หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1325-1330

 บทที่ 1325 เผ่าเหยียนหมัว

 

วาบ!


เมื่อเสียงโบราณดังกล่าวจบลงหลายกลุ่มก็เคลื่อนไหวกลายเป็นลำแสงพุ่งไปยังเจดีย์สี่เทวะทันที


“ไป!”


กลุ่มมู่เฉินก็เคลื่อนไหวออกไปโดยไม่ลังเลใดๆ เช่นกัน


ภายใต้ความเร็วเต็มพิกัด พวกเขาปรากฏที่เบื้องหน้าเจดีย์ในเวลาเพียงไม่กี่นาที เมื่อเข้าใกล้ทุกคนก็สัมผัสถึงกลิ่นอายยิ่งใหญ่ของเจดีย์สี่เทวะ


เมื่อยืนอยู่เบื้องหน้าเจดีย์นี้ พวกเขาช่างจ้อยร่อยราวกับมด


พวกเขาสามารถเห็นเพียงครึ่งหนึ่งของเจดีย์ โดยอีกครึ่งหนึ่งถูกห่อหุ้มไว้ด้วยความมืดไม่รู้จบที่ไม่มีใครกล้ามองไป


ในช่วงเวลานี้เผ่าปีศาจก็คงรวมตัวกันอยู่อีกด้านหนึ่งสินะ


“ครืน”


เมื่อผู้คนเข้าใกล้เจดีย์ ประตูเจดีย์ก็เปิดออกอย่างช้าๆ พร้อมกับเสียงต่ำลึกราวกับเสียงฟ้าร้อง


รัศมีโบราณเปล่งประกายออกมา


เมื่อประตูโบราณเปิดออก ดวงตาของหลายคนก็วาววับ แต่ก็ไม่มีใครกล้าบุ่มบ่ามเข้าไป พวกเขาได้แต่มองหน้ากันและกัน


“อะแฮ่ม ท่านจอมยุทธ์ ข้าเชื่อว่าทุกคนมีความชัดเจนในตอนนี้ที่ท่านบรรพชนอธิบายเจตนารมณ์ให้ทราบ… เราต้องปกป้องเจดีย์สองชั้นไว้ มิเช่นนั้นเจดีย์สี่เทวะจะได้รับความเสียหายจากวิญญาณที่เหลือของจอมปีศาจ เมื่อถึงเวลานั้นจุดจบของทุกคนก็คงไม่ดีแน่” ในฐานะผู้ริเริ่มภารกิจนี้ฉิงปูป้ายพูดพลางกระแอมไอ


ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของเขา


“ดังนั้นข้าขอแนะนำให้เราแบ่งกลุ่มพยายามรักษาพลังการต่อสู้ในทุกชั้น เราไม่ควรรวมตัวกันเพราะไม่ฉลาดที่จะทำเช่นนั้นเลย”


ความหมายเบื้องหลังคำพูดของฉิงปูป้ายชัดเจนมาก เขาแนะนำให้ทุกคนแยกกันไม่เช่นนั้นอาจทำให้ชั้นอื่นอ่อนแอลง นอกจากนี้ยังมีการแข่งขันที่รุนแรงระหว่างกันด้วย


“ข้ามาจากเผ่าฝูถู ดังนั้นขอเลือกชั้นที่บรรพบุรุษอยู่แล้วกัน” เฉวียนหลัวยิ้มบางแสดงความตั้งใจอย่างชัดเจน


“ข้าด้วย” มั่วซินกล่าวพลางเหลือบมองไปที่เฉวียนหลัวโดยไม่แสดงออกใดๆ


ฉิงปูป้ายไม่ได้ว่าอะไร แต่รู้สึกโล่งใจขึ้นหลายส่วน เฉวียนหลัวและมั่วซินเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าเกรงขาม ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้อยู่ในชั้นเดียวกันกับเขาละก็ เขาก็มีโอกาสสูงที่จะได้รับมรดก


“ข้าเลือกชั้นผู้อาวุโสฉิงเทียน” ฉิงปูป้ายยิ้ม


“ข้าเลือกชั้นผู้อาวุโสเชียง” ชายร่างกำยำที่ยืนจังก้าพร้อมกับรัศมีน่าอัศจรรย์ปกคลุมร่าง เห็นได้ชัดว่าเขามีประสบการณ์สังหารนับครั้งไม่ถ้วน


เมื่อสัมผัสรัศมีร้ายกาจของคนคนนี้ มู่เฉินก็รู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องเป็นมือสังหารปีศาจแน่นอน นอกจากนี้ยังเป็นมือสังหารขั้นสูงของแท้!


“งั้นกรณีนี้ข้าขอไปชั้นผู้อาวุโสไท่หลิงละกัน” โฉมสะคราญข้างเฉวียนหลัวเอ่ยออกมา


เมื่อพวกเขาแสดงจุดยืน กลุ่มอื่นๆ ก็เลือกเช่นกัน


“เวินชิงเฉวียน พี่หลิงซี หลงเซี่ยงไปกับลั่วหลีที่ชั้นผู้อาวุโสไท่หลิงเถอะ” มู่เฉินหันกลับมาพูดกับทั้งสามคน


แม้ว่าลั่วหลีจะมีวิธีของนางเอง แต่เพื่อให้มั่นใจมู่เฉินก็ยังให้นางพาพรรคพวกไปด้วย


สำหรับตัวเขาไม่ต้องการความช่วยเหลืออะไรมาก เนื่องจากเขามีวิชาสามพิสุทธิ์ ดังนั้นจึงได้เปรียบในเรื่องจำนวน ไม่ต้องพูดถึงว่าเขายังมีกองทัพมังกรดำอยู่ด้วย


เมื่อได้ยินมู่เฉินแจกแจง ลั่วหลีก็ครุ่นคิดสั้นๆ แต่ก็ไม่ปฏิเสธ เพราะนางรู้ว่ามู่เฉินเป็นห่วงนางมาก สิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นในใจ


“ถ้างั้นเจ้าก็ต้องระวังตัวด้วยนะ”


ลั่วหลีไม่พูดมาก แต่มองไปที่มู่เฉินด้วยความกังวลอย่างมากในสายตา


ในเวลาเพียงไม่กี่นาทีทุกคนก็เลือกเรียบร้อย ทุกชั้นต่างมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม


ซึ่งชัดว่าจอมยุทธ์เหล่านี้จะกลายเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่งที่สุดสำหรับมรดก


มู่เฉินและลั่วหลีแสดงชั้นที่จะไป การเลือกของพวกเขาไม่ได้ทำให้เกิดความโกลาหลใดๆ เนื่องจากทั้งสองเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นและขั้นปลาย ดังนั้นจึงไม่มีใครสนใจอะไรมากนัก


ส่วนเฉวียนหลัวกับมั่วซินก็เยาะเย้ยเมื่อมองไปที่มู่เฉิน


อีกด้านไป๋ซินเอ๋อก็มองไปที่ลั่วหลีด้วยดวงตาเป็นประกาย


เมื่อการกระจายตัวเสร็จสิ้น ก็ไม่มีใครยืดยาดอีกต่อไป แต่ละคนเคลื่อนไหวกลายเป็นร่างแสงพุ่งเข้าไปในเจดีย์โบราณ


“ไป!”


มู่เฉินโบกมือทะยานไปยังเจดีย์สี่เทวะพร้อมกับลั่วหลีและคนอื่นๆ ติดตามอย่างใกล้ชิด


เมื่อเข้าไปในเจดีย์มู่เฉินก็รู้สึกถึงความผันผวนของสภาพมิติรอบตัว อึดใจทิวทัศน์รอบตัวเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป


ที่นี่เป็นป่ารกร้างและภูเขาแห้งแล้ง


มู่เฉินทำเพียงกวาดสายตาก่อนจะมองไปทางทิศตะวันออก เขารู้สึกถึงความผันผวนอย่างไร้ขอบเขตเบาบางจากทิศทางนั้น


ความผันผวนนั้นทำให้รู้สึกกดดันอย่างมาก


ความผันผวนที่ไร้ขอบเขตมีร่องรอยไอเย็นเยือกอยู่ในนั้น ซึ่งดูเหมือนจะบรรจุด้วยความชั่วร้ายไม่รู้จบ เพียงแค่สัมผัสแผ่วเบาก็ทำให้มู่เฉินรู้สึกหวาดกลัวหนาแน่นในหัวใจ


“เศษวิญญาณและปณิธานของจอมปีศาจระดับเทียนและท่านบรรพชนคงอยู่ที่นั่น”


มู่เฉินจมลงในภวังค์ความคิด ดูเหมือนว่าเขาจะต้องรีบไปที่นั่นโดยเร็วที่สุด มิฉะนั้นจอมยุทธ์เผ่าปีศาจอาจใช้โอกาสนี้ทำลายการปราบปรามเพื่อปลดปล่อยเศษวิญญาณจอมปีศาจก็เป็นได้ ถึงเวลานั้นทั้งชั้นก็จะกลายเป็นอากาศธาตุ


วาบ!


เมื่อคิดถึงจุดนี้ มู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไป ฝ่าเท้าแตะลงส่งตัวขึ้นไปที่กิ่งไม้หนา ทิ้งภาพลวงตาไว้ภายในป่าเดินทางด้วยความเร็วเต็มพิกัด


แม้ว่าการเดินทางจะเร็วกว่านี้ถ้าเขาเดินทางบนท้องฟ้า แต่ก็จะทำให้เขากลายเป็นเป้าหมายดึงดูดความสนใจได้เช่นกัน ตอนนี้มู่เฉินไม่รู้ว่ามีพวกเผ่าปีศาจเข้ามาอยู่ในชั้นนี้มากเท่าไร ดังนั้นการทำเช่นนี้จึงเป็นสิ่งที่ไม่ฉลาด


โชคดีที่มู่เฉินยังคงสามารถเดินทางด้วยความเร็วสูงแม้จะอยู่ในป่า


แปะ!


ร่างพร่าเลือนเหยียบลงบนใบไม้บาง มันยังไม่ขยับแม้แต่น้อย ร่างนั้นก็ทะยานออกไปไกลราวกับภูตผี ทว่าทันใดนั้นเมื่อทะยานข้ามพื้นที่บริเวณหนึ่ง หัวใจของมู่เฉินก็ตื่นตัว เขาชะงักลงทันที


ปัง!


