หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1303-1304

 บทที่ 1303 อสูรโอสถ

“มีใครกำลังควบคุมยุงพวกนี้เรอะ?!”


เวินชิงเฉวียนและลั่วหลีถึงกับตกใจเมื่อได้ยินเสียงของมู่เฉิน ใบหน้าของเวินชิงเฉวียนเย็นเยือกหลายส่วน “ต้องเป็นไอ้พวกตระกูลหวู่แน่ พวกมันต้องการหยุดเรา!”


“มีวิธีจับคนที่อยู่เบื้องหลังออกมาไหม?” เวินจื่อหยู่มองไปที่มู่เฉิน หากปล่อยให้คนพวกนั้นอยู่ในที่ลับ ต่อให้พวกเขาจะสามารถผ่านทะเลยุงนี้ไปได้ ก็คงหมดพลังไปมากแน่


สายตาของมู่เฉินวูบไหวขณะที่มองทะเลยุง “ยุงเหล่านี้สื่อสารด้วยเสียง ผู้ควบคุมก็น่าจะใช้เสียงเพื่อควบคุมเช่นกัน”


“พี่หลิงซี เจ้าสามารถสร้างค่ายกลคลื่นเสียงได้ไหม?” มู่เฉินถามขณะที่มองไปที่หลิงซี


ค่ายกลส่วนใหญ่ในคลังแสงของเขาเป็นประเภทโจมตี ดังนั้นประสิทธิภาพจึงขาดไป ทว่าหลิงซีไม่เหมือนกันตัวนางมุ่งเน้นไปที่ค่ายกลตั้งแต่เริ่มฝึก ดังนั้นพื้นฐานของนางในเรื่องนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่มู่เฉินสามารถเปรียบเทียบได้


หลิงซีพยักหน้า เรียวนิ้วแตะออกไป สัญลักษณ์หลิงยิ่งก็รวมเข้ากับสภาพแวดล้อมอย่างรวดเร็ว อึดใจค่ายกลงดงามก็ปรากฏที่เบื้องหน้าทุกคน


มีแสงสว่างปรากฏในค่ายกลราวกับกลอง


ตึง!


ขณะที่ค่ายกลหมุนคว้าง กลองก็สั่นสะเทือนราวกับฟ้าร้องดังขึ้นระหว่างฟ้าดิน ก่อนที่เสียงครางหึ่งๆ ของฝูงยุงจะถูกระงับจนหมด


ฮึ่ม ฮึ่ม!


เมื่อเสียงกลองกระจายออก ฝูงยุงก็โกลาหลไปหมด เหล่ายุงที่ไร้ความกลัวเมื่อครู่ก็หยุดชะงัก พวกมันเริ่มแตกฉานซ่านเซ็นไปอย่างรวดเร็ว


“ไป!”


มู่เฉินคว้าโอกาสทะยานออกไปทันที


ตึง ตึง!


ขณะที่เสียงกลองดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง พวกเขาก็ทะยานผ่านทะเลยุงไป ไม่กี่นาทีต่อมาแสงสว่างก็เผยให้เห็นอีกครั้ง พวกเขาหลุดออกจากทะเลยุงได้ในที่สุด


เมื่อหันหน้ากลับไปมอง แต่ละคนก็เห็นฝูงยุงไม่มีที่สิ้นสุดกระจัดกระจายออกไป รูปลักษณ์ไม่ได้เป็นระเบียบอีกแล้ว


“มีคนควบคุมอยู่จริงด้วย” ใบหน้าของเวินชิงเฉวียนเย็นเยือกลงกับภาพที่เห็น


ดวงตาของมู่เฉินมองลงไปที่ป่า ก่อนที่จะหันไปทางทิศเหนือ เขารู้สึกถึงความผันผวนของพลังงานเบาบางอยู่ในทิศทางนั้น


ปัง!


