ละคนเปลี่ยนไป ซือเทียนโยวก็หดดวงตาลง สถานการณ์นี้เกินความคาดหมายของเขาเช่นกัน ตอนแรกเขาคิดว่าแค่ใช้เพียงหนึ่งคำนับก็ยุติการต่อสู้นี้ได้แล้ว
แต่ความทนถึกของมู่เฉินเกินความคาดหมายของเขาจริงๆ!
“ไอ้ตัวปัญหา แต่ยังไงวันนี้แกก็ต้องตาย!”
แสงเย็นเยือกรวมตัวในดวงตาของซือเทียนโยว อึดใจร่างเขาก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวพร้อมกับพลังชีวิตทั้งหมดในร่างหลั่งไหลเข้าไปในรัศมีศพที่น่ากลัว
“คำนับสอง—กลืนวิญญาณ!”
ซือเทียนโยวเงยหน้าขึ้น คำนับครั้งที่สองไปในทิศทางของมู่เฉิน
ร่างยักษ์ที่อยู่ด้านหลังก็คำนับลง อึดใจต่อมาแสงสีเทาขนาดหลายจั้งก็พุ่งออกมาจากดวงตาของร่างยักษ์
แสงสีเทาฉีกขาดมิติปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้ามู่เฉินในทันที
มู่เฉินเตรียมพร้อมไว้แล้ว รหัสเทพอมตะระเบิดออกก่อนที่จะรวมกันก่อร่างเป็นแนวป้องกันแข็งแกร่ง ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าลำแสงสีเทา
แม้ว่าลำแสงนั่นจะไม่ได้ดูยิ่งใหญ่เหมือนก่อนหน้า แต่มู่เฉินกลับสัมผัสได้ถึงรัศมีความตายที่หนาแน่นยิ่งกว่า เขาไม่สงสัยเลยว่าหากโดนลำแสงนั่นสัมผัสเข้า เขาจะสิ้นชีพทันที
ชี่!
ทว่าครั้งนี้รหัสเทพอมตะพังทลายลงทันทีเมื่อสัมผัสกับลำแสงสีเทา แนวป้องกันทรงพลังไม่สามารถสกัดไว้ได้!
ร่างมู่เฉินทะยานถอยห่างอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกันรหัสเทพอมตะที่ไม่มีที่สิ้นสุดก่อตัวขึ้น พวกมันบินเข้าหาลำแสงสีเทาพยายามที่จะทำให้หมดลงให้มากที่สุด
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับปราการของมู่เฉิน ลำแสงสีเทาก็ไม่มีทีท่าว่าหมดลงแม้แต่ชุ่นเดียว!
“ค่ายกลเพลิงทะยาน!”
ค่ายกลที่เขาจัดเตรียมไว้ถูกกระตุ้นทันที ร่างยักษ์เพลิงขนาดมหึมาปรากฏตัวขึ้น แต่เมื่อหมัดสัมผัสกับลำแสงสีเทาก็สลายหายไปในทันที
เมื่อจอมยุทธ์มหาพันภพเห็นว่ากระบวนท่าของมู่เฉินไม่สามารถปิดกั้นลำแสงสีเทาได้ สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป หนังหัวชาหนึบ
“มู่เฉิน!”
ชิงซวงและชิงหลิงอดไม่ได้ที่จะกำมือแน่นพร้อมกับใบหน้าซีดเซียวลง
ถอยๆๆๆ!
มู่เฉินถอยออกไปอย่างต่อเนื่อง แต่ลำแสงสีเทาก็ไล่ตามมาติดๆ มิหนำซ้ำยังเร่งความเร็วมากขึ้น ทำเอาผมลุกชันพร้อมกับความรู้สึกถึงตายห่อหุ้มในหัวใจ
เขาถอยต่อไม่ได้แล้ว!
สายตาของมู่เฉินวูบไหวอึดใจก็ตะโกนเรียก “เจดีย์พุทธะ!”
แสงศักดิ์สิทธิ์ระเบิดออกจากดวงตา เจดีย์ผลึกใสก็ทะยานออกมา
อ็อก!
เขากัดลิ้นเลือดกลั่นไหลออกมาจากปากพ่นลงบนเจดีย์ หลังจากเสียเลือดไปบางส่วนใบหน้าของมู่เฉินก็ซีดลง ชัดว่าสิ่งนี้ทำให้ร่างกายเขาเสียหายพอสมควรเลยทีเดียว
แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถใส่ใจเรื่องนี้ได้ เนื่องจากเขารู้สึกได้ว่าในลำแสงสีเทามีพลังงานแปลกประหลาดซึ่งสามารถลบล้างสติของเขาได้ในทันที ถ้าเขาสัมผัสกับมันสติก็จะถูกลบ แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ก็จะไม่ต่างอะไรจากหุ่น
ส่วนเจดีย์พุทธะมีความสามารถในการปิดผนึก ทำให้สติของเขาสงบลงได้อีกครั้ง ดังนั้นเขาต้องพึ่งพามันอย่างเดียวในขณะนี้!
