หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1305-1310
บทที่ 1305 เผยไพ่ตาย
ในถ้ำขนาดใหญ่
ทันทีที่ทั้งสองกลุ่มประจันหน้ากัน ดวงตาแต่ละคู่ก็กลายเป็นสีแดงก่ำ อึดใจรังสีสังหารก็เริ่มระเบิดออกมาทำให้อุณหภูมิในถ้ำลดลง
รังสีสังหารกวาดตัวขึ้นราวกับพายุในถ้ำ
“ฮ่าๆ เส้นทางของศัตรูช่างแคบจริง ไอ้เวร แกยังกล้าที่จะยืนขวางหน้าข้าอีกเรอะ?” ต่งซันก้าวออกมา ขณะที่จ้องไปที่มู่เฉิน เวินชิงเฉวียนและคนอื่นๆ เสียงหัวเราะน่ากลัวก็แผดออก
“บางคนวิ่งหางจุกตูดเป็นหมาจรจัด ยังกล้าทำหยิ่งผยองตอนนี้ด้วยเหรอ?” เวินชิงเฉวียนหัวเราะเยาะเย้ยตอบ
“แก!”
ต่งซันเบิกตากว้างขณะจ้องเวินชิงเฉวียน รังสีสังหารในดวงตาดูเหมือนจะกลั่นออกมาได้
ทว่าเผชิญหน้ากับรังสีสังหารนี้ คนอย่างเวินชิงเฉวียนก็ไม่สน นางเลื่อนสายตาเย็นชาจับจ้องคนที่ด้านข้างต่งซันที่มีผมสีแดงเพลิง
“หวู่ทง การกระทำของตระกูลหวู่สกปรกเหมือนเคย ตอนนั้นพวกแกก็ขโมยข้อมูลเกี่ยวกับมรดกจากตระกูลเวิน ตอนนี้แกยังขายพวกข้าให้กับคนอื่นอีก” เวินชิงเฉวียนเค้นเสียงเย็นขึ้นจมูก
หวู่ทงที่มีเรือนผมสีแดงเพลิงยิ้มกว้าง “สงครามไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล ตระกูลเวินไม่สามารถปกป้องข้อมูลได้เอง ก็อย่าโทษคนอื่นที่ขโมยมาได้สิ”
“นอกจากนี้ในเมื่อเป็นคู่แข่งกันอยู่แล้ว การใช้กลก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ?”
พูดถึงตรงนี้เขาก็มองไปที่กลุ่มมู่เฉินด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “เจ้าเองก็หาผู้ช่วยเหลือมาไม่ใช่เหรอ? แม้สุดท้ายเจ้าจะรู้ว่าสิ่งนี้ช่างไร้ประโยชน์…”
“สามหาว!”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูถูกมู่เฉิน ดวงตาของหลงเซี่ยงก็เปล่งประกายด้วยความโกรธ ขณะที่เขาต้องการจะสวนกลับก็ต้องหยุดปากลงโดยมู่เฉิน สายตาของมู่เฉินมองไปที่หวู่ทง รู้สึกถึงมหาสมุทรคลื่นหลิงของอีกฝ่ายปลดปล่อยความกดดันทรงพลังซึ่งทำใหมิติสั่นสะเทือนเลยทีเดียว
เห็นได้ชัดว่าหวู่ทงนี้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มของแท้
พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับแนวร่วมซึ่งประกอบไปด้วยกลุ่มมือสังหารปีศาจและกลุ่มตระกูลหวู่ มองจากภายนอกอีกฝ่ายมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มถึงสองคน
ส่วนด้านพวกเขามีหลิงซีที่เป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนบวกกับหลงเซี่ยงและเวินซื่อหวู่ซึ่งเป็นจอมยุทธ์เกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มสองคน
ดังนั้นเมื่อดูจากภายนอก ชัดว่าการรวมตัวของอีกฝ่ายทรงพลังมากกว่าพวกเขา
เวินชิงเฉวียนก็ตระหนักเรื่องนี้เช่นกัน แต่นางไม่กลัว เห็นชัดว่านางเตรียมไพ่ตายเอาไว้แล้ว…
เวินชิงเฉวียนสาดท่าทางเย็นชาไม่คิดจะพูดกับหวู่ทงให้เปลืองน้ำลาย นางมองไปที่ส่วนลึกของถ้ำก็เห็นหม้อกลั่นทองแดงที่ดูงดงามราวกับผีเสื้อบนแท่นประหนึ่งมีไฟลุกโชนอยู่ข้างใน
“มู่เฉินหม้อกลั่นนั้นถูกทิ้งไว้โดยภูตผีเสื้อโอสถ ภายในมีมรดกอยู่ หากเราได้รับก็จะสามารถสืบทอดทักษะการเล่นแร่แปรธาตุของนางได้”
“โอ้?”
มู่เฉินมองไปที่หม้อกลั่นทองแดงด้วยความประหลาดใจ แต่เขาไม่ได้ถูกล่อลวงมากนักเนื่องจากตัวเขาไม่ได้สนใจการกลั่นยาพวกนี้ นอกจากนี้เขาก็ไม่มีพลังพอจะไปมุ่งเน้นกับเส้นทางอื่นอีกแล้ว
“ข้าต้องการได้รับมรดกของภูตผีเสื้อโอสถ” เวินชิงเฉวียนตอบอย่างจริงจัง
หัวใจของมู่เฉินกระตุกพลางหันขวับไปมองหญิงสาว “เจ้าได้ฝึกวิธีการเล่นแร่แปรธาตุงั้นเหรอ?”
“ฮ่าๆ ชิงเฉวียนเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลเวินตอนนี้ หากนางสามารถได้รับมรดกของภูตผีเสื้อโอสถ ความสำเร็จในอนาคตของนางอาจเปรียบเทียบได้กับเทพจักรพรรดิอัคคีแห่งแคว้นหวู่จิ้งฮั่วเลย” เวินจื่อหยู่ยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ
มู่เฉินประหลาดใจไป เวินชิงเฉวียนไม่มีท่าทางจะเข้าสู่เส้นทางนี้ในอดีตเลย แต่ไม่คิดว่านางจะประสบความสำเร็จลึกซึ้งบนเส้นทางหนึ่ง เมื่อพวกเขาพบกันอีกครั้ง
แต่เขาก็ประหลาดใจไปเพียงช่วงสั้นๆ เพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังเลือกฝึกฝนในศาสตร์จั้นเจิ้นซือเช่นกัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เวินชิงเฉวียนจะกลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุ
“ถ้าเจ้าต้องการก็ได้ตามนั้น” มู่เฉินยิ้มอ่อนพลางพยักหน้าให้ ไม่มีใครในที่นี้ที่รู้จักการเล่นแร่แปรธาตุ ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์แม้ว่าพวกเขาจะได้รับไปก็ตาม
เมื่อเห็นว่ามู่เฉินตกลงจะมอบมรดกล้ำค่าให้โดยไม่ลังเล สายตาของเวินชิงเฉวียนก็กระเพื่อมไหว แม้แต่เวินจื่อหยู่และจอมยุทธ์คนอื่นๆ ของตระกูลเวินก็มองมาด้วยความขอบคุณ เพราะถ้าเป็นกลุ่มอื่นที่มาร่วมอาจตีกันเพราะเรื่องแบ่งมรดกไม่เท่ากันแล้ว
“ขอบใจนะ”
เวินชิงเฉวียนกล่าวขอบคุณก่อนจะพูดต่อ “แต่ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าขาดทุนเด็ดขาด เราจะแบ่งเม็ดยากันแปดต่อสอง เจ้าจะได้แปดส่วน พวกข้าจะเอาแค่สองส่วนเท่านั้น”
ก่อนหน้าพวกเขาตกลงแบ่งกันครั้งต่อครึ่ง แต่เวินชิงเฉวียนเพิ่มให้อีกสามส่วนเพื่อชดเชยให้กลุ่มมู่เฉิน
มู่เฉินพยักหน้าไม่ได้ปฏิเสธ ตัวเขารู้นิสัยภาคภูมิใจของเวินชิงเฉวียนดี หากปฏิเสธก็คงทำให้นางรู้สึกไม่พอใจ
“โอ้โห ถึงกับแบ่งการเก็บเกี่ยวต่อหน้าข้า เวินชิงเฉวียน เจ้าไม่ร้อนใจไปหน่อยหรือ?” เสียงล้อเลียนของหวู่ทงดังขึ้นขณะที่มองเวินชิงเฉวียนด้วยรอยยิ้มจางๆ
“ฝั่งเจ้ามีหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนหนึ่งคนและจอมยุทธ์ขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มสองคน แค่อยู่รอดในวันนี้ได้ก็โชคดีแล้ว ยังคิดจะแตะสมบัติอีกเรอะ?” ต่งซันพูดขึ้นอย่างร้ายกาจ
“รีบไม่รีบ เดี๋ยวได้รู้กันเมื่อสู้!”
เวินชิงเฉวียนพูดอย่างเย็นชา มือประสานเข้าด้วยกัน พริบตาแสงสีแดงเข้มก็พวยพุ่งขึ้นจากร่างกายของนาง
“ทักษะสายเลือด ขยายสายเลือด!”
เวินชิงเฉวียนกัดปลายลิ้น พ่นเลือดกลั่นออกมาเต็มปาก อึดใจลำแสงสีแดงเข้มหลายสายก็แทงเข้าไปในลำคอของจอมยุทธ์ตระกูลเวิน
ตู้ม!
ทันใดนั้นดวงตาของเวินจื่อหยู่ก็พร่างพราวด้วยแสง ขณะที่คลื่นหลิงผันผวนในร่างกายเพิ่มขึ้น ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ เขาก็ทะลุผ่านเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว
นอกจากนี้จอมยุทธ์คนอื่นๆ ของตระกูลเวินก็มีพลังเพิ่มขึ้นเช่นกัน แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถเข้าถึงระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้อย่างเวินจื่อหยู่ แต่พลังของพวกเขาก็เพิ่มขึ้นเกือบห้าส่วนเลยทีเดียว
วิธีการของเวินชิงเฉวียนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับจอมยุทธ์ตระกูลเวินอีกขั้น!
เผชิญหน้ากับฉากนี้ ใบหน้าของหวู่ทงและต่งซันก็เปลี่ยนไป แม้แต่พวกมู่เฉินก็จ้องมองไปที่เวินชิงเฉวียนด้วยความตกใจ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่คิดว่านางจะมีไพ่ตายแบบนี้ซ่อนอยู่…
“ทักษะสายเลือด?”
