หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1293-1302

 บทที่ 1293 เผ่าฝูถูมาถึง

ในหอหมื่นพัน


กลุ่มสามกลุ่มเข้ามาพร้อมกับแรงกดดันที่ไม่มีรูปร่างครอบคลุมทั่วพื้นที่ ความปั่นป่วนในหอก็เงียบลงทันที


จากนั้นทุกสายตาก็จ้องไปยังคนสามกลุ่มที่เข้ามา


ทั้งสามกลุ่มนำโดยสองชายชราและหนึ่งสตรี ชายชราทั้งสองมีผมสีขาว คนหนึ่งสวมชุดดำ อีกคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีเงิน ร่างกายของพวกเขาเหี่ยวย่นขณะที่เดินทอดน่องเข้ามา


ทว่าไม่มีใครกล้าฉายสายตาเย้ยหยัน ในทางตรงกันข้ามดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความกลัวและความเคารพอย่างหนาแน่น เพราะทุกคนที่ไม่ใช่คนโง่ต่างสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่เกิดขึ้นจากทั้งสามคน


นอกจากนี้นี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาปล่อยออกมาโดยเจตนา แต่เป็นการสะท้อนพลังงานของพวกเขาที่เกิดจากฟ้าดิน


นอกเหนือจากชายชราสองคนแล้ว ยังมีหญิงสะคราญโฉมสวมชุดแบบดั้งเดิมดูเป็นผู้ใหญ่และทรงเสน่ห์ ทว่าตัดสินจากการที่นางเดินเข้ามาพร้อมชายสองคน นางจะต้องเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนด้วยเช่นกัน


ถัดจากจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนสามคน ก็ยังมีอีกสามคนที่ได้รับความสนใจอย่างมาก หนึ่งคือชายสวมชุดสีฟ้าอมเขียวที่เดินอยู่ด้านหลังชายชราชุดดำ รอยยิ้มอ่อนโยนประดับบนใบหน้าของเขา เมื่อเขากวาดสายตาไปรอบๆ ทุกคนที่ประสานสายตากับเขาจะมีความประทับใจที่ดี


ทว่ามีเพียงคนประสาทสัมผัสดีเยี่ยมเท่านั้นที่รู้สึกได้ถึงความเย็นชาและน่าสะพรึงในส่วนลึกสายตาของเขา


ด้านหลังชายชราที่สวมเสื้อคลุมสีเงินเป็นชายสวมชุดสีดำ บุคลิกของเขาแตกต่างจากชายสวมชุดสีฟ้าอมเขียวโดยสิ้นเชิง เขาให้ความรู้สึกไม่แยแสและเย็นเยือก ราวกับอสรพิษร้ายออกล่าเหยื่อ


ด้านหลังหญิงคนนั้นเป็นหญิงสาวสวมชุดขาวที่มีส่วนโค้งเว้างดงามและน่าภาคภูมิใจ แต่ตรงกันข้ามกับร่างอันร้อนแรง ใบหน้าของนางเย็นชาและรัศมีเย็นสุดขั้วก็เล็ดลอดออกมาจากตัวนาง ช่างคล้ายกับภูเขาน้ำแข็งที่ไม่สามารถเข้าใกล้ได้


ด้านหลังพวกเขาเป็นกลุ่มคนหนุ่มสาว ถึงแม้ว่าจะไม่โดดเด่นเท่ากับสามคนนี้ แต่ก็ยังคงโดดเด่นหากไปยืนอยู่ที่อื่น


“หึๆ หัวกะทิจากเผ่าฝูถูถูกส่งมาถึงสามกลุ่ม ดูเหมือนว่าพวกเขามุ่งมั่นที่จะรับวิชาเจดีย์แปดองค์ไปนะเนี่ย” ชื่อเหยียนมองทั้งสามกลุ่มก็หัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะเหลือบมองไปที่มู่เฉิน


ขณะนี้มู่เฉินไม่ได้แสดงออกสีหน้าใดๆ แต่มีเพียงคนที่รู้จักเขาอย่างลั่วหลีถึงสังเกตเห็นระลอกคลื่นในดวงตาของเขาเมื่อทั้งสามกลุ่มนี้ปรากฏตัว


สายตาของหลิงซีและหลงเซี่ยงก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด ขณะที่ทั้งสองก้าวออกไปครึ่งก้าว ปกป้องมู่เฉินไว้ที่เบื้องหลัง


แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจากเผ่าฝูถูได้ แต่อีกฝ่ายก็อย่าฝันที่จะทำอะไรมู่เฉินภายใต้สายตาของพวกเขา


ทั้งสามกลุ่มเมินเฉยต่อสายตามากมาย มุ่งหน้ามายังโต๊ะที่อยู่ส่วนลึก


เมื่อพวกเขาเห็นชื่อเหยียนและแม่เฒ่าเหอ ทั้งสามกลุ่มก็ชะลอตัวลง


“ไม่คิดว่าเผ่าไท่หลิงกับตระกูลเวินจะมาถึงที่นี่ก่อน” ชายชราสวมเสื้อคลุมสีเงินเหลือบมองไปที่ชื่อเหยียนและแม่เฒ่าเหอด้วยรอยยิ้ม


ขณะที่พูดสายตาของเทียนจื้อจุนสามคนก็จ้องไปที่คนที่ยืนอยู่เบื้องหลังชื่อเหยียน ก่อนที่จะเบนสายตามาให้ความสนใจกับมู่เฉินพร้อมกัน


ตู้ม!


จังหวะนั้นดวงตาของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสามก็ฉายเจดีย์ในม่านตา


เวลาเดียวกันมู่เฉินก็สัมผัสถึงเจดีย์ในร่างกายเขาถูกกระตุ้น เจดีย์ผลึกแก้วใสปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา


มู่เฉินตอบสนองอย่างรวดเร็ว ระงับเจดีย์ในทันที ก่อนที่จะถอยหลังสองก้าวด้วยสีหน้ามืดครึ้ม เขาไม่คิดว่าเพียงแค่การเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนของเผ่าฝูถู เจดีย์ในร่างก็ถูกกระตุ้นโดยไม่อาจควบคุม


“เจดีย์เก้าชั้น!”


จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสามคนตกใจ พวกเขามองมู่เฉินด้วยความตกตะลึง


คนที่ยืนอยู่ข้างหลังก็จ้องมองด้วยความประหลาดใจมาที่มู่เฉินเช่นกัน พวกเขาสัมผัสได้ชัดเจนถึงความผันผวนของเจดีย์จากร่างของมู่เฉิน


ที่ด้านหลังชายชราชุดดำ สายตาของชายชุดฟ้าอมเขียวก็หรี่แคบลงขณะจ้องมองไปที่มู่เฉินด้วยความสนใจ พึมพำกับตัวเองว่า “น่าสนใจ ไม่คิดว่าไอ้กาลกิณีนี่จะมาที่ทวีปเซิ่งยวน อุตส่าห์หาไปทั่วสุดท้ายก็ปรากฏตรงหน้า…”


“ไอ้หนู แกเป็นสมาชิกเผ่าฝูถูด้วยหรือ? ทำไมถึงไปเข้ากับเผ่าไท่หลิงได้? ใครเป็นผู้อาวุโสสายเจ้า? เจ้าเป็นสายเลือดสายไหน?” ชายชราสวมชุดคลุมสีเงินขมวดคิ้วพลางตะเบ็งเสียง


เผชิญกับคำถามนั่นก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้าของมู่เฉิน เขาตอบกลับไปว่า “ข้าไม่ใช่คนจากเผ่าฝูถู”


เมื่อได้ยินชายชราสวมชุดคลุมสีเงินก็อารมณ์พุ่งด้วยความเกรี้ยวกราด “เจ้าฝึกฝนทักษะวิชาของเผ่าฝูถู หากเจ้าไม่มีสายเลือดจะทำสำเร็จได้อย่างไร”


เวินชิงเฉวียนที่ยืนอยู่ข้างๆ มู่เฉินก็ตกใจ เพราะนางไม่เคยคิดว่ามู่เฉินจะมีสายสัมพันธ์กับหนึ่งในห้าเผ่าโบราณ อย่างเผ่าฝูถูด้วย


“เหอๆ ผู้อาวุโสมั่วหยิง มันไม่ถือว่าเป็นสมาชิกเผ่าฝูถูหรอก เพราะมันคือตัวกาลกิณีไงขอรับ” ขณะที่กลุ่มจากเผ่าฝูถูกำลังประหลาดใจ เสียงถากถางก็ดังก้อง


ร่างหนึ่งเดินออกมาจากด้านหลังชายหนุ่มชุดฟ้าอมเขียว เขาคือคนที่ต่อสู้กับพวกมู่เฉินที่เกาะหัวใจหยก—กู้ซือหวง


“อะไรนะ?!”


คนจากเผ่าฝูถูพากันตกใจเมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดนี้ ก่อนที่พวกเขาจะส่งสายตาแปลกๆ ไปที่มู่เฉิน แม้ว่ามู่เฉินจะไม่เคยมาที่เผ่าแต่ทุกคนรู้เกี่ยวกับเขา เนื่องจากสถานะสูงส่งของมารดาเขาในเผ่า


“ที่แท้แกก็คือเด็กกาลกิณีที่ผู้อาวุโสใหญ่พูดถึง!”


มั่วหยิงตกตะลึงชั่วครู่ ก่อนที่สายตาจะจับจ้องไปที่มู่เฉินราวกับเหยี่ยวเอ่ยเย้ยหยัน “ดีจริงๆ แกกล้าปรากฏตัวต่อหน้าข้า งั้นข้าจะจับแกกลับไปส่งให้ผู้อาวุโสใหญ่วันนี้แหละ!”


ขณะที่พูดเขาก็ก้าวออกไป มิติถึงกับสั่นสะเทือน คลื่นหลิงระหว่างสวรรค์และโลกก่อร่างเป็นห่วงห่อหุ้มมู่เฉินเอาไว้ ทำให้หลบหนีไม่ได้


ปัง!


ทว่าจังหวะนั้นเอง มือข้างหนึ่งก็ยื่นเข้ามาทำลายห่วงเหล่านั้น


“ชื่อเหยียนนี่เป็นเรื่องของเผ่าฝูถู เผ่าไท่หลิงมาสะเออะทำไม?” นัยน์ตาของมั่วหยิงหดลง เมื่อมองชื่อเหยียนที่ยืนเด่นปิดกั้นมู่เฉินเอาไว้


ชื่อเหยียนส่ายหัวไปมา “เจ้าอย่าคิดทำอะไรเด็กคนนี้ ไม่งั้นความพยายามทั้งหมดของข้าคงลงแม่น้ำไปหมดแน่”


“ฮึ่ม นี่เป็นเรื่องภายในของเผ่าฝูถู เจ้าไม่มีสิทธิ์มายุ่ง!” มั่วหยิงเค้นเสียงเย็นชาก่อนที่จะหันไปมองชายชราที่สวมชุดดำ “เฮยกวาง เจ้าคิดแต่จะมองไอ้กาลกิณีนี่หลบหนีไปเรอะ? ถ้าเป็นแบบนั้นข้าจะรอดูสิว่าเจ้าจะตอบคำถามผู้อาวุโสใหญ่อย่างไร!”


ชายชุดดำที่ไม่ได้พูดอะไรก็มองไปที่มู่เฉิน ราวกับว่าต้องการมองผ่านอีกฝ่าย


จากนั้นเขาหันไปมองชายหนุ่มชุดฟ้าอมเขียวที่อยู่ด้านหลังที่พยักหน้าให้


มู่เฉินครอบครองวิชาสามพิสุทธิ์ หากพวกเขาสามารถจับมู่เฉินและได้รับวิธีฝึกฝนก็จะเป็นการดีที่สุด


เมื่อได้รับคำตอบจากชายหนุ่มชุดฟ้าอมเขียว เฮยกวางก็ก้าวเท้าออกไป จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสองคนหันมาประจันหน้ากับชื่อเหยียน แรงกดดันนี้ทำให้ดวงตาเขาเปลี่ยนไป เขากำมือน้ำเต้าสีแดงเข้มก็ปรากฏขึ้น


จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสามยืนเผชิญหน้ากัน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ใช้คลื่นหลิง แต่ความกดดันที่เกิดขึ้นก็ยังน่ากลัว ทำให้ทุกคนที่นี่ร่างเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็น


เมื่อชายชราที่อยู่หลังโต๊ะเห็นสิ่งนี้ คิ้วของเขาก็ขมวดแน่น


“ช้าก่อน!”


ทว่าขณะที่เขากำลังจะพูด เสียงไม่แยแสก็ดังก้องขัดขวางจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสามไว้


สายตาทุกคู่พุ่งตรงไป พวกเขาก็เห็นว่าเป็นผู้อาวุโสหญิงของเผ่าฝูถูที่พูดออกมา


เมื่อมั่วหยิงเห็น สายตาก็สั่นไหว “ผู้อาวุโสชิงเซวียน ทำไม? เจ้ามีความคิดเห็นเกี่ยวกับการจับไอ้เด็กนี่รึ?”


ผู้อาวุโสหญิงที่มีชื่อว่าชิงเซวียนตอบด้วยสีหน้าเย็นชา “เจ้าสองคนจะรีบร้อนอะไรกัน ข้าจำได้ว่าผู้อาวุโสใหญ่เคยสั่งไว้ว่าห้ามจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนลงมือจับเขาไม่ใช่รึ? ที่พวกเจ้ากำลังทำมันผิดกฎน่ะ”


มู่เฉินรู้สึกตกใจขณะมองผู้อาวุโสหญิงคนนั้น เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดว่านางจะช่วยเขา


เฮยกวางหัวเราะเบาๆ “ชิงเซวียน ไอ้เด็กนี่เป็นกาลกิณีทำไมต้องสนใจกฎด้วยล่ะ? ในมุมมองของข้า ไม่ใช่เราที่ต้องกังวล แต่เป็นคนอื่นมากกว่ามั้ง”


มั่วหยิงก็เยาะเย้ย “ข้าลืมไปว่าชิงเหยี่ยนจิ้งเป็นน้องสาวของเจ้า นั่นหมายความว่าไอ้เด็กคนนี้ก็เป็นหลานของเจ้าสินะ ทำไม? เจ้าคิดจะช่วยมันเหรอ!”


ร่างกายของมู่เฉินสั่นไหว ขณะที่เขาเบนสายตาตกใจมองไปที่ผู้อาวุโสหญิง นางเป็นพี่สาวของท่านแม่เขาเรอะ?!