ทันใดนั้นต้นไม้แห้งที่อยู่ข้างหน้าก็ลุกโชนด้วยเปลวไฟสีดำ อุณหภูมิที่น่าสะพรึงกลัวที่เล็ดลอดออกมาทำให้มิติบิดเบี้ยว


แปะๆ


ขณะที่เปลวไฟสีดำลุกโชนเสียงปรบมือก็ดังขึ้น มู่เฉินเห็นเงาร่างสองร่างเดินออกมาจากเปลวไฟอย่างช้าๆ


เมื่อสายตาจ้องมองไปดวงตาของมู่เฉินก็หดเกร็ง เขาเห็นผมของเงาดำทั้งสองโชนด้วยเปลวไฟสีดำ


“เมื่อกี้เราก็ปะหน้ากับหญิงสาวสองคนจากมหาพันภพ หัวหน้ากำลังไปตามล่าพวกนาง ไม่คิดว่าพวกเราจะเจอเพื่อนโชคร้ายอีกคน” เงาร่างทั้งสองที่มีเปลวไฟสีดำบนเส้นผมมองไปที่มู่เฉินด้วยไอเย็นและจิตสังหารวูบไหวในดวงตา


“มันอ่อนแอเหลือเกิน จากการจัดอันดับของมหาพันภพเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ลูกมดตัวจ้อยๆ” อีกคนหนึ่งพูดออกมาอย่างไม่แยแส ขณะมองมู่เฉินโดยไม่มีอารมณ์ใดๆ ในสายตา


“เผ่าปีศาจต่างมิติ?” คิ้วของมู่เฉินยกขึ้นขณะยิ้มมองไปที่ทั้งสองคน


ในการรับรู้ของเขา พลังของทั้งสองไม่อ่อนแอเลย พวกเขาอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ทว่าก็เป็นแบบสามัญธรรมดาทั่วไป


“ผิด พวกข้ามาจากเผ่าเหยียนหมัว จักรวรรดิปีศาจต่างมิติเป็นชื่อเรียกที่มหาพันภพตั้งให้”


มู่เฉินพยักหน้าขณะยิ้มบาง “ใครจะสนใจชื่อของคนที่กำลังจะตาย”


จอมยุทธ์เผ่าเหยียนหมัวอึ้งไปก่อนที่พากันหัวเราะร่วน ทว่าสายตาที่มิงมู่เฉินยิ่งเย็นเยือกลงอีกหลายส่วน


“ข้าจะค่อยๆ เผามันทีละน้อยด้วยเปลวไฟปีศาจ” หนึ่งในนั้นเอียงศีรษะไปด้านข้าง ประกาศอย่างโหดเหี้ยม


“จริงสิ ผู้หญิงสองคนที่แกพูดถึงหน้าตาเป็นยังไง?” มู่เฉินถามด้วยรอยยิ้ม


ทว่าคำถามนี้ของเขา ทำให้จอมยุทธ์เผ่าเหยียนหมัวมองมาราวกับว่ากำลังมองคนโง่ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่คิดจะบอกข้อมูลนี้


“ดูเหมือนว่าข้าต้องงัดข้อมูลจากปากพวกแกเองสินะ” มู่เฉินยักไหล่ยิ้มอ่อน


“ตู้ม!”


เปลวไฟสีดำพวยพุ่งออกมาจากจอมยุทธ์เผ่าเหยียนหมัวราวกับภูเขาไฟ ขณะที่เปลวไฟปีศาจกวาดออก ผืนป่าลุกไหม้ทันที


“ไอ้โง่ แกตายไม่ดีแน่!”


เปลวไฟปีศาจที่รุนแรงแผดเผาออกมา ขณะที่เงาทั้งสองพุ่งออกมาพร้อมกับคลื่นความร้อนวิ่งพล่านไปหามู่เฉิน


พวกเขาสองคนมีไหวพริบอย่างไม่น่าเชื่อ แม้ว่ามู่เฉินดูเหมือนอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายเท่านั้น พวกเขาก็ยังคงโจมตีพร้อมกันด้วยความระมัดระวัง


ทว่ามู่เฉินกลับยิ้มจางๆ เมื่อมองร่างที่พุ่งเข้ามา


“คนเยอะแล้วเก่งนักเหรอ?”


ทันทีที่พูดจบ มู่เฉินก็ทะยานออกไป ขณะเดียวกันม่านตาจอมยุทธ์เผ่าเหยียนหมัวก็หดลง เนื่องจากพวกเขาเห็นร่างที่คล้ายกันสองร่างปรากฏที่ด้านข้างมู่เฉิน ขณะที่พุ่งเข้าใส่พวกเขาอย่างดุเดือด


“ฉิบหาย!”


ทันใดนั้นหัวใจของทั้งสองก็จมลง


พวกเขารู้ว่าวันนี้ดันไปเตะกำแพงโลหะเข้าให้แล้ว



 

 

 


บทที่ 1326 แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัว

 

ฟู่ ฟู่!


เสียงอื้ออึงดังก้องไปทั่วป่ารกร้าง เปลวไฟสีดำก็สร้างความหายนะราวกับพายุทอร์นาโดแผดเผาภูเขาและป่ากลายเป็นเถ้าถ่าน


ทว่าเปลวไฟสีดำเหล่านั้นก็คงอยู่ไม่นานขณะที่ค่อยๆ มอดดับลง


ซ่า ซ่า


เงาร่างหนึ่งก้าวย่างออกมาจากป่าไหม้เกรียม เขาก็คือมู่เฉินที่กำลังก้มมองมือที่ดำคล้ำของตนเอง คลื่นหลิงพวยพุ่ง สีดำก็หายไปพร้อมกับบาดแผลบนมือที่เกิดจากการถูกเผาอย่างรวดเร็ว


ร่างสองร่างคุกเข่าอยู่บนพื้นด้านหลัง ศีรษะห้อยต่องแต่ง แม้แต่เปลวไฟสีดำบนเส้นผมก็ดับไปพร้อมกับชีวิต


ริ้วความไม่อยากเชื่อหลงเหลือบนใบหน้า


พวกเขาไม่คิดว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายจะทรงพลังขนาดนี้


“พวกนางจริงด้วย”


มู่เฉินคร้านจะไปมองศพทั้งสอง เขาเงยหน้าขึ้นมองไปทิศทางหนึ่งด้วยคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน


การต่อสู้เมื่อครู่ไม่ได้สูสีอะไรกันเลย แม้ว่ามู่เฉินจะเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย แต่พลังอำนาจการต่อสู้ของเขาเกินขอบเขตขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มแบบธรรมดาไปแล้ว ส่วนจอมยุทธ์เผ่าเหยียนหมัวอย่างมากก็เพิ่งเข้าขั้นนี้ ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับมู่เฉิน พวกเขาก็มีตายสถานเดียว


ทว่าจากข้อมูลที่เขาได้รับก่อนที่พวกมันจะตาย เขาได้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหญิงสาวทั้งสองที่พวกมันพูดถึง


เป็นตามที่คาด ทั้งสองคนก็คือชิงซวงและชิงหลิงจากเผ่าฝูถู พวกนางเป็นกลุ่มหญิงสาวหนึ่งเดียวที่เข้ามาในชั้นนี้


ดูเหมือนทั้งสองจะปะทะกับแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัว แม้ว่าจะยังไม่ชัดเจนถึงพลังของแม่ทัพคนนั้น แต่ในเมื่อสามารถบังคับชิงซวงให้อยู่ในสถานะที่น่าสมเพชได้ แม่ทัพคนนี้น่าจะเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มระยะปลายสุดแล้ว


มู่เฉินมองไปในทิศทางนั้นพลางครุ่นคิดสั้นๆ เขากำลังลังเลว่าจะไปช่วยพวกนางดีไหม เพราะตัวเขาไม่มีความประทับใจใดๆ กับเผ่าฝูถูเลย


แม้ว่ามารดาของเขาจะมาจากสายเลือดเดียวกันกับชิงซวง แต่พวกนางก็นิ่งเฉยมองมารดาของเขาถูกจองจำโดยไม่ทำอะไรเลย ซึ่งทำให้มู่เฉินรู้สึกไม่พอใจ


หลังจากครุ่นคิดสั้นๆ มู่เฉินก็เบ้ปาก ขณะที่เท้าแตะพื้นบินออกไปราวกับกระเรียนยักษ์พุ่งตรงไปหาตำแหน่งของพวกนาง


แม้ว่าเขาจะไม่พอใจต่อเผ่าฝูถู แต่ชิงซวงก็ยังแสดงให้เห็นถึงการช่วยเหลือเมื่อเขาประสบปัญหา จากจุดนี้เพียงอย่างเดียวเขาไม่สามารถยืนดูพวกนางทุกข์ร้อนได้


ความขุ่นเคืองที่มีต่อเผ่าฝูถู ไม่จำเป็นต้องเอาไปลงที่คนไม่เกี่ยวข้อง ไม่งั้นเขาก็จะดูใจแคบเกินไป


 


ตู้ม!


กำปั้นปกคลุมด้วยเปลวไฟสีดำกดลงมาจากท้องฟ้า พลังน่าสะพรึงกลัวที่สามารถทำให้มิติแตกเป็นเสี่ยงๆ นำพารัศมีทำลายล้าง


ชิงซวงที่อยู่ในสภาพดูไม่ได้จับข้อมือชิงหลิงไว้แน่น ขณะที่แสงหลิงระเบิดออกจากร่าง


ฟิ้ว!


หมัดเพลิงพุ่งออกมาจากด้านหลังปะทะกับภูเขาจนแตกเป็นก้อนหินเล็กใหญ่นับไม่ถ้วน ก่อนที่จะถูกแผดเผากลายเป็นเถ้าถ่านดำมืดจากเพลิงดังกล่าว


เมื่อชิงหลิงที่ถูกชิงซวงคว้าข้อมือไว้เห็นพลังทำลายล้างนี่ ใบหน้าของนางก็ซีดเซียวลง


“ฮ่าๆ คนสวย ทำไมขัดขืนมากนัก? มาให้ข้าได้ลิ้มรสหญิงสาวในมหาพันภพสักหน่อยเถอะ!” เสียงหัวเราะบาดแก้วหูดังขึ้น


เพลิงสีดำบินว่อนพร้อมกับร่างชายแข็งแกร่งอยู่ภายใน เรือนผมของเขาลุกโชนด้วยเปลวไฟสีดำ ยังมีอักขระเปลวไฟสลักอยู่บนใบหน้าด้วย


ขณะนี้เขากำลังจ้องมองร่างสะคราญโฉมตรงหน้าด้วยความกำหนัดพลางแลบลิ้นเลียริมฝีปาก


“พี่ชิงซวงอย่าสนใจข้าเลย รีบไปเถอะ!”


สัมผัสได้ถึงความผันผวนของเปลวไฟที่เข้าใกล้เรื่อยๆ ชิงหลิงก็พูดขึ้นด้วยใบหน้าซีดเซียว ตอนที่นางมาถึงที่นี่ก็พบเข้ากับจอมยุทธ์เผ่าเหยียนหมัว ชิงซวงถูกโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัวจนบาดเจ็บ ทำให้พวกนางต้องหนีตายลูกเดียว


ทว่าจอมยุทธ์เผ่าเหยียนหมัวผู้นี้ทรงพลังมาก ต่อให้ชิงซวงจะไม่บาดเจ็บ นางก็ทำได้เพียงสกัดเท่านั้น ยิ่งตอนนี้นางได้รับบาดเจ็บบวกกับมีตนเองเป็นตัวถ่วงด้วย ทำให้สภาวะการณ์แย่ลงมากกว่าเดิมอย่างไม่ต้องสงสัย


“ไม่ได้!”


