หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1319-1322
บทที่ 1319 ตลาด
ฟิ้ว!
รัศมีโบราณกระจายไปทั่วบริเวณ ความเงียบที่ดูเหมือนจะเป็นชั่วนิรันดร์ก็หยุดชะงักลง ร่างเงาหลายร่างพุ่งทะลุขอบฟ้า ทะยานไปยังส่วนลึกด้วยความเร็วที่น่าอัศจรรย์
ขณะที่เดินทาง โครงสร้างเมืองใหญ่ก็เริ่มมองเห็นได้จากระยะไกล ดูราวกับสัตว์อสูรร้ายตัวใหญ่ที่กำลังคืบคลานอยู่บนพื้น
“เรากำลังจะถึงแล้ว!”
เวินชิงเฉวียนดีใจเมื่อเห็นภาพเมือง
หลังจากการเดินทางมาสองวันเต็ม ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงที่หมาย
มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโล่งใจ เพราะไม่ง่ายที่จะเดินทางในแดนเซิ่งยวนโบราณนี้ ภัยพิบัติที่แม้แต่จอมยุทธ์ตี้จื้อจุนยังหวาดกลัวเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ สองวันที่ผ่านมาพวกเขาก็เห็นภัยพิบัติอย่างน้อยห้าประเภท ซึ่งภัยสายฟ้าทำลายล้างที่เป็นหนึ่งในนั้นเกือบทำให้กลุ่มพวกเขาต้องสูญเสียกำลังพล
แต่โชคดีที่พวกเขามาถึงที่หมายจนได้
เมื่อพวกมู่เฉินเข้าไปใกล้เมืองมากขึ้นก็รู้สึกได้ว่ามีกลุ่มอื่นพุ่งผ่านขอบฟ้าจากทิศทางอื่นมุ่งหน้าไปยังเมืองเช่นกัน
มู่เฉินยังรู้สึกถึงความผันผวนของคลื่นหลิงจำนวนมากในเมืองอีกด้วย
“มีหลายกลุ่มมารวมตัวกันที่นี่จริงๆ” มู่เฉินหรี่ตา จากการประเมินกลุ่มเจ็ดถึงแปดส่วนที่เข้ามาในแดนเซิ่งยวนโบราณล้วนน่าจะมาที่จุดรวมตัวนี้
ดังนั้นจึงบอกได้ว่าในจุดรวมตัวนี้วุ่นวายเพียงใด
“ระวังด้วยนะ”
มองเมืองที่ใกล้เข้าไปทุกขณะ มู่เฉินก็เอ่ยเตือนทุกคน
คนอื่นๆ พยักหน้า กลุ่มที่สามารถทำภารกิจในแดนเซิ่งยวนได้ไม่ใช่ธรรมดา ถ้าเกิดการกระทบกระทั่งกันก็สร้างปัญหาน่าดู
ทุกคนพุ่งทะลุขอบฟ้าก่อนที่จะพลิ้วลงไปที่หน้าประตูเมือง เนื่องจากพวกเขารู้สึกถึงความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังบริเวณท้องฟ้าเหนือเมืองเมื่อเข้าใกล้ ความผันผวนนี้ทรงพลังอย่างยิ่ง
หากพุ่งเข้าใส่อย่างไม่ระวัง อาจทำให้เกิดการโจมตีของพลังงานก็เป็นได้
“นี่เป็นค่ายกลที่เสียหาย ระดับสูงมากเลยทีเดียว คงไม่อ่อนแอไปกว่าที่เมืองเซิ่งยวน” หลิงซีจ้องมองความผันผวนวุ่นวายบนท้องฟ้าก็อุทานออกมาเบาๆ
มู่เฉินพยักหน้า แม้ว่าค่ายกลนี้จะได้รับความเสียหาย แต่เขาก็ยังรู้สึกถูกคุกคาม แต่เขาไม่แปลกใจเนื่องจากนี่เป็นหนึ่งในสนามรบโบราณระหว่างมหาพันภพกับเผ่าปีศาจต่างมิติ ดังนั้นจึงเป็นปกติที่จะเห็นค่ายกลในระดับนี้
“ไปกันเถอะ”
มีหลายกลุ่มทะยานลงบริเวณประตูเมืองอย่างต่อเนื่อง จากนั้นก็ตั้งระวังขณะเข้าไปในตัวเมือง ส่วนมู่เฉินก็โบกมือแล้วเข้าไปภายใน
novel-lucky
เมื่อก้าวเข้ามาในเมือง อาคารพังพินาศก็ฉายเต็มสองลูกตา ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้นก็ยังรู้สึกว่าครั้งหนึ่งที่นี่เคยรุ่งโรจน์ขนาดไหน
เมืองนี้เต็มไปด้วยอาคารสูงหลายแห่ง ลือกันว่าในสมัยโบราณจอมยุทธ์ชั้นยอดนิยมสร้างเจดีย์เพื่อฝึกฝนสำหรับตนเอง ดังนั้นเจดีย์ทุกองค์จึงเป็นตัวแทนของจอมยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่
เมืองที่พังพินาศกลับมาคึกคักจากการมาถึงของผู้คนหลายกลุ่ม เสียงโกลาหลดังทั่วบริเวณ
“มีตลาดอยู่ในเมืองนี้ ซึ่งมีหลายกลุ่มจะนำของมาขาย บางทีก็เป็นสมบัติแต่ก็อาจเป็นขยะได้ด้วย ทว่าโดยรวมก็ควรค่าแก่การไปชม”
เวินชิงเฉวียนรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับจุดรวมตัวนี้มาก่อน ดังนั้นนางจึงชี้ไปที่ส่วนลึกของเมืองและยิ้มพราว
หัวใจมู่เฉินสั่นไหว แดนเซิ่งยวนโบราณใหญ่โตมาก มีจอมยุทธ์ชั้นยอดมากมายที่ละสังขารไว้ที่นี่ ดังนั้นจึงมีสมบัติมากมาย บางคนโชคดีได้พบ แต่อาจมีสายตาไม่เฉียบแหลมในการพิจารณาสิ่งของเหล่านั้น ดังนั้นหากเจอของดีในตลาดก็ถือว่าได้สวรรค์ประทานพร
“เรื่องข้อมูลให้เป็นหน้าที่ของพวกข้า ตระกูลเวินมีแหล่งข่าวมากมาย สำหรับพวกเจ้าลองไปเดินชมที่ตลาดก่อนได้” เวินชิงเฉวียนกล่าว
“ตกลง”
มู่เฉินพยักหน้า นั่นเป็นแหล่งข้อมูลของตระกูลเวินจึงไม่เหมาะที่พวกเขาจะตามไป
“งั้นเดี๋ยวเจอกัน”
เวินชิงเฉวียนโบกมือ ก่อนมุ่งหน้าไปอีกทางหนึ่งพร้อมกับพวกเวินจื่อหยู่ มองอีกฝ่ายที่ออกไป มู่เฉินก็หันหลังกลับนำลั่วหลี หลิงซีและหลงเซี่ยงเข้าไปในตลาด
ผ่านไปตามถนนที่จอแจไปข้างหน้าก็มองเห็นลานขนาดใหญ่ที่ได้รับความนิยม มีผู้คนเดินไปมาอยู่จำนวนมาก
ความนิยมนี้ไม่อาจเทียบได้กับโลกภายนอก แต่ในแดนเซิ่งยวนโบราณก็มีเพียงสถานที่แห่งนี้เท่านั้นที่ได้รับความนิยมสูงสุด
เห็นได้ชัดว่านี่ต้องเป็นตลาดที่เวินชิงเฉวียนบอก