บทที่ 1294 ผู้อาวุโสชิงเซวียน

สายตาของมู่เฉินจ้องมองชิงเซวียนด้วยความตกใจ


ตอนนี้เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่านางมีส่วนที่คล้ายคลึงกับมารดาของเขาอยู่หลายส่วน


อารมณ์ที่ซับซ้อนเพิ่มขึ้นในใจเขา ตามสถานการณ์นี้เขาควรเรียกนางว่า ‘ท่านป้า’ เหรอ


“นายน้อย ผู้อาวุโสชิงเซวียนมาจากสายเลือดตระกูลชิงและนางมีสายสัมพันธ์ทางสายเลือดกับเจ้าจริงขอรับ” หลงเซี่ยงพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แม้ว่าเผ่าจะขับไล่เขา แต่เขาก็ยังเป็นคนที่มาจากเผ่าฝูถู ดังนั้นเขาจึงรู้ข้อมูลบางอย่างภายใน


“แต่ว่า…” หลงเซี่ยงหยุดไปชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ “นายหญิงและตระกูลชิงก็มีรอยร้าวระหว่างกัน…”


แม้ว่าหลงเซี่ยงจะไม่ได้อธิบายกระจ่างชัดเจน แต่มู่เฉินก็สามารถเดาได้ว่าต้องเป็นเพราะเรื่องของเขา หัวใจของเขาจึงค่อยๆ สงบลง ไม่ว่าหญิงคนนี้จะเกี่ยวข้องกับมารดาของเขาจริงหรือไม่ เขาก็ไม่ควรคาดหวังมากเกินไป


ดังนั้นสายตาของเขาจึงค่อยๆ สงบลง


ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกได้ว่านางกำลังเบนสายตามา เขาเงยหน้าขึ้นแลกเปลี่ยนสายตากับนาง ก่อนที่จะถอนออกอย่างเรียบนิ่ง


ชิงเซวียนพิจารณามู่เฉิน ความเย็นชาบนใบหน้าของนางเปลี่ยนไปเล็กน้อย เนื่องจากมู่เฉินช่างคล้ายคลึงกับมารดาของเขาหลายส่วนเลยทีเดียว!


แต่เมื่อนางเห็นสายตาไม่แยแสของมู่เฉิน สายตานางก็ดิ่งลึกลง แต่ในไม่ช้านางก็กลับคืนสภาพไม่แยแสเช่นกันก่อนที่จะหันไปมองตาเฒ่าทั้งสองคน “ข้าแค่เตือนพวกเจ้าถึงคำสั่งของผู้อาวุโสใหญ่ ถ้าพวกเจ้าต้องการทำอย่างนั้น ข้าก็จะไม่ขัดขวาง แต่ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็รับผิดชอบกันเองละกันนะ”


เมื่อได้ยินเฮยกวางและมั่วหยิงก็สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย พวกเขาเข้าใจในสิ่งที่ชิงเซวียนพูด มีข่าวลือว่าการตัดสินใจไม่ให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเข้ามามีส่วนร่วมในการจับกุมมู่เฉิน เกิดขึ้นหลังจากผู้อาวุโสใหญ่และชิงเหยี่ยนจิ้งปะทะกัน


ว่ากันว่าชิงเหยี่ยนจิ้งมาถึงสถานะที่น่าสะพรึงกลัวในการบรรลุค่ายกล


แม้ว่าพวกเขาจะสามารถรับมือกับชิงเหยี่ยนจิ้งด้วยรากฐานของตระกูล แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาโหดแน่งานนี้


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ทั้งสองก็แลกเปลี่ยนสายตากัน อดรู้สึกขัดเคืองใจไม่ได้ เด็กเลือดผสมของเผ่าฝูถูอยู่ต่อหน้าแท้ๆ แต่พวกเขาก็ทำได้แค่มองแบบทำอะไรไม่ได้ นี่น่าอึดอัดเสียจริง


สุดท้ายพวกเขาก็เค้นเสียงสบถพลางมองไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชา “นับว่าแกยังมีโชคบ้าง แต่ข้าขอบอกให้แกยอมจำนนต่อเผ่าฝูซูซะ แม่ของแกจะได้เลิกทนทุกข์ทรมานซะที!”


เมื่อได้ยินคำพูดนั่น ไอเย็นเยือกก็วูบไหวในนัยน์ตาของมู่เฉิน เขามองไปที่ตาเฒ่าทั้งสองอย่างไม่เกรงกลัว “วางใจเถอะ ข้าจะไปเยี่ยมที่เผ่าฝูถูแน่นอน แต่ไม่ได้ไปยอมจำนน ข้าจะไปรับท่านแม่และถ้าพวกแกตั้งใจจะขัดขวาง ข้าจะพลิกเผ่าโบราณเลื่องชื่อให้หัวปักดินไปเลย!


คำพูดของเขาทำเอาทั่วบริเวณเงียบกริบลง


ทุกคนตาเบิกกว้างมองไปที่มู่เฉิน ไม่มีใครคิดว่าชายหนุ่มที่เป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายจะมีความกล้าหาญและท้าทายหนึ่งในห้าเผ่าโบราณขนาดนี้


นี่เหมือนกับมดง่ามพยายามเขย่าต้นไม้


“ไอ้หนูนี่ โอหังใช้ได้” แม่เฒ่าเหอจากตระกูลเวินก็เบ้ริมฝีปาก แม้แต่ตระกูลเวินยังหวาดเกรงต่อเผ่าโบราณ สำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายก็เป็นเพียงมดตัวหนึ่งต่อเผ่าฝูถูเท่านั้น


ทว่าที่ด้านข้าง เวินชิงเฉวียนกลับเม้มริมฝีปากพลางมองมู่เฉินด้วยแววตาผิดแผก “ท่านป้าเหอ ท่านรู้ไหมว่า หลายปีก่อนตอนอยู่สำนักศึกษาเป่ยชาง มู่เฉินยังไม่ได้บรรลุระดับจื้อจุนเลย แต่ตอนนี้…เขามาถึงระดับตี้จื้อจุนได้แล้ว”


“บางทีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายอาจไม่ได้มีอะไรมากในสายตาท่าน มิหนำซ้ำก็มีช่องว่างระหว่างอัจฉริยะของเผ่าเรา ยิ่งไม่ต้องเปรียบเทียบกับเหล่าประมุขน้อยของเผ่าฝูถู… แต่จากที่ข้ารู้เขาเป็นคนไม่มีอะไรเลย ทั้งกำลังสนับสนุนและทรัพยากรที่น่าอิจฉา สิ่งที่เขาได้มาทุกอย่างใช้พลังของตัวเขาเองทั้งสิ้น”


“ข้าคิดว่า จุดนี้ไม่ว่าจะเป็นอัจฉริยะของตระกูลเวินหรือเผ่าฝูถู พวกเขาก็คงไม่สามารถทำถึงขั้นนี้ได้”


“ดังนั้นอย่าดูถูกเขา มิฉะนั้นจะต้องเสียใจในอนาคต”


“โอ้?” แม่เฒ่าเหอเงียบไปหลังจากได้ยินคำพูดของเวินชิงเฉวียน ถ้านั่นเป็นเรื่องจริง มู่เฉินคนนี้ก็เป็นต้นกล้าที่น่าตกใจแล้ว


ไม่แน่ในอนาคตเขาอาจจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนได้จริงๆ


“ฮ่าๆ ความกล้าหาญของเจ้ายอดนัก ตรงกับรสนิยมข้าจริงๆ!” ชื่อเหยียนหัวเราะร่วนขณะตบไหล่ของมู่เฉิน “ถ้าเจ้าไม่มีสายเลือดของเผ่าฝูถูเน่าหนอนนี่ละก็ ข้าจะทำทุกวิธีทางเพื่อเอาเจ้าเข้าเผ่าไท่หลิงแน่ๆ วะฮะฮ่า!”


“ฮึ่ม ไอ้หน้าด้าน!” มั่วหยิงแสดงสีหน้าดูถูกและไม่แยแส


สมาชิกคนอื่นๆ ของเผ่าฝูถูก็มองไปที่มู่เฉิน แต่สายตาส่วนใหญ่เป็นการเยาะเย้ยถากถาง แค่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายคนเดียวกล่าวว่าต้องการเหวี่ยงเผ่าฝูถูไปรอบๆ นี่มุกตลกอะไร?


สายตาของมู่เฉินค่อยๆ สงบลง ไม่ได้พูดเถียงกับมั่วหยิง เขาถอยหลังครึ่งก้าวด้วยใบหน้าเฉยเมย


ให้เวลาเป็นตัวบอกว่าเขาโอ้อวดหรือไม่ การพูดมากไปก็สักแต่จะทำให้ผู้อื่นเยาะเย้ย


เขาไม่ใช่เด็กน้อยที่อ่อนแอและต้องซ่อนตัวอยู่ในเงามืดหลบหลีกเผ่าฝูถูอีกต่อไป ตอนนี้เขาสร้างปีกขึ้นมาเองได้แล้ว ต่อให้เผ่าฝูถูจะส่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนออกมา เขาก็มีวิธีที่จะเผชิญหน้ากับพวกมัน ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องหมอบราบให้กับเผ่านี้อีกต่อไป


“ผู้อาวุโสชื่อเหยียน ไปกันเถอะขอรับ” มู่เฉินกล่าวขณะที่หันไปหาชื่อเหยียน


ดวงตาของชื่อเหยียนยิ้มหยีขณะที่พยักหน้าเดินออกไปพร้อมกับมู่เฉิน โดยมีลั่วหลีและพรรคพวกติดตามมา


ตอนที่มู่เฉินเดินผ่านชิงเซวียน เขาก็ชะลอตัวแวบหนึ่ง แต่ไม่หยุดเดินตัดผ่านออกไป


สิ่งที่เรียกว่า ‘ความสัมพันธ์ทางสายเลือด’ ก็เป็นเพียงคนแปลกหน้าในมุมมองของมู่เฉินเท่านั้น เขาไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือใดๆ เนื่องจากเขาชินกับการไร้ญาติขาดมิตรตลอดหลายปีที่ผ่านมา


ชิงเซวียนมองมู่เฉินด้วยแววตาซับซ้อน ก่อนที่นางจะกำกำปั้นในแขนเสื้อเอาไว้แน่น จากนั้นก็ยิ้มขมขื่นในหัวใจ “น้องสาว ลูกของเจ้าดื้อรั้นเหมือนกับเจ้าจริงๆ…”


“หึ มีมารดา แต่ไร้คนสั่งสอน เย่อหยิ่งโง่เขลา ไม่รู้จักฟ้าสูงแฟ่นดินต่ำ!” เมื่อมู่เฉินเดินผละไป มั่วหยิงก็ยังคงหัวร้อนอยู่ เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินราดน้ำมันไปในเพลิงโทสะเพิ่มขึ้น


“ผู้อาวุโสมั่วหยิงระวังคำพูดด้วย ในฐานะผู้อาวุโสเผ่าฝูถูมารังแกเด็กรุ่นใหม่แบบนี้ ไม่ใช่เรื่องได้หน้าอะไร หากเจ้ากล้าพอก็ไปพูดกับน้องสาวข้าสิ!” เมื่อชิงเซวียนได้ยินคำพูดนั่น นางก็เค้นเสียงออกมา


มั่วหยิงชะงักไปในทันที แม้แต่ผู้อาวุโสใหญ่ยังต้องหลบทางให้ชิงเหยี่ยนจิ้ง แล้วถ้าเขาเอาพูดคำนี้ไปพ่นต่อหน้านาง แม้แต่ผู้อาวุโสใหญ่ก็ปกป้องเขาไม่ได้


ทุกคนรู้ว่าเมื่อไรที่แม่เสือเข้าสู่โหมดการป้องกัน นางจะน่ากลัวขนาดไหน


ใบหน้าของมั่วหยิงสลับกันไปมาระหว่างเขียวกับขาวขณะเกรี้ยวกราดขึ้น “งั้นเราจะปล่อยให้มันหนีไปอย่างนี้เรอะ?!”


“ฮ่าๆ ผู้อาวุโสมั่วหยิงพูดอะไรเช่นนั้น” ชายชุดฟ้าอมเขียวที่ยืนอยู่ข้างเฮยกวางก็กล่าวขึ้นพร้อมกับหัวเราะเสียงนุ่ม


“คำสั่งของผู้อาวุโสใหญ่ห้ามแค่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจัดการเท่านั้น ไม่ได้ห้ามจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มจัดการนี่น่า”


ชายชุดฟ้าอมเขียวยิ้ม “ไอ้เจ้านั่นเพ้อฝันไปที่คิดจะหลุดจากพันธนาการของเรา”


“วางใจเถอะ เฉวียนหลัวสัญญาว่าเมื่อเราออกจากทวีปเซิ่งยวน เราจะจับไอ้กาลกิณีนั่นไปมอบให้ผู้อาวุโสใหญ่ด้วย” เฉวียนหลัวพูดเสียงอ่อนโยน ไม่มีความผันผวนใดในน้ำเสียงของเขา


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็มาดูกันว่าใครจะสามารถจับมันได้ก่อน” ขณะเดียวกันชายหนุ่มชุดดำที่ยืนอยู่ข้างหลังมั่วหยิงก็เปล่งเสียงแผ่วเบา


เฉวียนหลัวยักไหล่พลางยิ้ม “ในเมื่อมั่วซินต้องการที่จะแข่งขันด้วย งั้นเรามาดูกันว่าใครจะเป็นคนจับไอ้เจ้านั่นได้”


ทั้งสองพูดจากันอย่างสบาย ชัดว่าไม่เห็นมู่เฉินอยู่ในสายตา สำหรับพวกเขามู่เฉินเป็นเหยื่อเท่านั้น


เมื่อมั่วหยิงและเฮยกวางเห็นเรื่องราวดำเนินไปแบบนี้ก็พยักหน้าช้าๆ หากเฉวียนหลัวและมั่วซินออกโรงเอง ไอ้กาลกิณีนั่นไม่สามารถหลบหนีได้แน่


ชิงเซวียนที่เห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้ หัวใจก็ทรุดฮวบลง เฉวียนหลัวและมั่วซินเป็นจอมยุทธ์ที่โดดเด่นที่สุดในหมู่คนรุ่นใหม่ของเผ่า หากพวกเขาออกโรงจัดการมู่เฉินจริงๆ ละก็ งานนี้มู่เฉินถึงคราวเคราะห์แน่…