ชิงซวงกัดฟัน นางสัมผัสถึงกักขฬะและหื่นกระหายในสายตาของไอ้ปีศาจเปลวไฟนั่น หากชิงหลิงตกอยู่ในเงื้อมมือของมัน ความตายอาจเป็นเรื่องสวยหรูมากเกินไปด้วยซ้ำ


“เจ้าไปก่อน ข้าจะดักมันไว้!” ไอเย็นเยือกรวมกันในดวงตาของชิงซวงขณะที่ขบฟันแน่น


“พี่ใหญ่ชิงซวง ตอนนี้เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน!” ชิงหลิงพูดอย่างกังวลใจ


“หากเราถูกไล่ตามต่อไป อีกไม่นานเราทั้งสองคนก็จะถูกจับตัว” ชิงซวงพูดเสียงดังฟังชัด


ชิงหลิงกัดริมฝีปากน้ำตาคลอเบ้า จากนั้นก็พยักหน้าก่อนจะทะยานไปยังอีกทิศทางหนึ่ง


ชิงซวงหยุดฝีเท้าหันกลับมามองไอ้ตัวร้ายที่ไล่ตามพวกนางไม่ลดละ


“ฮ่าๆ เสียสละตัวเองเพื่อช่วยคนอื่นเหรอ? ประทับใจจริงๆ” จอมยุทธ์เผ่าเหยียนหมัวชะลอตัวลงขณะกวาดมองชิงซวงด้วยสายตาหยอกล้อ ก่อนจะมองเรือนร่างนางด้วยความตะกละตะกลาม


“เอาเถอะ สนุกกับเจ้าก่อนก็ได้” มันเลียริมฝีปากขณะที่พูดด้วยดวงตาหรี่ปรือ


ไอเย็นเยือกในนัยน์ตาของชิงซวงหนาแน่นขึ้น นางกำกำปั้น กระบี่ยาวสีฟ้าปรากฏขึ้นในมือพร้อมกับรังสีน้ำแข็งเปล่งออกมา ทำให้แม้แต่อากาศยังตกลงสู่จุดเยือกแข็ง


กระบี่ยาวดูราวกับว่าสร้างมาจากน้ำแข็ง เมื่อปรากฏขึ้นเกลียวแสงน้ำแข็งสีฟ้าก็แผ่ออกไปอย่างช้าๆ ทำให้ทั่วบริเวณกลายเป็นโลกน้ำแข็ง


เห็นได้ชัดว่านี่เป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นสูงของแท้


เมื่อแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวเห็นสิ่งนี้ ดวงตาก็หดเกร็ง ก่อนที่จะหัวเราะร่วนพลางยกมือขึ้น เปลวไฟสีดำย่อตัวเปลี่ยนเป็นลูกปัดเปลวไฟสีดำทันที


เพลิงสีดำพวยพุ่งออกมาพร้อมกับเกลียวไฟไม่มีที่สิ้นสุด ยิ่งไปกว่านั้นเพลิงนี้ก็เหมือนจะสามารถกระตุ้นด้านมืดของผู้คน การมองเป็นเวลานานทำให้จิตสำนึกสูญเสียได้


ลูกปัดนี้จะต้องเป็นวัตถุพิเศษแน่นอน!


โฮก!


แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวทะยานตัวออกไป ขณะเดียวกันลูกปัดก็ยิงอสรพิษเพลิงนับไม่ถ้วนออกมา ในปากอัดแน่นด้วยเปลวไฟสีดำราวกับลาวา พุ่งเข้าหาชิงซวงอย่างดุร้าย


ใบหน้าของชิงซวงเย็นชาลง กระบี่ยาวในมือสั่นไหวขณะที่รัศมีเย็นเยือกรวมตัวกัน เมื่ออสรพิษเหล่านั้นเข้ามาใกล้ก็กลายเป็นคุกน้ำแข็งขังพวกมันเอาไว้


“คึๆ”


ทว่าเมื่อแม่ทัพทัพเผ่าเหยียนหมัวเห็นฉากนี้กลับยิ้มมีเลศนัย


ปัง!


อสรพิษที่เปลวไฟสีดำลุกโชนระเบิดในเวลานี้ กวาดอาละวาดทำลายล้างโลกน้ำแข็งที่ชิงซวงสร้างขึ้นจนหมดสิ้น


อ๊อก


เลือดกระอักเต็มปากชิงซวง นางได้รับบาดเจ็บหนักตั้งแต่เริ่มและต้องทรมานจากการโจมตีครั้งนี้ของแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัว ทำให้อาการบาดเจ็บของนางแย่ลงยิ่งขึ้น แม้แต่คลื่นหลิงในร่างกายก็ผันผวนไปหมด นางรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงไปทั่วสรรพางค์กายเลยทีเดียว


“ฮี่ๆ! คนสวยมานี่สิจ้ะ!”


แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวหัวเราะร่วนมาปรากฏตัวตรงหน้าชิงซวง คว้าลำคอขาวผ่องของนางไว้


เมื่อชิงหลิงเห็นภาพนี้จากระยะไกล นางก็รู้สึกสิ้นหวัง


ชิงซวงไม่มีริ้วกระเพื่อมในดวงตา ขณะที่มองแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวที่พุ่งเข้ามาหา อึดใจดวงตานางก็แวววับด้วยความมุ่งมั่น ตราประทับก่อตัวขึ้น คลื่นหลิงในร่างเริ่มรุนแรงขึ้น


นางตั้งใจจะระเบิดตนเอง!


“พี่ใหญ่ชิงซวง!” เมื่อชิงหลิงรู้สึกถึงคลื่นหลิงรุนแรงใบหน้าก็ซีดลงพลางตะโกนด้วยเสียงสั่นเครือ


“นังโง่!”


แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวใบหน้าเปลี่ยนไปรุนแรง จากนั้นก็กัดฟันคิดจะหนีออกไป


แต่ทันทีที่เขากำลังจะล่าถอย ร่างเงาสองร่างก็ปรากฏที่เบื้องหน้าพร้อมกับหมัดสองหมัดที่ห่อหุ้มด้วยแสงตกผลึกพุ่งเข้าใส่หน้าอกเขา คลื่นหลิงไร้ขอบเขตรวมตัวกัน


การโจมตีเกิดขึ้นกะทันหัน แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวก็เหวี่ยงฝ่ามือออกมารับอย่างรวดเร็ว เปลวไฟสีดำพุ่งออกมาพยายามบีบให้อีกฝ่ายถอยไป


ทว่าเงาทั้งสองไม่ได้ให้ความสนใจใดๆ กับเปลวไฟสีดำที่ครอบงำ ฝ่ามือตรงเข้าใส่แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัว


ตึง!


เสียงระเบิดต่ำดังขึ้นพร้อมกับร่างแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวสั่นเทิ้มก่อนที่จะถลากลับไป ทว่าที่เขาตกใจไม่ใช่พลังอำนาจของเงาทั้งสอง แต่เป็นผลึกแสงแวววาวที่กระจายออกไปในมือทำให้เปลวไฟสีดำสลัวลงอย่างรวดเร็ว


ราวกับว่าถูกผนึกไว้


“นี่มันคืออะไร?!”


แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวอุทานเสียงลั่นขณะถอยเร็วรี่ รีบเร้าพลังงานในร่างกายไปต้านทานผลึกแสงไว้


จังหวะที่แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวถอยกลับ ร่างหนึ่งก็ปรากฏเบื้องหน้าชิงซวง เขามองคลื่นหลิงดุเดือดที่เกรี้ยวกราดอยู่ในร่างกายของชิงซวง คิ้วเขาขมวดแน่นก่อนที่ฝ่ามือจะตบลงบนหน้าอกของนาง


ผลึกแสงมันวาวพุ่งออกมาเจาะเข้าไปในร่างกายของชิงซวง ผนึกคลื่นหลิงบ้าคลั่งในร่างนางไว้ชั่วคราว


เมื่อคลื่นหลิงสงบลงช้าๆ ชิงซวงก็ปรือตาขึ้น มองเห็นใบหน้าที่อ่อนเยาว์ที่คุ้นเคยเบื้องหน้า


“มู่เฉิน” นางตกใจขณะที่กำลังจะเปิดปากพูดก็สิ้นเรี่ยวแรงหน้ามืดไป


ร่างบางร่วงผล็อยลง มู่เฉินก็เหยียดมือออกไปโอบเอวนาง เขามองชิงซวงที่เป็นลมก็อดขมวดคิ้วไม่ได้


“ไอ้เวรจากไหนกัน กล้าทำลายเรื่องดีของแม่ทัพคนนี้?!”


เมื่อมู่เฉินช่วยชิงซวงไว้ได้ เสียงตะโกนก็ดังกึกก้องอยู่ข้างหลัง

 

 

 


บทที่ 1327 ปะทะกับเหยียนหมัว

 

เมื่อได้ยินเสียงคำรามจากทางด้านหลัง


มู่เฉินก็โอบเอวชิงซวงขณะที่หันกลับไปมองแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวด้วยสายตาไม่แยแส


ยามนี้แม่ทัพเหยียนหมัวกำลังมองเขาราวกับสัตว์ร้ายที่ขุ่นเคือง


เผชิญหน้ากับความโกรธแค้นนี้ มู่เฉินก็ไม่แยแส เพียงแค่เหลือบมองในระยะไกล ชิงหลิงที่หลบออกไปไกลก็พุ่งกลับมาในเวลานี้


“มู่เฉิน?”


เมื่อเห็นมู่เฉิน ชิงหลิงก็อึ้งไป แต่เมื่อเห็นมู่เฉินประคองชิงซวงที่หมดสติ สายตาของนางก็ซับซ้อนขึ้น นางไม่คิดว่าจะเป็นมู่เฉินที่มาช่วยพวกนางเมื่อเกิดภัย


มู่เฉินแตะฝ่ามือเบาๆ คลื่นหลิงก็ห่อร่างชิงซวงพลิ้วไปหาชิงหลิง “ดูนางด้วย”


ชิงหลิงคว้าชิงซวงอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะขบฟันพูดด้วยเสียงนุ่มนวล “ขอบใจมาก!”


ก่อนหน้านี้นางไม่ได้มองมู่เฉินที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายในสายตา มิหนำซ้ำยังรู้สึกว่ามู่เฉินหยิ่งเกินไปที่ไม่ยอมรับความช่วยเหลือ


ตอนนี้นางกลับรู้สึกเสียใจและละอายใจกับการมองคนของตนเองนัก


แม้ว่าชายหนุ่มที่เบื้องหน้านางจะมีสายเลือดของตระกูลชิงแห่งเผ่าฝูถู แต่เขาไม่เคยใช้ทรัพยากรใดๆ ของเผ่า แต่กระนั้นความสำเร็จของเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ามั่วซินและเฉวียนหลัวเลย


อันที่จริงในจุดหนึ่งเขาโดดเด่นยิ่งกว่าสองคนนั่นด้วยซ้ำ


“ระวังตัวนะ เขาทรงพลังมาก” ชิงหลิงอดไม่ได้ที่จะเตือนขณะถอยฉากหลบไป นางได้เห็นพลังของแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวแล้ว แม้แต่ชิงซวงที่อยู่ในสภาพพร้อมรบก็ยังได้เพียงสกัดไว้


มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ สายตาจ้องมองไปที่แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัว เขารู้สึกได้ถึงภัยคุกคามจางๆ


เหตุผลที่เขาสามารถหวดแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวได้ก็เพราะอีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว ด้วยการเตรียมการจากนี้คงไม่ง่ายที่จะได้รับผลเช่นนั้น


มู่เฉินชุดดำและชุดขาวทะยานมายืนอยู่ข้างมู่เฉิน ทั้งสามจ้องมองแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวเขม็ง


ภายใต้สายตาสามคู่ ความป่าเถื่อนในสายตาของแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวก็ลดลงแทนที่ด้วยความเคร่งเครียด


สายตาและประสาทสัมผัสของเขาทรงพลังกว่าจอมยุทธ์เผ่าเขาที่ติดตามมา ดังนั้นเขาจึงรู้สึกได้ว่าแม้มู่เฉินจะเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย แต่พลังในการต่อสู้เกินกว่าที่แสดงให้เห็นแน่นอน


จุดนี้ตระหนักได้จากการแลกกระบวนท่ากันเมื่อครู่


“ไอ้เวร ส่งผู้หญิงสองคนนั่นมาแล้วข้าจะปล่อยแกไป!” แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวพูดขณะถลึงตามอง


ทว่ามู่เฉินเพียงยิ้มตอบ จากนั้นสายตาก็เปลี่ยนเป็นคมชัด “ไสหัวไป”


“รนหาที่ตาย!”