พวกมู่เฉินแลกเปลี่ยนสายตากัน ความสนใจวูบวาบในนัยน์ตา ก่อนที่จะเดินเข้าไปภายใน ลานแห่งนี้ปูด้วยหินขนาดใหญ่ มีร่างนั่งอยู่บนหินเหล่านั้นพร้อมกับแสดงสินค้าที่เบื้องหน้า
สิ่งของทั้งหมดนั้นมีกลิ่นอายโบราณ มองเห็นรอยกะดำกะด่างจากร่องรอยของอายุ
มู่เฉินหยุดที่หน้าหินก้อนใหญ่หนึ่ง กวาดตามองวัตถุที่วางเต็มอยู่เบื้องหน้า บางชิ้นที่เป็นอาวุธมหสวรรค์ก็เปล่งคลื่นหลิงจางๆ อยู่
มู่เฉินหยิบกระบี่สีดำขึ้นมา ตัวกระบี่มีรอยแตก ใบมีดหม่นแสง แต่พลังงานที่เปล่งออกมาบางครั้งทำให้ดูไม่ธรรมดา
“ฮี่ๆ สหายสนใจกระบี่นี่รึ? กระบี่นี้ถูกสร้างโดยเหล็กเย็นเก้าอเวจีกับหินอุกกาบาต มันทนทานอย่างยิ่ง ในจุดสูงสุดก็เป็นอาวุธที่มีค่าสูงกว่าอาวุธมหสวรรค์ขั้นสูงซะอีก อาจมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมที่เคยเป็นของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน” ชายชุดเทายืนอยู่ด้านหลังแผงขายของยิ้มตาหยี
ในมหาพันภพมีอาวุธที่เหนือกว่าอาวุธมหสวรรค์ขั้นสูงก็คือขั้นเยอดเยี่ยม
แต่อาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมหายากและทรงพลัง แม้แต่จอมยุทธ์เทียนจื้อจุนบางคนก็ยังไม่มีในครอบครอง จากการประเมินของเขากระบี่ของจักรพรรดิฟ้าก็น่าจะเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยม ในจุดสูงสุดก็น่าจะอยู่ในอันดับต้นๆ เลยทีเดียว
มู่เฉินยิ้มขณะถือกระบี่ยาวสีดำถามว่า “นี่ราคาเท่าไร?”
“ราคาลดสุดๆ แล้วอยู่ที่ของเหลวจื้อจุนห้าสิบล้านหยด” ชายชุดเทาพูดขึ้น
มู่เฉินยิ้มแล้วโยนกระบี่กลับไปก่อนที่จะหันออกไป เขาไม่คิดจะพูดกับผู้ขาย กระบี่ยาวสีดำนั่นอาจเป็นสิ่งประดิษฐ์โบราณ แต่ไม่ว่าครั้งหนึ่งจะทรงพลังแค่ไหนก็เสียหายไปแล้ว กลายเป็นขยะที่สึกกร่อนตามกาลเวลา
novel-lucky
เมื่อชายชุดเทาเห็นมู่เฉินออกไปโดยไม่สนใจ เขาก็สาปส่ง
กลุ่มมู่เฉินเดินผ่านร้านรวงในตลาด พวกเขาได้เห็นสมบัติโบราณหลายอย่าง แต่ส่วนใหญ่เป็นของไร้ประโยชน์
ทว่าส่วนมากจะเป็นขยะ แต่อย่างน้อยบนแผงขายของแผงหนึ่งมู่เฉินก็รู้สึกถึงวัตถุสองชิ้นที่ไม่ธรรมดา จากการประเมินทั้งสองน่าจะเป็นสมบัติของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ซึ่งเจ้าของคนก่อนของมันไม่ได้อ่อนแอเลย
นี่เป็นไม้ยาวและพลองที่น่าจะเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยม ก่อนที่จะได้รับความเสียหาย
แม้ว่าทั้งสองรายการจะไม่ธรรมดา แต่มู่เฉินก็ไม่มีความตั้งใจที่จะซื้อ นั่นเพราะมีคนจำนวนมากสนใจ มิหนำซ้ำพวกเขายังร่ำรวย ในเวลาเพียงไม่กี่นาทีราคาก็ถูกปั่นไปถึงพันล้านหยด ซึ่งมู่เฉินไม่มีกำลังทรัพย์ในการซื้ออาวุธที่เสียหาย
วัตถุเช่นนั้นต่อให้ได้มาก็ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากในการฟื้นฟู
ดังนั้นทั้งกลุ่มจึงไม่ได้ซื้ออะไรและไม่เห็นอะไรที่พึงพอใจ ซึ่งทำให้พวกเขาอดเสียดายไม่ได้
มู่เฉินกวาดสายตาก็พบว่ากำลังจะถึงท้ายตลาดแล้ว ขณะที่ตั้งใจจะกลับไปรวมกลุ่มกับเวินชิงเฉวียน เขาก็หยุดชะงักเมื่อเดินผ่านแผงหินขนาดใหญ่
แววตาของเขาสั่นไหวก่อนจะหยุดฝีเท้าลง สายตาเขาจ้องอยู่บนก้อนหินใหญ่ที่มีแผงขายของเล็กๆ ที่แสดงวัตถุอยู่หลายชิ้นที่มีกลิ่นอายโบราณ คลื่นหลิงหม่นแสง
สายตาของมู่เฉินกวาดผ่าน ก่อนที่จะหยุดบนแผ่นทองแดงที่เปรอะเปื้อนไปด้วยโคลน เขาหยิบมันขึ้นมาเช็ดโคลนออก ก่อนที่ความมันวาวจะปรากฏให้เห็น
นี่เหมือนจะเป็นแผ่นทองแดงที่แตกหัก ทว่าแผ่นทองแดงนี่ถูกขัดจนมันวาวมาก สามารถมองเห็นอักขระโบราณสะท้อนถึงต้นกำเนิดโบราณของวัตถุนี้
มู่เฉินมองไปที่แผ่นทองแดง แม้ว่าสายตาจะสงบแต่หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ เนื่องจากเขารู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนจากเจดีย์ในร่างกายเมื่อเดินผ่าน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาถือแผ่นทองแดงนี้ไว้ในมือ เจดีย์ในร่างกายก็ยิ่งสั่นรุนแรง ถ้าไม่ใช่เขาพยายามระงับเอาไว้ละก็ เขาอาจสูญเสียการควบคุมเจดีย์ไปแล้ว
เห็นได้ชัดว่าวัตถุนี้จะต้องเชื่อมโยงกับเผ่าฝูถูแน่
แววตาของมู่เฉินสั่นไหว ขณะที่เอ่ยถามชายวัยกลางคนร่างผอม “นี่ราคาเท่าไร?”
ชายวัยกลางคนมองมาที่มู่เฉินตอบอย่างนิ่งเฉย “แปดสิบล้าน”
มู่เฉินเลิกคิ้วขึ้นเมื่อได้ยิน “ไม่แพงไปหน่อยเหรอ?”
ชายวัยกลางคนยิ้ม “สหายแม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าวัตถุนี้คืออะไร แต่ข้ารู้ว่าต่อให้ข้าโจมตีด้วยพลังทั้งหมดที่มี ก็ไม่สามารถสร้างความเสียหายได้แม้แต่น้อย ซึ่งนี่บอกได้วัตถุนี้ไม่ธรรมดา อีกอย่างดีที่ข้าไม่รู้ว่ามันใช้งานยังไง ไม่งั้นเจ้าคิดว่าข้าจะเอาออกมาขายเรอะ?”