ขณะที่มู่เฉินเพ่งสายตาไป ร่างเงานั่นก็ทะยานถอยไปในป่าพยายามหลบหนี


“คิดหนีเรอะ?!” สายตาของหลงเซี่ยงเฉียบคมขึ้น ขณะที่กระทืบฝ่าเท้าร่างเปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งออกไป


หลงเซี่ยงพุ่งเข้าไปในป่า ไม่นานความผันผวนของคลื่นพลังงานรุนแรงก็ระเบิดขึ้น ผ่านไปหลายสิบอึดใจ หลงเซี่ยงก็ลากร่างเงาสีเทาที่ดูปวกเปียกกลับมา แต่ดูท่าอีกฝ่ายสิ้นชีพไปแล้ว


“ชายคนนี้โหดเหี้ยมจริงๆ ตอนที่มันถูกข้าจับ มันก็เลือกฆ่าตัวตายด้วยพิษทันที” หลงเซี่ยงโยนศพออกไปพลางพูดด้วยความตกใจ


เห็นได้ชัดว่าการเลี้ยงดูนักรบเหล่านี้ ไม่ใช่สิ่งที่ขั้วอำนาจธรรมดาสามารถทำได้


“นี่คือองครักษ์เงาของตระกูลหวู่”


เวินชิงเฉวียนระบุตัวตนได้ทันที สายตาเย็นชามองไปที่ส่วนลึกของเทือกเขา “ข้ารู้ว่าครั้งนี้ตระกูลหวู่ส่งใครมาแล้ว”


“ใคร?” เวินจื่อหยู่ถามทันควัน


“หวู่ทง” เวินชิงเฉวียนเค้นเสียงเย็นชา “องครักษ์เงาระดับนี้มีค่าอย่างยิ่งแม้แต่ในตระกูลหวู่และมีไม่กี่คนที่สามารถสั่งการพวกเขาได้ หวู่ทงเป็นหนึ่งในนั้น”


“ไอ้เจ้านั่นเหรอ?!” ใบหน้าของเวินจื่อหยู่เปลี่ยนไปพร้อมกับริ้วแห่งความกลัว ชัดว่าเขาคุ้นเคยกับชื่อนี้ดี


“หวู่ทงเป็นจอมยุทธ์โดดเด่นที่สุดในหมู่คนรุ่นใหม่ของตระกูลหวู่ มีข่าวลือว่าจะขึ้นเป็นประมุขตระกูลคนต่อไป ชายคนนี้มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยม ฝึกขุมพลังมาหลายสิบปี ตอนนี้บรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว แม้แต่ในตระกูลหวู่ เขาก็ยังอยู่ในอันดับต้นๆ นอกจากนี้ยังโหดเหี้ยม ไม่ง่ายที่จะรับมืออย่างยิ่ง” เวินชิงเฉวียนเอี้ยวหน้ามาอธิบายให้กลุ่มมู่เฉินฟัง


ทว่ามู่เฉินก็ทำเพียงพยักหน้าแบบสบายๆ เขาไม่เคยได้ยินชื่อหวู่ทงมาก่อน แต่ไม่ว่าจะจัดการยากแค่ไหน เขาก็จะสู้เหมือนเดิม


“ดูเหมือนตระกูลหวู่จะมุ่งมั่นที่จะรับมรดกภูตผีเสื้อโอสถ…”


เวินชิงเฉวียนเม้มริมฝีปากเปล่งเสียงออกมาว่า “แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ง่ายที่จะคว้าไปจากมือข้าเวินชิงเฉวียน!”


“ไปกันเถอะเราต้องรีบไปถึงขุมทรัพย์โดยเร็วที่สุด!”