บทที่ 1295 พบปะยามค่ำคืน

เงารัตติกาลโอบล้อมเมืองเซิ่งยวน


แต่ในฐานะเมืองที่คึกคักที่สุดในทวีปเซิ่งยวน ทั้งเมืองก็ยังสว่างไสวแม้แต่ในเวลาค่ำคืน


ค่ายกลขนาดใหญ่ที่อยู่เหนือเมือง ทำให้ที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในทวีปเซิ่งยวน เป็นที่ที่จะทำให้เหล่านักผจญภัยรู้สึกผ่อนคลายลงได้เมื่อเข้ามา


มู่เฉินนั่งในสวนเงียบสงบพร้อมหลับตาเพื่อทำความเข้าใจกับสิ่งที่มารดาทิ้งไว้ให้


ในช่วงเวลานี้ กระทั่งตอนเดินทาง เขาก็ไม่เคยหยุดการฝึกฝนและผลที่ออกมาก็ค่อนข้างน่าพอใจ มู่เฉินรู้สึกได้ว่ายิ่งเขาทำความเข้าใจมากขึ้น พัฒนาการด้านศาสตร์ค่ายกลของเขาก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน


การบรรลุหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว


ศึกษาอยู่สองชั่วโมง ดวงตาของมู่เฉินก็เปิดออกช้าๆ มือเหยียดออกไป สัญลักษณ์หลิงยิ่งบินว่อนออกมาจากนิ้วมือ เชื่อมโยงกันกลายเป็นค่ายกลที่ซับซ้อน


ปัง


แต่เมื่อเกือบจะเสร็จสมบูรณ์ก็เกิดระลอกคลื่นเล็กๆ ทำให้ค่ายกลทั้งค่ายกลสั่นสะเทือนก่อนจะพังทลายลง


เมื่อมองไปที่ค่ายกลที่หายไป มู่เฉินก็ยังคงมีท่าทางสงบ เพราะนี่คือค่ายกลเพลิงคำรามที่มารดาของเขาทิ้งเอาไว้ให้


ช่วงนี้เขากำลังทำการศึกษาค่ายกลนี้เพื่อรับประสบการณ์ ทว่าความพยายามทั้งหมดของเขาล้มเหลว


ท้ายที่สุดค่ายกลระดับสูงเช่นนี้ ก็ไม่ใช่สิ่งที่สามารถสร้างขึ้นได้โดยง่าย


ทว่ามู่เฉินก็สงบอย่างรวดเร็ว เขาค่อยๆ เข้าใจปัจจัยหลายอย่างของค่ายกลนี้ ตามที่วางแผนไว้ก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาก่อนที่เขาจะสร้างค่ายกลนี้ได้อย่างชำนาญ


“หืม?”


ขณะที่มู่เฉินกำลังตรึกตรองภาพความล้มเหลวย้อนหลัง ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “ในเมื่อมาแล้วทำไมต้องซ่อนตัวด้วย?”


เมื่อเสียงสิ้นสุดลง มิติก็ผันผวนไปมาขึ้นในระยะไกล ก่อนที่เขาจะเห็นเงาสองเงาเดินทอดหุ่ยอยู่บนท้องฟ้าเหนือขึ้นไป คนแรกสวมชุดขาวนวล โฉมงามเย็นเยือกที่ตามหลังชิงเซวียนของเผ่าฝูถู


ขณะนี้มีหญิงสาวอีกคนอยู่ข้างนาง ซึ่งดูเหมือนจะเป็นใครบางคนที่อยู่ในกลุ่มชิงเซวียน


“เผ่าฝูถู ตระกูลชิง—ชิงซวง” โฉมงามเย็นยะเยือกปรากฏที่เบื้องหน้ามู่เฉินจ้องมองไปที่เขา น้ำเสียงของนางเย็นชาไม่มีระลอกคลื่นใดๆ


“ตระกูลชิง—ชิงหลิง” ผู้หญิงอีกคนก็แนะนำตัวเองเช่นกัน แต่ท่าทางดูยโสกว่า


มู่เฉินยิ้ม “ข้าไม่รู้เรื่องที่พวกเจ้าพูดหรอกนะ”


ไม่มีความดีใจในรอยยิ้มขา ตรงกันข้ามกลับเต็มไปด้วยความเย็นชา


“มาหาข้าเพื่ออะไรก็ว่ามาซะ แน่นอนว่าถ้าพวกเจ้าต้องการพาข้ากลับไปที่เผ่าในฐานะกาลกิณีก็ต้องดูว่าพวกเจ้ามีความสามารถนั้นหรือไม่”


หญิงสาวที่ชื่อชิงหลิงมีความภาคภูมิใจในตัวเองมาก ดังนั้นนางจึงไม่พอใจกับคำพูดเย็นชาของมู่เฉิน “หึ ความเย่อหยิ่งของเจ้ามีมากกว่าขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายของเจ้าซะอีก”


ตัวนางเองก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ซึ่งส่วนตัวคิดว่าไม่ได้อ่อนแอ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายธรรมดาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง ดังนั้นเมื่อนางเห็นว่ามู่เฉินทำตัวหยิ่งยโสทั้งที่มีขุมพลังนี้ นางจึงรู้สึกไม่พอใจเท่าไร


ทว่ามู่เฉินไม่ได้สนใจอีกฝ่าย ชัดว่าหญิงสาวเย็นชาเป็นผู้นำ ดังนั้นเขาจึงมองไปที่นาง “ถ้านี่คือสิ่งที่พวกเจ้ามาที่นี่ก็ไปซะ”


ชิงซวงมองไปที่มู่เฉินพูดช้าๆ “ท่านป้าเซวียนสั่งให้ข้ามาหาเจ้า นางอยากให้เจ้าออกจากทวีปเซิ่งยวนตอนนี้”


มู่เฉินขมวดคิ้วตอบกลับโดยไม่ลังเล “ข้าเกรงว่าจะทำไม่ได้”


ชิงซวงมุ่นคิ้ว “ถึงแม้ว่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจะไม่สามารถเคลื่อนไหวเพื่อจัดการเจ้าได้ตามคำสั่ง แต่เฉวียนหลัวและมั่วซินตั้งใจจะจับเจ้า พวกเขาล้วนเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงของเผ่าฝูถูที่มีความหวังที่จะเข้าสู่ขุมพลังเทียนจื้อจุนในอนาคต ตอนนี้เจ้ามีขุมพลังเท่านี้ ถ้าเผชิญหน้ากับพวกเขา เจ้ายากที่จะหนีไปแน่!”


“เฉวียนหลัวและมั่วซินเรอะ”


สายตาของมู่เฉินวูบไหว ตอนกลับมาจากหอเขารู้ข้อมูลจากหลงเซี่ยงแล้วว่าเฉวียนหลัวและมั่วซินเป็นผู้สมัครหัวกะทิในฐานะประมุขเผ่าฝูถูคนต่อไป


และกู้ซือหวงก็เป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของเฉวียนหลัว


แสงวูบไหวในดวงตามู่เฉินลดลง เขาพยักหน้าเบาๆ ไปทางชิงซวง “ขอบคุณสำหรับความปรารถนาดีของพวกเจ้า แต่ข้าจะไม่ไปไหน หากพวกเขาต้องการก็เข้ามาได้เลย”


ถึงแม้ว่าทั้งสองจะทรงพลัง แต่ถ้าคิดว่าเขาเป็นคนที่จัดการได้ง่ายๆ พวกเขาก็คิดผิดไปแล้ว


“เจ้าช่างไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!”


ชิงหลิงขมวดคิ้วหัวร้อนขึ้นมาทันที “พวกเขาทั้งสองมีตำแหน่งสูงส่งในเผ่าฝูถู แม้แต่พี่ใหญ่ชิงซวงยังขยาดพวกเขา เจ้ายังคิดจะปะทะกับพวกเขาอีก สะกดคำว่าตายไม่เป็นรึไง!?”


“พวกข้าใจดีมาแจ้งให้เจ้าทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้ เจ้ามีไหวพริบหน่อยไม่ได้หรือไง!”


มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองชิงหลิงพร้อมรอยยิ้มจางๆ “ถ้าข้าสะกดคำว่าตายเป็น ข้าคงไม่มาไกลขนาดนี้ได้หรอก”


ตลอดหลายปีที่เขาแสวงหาพลังในการเป็นหนึ่ง มีตอนไหนที่ไม่แขวนชีวิตอยู่ระหว่างความเป็นตายเหรอ? หากเขารู้แต่ซ่อนตัว เขาจะแสวงหาความก้าวหน้าผ่านโอกาสเหล่านั้นได้อย่างไร?


เขาไม่ได้มีทรัพยากรเหมือนคนเหล่านี้ ได้แต่พึ่งพาตนเองเพื่อมาไกลขนาดนี้ ต่อสู้กับไม่ว่าไอ้หน้าไหน


เผชิญกับการตอบกลับเสียงแผ่วเบาของมู่เฉิน ชิงหลิงก็อึ้งไป เพราะแม้แต่นางก็รู้สึกถึงอันตรายจากคำพูดของมู่เฉิน


ประสบการณ์ของชายคนนี้ ไม่ใช่สิ่งที่พวกนางเอามาเทียบได้


ใบหน้าเย็นของชิงหวงก็เกิดระลอกคลื่นในตอนนี้ นางมองไปที่ชายหนุ่ม ภายใต้รอยยิ้มเงียบสงบนั่นมีสิ่งที่ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวซ่อนอยู่


แม้ว่าเขาจะมีมารดาทรงพลัง แต่กลับไม่ได้รับความช่วยเหลือใดๆ ในทางตรงกันข้ามเขายังต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย ก็อย่างที่เขาพูดการที่เขาสามารถมาไกลได้เพียงนี้ทั้งหมดพึ่งพาการทำงานหนักของตนเอง


ชิงซวงถอนหายใจอย่างแผ่วขณะที่พูดว่า “เหตุผลที่พวกข้ามาที่นี่เพื่อแจ้งให้เจ้าทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้ สำหรับทางเลือกก็ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเอง”


พูดถึงตรงนี้นางก็หยุดคิดชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ “ถ้าเจ้ายืนกรานดื้อจะอยู่ในทวีปเซิ่งยวนให้ได้ก็จงระวังตัว ถ้าไปปะทะกับเฉวียนหลัวหรือมั่วซินก็มาหาข้าได้ ข้าจะช่วยเจ้าเอง”


มู่เฉินมองไปที่หญิงสาวเย็นชา ในที่สุดสายตาก็กระเพื่อมไหว แม้ว่าชิงซวงจะดูเย็นชา แต่นั่นไม่ใช่เนื้อในของนาง


ทว่ามู่เฉินก็ทำเพียงพยักหน้า “ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็ไปซะเถอะ”


แม้ว่าเขาจะสัมผัสได้ถึงความหวังดีของพวกนาง แต่เขาก็ยังมีเยื่อบางกั้นในหัวใจเกี่ยวกับเผ่าฝูถู ดังนั้นเขาจึงไม่มีแผนที่จะขอความช่วยเหลือใด


เมื่อได้ยินคำพูดไล่กลายๆ ของมู่เฉิน ชิงซวงก็ไม่ได้พูดอะไร แต่เหลือบมองไปที่มู่เฉินแวบหนึ่งก่อนจะเดินออกไป ผิดกับชิงหลิงที่กระทืบเท้าระบายอารมณ์ สายตาจ้องมองมู่เฉินด้วยความไม่พอใจ จากนั้นก็สะบัดหน้าตามออกไปเช่นกัน


เมื่อออกจากสวน ชิงหลิงก็ไล่ตามชิงซวงพูดอย่างไม่พอใจ “มู่เฉินหยิ่งผยองพองขน พวกเราอุตส่าห์ใจดีจะช่วยเหลือเขา แต่เขาดันไม่เห็นค่า!”


“เขาไม่รู้ว่าเฉวียนหลัวและมั่วซินทรงพลังเพียงใด แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มยังไม่ได้เปรียบอะไรเลยเมื่อประหน้าพวกเขา ดังนั้นการปะทะของพวกเขาก็เหมือนเอาไข่กระแทกก้อนหิน!”


ชัดว่าหญิงสาวที่มั่นใจและไว้ตัวมาตลอดแทบไม่เคยเจอคนที่เฉยเมยแบบที่มู่เฉินแสดงออก นอกจากนี้พวกนางยังมาพร้อมกับความปรารถนาดี แต่มู่เฉินกลับไม่ได้แสดงสีหน้าซาบซึ้งใดๆ ซึ่งนี่ทำให้นางขุ่นเคืองใจนัก


ชิงซวงส่ายหน้าเบาๆ “ท่านน้าจิ้งถูกจองจำมาหลายปี แม่กับลูกต้องแยกจากกันมา เป็นเรื่องปกติที่เขาไม่มีความรู้สึกดีกับเผ่าฝูถู มิหนำซ้ำเขาก็เป็นคนภูมิใจ เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากเรา”


ชิงหลิงทำปากยื่น “แต่นี่เป็นการฝืนตัวอยู่ไม่ใช่หรอ!”


นางเหลือบตาหันไปมองสวนด้านหลัง “ฝืนตัว? คงไม่ใช่ล่ะ…”


“เขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายจะมีอะไรที่ไม่แน่นอนเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก” ชิงหลิงเหวี่ยงริมฝีปากด้วยความอาการถากถาง


ชิงซวงขมวดคิ้ว “ไม่รู้เพราะเหตุใดข้ารู้สึกถึงรัศมีอันตรายที่มาจากเขาซึ่งเทียบได้กับเฉวียนหลัวและมั่วซินเลยทีเดียว…”


ชิงหลิงตกใจก่อนที่จะพูดว่า “พี่ใหญ่ชิงซวงจะเป็นไปได้ยังไง? เจ้าไม่ได้ประเมินสำหรับเขาสูงเกินไปหรอกหรือ? เขาจะเทียบได้กับเฉวียนหลัวและมั่วซินเจ้าสัตว์ประหลาดสองตัวนั้นได้ยังไง?!”