มู่เฉินพูดไม่ออก คนที่สามารถเข้ามาในแดนเซิ่งยวนโบราณได้ไม่ใช่พวกธรรมดาเลยจริงๆ ชายคนนี้ก็ดูเหมือนจะมีสายตาพอสมควร
ดังนั้นมู่เฉินจึงไม่พูดมากความ โบกแขนเสื้อ ขวดหยกขวดหนึ่งก็บินไปหาชายวัยกลางคน ขณะที่เขาถือแผ่นทองแดงไว้ “งั้นข้าซื้อ”
ทว่าทันใดมือข้างหนึ่งก็ยื่นออกมาจากด้านหลังทะลุผ่านมิติคว้ามาที่แผ่นทองแดงในมือมู่เฉิน
ขณะเดียวกันเสียงไม่แยแสก็ดังก้อง
“ข้าเอาสิ่งนี้”
บทที่ 1320 ประมุขน้อยมั่วซิน
“ข้าเอาสิ่งนี้”
ขณะที่เสียงไม่แยแสดังก้อง มือก็เคลื่อนเข้าไปหยิบแผ่นทองแดงในมือมู่เฉิน ซึ่งรวดเร็วมากจนตั้งตัวไม่ทัน
ถ้าเป็นคนธรรมดาอาจไม่ทันตั้งตัว ทว่าอย่างไรมู่เฉินก็ไม่ใช่คนธรรมดา
เมื่อมือนั้นเอื้อมออกมา สีหน้าของมู่เฉินก็เย็นเยือกในทันที ประกายแหลมคมวูบไหวในนัยน์ตา
เขาไม่ได้สนใจแผ่นทองแดงที่กำลังจะถูกคว้าไป มืออีกข้างดึงกลับราวกับใบมีด ขณะเดียวกันเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์ก็วาบขึ้นในรูม่านตา คลื่นหลิงทรงพลังทะลักออกมาราวกับลอนคลื่น
ฮึ่ม ฮึ่ม!
คลื่นหลิงรวมตัวกันในฝ่ามือดูราวกับใบมีดแวววาว ทำให้กระทั่งมิติยังฉีกออกจากกัน
หากโดนซัดเข้าละก็ แม้แต่แขนของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็แยกออกเป็นสองส่วนได้
“หืม?”
การสับมือดังกล่าว ทำให้เสียงอุทานดังขึ้น คนที่เคลื่อนไหวก็ตกใจกับการโจมตีที่เด็ดขาดของมู่เฉิน
หากเขายังคิดคว้าแผ่นทองแดง เขาอาจจะต้องเสียมือไว้ไปพร้อมกับจานยันต์เป็นแน่
“หึ”
อีกฝ่ายไตร่ตรองคร่าวๆ ก่อนที่จะเหยียดนิ้วทั้งสองออกไปพร้อมกับรวบรวมคลื่นหลิงไว้ที่ปลายนิ้วแล้วแทงไปที่มือของมู่เฉิน
แคว๊ก!
จังหวะนั้นเมื่อฝ่ามือและนิ้วมือปะทะกัน คลื่นกระแทกที่มองเห็นได้ก็กระเพื่อมออกมา แม้แต่มิติยังแตกเป็นเสี่ยงราวกับแก้ว
ทั้งสองถอยกลับอย่างรวดเร็ว ระหว่างการโบกแขนเสื้อ คลื่นหลิงทรงพลังก็พุ่งออกมาสลายชิ้นส่วนต่างๆ ของมิติออก
เมื่อมู่เฉินถอยกลับ เขาเพ่งสายตาไปยังอีกฝ่ายด้วยแววเย็นชาก่อนที่ดวงตาจะหรี่แคบลง
เนื่องจากเขาพบว่าคนที่เคลื่อนไหวไม่ใช่คนไม่คุ้นเคย นี่คือประมุขน้อยมั่วซินแห่งเผ่าฝูถูนั่นเอง
ยามนี้มั่วซินก็กำลังจ้องมองมู่เฉินด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ สายตาเย็นเยือกขณะยื่นมือออกมา “ส่งสิ่งนั้นมาให้ข้า”
น้ำเสียงของเขานิ่งเฉยแฝงความเย่อหยิ่ง เพราะด้วยสถานะของเขาไม่มีใครในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ของเผ่าฝูถูกล้าแย่งอะไรก็ตามที่เขาหมายตา
แต่น่าเสียดายที่มู่เฉินไม่ได้เป็นหนึ่งในนนั้น ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินคำพูดของมั่วซิน เขาก็ยิ้มอ่อนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “แม้ว่าเจ้าจะมาจากเผ่าฝูถู แต่ดูเหมือนว่าพ่อแม่จะไม่ได้สั่งสอนนะ”
“ไอ้กาลกิณี แกรนหาที่ตาย!”
ได้ยินคำพูดถากถางของมู่เฉิน แววตาของมั่วซินก็เย็นเยือกลงพร้อมกับไอสังหารลุกโชน ทำให้อุณหภูมิในบริเวณลดต่ำลง
มีสายตามากมายอยู่ที่นี่ การเผชิญหน้าระหว่างทั้งสองจึงได้รับความสนใจอย่างมากในทันที แต่ไม่มีใครหยุดพวกเขา ตรงกันข้ามทุกคนกำลังมองด้วยความสนใจ เพราะไม่มีกฎใดในแดนเซิ่งยวนโบราณ ที่นี่ปฏิบัติตามกฎใครแข็งแกร่งกว่าเป็นผู้มีอำนาจ
หลายคนเคยได้ยินชื่อของมั่วซิน เนื่องจากเขาเป็นประมุขน้อยตระกูลหนึ่งของเผ่าฝูถู ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ว่ามั่วซินน่าเกรงขามอย่างไร แต่ที่พวกเขาสงสัยคือ ชายหนุ่มที่เป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ไปเอาความกล้ามาจากไหนถึงกล้าเยาะเย้ยมั่วซิน?