ความป่าเถื่อนของแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวพวยพุ่ง แม้ว่ามู่เฉินดูเหมือนจะไม่ง่ายที่จะจัดการ แต่ก็เป็นเรื่องยอมรับไม่ได้สำหรับพวกมนุษย์ที่กล้าพูดกับเขาในลักษณะนี้!


“ก่อนหน้าแกได้เปรียบก็เพราะแอบโจมตี ในเมื่อแกเรียกร้องความตายข้าก็จะทำตามความปรารถนาให้เป็นจริง!”


แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวยิ้มเหี้ยมก่อนที่จะกระแทกเท้า ทั่วบริเวณโยกคลอน เปลวไฟสีดำกวาดออกจากร่าง ขณะที่อุณหภูมิพุ่งสูงขึ้นทันควัน แม้กระทั่งบรรยากาศโดยรอบก็เริ่มลุกไหม้


แรงกดดันทรงพลังระเบิดออกมาจากแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัว


เมื่อชิงหลิงที่กำลังถอยสัมผัสได้ถึงแรงกดดันนั่น ใบหน้าของนางก็เปลี่ยนไปโดยไม่สามารถควบคุมได้ ความแข็งแกร่งของแม่ทัพคนนี้อยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มระยะปลายสุดแล้ว


เผชิญหน้ากับศัตรูดังกล่าว แม้แต่เฉวียนหลัวและมั่วซินยังลำบากเลย


“ฝ่ามืออสูรเพลิง!”


แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวสาดสายตาน่าขนลุกมองมู่เฉิน ก่อนที่มือจะตบลงกะทันหัน ทันใดนั้นเปลวไฟสีดำก็รวมตัวกันกลายเป็นฝ่ามือปีศาจเพลิงขนาดมหึมาปกคลุมท้องฟ้าพุ่งใส่มู่เฉิน


ก่อนที่ฝ่ามือจะกระแทกลงไป พื้นดินเบื้องล่างก็ทรุดตัวลงพร้อมกับป่าบนภูเขากลายเป็นทะเลเพลิง


ขณะที่ฝ่ามือพุ่งเข้ามาโดยเร็ว ม่านตามู่เฉินก็หดเกร็ง ก่อนที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆ ทันใดนั้นคลื่นหลิงไร้ขีดจำกัดสามสายก็ทะยานออกจากร่างทั้งสามคน


โฮก!


คลื่นพลังสามสายถักทอกันกลายเป็นเสายืนตระหง่านระหว่างสวรรค์และโลกปะทะกับฝ่ามืออสูร


ตึง!


แผ่นโลกสั่นสะเทือนด้วยเปลวไฟสีดำและคลื่นหลิงสร้างความหายนะไปทั่ว


วาบ!


เมื่อการโจมตีดุเดือดสองสายปะทะกัน แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวก็มาปรากฏเบื้องหน้ามู่เฉินพร้อมลูกปัดในมือปลดปล่อยลำแสงนับไม่ถ้วน


“ตาข่ายอสูรดักวิญญาณ!”


เกลียวแสงพันเข้าด้วยกันเป็นตาข่ายขนาดใหญ่ห่อหุ้มมู่เฉินทั้งสามไว้


“ฮึ ตกลงไปในตาข่ายปีศาจของข้า แม้ว่าแกจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ต้องตาย!” แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวหัวเราะเยาะ หลังจากเห็นว่าการโจมตีของตนเองประสบความสำเร็จ


ตู้ม!


ทว่าคลื่นหลิงพร่างพราวก็ระเบิดออกมาราวกับดวงอาทิตย์ลุกโชติช่วงบนตาข่ายปีศาจ อึดใจต่อมาเกลียวแสงสีม่วงทองขนาดใหญ่ก็ก่อตัวขึ้นในตาข่าย


เกลียวแสงสีม่วงทองเปล่งรัศมีอมตะ ภายใต้การกัดเซาะก็ทำลายตาข่ายอสูรอย่างรวดเร็ว


“รหัสเทพอมตะ แปรเปลี่ยนพันหมื่น หมัดเทพอมตะ!”


เมื่อตาข่ายถูกทำลาย เสียงคำรามก็ดังมาจากแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวที่ม่านตาหดลง กำปั้นสีม่วงทองขนาดหมื่นจั้งที่มีพลังน่าสะพรึงราวกับเทพแตกมิติเป็นเสี่ยงๆ ขณะที่พุ่งเข้าชน


“โล่เพลิงอสูร!”


แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวกำลูกปัด เปลวไฟที่ลุกโชติช่วงก็พัดออกมาเปลี่ยนเป็นโล่เพลิงสีดำขนาดใหญ่ที่มีลวดลายกะโหลกไขว้สลักไว้


ตู้ม!


กำปั้นใหญ่กระแทกเข้ากับโล่ พลังงานอันน่าสะพรึงกลัวสองสายก็ปะทะกัน ทว่าหมัดที่เปล่งแสงอมตะดูเหมือนจะสามารถระงับเปลวไฟปีศาจอย่างเห็นได้ชัด


ปัง!


ดังนั้นโล่ก็ใช้เวลาคงอยู่ได้ไม่กี่อึดใจก่อนที่จะระเบิด แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวก็ราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่กระเด็นกลับไปกระแทกเข้ากับภูเขาทำเอาราพณาสูรไปเลยทีเดียว


ทว่าหินก้อนใหญ่ก็ระเบิดออกขณะที่ร่างแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า สายตามองไกลออกไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เงาสีม่วงทองยืนตระหง่านอยู่บนขอบฟ้า มู่เฉินทั้งสามสาดสายตาเย็นชามองเขาจากบนไหล่ร่างใหญ่โตนั่น


“นี่คือทักษะที่เรียกว่าร่างเทห์สวรรค์ของมหาพันภพรึ?”


สายตาแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวกะพริบด้วยไอเย็นชา


“ช่างเถอะ ข้าจะแสดงให้แกเห็นถึงวิธีการของเผ่าเหยียนหมัวบ้าง!” แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวประสานมือไว้ด้วยกันพร้อมกับเปลวไฟสีดำกะพริบวูบไหวในดวงตา ราวกับจะเผาดวงตาเขาไปเลยทีเดียว


ฮึ่ม ฮึ่ม!


ท้องฟ้าที่ด้านหลังสั่นกระพือรุนแรงพร้อมกับเปลวไฟสีดำที่รวมตัวกันอย่างบ้าคลั่ง ไม่กี่อึดใจร่างปีศาจใหญ่โตสีดำก็รวมตัวกันอยู่ที่ด้านหลังแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัว


ร่างปีศาจถูกห่อหุ้มด้วยเปลวไฟสีดำ แค่เหลือบมองก็เต็มไปด้วยความรุนแรงและจิตสังหาร


ความกดดันที่น่ากลัวกำจายออกมาจากร่างปีศาจ


มองจากระยะไกล ดวงตาของมู่เฉินก็หดลงพร้อมกับความตื่นตะลึงฉายบนใบหน้า เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดว่าแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวจะมากปัญหาขนาดนี้ วิธีการเช่นนี้น่าตกใจอย่างแท้จริง


จากการประมาณ จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนธรรมดาไม่สามารถต่อกรกับแม่ทัพคนนี้ได้แน่นอน


ฮา


มู่เฉินสูดหายใจลึกๆ ใบหน้าเคร่งขรึมลง พลังของแม่คนนี้แกร่งกร้าวมาก ดูเหมือนว่าการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่จะหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว


เขาวาดตราประทับด้วยมือเพียงข้างเดียว ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็เปล่งประกายออกมาด้วยแสงสีม่วงทองพร้อมกับแรงกดดันอันทรงพลังเล็ดลอดออกมา


แต่ทันใดนั้นรัศมีเย็นเยียบทรงพลังก็พุ่งพรวดเข้ามา ทำให้มู่เฉินและแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวตกตะลึงไป ทั้งคู่เลื่อนสายตาไปจับจ้องก็เห็นว่าชิงซวงฟื้นคืนสติเรียบร้อยพร้อมกับกระบี่ยาวในมือเล็งไปที่แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัว


“นังตัวปัญหา!”


แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวสีหน้าดิ่งลง เนื่องจากรับมือมู่เฉินก็ลำบากพอสมควรแล้ว หากชิงซวงผสมโรงด้วยละก็ กระทั่งเขาก็แพ้ในการต่อสู้แน่


สายตาของเขาวูบไหว ก่อนที่จะเขม่นมองมู่เฉินเอ่ยเสียงเย็น “โชคช่วยแกในครั้งนี้ ถ้าเจอกันครั้งต่อไป ข้าจะใช้ร่างปีศาจขยี้ร่างเทห์สวรรค์ของแก!”


ทันใดนั้นร่างปีศาจก็เปลี่ยนเป็นพายุเฮอริเคนสีดำพร้อมกับเปลวไฟสีดำพัดห่อหุ้มเขาจากไปด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง


มู่เฉินไม่คิดว่าชายคนนี้จะตัดสินใจปุบปับ ทำเอาเขาอึ้งไปหลายวินาที ก่อนจะมองไปยังทิศทางที่แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวหนีไปก็อดขมวดคิ้วไม่ได้


แม้ว่าจะเป็นการแลกกระบวนท่ากันสั้นๆ แต่เขาก็รู้ถึงความน่าเกรงขามของเผ่าปีศาจ


ชายคนนั้นอาจได้รับการพิจารณาว่าอยู่ในอันดับต้นๆ ของจอมยุทธ์เผ่าปีศาจในแดนเซิ่งยวนโบราณ เพียงแต่เขาไม่ทราบว่ามีจอมยุทธ์ปีศาจระดับนี้จำนวนเท่าใดที่เข้ามาในชั้นนี้


มู่เฉินดึงสายตากลับช้าๆ ก่อนจะเม้มปาก ดูเหมือนว่าครั้งนี้ไม่ใช่งานง่ายสำหรับเขาที่จะได้รับวิชาเจดีย์แปดองค์แล้ว

 

 

 


บทที่ 1328 ข่าวของชิงเหยี่ยนจิ้ง

 

“เจ้าไม่ต้องช่วยหรอก ข้าจัดการมันได้”


มองไปในทิศทางที่แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวหนีไป มู่เฉินก็หันกลับพูดกับชิงซวง


เขาบอกได้เลยว่าชิงซวงแทบจะยืนไม่ไหว การเคลื่อนไหวก่อนหน้าเป็นการแสดงเท่านั้น


หากชิงหลิงได้ยินประโยคนี้ก่อนหน้า นางคงเริ่มถากถางมู่เฉิน แต่หลังจากได้เห็นความสามารถของมู่เฉิน นางก็พยักหน้าเห็นด้วย


ใบหน้าของชิงซวงซีดเผือดพลางยื่นริมฝีปาก “เจ้านั่นกลัวเจ้าเกินไป มันเลยวิ่งหนีทันทีที่ข้าปรากฏตัว”


แม้ว่าชิงซวงจะภูมิใจในตัวเอง แต่นางก็รู้ถึงขีดจำกัดของตน ขนาดมู่เฉินยังเห็นว่านางแกล้งทำ แล้วแม่ทัพคนนั้นจะไม่รู้ได้อย่างไร?