ชิงซวงเม้มปากพยักหน้าอย่างลังเล บางทีมันอาจเป็นความเข้าใจผิดของนางก็ได้ล่ะมั้ง


เมื่อเทียบกับเฉวียนหลัวและมั่วซิน มู่เฉินก็ดูเหมือนจะด้อยกว่าอยู่จริง


บทที่ 1296 ระดับจงซือขั้นเทียน

ในช่วงเวลาต่อมาเมืองเซิ่งยวนก็ปะทุขึ้นเรื่อยๆ


นอกจากนี้ขั้วอำนาจและกลุ่มต่างๆ ก็เริ่มมาถึงที่นี่


แดนเซิ่งยวนโบราณเป็นหนึ่งในสถานที่ที่เป็นสนามรบแตกหักระหว่างมหาพันภพและจักรวรรดิปีศาจต่างมิติในสมัยโบราณ จอมยุทธ์ผู้เชี่ยวชาญมากมายสิ้นชีพลงที่นี่ ดังนั้นมรดกที่อยู่ภายใน ทำให้แม้กระทั่งขั้วอำนาจยิ่งใหญ่ยังต้องเคลื่อนไหวเลยทีเดียว


หากไม่ใช่ว่าเพราะกลัวพายุมิติกาลเวลาในแดนเซิ่งยวน แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็คงอดเคลื่อนไหวไม่ได้ ท้ายที่สุดการล่อลวงของวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดก็เป็นสิ่งที่จะทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนน้ำลายหกได้


ทว่าแม้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ แต่การรวมตัวของขั้วอำนาจต่างๆ ก็ยังคงทรงพลัง ชัดว่าพวกเขาตั้งใจจะลองดูว่าจะมีโอกาสได้รับมรดกจากจอมยุทธ์โบราณเหล่านั้นหรือไม่


ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เมืองเซิ่งยวนกลายเป็นจุดรวมตัวของขั้วอำนาจต่างๆ ความคึกคักในครั้งนี้สูงสุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา


ทว่าขณะที่มีกลุ่มทรงพลังมารวมตัวกัน มู่เฉินก็ไม่ได้ให้ความสนใจใดๆ ตัวเขามุ่งเน้นไปที่การฝึกฝนค่ายกลที่มารดาทิ้งไว้ให้


เนื่องจากเขาเริ่มรู้สึกถึงขอบเขตพัฒนาการแล้ว


ตอนนี้ในแดนเซิ่งยวนโบราณถูกล้อมรอบด้วยพายุมิติกาลเวลา ทุกกลุ่มกำลังรอคอยเวลาที่มันอ่อนกำลังลง ก่อนที่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนในกลุ่มจะส่งพวกเขาเข้าไป พวกเขาจึงต้องรวมตัวกันในเมืองเพื่อรอสำหรับโอกาสที่จะมาถึง


ดังนั้นมู่เฉินจึงตั้งใจที่จะศึกษาค่ายกลระดับจงซือขั้นสูงให้สำเร็จในช่วงเวลานี้!


เพราะเขารู้ว่าจะต้องมีการต่อสู้ดุเดือดรอเขาอยู่ในแดนเซิ่งยวน เพื่อความสำเร็จเขาหวังว่าจะยกระดับความแข็งแกร่งของตนเองให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้


อาคารในเมืองเซิ่งยวน


ชายชุดฟ้าอมเขียวนั่งเงียบๆ ขณะที่ธูปหัวใจหยกไหม้ไฟส่งกลิ่นหอมฟุ้งทั่วห้อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการเพาะบ่มขุมพลัง


เขาเข้าสมาธิสองชั่วโมงก่อนที่จะลืมตาขึ้น “ทำไม? คำเชิญถูกปฏิเสธอีกแล้วเรอะ?”


กู้ซือหวงยืนอยู่ด้านหลังด้วยสีหน้ามืดครึ้ม “ประมุขน้อย มู่เฉินหยิ่งผยองนัก เราส่งคำเชิญไปถึงเขาสองครั้ง แต่ว่าก็ถูกปฏิเสธทั้งหมด!”


“โง่จริงๆ มันคิดว่าสามารถทำตามอะไรก็ได้ เพราะว่ามีเผ่าไท่หลิงหนุนหลังเรอะ?!”


ชายชุดฟ้าอมเขียวผู้นี้ก็คือเฉวียนหลัวประมุขน้อนของเผ่าฝูถู เขาส่ายหน้าพลางยิ้ม “ช่างมันเถอะ ตอนแรกข้าว่าจะชี้ทางให้มันสักหน่อย แต่ให้หน้ามันกลับไม่เอา”


แม้ว่าเขาจะยิ้มอ่อนโยน แต่ดวงตากลับเปล่งประกายเย็นชา


“หึ ไอ้เวรนั่นไม่รู้ว่าอะไรดีสำหรับตัวเอง หากมันส่งวิชาสามพิสุทธิ์ให้กับนายน้อย นายน้อยก็ยังสามารถช่วยเหลือมันได้ ไม่ให้ต้องถูกไล่ล่าโดยเผ่าฝูถูและต้องทนทุกข์ทรมาน” ที่ด้านข้างกู้ซือหวง เหลียงเสียหยูก็พูดขึ้น


เฉวียนหลัวยิ้มด้วยความไม่แยแสในดวงตา “ไม่เป็นไร หากมันไม่ให้เองแต่โดยดี ก็คงไม่สามารถโทษใครได้ว่าทำให้ต้องทนทุกข์”


“ถึงแม้ชื่อเหยียนจะสามารถปกป้องมันในตอนนี้ แต่ไม่มีใครสามารถช่วยมันในแดนเซิ่งยวนโบราณได้ หนูที่ติดกับดักจะวิ่งไปที่ไหนได้?”


เฉวียนหลัวกำกำปั้นแน่นขึ้น แววเยาะเย้ยผุดขึ้นที่มุมปาก เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เห็นมู่เฉินอยู่ในสายตาเลย เทียบกับการจับมู่เฉินได้หรือไม่ เขากังวลเรื่องมู่เฉินจะตกไปอยู่ในมือของมั่วซินก่อนหรือไม่มากกว่า


หากมั่วซินได้รับวิชาสามพิสุทธิ์ไป อีกฝ่ายจะเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อเขา


“แต่สิ่งสำคัญคือการได้รับวิชาเจดีย์แปดองค์จากแดนเซิ่งยวน มู่เฉินเป็นเพียงตัวเสริมเท่านั้น” เฉวียนหลัวหยุดพูดชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ “ในช่วงนี้มีหลายกลุ่มรวมตัวกันในเมืองเซิ่งยวน ข้าต้องการข้อมูลเกี่ยวกับทุกกลุ่มที่ถูกส่งมาโดยขั้วอำนาจสูงสุด”


แม้ว่าเขาจะมั่นใจในตัวเอง แต่ก็เป็นคนที่ระมัดระวัง เขาต้องการรู้ว่ามีใครที่คุกคามเขาในกลุ่มเหล่านั้นหรือไม่


“รับทราบ!”


กู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูตอบด้วยความเคารพ ก่อนที่จะวาบหายตัวไป


พร้อมกับการออกไปของพวกเขา ห้องพักก็กลับมาเงียบสงบ เฉวียนหลัวสะบัดนิ้วเบาๆ พลางเงยหน้ามองไปยังทิศทางหนึ่งของเมืองเซิ่งยวน สายตาเย็นเยือกลงเรื่อย ๆ


บรรยากาศทั่วทั้งห้องเย็นลงพร้อมกับสายตาเขา


“ไอ้โง่ที่ไม่รู้ว่าอะไรดีสำหรับตัวเอง”


ดวงตาของเฉวียนหลัวหลุบต่ำไอสังหารเย็นเยือกกะพริบวูบไหวในนัยน์ตา


“ในเมื่อเป็นแบบนี้ข้าจะซัดแกให้พิการแล้วลากกลับไปที่เผ่าฝูถู ข้าจะดูสิว่าแม่ของแกจะสามารถปกป้องอะไรแกได้!”


ไม่จำเป็นต้องเมตตาสงสารกับตัวกาลกิณี หากชิงเหยี่ยนจิ้งไม่สามารถนิ่งเฉยและลงมือด้วยความโกรธแค้น นางก็จะทำลายขีดสุดท้ายของเผ่า ในเวลานั้นแม้แต่ผู้อาวุโสใหญ่ก็ต้องใช้พลังอำนาจทั้งเผ่าเพื่อยับยั้งชิงเหยี่ยนจิ้ง


หากชิงเหยี่ยนจิ้งถูกลงโทษหนัก เขาก็จะคว้าชัยชนะรับการสนับสนุนของผู้อาวุโสหลายคน ในเวลานั้นตำแหน่งประมุขเผ่าจะใส่พานมาให้เขาอย่างแน่นอน!


ในเวลาเดียวกันที่สวนอีกฝั่งของเมืองเซิ่งยวน


“คำเชิญของเฉวียนหลัวถูกมู่เฉินปฏิเสธถึงสองครั้งเรอะ”


ชิงเซวียนขมวดคิ้ว “เฉวียนหลัวพยายามทำอะไร? ด้วยนิสัยของเขาเป็นไปไม่ได้ที่จะแสดงความปรารถนาดีกับมู่เฉิน”


“ใครจะรู้ล่ะเจ้าคะ?” ชิงหลิงยักไหล่เบ้ปาก “เจ้ามู่เฉินนั่นพูดจาซะใหญ่โต แต่ข้าไม่คิดว่าวิธีของเขาคือซ่อนตัวจากเฉวียนหลัว”


ชิงเซวียนมองไปที่หญิงสาวพลางส่ายหัว “เจ้าอย่าดูถูกมู่เฉินเลย”


ชิงหลิงไม่ยอมรับกับสิ่งนี้ได้ ดังนั้นนางจึงแขวะต่อ “ข้าก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายเช่นกัน อย่างมากเขาอยู่ในระดับเดียวกับข้า ไม่เห็นมีอะไรโดดเด่นเลย”


ชิงเซวียนยิ้มบาง “เขาสามารถพึ่งพาพละกำลังของตัวเองเข้าถึงระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายตั้งแต่ยังอายุน้อย ได้รับตำแหน่งนักรบทวีปซีเทียน นอกจากนี้ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือเขายังมีความสัมพันธ์กับเทพจักรพรรดิอัคคีแห่งแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เจ้าคิดว่าคนอย่างเขาจะธรรมดาหรือ?”


เมื่อชิงเซวียนเอ่ยขึ้น ดวงตาของชิงหลิงก็เบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ชิงซวงที่ไม่ได้พูดก็ยังฉายแววเคร่งเครียดในนัยน์ตา


“จริงเหรอเจ้าคะ?” ชิงซวงถาม


ชิงเซวียนพยักหน้าแล้วถอนหายใจ “หลายวันมานี้ข้าใช้แหล่งข่าวมากมายกว่าจะได้ข้อมูลเหล่านี้มา พูดจริงๆ กระทั่งข้ายังตกใจเมื่อได้ยินเลย”


แววตาของนางปรากฏแววชื่นชมพร้อมกับพูดว่า “เจ้าหนุ่มนั่นสมเป็นลูกชายของเสี่ยวจิ้งจริงๆ ด้วยพรสวรรค์ เขาถือเป็นอัจฉริยะยอดคทา ถ้าเขาอยู่ในเผ่าฝูถูตั้งแต่ยังเด็ก เฉวียนหลัวเทียบเขาไม่ติดเลย”


“ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน เขาเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย หากต้องปะทะกับเฉวียนหลัวและมั่วซิน เขาเละตุ้มเป๊ะแน่” ชิงหลิงเบ้ปากเอ่ยเถียง


ชิงเซวียนพยักหน้า ก็จริงที่ถ้ามู่เฉินเผชิญหน้ากับเฉวียนหลัวและมั่วซินในตอนนี้ เขาจะไม่ได้รับข้อได้เปรียบใดๆ


“ตามที่ข้ารู้มา เวลาที่ดีที่สุดในการเข้าสู่แดนเซิ่งยวนคืออีกครึ่งเดือนต่อจากนี้”


ชิงเซวียนมองไปที่ชิงซวง “เมื่อเข้าไปแล้ว เจ้าพยายามปกป้องมู่เฉินหน่อย อย่าให้เฉวียนหลัวและมั่วซินทำอะไรเขาได้ ไม่ว่ายังไงเขาก็เป็นลูกของเสี่ยวจิ้ง ยิ่งกว่านั้นยังมีสายเลือดตระกูลชิงของเราไหลเวียนอยู่ในตัวเขาด้วย”


ชิงซวงพยักหน้า


“ท่านป้าเซวียนวางใจเถอะ ข้าจะไม่อยู่เฉยแน่ถ้าเขามีปัญหาเจ้าค่ะ”


ครึ่งเดือนมาถึงภายใต้ความคาดหวังของทุกคน


เมื่อแสงอาทิตย์ส่องแสงผ่านชั้นเมฆเข้าสู่เมืองเซิ่งยวน ทั้งเมืองก็ระเบิดขึ้นอย่างมีชีวิตชีวา


ฟิ้ว ฟิ้ว!


ลำแสงนับไม่ถ้วนพุ่งสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า เหินทะยานไปยังส่วนลึกของทวีปเซิ่งยวน


ความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังเล่านั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนของขั้วอำนาจต่างๆ


เมื่อทั้งเมืองเดือดพล่าน มู่เฉินที่เข้าสมาธิมาครึ่งเดือนก็ลืมตาขึ้นช้าๆ


แสงระยิบระยับมากมายฉายในม่านตาดูราวกับท้องฟ้าเต็มไปด้วยหมู่ดาว


มู่เฉินกางมือออกคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตก็รวมตัวกัน เขาสามารถสัมผัสกับสัญลักษณ์หลิงยิ่งไม่มีที่สิ้นสุดซึ่งรวมเข้ากับสภาพแวดล้อม


มิติบริเวณนี้เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง


ไม่กี่นาที บริเวณฝ่ามือของมู่เฉินก็ปรากฏมิติสีแดงซึ่งเต็มไปด้วยความผันผวนล้างผลาญ


เมื่อมองไปที่มิติสีแดงเข้ม ดวงตาของมู่เฉินก็ค่อยๆ ลุกโชน


“ฮา”


ลมหายใจขาวขุ่นพรูออกมาจากปากตามด้วยรอยยิ้มปลื้มใจฉายที่มุมปาก นี่


เพราะมิติสีแดงนี้คือค่ายกล


ค่ายกลระดับจงซือขั้นสูง—ค่ายกลเพลิงคำราม!


เห็นได้ชัดว่าหลังจากฝึกฝนทำความเข้าใจในช่วงเวลานี้ ในที่สุดมู่เฉินก็บรรลุการเป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนแล้ว!