ขณะที่สายตามากมายจับจ้องมาในบริเวณนี้ บนแผ่นหินไม่ไกลร่างหลายร่างก็หยุดชะงักพลางสอดส่ายสายตา เมื่อพวกนางเห็นว่ามู่เฉินและมั่วซินยืนเผชิญหน้ากัน สีหน้าก็เปลี่ยนไป
“เจ้าบ้านั่นไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริงๆ ทำไมถึงไปยั่วมั่วซินเข้า!” เสียงรีบร้อนดังกึกก้อง หญิงสาวหน้าตาหวานมองอย่างร้อนใจในทิศทางนั้น
นางก็คือชิงหลิงจากเผ่าฝูถู
ที่ยืนอยู่ข้างๆ เป็นผู้หญิงที่งดงามที่กำจายรัศมีเย็นเยือก—ชิงซวง
เมื่อมองสถานการณ์ที่เกิดขึ้น หัวคิ้วนางก็มุ่นเข้าด้วยกัน ในฐานะที่เป็นสมาชิกเผ่าฝูถู นางรู้ถึงความแข็งแกร่งของมั่วซิน ท่ามกลางจอมยุทธ์รุ่นใหม่เผ่าฝูถูมีเพียงเฉวียนหลัวเท่านั้นที่สามารถต่อสู้กับมั่วซินได้
แม้ว่านางจะต่อสู้อย่างสุดความสามารถ นางก็ทำได้เพียงเสมอตัว เป็นไปไม่ได้ที่ที่จะได้เปรียบในการต่อสู้
มั่วซินและเฉวียนหลัวต่างเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มระยะปลายสุด ในทางปฏิบัติแทบจะอยู่ยงคงกระพันภายใต้ระดับเทียนจื้อจุน
มู่เฉินเผชิญหน้ากับเขาได้อย่างไรไม่รู้ แต่ผลลัพธ์สุดท้ายคงไม่ดีแน่
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ชิงซวงก็กัดบนริมฝีปากก้าวเดินออกไป นางสัญญากับป้าเซวียนว่าจะพยายามช่วยมู่เฉินเพื่อที่เขาจะไม่ถูกเล็งหัวจากเฉวียนหลัวและมั่วซิน
ดังนั้นแม้ว่านางจะรู้ว่านี่ไม่ดีสำหรับตนเองที่จะรุกรานมั่วซิน นางก็ยังเลือกที่จะเข้าไปยุ่ง
เมื่อชิงหลิงเห็นภาพนี้ นางก็คิดจะดึงชิงซวงกลับมา เพราะนางรู้ดีว่าการรุกรานมั่วซินสร้างแรงกดดันอย่างมากให้กับชิงซวง
แต่ชิงซวงกลับโบกมือเพื่อหยุดชิงหลิง อีกฝ่ายกระทืบเท้าด้วยความโกรธขณะจ้องมองไปที่มู่เฉิน นางไม่คิดว่าพวกนางจะถูกดึงเข้าไปในเรื่องนี้ ทั้งที่เพิ่งมาถึงที่นี่
นางติดตามชิงซวงไปอย่างรวดเร็ว ทว่าทันใดนั้นชิงซวงก็หยุดฝีเท้าลง
“พี่ใหญ่ชิงซวงเกิดอะไรขึ้นเหรอ?” ชิงหลิงถามด้วยความสงสัย หรือว่าพี่ชิงซวงเปลี่ยนความคิดแล้ว? แต่มู่เฉินเป็นลูกชายของน้าจิ้ง นับตามสายเลือดเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลชิงเช่นกัน ดังนั้นนางเองก็ไม่ได้รู้สึกดีที่จะเห็นมู่เฉินถูกรังแก
ด้วยความคิดนี้ชิงหลิงก็รู้สึกสับสน
ทว่าชิงซวงไม่ได้สนใจเรื่องนี้ สีหน้าเย็นชาหันมองไปทางขวา เมื่อชิงหลิงมองตามไป สีหน้านางก็เปลี่ยนไป
ที่ตรงนั้นมีร่างเงาหลายร่าง คนนำหน้าเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลายืนเอามือไพล่หลัง สายตามองมาที่ชิงซวงด้วยรอยยิ้มไม่อนุญาตให้นางก้าวออกไป
“นั่นเฉวียนหลัว ทำไมเขาก็มาที่นี่?!” ชิงหลิงอุทานด้วยสีหน้าน่าเกลียด
ใบหน้าของชิงซวงเปลี่ยนไป เพราะนางรู้ความหมายในสายตาเฉวียนหลัว ถ้านางช่วยมู่เฉิน เฉวียนหลัวก็จะเข้ามาหยุดนาง
นางกำมือแน่น สายตาวูบไหว สุดท้ายนางก็ไม่ได้ก้าวเดินออกไปต่อ เนื่องจากนางรู้ว่านั่นจะไร้ประโยชน์ ตราบใดที่เฉวียนหลัวขัดขวางนางก็ไม่มีทางผ่านไปได้
“มู่เฉิน หวังว่าเจ้าจะออกจากสถานการณ์นี้ได้อย่างรวดเร็ว”
ชิงซวงมองมู่เฉินจากที่ไกลก็ทอดถอนหายใจ
เมื่อเฉวียนหลัวเห็นว่าชิงซวงหยุดแล้ว เขาก็ละสายตากลับมองไปที่มู่เฉินและพึมพำในใจ “คู่นั้นฟัดกันเรื่องอะไร?”
เนื่องจากอยู่ห่างออกมา แม้เขาจะรู้ว่ามู่เฉินและมั่วซินกำลังต่อสู้เพื่ออะไรบางสิ่ง แต่ก็ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร นอกจากนี้เขายังไม่แน่ใจว่ามั่วซินจงใจหาเรื่องมู่เฉินหรือไม่
“นั่นคือกาลกิณีที่มีชื่อเสียงดังเป็นพลุแตกในเผ่าฝูถูช่วงนี้เหรอ?” ขณะที่เฉวียนหลัวรู้สึกสงสัยในใจ เสียงอ่อนโยนและมีเสน่ห์ก็ดังกังวานจากด้านข้าง
นางเป็นหญิงสาวสวมชุดดำที่มีรูปลักษณ์โดดเด่นอย่างมาก ผิวของนางขาวราวหิมะ คิ้วเข้ารูป นางเผยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ที่มุมปาก ท่าทางไว้ตัวและสูงส่งทำให้มีเสน่ห์ยิ่งกว่าเดิม
นี่เป็นสตรีที่งดงามแต่กำเนิด
“ฮ่าๆ ดูเหมือนว่าแม่นางซินเอ๋อจะรู้ข่าววงในของเผ่าฝูถูของข้ามาดีทีเดียว” เฉวียนหลัวยิ้ม
หญิงสาวยกสายตาขึ้นตอบว่า “ข้าเป็นเสมือนธิดาเทพของเผ่าไท่หลิง ไม่แปลกที่ข้าจะรู้ข้อมูลบ้างนี่?”
เฉวียนหลัวยิ้มพลางพยักหน้า หญิงสาวคนนี้ชื่อว่าไป๋ซินเอ๋อ นางเป็นหญิงสาวที่มีชื่อเสียงมากในเผ่าฝูถู ว่ากันว่าถ้านางสามารถบรรลุภารกิจในแดนเซิ่งยวน นางก็จะได้รับการยืนยันในฐานะธิดาเทพคนใหม่แห่งเผ่าไท่หลิง
ด้วยสถานะดังกล่าวก็คุ้มค่าที่เฉวียนหลัวจะสร้างความสัมพันธ์ไว้
“นอกจากนี้”
ไป๋ซินเอ๋อยิ้มสายตาหยุดอยู่ที่ร่างเงาข้างมู่เฉิน แววแปลกประหลาดปรากฏขึ้น
“หญิงสาวที่อยู่ด้านข้างนั่นคือคู่ต่อสู้คนสำคัญของข้าในแดนเซิ่งยวนโบราณครั้งนี้”
“นางมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นเองไม่เห็นจะต้องกลัว นางจะแข่งกับเจ้าได้อย่างไร?” เฉวียนหลัวยิ้มขณะที่กวาดสายตามองไปที่ลั่วหลี ความตื่นตะลึงปรากฏในดวงตาเขาเมื่อเห็นลั่วหลี แต่ก็สงบลงได้อย่างรวดเร็ว
“พี่ใหญ่เฉวียนปากหวานจริงๆ” ไป๋ซินเอ๋อยิ้มปิดปาก
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน ผู้คนจำนวนมากก็รวมตัวกันมากขึ้น ขณะที่จิตสังหารที่เบื้องหลังนัยน์ตามั่วซินหนาแน่นขึ้น วินาทีต่อมาเขาก้าวออกไปทันที
ตู้ม!
ความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังระเบิดออกราวกับภูเขาไฟ ขณะเดียวกันเสียงของมั่วซินซึ่งเต็มไปด้วยเจตนาการฆ่าก็สะท้อนออกมา
“ในเมื่อแกไม่อยากรับความปรารถนาดีของข้า งั้นก็กลับไปสนุกให้พอในคุกเผ่าฝูถูเถอะ!”
“ไอ้คนบาปต่ำตมที่ไม่รู้จักประมาณตน!”
บทที่ 1321 แสดงพลังอำนาจ
ตู้ม!
คลื่นหลิงราวกับภูเขาไฟระเบิดออกในตลาดทำให้มิติสั่นสะเทือน ผู้คนจำนวนมากที่เฝ้ามองถึงกับเปลี่ยนสีหน้า พวกเขาถอยกันจ้าละหวั่น แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มยังมองมั่วซินด้วยสายตาหวาดกลัว
ประมุขน้อยเผ่าฝูถู สมคำล่ำลือจริงๆ
ท่ามกลางสายตาหวาดกลัวมากมาย สายตาของมั่วซินก็จับจ้องไปที่มู่เฉินราวกับเหยี่ยว วินาทีต่อมาเขาก้าวออกไปร่างเงาทะยานไปหามู่เฉินทันที
แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มยังมองเห็นเพียงภาพมายาเท่านั้น
“เร็วมาก!”
หัวใจของผู้คนสั่นไหว เผชิญกับความเร็วนี้พวกเขาไม่มีเวลาที่จะป้องกันตัวก่อนที่การโจมตีของมั่วซินจะมาถึงตัวแน่นอน
“แกยังไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดคำเหล่านี้กับมู่เฉิน!”
ทว่าเมื่อมั่วซินทะยานเข้ามา หลิงซีก็เป็นคนแรกที่เกรี้ยวกราด ในแง่ของสถานะมู่เฉินไม่ได้ต่ำกว่ามั่วซินเลย แต่คำพูดของชายคนนี้ช่างจองหองไม่เห็นมู่เฉินอยู่ในสายตา
ใบหน้าของหลิงซีเย็นเยือกขณะที่โบกมือ แสงดาวนับไม่ถ้วนรวมอยู่ในสภาพแวดล้อมก่อร่างเป็นค่ายกลห่อหุ้มมั่วซินไว้ภายใน
โฮก!
คลื่นหลิงทรงพลังรวมตัวกันอย่างรวดเร็วในค่ายกล ถักทอเป็นมังกรสิงห์ส่งเสียงคำรามดุร้าย
มังกรสิงห์นี้เหมือนจริงอย่างยิ่ง ขณะที่คำรามก็เปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งเข้าหามั่วซินด้วยความดุร้าย
“ค่ายกล? กลสั่วๆ”
มั่วซินเยาะเย้ยไม่คิดหยุดลง เขาเหวี่ยงหมัดออกไปพร้อมกับคลื่นหลิงรุนแรงรวมตัวกันบนกำปั้น ชั้นแสงสีดำห่อหุ้มกำปั้นของเขาเอาไว้
ตู้ม!
กำปั้นปะทะกับหัวมังกรสิงห์ มิติผันผวนและแตกออกจากกัน ขณะที่มังกรสิงห์ระเบิดออกทันที
เห็นได้ชัดว่าค่ายกลที่หลิงซีสร้างขึ้นอย่างเร่งรีบ ไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อมั่วซินเลย
“ในเมื่อแกเสนอหน้าเอง งั้นข้าจัดการแกก่อนแล้วกัน!” มังกรสิงห์แตกสลายจากกำปั้น เงาร่างมั่วซินก็ทะลวงมิติมาปรากฏตัวต่อหน้าหลิงซี คลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัวห่อหุ้มกำปั้น พุ่งไปที่หน้าอกของหลิงซีหมายที่จะฆ่าในกระบวนท่าเดียว
การโจมตีของมั่วซินรวดเร็วมาก เมื่อเทียบกันแม้แต่หวู่ทงที่สู้มาก่อนหน้าก็เทียบไม่ติด
ดังนั้นเมื่อหมัดซัดมา หลิงซีก็ขมวดคิ้วเบาๆ สัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนกลั่นตัวเร็วรี่ นางไม่ได้เลือกที่จะป้องกัน เพราะตราบใดที่สามารถสร้างค่ายกลนี้ได้เสร็จสิ้น แม้แต่มั่วซินก็ต้องจ่ายราคาแพงระยับ
แต่แน่นอนว่านางก็จะได้รับบาดเจ็บสาหัสจากมั่วซิน
นี่เป็นการต่อสู้แบบไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะ
แต่เมื่อการโจมตีของมั่วซินพุ่งเข้ามาใกล้หลิงซี ข้อมือนางก็ถูกดึงกลับทันที
ในเวลาเดียวกันร่างของมู่เฉินก็พุ่งออกมาราวกับเสือดาว รัศมีร้ายกาจพวยพุ่งในดวงตาขณะที่กระโจนเข้าใส่มั่วซิน
“เลิกหลบอยู่หลังผู้หญิงแล้วเรอะ?” เมื่อเห็นมู่เฉินพุ่งเข้ามา ความเยาะเย้ยที่แขวนอยู่บนริมฝีปากของมั่วซินก็แน่นหนาขึ้น ทว่าการโจมตีของเขาไม่แสดงสัญญาณจะผ่อนลง ตรงกันข้ามความผันผวนของคลื่นหลิงที่มากับหมัดกลับหนาแน่นมากขึ้น
เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจจะจัดการมู่เฉินด้วยกำปั้นเดียว
มู่เฉินไม่มีสีหน้าใด เจดีย์ศักดิ์สิทธิ์ส่องประกายแวววับในดวงตา คลื่นหลิงในร่างกายเขาได้รับการปรับเปลี่ยน ขยายเป็นผลึกคลื่นหลิงที่ราวกับคลื่นเชี่ยวกรากโหมกระหน่ำในร่างกาย
ประจันหน้ากับหมัดดุเดือดของมั่วซิน มู่เฉินก็ขว้างหม้ดใส่ไปเช่นกัน
ผลึกคลื่นหลิงรวมตัวกันที่กำปั้นของเขา ทำให้ท่อนแขนตกผลึกพร้อมกับความผันผวนที่ไม่สามารถทำลายได้สั่นไหวในมิติ
นอกจากนี้ผลึกคลื่นหลิงยังวูบไหวมาพร้อมกับความผันผวนที่แปลกประหลาด ซึ่งทำให้คลื่นหลิงในฟ้าดินไม่กล้าเข้าใกล้
“เจดีย์พุทธะจริงด้วย!”
ดวงตาของมั่วซินสั่นไหว ในเผ่าฝูถูมีเพียงเจดีย์พุทธะที่มีความสามารถในการผนึกที่บริสุทธิ์และทรงพลังเพียงนี้ คลื่นหลิงใดๆ จะถูกผนึกอย่างรวดเร็วเมื่อถูกสัมผัส
“แต่นี่ไร้ประโยชน์กับข้า!”
มั่วซินเค้นเสียงเย็นขณะที่แสงสีดำกะพริบในนัยน์ตา มีเจดีย์ปรากฏในรูม่านตาของเขาด้วย ทว่ามันเป็นสีดำสนิท
เจดีย์สีดำนี้ก็เป็นสิ่งหายากในเผ่าฝูถู มีเพียงสายเลือดบริสุทธิ์ที่สุดของตระกูลมั่วเท่านั้นถึงสามารถฝึกฝนได้ แม้ว่าเจดีย์จะมีความสามารถในการปิดผนึก แต่ก็ไม่ได้บริสุทธิ์เท่าเจดีย์พุทธะ มิหนำซ้ำยังมืดมนและน่ากลัวกว่า
แสงสีดำเปลี่ยนท่อนแขนของมั่วซินเป็นสีดำสนิทพร้อมกับควันดำเชี่ยวกราก ราวกับว่ามีความสามารถในการกัดกร่อน เมื่อควันลอยขึ้นก็ทิ้งรอยดำไว้ในมิติ
ตู้ม!