ลั่วหลีอดอุทานขึ้นมาไม่ได้ ความสามารถพิเศษนี้เกิดจากสายเลือดของคนคนหนึ่ง แม้ว่าส่วนใหญ่จะไม่มีความสามารถในการโจมตี แต่ก็มีประโยชน์ในแง่ของการสนับสนุน
แต่โอกาสของทักษะสายเลือดที่จะปรากฏนั้นหายากมาก ยิ่งกว่านั้นก็ใช้งานได้เฉพาะกับกลุ่มที่มีสายเลือดเดียวกัน ดังนั้นนี่จึงหายากมากในมหาพันภพ
“ไม่น่าแปลกใจที่เวินชิงเฉวียนมีฐานะสูงส่งในตระกูลเวิน แม้ว่านางจะมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น กระทั่งเวินจื่อหยู่ก็ยังต้องฟังคำสั่งของนาง” มู่เฉินเข้าใจความจริงข้อนี้ทันที
ช่วงเวลานี้เขาก็ตระหนักได้ว่าทำไมเวินชิงเฉวียนจึงไม่กลัวพวกหวู่ทง ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพผ่านทักษะในตัวนาง ทำให้กลุ่มของนางแข็งแกร่งขึ้นอีกระดับ
อย่างน้อยด้วยวิธีนี้เวินจื่อหยู่ก็มีพลังในการเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว
หลังจากเผยทักษะสายเลือดออกมา ใบหน้าของเวินชิงเฉวียนก็ดูซีดเซียวลง ชัดว่าการใช้ทักษะดังกล่าวทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายของนางด้วย
“มิน่าพวกผู้อาวุโสในตระกูลถึงพูดว่าตราบใดที่ตระกูลเวินมีเวินชิงเฉวียน พวกเขาจะสร้างชื่อเสียงเลื่องลือในหมู่ขั้วอำนาจสูงสุดในมหาพันภพ เพราะเจ้ามีทักษะสายเลือดติดตัวนี่เอง…” ยามนี้สายตาของหวู่ทงเย็นเยือกลงด้วยความตั้งใจฆ่าวูบไหวในดวงตา แม้ว่าทักษะสายเลือดจะไม่ให้ประโยชน์อะไรกับนางมากนัก แต่สามารถช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มตัวเองได้
และในการต่อสู้ใหญ่ การเพิ่มขึ้นเช่นนี้จะทำให้ได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น
“แต่น่าเสียดาย… วันนี้หงส์ฟ้าตระกูลเวินจะต้องถูกเด็ดปีกฝังอยู่ในสุสานนี้!”
พูดจบ คนสวมชุดสีเทาสองคนที่อยู่ข้างๆ หวู่ทงก็ก้าวออกมา เสื้อผ้าของพวกเขาฉีกออกเป็นชิ้นๆ ทำให้เห็นร่างกายที่ปกคลุมไปด้วยอักขระโบราณ ซึ่งดูราวกับโซ่ร้อยเข้าไปในเนื้อและกระดูกของทั้งสอง
ดวงตาของทั้งสองเปลี่ยนเป็นแดงฉานโดยไม่มีริ้วอารมณ์ใดๆ พวกเขาราวกับสัตว์อสูรกำลังคำรามเสียงก้องลำคอ อักขระบนพื้นผิวร่างกายก็เปล่งประกายเงาสีแดงเข้ม
แกร็ก
ร่างกายของพวกเขาเริ่มขยายขนาดด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ จากนั้นไม่กี่ลมหายใจก็ราวกับยักษ์สองตัวยืนจังก้าในถ้ำ ความผันผวนของพลังงานรุนแรงกำจายจากร่างกาย
เมื่อพิจารณาจากคลื่นพลัง พวกเขาก็มาถึงระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว!
“เพื่อขุมทรัพย์นี้ ข้าได้นำองครักษ์เงาชั้นแนวหน้ามาด้วย แม้ว่าพวกเขาจะหมดสมรรถภาพหลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ ก็คุ้มค่ากับมรดกที่จะได้รับ”
มองไปที่เวินชิงเฉวียน หวู่ทงก็คลี่ยิ้มร้ายกาจ “นอกจากนี้ยังมีหงส์ฟ้าของตระกูลเวินที่จะถูกฝังไว้กับพวกเขาด้วย”
ใบหน้าของเวินชิงเฉวียนและเวินจื่อหยู่เปลี่ยนไป คู่ต่อสู้ของพวกเขาแข็งแกร่งไป มองมุมนี้อีกฝ่ายมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มถึงสี่คนเลยทีเดียว!
ดูท่าตระกูลหวู่จะยอมจ่ายราคาแพงระยับสำหรับมรดกนี้จริงๆ
“สถานการณ์ไม่สู้ดี พวกเราถอยก่อน” เวินชิงเฉวียนสูดหายใจเข้าลึกๆ หันไปพูดกับพวกมู่เฉิน แม้ว่ามรดกจะมีค่า แต่ชีวิตก็สำคัญกว่า
มู่เฉินยิ้มเมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว สายตามององครักษ์เงาที่เปล่งคลื่นรุนแรง ก่อนจะกำมืออย่างช้าๆเปล่งเสียงออกมา
ทว่าคำพูดของเขาทำให้พวกเวินชิงเฉวียนตกใจไปเลยทีเดียว
“ปล่อยองครักษ์เงาสองคนนั่นให้ข้า ชิงเฉวียน เจ้ามองหาโอกาสคว้ามรดกมาซะ”
บทที่ 1306 ประจัญบานในถ้ำ
“ปล่อยพวกมันไว้กับเจ้าหรือ?”
เวินชิงเฉวียน เวินจื่อหยู่และคนอื่นๆ มองมู่เฉินด้วยความตกตะลึง พวกเขาไม่คิดว่ามู่เฉินที่ไม่ออกหน้ามาตลอดทาง จะขอจัดการกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนสองคนนี้เอง
ตอนนี้เขามีขุมพลัตี้จื้อจุนขั้นปลายเท่านั้นนะ!
“เจ้าไหวเหรอ?” เวินชิงเฉวียนอดไม่ได้ที่จะถาม แม้ว่านางจะรู้ว่ามู่เฉินซ่อนความแข็งแกร่งไว้ แต่อย่างมากนางก็คิดว่ามู่เฉินสามารถต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้เท่านั้น แต่นางไม่คิดว่าเขาจะสามารถปะทะกับสองคนได้
“อย่าถามคำถามแบบนี้กับผู้ชาย” มู่เฉินยิ้มล้อเล่น
เวินชิงเฉวียนอึ้งไปก่อนที่ใบหน้าจะเห่อแดง นางจ้องมู่เฉินเขม็ง “อยากตายรึไง!”
มู่เฉินยิ้ม หลังจากคลายความตึงเครียดในกลุ่มแล้ว เขาก็มองไปที่หลิงซี “พี่หลิงซี ข้าจะทิ้งหวู่ทงไว้กับเจ้าเป็นการชั่วคราว แค่ขัดขวางเขาไว้ก็พอ”
หวู่ทงทรงพลังมากกว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มทั่วไป บางทีแม้ว่าหลิงซีจะเคลื่อนไหว แต่นางก็ไม่สามารถเอาชนะได้ แต่ด้วยความเชี่ยวชาญทางด้านค่ายกล ไม่น่าจะลำบากถ้าแค่ขัดขวางไว้
“ได้เลย” หลิงซีพยักหน้า แสงหลิงกะพริบในมือพร้อมกับสัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนก่อตัวขึ้น
“งั้นต่งซันข้าจัดการเอง!” เวินจื่อหยู่กล่าว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของต่งซันตอนที่อยู่ในขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่เวลานี้ด้วยวิชาขยายสายเลือดจากเวินชิงเฉวียน เขาก็ไม่ได้อ่อนด้อยกว่าแล้ว
“ลั่วหลี เจ้านำพรรคพวกคนอื่นๆ เข้าจัดการพวกเขาที่เหลือ”
ลั่วหลีพยักหน้า นอกเหนือจากหวู่ทง ต่งซันและองครักษ์เงาทั้งสองคนแล้ว คนที่เหลือก็มีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายเท่านั้น ซึ่งพวกเขาสามารถจัดการได้
“งั้นลุยเลย!”
หลังจากเลือกคู่ต่อสู้กันแล้ว มู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไป ดวงตาที่ยิ้มแย้มในตอนแรกก็คมชัดขึ้น ในวินาทีต่อมาก็ทิ้งเงาไว้ด้านหลังขณะที่ทะยานออกไป
เขาตบลงบนอากาศ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็ห่อหุ้มองครักษ์เงาสองคนไว้
“รนหาที่ตาย กล้าที่จะสู้กับองครักษ์เงาสองคนด้วยตัวคนเดียวเรอะ?” หวู่ทงอึ้งไปก่อนที่รอยยิ้มเย้ยหยันจะปรากฏขึ้นบนใบหน้า
องครักษ์เงาทั้งสองไม่มีอารมณ์ใดๆ พวกเขามีเพียงสัญชาตญาณในการฆ่า ช่วงเวลาที่ต่อสู้ เว้นแต่พวกเขาจะฉีกทึ้งฝ่ายตรงข้ามเป็นชิ้นๆ ไม่อย่างนั้นพวกเขาไม่หยุดฆ่าแน่นอน
เผชิญหน้ากับเครื่องจักรสังหารเหล่านี้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มยังขยาด แต่มู่เฉินกำลังจะปะทะกับสองคนนี้ด้วยขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ในสายตาของหวู่ทงนี่เป็นการรนหาที่ตายชัดๆ
ต่งซันก็ส่ายหน้าอย่างสังเวช ตอนแรกเขาตั้งใจจะจับมู่เฉิน ทรมานให้จนรู้สึกว่าตายดีกว่าอยู่ แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ แม้แต่ศพก็คงไม่เหลือไว้ต่างหน้า
โฮก!
เมื่อคลื่นหลิงของมู่เฉินห่อหุ้มองครักษ์เงาทั้งสอง พวกเขาก็รู้สึกถูกแรงดึงดูด เสียงคำรามที่เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าเปล่งออกมาพร้อมกับความผันผวนของคลื่นหลิงระเบิดออกอย่างรุนแรง
ตู้ม!
ทั้งสองพุ่งออกมาราวกับสัตว์อสูรดุร้ายกระโจนใส่มู่เฉินอย่างไม่เกรงกลัว หากร่างถูกปะทะละก็ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ต้องกระอักเลือดถอยกลับ
เผชิญหน้ากับการพุ่งเข้าชนจากองครักษ์เงา มู่เฉินที่พุ่งเข้ามาก็หยุดชะงักก่อนจะถอยหนี ชัดว่าตั้งใจจะหลบการปะทะนี้
โฮก!
องครักษ์ทั้งสองก็ตามโรมรันพันตู แต่ละคนควงกำปั้น คลื่นหลิงสีแดงเข้มข้นพร้อมกับไอสังหารหนาแน่นพุ่งเข้าใส่มู่เฉิน
ภายใต้การโจมตีที่ดุร้ายนี้ มู่เฉินก็ถอยอย่างต่อเนื่อง
เมื่อหวู่ทงและต่งซันเห็นว่ามู่เฉินถอยหนีจ้าละหวั่น รอยยิ้มเย้ยหยันก็กระจายบนใบหน้าหนาแน่นขึ้น ตอนแรกพวกเขาคิดว่ามู่เฉินจะมีความสามารถจากการโม้ไว้บ้าง แต่การตัดสินจากสถานการณ์นี้เขาบ่มิไก๊เลยทีเดียว
“กำจัดพวกมันซะ”
หวู่ทงโบกมือเบาๆ สายตามองเวินชิงเฉวียนและคนอื่นๆ แบบไม่แยแส
ตู้ม!