เมื่อพูดจบนางก็ทะยานออกไป มู่เฉินและคนอื่นๆ ติดตามมา ร่างกลายเป็นลำแสงพุ่งเข้าไปในส่วนลึกของเทือกเขาที่เต็มไปด้วยหมอกพิษ


หลังจากพวกเวินชิงเฉวียนไปแล้ว เงาต้นไม้หนึ่งในป่าไม้เบื้องล่างก็บิดตัวก่อนที่จะกลายเป็นร่างพร่ามัว


ร่างเงานี้ห่อหุ้มด้วยรัศมีชั่วร้าย เพียงแค่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ ต้นไม้นั้นก็เน่าเปื่อยอย่างรวดเร็ว


มากจนแม้แต่คลื่นหลิงระหว่างฟ้าดินยังเคลื่อนไหวห่างจากบริเวณที่ร่างเงานี้อยู่


ดวงตาสีเทาคู่หนึ่งที่เปล่งประกายรัศมีแห่งความตายไม่มีที่สิ้นสุด มองไปในทิศทางของกลุ่มมู่เฉินก่อนจะหยิบโคลนกำหนึ่งยัดเข้าไปในปาก


ประกายแสงแปลกประหลาดวูบไหวในดวงตาสีเทา เสียงหัวเราะน่ากลัวระเบิดก้องป่า


“มีราชันปีศาจทิ้งร่างไว้ที่นี่จริงด้วย อร่อยเสียจริง…”


เขากระตุกยิ้มแปลกๆ จากนั้นก็หายเข้าไปในเงามืด


กลุ่มมู่เฉินเดินทางผ่านป่าไปอย่างรวดเร็ว


ขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ถึงอันตรายของหมอกพิษในภูมิภาคนี้ว่าเป็นอย่างไร


หลังจากผ่านฝูงยุงมา พวกเขาก็เจอการโจมตีจากสัตว์พิษหลายสิบชนิด แต่ละชนิดก็เจ้าเล่ห์มาก ถ้าไม่ใช่ความจริงที่ว่าพวกเขาตั้งระวังมาตลอด งานนี้ต้องมีคนได้รับบาดเจ็บแล้วแน่


แต่โชคดีที่หลังจากประสบกับอันตรายทั้งปวง ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงส่วนลึกของภูเขา


“ที่นั่นคือเป้าหมายของเราในครั้งนี้ขุมทรัพย์ภูตผีเสื้อโอสถ!”


เวินชิงเฉวียนชี้ไปที่ภูเขาที่อยู่ระยะไกล ซึ่งดูเหมือนว่าจะถูกละลายและก่อตัวเป็นถ้ำขนาดใหญ่ขึ้น


ถ้ำนี้มีรูปทรงเป็นผีเสื้อ นอกจากนี้ยังมีสีห้าสีที่แตกต่างกันพวยพุ่งออกมา เห็นได้ชัดว่านี่เป็นพื้นที่เพาะบ่มพลังที่ยอดเยี่ยมนัก


“หากที่นี่ไม่ได้อยู่ในแดนเซิ่งยวนโบราณ นี่จะเป็นสถานที่ที่ดีในการจัดตั้งสำนัก”


มู่เฉินมองไปที่ถ้ำ อดไม่ได้ที่จะทอดถอนหายใจ ด้วยพื้นที่ที่ทรงคุณค่าบวกกับการป้องกันของหมอกพิษ นี่เป็นพื้นที่ที่เหมาะสมในการเพาะบ่มขุมพลังอย่างแท้จริง


ลั่วหลีและเวินชิงเฉวียนพยักหน้าเห็นด้วย


“ในเมื่อเป้าหมายอยู่ตรงหน้าแล้ว เตรียมให้พร้อมที่จะเคลื่อนไหว”


เวินชิงเฉวียนถอนสายตาพลางมองไปที่กลุ่มมู่เฉิน เมื่อรอการตอบรับจากทุกคนจนครบ นางก็พยักหน้ากลายเป็นร่างแสงพุ่งเข้าไปในถ้ำขนาดใหญ่


เมื่อเข้าไปในถ้ำมู่เฉินและคนอื่นๆ ก็ตระหนักว่าแสงที่นี่สว่างไสวยิ่งกว่าภายนอกมาก ถ้ำแห่งนี้ยังมีพื้นที่กว้างขวางมาก โดยมีอุโมงค์กระจายตัวอยู่ในส่วนลึกของถ้ำ