หมัดแสงสว่างและมืดมิดปะทะกันอย่างดุเดือด อึดใจต่อมาแสงสองสายก็ระเบิดออก พวกมันพยายามที่จะกัดเซาะซึ่งกันและกันอยู่ตลอดเวลา แม้แต่พื้นดินที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาก็ทรุดตัวลง ทิ้งรอยร้าวราวกับใยแมงมุมขนาดใหญ่ไว้บนพื้นเมื่อแผ่ขยายออกไป
คลื่นหลิงทรงพลังกวาดออก ขณะที่มู่เฉินและมั่วซินตัวสั่นสะท้าน มู่เฉินถอยหลังออกไปหลายสิบก้าว หินก้อนใหญ่ที่เบื้องหลังแตกสลายเป็นเถ้าถ่านตั้งแต่ยังห่างออกไปหลายสิบจั้ง
“เป็นแค่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายยังกล้าเสนอหน้ากับข้าเรอะ?” มั่วซินก้าวถอยไปไม่กี่ก้าว ชัดว่าเขาได้เปรียบจากกระบวนท่านี้ เขาเค้นเสียงเย้ยหยัน
ฮึ่ม
แต่เมื่อเสียงของเขาจางลง เขาก็รู้สึกถึงคลื่นมิติทางด้านขวามือ ภาพเงาปรากฏขึ้นพร้อมกับหมัดทรงพลังปกคลุมไปด้วยผลึกแสง
การจู่โจมฉับพลันทำให้มั่วซินประหลาดใจ เนื่องจากมู่เฉินถูกโจมตีอย่างชัดเจนจากกระบวนท่าของเขา ดังนั้นตอนนี้ใครกันที่กำลังซัดใส่เขา?
แม้จะประหลาดใจ แต่ก็มีปฏิกิริยาทันท่วงที เขาตบฝ่ามือออกไปปะทะกับกำปั้นผลึกใส
ปัง!
ในการเผชิญหน้าครั้งนี้มั่วซินกลับเป็นฝ่ายที่ต้องทนทุกข์ มือของเขาสั่นเทาก่อนที่จะกระเด็นออกไป
ขณะที่ถอยกลับใบหน้าของมั่วซินก็มืดครึ้มพร้อมกับความตื่นตะลึงวูบไหวในดวงตา นั่นเป็นเพราะทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเป็นมู่เฉินที่ทำร้ายเขา
“ทำไมมีมู่เฉินสองคน?” หัวใจของมั่งซินตะลึงลาน
“ไม่ ยังมีอีกคน!”
เวลานี้มั่วซินรู้สึกถึงความผันผวนของพลังงานจากด้านหลัง ม่านตาถึงกับหดลง แต่คราวนี้เขาก็ไม่ทันป้องกันแล้ว คลื่นหลิงทรงพลังปะทะกับแผ่นหลังของเขา
ปัง!
พลังน่าสะพรึงกลัวระเบิดขึ้น มั่วซินกระเด็นออกไปราวกับกระสุนปืนใหญ่ แหวกเป็นทางยาวก่อนที่ร่างจะถูกฝังอยู่ในซากปรักหักพัง
เงียบชี่
ทั้งตลาดตกอยู่ในความเงียบงัน หลายคนฉายแววตกตะลึงในสายตา พวกเขาไม่เคยคิดว่านี่จะเป็นผลลัพธ์ระหว่างการเผชิญหน้าของทั้งสอง
การปะทะกันในกระบวนท่าแรกมู่เฉินตกเป็นเบี้ยล่างอย่างชัดเจน แต่ไม่มีใครคิดว่าจะมีมู่เฉินอีกสองคนที่มีพลังคล้ายกันปรากฏขึ้น ทำให้มั่วซินตกอยู่ในสภาพที่น่าสมเพช
“นี่มันร่างดวงจิตอะไรกัน? ทำไมถึงกับมีพลังเทียบเท่ากับร่างหลักได้!” ทุกคนมองไปที่ร่างทั้งสามด้วยความหวาดผวา พวกเขาปล่อยรัศมีที่เหมือนกัน แต่ล้วนมีความผันผวนของคลื่นหลิงที่ทรงพลัง
เมื่อกลุ่มชิงซวงเห็นภาพนี้จากที่ไกล พวกนางก็เงียบงันลงไปเช่นกัน
ชิงหลิงอดไม่ได้ที่จะขยี้ตา ความไม่เชื่อปรากฏบนใบหน้า เห็นได้ชัดว่าผลลัพธ์นี้เป็นสิ่งที่นางไม่อาจจินตนาการได้
“ทำไม…ทำไมเป็นแบบนี้ได้? ร่างดวงจิตนั่นมันอะไรกัน!” ชิงหลิงเบิกตากว้างขณะพูดตะกุกตะกัก
ชิงซวงที่มีใบหน้าเย็นชาเสมอยังตกตะลึงไป แต่นางก็ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว นางมองมู่เฉินอย่างลึกซึ้งเอ่ยเยาะเย้ยตนเอง “ดูเหมือนว่าเราทุกคนจะมองพลาด เขาที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ไม่ง่ายอย่างที่เห็น”
ด้วยร่างดวงจิตทั้งสองร่างที่มีพลังเช่นเดียวกัน แม้ว่ามู่เฉินจะเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย แต่อำนาจการต่อสู้ที่เขาครอบครองไม่ได้อ่อนแอไปกว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มเลย
ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมมู่เฉินยังสงบนิ่งอยู่ได้ แม้จะเป็นศัตรูกับเฉวียนหลังและมั่วซิน ที่แท้เขาก็มีพลังในการเผชิญหน้าจริงๆ
ตลกแล้วที่นางบอกว่าจะต้องปกป้องเขา ตอนนี้เมื่อเห็นก็รู้สึกว่าทำให้ตัวเองขายหน้าแล้ว
ชิงหลิงมุ่ยปาก ท่าทางอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นเงาร่างทั้งสามนางก็เลือกเงียบไป คนที่สามารถทำให้มั่วซินทนทุกข์ทรมานในการเผชิญหน้า เพียงพอที่จะทำให้นางเก็บความถือดีเอาไว้
ในเวลาเดียวกันเฉวียนหลัวกลับมองสิ่งนี้ด้วยท่าทางสงบ เนื่องจากเขารู้เกี่ยวกับข้อมูลมู่เฉินมานาน ดังนั้นเขาจึงไม่แปลกใจที่มั่วซินจะเสียเปรียบจากความประมาทของตนเอง
แต่เมื่อเขาเห็นร่างรองทั้งสอง ไฟแห่งความโลภที่ไม่สามารถปกปิดได้ก็วูบไหวในดวงตา
“วิชาสามพิสุทธิ์ของจริง”
“ไอ้กาลกิณีนั่นโชคดีนัก แต่ตราบใดที่แกตกอยู่ในกำมือข้า วิชาสุดยอดนี้ก็จะเป็นของข้า!”