ที่ข้างหลัง ทั้งสองกลุ่มระเบิดคลื่นหลิงทรงพลังออกมา อึดใจร่างเงาก็ทะยานเข้าใส่พวกเวินชิงเฉวียน
“มู่เฉินไหวแน่ใช่ไหม?” เวินชิงเฉวียนมองไปที่มู่เฉินซึ่งกำลังถอยหนีพร้อมกับสายตาเป็นห่วง
“วางใจเถอะ เขาไม่ใช่พวกฝืนตัวหรอก” ลั่วหลียิ้มบางก่อนจะพยักหน้าให้จอมยุทธ์ตระกูลเวิน ทันใดนั้นร่างหลายร่างก็โผทะยานออกไปเพื่อป้องกันการพุ่งเข้ามาของศัตรู
“หวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดกับพี่มู่นะ” เวินจื่อหยู่ถอนหายใจ ตอนนี้ถึงเขาต้องการช่วยมู่เฉินก็ไม่สามารถทำเช่นนั้น
ดังนั้นเขาจึงได้แต่ตั้งสมาธิพุ่งตัวออกไปปรากฏที่เบื้องหน้าต่งซันเพื่อปิดกั้นอีกฝ่าย
“เฮ้ แกเนี่ยนะ? ที่คิดจะขัดขวางข้า?!” เมื่อต่งซันเห็นเวินจื่อหยู่ก็แสยะยิ้มชั่วร้ายพร้อมกับไอสังหารหนาแน่นพลุ่งพล่านออกมาจากร่างกาย ทำให้บรรยากาศโดยรอบค่อยๆ กลายเป็นน้ำแข็ง
ท่องยุทธภพรอบๆ แดนเซิ่งยวนมาหลายปี ต่งซันสู้รบปรบมือมานับครั้งไม่ถ้วน ในฐานะจอมยุทธ์ที่มีประสบการณ์การต่อสู้กว้างขวาง เขาไม่กลัวผู้เชี่ยวชาญธรรมดาๆ หรอก
แต่เวินจื่อหยู่ก็เป็นจอมยุทธ์ชั้นยอดจากตระกูลเวิน ดังนั้นเขาจึงเริ่มหมุนเวียนคลื่นหลิงไร้ขอบเขตในร่างกายด้วยท่าทางเคร่งเครียดลงหลายส่วน ก่อนที่จะกำมือกระบี่ยาวสีดำก็ปรากฏขึ้น ใบมีดถูกแกะสลักด้วยอักขระโบราณที่กำจายรัศมีคมชัด
กระบี่ยาวนี้คืออาวุธมหสวรรค์ขั้นสูง!
กระบี่ปรากฏในมือของเวินจื่อหยู่ ท่าทางเขาก็ค่อยๆ สงบลง ดวงตาราวกับใบมีดคมจับจ้องที่ต่งซัน
“หึ!”
ต่งซันเค้นเสียงเย็นพร้อมกับม่านตาหดลง อาวุธมหสรรค์ขั้นสูงไม่ใช่สิ่งที่พบเห็นบ่อยนัก แม้กระทั่งเขายังไม่ได้เป็นเจ้าของหลังจากต่อสู้มานานหลายปี ทำให้รู้สึกว่าพวกที่มาจากพื้นเพยิ่งใหญ่ ช่างขวางหูขวางตาเสียจริง
เขากำมือแน่น ดาบสีแดงเข้มที่เต็มไปด้วยไอสังหารและกลิ่นคาวเลือดก็ปรากฏขึ้นในมือ ดาบนี้ก็เป็นอาวุธมหสรรค์เช่นกัน เพียงแต่ว่าอยู่ในขั้นกลางเท่านั้น
วาบ!
ต่งซันถือดาบจังก้าที่เบื้องหน้าเวินจื่อหยู่พร้อมกับรังสีสังหารไร้ขอบเขตพล่านตามมา จากนั้นก็ฟันลงเต็มแรง
เวินจื่อหยู่ใช้กระบี่ตั้งรับการโจมตีทันที อึดใจก็ปลดปล่อยพายุคลื่นหลิงรุนแรงอันแปรปรวนพุ่งเข้าปะทะ
“เจ้าเป็นคู่ต่อสู้ของข้าเหรอ?”
เมื่อการต่อสู้เริ่มต้นขึ้นทุกจุด หวู่ทงก็มองหลิงซีตายิ้มหยี “อา…สาวงามตัวจริง เอาแบบนี้ตระกูลเวินเสนอให้เท่าไร? ข้าจะจ่ายให้เป็นสองเท่าเลย”
ตอบสนองต่อคำพูดเยาะเย้ยนั่น หลิงซีก็ยิ้มบาง “เจ้าลองเสนอราคาที่น่าดึงดูดออกมาสิ?”
หวู่ทงหัวเราะเบาๆ แต่ในวินาทีต่อมาดวงตาก็เย็นชาลง เงาของเขาพุ่งออกไปพร้อมกับหมัดเหวี่ยงออกมา คลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตได้ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วกลายเป็นกำปั้นขนาดใหญ่ซัดใส่หลิงซี
“ให้เวลากับพวกหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียน แกคิดว่าข้าโง่นักเรอะ?”
หวู่ทงเป็นคนฉลาด อ่านความคิดของหลิงซีออกทันที เหล่าหลิงเจิ้นซือต้องใช้เวลาในการเตรียมค่ายกลทรงพลังเมื่อพวกเขาต่อสู้
หมัดทะยานออกมา ทว่าหลิงซีก็ยังคงมีท่าทางสงบ นางแตะปลายนิ้วขึ้นอย่างเงียบๆ มิติบิดเบี้ยวที่เบื้องหน้า อึดใจค่ายกลก็พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า กลายเป็นแม่น้ำคลื่นหลิงปะทะกับกำปั้นคลื่นหลิง
ปัง!
ความปั่นป่วนครั้งใหญ่กระจายออก แม่น้ำสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ทว่าน้ำในแม่น้ำก็ยึดติดหมัดเอาไว้ ทำให้หมัดละลายอย่างรวดเร็ว
“ค่ายกลเก้ามังกรธารา!”
ตราประทับในมือหลิงซีเปลี่ยนแปลงวูบไหว แม่น้ำคลื่นหลิงก็พวยพุ่งเพิ่มสูงขึ้นพร้อมกับสัญลักษณ์หลิงยิ่งเปล่งประกายบนท้องฟ้า ก่อร่างเป็นค่ายกลลึกซึ้ง
โฮก!
เสียงคำรามของมังกรดังก้อง มังกรธาราเก้าตัวพุ่งเข้าหาหวู่ทง
“หึ!”
หวู่ทงเค้นเสียงเย็น ฝ่ามือทั้งสองประสานเข้าด้วยกัน ก่อนที่เขาจะผลักออกไป
“วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเต็ม ฝ่ามือสงครามศักดิ์สิทธิ์!”
ฮึ่ม!
ฝ่ามือสีทองทั้งเก้าซัดออกมา แล้วตบลงเบาบนมังกรธาราทั้งเก้า พลังอันน่าสะพรึงกลัวระเบิดออก ขณะที่คลื่นพลังถูกลดระดับกลายเป็นหมอก
“แกกล้าใช้ค่ายกลระดับนี้ต่อหน้าข้าเหรอ?” หวู่ทงเค้นเสียงเย็นชา
“งั้นเหรอ?”
หลิงซียิ้ม จากนั้นก็เริ่มวาดตราประทับซับซ้อนวูบไหว ในเวลาเดียวกันหวู่ทงก็ตระหนักได้ว่ามังกรธาราที่เขาเพิ่งทำลายกลายเป็นผนึกสัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วน
พวกมันรวมเข้ากับมิติอย่างรวดเร็วด้วยความเร็วที่น่าตกใจ กลายเป็นค่ายกลน้ำสีดำทะมึน
ค่ายกลนี้ราวกับคุกน้ำครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด ดักจับหวู่ทงไว้ในส่วนที่ลึกที่สุด
“ค่ายกลระดับจงซือขั้นสูง ค่ายกลคุกน้ำอันธการ!”
ตู้ม!
ขณะที่มู่เฉินถอยออกไปต่อเนื่ององครักษ์เงาคนหนึ่งก็สามารถเข้ามาใกล้ได้พร้อมกับกำปั้นราวกับเส้นแสงซัดใส่หัวของมู่เฉิน
ม่านตาสีดำของมู่เฉินเปล่งประกายด้วยผลึกแก้วใส เจดีย์ปรากฏขึ้น คลื่นหลิงในร่างกายปะทุขึ้นโดยที่ไม่ยับยั้ง
ปัง!
กำปั้นโยนออกไป เขาเลือกที่จะปะทะซึ่งหน้า
มิติแตกสลายเมื่อเกิดการสัมผัสกัน องครักษ์เงาถอยห่างออกไปหลายก้าว ส่วนมู่เฉินถอยออกไปสิบกว่าก้าวพร้อมกับกำปั้นของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงจางๆ
ตู้ม!
ทันใดนั้นมิติก็บิดเบี้ยวที่ด้านหลัง องครักษ์เงาอีกคนปรากฏขึ้นก่อนที่เขาจะรู้ตัว เล็งไปทางด้านหลังของหัวใจมู่เฉิน
แต่คราวนี้เขาไม่คิดจะถอยแล้ว รอยยิ้มเย็นๆ กลับผุดขึ้นบนริมฝีปาก
มือยื่นออกมา จากนั้นก็วาดตราประทับก็วาดขึ้นใส่องครักษ์เงาคนนั้น
ครืน!
มิติระเบิดออกมาพร้อมกับเกลียวแสงสีแดงนับไม่ถ้วน สัญลักษณ์หลิงยิ่งพริบพราวสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าบนท้องฟ้าดูราวกับมหาสมุทรเพลิง อุณหภูมิที่น่ากลัวโหมกระหน่ำ
มิติสีแดงเข้มห่อหุ้มไว้ร่างองครักษ์เงาไว้พอดี
มู่เฉินยกเปลือกตาขึ้นขณะที่สายตาจ้องไปที่องครักษ์เงาที่เปล่งรัศมีดุเดือด เสียงดังเปล่งออกมาจากปากเขา
“ค่ายกลเพลิงทะยาน!”
ปัง!
มิติก่อตัวเป็นโลกลาวาพร้อมกับเงามหึมาลอยขึ้นช้าๆ ราวกับเป็นสิ่งมีชีวิตอันตรายที่สุดในโลกที่เกิดจากภูเขาไฟ
บทที่ 1307 โยนตัวเองลงหม้อ
ฮึ่ม!
มิติสีแดงเข้มอัดแน่นด้วยคลื่นหลิงโหมกระหน่ำสว่างไสวเงามหึมายืนอยู่ในโลกสีแดงเข้ม คลื่นลมหายใจร้อนผ่าวพ่นออกมา ทำให้มิติถึงกับบิดเบือนจากความร้อน
ร่างใหญ่นี้เป็นภาพที่เกิดขึ้นในค่ายกลเพลิงทะยาน ซึ่งประกอบไปด้วยคลื่นหลิงที่บริสุทธิ์ระหว่างสวรรค์และโลก พลังอำนาจลึกซึ้งไม่อาจหยั่งรู้ได้ สามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้เลยทีเดียว
เมื่อคลื่นความร้อนพัดออกมา อุณหภูมิในถ้ำก็เพิ่มขึ้น
ความปั่นป่วนจากด้านมู่เฉินดึงดูดความสนใจของผู้อื่นทันที เมื่อพวกเขาเห็นเปลวเพลิงทะยานขึ้น ใบหน้าแต่ละคนก็เปลี่ยนไปอย่างควบคุมไม่ได้
“ค่ายกลระดับจงซือขั้นสูง?!” เวินชิงเฉวียนเบิกตากว้าง ขณะจ้องมองมู่เฉินด้วยความตกใจ ‘ที่แท้มู่เฉินบรรลุการเป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนแล้ว!’
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงมั่นใจในการรับมือกับองครักษ์เงาทั้งสองคน ที่แท้เขาก็มีไพ่ตายเช่นนี้อยู่ในมือนี่เอง!