แต่ที่มันเลือกหลบหนีก็เพราะแรงกดดันที่รู้สึกจากมู่เฉินแรงกล้าเกินไป ทำให้ไม่มั่นใจว่าจะสามารถแบ่งสมาธิออกมาสู้กับนางได้ขณะสู้กับมู่เฉิน


มู่เฉินยิ้มจากนั้นก็ส่ายหัวไม่พูดอะไรมาก “อาการบาดเจ็บเป็นอย่างไรบ้าง?”


“ข้าพักฟื้นสักครู่น่าจะดีขึ้น” ชิงซวงพยักหน้า ในฐานะที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ลมปราณของนางจึงทรงพลังมาก


“ขอบคุณสำหรับเรื่องนี้นะ” ชิงซวงพูดเบาๆ ขณะที่จ้องมองมู่เฉิน


นางรู้ว่าหากมู่เฉินปรากฏตัวไม่ทันเวลาละก็ นางและชิงหลิงอาจจะอยู่ในสภาพที่น่าสังเวชที่สุด เนื่องจากนางสัมผัสได้ถึงความป่าเถื่อนที่แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวว่ารุนแรงเพียงใด


มู่เฉินโบกมือ “เจ้าเคยคิดช่วยข้ามาก่อน ดังนั้นถือว่าเจ๊ากัน”


เมื่อพูดจบเขาก็หันหลังกลับเตรียมจะจากไป


“มู่เฉิน เราไปด้วยกันเถอะ ตอนนี้ไม่รู้ว่ามีสมาชิกเผ่าปีศาจต่างมิติกี่คนในเจดีย์สี่เทวะ รวมตัวกันน่าจะปลอดภัยกว่านะ” ชิงหลิงพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อนางเห็นว่ามู่เฉินกำลังจะจากไป


เหตุการณ์ก่อนหน้าทำให้นางหวาดกลัวอย่างที่สุด นอกจากนี้อาการบาดเจ็บของชิงซวงยังไม่หายดี ดังนั้นถ้ามู่เฉินไปแล้ว พวกนางอาจซวยหากปะกับสมาชิกทรงพลังของเผ่าปีศาจอีก


มู่เฉินยกคิ้วขึ้น หากชิงซวงกู้คืนพลังได้ นางก็จะเป็นผู้ช่วยที่ทรงพลัง ทว่าเขาไม่ค่อยชอบกับการเดินทางกับคนที่ไม่เชื่อใจ


“หากเจ้าสนใจ ข้าสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับเผ่าฝูถูรวมถึง…แม่ของเจ้าด้วย” ชิงซวงพูดเบาๆ หลังจากครุ่นคิด


มู่เฉินหยุดก่อนที่จะโบกมือ “งั้นก็ไปด้วยกันเถอะ”


ขณะที่พูดเขาก็สะบัดแขนเสื้อ เกลียวคลื่นหลิงพวยพุ่งกวาดไปทางชิงซวงและชิงหลิง ก่อนที่ทั้งหมดจะพุ่งไปในส่วนลึก


 


“ท่านแม่ข้าเป็นยังไงบ้าง?”


ขณะที่เดินทางมู่เฉินก็เริ่มถามหลังจากเงียบไปนาน


“น้าจิ้งสบายดี” ชิงซวงและชิงหลิงเอ่ยขึ้นหลังจากแลกเปลี่ยนสายตากัน


มู่เฉินเค้นเสียงเย็น “ถูกคุมขังแบบนั้นเรียกว่าดีเหรอ?”


ชิงซวงส่ายหัว “เจ้าไม่รู้ตำแหน่งของน้าจิ้งในเผ่าบวกกับพลังที่มี แม้แต่ผู้อาวุโสใหญ่ก็ไม่สามารถปราบปรามนางได้”


“ก่อนหน้าผู้อาวุโสใหญ่กับน้าจิ้งก็มีความขัดแย้งกัน นางถึงกับเข้าควบคุมค่ายกลของเผ่า บีบให้ผู้อาวุโสต้องล่าถอย”


“ผลสรุปก็คือทางเผ่าห้ามส่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนมาตามล่าเจ้า”


ชิงซวงมองไปที่มู่เฉินจากนั้นก็พูดต่อว่า “ท่านน้าจิ้งยอมถูกคุมขังเพื่อเจ้า ไม่งั้นแม้แต่เผ่าฝูถูก็ต้องจ่ายราคามหาศาลถ้าคิดคุมขังนางเอาไว้”


หัวใจมู่เฉินสั่นไหว เนื่องจากเขานึกถึงช่วงเวลาที่เข้าไปในดินแดนของเผ่าฝูถู โดยที่มารดาของเขาช่วยให้หลบหนีออกมาได้


“มิน่าก็ว่าทำไมถึงแม้ได้รับการหมายหัวจากเผ่าฝูถู แต่ก็ไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนออกมาเคลื่อนไหวเลย ที่แท้ก็เป็นท่านแม่ที่ช่วยข้าไว้”


สายตาของมู่เฉินเปลี่ยนเป็นซับซ้อน ความอบอุ่นวาบขึ้นในใจ บางทีเขาอาจไม่ได้รับการโอบกอดตั้งแต่ยังเป็นทารก แต่ในที่ที่เขาไม่รู้ มารดาก็ได้ใช้วิธีการอื่นเพื่อปกป้องเขา


นี่เป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข


มู่เฉินเม้มปากจากนั้นก็พูดขึ้นกะทันหัน “พวกเจ้าบอกว่าท่านแม่ข้าเป็นสายเลือดตระกูลชิง แล้วทำไมพวกเจ้าถึงนั่งไม่รู้ร้อนรู้หนาวปล่อยให้นางถูกจองจำ?”


ชิงซวงถอนหายใจเบาๆ “มีหลายตระกูลในเผ่าฝูถู ตระกูลเฉวียนและมั่วทรงพลังที่สุดในตอนนี้ ส่วนตระกูลชิงของเราครั้งหนึ่งเคยทรงอิทธิพลตอนที่บิดาของน้าจิ้ง ท่านตาของเจ้าเป็นผู้นำ”


“แต่หลังจากที่เขาเสียชีวิตลง ตระกูลชิงก็เริ่มเสื่อมถอย จากนั้นน้าจิ้งก็ออกจากเผ่าไปเป็นหลายสิบปี ซึ่งน่าจะเป็นช่วงเวลาที่นางพบบิดาเจ้าและให้กำเนิดเจ้าน่ะ”


“ตอนที่น้าจิ้งกลับมา นางถูกตัดสินให้จองจำโดยสภาอาวุโสเพราะการรั่วไหลของสายเลือด ในเวลานั้นผู้แทนส่วนใหญ่ตกอยู่ในอำนาจตระกูลเฉวียนและตระกูลมั่ว แม้ว่าตระกูลชิงจะพยายามต่อสู้ก็ไร้ประโยชน์ที่จะเปลี่ยนสถานการณ์”


“นอกจากนี้ยังมีบางคนในตระกูลชิงมีความไม่พอใจต่อน้าจิ้ง เนื่องจากตัวนางถูกคัดเลือกให้เป็นผู้นำตระกูลคนต่อไป แต่นางกลับละทิ้งความรับผิดชอบไป”


“ด้วยเหตุผลหลายประการน้าจิ้งจึงถูกจองจำ…”


มู่เฉินขมวดคิ้ว “ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องการเป็นผู้นำตระกูล ทำไมต้องเอาความหวังมาวางบนบ่าท่านแม่ข้าด้วย?”


แม้ว่าเขาจะไม่เคยสัมผัสกับนาง แต่เขาก็รู้สึกได้ว่ามารดาไม่ใช่คนที่มีนิสัยอยากเป็นผู้นำ นางไม่ต้องการแบกความรับผิดชอบของสายเลือดตระกูลชิงทั้งหมดไว้


ชิงซวงยิ้มขมขื่น “เรื่องแบบนี้ใครจะไปพูดได้ชัดเจน? แต่ว่าคนตระกูลชิงส่วนใหญ่นับถือน้าจิ้ง นอกจากนี้พวกเราก็พยายามที่จะทำให้นางได้รับอิสระอยู่ตลอดเวลา”


หลังจากเงียบไปชั่วครู่สีหน้าของมู่เฉินก็สงบลง ชิงซวงไม่จำเป็นต้องโกหกเพราะสุดท้ายสักวันเขาก็จะได้รู้เรื่องพวกนี้


“เมื่อไรที่ข้าบรรลุขุมพลังเทียนจื้อจุน ข้าจะมุ่งหน้าไปที่เผ่าฝูถูเพื่อช่วยเหลือท่านแม่ออกมา” มู่เฉินสูดหายใจลึกๆ ก่อนที่จะพูดด้วยความมุ่งมั่น


ชิงซวงและชิงหลิงอึ้งไปก่อนที่จะแลกเปลี่ยนสายตากัน บรรลุขุมพลังเทียนจื้อจุนเหรอ? พวกนางสามารถสัมผัสถึงน้ำเสียงที่มั่นใจของมู่เฉินก็ทำให้ถึงกับพูดไม่ออก ขุมพลังเทียนจื้อจุนช่างอยู่ไกลเกินเอื้อม กระทั่งชิงซวงที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม เพียงก้าวเดียวก็จะเข้าสู่ระดับดังกล่าว แต่ตัวนางเท่านั้นที่รู้ว่ายากเพียงใดที่จะข้ามไปสู่ระดับนั้นได้


ในมหาพันภพยิ่งใหญ่ บางทีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มอาจมีอำนาจเบ็ดเสร็จ แต่มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้นที่อยู่ในจุดสูงสุดของมหาพันภพ


หากระดับตี้จื้อจุนเป็นราชันปกครองภูมิภาค ระดับเทียนจื้อจุนก็เป็นราชันของราชันที่มองมาจากเบื้องบน


อยู่ในจุดสูงสุดที่ไร้เทียมทาน


หากคนอื่นพูดอย่างมั่นใจว่าจะก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนพวกนางอาจจะส่ายหน้าระอา แต่สำหรับมู่เฉินพวกนางรู้สึกได้เลือนรางว่าใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้


ชายคนนี้พึ่งตัวเองมาไกลขนาดนี้โดยไม่ต้องใช้ทรัพยากรใดของเผ่าฝูถูเลย


แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย แต่ก็สามารถบีบให้แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวหนีไปได้ ความสำเร็จนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าเฉวียนหลัวและมั่วซินเลย


จินตนาการได้ว่าถ้ามู่เฉินมีจุดเริ่มต้นเหมือนพวกเขา เขาจะอยู่ในสถานะเอื้อมไม่ถึงขนาดไหน?