บทที่ 1322 เผชิญหน้า
การปะทะกันขัดแย้งกับความคาดหวังของทุกคน
ทุกสรรพเสียงที่นี่เงียบงัน สายตาตื่นตะลึงจดจ้องไปที่มู่เฉิน
กลุ่มต่างๆ ที่ดูถูกมู่เฉินในตอนแรกก็เผยความเคร่งเครียด สายตาที่มองไปทางมู่เฉินปรากฏแววหวาดระแวงมากขึ้น
คนที่มาแดนเซิ่งยวนโบราณได้จะไม่มีฝีมือได้อย่างไร
ปัง!
ซากพังพินาศที่กลบมั่วซินกระจายออก เงาร่างหนึ่งย่างสามขุมออกมาอย่างช้าๆ
เวลานี้มั่วซินเปล่งรัศมีน่ากลัวที่มีความหนาแน่นสูง ขณะที่สายตามองไปที่มู่เฉินอัดแน่นด้วยไอสังหาร
มั่วซินไม่คิดมาก่อนเลยว่าตนเองจะอยู่ในสภาวะที่น่าสมเพชจากการแลกกระบวนท่ากับมู่เฉิน
ตลอดเวลาที่ผ่านมา มู่เฉินเป็นเพียงมดปลวกไม่มีสถานะใดๆ ในสายตาของเขา แม้ว่ามารดาของมู่เฉินจะอยู่ในตำแหน่งสูงของเผ่า แต่มู่เฉินก็ไม่เคยได้เพลิดเพลินกับทรัพยากรใดๆ จากเผ่าฝูถู
ด้วยเหตุนี้มั่วซินจึงมองมู่เฉินอย่างดูถูกเหยียดหยาม
แต่ตอนนี้เขากลับต้องจ่ายราคาแพงระยับสำหรับสิ่งนี้
ตัวกาลกิณีที่ไร้ค่าในสายตาของเขาได้มอบรสชาติขมฝาดคืนกลับมาให้เขา
“ไม่คิดว่าข้ามั่วซินจะมีวันแบบนี้ เจ้าทำให้ข้าผิดคาดจริงๆ” มั่วซินเช็ดเลือดที่มุมปากขณะมองมู่เฉินด้วยสายตาที่ไม่แยแส
ดูเหมือนหลังจากที่เสียเปรียบ ในที่สุดมั่วซินก็มองอีกฝ่ายอย่างจริงจัง
มู่เฉินหรี่ตาลง มั่วซินเป็นประมุขน้อยของตระกูลในเผ่าฝูถูได้ ชัดว่ามีความสามารถใช้ได้ อย่างน้อยหลังจากรับการสูญเสีย เขาก็ยังเก็บความโกรธไว้ในใจและเริ่มที่ปฏิบัติต่อเรื่องนี้จริงจัง
คนประเภทนี้จัดการยากอย่างแท้จริง
มู่เฉินยังรู้ว่าสาเหตุที่ทำให้มั่วซินอยู่ในสภาพน่าสมเพชก่อนหน้าก็เพราะไม่ทันตั้งตัวจากวิชาสามพิสุทธิ์ เมื่อมีการเตรียมตัวก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้รับผลกระทบเดียวกันอีกครั้ง
ทว่ามู่เฉินไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไร แม้มั่วซินจะยากที่จะต่อกร แต่หากเขาต่อสู้ด้วยไพ่ทั้งหมด ก็ไม่ต้องกลัว
“ความประหลาดใจของแกเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น” มู่เฉินยิ้มอ่อนไม่ใส่ใจไอสังหารของมั่วซินแม้แต่น้อย
การดวลครั้งนี้ทำให้หลายคนตกใจ ตัดสินจากท่าทางนี้มู่เฉินต้องการปะทะกับมั่วซินจริงๆ
“โอ้? ถ้างั้นข้าขอดูหน่อย!”
มั่วซินเอ่ยเยาะเย้ย อึดใจร่างเงากลุ่มหนึ่งก็ทะยานออกมาจากด้านหลัง ทั้งสามคนล้วนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม
จอมยุทธ์เหล่านี้มาจากเผ่าโบราณอย่างชัดเจน มิหนำซ้ำยังเป็นผู้ใต้บัญชาการของมั่วซิน
“ไอ้ตัวกาลกิณีมู่เฉิน แกบังอาจกล้าลบหลู่ประมุขน้อยมั่วซิน รีบยอมแพ้ซะ!” จอมยุทธ์ตระกูลมั่วตะโกนเสียงลั่นพลางจ้องมองมู่เฉินด้วยความเกรี้ยวกราด
“แมลงวันเหล่านี้มาจากไหน? แกมีคุณสมบัติมาเห่านายน้อยของข้าเหรอ?” หลงเซี่ยงก้าวออกมาจากเบื้องหลังของมู่เฉิน ขณะที่สาดสายตาดุร้าย
“โอ้ นายน้อย? ไอ้กาลกิณีนี่เป็นนายน้อยได้ด้วยรึ? หลงเซี่ยงดูเหมือนว่าแกจะสมองกลับในช่วงหลายปีที่ผ่านมานะ!” จอมยุทธ์คนหนึ่งที่รู้จักหลงเซี่ยงก็เอ่ยเยาะเย้ย
“มาสู้กันสักตั้งเดี๋ยวก็รู้” หลงเซี่ยงกระตุกยิ้มขณะที่กำปั้นกำแน่นพร้อมด้วยคลื่นหลิงทรงพลังกวาดออก
“ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม?! แกบรรลุแล้วเรอะ?!”
เมื่อสัมผัสได้ถึงคลื่นทรงพลังที่ระเบิดออกมาจากร่างของหลงเซี่ยง ดวงตาเหล่าจอมยุทธ์ตระกูลมั่วก็สั่นไหว จากที่พวกเขารู้หลงเซี่ยงถูกตัดทรัพยากรทั้งหมดของเผ่านานมาแล้ว ดังนั้นเขาจึงติดแหง็กอยู่ที่ขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเนิ่นนาน แต่ตอนนี้เขากลับพัฒนาตัวเองหลังจากติดตามมู่เฉินเป็นเวลาสั้นๆ งั้นหรือ?
หลิงซีก็ย่างกรายออกมาพร้อมกับสีหน้าเยือกเย็น สัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนในมือพุ่งออกไปหลอมรวมเข้ามิติรอบด้าน ชัดว่าตราบใดที่เริ่มปะทะก็จะถักทอกลายเป็นค่ายกลทันที
ลั่วหลีมายืนอยู่ที่ข้างกายมู่เฉิน แม้ว่านางจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่แสงที่แล่นพล่านในนัยน์ตาสาดไออันตรายออกมา
ทั้งสองกลุ่มตึงเครียดสูง การต่อสู้สามารถระเบิดได้ทุกเวลา
ผู้คนโดยรอบถอยกรูด กลัวจะถูกลากเข้าไปในวงล้อมด้วย
“มู่เฉิน!”
แต่ขณะที่ความตึงเครียดจะพุ่งทะลุเพดาน เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ทุกคนเห็นคนกลุ่มหนึ่งฝ่าฝูงชนเข้ามา ก่อนที่จะยืนเคียงข้างกลุ่มมู่เฉิน สายตาจับจ้องไปที่กลุ่มมั่วซินเขม็ง
นี่คือกลุ่มเวินชิงเฉวียนที่ออกไปเพื่อรวบรวมข้อมูล
“ตระกูลเวิน?”