“เจ้านั่น!” เวินชิงเฉวียนกัดฟันพร้อมกับสายตาซับซ้อน ตอนที่อยู่ในศึกเบญจภาคีมู่เฉินก็ทรงพลัง แต่ก็ไม่ได้แข็งแกร่งกว่านางมากนัก
หลังจากผ่านไปหลายปี เมื่อพบกันอีกครั้ง แม้ขุมพลังระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายของมู่เฉินจะทำให้นางประหลาดใจ แต่ก็ยังคงอยู่ในขอบเขตที่ยอมรับได้
แต่นางไม่คิดว่าการเพาะบ่มขุมพลังหลิงของมู่เฉินจะเป็นเพียงแค่พื้นผิว ความแข็งแกร่งที่เขาแสดงให้เห็นจนถึงตอนนี้อาจเป็นเพียงแค่ปลายยอดภูเขาน้ำแข็ง
เผชิญหน้ากับมู่เฉินที่เติบโตอย่างรวดเร็ว แม้แต่นางหงส์ที่มั่นใจในตัวเองอย่างเวินชิงเฉวียนยังรู้สึกรันทดลงหลายส่วน ‘เพื่อนคนนี้เป็นสัตว์ประหลาดแท้จริง’
ในคุกที่หลิงซีสร้างขึ้น หวู่ทงก็มองมู่เฉินด้วยดวงตาหดลง เมื่อเขาเห็นค่ายกลเพลิงทะยาน คิ้วของเขาก็ขมวดแน่นขึ้น
ชัดว่าความสามารถของมู่เฉินไม่อยู่ในความคาดหมายของเขา
“ไอ้เจ้านั่นมีกลยุทธ์บางอย่าง แต่ถึงแม้ว่ามันจะหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะจัดการกับองครักษ์เงาชั้นสูงสองคนของตระกูลหวู่!” ความเย็นชาวูบไหวบนใบหน้าของหวู่ทง องครักษ์เงาทั้งสองมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ดังนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับมู่เฉินที่จะจัดการกับพวกเขาด้วยค่ายกลแค่นี้
ยิ่งไปกว่านั้นมีเพียงองครักษ์คนเดียวที่ถูกขัง
ต่อไปคนที่สองจะต้องปลดปล่อยการโจมตีดุเดือดใส่มู่เฉินแน่ ในเวลานั้นมู่เฉินจะไม่มีพลังงานในการควบคุมค่ายกล ถ้าควบคุมไม่ได้องครักษ์คนแรกก็จะสลัดหลุดออกมาได้อย่างง่ายดาย
ในเวลานั้นมู่เฉินจะถูกล้อมกรอบจากองครักษ์เงาทั้งสอง
“แต่ค่ายกลนี้ท่าจะเป็นปัญหาแล้ว”
หวู่ทงละสายตากลับมามองคุกน้ำที่ยึดตัวเขาไว้ แม้ว่าความสามารถในการโจมตีจะไม่ทรงพลังแต่กลับมีพลังในการกักขังดีเยี่ยม แม้ว่าเขาจะใช้วิธีการต่างๆ ก็ยังไม่สามารถบุกทะลวงออกไปได้
ดูเหมือนผู้หญิงคนนี้ตั้งใจจะรั้งเขาไว้เท่านั้น
สายตาหวู่ทงวูบไหว มุมหางตาจ้องมองไปที่หม้อกลั่น ความแวววับที่อธิบายไม่ได้วาบผ่านในดวงตา…
ตู้ม!
อ่านนิยาย
เพลิงก่อตัวเป็นภาพเงาขนาดยักษ์ ปลดปล่อยการโจมตีดุเดือดไปยังองครักษ์เงา ขณะที่หมัดควงออกมา เปลวไฟรุนแรงก็ซัดใส่องครักษ์เงาจังใหญ่
ตึง!
โดยไม่มีความกลัว องครักษ์เงาพุ่งตัวออกไปปะทะเต็มแรง ผลกระทบรุนแรงนี้ทำให้ถ้ำใหญ่สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปหมด
ขณะที่การต่อสู้เข้มข้นเกิดขึ้นในค่ายกล องครักษ์เงาอีกคนหนึ่งก็พุ่งเข้าหามู่เฉินพร้อมกับคลื่นหลิงรุนแรงและไร้ขอบเขตรวมตัวกันที่กำปั้น ทำให้กำปั้นนี้มีพลังแตกท้องฟ้าได้เลย
เจดีย์ขยายในดวงตาของมู่เฉิน เปลี่ยนคลื่นหลิงในร่างกายให้เป็นผลึกคลื่นหลิง จากนั้นหมัดก็ชกออกไป ลวดลายผลึกใสนับไม่ถ้วนพล่านบนแขนของเขา
ตึง ตึง!
เมื่อร่างทั้งสองปะทะกันอย่างรุนแรง มิติก็ผันผวน ทำให้การต่อสู้ดูดุเดือดอย่างยิ่ง
แต่ในขณะที่มู่เฉินกำลังโรมรันพันตู ค่ายกลเพลิงทะยานก็เริ่มจางหายไปอย่างที่หวู่ทงคาดไว้ ขบวนแถวแสงเริ่มหม่นลง ภาพเงาขนาดมหึมาก็เริ่มถอยจากการบีบบังคับโดยองครักษ์เงา
ทว่าเมื่อภาพนี้เพิ่งจะปรากฏ มู่เฉินก็ยิ้มอ่อนก่อนที่จะวาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว มิติพลิกผันที่เบื้องหลัง มู่เฉินชุดขาวปรากฏขึ้น จากนั้นก็เข้าพุ่งไปในค่ายกล ก่อนที่จะนั่งลงและเริ่มควบคุม
เมื่อมู่เฉินชุดขาวเข้าไปแล้ว ค่ายกลเพลิงทะยานก็ระเบิดออกพร้อมกับเกลียวแสงสีแดงมากมายพวยพุ่ง ภาพเงาขนาดยักษ์คำรามก้อง พลิกสถานการณ์ทำให้องครักษ์เงาตกที่นั่งลำบาก
เมื่อค่ายกลเสถียร มู่เฉินก็มีเวลาพุ่งความสนใจไปที่การต่อสู้ จากการแลกกระบวนท่าเมื่อครู่เขาตระหนักได้ว่าถึงแม้ว่าจะใช้การขยายของเจดีย์ แต่เขาก็ยังคงเสียเปรียบเมื่อต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม
ไม่ว่าอย่างไรก็มีช่องว่างกว้างใหญ่ระหว่างระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายกับขั้นเต็มอยู่ ถ้าเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายธรรมดาปะทะกับขั้นเต็ม ชีวิตของพวกเขาคงถูกเฉือนออกในสิบกระบวนท่า สำหรับมู่เฉินที่สามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ระดับนี้โดยไม่ใช้ร่างเทห์สวรรค์ถือว่าไม่ธรรมดามากแล้ว
“ในเมื่อข้าคนเดียวเอาชนะไม่ได้ แล้วข้าสองคนล่ะ?”
มู่เฉินยิ้มอ่อนขณะที่จ้องมององครักษ์เงาที่พุ่งเข้ามา เงาส่องประกาย มู่เฉินชุดดำก็ปรากฏขึ้น ทั้งสองคนเหวี่ยงหมัดออกมาพร้อมกับคลื่นหลิงไร้ขอบเขตก่อตัวเป็นพายุเฮอริเคน แม้แต่ท้องฟ้าก็แยกออกจากกัน
ปัง!
หมัดทั้งสองปะทะกับองครักษ์เงาอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้ไม่ใช่มู่เฉินที่ถอยออกไป แต่เป็นองครักษ์เงาปลิวออกไป
ในระยะไกล ต่งซันที่สู้กับเวินจื่อหยู่ก็เหลือบมอง ใบหน้าเปลี่ยนไปทันที เขาตกใจที่เห็นมู่เฉินถึงสามคน เขาไม่เข้าใจว่าทำไมมู่เฉินถึงสามารถสร้างร่างดวงจิตที่มีพลังเช่นเดียวกับร่างหลักได้
“หึ สนใจตัวเองก่อนดีกว่า!”
คลิก
ขณะที่เขากำลังฟุ้งซ่าน เสียงเยาะเย้ยก็ดังก้อง กระบี่เย็นทะลุผ่านมิติเสือกแทงเข้าที่หน้าอกของต่งซันทิ้งบาดแผลไว้
“ไอ้เวร แกรนหาที่ตาย!”
หลังจากได้รับบาดเจ็บโดยไม่ทันระวังตัว ใบหน้าของต่งซันก็ดูน่าขนพองสยองเกล้า จิตสังหารเพิ่มขึ้นก่อร่างเป็นใบมีดไร้ขอบเขตล้อมรอบร่างเวินจื่อหยู่เอาไว้
คลื่นหลิงรุนแรงพัดไปทั่วถ้ำ หากถ้ำนี้ไม่ใช่ถ้ำที่ภูตผีเสื้อโอสถสร้างไว้ละก็ คงจะต้องถูกทำลายจนวินาศสันตะโรจากการต่อสู้ดุเดือดเหล่านี้
“ชิงเฉวียนเร็ว! ไปคว้ามรดกมาซะ!”
ขณะที่มู่เฉินกำลังโรมันกับองครักษ์เงาสองคน เขาก็ส่งเสียงไปหาเวินชิงเฉวียนทันที
เวินชิงเฉวียนพยักหน้า ถอยออกจากวงล้อมการต่อสู้โดยไม่ลังเล ร่างเปลี่ยนเป็นลำแสงทะยานไปทางหม้อกลั่นที่อยู่ในส่วนลึกของถ้ำ นางรู้ว่ามู่เฉินและคนอื่นๆ กำลังซื้อเวลาให้ ดังนั้นนางต้องใช้เวลานี้ให้เป็นประโยชน์สูงสุด
พวกต่งซันรู้สึกร้อนรนมากขึ้นกับการกระทำของเวินชิงเฉวียน พวกเขาต้องการหยุดนาง แต่ก็ถูกดักไว้ในการต่อสู้
ดังนั้นเมื่อไม่มีใครขัดขวาง เวินชิงเฉวียนก็มาถึงอย่างรวดเร็วที่เบื้องหน้าหม้อกลั่นภูตผีเสื้อโอสถที่มีเปลวไฟลุกโชติช่วง แม้ว่าจะไม่มีอุณหภูมิสูง แต่ก็ให้ความรู้สึกน่ากลัว
หม้อนี้ถูกทิ้งไว้โดยภูตผีเสื้อโอสถ แม้เปลวไฟจะลุกโชนมาเนิ่นนาน แต่หากไม่มีวิธีที่เหมาะสม แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็กลายเป็นเถ้าถ่านเมื่อสัมผัสกับมันได้
เมื่อมองไปที่หม้อกลั่น เวินชิงเฉวียนก็หายใจเข้าลึกสุดปอด จากข้อมูลที่รวบรวมมา มรดกของภูตผีเสื้ออยู่ในหม้อกลั่นนี้ ดังนั้นถ้านางต้องการได้ก็ต้องโยนตัวเองเข้าไปในหม้อ
แต่ชัดเจนว่านี่เป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง
รัศมีความตายที่เอิบอาบออกมาจากหม้อกลั่นขนาดใหญ่สามารถเผาจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มกลายเป็นเถ้าถ่านได้ ไม่ต้องพูดถึงระดับนางเลย
เวินชิงเฉวียนกัดฟันกำมือแน่น ความลังเลเคลื่อนอยู่ในนัยน์ตา แต่ไม่นานก็ถูกนางระงับ
การแสดงออกเด็ดเดี่ยวเผยบนใบหน้า
หากนางต้องการได้รับมรดก ก็เป็นธรรมชาติที่ต้องยอมสูญเสียบางอย่าง หากนางไม่มีความกล้าที่จะทำเช่นนั้น ทำไมจึงสมควรได้รับมรดกเล่า?
เมื่อคิดได้ เวินชิงเฉวียนก็ไม่ลังเลอีกต่อไป นางส่งแรงไปที่ฝ่าเท้าโผทะยาน ร่างเปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งเข้าไปในหม้อกลั่นขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยเปลวไฟที่น่าสะพรึงกลัวภายใต้สายตาตกตะลึงของทุกคน
แม้ว่ามู่เฉินจะเดาได้ว่านี่เป็นวิธีที่จะได้รับมรดก แต่เขาก็ยังรู้สึกกังวลกับเวินชิงเฉวียนอยู่ในใจ เพราะด้วยความผิดพลาดเล็กน้อยนางอาจถูกเผาเป็นเถ้าถ่านได้
ในเวลานี้ที่ทำได้คืออธิษฐานว่าเวินชิงเฉวียนเลือกหนทางถูกแล้ว
หวู่ทงที่อยู่ในคุกน้ำก็ยืนขึ้น มองไปที่เวินชิงเฉวียนที่โยนตัวเองเข้าไปในหม้อกลั่นขนาดใหญ่ ความคาดหวังที่แปลกประหลาดปรากฏขึ้นในดวงตา
“เวินชิงเฉวียน อย่าทำให้ข้าผิดหวังซะล่ะ”
บทที่ 1308 กองทัพมังกรดำ
ฟู่ ฟู่!