ชิงซวงและชิงหลิงต่างถอนหายใจในใจ ‘มู่เฉินสมกับเป็นลูกท่านน้าจิ้งจริงๆ…’


“แต่แม้ว่าเจ้าจะบรรลุขุมพลังเทียนจื้อจุน ข้าก็กลัวว่าเจ้าจะไม่ได้รับสิ่งที่ดีกับเผ่าฝูถู” ชิงหลิงอดพูดออกมาไม่ได้ เพราะนางไม่รู้สึกว่าระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงจะสามารถกวนอะไรเผ่าฝูถูได้


มู่เฉินยิ้มเงียบ ไม่ได้พูดอะไร


ส่วนชิงซวงตกอยู่ในภวังค์ความคิด เหตุผลที่ท่านน้าจิ้งยอมถูกจองจำนานหลายปีในเผ่าไม่ใช่เพราะนางกลัว แต่เป็นเพราะนางต้องการปกป้องมู่เฉิน


ในตอนนั้นมู่เฉินที่ยังไม่โตเป็นจุดอ่อนที่สุดของชิงเหยี่ยนจิ้ง


แต่ถ้ามู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนละก็ ความอ่อนแอจะลดลงอย่างมาก ในเวลานั้นถ้ามู่เฉินปรากฏตัวในเผ่าคงไม่ง่ายนักที่ชิงเหยี่ยนจิ้งจะยอมถูกจองจำอย่างเชื่อฟัง


ในเวลานั้นเผชิญหน้ากับการรวมตัวที่ทรงพลังของชิงเหยี่ยนจิ้งและมู่เฉิน ถ้าพวกตาเฒ่าล้านปีในเผ่าไม่คิดจะจ่ายราคาแบบต้องกระอัก ก็คงไม่มีอะไรที่พวกเขาจะทำได้เกี่ยวกับสองแม่ลูก


เนื่องจากพวกเขาสูญเสียโอกาสที่ดีที่สุดไปแล้ว กาลกิณีที่พวกเขาลืมเลือนได้เติบใหญ่จนไม่สามารถเอื้อมถึงได้


มู่เฉินไม่รู้ว่าชิงซวงคิดอะไรในใจ เขาแค่มองไกลออกไป “เป้าหมายของเจ้าคือวิชาเจดีย์แปดองค์ด้วยหรือ? ถ้าเป็นแบบนั้นข้าไม่ให้เจ้าแน่”


เนื่องจากเขาได้เรียนรู้วิชาสามพิสุทธิ์มาแล้ว ถ้าเขาสามารถได้รับอีกวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่าในตำนานอีก เขาจะสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงได้เลยทีเดียวเมื่อตัวเขามีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม


ชิงซวงส่ายหัวพูดเสียงเย็นว่า “เจ้าไม่ต้องคิดให้ข้าหรอก คิดหาวิธีจัดการเฉวียนหลัวและมั่วซินเพื่อรับวิชาเจดีย์แปดองค์ไปเถอะ พวกเขาไม่ยอมให้เจ้าได้รับไปแน่นอน”


มู่เฉินยิ้ม “หากพวกเขาอยากสู้นัก ข้าก็ขอดูว่าพวกเขาสามารถทำให้ข้าล้มเลิกได้ไหม”


เมื่อได้ยินคำพูดของเขา สายตาของชิงหลิงก็วูบไหวโดยไม่สามารถควบคุมได้ นางมองไปที่มู่เฉิน ชื่อเสียงของเฉวียนหลัวและมั่วซินยอดเยี่ยมมากในเผ่า แม้แต่คนที่โดดเด่นที่สุดในตระกูลชิงอย่างชิงซวงก็ยังไม่สามารถเทียบเคียงได้


แต่มู่เฉินไม่กลัวทั้งสองคน ซ้ำยังคงมั่นใจอย่างยิ่ง นี่ทำให้หัวใจของชิงหลิงโลดขึ้นเลยทีเดียว


“อย่าประมาท พวกเขาสองคนเรียนรู้วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเสมือนยอดเยี่ยม ไม่มีใครในหมู่คนระดับเดียวกันเทียบได้” ชิงซวงเตือน


“วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเสมือนยอดเยี่ยมเรอะ?”


ดวงตาของมู่เฉินหดลง แต่ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร ทั้งสองมีความโดดเด่นในหมู่คนรุ่นใหม่ของเผ่า หากพวกเขาไม่มีไพ่ตายสักสองสามใบก็ไม่สมเหตุสมผลเท่าไร


“ข้าไม่เคยดูถูกพวกเขา แต่ข้าหวังว่าพวกเขาจะไม่ประมาทข้าเช่นกัน ไม่งั้นข้ากลัวว่าพวกเขาจะต้องจ่ายในราคาจนหมดเนื้อหมดตัว” มู่เฉินมองออกไปไกลพลางยิ้ม


ชิงซวงมองไปที่ชายหนุ่มที่มีประกายคมชัดที่ไม่อาจปกปิดได้เล็ดลอดออกมาก็กัดริมฝีปากเบาๆ พร้อมกับแววคาดหวังวาบในนัยน์ตา


นั่นเพราะนางอยากรู้ว่าเมื่อพวกเขาปะทะกันใครที่จะแข็งแกร่งที่สุดในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ของเผ่าฝูถู… มู่เฉิน เฉวียนหลัวหรือมั่วซิน

 

 

 


บทที่ 1329 ความแข็งแกร่งของมั่วซินและ...

 

วาบ!


แนวป่ารกร้าง ร่างเงาที่ห่อหุ้มอยู่ในรัศมีชั่วร้ายกำลังทะยานหนีออกไป ราวกับว่าถูกบางสิ่งที่น่ากลัวไล่ล่ามา


ตึง!


แต่เมื่อกำลังจะพุ่งออกจากแนวป่าได้ กำปั้นคลื่นหลิงก็ซัดลงมาจากท้องฟ้าชนกับเงานั้นจังใหญ่


พื้นทรุดลงพร้อมกับรอยร้าวกระจายอย่างรวดเร็วราวกับใยแมงมุม เมื่อกำปั้นจางหายไปก็เหลือเพียงกองเนื้อทิ้งไว้บนพื้นไร้ซึ่งสัญญาณชีวิต


มู่เฉินปรากฏบนท้องฟ้าพร้อมกับกวาดสายตาอย่างไม่ใส่ใจจากนั้นก็ดึงสายตากลับ ร่างเงาสองร่างพุ่งมาจากระยะไกลหยุดอยู่ข้างเขา


นี่ก็คือชิงซวงและชิงหลิง


“พวกเผ่าปีศาจกำลังเพิ่มมากขึ้น” ชิงซวงมุ่นคิ้ว พวกนางปะทะกับจอมยุทธ์เผ่าปีศาจหลายกลุ่มในเวลาเพียงครึ่งวัน แต่โชคดีที่ไม่มีใครเทียบแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวได้ ดังนั้นกลุ่มปีศาจที่พวกนางพบจึงถูกจัดการจนอยู่หมัด


“เรากำลังเข้าใกล้ศูนย์กลาง” มู่เฉินเงยหน้าขึ้น เขารู้สึกได้ถึงความผันผวนเบาบางไร้ขอบเขตที่อยู่ในทิศทางนั้น


เห็นได้ชัดว่านั่นคือเป้าหมายของพวกเขา!


ใบหน้าของชิงซวงและชิงหลิงกลายเป็นเคร่งเครียดเมื่อได้ยินคำพูดของเขา พวกนางรู้ว่าจะต้องมีการต่อสู้ดุเดือดรออยู่แน่


“ไปกันเร็ว”


มู่เฉินโบกมือเร่งความเร็ว เขาไม่กลัวการปะทะดุเดือดซึ่งจะต้องเผชิญในไม่ช้านี้ ตรงกันข้ามเขาเป็นห่วงว่าบางคนอาจก้าวไปก่อนมากกว่า


เมื่อหญิงสาวทั้งสองเห็นว่ามู่เฉินใจร้อนเพียงใด พวกนางก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ทะยานตามไป


ขณะที่ทั้งสามเร่งรุด พวกเขาก็ไม่พบสมาชิกเผ่าปีศาจใดๆ อีกต่อไป แต่พวกเขากลับพบกลุ่มอื่นๆ ที่เข้ามา ส่วนใหญ่อยู่ในสภาพน่าสมเพชมาก ท่าทางคงผ่านการต่อสู้กับเผ่าปีศาจมาแบบรากเลือด


ทว่ามู่เฉินไม่สนใจกลุ่มคนเหล่านั้น แต่มุ่งเน้นไปที่การเดินทาง


ภายใต้ความเร็วสูงสุดอีกสี่ชั่วโมงต่อมาความเร็วของพวกเขาก็ลดลง มองไปที่สุดสายตาด้วยความเคร่งเครียด


ชิงซวงและชิงหลิงก็พุ่งสายตาไป


มองเห็นแท่นบูชาสีดำบนที่ราบซึ่งเป็นต้นกำเนิดของความผันผวนที่น่ากลัวนี้


“มีคนกำลังต่อสู้อยู่ที่นั่น!”


มู่เฉินดึงสายตาออกจากแท่นบูชา แต่อึดใจม่านตาของเขาก็หดลง แม้จะห่างกันไกลพอสมควร แต่เขาสามารถสัมผัสได้ชัดเจนถึงความผันผวนทรงพลังที่ระเบิดรอบแท่นบูชาที่ทำให้มิติสั่นสะเทือน


“ดูเหมือนว่ามีกลุ่มอื่นและเผ่าปีศาจมาถึงก่อนแล้ว”


มู่เฉินขมวดคิ้วจากนั้นร่างก็กลายเป็นลำแสงเคลื่อนออกไป


ไม่กี่นาทีต่อมาเขาก็ปรากฏตัวไม่ไกลจากแท่นบูชาสีดำ เมื่อเข้าใกล้ก็ได้รับรู้ถึงขนาดที่แท้จริงของแท่นบูชานี้


มีเสาหินโบราณสี่เสาอยู่บนยอดแท่นบูชาซึ่งลุกโชนด้วยเปลวไฟที่ราวกับของเหลวจื้อจุน ปลดปล่อยความรู้สึกน่าเกรงขามออกมา


สำหรับการจัดวางตำแหน่ง มีเสาหลักหนึ่งเสาอยู่ตรงกลางและอีกสามเสาอยู่รอบๆ มีโลงศพสีเทาอยู่ตรงหน้าเสาต้นกลางซึ่งล้อมรอบด้วยโซ่ที่ทำจากเปลวไฟพันรอบไว้แน่น


มู่เฉินรู้สึกว่าโลงศพราวกับหลุมดำสูบทุกสรรพสิ่ง อะไรก็ตามที่เข้าไปจะถูกกลืนกิน ช่างดูชั่วร้ายอย่างยิ่ง


“เศษวิญญาณของจอมปีศาจระดับเทียนอยู่ในโลงศพนั่นเรอะ?” มู่เฉินจ้องมองที่โลงศพ ความหวาดหวั่นวูบไหวในนัยน์ตา


“นั่นเฉวียนหลัว มั่วซินกับพรรคพวกนี่!”