มู่เฉินลุกขึ้นยืนพร้อมกับรอยยิ้มมองเมืองเซิ่งยวนที่เดือดพล่าน


“เฉวียนหลัว มั่วซิน”


มู่เฉินสะบัดแขนเสื้อ มิติสีแดงเข้มก็สลายหายไป ร่างของเขาเลือนหาย ขณะที่มีเสียงผันผวนออกมา


“วิชาเจดีย์แปดองค์เป็นของข้าแน่นอน!”


บทที่ 1297 เข้าสู่แดนเซิ่งยวนโบราณ

ฟิ้ว!


แสงสีแดงเข้มฉวัดเฉวียนราวกับอุกกาบาตในท้องฟ้ามืดมิด พร้อมกันนั้นสายฟ้าสีดำที่ราวกับอสรพิษเกรี้ยวกราดก็ฟาดลงมาจากชั้นฟ้าเป็นระยะ เมื่อสายฟ้าทำลายล้างพุ่งเข้ามาในรัศมีหนึ่งร้อยจั้งของแสงสีแดงเข้ม อุณหภูมิที่น่ากลัวก็กำจายออกมา ลบสายฟ้าเหล่านั้นออกไป


เมื่อมองผ่านแสงสีแดงเข้มไปจะมองเห็นเป็นน้ำเต้าสีแดง พวกมู่เฉินนั่งอยู่ข้างบนพร้อมกับชื่อเหยียนอยู่เบื้องหน้า


“ในส่วนลึกของทวีปเซิ่งยวนสภาพแวดล้อมเลวร้ายแท้จริง”


มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองดูสายฟ้าป่าเถื่อนแล่นแปลบปลาบด้วยความเคร่งเครียด ในสถานที่เช่นนี้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายก็ยังตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายหากประมาท


ต้องขอบคุณที่มีชื่อเหยียนเป็นผู้นำ ไม่เช่นนั้นหากมีเพียงพวกเขาจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบกว่าวันเพื่อผ่าพายุมิติกาลเวลาไป


“นี่ยังน้อย สภาพแวดล้อมในแดนเซิ่งยวนโบราณแย่กว่านี้อีก” เมื่อเห็นสีหน้ามู่เฉินเคร่งเครียด ชื่อเหยียนก็แสยะยิ้ม


เปลือกตาของมู่เฉินกระตุกเมื่อได้ยิน แดนเซิ่งยวนโบราณอันตรายขนาดนั้นเชียวเหรอ?


“มีจอมยุทธ์สุดยอดจำนวนมากสิ้นชีพในแดนเซิ่งยวน แม้พวกเขาจะสิ้นชีพแต่พลังงานหลิงของพวกเขาไม่ได้กระจายไปไหน เนื่องจากพลังงานทรงพลังมากเกินไปจึงก่อตัวเป็นปรากฏการณ์ประเภทต่างๆ”


ชื่อเหยียนยิ้มขณะที่พูดต่อว่า “ดังนั้นสภาพแวดล้อมและปรากฏการณ์ที่รุนแรงอาจเกิดจากการละสังขารของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน แล้วจะไม่น่าสะพรึงกลัวได้ยังไง?”


ในขณะที่เขาพูด ทั้งสี่ก็สูดอากาศเย็นลึกสุดปอด ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นมาจากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่ละสังขารเหรอ? มิน่าล่ะชื่อเหยียนถึงบอกว่าที่เห็นอยู่นี่ไม่มีอะไรเลย


“นอกจากสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายในแดนเซิ่งยวนโบราณที่พวกเจ้าต้องระวัง ยังต้องระวังกลุ่มอื่นๆ ด้วย จากข้อมูลที่รู้มาพบว่าครั้งนี้มีกลุ่มจำนวนมากขึ้นกว่าครั้งก่อน มากจนแม้แต่เหล่ามือสังหารปีศาจก็มุ่งหน้าไปด้วยเช่นกันๆ ไม่มีใครที่จัดการได้ง่ายๆ” ชื่อเหยียนเตือนทั้งสี่ด้วยท่าทางเคร่งเครียดหลายส่วน


มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะหดตาลง เนื่องจากมือสังหารปีศาจเหล่านั้นไม่ใช่คนธรรมดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งมือสังหารปีศาจขั้นสูง จอมยุทธ์เหล่านั้นเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าเกรงขาม แม้กระทั่งกับประมุขน้อยของเผ่าฝูถูอย่างเฉวียนหลัวและมั่วซิน


ทว่าพวกเขาไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือจากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเพื่อผ่านพายุมิติกาลเวลาหรือ? เหล่ามือสังหารมีความสามารถนั้นเหรอ?


“ฮ่าๆ มือสังหารปีศาจถือเป็นสมาชิกวังมหาพันภพ ตราบใดที่พวกเขามีคะแนนสังหารเพียงพอ พวกเขาก็จะสามารถเชิญจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนของวังส่งพวกเขาไปสู่แดนเซิ่งยวนโบราณได้” ชื่อเหยียนอธิบายกับความสงสัยของมู่เฉิน


“คะแนนสังหารปีศาจเป็นของดีทีเดียว”


มู่เฉินยิ้ม ไม่คิดว่าคะแนนสังหารจะสามารถเชิญจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนมาได้ด้วย


“ถ้าเจ้ามีคะแนนมากพอ ไม่ต้องพูดถึงระดับเทียนจื้อจุนธรรมดาเลย แต่เจ้าสามารถเชิญได้กระทั่งราชันสังหารปีศาจฉิงเทียนได้ ฮ่าๆ นั่นระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งเชียวนะ แต่เหตุผลของเจ้าต้องชอบธรรม เพราะราชันสังหารปีศาจไม่ช่วยเจ้าไปทำอะไรที่ขัดต่อศีลธรรมหรอก”


มู่เฉินกับลั่วหลีมองหน้ากัน นี่เป็นเรื่องมากเกินไปแล้วจริงๆ ต้องรู้ว่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งเป็นการดำรงอยู่สุดยอดในมหาพันภพ


เช่นเดียวกับเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามการพบพวกเขายากยิ่งกว่ายาก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการเชิญ ใครจะรู้ว่าความโปรดปรานต้องยิ่งใหญ่เพียงใดถึงจะประสบความสำเร็จเป้าหมายได้


ทว่าที่วังมหาพันภพกลับสามารถเชิญได้กระทั่งจอมยุทธ์ระดับนั้น ดูท่าทางวังคงจะจัดเต็มสำหรับคะแนนสังหารปีศาจแล้ว


ขณะที่พวกเขาถอนหายใจ น้ำเต้าสีแดงก็เดินทางผ่านมิติด้วยความเร็วแทบจะคอหักตาย แม้แต่กลุ่มของมู่เฉินยังอดอุทานไม่ได้ เนื่องจากวิธีการของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนไม่ได้เป็นสิ่งที่คนธรรมดาสามารถเข้าใจได้


ภายใต้ความเร็วในการเดินทางของชื่อเหยียน อีกสองชั่วโมงก็ผ่านไป กลุ่มของมู่เฉินรู้สึกว่าความผันผวนของที่นี่ดูเหมือนจะหนาแน่นขึ้น


พวกเขาเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจก็เห็นรอยแตกในมิติพร้อมกับแรงกดดันที่น่ากลัวซึ่งห่อหุ้มหัวใจ ทำให้รู้สึกหายใจไม่ออกเลยทีเดียว


ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่ชื่อเหยียนยังแสดงสีหน้าเคร่งเครียด เริ่มชะลอความเร็วลง


เมื่อเห็นท่าทางนั้นหัวใจของมู่เฉินและคนอื่นๆ ก็สั่นไหว พวกเขาเข้าใจว่ากำลังจะเข้าถึงส่วนลึกของทวีปเซิ่งยวนแล้ว


“นั่นคือพายุมิติกาลเวลา”


ทันใดนั้นเสียงเตือนภัยของชื่อเหยียนก็ดังกึกก้อง ขณะที่ความคิดนี้แล่นพล่านในใจทุกคน


พวกเขามองไปในระยะไกลก็เห็นชั้นฟ้าและชั้นดินในสภาพที่แตกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกับพายุสีขาวเงินก่อหายนะระหว่างฟ้าดิน มันยิ่งใหญ่มากจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ไม่มีวัตถุใดในพายุราวกับว่าเป็นดินแดนว่างเปล่า


เบื้องหน้าพายุทอร์นาโดมหึมาเช่นนี้ กลุ่มมู่เฉินตัวเล็กราวกับเศษธุลี พวกเขารู้สึกว่าถ้าเข้าไปก็อาจจะถูกทำลายเป็นอากาศธาตุในทันที


เผชิญกับความผันผวนทำลายล้าง แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ยังครั่นคราม


ชื่อเหยียนควบคุมน้ำเต้าสีแดงเข้มค่อยๆ ชะลอตัวลงเมื่ออยู่ห่างจากพายุหลายหมื่นจั้ง ในระยะนี้พวกมู่เฉินก็เห็นพื้นที่รอบๆ น้ำเต้าสีแดงเริ่มบิดเบือน


ต้องรู้ว่าก่อนหน้านี้ไม่มีสายฟ้าสักสายที่สามารถลดแสงรอบน้ำเต้านี้ลงได้ แต่เมื่อพวกเขามาที่นี่เพียงแค่เข้าใกล้ก็ทำให้แสงสว่างรอบน้ำเต้าบิดเบือนไปหมดแล้ว


ดังนั้นสามารถบอกถึงความสามารถการทำลายล้างที่มีอยู่ในพายุมิติกาลเวลาได้


“อีกหนึ่งก้านธูปจะเป็นเวลาที่ดีที่สุดในการเข้าสู่พายุ” ชื่อเหยียนมองพายุอย่างเคร่งเครียดแล้วพูดขึ้น


มู่เฉินและคนอื่นๆ พยักหน้า ร่างกายเริ่มตึงเครียด


ขณะที่กำลังรอคอย ลั่วหลีก็เขยิบเข้าหามู่เฉินพูดว่า “เมื่อเราเข้าไปในแดนเซิ่งยวนโบราณแล้วก็รีบติดต่อชิงเฉวียนก่อนนะ ข้าได้ยินมาว่าพวกนางมีข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับสุสานของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนคนหนึ่ง”


“หืม?”


มู่เฉินรู้สึกประหลาดใจ เนื่องจากเขาไม่คิดว่าเวินชิงเฉวียนจะหาข่าวกรองได้เร็วเช่นนี้ ก่อนที่จะเข้าสู่สุดแดนเซิ่งยวนโบราณก็ตั้งเป้าหมายไว้เรียบร้อยแล้ว


“แต่ดูไม่ค่อยเหมาะสมนะที่เราจะเข้าร่วมในเมื่อพวกนางได้ข้อมูลมา?” อึดใจเขาก็ขมวดคิ้วแน่น


ข้อมูลมีค่าอย่างยิ่ง เพราะหากฝ่ายหนึ่งเคลื่อนไหวก่อนพวกเขาอาจได้รับมรดก แล้วพวกเขาจะปล่อยให้คนอื่นมาแบ่งปันไปได้อย่างไร?


ลั่วหลียิ้มบาง “นี่เป็นสิ่งที่ชิงเฉวียนบอกมา เพราะพวกนางไม่ใช่กลุ่มเดียวที่รู้เรื่องนี้ ดังนั้นอาจมีการแข่งขันรุนแรง ชัดว่าเราเป็นตัวเลือกของผู้ร่วมมือที่ดี”


มู่เฉินเข้าใจพลางพยักหน้า หากเป็นเช่นนั้นพวกเขาก็ลองดูว่าจะได้รับเบาะแสอะไรเกี่ยวกับวิชาเจดีย์แปดองค์บ้างไหม


“ถ้างั้นเราก็เป็นหนี้บุญคุณนางแล้ว”


มู่เฉินยิ้ม ด้วยมีกลุ่มมากมายในแดนเซิ่งยวน มีหลายกลุ่มที่ดูแข็งแกร่งกว่าพวกเขา และถ้าดูจากภายนอกก็มีหลายกลุ่มที่พวกนางสามารถเลือกร่วมมือได้ แต่เหตุผลที่เวินชิงเฉวียนเลือกพวกเขานั้นเป็นเพราะความสัมพันธ์ฉันมิตรที่มีมานาน


ลั่วหลียิ้มก่อนที่จะพูดอย่างหลักแหลม “บางทีในภายหลังพวกเขาถึงได้รู้ว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องก็ได้”


แม้ในกลุ่มพวกเขาดูเหมือนคนที่ทรงพลังที่สุดก็คือหลิงซีที่เป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียน บางทีหลายคนอาจมองข้ามมู่เฉินซึ่งเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย แต่ลั่วหลีรู้ดีว่าใครกันที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มนาง


“เฮ้ ครั้งนี้คนมาเยอะจริงๆ” ขณะที่ทั้งสองพูดคุยกัน ชื่อเหยียนก็พูดโพล่งออกมาขณะมองไปในระยะไกล


สายตาของกลุ่มมู่เฉินติดตามไปแต่ไม่เห็นเงาร่างใดๆ ทว่าจากการรับรู้ถึงคลื่นพลังงาน พวกเขาสามารถรู้สึกถึงแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวที่เกิดจากพื้นที่เหล่านั้น


การที่สามารถปลดปล่อยความกดดันทรงพลังเช่นนี้ในพายุ จะไม่มีใครได้นอกจากเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน


มู่เฉินสัมผัสคร่าวๆ ก็พบว่ามีแรงกดดันที่น่ากลัวไม่น้อยกว่าสิบสาย นั่นหมายความว่าตามจำนวนการรับรู้ของเขาเพียงอย่างเดียว ก็มีจำนวนจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเกินที่นับได้ด้วยสองมือ


นี่ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เนื่องจากจอมยุทธ์ระดับนี้แทบจะไม่เคยเห็นตามปกติกลับมารวมตัวกันที่นี่เพื่อสิ่งเย้ายวนในแดนเซิ่งยวน


ครืน!


ขณะที่มู่เฉินถอนหายใจ เสียงฟ้าคำรนก็ดังกึกก้องสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งฟ้าดิน


เสียงคำรามยิ่งใหญ่สั่นสะท้าน พายุมิติกาลเวลาป่าเถื่อนก็ชะลอตัวลง เปลี่ยนอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย


เมื่อเห็นฉากนี้มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็รู้ว่าเวลาที่ดีที่สุดในการเข้าสู่แดนเซิ่งยวนโบราณมาถึงแล้ว!


“ไป!”