ทว่าทุกคนก็ไม่ได้แยกตัวจากกัน พวกเขากำหนดเส้นทางก่อนที่จะเคลื่อนลึกเข้าไปด้วยกัน


เส้นทางนี้มืดมิด เมื่อพวกเขาเดินทางเป็นเวลาสิบกว่านาที ที่ปลายอุโมงค์ก็ฉายภาพตำหนักหินในครรลองสายตา


สิ่งแรกที่ดึงดูดความสนใจของทุกคนก็คือสัตว์อสูรหินสิบตัวซึ่งคอยปกปักเส้นทางราวกับผู้พิทักษ์


มู่เฉินและคนที่เหลือหยุดเดินหลังจากเห็นสัตว์อสูรทั้งสิบตัว แม้ว่าสัตว์อสูรหินเหล่านั้นจะไม่มีความผันผวนของพลังงาน แต่พวกเขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงความพิเศษ


และก็เป็นตามที่พวกเขาเดาไว้ เมื่อพวกเขาหยุดการเคลื่อนไหวสัตว์อสูรหินก็ค่อยๆ เปิดดวงตา แสงระยิบระยับพลุ่งพล่านในดวงตา


โฮก!


เสียงคำรามดังก้องราวกับฟ้าร้องสะท้อนกังวานไปทั่วตำหนักหิน กวนตัวเป็นลมพายุออกมา


“นี่มัน…อสูรโอสถ?!”


เวินชิงเฉวียนร้องอุทาน สายตาของนางหรี่ลงเมื่อเห็นรูปปั้นหินเหล่านั้น


“อสูรโอสถ?” มู่เฉินอึ้งไป เขาไม่คุ้นเคยกับสิ่งนี้อย่างชัดเจน


“พวกมันเป็นหุ่นเงาชนิดหนึ่ง แต่สิ่งที่สั่งการการเคลื่อนไหวไม่ใช่คลื่นหลิง เป็นเม็ดยาที่เปลี่ยนเป็นดวงตาของพวกมัน!” เวินชิงเฉวียนตอบ


เมื่อนางอธิบายให้ฟัง มู่เฉินก็ได้สติ เมื่อมองให้ละเอียด ก็พบว่าดวงตาของรูปปั้นอสูรนี้เปล่งประกายแวววาว


“ดูอสูรโอสถตัวตรงกลาง!” เสียงอุทานของเวินชิงเฉวียนดังขึ้นกะทันหัน


ทุกคนกวาดสายตาไปก็เห็นอสูรหินขนาดใหญ่ที่ดูราวกับมังกร ดวงตาของมันกะพริบด้วยแสงตกผลึกพร้อมกับความผันผวนที่แปลกประหลาดเล็ดลอดออกมา


“อสูรโอสถตัวนี้ทรงพลังมาก!”


มู่เฉินตกตะลึงจากแรงกดดันที่มาจากอสูรหิน เพราะมันเทียบเท่ากับระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มแท้จริง!


“พลังของอสูรโอสถเหล่านี้ขึ้นอยู่กับระดับของเม็ดยา…”


เวินชิงเฉวียนมองไปที่ดวงตาของอสูรหินก่อนที่จะเม้มปากยิ้ม “ถ้าข้าเดาไม่ได้เดาผิด เม็ดยาที่อยู่ในดวงตาของอสูรโอสถตัวนี้น่าจะเป็นของที่เวินจื่อหยู่กับหลงเซี่ยงอยากได้…”


เวินจื่อหยู่และหลงเซี่ยงหดตาลง จากนั้นก็ร้องอุทานพร้อมกัน


“ดวงตามันคือเม็ดยาเซิ่งหลิงเรอะ?!”


บทที่ 1304 คว้าเม็ดยา

“เม็ดยาเซิ่งหลิง!”