เมื่อเวินชิงเฉวียนโยนตัวเองเข้าไปในหม้อกลั่น หม้อกลั่นก็พวยพุ่งด้วยเพลิงลุกโชติช่วงเป็นไฟสีฟ้าที่ให้ความรู้สึกอ่อนโยน แต่ทุกคนรู้ว่านี่เป็นเพียงรูปลักษณ์เท่านั้น เพลิงที่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนใช้ในการกลั่นสามารถเปลี่ยนจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มให้กลายเป็นเถ้าถ่านได้ในพริบตา
เวินจื่อหยู่และจอมยุทธ์ตระกูลเวินคนอื่นๆ มองไปที่หม้อกลั่นด้วยท่าทางเป็นกังวล แผ่นหลังของพวกเขาชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็น หากเวินชิงเฉวียนล้มเหลว นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะยอมรับได้
นั่นเป็นเพราะเมื่อนางล้มเหลว ร่างก็จะเหลือเพียงกองเถ้าถ่านไว้ดูต่างหน้า
พวกต่งซันก็กำลังมองหม้อกลั่นขนาดใหญ่ ถ้าเวินชิงเฉวียนประสบความสำเร็จ พวกเขาก็จะใช้ความพยายามทั้งหมดเพื่อยึดมรดกนี้มาให้ได้
ดังนั้นการปะทะกันจึงสงบลงชั่วคราว ยกเว้นสมรภูมิของมู่เฉินแห่งเดียว
องครักษ์เงาไม่มีจิตใต้สำนึกหลงเหลือ พวกเขาคิดเพียงแต่สังหารอย่างไร ดังนั้นพวกเขาไม่ได้สนใจกับการรับมรดก สิ่งที่พวกเขาต้องการคือฆ่ามู่เฉินที่กีดขวางหน้าเส้นทางให้กลายเป็นกองเนื้อ
แต่ไม่ว่าจะโจมตีอย่างไร พวกเขาถูกสกัดอย่างแน่นหนาโดยมู่เฉิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์รักษ์ที่อยู่ในค่ายกลเพลิงทะยาน ตอนนี้มันอยู่ในสภาพที่น่าสมเพชโดยที่แขนข้างหนึ่งถูกทำลาย
เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินควบคุมสมรภูมิไว้ทั้งหมด เป็นเพียงเรื่องเวลาที่องครักษ์ทั้งสองจะพ่ายแพ้
ตู้ม!
ขณะที่มู่เฉินต้านองครักษ์เงาทั้งสองไว้ได้ ทันใดนั้นก็เกิดการเคลื่อนไหวในถ้ำ เสียงทุ้มต่ำดังก้องจากในหม้อกลั่นที่ลุกโชนด้วยเปลวเพลิง
ฟู่ ฟู่!
อึดใจเพลิงสีฟ้าก็กวาดออกมาจากหม้อกลั่น เสาลุกขึ้นจากภายใน เงาร่างค่อยๆ ปรากฏขึ้น
เมื่อพวกเวินจื่อหยู่เห็นร่างที่คุ้นเคย ความสุขก็พัดไปทั่วใบหน้าของพวกเขา
นี่คือเวินชิงเฉวียน
ขณะนี้ดวงตาของนางปิดลงพร้อมกับเพลิงสีฟ้าเปล่งประกายบนร่างกาย เพลิงเหล่านี้ดูเหมือนมีจิตวิญญาณ ห่อหุ้มร่างกายของนาง ก่อตัวเป็นแก้วมรกตราวกับเกราะแสงที่ปกป้องนางไว้
แพขนตายาวสั่นไหวก่อนที่ดวงตาของนางจะเปิดขึ้นกะทันหัน เพลิงสีฟ้ากะพริบวูบไหวอยู่ภายใน ยามนี้นางช่างดูมีเสน่ห์มากกว่าปกติ
อ่านนิยาย
นางรู้สึกงุนงงไปเล็กน้อยเมื่อเห็นเปลวไฟบนร่างกายก่อนที่ความสุขจะวูบไหวในดวงตา นั่นเป็นเพราะนางสามารถสัมผัสได้ถึงมรดกในห้วงแห่งจิตในตอนนี้
กระทั่งเพลิงสีฟ้ายังไหลอวลอยู่ในร่างกายของนาง
ชัดว่าการตัดสินใจกระโจนตัวลงไปในหม้อกลั่น ไม่ได้ทำให้นางกลายเป็นเถ้าถ่าน แต่ได้รับมรดกของภูตผีเสื้อโอสถ
มีความเข้าใจต่อการเล่นแร่แปรธาตุและทักษะลับมากมาย นี่อาจไร้ประโยชน์กับคนอื่นๆ แต่ในฐานะนักเล่นแร่แปรธาตุนี่เป็นขุมสมบัติเลยทีเดียว
ก็เป็นเหมือนตอนมู่เฉินได้รับความเข้าใจต่อค่ายกลจากมารดา ทำให้เขาสามารถบรรลุการเป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนได้ มิหนำซ้ำยังให้ความช่วยเหลือยิ่งใหญ่ในการพัฒนาในอนาคตเพื่อเข้าสู่ขุมพลังเทียนจื้อจุน
ด้วยมรดกนี้ เวินชิงเฉวียนจะเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุที่มีชื่อเสียงในอนาคต แน่นอนว่านี่เป็นข่าวที่ดีสำหรับตระกูลเวิน
เพราะนักเล่นแร่แปรธาตุเป็นศาสตร์อีกแขนงหนึ่งที่ได้รับการต้อนรับมากในมหาพันภพ
“ข้อมูลที่ได้มาเป็นเรื่องจริง!”
เวินชิงเฉวียนชื่นชมยินดี แต่นางรู้ว่าต้องใช้ความกล้าหาญอย่างยิ่งในการรับมรดก เพราะไม่ใช่ทุกคนที่กล้ากระโจนลงไปในหม้อกลั่น เนื่องจากอาจไม่เหลือแม้แต่ซากไว้ได้
ระหว่างชีวิตและมรดกผู้คนส่วนใหญ่เลือกชีวิต เพราะไม่มีชีวิตมรดกใดๆ ก็ไร้ประโยชน์
“บ้าเอ๊ย!”
เมื่อเห็นเวินชิงเฉวียนได้รับมรดกไปแล้ว ใบหน้าของต่งซันและพรรคพวกก็เปลี่ยนไปรุนแรง เนื่องจากการได้รับมรดกของภูตผีเสื้อโอสถของเวินชิงเฉวียน นี่ไม่เท่ากับว่าทุกสิ่งที่พวกเขาพยายามสลายกลายเป็นอากาศธาตุเรอะ?
“ฮ่าๆ เจ้าประสบความสำเร็จจริงๆ”
สายตาของหวู่ทงวูบไหว ขณะที่เริ่มหัวเราะร่วนอยู่ภายในคุกน้ำ นิ้วหนีบเข้าด้วยกันยันต์สีดำก็ปรากฏ บนยันต์ถูกวาดด้วยลวดลายลึกซึ้ง ทำให้เกิดความผันผวนที่แปลกประหลาด
หวู่ทงเงยหน้าขึ้นมองหลิงซีพลางยิ้มอ่อน ก่อนที่ยันต์ในมือจะกลายเป็นเปลวไฟ
หลิงซีจับจ้องอีกฝ่ายอยู่ตลอด ดังนั้นเมื่อยันต์ปรากฏในมือเขา นางก็สังเกตเห็นทันที นางรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ รีบเร้าค่ายกลทันที
ซ่า!
น้ำสีดำไร้ขอบเขตกดลงพร้อมกับแรงน่ากลัว มังกรดำนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าหาหวู่ทง ไม่ว่าเขาตั้งใจทำอะไร หลิงซีก็ต้องหยุดก่อน
“ปฏิกิริยาเร็วใช้ได้ แต่น่าเสียดายที่ไร้ประโยชน์”
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งกีดขวางของหลิงซี หวู่ทงก็ยิ้มบาง ยันต์ในมือเขากลายเป็นควันสีดำห่อหุ้มร่างเอาไว้
เมื่อควันดำล้อมรอบ ร่างเงาของหวู่ทงก็หายวับไปทันที
“ชิงเฉวียนระวัง!”
มู่เฉินที่กำลังเผชิญหน้ากับองครักษ์เงาสองคนตะโกนเตือน ขณะที่ดวงตาเปล่งประกาย
วาบ!
กลุ่มควันสีดำมาปรากฏที่เบื้องหน้าเวินชิงเฉวียนคว้าข้อมือบางเอาไว้ จากนั้นก็เหวี่ยงนางกระแทกเข้ากับหม้อกลั่นที่อยู่ด้านล่าง
เคร้ง!
ปะทะกับหม้อหนักหน่วงเกิดเสียงดังกึกก้องขึ้น แต่อาจเป็นเพราะเวินชิงเฉวียนได้รับมรดก นางเลยไม่ได้กลายเป็นเถ้าถ่านจากเปลวไฟบนหม้อกลั่น
อ็อก
อ่านนิยาย
แต่กระนั้นผลกระทบนี้ก็ทำให้เวินชิงเฉวียนกระอักเลือดเต็มปาก หม้อกลั่นถึงกับปลิวออกไป
แต่หลังจากเหวี่ยงเวินชิงเฉวียนแล้ว หวู่ทงก็ไม่ได้ออกกระบวนท่าโจมตีใดๆ อย่างที่ทุกคนคาดไว้ ตรงกันข้ามเขาหยุดเคลื่อนไหว จ้องไปยังสถานที่ที่หม้อขนาดใหญ่เคยสถิตอยู่ก่อนหน้า ท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือชัดเจน
หม้อที่อยู่ก่อนหน้าที่ถูกกระแทกออกไปโดยเวินชิงเฉวียน ปรากฏค่ายกลขึ้นตรงจุดที่หม้อที่เคยอยู่เมื่อครู่
หวู่ทงมองไปที่ค่ายกลด้วยดวงตาเป็นประกาย ยันต์ยิงออกไปตกลงบนค่ายกล
ฮึ่ม ฮึ่ม
ทันใดแสงหลิงเข้มข้นก็ปะทุขึ้นจากค่ายกล มิติบิดเบือนก่อนเส้นทางจะเกิดขึ้น
การเปลี่ยนแปลงฉับพลันทำให้ทุกคนคาดไม่ถึง ไม่มีใครคิดว่าจะมีสิ่งพิเศษภายใต้หม้อกลั่นนี้
“เวินชิงเฉวียน เจ้าคิดว่าเป้าหมายของตระกูลหวู่เป็นแค่มรดกของภูตผีเสื้อโอสถรึ?” หวู่ทงหันกลับมามองที่เวินชิงเฉวียนด้วยดวงตาหรี่แคบลงจากรอยยิ้ม
“ข้อมูลที่ตระกูลเวินได้รวบรวมเกี่ยวข้องกับภูตผีเสื้อโอสถเท่านั้น แต่พวกเจ้าไม่รู้ว่ามีมรดกอีกอย่างซ่อนอยู่ที่นี่ ซึ่งเป็นของสามีของนาง—จักรพรรดิมังกรดำ!”