สายตาของชื่อเหยียนวูบไหวก่อนที่จะกระทืบเท้า หินหนืดพุ่งทะลักออกมาจากช่องเปิดของน้ำเต้า


“จำไว้ถ้าต้องการออกจากแดนเซิ่งยวนโบราณให้ทำลายเครื่องรางที่ข้าให้ เจ้าจะกลับออกมาที่ทวีปเซิ่งยวนทันที!”


กลุ่มมู่เฉินพยักหน้าจากนั้นก็ทะยานออกไป เกลียวแสงสีแดงเข้มจากน้ำเต้าฉีกออกแล้วห่อหุ้มพวกเขาไว้


ตู้ม!


ลาวานี้ราวกับมังกร เมื่อส่งคำรามก็พาทั้งสี่คนเข้าไปสู่พายุสีเงินและหายไป


บทที่ 1298 พายุหลอมวิญญาณ

ฟ้าดินที่นี่แตกสลายอัดแน่นไปด้วยรัศมีโบราณ


ดวงอาทิตย์คล้ายจะตกแตกเอิบอาบด้วยแสงอ่อนจาง


พื้นดินปกคลุมไปด้วยหุบเหวลึกไม่มีที่สิ้นสุดพร้อมสาดความมืดมิดที่ทำให้กระดูกสันหลังเย็นเยือกลง


ราวกับว่ามิติแห่งนี้ถูกทำลายด้วยมือยักษ์ ทำลายทุกสรรพชีวิตให้สิ้นซาก


“นี่คือหนึ่งในสมรภูมิรบระหว่างมหาพันภพกับเผ่าปีศาจต่างมิติรึ?”


พวกมู่เฉินยืนอยู่บนภูเขาขณะที่จ้องมองภูมิประเทศนี้ด้วยใบหน้าตกตะลึง


โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขามองเห็นภูเขาลอยอยู่ในอากาศจากพายุในระยะไกลก็ทำเอาดวงตาหดเกร็งลง


นั่นเป็นเพราะกฎฟ้าดินถูกทำลาย ทำให้แรงโน้มถ่วงอยู่ในภาวะสับสน


“ความกดดันที่นี่มีมากเกินไป ทำเอาหายใจไม่ออกเลย” ลั่วหลีตอบกลับด้วยท่าทางเคร่งเครียด


แม้แต่การต่อสู้ที่นี่ก็จะทำให้หมดคลื่นหลิงมากกว่าที่อื่นในมหาพันภพ เนื่องจากต้องทนต่อแรงกดดันที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง


“มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนมากมายสิ้นชีพลงที่นี่ แม้ว่าพวกเขาจะสิ้นชีพไปแล้วแต่ก็ยังมีร่องรอยของรัศมีที่เหลืออยู่หลอมรวมเข้าระหว่างฟ้าดิน ทำให้เรารู้สึกกดดัน” หลิงซีพูดเบาๆ


“สมกับเป็นหนึ่งในดินแดนหายนะของมหาพันภพ” หลงเซี่ยงถอนหายใจ ในสถานที่นี้แม้จะเป็นจอมยุทธ์เกือบจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนอย่างเขาก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ


มู่เฉินพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะมองไปที่ลั่วหลี “เราไปหากลุ่มของเวินชิงเฉวียนก่อนไหม?”


ในเมื่อเวินชิงเฉวียนมีข้อมูลสุสานของร่างจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนและชักชวนให้ช่วยเหลือกันและกัน มู่เฉินก็ไม่คิดปฏิเสธเรื่องดังกล่าว เนื่องจากพวกเขาเพิ่งเข้ามิติแห่งนี้ ทำให้รู้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้น้อยมาก


ลั่วหลีพยักหน้าก่อนที่จะแบมือออกมา ผีเสื้อมรกตปรากฏขึ้น ภายใต้การควบคุมของลั่วหลีมันก็กระจายแสงสีเขียวบินวนอยู่เบื้องหน้าลั่วหลี จากนั้นก็ทำการสัมผัสก่อนที่จะบินไปในทิศทางตะวันตก


“ตามมันไป แล้วเราก็จะไปพบกับเวินชิงเฉวียน” ลั่วหลียิ้ม


“ไป!”


มู่เฉินตะเบ็งเสียงทะยานออกไปพร้อมกับอีกสามคนติดตามมา


เนื่องจากแดนเซิ่งยวนโบราณเต็มไปด้วยอันตรายทุกประเภท ดังนั้นพวกเขาจึงชะลอตัวเพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน ไม่ให้เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้น


และความจริงก็พิสูจน์ว่าความระมัดระวังของมู่เฉินจำเป็นจริงๆ


ฟู่ ฟู่


ลมแผดเสียงอย่างไม่มีที่สิ้นสุดทั่วบริเวณมืดมิด แม้ว่าจะดูไม่ค่อยอันตราย แต่เมื่อใดที่มันสัมผัสกับพลังงานหลิง คลื่นพลังหลิงก็จะละลายกลายเป็นเม็ดทราย


ตอนนี้กลุ่มมู่เฉินซ่อนตัวอยู่ในถ้ำ ขณะที่มองพายุด้วยความหวาดผวา


โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลงเซี่ยงที่แขนของเขาเป็นสีเหลืองคล้ำ เป็นเพราะเขาหลบเลี่ยงไม่ทัน จึงถูกลมพัดใส่ทำให้คลื่นหลิงที่แขนของเขาสลายตัว มากจนแขนทั้งข้างยังเกือบจะกลายเป็นทรายไปแล้ว


โชคดีที่มู่เฉินไหวตัวรีบดึงเขาออกมา มิฉะนั้นแม้จะเป็นจอมยุทธ์เกือบจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุน เขาก็ไม่สามารถทนอยู่ได้นาน ก่อนที่จะสลายตัวเป็นทราย


“ช่างเป็นพายุที่น่ากลัวเสียจริง!” หลงเซี่ยงรู้สึกหวาดกลัว เขามีประสบการณ์เพียงพอในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ไม่มีสักครั้งที่น่ากลัวมากขนาดนี้ ลองคิดดูว่าเขาเกือบจะกลายเป็นทรายทั้งที่ยังไม่ทันสู้ ยามนี้หลงเซี่ยงรู้สึกถึงความสั่นสะเทือนของกระดูกสันหลังเลยทีเดียว


“นั่นน่าจะเป็นพายุหลอมวิญญาณ” ลั่วหลีมองไปที่สายลมมืดมิดพลางพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด


“พายุหลอมวิญญาณ?” มู่เฉินและคนอื่นๆ อึ้งไปเมื่อได้ยินคำพูดของนาง


“ก็ข้าไม่ได้เข้าสมาธิฝึกฝนเหมือนเจ้าเลยได้ฟังหลายเรื่องจากท่านชื่อเหยียน ซึ่งจ่ายราคาไปไม่น้อยสำหรับการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับแดนเซิ่งยวนโบราณนี้” ลั่วหลีกลอกตาใส่มู่เฉิน


มู่เฉินหัวเราะแฮะๆ เขาให้ความสำคัญกับการฝึกฝนมากเกินพอดี ทำให้ไม่ได้รวบรวมข้อมูล โชคดีที่ลั่วหลีละเอียดลออกว่า


“มีภัยพิบัติที่น่ากลัวมากมายในแดนเซิ่งยวนโบราณและพายุหลอมวิญญาณก็เป็นหนึ่งในนั้น ว่ากันว่าพายุนี้ไม่เป็นอันตรายต่อผู้ที่ไม่มีพลังงานหลิง แต่สำหรับคนที่มี ช่วงเวลาที่พลังงานหลิงสัมผัสกับมันก็จะสลายกลายเป็นทราย”


“แม้ว่าพี่ใหญ่หลงเซี่ยงจะไม่ได้ใช้คลื่นหลิง แต่ร่างกายพวกเราได้รับการขัดเกลาโดยคลื่นหลิงมาตลอด ดังนั้นจึงมีพลังงานไหลเวียนอยู่ตามธรรมดา ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้แขนของเขาเกือบจะกลายเป็นทรายน่ะ”


หลงเซี่ยงแอบเดาะลิ้น การพูดแบบนี้ก็หมายความว่าแม้พวกเขาจะถอนคลื่นหลิงแล้ว ก็ไม่สามารถผ่านพายุหลอมวิญญาณไปได้ เนื่องจากร่างกายของพวกเขามีพลังงานไหลเวียนอยู่


“’งั้นเราก็ต้องรอให้พายุผ่านไปก่อนเท่านั้นเหรอ?” หลิงซีถาม


“นั่นเป็นเป็นทางเลือกเดียวของเรา” ลั่วหลีพยักหน้าอย่างจนใจใครจะจินตนาการได้ว่าแค่พายุเพียงอย่างเดียวก็ทำให้พวกนางดูน่าสมเพชขนาดนี้


“แต่โชคดีที่พวกมันก่อตัวไม่นาน เราคงไม่ต้องรอนานนักหรอก”


มู่เฉินพยักหน้า “งั้นก็รอให้มันสลายไป”


ขณะที่พูดเขาก็จ้องมองไปที่พายุหลอมวิญญาณ ถึงแม้ว่านี่จะอันตราย แต่ก็อาจเป็นอาวุธที่ยอดเยี่ยม หากเขาสามารถรวบรวมและปล่อยออกมาเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู ซึ่งจะสามารถบรรลุผลแบบจินตนาการไม่ได้เลย


“เจ้าคิดจะเอาพายุหลอมวิญญาณนี่ไปเหรอ?” ลั่วหลีราวกับเห็นผ่านความคิดของมู่เฉินด้วยเพียงเหลือบมองแวบเดียว ม่านตาของนางขยายกว้างขึ้น มู่เฉินชักจะกล้าบิ่นเกินไปแล้ว


หลิงซีและหลงเซี่ยงก็ตกตะลึงไปเช่นกันเมื่อมองไปที่มู่เฉิน หากคนอื่นเห็นพายุหลอมวิญญาณ พวกเขาเลือกที่จะหลีกเลี่ยง แต่มู่เฉินกลับคิดจะเอามันไป?


เมื่อเห็นสายตาตกตะลึงของทุกคน มู่เฉินก็อดยิ้มไม่ได้ “แม้ว่าพายุหลอมวิญญาณจะทรงพลัง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะรวบรวมไม่ได้นี่น่า”


“ถึงแม้ว่าพายุหลอมวิญญาณจะสามารถสลายคลื่นหลิงได้ แต่ถ้าเราสามารถผนึกมันได้ชั่วคราว เราก็จะรวบรวมเอาไว้ได้”


“ผนึก? ใช้ผนึกต่อต้านความสามารถย่อยสลายรึ?” หลิงซีกับคนอื่นๆ แลกเปลี่ยนสายตากัน ในมหาพันภพถ้าพูดถึงพลังในการปิดผนึกก็ต้องให้เผ่าฝูถูเป็นอันดับแรกเลย


“นายน้อย แม้ว่าผนึกของเผ่าฝูถูจะทรงพลัง แต่ก็มีหลายระดับ ข้ากลัวว่าอำนาจการผนึกแบบธรรมดาจะไม่สามารถทำอะไรกับมันได้” หลงเซี่ยงส่ายหัว เนื่องจากเขามีความรู้เกี่ยวกับทักษะในการผนึกของเผ่าฝูถูดี


“เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนสำหรับพลังผนึกธรรมดา”


มู่เฉินยิ้มก่อนที่แสงตกผลึกจะปรากฏในดวงตา เจดีย์ผลึกแก้วใสพุ่งออกมาลอยอยู่เบื้องหน้าเปล่งรัศมีศักดิ์สิทธิ์


“แต่พลังการผนึกเจดีย์พุทธะของข้าแข็งแกร่งกว่าเจดีย์ธรรมดามาก”


“ที่แท้ก็เจดีย์พุทธะ!” ดวงตาของหลิงซีสว่างวาบเมื่อเห็นภาพตรงหน้า นางรู้ว่าเจดีย์พุทธะหายากมากในเผ่าฝูถู


หากเป็นเช่นนั้น มู่เฉินก็น่าจะลองดูสักหน่อย


“แต่เจ้าบ้าบิ่นไป ไม่กลัวความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับเจดีย์พุทธะนี่รึ?” หลิงซีเม้มริมฝีปาก แม้ว่าสิ่งที่มู่เฉินกล่าวอาจใช้งานได้ แต่ก็ยังคงอันตราย สมาชิกในเผ่าฝูถูถือว่าเจดีย์ของพวกเขาเป็นสิ่งมีค่าที่สุด พวกเขาจะไม่ยอมใช้ง่ายๆ อย่างแน่นอน ไม่เหมือนมู่เฉินที่ตั้งใจจะใช้เพื่อจัดการกับพายุหลอมวิญญาณนี่


ก็เหมือนกับเฉวียนหลัว เขาเองก็มีเจดีย์พุทธะ แต่หลิงซีรู้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ทำอะไรแบบนี้แน่


แน่นอนว่านี่ก็เป็นเพราะประสบการณ์ที่แตกต่างกันระหว่างเขากับมู่เฉิน เฉวียนหลัวถือตัวว่ามีสถานะสูงส่งเขาจะยอมเสี่ยงแบบมู่เฉินได้อย่างไร?


“อยากได้อะไรก็ต้องเสี่ยง ไม่มีของได้เปล่าในโลกนี้หรอก” มู่เฉินไม่ได้ยึดติดกับเรื่องนี้ เพราะตัวเขาคุ้นชินกับความเสี่ยงอยู่แล้ว บางครั้งเขาก็ต้องมองข้ามความเป็นตายไปบ้าง


“งั้นก็ลองดูกันหน่อย แต่ถ้าสถานการณ์ไม่ดีก็หยุดทันทีนะ”


ลั่วหลีรู้ว่ามู่เฉินตัดสินใจแล้ว ดังนั้นนางจะไม่หยุดเขา ในทางตรงกันข้ามนางจะให้การสนับสนุนที่สุดแก่เขา


มู่เฉินพยักหน้าจากนั้นก็เดินไปสองก้าวออกไปที่หน้าปากถ้ำ สายตามองพายุหลอมวิญญาณด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขายกมือขึ้นเจดีย์พุทธะก็เปล่งประกายแวววาว ทะยานออกจากถ้ำในวินาทีต่อมา


ฮึ่ม!