มู่เฉินจ้องมองไปที่อสูรโอสถมังกรด้วยความประหลาดใจ เขาไม่คิดว่าภูตผีเสื้อโอสถจะลงทุนเพียงนี้ ใช้เม็ดยาเซิ่งหลิงมีค่าเป็นดวงตาของอสูรโอสถ


จากการประเมินของมู่เฉิน เม็ดยาเซิ่งหลิงสองเม็ดน่าจะมีมูลค่าอย่างน้อยแปดสิบล้านในการประมูล ในเวลานั้นคงมีแต่เทพเซียนที่รู้ว่าจะมีคนแบบหลงเซี่ยงและเวินจื่อหยู่เท่าไรที่จะแย่งชิงกัน


ตอนนี้เวินจื่อหยู่และหลงเซี่ยงดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานแล้ว หากไม่ใช่เพราะพวกเขากลัวอสูรโอสถมังกรที่อยู่ในขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มละก็ พวกเขาคงพุ่งตัวออกไปแล้ว


“ปล่อยอสูรโอสถมังกรไว้ให้หลิงซี พวกเราไปจัดการที่เหลืออีกเก้าตัวกัน” เมื่อมองแต่ละคนที่อดทนอดกลั้น มู่เฉินก็คลี่ยิ้ม


นี่เป็นงานง่ายสำหรับหลิงซีที่จะจัดการกับหุ่นเงาอสูรที่ไม่ค่อยมีปัญญามากนัก


“ใช้คนเก่งจริงๆ”


หลิงซีกลอกตาใส่มู่เฉิน แต่นางไม่ได้ปฏิเสธ จากนั้นก็ขยับตัวออกไปเบาๆ สัญลักษณ์หลิงยิ่งก็บินว่อนออกไปราวกับดวงดาว ก่อนที่จะรวมเข้ากับพื้นที่โดยรอบ


หลิงซีเป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนตัวจริง ค่ายกลที่ถูกจัดตั้งขึ้นเป็นไปอย่างราบรื่นพร้อมกับความงดงามที่แปลกประหลาด ยิ่งกว่านั้นเพียงไม่กี่อึดใจมิติที่เบื้องหน้านางก็บิดเบี้ยวกลายเป็นค่ายกลขนาดมหึมา ชั้นบรรยากาศภายในค่ายกลเหนียวแน่นเป็นพิเศษ คลื่นหลิงที่อยู่ในนั้นให้ความรู้สึกหนักราวกับภูเขา


หลังจากสร้างค่ายกลอย่างสมบูรณ์ หลิงซีก็โบกมือ ลำแสงหลิงก็ยิงเข้าใส่อสูรโอสถมังกร


โฮก!


อสูรโอสถมังกรคำรามเมื่อถูกโจมตี พายุรุนแรงกวาดตัวออกพุ่งเข้าใส่หลิงซี


ตู้ม!


อสูรโอสถมังกรไม่มีสติปัญญา ทำให้ไม่มีความคิดที่จะหลบหนีเมื่อเผชิญหน้ากับค่ายกล มีแต่พุ่งใส่ไม่ยั้ง


เมื่ออสูรโอสถมังกรเข้าไปในค่ายกล มันก็ต้องชะลอตัวลงทันที เนื่องจากแสงหลิงผันผวนในค่ายกลถักทอกลายเป็นบึงขนาดใหญ่ ยิ่งอสูรโอสถมังกรดิ้นรนบ้าคลั่ง พันธนาการก็แน่นขึ้น…แน่นขึ้น ผูกร่างอสูรโอสถมังกรไว้ในชั้นแถวแสง


ภายในเวลาเพียงไม่กี่สิบลมหายใจความเร็วของอสูรโอสถมังกรก็ช้าลงมากราวกับตกอยู่ในบึง


ถ้าเป็นมนุษย์ที่มีสติปัญญาก็คงจะเริ่มคิดเกี่ยวกับวิธีการทำให้หลุดพ้น แต่อสูรโอสถมังกรได้แต่ระเบิดพลังน่ากลัวยิ่งขึ้นเพื่อดิ้นรนทำให้ยิ่งจมลึกลงไปในบึงใหญ่…