ทันใดนั้นชิงหลิงก็อุทานออกมาขณะที่ชี้ไปยังอีกทิศทางหนึ่งของแท่นบูชาซึ่งมีคลื่นหลิงทรงพลังกำลังระเบิดออกมา


สภาพแวดล้อมของแท่นบูชากลายเป็นสนามรบที่วุ่นวาย ทั้งสองกลุ่มรวมตัวกันจากทุกทิศทาง ก่อนที่จะโรมรันพันตูกันดุเดือด


เฉวียนหลัวและมั่วซินดึงดูดความสนใจมากที่สุด ความผันผวนทรงพลังที่ระเบิดออกมาจากร่างกายของพวกเขาเหนือกว่าทุกคน


แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังพบศัตรูที่ทรงพลัง


ศัตรูที่มั่วซินกำลังเผชิญอยู่นั้น พวกมู่เฉินคุ้นหน้ามาก นั่นก็คือแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวที่เคยปะทะกันมาก่อน ส่วนศัตรูของเฉวียนหลัวเป็นร่างผอมบาง ร่างกายของมันผิดแผกมาก แขนของมันเป็นใบมีดยาวสีดำสนิทสองใบ


บนใบมีดมีแสงเยือกเย็นแล่นอยู่ ทุกการฟาดฟันสามารถผ่ามิติออกได้ แสดงให้เห็นว่าคมขนาดไหน


“นั่นน่าจะเป็นหนึ่งในเผ่าปีศาจสามสิบสองเผ่าหลักในจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ—เผ่าเตาหมัว!” ชิงซวงกล่าวเสียงเคร่งขรึม ในฐานะที่เป็นสมาชิกเผ่าฝูถู นางมีข้อมูลเกี่ยวกับเผ่าปีศาจไม่น้อย


“เผ่าปีศาจสามสิบสองเผ่าหลักเหรอ?”


มู่เฉินหรี่ตา ซือเทียนโยวเป็นองค์ชายจากเผ่าซือหมัวก็เหมือนจะเป็นหนึ่งในสามสิบสองเผ่าหลักด้วย


“จอมยุทธ์เผ่าเตาหมัวก็น่ากลัวเช่นกัน” สายตาของมู่เฉินเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด สามารถสู้กับเฉวียนหลัวแบบสูสีโดยไม่ถอยกลับ พลังของจอมยุทธ์เผ่าเตาหมัวคนนี้ไม่อ่อนแอกว่าแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวเลย!


ทั้งสองคนอยู่ที่ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มระยะปลายสุดแล้ว


“งั้นเราก็ลุยกันเถอะ!” ชิงซวงกล่าว แม้ว่าการต่อสู้จะเริ่มต้นแล้ว แต่ภารกิจของพวกนางก็คือปกป้องแท่นบูชา ไม่ปล่อยให้เผ่าปีศาจทำลายได้


มู่เฉินพยักหน้าพุ่งเข้าไปในสมรภูมิโดยไม่ลังเล ร่างรองทั้งสองปรากฏขึ้นข้างๆ จากนั้นทั้งสามก็พุ่งเข้าไปฆ่าฟันศัตรูราวกับพญาเสือลงจากเขา


ส่วนชิงซวงและชิงหลิงก็เข้าร่วมสังหารเผ่าปีศาจที่เล็ดลอดออกมา


มู่เฉินกวาดทุกอย่างที่เข้ามาในเส้นทาง ซึ่งสร้างความปั่นป่วนอย่างมาก ทำเอาทั้งสองฝ่ายต่างมองมาที่เขา


“หึ เจ้านั่นมาถึงนี่จนได้!”


มั่วซินเค้นเสียงเย็น ขณะที่จ้องมองไปที่ทิศทางของมู่เฉิน


“ไอ้เวรนั่น!” แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ขณะมองมู่เฉินอย่างขยาด


“แกกล้าเบนความสนใจขณะที่สู้กับข้าเชียวเรอะ?”


ขณะที่แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัววอกแวก เสียงเย่อหยิ่งเยือกเย็นก็ดังกึกก้องพร้อมกับฝ่ามือของมั่วซินที่ห่อหุ้มด้วยรัศมีสีดำเย็นเยือกครอบงำพุ่งเข้ามา ทำให้แม้แต่มิติโดยรอบก็ถูกแช่แข็งทันที


ตู้ม!


ฝ่ามือของมั่วซินกระแทกเข้าที่แผ่นอกของแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวอย่างรุนแรง ทำให้เขาถูกพัดกระเด็นออกไป ชั้นน้ำแข็งสีดำแผ่ออกไปทั่วร่างกาย


ปัง!


ทว่าน้ำแข็งก็กินเวลาอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะละลายโดยเปลวไฟสีดำที่พุ่งออกมาจากแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัว ขณะเดียวกันเสียงคำรามก็สะท้อนออกมา


“ร่างอสูรเพลิง!”


เปลวไฟสีดำรวมตัวกันก่อเป็นร่างปีศาจขนาดมหึมาด้านหลังแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัว เมื่อมองจากระยะไกลก็ราวกับปีศาจไฟล้างโลกที่เปล่งความกดดันที่น่าตกใจ


สัมผัสได้ถึงความผันผวนเหล่านั้นท่าทางของมั่วซินก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา มือประสานเข้าด้วยกันวาดตราประทับเร็วรี่โดยไม่ลังเล “ร่างอเวจี!”


รัศมีสีดำเย็นเยือกครางหวีดหวิว ก่อร่างใหญ่โตขึ้นที่เบื้องหลังมั่วซิน เปล่งไอเย็นสุดขั้วที่สามารถแช่แข็งทุกสรรพสิ่งในโลก ไอเย็นน่าขนลุกสามารถทำให้แม้แต่คลื่นหลิงในร่างกายยังถูกแช่แข็งเมื่อถูกรุกราน


“ร่างอเวจีอันดับที่ยี่สิบห้าบนทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง?”


สายตาของมู่เฉินสั่นไหวเมื่อรู้สึกถึงความผันผวน มั่วซินสมกับเป็นประมุขน้อยตระกูลมั่วเผ่าฝูถูแท้จริง ร่างเวทสวรรค์เช่นนี้ไม่ธรรมดาเลย


ตู้ม!


ขณะที่การต่อสู้ฝั่งมั่วซินขึ้นสู่จุดเดือด ในทิศทางอื่นก็มีคลื่นน่าสะพรึงกวาดคร่าออกไปเช่นกัน


ฮึ่ม ฮึ่ม


จอมยุทธ์เผ่าเตาหมัวที่กำลังเผชิญหน้ากับเฉวียนหลัวก็ปลดปล่อยรัศมีปีศาจเชี่ยวกรากที่ด้านหลัง ก่อตัวเป็นใบมีดสีดำที่มีความยาวราวหนึ่งพันจั้งลอยคว้าง


เมื่อดาบปีศาจปรากฏขึ้นก็กลืนกินจิตสังหารป่าเถื่อนในสมรภูมิ ในเวลาไม่กี่อึดใจใบมีดสีดำก็แสดงสัญญาณเปลี่ยนเป็นสีแดงโลหิต


“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่แกจะได้ตายด้วยดาบปีศาจเผ่าเตาหมัว!” จอมยุทธ์เผ่าเตาหมัวมองไปที่เฉวียนหลัวด้วยสายตาคมกริบ เปล่งเสียงแหบพร่าออกมา


“ฮ่าๆ จริงเหรอ?”


เผชิญหน้ากับจอมยุทธ์เผ่าเตาหมัว เฉวียนหลัวก็ยิ้มอ่อน แสงจำนวนมหาศาลระเบิดออกจากร่างเขา ดูราวกับดวงอาทิตย์ลุกโชติช่วง


ขณะที่ดวงอาทิตย์สว่างจ้าละลายลงก็ก่อตัวขึ้นเป็นร่างเงาขนาดมหึมาหลายหมื่นจั้งที่ข้างหลังเขา


ร่างนั้นสร้างมาจากแสงดูพร่างพราวพร้อมกับเจดีย์ผลึกแก้วใสสูงร้อยจั้งเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมาบนฝ่ามือ


เมื่อมองไปที่ร่างนั่น มู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะหดม่านตาลงพลางพึมพำ “นี่คือ… ร่างมหาเจดีย์อันดับที่สิบเจ็ด?”


มีตำนานกล่าวว่าร่างมหาเจดีย์เกิดมาจากหนึ่งในห้าของร่างมหาเทพปฐมกาล—ร่างแสงนิรันดร์ซึ่งถูกเก็บไว้ในเผ่าฝูถู!


เฉวียนหลัวมักใหญ่ใฝ่สูงแท้จริง!

 

 

 


บทที่ 1330 ซือเทียนโยวปรากฏตัวอีกครั้ง

 

ตู้ม!


ร่างปีศาจโชติช่วงด้วยเพลิงสีดำเหวี่ยงกำปั้นระเบิดมิติเบื้องล่าง จากนั้นพลังทำลายล้างและความร้อนก็ซัดอย่างรุนแรงลงบนร่างอเวจี


กำปั้นนี้สามารถฆ่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มธรรมดาได้อย่างง่ายดาย


มั่วซินยืนบนร่างเวทสวรรค์มองกำปั้นที่พุ่งเข้ามาก็แสยะยิ้มเย้ยก่อนที่จะประสานฝ่ามือเข้าด้วยกัน “ลวงตา!”


ร่างอเวจีใหญ่โตกระเพื่อมก่อนที่เงาดำจะเปลี่ยนเป็นภาพลวงตาทำให้กำปั้นทะลุผ่านไป


“ฝ่ามืออเวจี!”


เมื่อร่างอเวจีเปลี่ยนภาพลวงตา มั่วซินก็กระทืบเท้า ฝ่ามือร่างเทห์สวรรค์เปลี่ยนเป็นรูปธรรมพร้อมกับรัศมีเย็นเยือกปะทะกับร่างอสูรเพลิง


ตึง!


ฝ่ามือขนาดใหญ่ทำเอาร่างอสูรเพลิงสั่นเทิ้มก่อนที่มันจะถลากลับไปพร้อมกับไอเยือกเย็นครอบงำและดุร้ายกัดกร่อนร่าง แต่เปลวไฟที่หนาแน่นก็สามารถขัดขวางการโจมตีของร่างมหึมาไว้ได้


“ฆ่า!”


เมื่อการโจมตีถูกขัดขวางแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวก็ระเบิดอารมณ์คำรามทันที เปลวไฟลุกโชติช่วงบนร่างอสูรเพลิงพุ่งเข้าหามั่วซินอีกครั้ง


เผชิญหน้ากับแม่ทัพดุร้ายของเผ่าเหยียนหมัว มั่วซินก็เค้นเสียงเย็นทะยานออกไปพร้อมกับร่างอเวจี


ตู้ม ตู้ม!


ยักษ์ใหญ่ทั้งสองปะทะกัน ความปั่นป่วนที่น่าตกใจมากก็ทำเอาไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ เพราะกลัวว่าจะโดยลูกหลงจากการต่อสู้นี้


ขณะที่มั่วซินกำลังโรมรันพันตูกับแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัว เฉวียนหลัวที่ต่อสู้กับจอมยุทธ์เผ่าเตาหมัวก็ระเบิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ มีดปีศาจบินออกมาราวกับเครื่องจักรสังหาร ใครก็ตามที่ถูกรัศมีใบมีดกวาดใส่ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็จะกลายเป็นเนื้อสับ


มิหนำซ้ำยังทิ้งร่องรอยมีดไร้ก้นนับไม่ถ้วนไว้บนพื้นดิน


ทว่าเฉวียนหลัวไม่กลัวสักนิด ความเจิดจรัสของร่างมหาเจดีย์ก็สว่างไสว ก่อแนวป้องกันที่ไม่สามารถทำลายได้


เคร้ง เคร้ง!