เมื่อเจดีย์บินเข้าไปในพายุหลอมวิญญาณ เกลียวแสงผลึกใสก็ต่อต้านแรงลม ในเวลาเดียวกันแรงดูดก็ระเบิดออกพร้อมกับมวลลมไร้ขอบเขตกวาดเข้ามาในเจดีย์ด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า


มันดูดซับอยู่เป็นเวลานาน ก่อนที่มู่เฉินจะสะบัดแขนเสื้อ เจดีย์พุทธะก็บินกลับมาพร้อมกับเขาก้าวออกมารับไว้ คลื่นหลิงในร่างกายเขาพุ่งเข้าเจดีย์ทันที


ขั้นตอนต่อไปจะสำคัญที่สุด เนื่องจากเขาจำเป็นต้องใช้พลังปิดผนึกของเจดีย์เพื่อผนึกพายุหลอมวิญญาณ


หากเขาล้มเหลวพายุนี้ก็จะสร้างความเสียหายอย่างมากต่อเจดีย์


ดังนั้นมู่เฉินจะล้มเหลวไม่ได้!


“ผนึกซะ”


บทที่ 1299 เก็บเป็นที่ครอบครอง

ฟู่ ฟู่!


เกลียวลมดำมืดกวนตัวต่อเนื่องในเจดีย์ผลึกใสเมื่อใดที่ลมปะทะกับผนังเจดีย์ ริ้วแสงก็จางลงชัดว่าถูกพายุหลอมวิญญาณกัดกร่อน


ฮึ่ม!


ทว่าขณะที่มวลลมโหมกระหน่ำ เจดีย์ก็เบ่งบาน ผลึกคลื่นหลิงที่ดูราวกับผ้าไหมไขว้พันกันไปรอบๆ พายุหลอมวิญญาณ


ชี่ ชี่!


พลังงานสองสายสัมผัสกัน คลื่นหลิงก็ระเบิดออก พายุหลอมวิญญาณเหมือนกำลังดิ้นรนพยายามที่จะสลัดให้หลุดจากผลึกคลื่นนี่


เนื่องจากมันสามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานเอกลักษณ์ที่อยู่ในผลึกพลังงาน ซึ่งทำให้ไม่สามารถสลายคลื่นหลิงได้อย่างง่ายดาย


ผลึกคลื่นที่ผันรอบพายุหลอมวิญญาณก็โดนสะบัดหลุดออกมาจากการดิ้นรนอย่างต่อเนื่อง ชัดว่าไม่ง่ายที่จะมัดอีกฝ่ายเอาไว้


“มีปัญหาจริงด้วย”


ดวงตาของมู่เฉินกะพริบ แต่เขาก็ไม่ได้รีบร้อนเพราะพายุเป็นลมไร้ราก ไม่ได้ไม่มีจุดสิ้นสุด ในทางตรงกันข้ามตัวเขามีคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขต ดังนั้นแม้ว่าเขาจะตบลงไปอย่างช้าๆ เขาก็จะสามารถจัดการกับพายุหลอมวิญญาณนี้ได้


เมื่อความคิดนี้พล่านขึ้น มู่เฉินก็ไม่ได้กังวล ผลึกคลื่นหลิงเริ่มห่อหุ้มพายุ แม้ว่าส่วนใหญ่จะถูกย่อยสลายโดยพายุ แต่ก็ยังมีผลึกคลื่นหลิงบางส่วนติดหนึบอยู่กับลม


ภายในเวลาครึ่งชั่วโมง พายุทรงพลังก็เริ่มชะลอตัวลง เนื่องจากบนลมพายุเริ่มกระจายผลึกแวววาวออกมา


แม้ว่าพายุนี้จะมีลักษณะเฉพาะ แต่ก็มีเพียงสัญชาตญาณไม่มีสติปัญญา ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับวิธีของมู่เฉินก็ไม่สามารถหลบหนีได้


สุดท้ายลูกกลมแสงกว้างประมาณหนึ่งร้อยจั้งก็ลอยอยู่ในเจดีย์พร้อมกับลมพายุพัดโชย แต่ทุกครั้งที่สัมผัสกับลูกกลมแสงก็จะเด้งกลับมา พลังการสลายของมันไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากแล้ว


“ถูกผลึกเรียบร้อยแล้วหรือ?”


เมื่อสัมผัสได้ถึงสถานการณ์ภายในเจดีย์มู่เฉินก็โล่งใจก่อนที่จะรีบวาดตราประทับ ฉับพลันมู่เฉินชุดขาวก็ปรากฏตัวขึ้น


เมื่อมู่เฉินชุดขาวปรากฏตัวก็ยื่นมือไปที่เจดีย์เทคลื่นหลิงจากร่างลงไป


พร้อมกับการสนับสนุนของมู่เฉินชุดขาว ลูกกลมแสงก็เริ่มหดตัวลง ทว่าพลังปิดผนึกกลับแข็งแกร่งขึ้น


ในเวลาเพียงไม่กี่สิบลมหายใจ ลูกกลมแสงก็ถูกลดขนาดลงจนเหลือเท่าขนาดศีรษะมนุษย์ พลังปิดผนึกได้ทำให้พายุค่อยๆ สงบลง


“สำเร็จ!”


มู่เฉินเปิดดวงตาฉับพลันพร้อมกับความสุขกะพริบอยู่ภายใน ความบ้าบิ่นของเขาประสบความสำเร็จแล้ว!


“สำเร็จเหรอ?”


เมื่อเห็นท่าทางมีความสุขของมู่เฉิน ลั่วหลี หลิงซีและหลงเซี่ยงก็ตกใจไปก่อนที่จะอุทานพร้อมกัน


ใบหน้าของมู่เฉินเต็มไปด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเขาพลิกฝ่ามือลูกกลมแสงขนาดของหัวคนก็ปรากฏขึ้น ซึ่งปกคลุมไปด้วยลวดลายที่กำจายพลังปิดผนึกยิ่งใหญ่ไว้


ทั้งสามคนมองมาด้วยความอยากรู้ พวกเขาเห็นพายุหลอมวิญญาณสงบนิ่งอยู่ภายใน พายุซึ่งน่ากลัวต่อคลื่นหลิงใดๆ กลับไม่สามารถฝ่าด่านนี้ออกมาได้


“แม้จะเสียแรงไปบ้างแต่ก็โชคดีที่สำเร็จ ทว่าพายุนี่ก็พยายามสลายพลังปิดผนึกของข้าอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นข้าจำเป็นต้องคงผนึกไว้อย่างต่อเนื่อง มิฉะนั้นมันอาจแตกออกได้น่ะ”


“โชคดีที่สิ่งนี้ไม่เกินกว่าจะเป็นภาระของข้า” มู่เฉินมองลูกกลมแสง รู้สึกชื่นชอบอย่างยิ่ง


หลิงซีเดาะลิ้น นางไม่เคยคิดว่ามู่เฉินจะบ้าระห่ำที่จะปราบพายุหลอมวิญญาณ แม้ว่าเขาจะปิดผนึกส่วนหนึ่งของพายุเท่านั้น แต่ถ้าเขาปลดปล่อยออกมาขณะที่เผชิญหน้ากับศัตรู แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มยังอยู่ในสภาพน่าสมเพชได้ หากพวกเขาประมาทก็อาจถูกสังหารได้เลยทีเดียว!


นี่เป็นเครื่องจักรสังหารชัดๆ


“ด้วยพายุนี้ ถ้าเผชิญหน้ากับกู้ซือหวงอีก เขาต้องตกไปในประตูนรกทางเดียว” หลงเซี่ยงชื่นชม


“กู้ซือหวงยังไม่คู่ควรให้ข้าใช้พายุหลอมวิญญาณ” มู่เฉินยิ้มบาง ด้วยความสำเร็จปัจจุบันในฐานะหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียน แม้ว่าจะไม่พึ่งขุมพลังหลิง เขาก็ยังสามารถทำให้กู้ซือหวงต้องคลานหนีกับการต่อสู้ สำหรับพายุหลอมวิญญาณ ชายคนนั้นไม่มีคุณสมบัติที่จะบังคับให้เขาใช้ได้หรอก


“ตอนนี้เจ้าชักจะโอหังใหญ่แล้ว” หลิงซีกลอกตาใส่มู่เฉิน


ลั่วหลีหัวเราะเบาๆ แววขบขันฉายในดวงตา แม้ว่านางจะรู้ว่ามู่เฉินพูดอย่างนี้เพราะความเชื่อมั่น แต่ก็เป็นเรื่องดีที่หลิงซีจะระงับความเย่อหยิ่งของเขาไว้บ้าง


มู่เฉินได้แต่ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้


“นายน้อย ในเมื่อพายุนี้ทรงพลังมาก ทำไมเราถึงไม่เอาไปมากกว่านี้?” หลงเซี่ยงพูดด้วยดวงตาเป็นประกาย ก่อนหน้านี้เขาได้รับความทุกข์ทรมานจากพายุบ้าคลั่งนี่ ดังนั้นเขาจึงรู้ว่ามันน่ากลัวแค่ไหน ในเมื่อมู่เฉินสามารถบรรจุเอาไว้ได้ ก็ควรคว้าโอกาสและดูดซับให้มากกว่านี้


มู่เฉินส่ายหัว “ด้วยพลังในปัจจุบันของข้า หากเอาไปมากกว่านี้จะเป็นภาระต่อข้า ซึ่งจะทำให้พลังการต่อสู้ลดลง มันไม่คุ้มค่า”


ไม่ใช่ว่าเขาไม่ต้องการเก็บพายุเพิ่มอีกนิด แต่ไม่สามารถทำได้ เพราะผนึกคลื่นหลิงของเขาไม่สามารถบรรจุพลังย่อยสลายของพายุที่ปลดปล่อยออกมาได้อย่างสมบูรณ์ เพียงแค่พายุต้องใช้เวลามากขึ้นในการสลายพลังงานของเขา


ถ้าเขารับมากเกินไป เจดีย์ก็จะไม่สามารถกักเก็บไว้ได้ อาจทำให้เกิดปัญหากับเขาแทน


หน้าผากของหลงเซี่ยงกระตุกเมื่อได้ยินอย่างนั้นก็เงียบลง


“พายุหลอมวิญญาณกำลังอ่อนลง”


ทันใดนั้นลั่วหลีก็ร้องอุทาน เมื่อเห็นพายุนอกถ้ำเริ่มสงบลง


มู่เฉินและคนอื่นๆ ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็น


“เตรียมไปกันต่อเถอะ”


มู่เฉินกล่าว จากนั้นก็โบกมือเก็บพายุไว้ในเจดีย์


ทั้งสี่รออยู่ช่วงสั้นๆ ไม่กี่นาทีต่อมาพายุหลอมวิญญาณก็กลายเป็นลมอ่อนค่อยๆ จางหายไป


“ไป!”


เมื่อพายุสลายหายไปก็ไม่รอให้ต้องอุทานกับทิวทัศน์ของมิตินี้ กลุ่มมู่เฉินกลายเป็นร่างแสงสี่สายทะยานออกไป


เบื้องหน้าพวกเขาผีเสื้อสีมรกตนำทางอีกครั้ง


เนื่องจากมีเหตุการณ์พายุหลอมวิญญาณมาก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงตั้งระวังมากขึ้น เมื่อมีสิ่งผิดปกติก็จะหยุดการเดินทางหาที่หลบทันที


แต่ดูท่าจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้พวกเขาได้รับโชค การเดินทางต่อจึงเป็นไปอย่างราบรื่นมาก


แม้ว่าพวกเขาพบกลุ่มบางกลุ่มระหว่างทาง แต่ก็ไม่ได้โต้ตอบกัน เพราะแต่ละฝ่ายคุมเชิงรักษาระยะทาง เพื่อไม่ให้เกิดการต่อสู้ขึ้น


การเดินทางของพวกเขายังคงดำเนินต่อไปเป็นเวลาเกือบครึ่งวัน ก่อนที่พวกเขาจะตระหนักได้ว่าผีเสื้อมรกตที่นำทางได้กระจายแสงแรงกล้าออกมา


หัวใจของพวกเขาสั่นไหว เพราะนั่นหมายความว่าพวกเขาเข้าใกล้พวกเวินชิงเฉวียนแล้ว


ฟิ้ว!


ขณะที่ทั้งสี่บินข้ามยอดเขาโดดเดี่ยว เทือกเขาแห้งแตกก็ปรากฏเบื้องหน้าครรลองสายตา ทุกยอดเขาดูราวกับใบมีดที่เปล่งรัศมีคมกริบ


ฮึ่ม!


ในเวลาเดียวกันผีเสื้อมรกตก็สั่นสะเทือนก่อนที่จะสลายไป


“พบพวกนางแล้ว!”


ลั่วหลีฉายแววร่าเริงบนใบหน้าขณะที่มองไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เมื่อผีเสื้อมรกตหายไปแสงก็ลอยไปในทิศทางนั้น นั่นหมายความว่าพวกเวินชิงเฉวียนจะต้องอยู่ที่นั่นแน่!


ทั้งสี่คนเหาะเหินข้ามเทือกเขาก็เห็นพวกเวินชิงเฉวียนในหุบเขาลึกด้านใน


“เดี๋ยวก่อน”


แต่ขณะที่ลั่วหลีตั้งใจจะเข้าไปหาเวินชิงเฉวียน จู่ๆ มู่เฉินก็เอ่ยขัดไว้ สายตาเป็นประกายวูบไหว


“ดูเหมือนพวกนางจะประสบปัญหาบางอย่าง”


ลั่วหลีเพ่งสายตาไปก็เห็นมีกลุ่มคนหนึ่งยืนที่เบื้องหน้ากลุ่มเวินชิงเฉวียน นอกจากนี้ยังสามารถสัมผัสกับความผันผวนของคลื่นหลิงที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังอีกด้วย พวกเขาตั้งแนวขนาบขวางพวกเวินชิงเฉวียนไว้ในหุบเขา


เห็นได้ชัดว่าด้วยเหตุผลบางอย่างพวกเวินชิงเฉวียนถูกหมายตาแล้ว


บทที่ 1300 ต่งซัน

ใบหน้าของเวินชิงเฉวียนเขียวคล้ำขณะมองไปข้างหน้า


ร่างเงาหลายร่างกำลังยืนจังก้าพร้อมกับกอดอก ขณะที่พวกเขาจ้องมาที่กลุ่มของเวินชิงเฉวียน


ผู้นำเป็นคนร่างกำยำถึงแม้จะดูธรรมดา แต่แผลเป็นบนใบหน้าเขาก็ทำให้ดูน่ากลัวอยู่หลายส่วน มิหนำซ้ำร่างของเขากำจายรัศมีร้ายกาจราวกับเป็นอสูรกายเลยทีเดียว


ยิ่งกว่านั้นความผันผวนที่เล็ดลอดออกมาคลุมเครือบอกว่าเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม


“สหายตระกูลเวิน ความสามัคคีเป็นสิ่งสำคัญ ทำไมถึงต้องเขม่นกันขนาดนี้ด้วย?”