“นี่คือค่ายกลละหารวิญญาณซึ่งใช้สำหรับจัดการกับผู้ฝึกด้านพลังกาย เมื่อตกอยู่ภายใน ยิ่งดิ้นรนก็จะเกิดการพันธนาการแข็งแกร่งมากขึ้น ในเวลาเดียวกันบึงจะดูดซับคลื่นหลิงจนหมดและถูกจับได้ในที่สุด” เมื่อมองไปที่อสูรโอสถมังกร หลิงซีก็ยิ้มขณะที่อธิบายกับมู่เฉิน


“สมกับเป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนแท้จริง!”


มู่เฉิน ลั่วหลีและเวินชิงเฉวียนอุทาน หากเป็นการเผชิญหน้าตรงๆ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ต้องประสบกับการปะทะที่ดุเดือด ซึ่งอาจไม่สามารถได้รับชัยชนะสุดท้ายด้วย


แต่ตอนนี้หลิงซีทำให้อสูรโอสถมังกรไม่เป็นอันตรายอย่างง่ายดาย แม้ว่าจะเป็นการรังแกคนไม่มีสติปัญญา แต่ก็สามารถมองเห็นพลังของการเป็นหลิงเจิ้นจงซือได้


“เราก็มาเริ่มจัดการกันเถอะ”


มู่เฉินและคนอื่นๆ มองไปที่อสูรโอสถอีกเก้าตัว สัตว์อสูรเหล่านั้นมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่เป็นภัยคุกคาม หลังจากที่หลิงซีลงมือจัดการ พวกเขาก็เริ่มลงมือเช่นกัน


ตู้ม ตู้ม!


คลื่นหลิงรุนแรงกรีดร้องในตำหนักหิน การโจมตีที่ทรงพลังกวาดออก ทว่าความปั่นป่วนก็ใช้เวลาไม่นานก่อนที่อสูรโอสถทั้งเก้าแตกออก


มู่เฉินโบกมือ เม็ดยาสิบแปดเม็ดที่เต็มไปด้วยคลื่นหลิงก็หล่นลงไปในมือเขา


แม้ว่าเม็ดเหล่านี้จะไม่ได้ล้ำค่าเท่ากับเม็ดยาเซิ่งหลิง แต่ก็ไม่ได้เป็นของธรรมดา หากไปอยู่ในโรงประมูลของมหาพันภพ ทุกเม็ดก็มีมูลค่าของเหลวจื้อจุนหลักล้านเลยทีเดียว


มู่เฉินและเวินชิงเฉวียนไม่ได้ใส่ใจเม็ดยาพวกนี้มากนัก แต่ก็แบ่งกันคนละครึ่งตามที่สัญญากันไว้


กวาดอสูรโอสถในตำหนักหินซะเรียบ หลิงซีที่อยู่ด้านข้างก็เคลื่อนไหว อสูรโอสถมังกรที่ถูกมัดอยู่ในค่ายกลละหารวิญญาณก็เปลี่ยนเป็นสีจาง เคลื่อนไหวไม่ได้อีกต่อไป


เรียวนิ้วแตะออก เกลียวแสงหลิงก็วูบไหวที่ปลายนิ้ว อึดใจต่อมาคลื่นหลิงป่าเถื่อนก็รวมตัวในค่ายกลละหารวิญญาณ จากนั้นค่ายกลก็เริ่มเปลี่ยนไป


โลกสายฟ้าเข้ามาแทนที่บึงใหญ่ สายฟ้าหนาทึบปกคลุมทั่วทั้งพื้นที่ปะทะกับอสูรโอสถมังกร ในเวลาเพียงสิบกว่าลมหายใจอสูรโอสถมังกรก็ส่งเสียงคำรามเศร้าสลดก่อนที่จะแตกสลาย


มือบางกำเข้าหากัน เม็ดแสงสองเม็ดก็ลอยออกมาจากเศษซากพลิ้วลงในมือนาง ซึ่งก็คือเม็ดยาเซิ่งหลิงสองเม็ด


“ยอดเยี่ยม!”