“จักรพรรดิมังกรดำ?!” เวินชิงเฉวียนตกใจ นี่คือสิ่งที่นางไม่รู้จริงๆ แต่นางทราบประวัติของจักรพรรดิมังกรดำ เขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่มีชื่อเสียงและเป็นสามีของภูตผีเสื้อโอสถ
นอกจากนี้สิ่งที่จักรพรรดิมังกรดำทรงพลังที่สุดไม่ใช่ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิง แต่เป็นศาสตร์จั้นเจิ้นซือ!
เขาได้สร้างกองทัพมังกรดำขึ้นมา ซึ่งนักรบทุกคนในกองทัพชโลมด้วยเลือดมังกรสร้างพวกเขาเป็นนักรบมังกร กองทัพมังกรดำตอนสถานะสุดยอด ทำให้จักรพรรดิมังกรดำกลายเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงในขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน
ทว่าผลจากการมหาสงครามครั้งยิ่งใหญ่ ทำให้จักรพรรดิมังกรดำต้องสละชีวิตไปพร้อมกับภูตผีเสื้อโอสถ จากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวใดๆ แม้แต่กองทัพมังกรดำก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“เป้าหมายของตระกูลหวู่คือกองทัพมังกรดำนั่นเองรึ?!” เวินชิงเฉวียนคิดได้ในทันที ตระกูลหวู่ต้องได้รับข่าวเกี่ยวกับกองทัพมังกรดำที่ไหนสักแห่ง นั่นคือเหตุผลที่พวกเขามุ่งหน้ามายังสถานที่แห่งนี้ด้วยทุกอย่างที่มี
หวู่ทงยักไหล่ยิ้ม “แม้ว่าตามข้อมูลกองทัพมังกรดำได้รับความเสียหาย แต่เนื่องจากนักรบทุกคนได้รับการชโลมด้วยเลือดมังกร ในเวลาสุดท้ายจักรพรรดิมังกรดำจึงได้เปลี่ยนกองทัพมังกรดำกลายเป็นกองทัพอมตะ มิหนำซ้ำยังทำให้พวกเขาหลับใหล ดังนั้นกองทัพนี้จึงได้รับการเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี หากกองทัพนี้อยู่ในมือตระกูลหวู่ละก็ ข้าจะสามารถควบคุมกองทัพมังกรดำทำลายล้างตระกูลเวินเพียงแค่พลิกฝ่ามือเท่านั้น!”
“ทว่ากองทัพมังกรดำได้รับการปกป้องจากหม้อกลั่นของภูตผีเสื้อโอสถและด้วยเพลิงประหลาดบนหม้อกลั่น แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ยังกลายเป็นเถ้าถ่านได้เมื่อสัมผัส เฉพาะผู้ที่ได้รับมรดกของภูตผีเสื้อโอสถเท่านั้นที่มีภูมิคุ้มกันต่อเพลิงเหล่านั้น”
ขณะที่พูดหวู่ทงก็มองไปที่เวินชิงเฉวียนด้วยสายตาเย้ยหยัน “ดังนั้นหากเจ้าไม่มีความกล้า ข้าอาจจะต้องปวดหัวหนักกับมรดกนี้ เพราะวิธีการแบบเสี่ยงชีวิตไม่เหมาะกับข้าหรอก”
ใบหน้าของเวินชิงเฉวียนซีดขาวลง แบบนี้นี่เองหวู่ทงรอให้นางได้รับมรดกเพื่อจะใช้นางเป็นกุญแจไขเข้าไปในมิติมังกรดำ!
แต่ถ้ากองทัพมังกรดำตกอยู่ในมือตระกูลหวู่จริงๆ ละก็ จะเป็นหายนะต่อตระกูลเวินอย่างยิ่ง
ดังนั้นต้องขัดขวางให้ได้
“คิดจะขัดขวางข้าเหรอ? ที่จริงพูดกับพวกเจ้ามากขนาดนี้ ก็แค่ไม่ต้องการให้พวกเจ้ารบกวนเสถียรภาพของมิติมังกรดำนี้”
เหมือนรู้เจตนาของอีกฝ่าย หวู่ทงก็ส่ายหัวมองมิติที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นเบื้องหน้า ก่อนที่จะหันไปมองมู่เฉิน เวินชิงเฉวียน และคนอื่นๆ รอยยิ้มเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า
“ตอนนี้พวกเจ้าก็เตรียมตัวรอข้าออกมาพร้อมกับกองทัพมังกรดำเถอะ หวังว่าพวกเจ้าจะยังเหลือความกล้าที่จะประจันหน้าข้านะ”
“นอกจากนี้ข้าก็ใจดีที่จะบอกซะหน่อยว่ามีเพียงจั้นเจิ้นซือเท่านั้นที่สามารถเข้าสู่มิติมังกรดำได้ ดังนั้นพวกเจ้าหยุดเสียเวลาซะ”
“และบังเอิญเชียวแหละ เพราะข้าเป็นจั้นเจิ้นซือ”
มองดูศัตรูด้วยสายตาสงสาร หวู่ทงก็สูดหายใจลึกก้าวย่างเข้าไปโดยไม่ลังเล
แต่จังหวะนั้นเองเสียงหัวเราะที่แฝงความประหลาดใจเล็กน้อยก็ดังก้องไปทั่วถ้ำแห่งนี้
“จั้นเจิ้นซือรึ?
“บังเอิญจริง ข้าก็เป็นเหมือนกัน!”
ทุกคนหันขวับไปก็เห็นเงาของมู่เฉินที่ขวางองครักษ์เงาทะยานออกไป ร่างเขาราวกับสายฟ้าพุ่งเข้าไปในมิตินั้น
ในช่วงเวลานั้นความผันผวนแปลกประหลาดก็เพิ่มขึ้นในร่างกาย ซึ่งก็คือรัศมีจั้นยี่ที่เป็นเอกลักษณ์ของจั้นเจิ้นซือ!
บทที่ 1309 มิติมังกรดำ
เมื่อรัศมีจั้นยี่พวยพุ่งออกจากร่างของมู่เฉิน
เขาก็ทะยานประหนึ่งสายฟ้าพุ่งเข้ามาในทางที่ค่อยๆ เสถียรขึ้น
เหตุการณ์ที่กลับตาลปัตรก่อนหน้าก็ทำเอามู่เฉินตกใจไป เขาไม่คิดว่าจะมีมรดกของจักรพรรดิมังกรดำซ่อนอยู่ในมรดกของภูตผีเสื้อโอสถด้วย
นอกจากนี้ที่น่าตกตะลึงที่สุดก็คือ ‘กองทัพมังกรดำ’ ที่หวู่ทงพูดถึง
นี่เป็นกองทัพทรงพลังที่สามารถเทียบเคียงได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน ระดับของกองทัพเช่นนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่ขั้วอำนาจสูงสุดยังต้องใช้เวลานานและทรัพยากรจำนวนมหาศาลในการเลี้ยงดู
ดังนั้นต่อให้เป็นจั้นเจิ้นซือ มู่เฉินก็ไม่เคยมีความตั้งใจที่จะสร้างกองทัพด้วยตัวเอง เพราะเขารู้ว่าไม่มีความสามารถพอที่จะเสียเวลาและทรัพยากรให้กับมันได้
ทว่าจากที่หวู่ทงพูดก่อนหน้า กองทัพมังกรดำนั้นได้รับการรักษาไว้เป็นอย่างดี ที่สำคัญที่สุดพวกเขาไม่ใช่หุ่นเงา แต่เป็นกองทัพที่มีชีวิตจริงๆ
เพียงว่ากองทัพมังกรดำหลับใหล ถ้าปลุกพวกเขาได้ พวกเขาก็จะฟื้นฟูกลับเป็นกองทัพมังกรดำที่มีชื่อเสียงในสมัยโบราณ
ในสถานที่นี้ นอกจากหวู่ทง ก็คงมีเพียงมู่เฉินที่เป็นจั้นเจิ้นซือเท่านั้น ถึงรู้ว่ากองทัพแบบนี้ที่มีค่าเช่นไร
ดังนั้นเมื่อสิ้นเสียงเสียงของหวู่ทง มู่เฉินก็ทะยานออกไปโดยไม่ลังเล เข้าไปในมิติมังกรดำก่อนที่หวู่ทงจะทันขยับตัว
ไม่มีใครมีปฏิกิริยาตอบสนองได้ทันในเวลาที่มู่เฉินพุ่งออกไป แม้แต่หวู่ทงก็อึ้งไป ทว่าหลังจากครู่เดียวเมื่อเขารู้สึกถึงรัศมีจั้นยี่ที่เพิ่มขึ้นจากร่างของมู่เฉิน ใบหน้าของเขาก็บิดเบี้ยวอย่างไม่สามารถควบคุมได้
เขาไม่เคยคิดว่าคำพูดของตนเองจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว!
นั่นเป็นเพราะเขามั่นใจว่าในที่นี้มีเพียงตนเองที่เป็นจั้นเจิ้นซือ มิฉะนั้นทำไมเขาถึงไม่รู้สึกถึงความผันผวนของรัศมีจั้นยี่ในการต่อสู้เมื่อสักครู่
แต่ไม่ว่าเขาจะยากที่จะเชื่อแค่ไหน ความจริงที่โหดร้ายก็ปรากฏที่เบื้องหน้าแล้ว
เมื่อมองไปที่มู่เฉิน หวู่ทงก็อยากจะตบกะโหลกตัวเอง เพราะเขาอิ่มเอมใจมากเกินไปจึงเผยความลับเหล่านั้นออกมา แต่เขาก็ต้องการให้ข้อมูลที่น่าตกใจเพื่อแยกแยะความสนใจของทุกคน พวกเขาจะได้ไม่รบกวนความมั่นคงของเส้นทาง
แต่เขาไม่เคยคิดว่าคำพูดของตนเองจะดึงดูดปัญหามาให้
ดวงตาของหวู่ทงเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ ท่าทางน่ากลัวขึ้นหลายส่วน
ทว่าหวู่ทงไม่ได้เสียสติไปกับความโกรธ สายตาจ้องเขม็งไปที่มู่เฉิน เขาไม่ได้คิดโจมตีแต่ก้าวเข้าสู่มิติมังกรดำไป
สิ่งสำคัญในตอนนี้คือการได้รับกองทัพมังกรดำ แต่ถ้าเขาปะทะกับมู่เฉินละก็ อาจมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น
วาบ!
มิติมังกรดำผันผวนเล็กน้อย ร่างของหวู่ทงก็หายไปในทางเดิน ช่วงเวลานั้นมู่เฉินก็ปรากฏตัวขึ้นแล้วเข้าไป
ทั้งสองคนหายตัวไปในมิติมังกรดำ
เมื่อทั้งสองหายไป ในถ้ำก็เงียบกริบ ทุกคนยังอยู่ในอาการตกใจ พวกเขาไม่รู้ว่าควรตอบสนองต่อสถานการณ์นี้อย่างไรดี
“มู่เฉินเข้าไปแล้ว? งานนี้หวู่ทงไม่ปล่อยเขาแน่!” เวินชิงเฉวียนรีบลุกขึ้นมองไปที่ลั่วหลีและหลิงซีด้วยความกังวล
“นอกจากนี้มู่เฉินเป็นจั้นเจิ้นซือด้วยเหรอ? เขาจะเอาชนะหวู่ทงได้ไหม?”