เมื่อเลือดกลั่นของมู่เฉินกระจายลงบนเจดีย์พุทธะ แสงไม่มีที่สิ้นสุดก็ระเบิดออก ความผันผวนศักดิ์สิทธิ์ก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าก่อนที่เจดีย์จะทะยานออกไปปะทะกับลำแสงสีเทา
เคร้ง!
ทันทีที่ชนกันเสียงคมชัดก็ดังขึ้น แต่คราวนี้ลำแสงสีเทาที่ไม่สามารถขัดขวางได้ก็หยุดลง หลังจากการปะทะกันสั้นๆ ลำแสงสีเทาก็สั่นสะเทือนก่อนที่จะแตกสลายลง
เจดีย์พุทธะก็ดูราวกับว่าได้รับผลกระทบอย่างหนัก มันพุ่งกลับไปสถิตในดวงตาของมู่เฉิน จากนั้นก็มีเลือดหยดลงมาจากมุมดวงตาจนดูน่ากลัวอย่างยิ่ง
“มันรับไว้ได้อีกแล้ว…”
พวกแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ขณะที่มองมู่เฉินด้วยแววตาหวาดกลัว
ทักษะกราบศพเทพสามครั้ง คำนับหนึ่ง-ถอนชีวิต คำนับสอง-กลืนวิญญาณ พวกเขาไม่เคยได้ยินว่ามีใครที่อยู่ภายใต้ขอบเขตของราชันปีศาจรอดมาได้ถึงสองครั้ง
แต่ภาพนี้ก็เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาแล้ว!
บนแท่นบูชามู่เฉินค่อยๆ เช็ดเลือดออกจากมุมหางตา สีหน้าที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงก็เครียดลงหลายส่วน ผ่านศึกเป็นตายในชีวิตมาหลายครั้ง เขาไม่เคยรู้สึกเดินสู่ปากเหวความตายมาก่อนเหมือนครั้งนี้
ทักษะกราบศพเทพสามครั้งน่ากลัวและทรงพลังเกินไป!
“วิชานี่สามารถเทียบเคียงได้กับวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นยอดเยี่ยมแท้จริงแน่นอน! “
มู่เฉินหายใจเข้าลึก แม้ว่าเขาจะมีวิชาสามพิสุทธิ์ซึ่งเป็นหนึ่งในวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่าในตำนาน แต่ร่างรองของเขายุ่งอยู่กับการจัดการกับศพราชันปีศาจ ไม่สามารถให้ความช่วยเหลือเขาได้ในขณะนี้
ใบหน้าของซือเทียนโยวซีดเซียวขณะจ้องไปที่มู่เฉิน โดยที่ผิวหน้ากระตุกไม่หยุด ก่อนที่เขาจะพูดออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง “นับตั้งแต่ที่ข้าได้ฝึกฝนทักษะศพเทพ ก็ไม่เคยมีใครที่สามารถรับกระบวนท่าคำนับถึงสองครั้ง!”
“ตอนนี้มีแล้ว”
มู่เฉินพูดขณะที่พ่นเลือดออกจากปาก
ซือเทียนโยวเขม่นมองมู่เฉิน ตอนนี้ร่างเขาเหี่ยวแห้งจนเหมือนกับโครงกระดูก แต่ดวงตากลับยิ่งเปลี่ยนไปอย่างผิดปกติ
“ดังนั้นเพื่อแสดงความเคารพกับแกในฐานะคู่ต่อสู้ ข้าจะมอบความตายด้วยการคำนับที่สามให้”
เมื่อเสียงเย็นเยือกของซือเทียนโยวดังออกมา จอมยุทธ์มหาพันภพก็ตัวสั่นสะท้าน มู่เฉินเกือบจะไม่สามารถต้านทานคำนับทั้งสองได้ นี่ยังมีคำนับสามที่น่ากลัวกว่านั้นอีกเรอะ?! มู่เฉินจะรับไหวได้อย่างไร!
ถ้ามู่เฉินล้มเหลว ยังมีใครในที่นี่สามารถหยุดซือเทียนโยวจากการทำลายแท่นบูชาได้?
กระทั่งมั่วซินและเฉวียนหลัวยังเงียบไป หลังจากที่ได้เห็นคำนับทั้งสองแล้ว
ทว่าซือเทียนโยวไม่ได้สนใจความคิดพวกเขา สายตาของเขารวมอยู่ที่มู่เฉิน จากนั้นเนื้อทั้งหมดที่เหลืออยู่ในร่างกายก็หลอมละลายสลายไปเป็นพลังชีวิตก่อนที่จะเทไปที่ศพเทพที่อยู่ข้างหลัง
ยามนี้ซือเทียนโยวไม่ได้ต่างอะไรจากโครงกระดูกไร้เนื้อหนังแล้ว
สายตาจ้องเขม็งไปที่มู่เฉินจากระยะไกล จากนั้นก็หลับตาลดศีรษะลงเพื่อคำนับอีกครั้ง!
เสียงต่ำดังสะท้อนออกมาทั่วบริเวณ ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าหนังหัวด้านชาไปหมด
“คำนับสาม—ทำลายล้างสรรพสิ่ง!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น