ร่างมหาเจดีย์พุ่งเข้าไปในพายุรัศมีใบมีด ปล่อยให้รัศมีใบมีดคมกริบกวาดอาละวาด แต่ไม่ว่าอย่างไรการโจมตีก็ไม่สามารถฉีกแนวป้องกันของร่างมหาเจดีย์ได้


“ร่างแสงนิรันดร์ในตำนานมีการป้องกันที่ทรงพลังที่สุดในโลกและร่างมหาเจดีย์ที่ข้าได้รับก็ถ่ายทอดสิ่งนี้มา ดังนั้นการโจมตีของแกไม่สามารถผ่านแนวป้องกันของข้าได้หรอก” เฉวียนหลัวยืนอยู่บนไหล่ของร่างมหาเจดีย์ยิ้มบางขณะมองจอมยุทธ์เผ่าเตาหมัว


“ดังนั้นต่อไปตาข้าบ้างล่ะ!”


เฉวียนหลัวยิ้ม จากนั้นร่างมหาเจดีย์ก็ยกเจดีย์ที่เปล่งแสงสว่างไสวบนมือขึ้น


“รัศมีประทับ!”


เมื่อเฉวียนหลัวส่งเสียงคำราม แสงไร้ขอบเขตก็ห่อหุ้มใบมีดขนาดใหญ่และจอมยุทธ์เผ่าเตาหมัว ภายใต้ความกระจ่างใสของรัศมี รัศมีใบมีดป่าเถื่อนก็อ่อนกำลังลงอย่างรวดเร็ว


ใบมีดปีศาจดูราวกับว่าร่วงหล่นลงไปในบึงโคลน ความเร็วลดเพราะบนใบมีดถูกแสงห่อหุ้ม


เมื่อรับรู้การเปลี่ยนแปลงใบหน้าของจอมยุทธ์เผ่าเตาหมัวก็เปลี่ยนไป เขาสัมผัสได้ถึงรัศมีปีศาจบนใบมีดปีศาจถูกผนึก


เห็นได้ชัดว่าเขาประเมินความสามารถในการผนึกของเฉวียนหลัวต่ำเกินไป


“ตู้ม!”


ทว่าเฉวียนหลัวก็ไม่ได้ให้เวลาเขามากในการตกใจ ร่างมหาเจดีย์สาวเท้าออกมา เจดีย์เทพเปล่งแสงออกมาอย่างต่อเนื่อง ก่อร่างเป็นหอกทะยานไปยังจอมยุทธ์เผ่าเตาหมัวที่ถูกผนึกจนอ่อนแอลง


โฮก!


จอมยุทธ์เผ่าเตาหมัวคำรามลั่น ด้วยความคิดสายหนึ่งดาบขนาดใหญ่ก็เต้นระริกด้วยรัศมีปีศาจพวยพุ่งต่อต้านการโจมตีที่ทรงพลังจากเฉวียนหลัว


แต่เมื่อมองแล้วดูเหมือนว่าเขาจะค่อยๆ กลายเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ


 


รอบแท่นบูชา


ท่ามกลางสมรภูมิที่วุ่นวาย เมื่อมั่วซินและเฉวียนหลัวเป็นฝ่ายเหนือกว่าในการต่อสู้ ขวัญกำลังใจของจอมยุทธ์มหาพันภพก็เพิ่มสูงขึ้น ทำให้เผ่าปีศาจเริ่มแสดงให้เห็นถึงความพ่ายแพ้


“สองคนนั่นฝีมือใช้ได้เลยจริงๆ”


มู่เฉินประหลาดใจกับภาพเหตุการณ์นี้ เขาหรี่ตาลงมองร่างมั่วซินและเฉวียนหลัว จอมยุทธ์เผ่าเหยียนหมัวและเตาหมัวเป็นศัตรูที่โค่นได้ยาก แต่ก็ถูกมั่วซินและเฉวียนหลัวปราบเอาไว้ได้ นี่แสดงให้เห็นความแข็งแกร่งของทั้งสอง


แต่…มู่เฉินไม่คิดว่าการต่อสู้จะจบลงอย่างง่ายดายเช่นนี้


ตู้ม!


ขณะที่ความคิดหมุนเวียนอยู่ในใจ แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวก็เป็นคนแรกที่เปิดช่องโหว่ ถูกซัดออกไปหลายพันจั้งโดยหมัดตรงของร่างอเวจี


แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวกระอักเลือดดำเต็มปาก เขาจ้องเขม็งไปที่มั่วซินด้วยความโกรธแค้นและเมื่อเห็นว่าเผ่าปีศาจกำลังจะพ่ายแพ้ เขาก็คำรามก้องฟ้า “ซือเทียนโยว เจ้ายังไม่เคลื่อนไหวอีกเรอะ?”


เสียงคำรามดังสะท้อนก้องไปทั่วสวรรค์และโลก ทันใดนั้นแม้แต่เสียงในสนามรบก็เงียบกริบลง


“ซือเทียนโยว?”


เมื่อมู่เฉินได้ยินชื่อนั่น รูม่านตาก็หดแคบลง ‘มันก็อยู่ที่นี่เหมือนกันรึ?’


“ฮ่าๆ เหยียนลู่ ไม่คิดว่าในฐานะแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัว เจ้าจะไร้ประโยชน์อย่างยิ่ง ถูกบีบให้อยู่ในสภาพเช่นนี้โดยไอ้เด็กเวรจากมหาพันภพ” เมื่อเสียงของเหยียนลู่จบลง เสียงหัวเราะที่เสียดแก้วหูก็ดังขึ้นทันที


ทุกคนพุ่งสายตาไปก็เห็นเงาดำยืนบนแท่นมองลงมาด้วยสายตาเย้ยหยัน


เฉวียนหลัวที่กำลังเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์เผ่าเตาหมัวเมื่อเห็นเงานั้นก็ถึงกับหดดวงตา เขาสามารถสัมผัสได้ถึงรัศมีอันตรายสุดขั้วที่มาจากอีกฝ่าย


“ไอ้ตัวเสแสร้ง ไสหัวลงมาจากแท่นบูชาซะ!”


สายตาเย็นเยือกของมั่วซินจับจ้องไปที่ร่างเงานั่นขณะเค้นเสียงเย็น ร่างอเวจีเคลื่อนผ่านมิติไปปรากฏตัวต่อหน้าพร้อมกับพลังทำลายล้างกระแทกใส่ซือเทียนโยว


ซือเทียนโยวกอดอกพร้อมกับรัศมีความตายพล่านในดวงตาขณะที่จ้องมองร่างอเวจีด้วยอาการเยาะเย้ย เผชิญหน้ากับการโจมตีดุร้ายนี้ เขาไม่คิดที่จะป้องกันตัวเองสักนิด


ปิ้ว


เขาเพียงผิวปากเบาๆ


เมื่อสิ้นเสียง มิติเบื้องหน้าซือเทียนโยวก็ผันผวน โครงกระดูกปรากฏขึ้นด้วยความเร็วปานสายฟ้าโดยไม่มีใครสามารถตรวจจับได้


โครงกระดูกนั้นไม่มีพลังชีวิตใดๆ แต่เมื่อมันปรากฏขึ้น ไม่ว่าจะเป็นมู่เฉิน เฉวียนหลัวหรือแม้แต่มั่วซินก็ม่านตาหดเกร็งลง


พวกเขารู้สึกถึงแรงกดดันที่อธิบายไม่ได้จากโครงกระดูกนี้


โครงกระดูกยกดวงตากลวงโบ๋เหยียดมือออกมา ตบออกไปอย่างไม่ตั้งใจ กระแทกเข้ากับหมัดขนาดใหญ่


ตึง!


เสียงลึกต่ำดังกึกก้องในทันที มิติแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยราวกับแก้วแตก จากนั้นทุกคนก็ต้องหวาดผวาเมื่อเห็นร่างอเวจีขนาดใหญ่ปลิวออกไปเหมือนลูกกระสุนปืนใหญ่อย่างไรอย่างนั้น


ครืนๆๆๆ!


ร่างอเวจีสร้างเหวขนาดใหญ่ไว้บนพื้นซึ่งมีความยาวหลายหมื่นจั้งก่อนที่ร่างใหญ่จะหยุดลง มั่วซินที่ยืนบนไหล่ก็กระอักเลือดเต็มปาก ความตกใจหวาดหวั่นหนาแน่นฉายบนใบหน้า


เขารู้สึกไม่เชื่อขณะมองโครงกระดูกที่ยืนเบื้องหน้าซือเทียนโยว เขาไม่คิดว่ากระทั่งใช้ร่างอเวจีแข็งแกร่งนี้ เขาก็ยังปลิวออกมาโดยง่ายดาย


ทั่วบริเวณเงียบลง


กลุ่มอื่นๆ ที่มีขวัญกำลังใจขึ้นมาก็รู้สึกว่ามีน้ำแข็งราดลงมาทำให้รู้สึกเย็นเยือกไปหมด พวกเขามองโครงกระดูกนั้นด้วยความกลัว ‘พลังแบบไหนกันที่ทำให้มั่วซินต้องถลาออกไปอย่างง่ายดาย?’


ชิงซวงและชิงหลิงก็ฉายแววหวาดผวา ร่างเริ่มสั่นเทิ้ม


เฉวียนหลัวที่อยู่ไกลออกไปก็หยุดการโจมตีลง เขามองโครงกระดูกด้วยความกลัวในดวงตาก่อนที่จะพูดออกมาทีละคำ “นี่-ศพ-จอม-ปีศาจ?!”


การที่สามารถครอบครองพลังอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ได้ เฉวียนหลัวไม่สามารถหาเหตุผลอื่นใดได้ยกเว้นศพจอมปีศาจ นอกจากนี้เขายังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของราชันที่มาจากศพนั้นด้วย


แม้ว่ารัศมีจะเบาบาง แต่ราชันก็ยังคงเป็นราชัน ซึ่งเทียบได้กับระดับเทียนจื้อจุน ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่ก็ยังเป็นมดในสายตาของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนอยู่ดี


เมื่อเขาพูดออกมาก็ทำให้เกิดคลื่นความตกใจพล่านขึ้นจากกลุ่มคน หากไม่ใช่ความจริงที่ทุกคนที่นี่เป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงละก็ อาจมีบางคนเปิดตูดหนีไปแล้วก็ได้


ไม่มีใครอยากเผชิญหน้ากับจอมปีศาจแม้ว่าจะเป็นศพก็ตาม


“ถูกต้อง”


ซือเทียนโยวพยักหน้าขณะที่กวาดมองทุกคนพลางพูดเบา “พาพรรคพวกของแกไสหัวไปจากที่นี่ องค์ชายคนนี้ครอบครองชั้นนี้แล้ว”


ใบหน้าของเฉวียนหลัวมืดครึ้มลง แต่ก็ไม่ได้เคลื่อนไหว เพราะเขาสัมผัสถึงอันตรายที่มาจากซากร่าง


แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่มั่นใจว่าจะชนะ


ขณะที่เฉวียนหลัวเงียบไป ทั่วบริเวณก็ถูกกดดัน หลายคนถอนหายใจด้วยความสิ้นหวัง


แต่ทันใดนั้นพวกเขาก็เห็นร่างเงาหนึ่งลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า


“มู่เฉิน”


ชิงซวงและชิงหลิงอดอุทานออกมาไม่ได้เมื่อเห็นอีกฝ่าย


มู่เฉินยืนอยู่บนท้องฟ้ามองไปที่ซือเทียนโยวที่อยู่บนแท่น เสียงราบเรียบดังก้องประหนึ่งฟ้าคำรนสะท้อนระหว่างสวรรค์และโลก


“แกคว้าไอ้ซากนั่นไปต่อหน้าต่อตาข้า ตอนนี้ข้าจะเป็นคนเอากลับมาเอง”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)