เหตุผลที่มู่เฉินเข้าไปในมิติมังกรดำก็ชัดว่าเพื่อรับกองทัพมังกรดำ แต่หวู่ทงไม่ยอมปล่อยมู่เฉินไปตามที่ต้องการหรอก ดังนั้นจะต้องเกิดการต่อสู้รุนแรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
พลังของหวู่ทงแข็งแกร่งกว่าระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มธรรมดาบวกกับไพ่ตายจำนวนมาก ดังนั้นเขาจึงไม่ใช่คนที่สามารถจัดการได้ง่ายๆ
หลิงซีขมวดคิ้ว แต่ลั่วหลีกลับดูสงบนิ่งขณะที่จ้องมองมิติมังกรดำ “มู่เฉินไม่ใช่คนที่จะตาบอดเพเราะความโลภมาก เขาต้องมีความมั่นใจในเมื่อเลือกทำสิ่งนี้”
แม้ว่าหวู่ทงจะทรงพลัง แต่มู่เฉินก็ไม่ใช่ธรรมดา ตอนที่เขาอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น เขาก็เจิดจรัสท่ามกลางจอมยุทธ์ระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายแล้ว ตอนนี้เขาอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ลั่วหลีเชื่อว่ากระทั่งจอมยุทธ์ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มทรงพลัง มู่เฉินก็ไม่ได้ด้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกัน
เมื่อเห็นการแสดงออกที่สงบนิ่งของลั่วหลี เวินชิงเฉวียนก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย ไม่ว่าอย่างไรสิ่งที่พวกนางทำได้ตอนนี้ก็คือรอและหวังว่ามู่เฉินจะสามารถควบคุมกองทัพมังกรดำได้ มิฉะนั้นถ้ากองทัพมังกรดำตกอยู่ในมือของหวู่ทง จะเป็นหายนะกับพวกนางทั้งหมด
ดังนั้นการต่อสู้ดุเดือดในถ้ำจึงสงบลงช้าๆ เนื่องจากพวกเขารู้ว่าการต่อสู้แตกหักจะเกิดขึ้นในมิติมังกรดำ
ทว่าตอนนี้ยังมีองครักษ์เงาสองคนที่ยังต่อสู้กับมู่เฉินชุดดำและชุดขาวที่มู่เฉินทิ้งไว้
“เวินจื่อหยู่ไปช่วยร่างดวงจิตของมู่เฉินจัดการกับองครักษ์เงา” เวินชิงเฉวียนหันไปบอก
เวินจื่อหยู่พยักหน้า ก่อนที่จะหันหลังกลับพุ่งเข้าใส่องครักษ์เงา
ขณะที่ต่งซันต้องการขัดขวาง หลิงซีก็ปรากฏตัวต่อหน้าพร้อมกับค่ายกลถักทอขึ้นในมือนาง
เมื่อทั้งสองกลุ่มยืนคุมเชิงกัน พวกเขาก็ไม่ได้สังเกตเห็นเงาดำขยับเข้าใกล้มิติมังกรดำก่อนจะหายเข้าไปช้าๆ
เมื่อเข้าสู่มิติมังกรดำ
สภาพแวดล้อมโดยรอบของมู่เฉินก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ในช่วงเวลาต่อมาความผันผวนห้วงมิติก็เสถียรขึ้น เขากวาดสายตาออกไป
ที่นี่เป็นดินแดนรกร้างเต็มไปด้วยหุบเขาลึก มู่เฉินมองออกไปในระยะไกล
มีลานขนาดใหญ่ที่มีรูปปั้นสีแดงเข้มยืนอยู่นับไม่ถ้วน แต่ละร่างดูพร่างพราวนัก
รูปปั้นหินเหล่านั้นยืนเงียบๆ บนลานราวกับเป็นกองทัพชั้นยอด สายตามองไปยังแท่นสูงที่เบื้อหน้าด้วยท่าทางเคารพเทิดทูน
ราวกับว่าเคยมีกษัตริย์ของพวกเขายืนอยู่
มู่เฉินมองไปที่รูปปั้นหิน ใบหน้าก็เคร่งเครียดลงหลายส่วน เนื่องจากเขารับรู้ถึงแรงกดดันน่ากลัวที่เกิดขึ้นจากพวกเขา
“นั่นคือกองทัพมังกรดำ!”
สายตามู่เฉินวูบไหว มีเพียงกองทัพมังกรดำเท่านั้นที่ให้ความกดดันที่น่าสะพรึงกลัวเพียงนี้ได้ แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะหลับใหลอยู่ก็ตาม
วาบ!
บนท้องฟ้าไม่ไกลหวู่ทงก็ปรากฏตัวขึ้นพลางมองไปยังกองทัพรูปปั้นหินด้วยความโลภ ก่อนที่จะหันมาเผชิญหน้ากับมู่เฉินด้วยรอยยิ้มที่น่ากลัว “ไอ้โง่ แกคิดว่าจะได้รับกองทัพนี้โดยตามข้าเข้ามาในมิติมังกรดำเรอะ?”
ใบหน้าของมู่เฉินเรียบเฉย เพราะเขารู้ว่าไม่ง่ายขนาดนั้นแน่นอน ทว่าเขาก็ไม่มีทางยืนเฉยมองหวู่ทงเข้าควบคุมกองทัพน่ากลัวนี่
เมื่อเห็นว่ามู่เฉินไม่สนใจ เขาก็หัวเราะในลำคอ มือกำแน่นเครื่องรางปรากฏขึ้นแล้วบินออกไป
เมื่อเครื่องรางพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ก็เปล่งประกายระยิบระยับดูราวกับดวงอาทิตย์อบอุ่นส่องลงบนรูปปั้นหินด้านล่าง
ภายใต้แสงสว่างมู่เฉินตระหนักได้ว่ารูปปั้นหินเริ่มละลายอย่างช้าๆ
“เครื่องรางนี้สร้างขึ้นโดยจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนของตระกูลหวู่เพื่อใช้ในการปลุกกองทัพมังกรดำที่หลับใหล!” มู่เฉินขมวดคิ้วกับคำพูดดังกล่าว หวู่ทงเตรียมพร้อมจริงๆ
ภายใต้การสายตาของมู่เฉิน กองทัพก็เริ่มละลาย หลายนาทีต่อมาหินบนร่างพวกเขาก็หายไปแทนที่ด้วยเกราะสีแดงเข้ม
เงาเหล่านั้นดูแข็งแกร่งด้วยผิวสีแดงเข้ม แม้แต่เกล็ดมังกรก็ยังสามารถเห็นได้บนร่าง พลังมังกรถูกปลดปล่อยออกมาอย่างเงียบๆ
ทว่ามู่เฉินก็สัมผัสได้ว่าเมื่ออาการแข็งเป็นหินหายไป นักรบบางคนก็กลายเป็นเถ้าถ่าน พวกเขาคงจะล้มเหลวในการเข้าสู่กระบวนการนิทรารมณ์และสลายหายไปจากกาลเวลา
ภายใต้สายตาเป็นกังวลของมู่เฉินและหวู่ทง เงาสีแดงเข้มจำนวนมากก็เปิดตาขึ้น ดวงตาของพวกเขาส่องประกายความงุนงงก่อนที่แสงหลิงจะเริ่มรวมตัวกัน สุดท้ายพวกเขาก็ก้มศีรษะลงคุกเข่าต่อหน้าแท่นสูง
ตึง!
ทั้งมิติสั่นสะเทือน
ขณะที่พวกเขาค่อยๆ ฟื้นความทรงจำ พวกเขาจำได้ว่านายท่านใช้พลังเฮือกสุดท้ายทำให้นักรบทุกคนเข้าสู่สภาวะนิทรารมณ์เพื่อช่วยรักษาพวกเขาไว้
บนท้องฟ้ามู่เฉินและหวู่ทงก็รับรู้ถึงอารมณ์ผิดปกติในกองทัพมังกรดำ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าขัดขวาง ปล่อยให้กองทัพมังกรดำรำลึกถึงจักรพรรดิแห่งตนที่สิ้นชีพไปแล้ว
ประมาณสิบกว่านาทีต่อมานักรบมังกรดำก็ลุกขึ้นยืน เงามืดกำยำด้านหน้าสุดของกองทัพเงยหน้ามองไปที่มู่เฉินและหวู่ทง เสียงขึงขังดังก้อง
“ใครปลุกพวกข้าขึ้นมา?”
บทที่ 1310 เลือก
“ใครปลุกพวกข้าขึ้นมา?”
เสียงสะท้อนระหว่างสวรรค์และโลก ดวงตาของหวู่ทงก็เปล่งประกายด้วยความตื่นเต้นบนใบหน้า ก่อนที่เขาจะประสานหมัดเข้าด้วยกัน “ข้าชื่อหวู่ทง ได้ยินชื่อเสียงของกองทัพมังกรดำมานานแล้ว เป็นเกียรติของข้าที่ได้ช่วยให้ทุกคนตื่นขึ้นจากสภาวะนิทรารมณ์”
การวางแผนของหวู่ทงแยบคายมาก เขาไม่ได้แสดงความตั้งใจที่จะรับกองทัพมังกรดำทันที แต่ลดระดับสถานะลงเพื่อให้กองทัพมังกรดำรู้สึกดีต่อเขา
แม้ว่าแผนการของเขาจะค่อนข้างดี แต่ก็ใช้ไม่ถูกคนเพราะนักรบมังกรดำร่างกำยำที่พูดออกมาไม่ได้รู้สึกยินดีจากการถูกปลุกให้ตื่น
“มหาพันภพชนะสงครามหรือไม่?” นักรบร่างกำยำถามขึ้น
หวู่ทงผงกหัว “ต้องขอบคุณจอมยุทธ์ในมหาพันภพทุกคนที่ร่วมมือกันจัดการ จักรวรรดิปีศาจต่างมิติต้องถอยร่นกลับไปในที่สุด”
มู่เฉินยกเปลือกตาขึ้นพูดต่อช้าๆ “แม้ว่าจักรวรรดิปีศาจต่างมิติจะถอยทัพกลับไป แต่พวกมันก็ครอบครองพื้นที่ครึ่งหนึ่งของมหาพันภพของเรา ตอนนี้พวกมันกำลังจับตาดูเรา ราวกับพยัคฆ์ร้ายที่หาโอกาสบุกเข้ามาอีกครั้ง”
เมื่อเห็นว่ามู่เฉินพูดฉีกคำ หวู่ทงก็ถลึงตามองไปที่เขาอย่างโหดเหี้ยมทันที
พอได้ยินคำพูดของมู่เฉิน กองทัพมังกรดำก็ส่งเสียงฮือฮา นักรบบางคนกัดฟันกรอด ชัดว่าเกลียดเผ่าปีศาจเข้าไส้เลยทีเดียว
เมื่อเห็นว่ากองทัพมังกรดำไม่แสดงความสนใจที่จะเข้าร่วมกับตนเอง หวู่ทงก็เริ่มวิตกกังวลแต่ก็ยังยิ้มออกมา “ทุกคน ตระกูลหวู่ของข้าเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจสูงสุดในมหาพันภพ ท่านประมุขก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน หากพวกเจ้าไม่รู้จะไปไหน ตระกูลหวู่ขอเปิดประตูต้อนรับทุกคนเอง!”