มู่เฉินส่งเสียงยินดี ในฐานะหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียน เขาสามารถบอกได้อย่างเป็นธรรมชาติว่าหลิงซีได้ใช้ค่ายกลโจมตีเคลื่อนไหวเข้าไปแทนที่ค่ายกลละหารวิญญาณ ซึ่งทำได้อย่างสมบูรณ์แบบยิ่งนัก นางแสดงให้เห็นถึงศักยภาพอันเต็มเปี่ยมของผู้สร้างค่ายกลชั้นสูงแท้จริง


หลิงซียิ้มบางตอบสนองต่อการชื่นชมของมู่เฉิน ก่อนจะส่งเม็ดยาเซิ่งหลิงให้หลงเซี่ยงกับเวินจื่อหยู่ที่ต้องการมากที่สุด


“ขอบใจมากแม่นางหลิงซี!” เวินจื่อหยู่รับเม็ดยาเซิ่งหลิงไว้ด้วยความยินดี ขณะที่ประสานกำปั้นอย่างสำนึกบุญคุณ


“ไม่เป็นไร!” หลิงซียิ้ม


“หลังจากออกจากที่นี่ พวกเจ้าค่อยมองหาที่ชำระเม็ดยาเพื่อบรรลุขุมพลัง” เวินชิงเฉวียนเตือนความจำ ด้วยอันตรายที่มีหากพวกเขาต้องการบรรลุขุมพลังอาจเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นได้ นอกจากนี้พวกนางก็ไม่มีเวลารอให้ทั้งสองคนเข้าสู่กระบวนการจนเสร็จสิ้นได้


เวินจื่อหยู่และหลงเซี่ยงก็รู้เรื่องนี้ดี ดังนั้นพวกเขาจึงพยักหน้าระงับความตื่นเต้นในใจ ก่อนที่จะเก็บเม็ดยาเซิ่งหลิงไว้อย่างระมัดระวัง


“เราเดินทางต่อกันเถอะ ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกหวู่ทงอยู่ที่ไหนแล้ว” เวินชิงเฉวียนมองไปที่มู่เฉินและคนอื่นๆ พลางพูดขึ้น


“ได้เลย”


ทุกคนพยักหน้า เรื่องเร่งด่วนตอนนี้ก็คือเข้าถึงส่วนลึกสุดของถ้ำเพื่อสมบัติที่แท้จริง


เมื่อตัดสินใจ ทุกคนก็ไม่ได้อ้อยอิ่งอยู่ที่นี่ต่อไป ร่างกลายเป็นลำแสงทะยานออกจากตำหนักหิน


ออกจากตำหนักหิน มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็พุ่งไปตามทางเดินทอดยาว จุดสิ้นสุดของทางเดินก็ยังเป็นตำหนักหินอีกแห่ง แต่มีจำนวนอสูรโอสถึงสิบสองตัว


เมื่อมองสถานการณ์ ดูท่าเส้นทางที่ไปสู่ส่วนลึกสุดของถ้ำคงจะถูกขว้างด้วยตำหนักหิน และต้องผ่านไปทางนี้เท่านั้นถึงจะไปถึงเป้าหมายได้


เผชิญหน้ากับสิ่งกีดขวางนี้ มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็รู้สึกว่าช่วยไม่ได้ แต่อึดใจพวกเขาก็พุ่งเข้าหาอสูรโอสถโดยไม่หวั่นเกรง


ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็ได้รับเม็ดยาจำนวนมากเมื่อเอาชนะ หากนำมารวมตัวกัน ของเหล่านี้จะเป็นทรัพยากรมีค่าทั้งสำหรับตระกูลเวินและตำหนักมู่


ด้วยความคิดนี้ ทุกคนก็รู้สึกว่าสิ่งกีดขวางเหล่านี้น่าชื่นชอบขึ้นมาทันที


ตลอดครึ่งวัน


กลุ่มมู่เฉินผ่านตำหนักหินสิบตำหนัก จำนวนอสูรโอสถก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย


ดังนั้นเมื่อพวกเขาเดินผ่านตำหนักหินแห่งที่สิบ จำนวนของอสูรโอสถก็มีกว่าร้อยตัว และมีสี่ตัวที่มีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม


แต่โชคดีการมีหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนอย่างหลิงซี อสูรโอสถที่ไม่มีสติปัญญาก็เป็นเพียงโกดังเก็บเม็ดยาเซิ่งหลิงเท่านั้น


แต่ถึงกระนั้นเมื่อพวกเขาจัดการล้างตำหนักหินแห่งที่สิบซะสะอาดหมดจด ใบหน้าของหลิงซีก็ซีดลงเล็กน้อย ชัดว่าสูญเสียพลังไปมาก


หลังจากรวบรวมเม็ดยาทั้งหมดและแจกจ่ายให้ทุกคน แม้แต่มู่เฉินก็รู้สึกพอใจกับการเก็บเกี่ยวเม็ดยามีนับร้อยเม็ด


ราคาเม็ดยาเทพเหล่านั้นมีมูลค่ารวมเกินหลายร้อยล้านเลยทีเดียว ถ้าเขาสามารถเอาไปสนับสนุนตำหนักมู่ได้ ตำหนักมู่ก็จะเติบโตขึ้นอีกอย่างแน่นอน


“ไปต่อกันเถอะ!”


เมื่อทุกคนหายเหนื่อยแล้ว มู่เฉินก็เลียริมฝีปาก ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดง หลังจากทราบถึงมูลค่าของเม็ดยาเหล่านั้น ตอนนี้เขาหวังว่าจะมีตำหนักหินต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด


ชัดว่าเม็ดยาที่ถูกทิ้งไว้โดยภูตผีเสื้อโอสถในร่างของอสูรโอสถถือเป็นส่วนหนึ่งของมรดกด้วย…


คนอื่นๆ ก็มีดวงตาพร่ามัวจากพลังงานบริสุทธิ์ซึ่งเปล่งออกมาจากเม็ดยาเหล่านั้น แม้ว่าพวกเขาจะผ่านการต่อสู้มาหลายครั้ง แต่จิตใจของพวกเขายังคงฮึกเหิม ทั้งกลุ่มก้าวออกจากตำหนักหินพร้อมที่จะอ้าแขนต้อนรับอสูรโอสถอีกครั้ง


ทว่าเมื่อพวกเขาก้าวออกจากตำหนักหินแห่งนี้ ทางเดินที่พวกเขาคาดถึงก็ไม่ปรากฏอีกต่อไป เบื้องหน้าถูกแทนที่ด้วยถ้ำหินปูนตะปุ่มตะป่ำขนาดใหญ่


ถ้ำหินปูนนี้กว้างใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ เต็มไปด้วยแสงหลิงที่ไร้ขอบเขตซึ่งดูเหมือนทางช้างเผือกที่ไม่มีที่สิ้นสุดส่องแสงระยิบระยับ


แต่เมื่อมองให้ละเอียด ก็จะพบว่าดวงดาวเหล่านั้นไม่ใช่ดวงดาว แต่เป็นเม็ดยา


เมื่อพวกมู่เฉินเห็นถ้ำหินปูนนี้ พวกเขาก็เข้าใจทันทีว่ามาถึงส่วนที่ลึกสุดของขุมทรัพย์โดยที่ไม่รู้ตัวแล้ว


ตึง!


แต่ขณะที่พวกเขารู้สึกตกตะลึงไป ประตูหินก็เปิดออกในมุมหนึ่ง มีกลุ่มคนอื่นเดินออกมา


ทั้งสองกลุ่มจ้องมองกันก็อึ้งไป ก่อนที่รังสีสังหารหนาแน่นจะฉายในดวงตาของทั้งสองฝ่าย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)