เมื่อมั่วซินเห็นกลุ่มเวินชิงเฉวียน เขาก็ขมวดคิ้ว เขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะเป็นพันธมิตรกับตระกูลเวิน
แต่มีเพียงเวินจื่อหยู่เท่านั้นที่ก้าวเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ดังนั้นมั่วซินจึงไม่กลัวอะไร แต่ด้วยบรรยากาศที่ถูกทำลาย มั่วซินก็ค่อยๆ สงบลง
เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะต่อสู้แบบจัดเต็มกับพวกมู่เฉิน
จากการแลกกระบวนท่ากันเมื่อครู่ เขาก็รู้ว่ามู่เฉินที่ดูเหมือนจะเป็นแค่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย แต่พลังของการต่อสู้ล้ำไปไกลขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มธรรมดา
นอกจากนี้มั่วซินยังสงสัยว่ามู่เฉินอาจมีไพ่ตายที่ทรงพลังกว่านี้อีก
หากสิ่งที่เขาเดาถูกต้องละก็ เขาจะต้องจ่ายในราคาแพงระยับแม้ว่าจะชนะก็ตาม
มิหนำซ้ำยังมีพวกหมาป่ารอบตัว ไม่ต้องพูดถึงเฉวียนหลัวที่มองดูอยู่ไกลๆ มั่วซินไม่สงสัยเลยว่าเฉวียนหลัวจะเคลื่อนไหวทันทีถ้าสบโอกาส
ในเวลานั้นการทำงานหนักทั้งหมดของเขาจะกลายเป็นสิ่งปรนเปรอเฉวียนหลัว ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เขาไม่ต้องการเห็น
ฮา
มั่วซินระงับไอสังหารในใจ สูดหายใจเข้าลึก ดึงเจตนาต้องการฆ่าที่พุ่งทะยานรอบตัวกลับลงไป ดวงตาของเขาเย็นเยือกลงหลายส่วนขณะจ้องมองมู่เฉิน “ข้าจะจับแกส่งให้ผู้อาวุโสใหญ่แน่!”
มู่เฉินแสยะยิ้ม “ยินดีต้อนรับทุกที่ทุกเวลา”
มั่วซินจ้องมองมู่เฉิน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาโบกมือสะบัดหน้าจากไป
จอมยุทธ์ตระกูลมั่วก็แลกเปลี่ยนสายตากัน พวกเขาไม่คิดว่ามั่วซินที่สั่งลมสั่งฝนมาตลอดชีวิต จะกลืนความโกรธแค้นหลังจากถูกตัวกาลกิณีทำให้เสียหน้า
“เขาสมเป็นลูกชายชิงเหยี่ยนจิ้งแท้จริง ดีที่มันเป็นตัวกาลกิณีของเผ่า ไม่งั้นมันอาจเป็นคู่แข่งที่ทรงพลังอีกคนนอกเหนือจากเฉวียนหลัว” ขณะที่แลกเปลี่ยนสายตากันก็ไตร่ตรองในใจ ก่อนจะรีบตามมั่วซินไปอย่างรวดเร็ว
การต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้น สลายเป็นอากาศธาตุทำให้หลายคนรู้สึกเสียดาย หากทั้งสองฝ่ายฟัดกันจะต้องมีคนที่พ่ายแพ้แน่นอน ซึ่งพวกเขาอาจจะได้รับประโยชน์บ้างก็ได้
เมื่อพวกชิงซวงเห็นภาพนี้ พวกนางก็ตัดสินใจผละไป ไม่ได้มีความตั้งใจจะทักทายมูเฉิน นั่นเป็นเพราะจากท่าทางที่ไม่แยแสของมู่เฉิน ชัดว่าไม่ค่อยรู้สึกเป็นมิตรกับพวกนาง
ทว่าขณะที่พวกนางหันหลังกลับรู้สึกถึงสายตาของมู่เฉินจากระยะไกลเมื่อหันกลับไป มู่เฉินก็พยักหน้าให้ชิงซวงเพื่อเป็นการทักทาย เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกถึงความต้องการช่วยเหลือของพวกนางก่อนหน้านี้
แม้มู่เฉินจะออกห่างจากเผ่าฝูถู แต่ความปราถนาดีจากกลุ่มชิงซวน เขาก็ไม่จำเป็นต้องปฏิเสธไปตลอด
ชิงซวงพยักหน้าตอบ ก่อนจะออกเดินไปพร้อมกับชิงหลิงและพรรคพวก
“ไปกันเถอะ ไม่มีอะไรให้ดูแล้ว”
เฉวียนหลัวที่อยู่ไกลออกไปก็ยิ้มบาง ก่อนที่จะหันกลับมาพูดกับไป๋ซินเอ๋อที่ด้านข้าง “แม่นางซินเอ๋อ ข้าเชื่อว่าเจ้าต้องสนใจข้อมูลของข้าแน่”
ดวงตาสีดำขลับของไป๋ซินเอ๋อกลิ้งไปมา นางยิ้มให้อย่างน่ารัก “ใช่เรื่องของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งทั้งสี่หรือไม่?”
เฉวียนหลัวเพียงยิ้มตอบ หันกลับไปพร้อมกับไป๋ซินเอ๋อกริมฝีปากขึ้นเดินตามไป
เมื่อเห็นว่าทุกคนไปแล้ว มู่เฉินก็ถือแผ่นทองแดงลึกลับไว้ในมือ จากปฏิกิริยาของมั่วซิน อีกฝ่ายน่าจะรู้สึกถึงบางอย่างจากวัตถุนี้เช่นกัน แต่ก็คงไม่เข้มข้นเท่ากับมู่เฉิน มิฉะนั้นมั่วซินคงไม่ยอมปล่อยไปอย่างง่ายดาย
วัตถุนี้น่าจะต้องเชื่อมโยงกับเผ่าฝูถู อาจจะเกี่ยวข้องกับบรรพบุรุษคนนั้น
“ดูเหมือนว่าข้าต้องหาโอกาสศึกษาสิ่งนี้” มู่เฉินพึมพำในใจ
“มู่เฉิน เจ้าก่อหวอดไปทุกที่จริงๆ” เวินชิงเฉวียนพูดด้วยเสียงหยอกล้อ พวกเขาแยกกันไม่นาน แต่มู่เฉินก็สร้างปัญหาอีกแล้ว
มู่เฉินถามด้วยรอยยิ้ม “เป็นยังไงบ้าง? ได้อะไรมา?”
ที่เขาถามก็คือข้อมูลเกี่ยวกับมรดกของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสี่ ทว่าเขาไม่ได้ถามอย่างจริงจัง เพราะเขาไม่คิดว่าเวินชิงเฉวียนจะสามารถรับข้อมูลใดๆ ได้อย่างรวดเร็ว
แต่ตรงกันข้ามกับความคิดเขา เวินชิงเฉวียนพยักหน้าเบาๆ
“ได้มาจริงหรือ?” มู่เฉินอึ้งไป ‘ศักยภาพสูงเกินไปรึเปล่าเนี่ย?’
เวินชิงเฉวียนพยักหน้าจริงจัง
“จากข้อมูลดังกล่าวจะมีงานชุมนุมในวันพรุ่งนี้เพื่อเปิดเผยข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งทั้งสี่คน”
“เปิดเผย?” มู่เฉินขมวดคิ้ว ทำไมถึงเปิดเผยข้อมูลที่มีค่าให้คนอื่นกัน?
“ไม่ได้ให้เปล่า”
เวินชิงเฉวียนยิ้มก่อนที่จะกางห้านิ้วออกมา
“ค่าเข้างานคือของเหลวจื้อจุนห้าสิบล้านหยด”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น