ครั้งนี้ความตั้งใจที่อยู่เบื้องหลังของเขาโจ่งแจ้งเลยทีเดียว
นักรบร่างกำยำปรายตามองไปที่หวู่ทงแวบหนึ่งแบบไม่แยแส แม้ว่าหวู่ทงจะซ่อนไว้แนบเนียน แต่เขาก็มีสายตาแหลมคม ซึ่งสามารถเห็นความทะเยอทะยานในดวงตาอีกฝ่ายได้
“แม้ว่าเจ้าจะปลุกพวกข้า แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกข้าจะต้องเข้าร่วมกับเจ้า” นักรบร่างกำยำกล่าวอย่างนิ่งเฉย
รอยยิ้มบนใบหน้าของหวู่ทงแข็งค้าง ความกรุ่นโกรธพล่านในใจ ไอ้คนพวกนี้หลับจนสมองไหลไปแล้ว ถึงแม้ว่ากองทัพมังกรดำจะทรงพลัง แต่ก็ต้องมีจั้นเจิ้นซือที่ทรงพลังเพื่อปลดปล่อยพลัง มิฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงการต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนเลย กระทั่งขั้นหลิงก็สามารถสังหารพวกเขาทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย
ทว่าแม้จะรู้สึกโกรธในใจ แต่หวู่ทงก็ไม่ได้แสดงอาการบนใบหน้ากล่าวว่า “ข้าไม่กล้าที่จะขู่ในการมีส่วนร่วมหรอก แต่พวกเจ้าก็รู้ว่ามีเพียงจั้นเจิ้นซือที่โดดเด่นเท่านั้นที่จะสามารถปลดปล่อยศักยภาพสุดยอดของพวกเจ้า ทุกคนเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงที่ถูกเลี้ยงดูโดยจักรพรรดิมังกรดำคงไม่ต้องการที่จะทำให้เขาอับอายหลังจากผ่านไปหลายหมื่นปีใช่ไหม?”
นักรบร่างกำยำพยักหน้า “นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเข้าไม่ต้องการเลือกติดตามใครง่ายๆ ไง เพราะกลัวจะทำให้ชื่อเสียงของนายท่านต้องมัวหมอง”
จากคำพูดของเขา ก็เห็นชัดที่ไม่ค่อยรู้สึกว่าหวู่ทงมีคุณสมบัติที่จะเป็นเจ้านายคนต่อไปของกองทัพมังกรดำ
ใบหน้าของหวู่ทงกระตุกถามว่า “เจ้าหมายความว่ามีบางคนยอดเยี่ยมกว่าข้าเรอะ?”
ความโกรธแล่นพล่านในหัวใจ ตอนแรกเขาคิดว่าการปลุกกองทัพมังกรดำจะทำให้ได้รับความสำนึกบุญคุณ ใครจะไปคิดได้ว่าพวกเขาจะจู้จี้จุกจิกขนาดนี้
สายตาของนักรบร่างกำยำกวาดไปมาระหว่างมู่เฉินกับหวู่ทงที่อยู่บนท้องฟ้าอย่างช้าๆ พลางพูดว่า “ใน เมื่อเจ้าเป็นคนที่จะปลุกพวกเราตื่น เจ้าก็ควรได้รับข้อได้เปรียบสักหน่อย”
ดวงตาของหวู่ทงกระตุกขณะที่ยิ้มยิงฟัน ‘เอาล่ะ อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลย’
“แต่ว่าพรรคพวกข้าหลายคนบอกว่าพวกเขารู้สึกดีกับเพื่อนคนนี้” ทว่าท่าทางของหวู่ทงก็แข็งทื่อไปภายใต้ประโยคต่อมา
เนื่องจากตอนนี้นักรบร่างกำยำมองมู่เฉินด้วยสายตาอัศจรรย์ใจ
มู่เฉินตกตะลึงไปด้วยเช่นกัน ที่จริงเขากำลังหาวิธีที่จะได้รับความสนใจจากกองทัพมังกรดำ แต่ใครจะคิดว่าพวกเขาจะมีความเห็นที่ดีต่อเขาอยู่แล้ว?
มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะมองไปที่นักรบมังกรดำ เขาตระหนักได้ว่าพวกเขากำลังจับจ้องเขาอยู่ นอกจากนี้ยังมีริ้วความเป็นกันเองและเทิดทูนแฝงอยู่ในสายตาของพวกเขา
มู่เฉินยังคงสับสนในตอนแรก แต่ในไม่ช้าสายตาของเขาเปล่งประกายราวกับว่านึกบางสิ่งได้ ความคิดวูบไหว เสียงคำรามมังกรก็ดังขึ้นจากร่างของเขา
โฮก!
เกลียวแสงสีม่วงทองทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า วิญญาณมังกรแท้จริงในร่างเขาปรากฏขึ้น ก่อร่างเป็นมังกรม่วงทองขนดอยู่ที่เบื้องหลัง
เมื่อวิญญาณมังกรแท้จริงปรากฏขึ้น ความโกลาหลขนาดใหญ่ก็ระเบิดจากกองทัพมังกรดำเบื้องล่าง นักรบทุกคนมีสีหน้าท่าทางตื่นเต้น ถ้าไม่ใช่พลังใจที่แข็งแกร่งละก็ พวกเขาคงจะสูญเสียการควบคุมคุกเข่าลงในตอนนี้แล้ว
เนื่องจากนักรบเหล่านี้เคยโดนชำระโดยเลือดมังกรเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย ซึ่งทำให้พวกเขาได้รับสายเลือดจากมังกรไปด้วย ในขณะเดียวกันกับที่ทำให้พวกเขาแข็งแกร่งก็ทำให้พวกเขาต้องถูกกดขี่จากสายเลือดของมังกรเช่นกัน
วิญญาณมังกรแท้จริงของมู่เฉินเป็นสายเลือดบริสุทธิ์ที่สุดในเผ่ามังกร ถือเป็นราชวงศ์ในตระกูลมังกรเลยก็ว่าได้ ดังนั้นนักรบมังกรดำจึงรู้สึกคุ้นเคยและเคารพมู่เฉินอย่างควบคุมไม่ได้
แทนที่จะพูดว่าพวกเขาเคารพมู่เฉิน ต้องบอกว่าเป็นการแสดงความเคารพต่อรัศมีและสายเลือดมังกรแท้จริงต่างหาก
“รัศมีมังกรแท้จริง” เมื่อนักรบร่างกำยำเห็นวิญญาณมังกรแท้จริงที่อยู่เบื้องหลังมู่เฉิน ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ในระดับหนึ่งพวกเขาอาจถือว่าเป็นมนุษย์มังกรหลังจากดูดซับเลือดมังกร ซึ่งนับเป็นส่วนหนึ่งของเผ่ามังกร
มนุษย์มังกรไม่ได้มีตำแหน่งสูงในเผ่ามังกร ดังนั้นเมื่อพวกเขาเห็นจักรพรรดิมังกรแท้จริง ก็เหมือนกับสามัญชนได้เข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิที่สูงส่ง
เมื่อหวู่ทงเห็นฉากนี้ เขาก็พลุ่งพล่านจนถึงจุดที่เกือบจะอาเจียนเป็นเลือด เขาทำสิ่งต่างๆ มากมายเพื่อเข้าสู่มิติมังกรดำ มิหนำซ้ำยังใช้เครื่องรางของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเพื่อปลุกกองทัพนี้ แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับกลายเป็นว่าไอ้โง่พวกนี้ไม่ได้รู้สึกขอบคุณเขาเลย ไม่เพียงแต่จะเย็นชาใส่ แต่ยังหันไปนิยมชมชอบมู่เฉินอีกด้วย นี่ทำให้หวู่ทงอยากทำลายกองทัพมังกรดำให้สิ้นซาก หากเขามีความสามารถในการทำเช่นนั้น
ทว่าหวู่ทงก็ใจชื้นเล็กน้อย แม้ว่ากองทัพมังกรดำจะแสดงความรู้สึกที่ดีต่อมู่เฉิน แต่พวกเขาก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะสวามิภักดิ์ ถึงยังไงพวกเขาก็เป็นนักรบที่มีประสบการณ์มากในการต่อสู้ ดังนั้นพวกเขาจึงมีพลังใจที่แข็งแกร่ง ไม่ถึงขนาดจะสวามิภักดิ์เพียงเพราะเห็นมู่เฉินครอบครองวิญญาณมังกรแท้จริง
“เจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อล่ะ? ในเมื่อพวกเจ้าตื่นขึ้นมาแล้ว คลื่นหลิงที่สนับสนุนมิติมังกรดำก็ไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนการฝึกฝนของทุกคน หากไม่มีการสนับสนุนจากภายนอก อีกไม่นานมิติก็จะแตกสลายไป”
นักรบร่างกำยำยิ้มบาง “นั่นก็เป็นเรื่องจริง… แต่นกดีจะเลือกต้นไม้ทำรัง กองทัพมังกรดำไม่ต้องการตกอยู่ในมือคนธรรมดาที่จะทำให้ชื่อป่นปี้ไปหมด”
หวู่ทงตวาดอย่างเย็นชา “มีอะไรจะต้องเลือก? เขาเป็นแค่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายจะมาแข่งกับข้าได้ยังไง?”
นักรบร่างกำยำส่ายหัว “พวกข้ากำลังเลือกจั้นเจิ้นซือที่โดดเด่น ขุมพลังไม่ได้ถูกนำมาพิจารณาด้วย”
หวู่ทงอยากจะบ้าตาย ไอ้คนพวกนี้บอกว่าเขาจะมีข้อได้เปรียบ แต่ตอนนี้กลับเข้าข้างมู่เฉินข้างๆ คูๆ ข้อได้เปรียบอะไรกัน ไม่เห็นมีประโยชน์เลย!
“แล้วพวกเจ้าจะเลือกยังไง?!” หวู่ทงถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ง่ายๆ ผ่านวิธีการของจั้นเจิ้นซือไง” นักรบร่างกำยำพูดมือก็ชี้ไปที่กองทัพมังกรดำ “เพื่อความเป็นธรรม เจ้าสองคนสามารถเลือกนักรบจำนวนเท่าไรก็ได้จากกองทัพมังกรดำ ใช้รัศมีจั้นยี่ในการต่อสู้ ใครก็ตามที่สามารถชนะได้จะพิสูจน์ได้ว่าความสำเร็จในฐานะจั้นเจิ้นซือ”
สายตาของหวู่ทงวูบวาบขณะที่หัวเราะเยาะ “จำกัดจำนวนตัวเลขเพื่อความเป็นธรรมหรือไม่?”
เขามีความมั่นใจในความสามารถของจั้นเจิ้นซือ ตัวเขาได้รับการดูแลอย่างดีจากตระกูลหวู่ด้วยทรัพยากรทั้งหมดซึ่งเป็นความลับ คนอื่นรู้ถึงขุมพลังของเขาเท่านั้น แต่พวกเขาไม่รู้ว่าความเชี่ยวชาญในด้านการควบคุมกองทัพเขาก็ไม่เป็นรองใคร
นักรบร่างกำยำส่ายหัว “นั่นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคนในการควบคุม ไม่มีข้อจำกัดใดๆ ในเรื่องนี้”
ครั้นได้ยินหวู่ทงก็รู้สึกโล่งใจ หากนักรบผู้นี้ต้องการจำกัดจำนวน พวกเขาก็จ้องเอาเรื่องเขาแล้ว เพราะยังไงเขาก็ไม่เชื่อว่ามู่เฉินจะสามารถเอาชนะเขาได้ในฐานะจั้นเจิ้นซือ
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็เอาตามที่เจ้าพูด!” ขณะที่พูดหวู่ทงก็มองไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชา “แต่กลัวว่าเจ้านี่จะไม่มีความกล้านะสิ!”
ตอนนี้เขาเกลียดมู่เฉินเข้ากระดูกดำ ตอนแรกเป็นอะไรบางอย่างที่เขาได้รับโดยง่าย แต่หลังจากการปรากฏตัวของอีกฝ่าย กองทัพมังกรดำมีแววที่จะเข้าข้างอีกฝ่ายมากกว่า ซึ่งทำให้เขามีปัญหามากขึ้น
มู่เฉินไม่สนสายตาเย็นชาของหวู่ทง เขาประสานมือให้นักรบมังกรดำ ถือว่าขอบคุณทุกคนที่ไม่ได้เลือกหวู่ทงและให้โอกาสเขาในการแย่งชิง
จากนั้นเขาก็หันหลังกลับไปมองหวู่ทงด้วยรอยยิ้ม
“ในเมื่อเจ้ากล้า ทำไมข้าจะไม่กล้าล่ะ?”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น