ชายคนนั้นมองมาที่กลุ่มเวินชิงเฉวียนพร้อมรอยยิ้มเป็นต่อขณะพูด “ข้าต่งซันไม่ได้จะแย่งข้อมูลของพวกเจ้าสักหน่อย เราแค่อยากร่วมมือด้วย เมื่อทุกคนร่วมมือกันจะไม่ทำให้เราได้มรดกง่ายขึ้นหรือ?”


เวินชิงเฉวียนดูโกรธเกรี้ยวมาก กลุ่มที่ขัดขวางพวกนางคือพันธมิตรมือสังหารปีศาจ โดยมีผู้นำชื่อต่งซัน


เขาไม่เพียงแต่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่ยังเป็นมือสังหารขั้นกลางอีกด้วย สิ่งที่สำคัญที่สุดคะแนนสังหารปีศาจของชายคนนี้อยู่ไม่ไกลจากขั้นสูงแล้ว


นี่เป็นข่มขู่อย่างแท้จริง เนื่องจากทุกคนรู้ดีว่ายากเพียงใดในการรวบรวมคะแนนสังหารปีศาจจำนวนมาก


ที่จริงแล้วต่งซันรู้ว่าพวกนางมีข้อมูลเกี่ยวกับมรดกของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนตั้งแต่อยู่ในเมืองเซิ่งยวน แต่พวกนางก็ปฏิเสธเมื่ออีกฝ่ายเสนอการรวมตัว นอกจากนี้ยังเป็นเพราะคนเหล่านี้เกรงกลัวจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนของตระกูลเวิน ดังนั้นจึงไม่กล้าลงมือทำอะไร ทว่าใครจะคิดจะมาปะหน้ากันในแดนเซิ่งยวนโบราณแห่งนี้


“ฮึ่ม ร่วมมือเหรอ? ข้าเกรงว่าจะเป็นการเก็บหมาป่าไว้กับตัวนะสิ ” ใบหน้าของเวินชิงเฉวียนเย็นชาลงหลายส่วน ไม่มีความเป็นมิตรกับพวกต่งซัน การทำงานร่วมกับพวกเขาเหมือนกับการถลกหนังเสือที่มีชีวิต


“นอกจากนี้…”


น้ำเสียงของเวินชิงเฉวียนเปลี่ยนไป ทันใดนั้นเสียงก็สาดไอเย็นชา “พวกเจ้ารู้ข้อมูลในมือพวกข้าตั้งแต่ในเมืองเซิ่งยวน ตอนนี้พอเข้ามาในแดนเซิ่งยวนโบราณก็พบกันอีก ไม่บังเอิญเกินไปหน่อยเหรอ?”


ต่งชันยิ้มตาหยี “ไหงงั้นล่ะ?”


เวินชิงเฉวียนตอบอย่างเย็นชา “ตระกูลหวู่เขตทะเลทรายฝั่งเหนือก็รู้ว่าพวกข้ามีข้อมูลนี้ พวกเขาก็ส่งกลุ่มเข้ามาที่นี่เช่นกัน ดังนั้น…ข้อมูลและการติดตามพวกข้า พวกตระกูลหวู่ให้เจ้ามาใช่ไหม?”


“ตระกูลหวู่?!”


เวินจื่อหยู่และคนอื่นๆ สีหน้าเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น ถ้าเป็นเช่นนั้นตระกูลหวู่ก็ไร้ยางอายเกินไปแล้ว เพื่อจะเพลิดเพลินกับมรดกจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเพียงผู้เดียว พวกมันถึงกับขายข้อมูลให้กับมือสังหารปีศาจเหล่านี้!


“ดังนั้นหมาป่าหิวโหยคงสมคบกับตระกูลหวู่มานานแล้ว หากเราทำงานร่วมกับพวกเจ้า คงไม่พ้นแทงพวกข้าข้างหลังแน่ พวกข้าไม่มีโชคที่จะได้มีเพื่อนร่วมกลุ่มเช่นนี้หรอก” เวินชิงเฉวียนเค้นเสียงเย็น


สายตาของต่งซันสั่นไหวก่อนที่จะส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าเข้าใจผิดหมดแล้ว พวกข้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มตระกูลหวู่”


เวินชิงเฉวียนหลุบตาพูดว่า “ไม่ว่าจะเข้าใจผิดหรือไม่ พวกข้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำงานร่วมกับพวกเจ้า ดังนั้นไม่จำเป็นต้องคุยเรื่องนี้อีก”


แสงร้ายกาจเปล่งประกายในดวงตาของต่งชันหลังจากได้ยินการปฏิเสธของเหวินชิงซวนก็ยิ้ม “แม่นางเวินพูดแบบนี้ไม่เกินไปหน่อยเหรอ เมื่อออกมาข้างนอก การมีเพื่อนดีกว่าการมีศัตรูนะ?”


ขณะที่เขาพูดร่างเงาทั้งแปดเงาที่ด้านหลังก็ก้าวออกมาก้าวหนึ่ง สาดสายตาน่ากลัว แต่ละคนจับจ้องไปที่กลุ่มของเวินชิงเฉวียน


“ทำไม? คิดจะเป็นศัตรูกับตระกูลเวินเหรอ?” สายตาของเวินชิงเฉวียนเย็นเยือกลงขณะที่พูดออกมา


“ถึงแม้พวกข้าจะไม่กล้าสร้างความบาดหมางกับตระกูลเวิน แต่อย่างน้อยที่นี่พวกเจ้าไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ไม่ใช่เหรอ?” ต่งซันยิ้มบาง


พวกเวินชิงเฉวียนมีเพียงหกคนเท่านั้น นอกจากนี้คนที่ดูทรงพลังที่สุด ก็คือเวินจื่อหยู่ที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม พวกที่เหลือก็อยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ส่วนเวินชิงเฉวียนอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นเท่านั้น


งานนี้พรรคพวกต่งซันเขมือบกลุ่มนี้ได้สบาย


“ดังนั้นข้าหวังว่าแม่นางเวินจะพิจารณาข้อเสนออีกครั้ง” เมื่อต่งซันยิ้ม คนร้ายกาจที่อยู่ด้านหลังก็ค่อยๆ กระจายตัวออกไปอย่างช้าๆ สร้างแนวเป็นรูปครึ่งวงกลม


“พวกข้ามีคนที่จะร่วมมืออยู่แล้ว อย่าได้ฝัน!” เมื่อเห็นการก่อตัวของพวกเขา เวินชิงเฉวียนก็ยังคงแสดงท่าทางเย็นชาโดยไม่หวาดกลัว


“โอ้?”


เปลือกตาของต่งซันยกขึ้นขณะยิ้ม “ไม่เห็นจะน่าร่วมมือกับกลุ่มต่ำๆ เลย หากแม่นางเวินยินดีที่จะให้พวกข้าแทนที่ พวกเราก็ได้-ได้กันทั้งคู่เลยนะ”


เวินชิงเฉวียนไม่ได้พูด แต่หันไปหาเวินจื่อหยู่และคนอื่นๆ ก่อนจะพยักหน้าให้กันเล็กน้อย ไอสังหารวูบไหวในดวงตาเขา ไม่มีอะไรต้องพูดในสถานการณ์เช่นนี้ต่อไป มีเพียงการต่อสู้เท่านั้น


เวินจื่อหยู่พยักหน้าอย่างช้าๆ คลื่นหลิงยิ่งใหญ่ก็ผันผวนออกมาราวกับพายุ ค่อยๆ รวมตัวกันในร่างกายของเขา


“เฮ้ ดูเหมือนว่าพวกเจ้าไม่เต็มใจรับความปรารถนาดีของพวกข้านะ”


ดวงตาต่งซันหรี่ลง ใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยม เขาก้าวออกไป รัศมีทรงพลังของระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ระเบิดออกมา ทำให้พื้นที่ทั้งหมดนี้สั่นไหว


“ในเมื่อพวกเจ้าปฏิเสธความปรารถนาดี ก็อย่าโทษข้าที่ไร้ปรานี!”


ต่งซันยกมือขึ้นพร้อมกับคลี่ยิ้มน่ากลัว “กำจัดพวกมันซะ!”


ปัง!


จอมยุทธ์ที่อยู่ด้านหลังก็พุ่งออกมา


“ลงมือ!”


เวินชิงเฉวียนคำรามพลางวาดตราประทับ คลื่นหลิงพวยพุ่งออกมา


“ฮ่าๆ ไร้ยางอายจริงๆ ในเมื่อคนอื่นไม่เต็มใจทำงานด้วย ทำไมต้องมายุ่งกับพวกเขา” แต่ก่อนที่การต่อสู้จะปะทุขึ้น เสียงหัวเราะก็ดังก้องออกมา


ชี่!


ทั้งสองฝ่ายหยุดชะงักกะทันหัน ใบหน้าของต่งซันเปลี่ยนไปก่อนที่จะเงยหน้าคำราม “ใคร?!”


“กลุ่มต่ำๆ ที่เจ้าพูดถึงไง!”


เสียงหัวเราะร่วน ร่างเงากลุ่มหนึ่งก็ทะยานออกมาปรากฏตัวในหุบเขา


ทั้งสี่คนนี้ก็คือกลุ่มของมู่เฉินนั่นเอง


“มู่เฉิน? ลั่วหลี!”


เมื่อเวินชิงเฉวียนเห็นสี่คน นางก็อึ้งไปก่อนที่ความปีติจะวาบขึ้นบนใบหน้า


“หืม ไอ้กากสี่ตัวนี้มาจากไหน? ไสหัวไปซะ!”


มือสังหารปีศาจสองคนที่ใกล้กับกลุ่มมู่เฉินก็คำรามและเริ่มลงมือโจมตี


พวกเขาสองคนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ตอนนี้ร่วมมือกันชัดว่าตั้งใจจะสังหารมู่เฉินอย่างรวดเร็วเพื่อข่มขวัญคนอื่นๆ


“ไอ้ก้อนราสองชิ้น แกกล้าจะจัดการนายน้อยของข้าเชียวเรอะ?!”


ทว่าเมื่อทั้งสองคิดจออกกระบวนท่า หลงเซี่ยงก็ปรากฏตัวเบื้องหน้าเหวี่ยงหมัดออกไป ทันใดนั้นเสียงคำรามของมังกรพลายก็สะท้อนไปทั่วขณะที่ปะทะกับสองจอมยุทธ์


ปัง!


สองจอมยุทธ์สีหน้าเปลี่ยนไปรุนแรง ก่อนที่ใบหน้าจะกลายเป็นสีแดงก่ำ พวกเขากระอักเลือดออกมา พลังอันน่าสะพรึงกลัวทำลายแขนของพวกเขาซะบู้บี้ไปหมด


ร่างของพวกเขากระเด็นออกไป สร้างรอยยาวไว้บนพื้น


“บังอาจ!”


เมื่อเห็นลูกน้องสองคนได้รับบาดเจ็บหนัก ดวงตาของต่งซันก็เย็นชาลง ก่อนที่จะเหวี่ยงฝ่ามือออกไป คลื่นหลิงน่าเกรงขามพวยพุ่งราวกับภูเขาไฟ


“ฝ่ามือเทพคีรี!”


กระบวนท่าของต่งซันแสดงให้เห็นถึงพลังของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ฝ่ามือดังกล่าวสามารถบดขยี้ภูเขา ทั่วบริเวณหุบเขาเริ่มแตกออกเป็นเสี่ยงๆ


ฝ่ามือนั่นพุ่งเข้ามา ทว่าขณะที่กำลังจะโดนตัวกลุ่มมู่เฉิน หลิงซีก็ยกมือขึ้น แสงหลิงวูบไหวก่อนที่จะก่อร่างเป็นค่ายกลขนาดใหญ่


ค่ายกลทำหน้าที่เหมือนเกราะป้องกัน ปิดกั้นฝ่ามือไม่ให้เคลื่อนที่ได้


“หลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียน?!”


ต่งซันหดตาลง จะต้องเป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนถึงสามารถขัดขวางกระบวนท่าของเขาได้อย่างง่ายดาย!


เผชิญหน้ากับหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนแม้แต่ต่งซันยังรู้สึกหวาดกลัว


สายตาของเขาวูบไหวขณะที่กวาดมองกลุ่มที่ซ่อนตัวอยู่รอบๆ หากพวกเขาร่วมพลังกันตอนนี้ พวกเขาก็ไม่อ่อนแอกว่าใครหน้าไหน


“กำลังมองหาพันธมิตรเหรอ? ไม่ต้องหรอก พวกข้าจัดการไปเรียบร้อยแล้ว” ขณะที่ต่งซันคิดจะเรียกพรรคพวก มู่เฉินก็ยิ้มบางให้


ตอนที่เขาเห็นว่าพวกเวินชิงเฉวียนกำลังมีปัญหา พวกเขาก็แอบกำจัดพวกที่ซ่อนตัวอยู่เรียบร้อย


เมื่อต่งซันได้ยิน ใบหน้าก็มืดครึ้มลงขณะที่มองมู่เฉินแสงลางร้ายกะพริบวาบในดวงตา “ไม่คิดว่าจะมีวันที่ตัวเองเสียเปรียบ ดีข้าจะจดสิ่งนี้ลงบัญชีไว้ แต่ไม่ต้องห่วง หนี้ของพรรคพวกข้าจะถือว่าเป็นของแกด้วย ครั้งหน้าข้าจะตัดหัวแกเอาไปหมักสุราเพื่อสังเวยสำหรับพวกเขา!”


ก่อนที่มู่เฉินจะโต้ตอบ ต่งซันก็สะบัดแขนเสื้อถอยกลับออกไปโดยไม่ลังเล


พรรคพวกของเขาติดตามไปอย่างรวดเร็ว ในเวลาเพียงสิบกว่าอึดใจเงาร่างของพวกเขาก็อันตรธานหายไป


เมื่อมู่เฉินเห็นว่าต่งซันไปโดยไม่ลังเล เขาก็ค่อนข้างตกใจก่อนที่สัญลักษณ์หลิงยิ่งที่กะพริบอยู่ในแขนเสื้อจะจางลง


ถ้าต่งซันอยู่นานกว่านี้อีกหน่อย รอให้เขาเตรียมค่ายกลจนพร้อมสรรพ ในเวลานั้นพวกเขาคงได้แต่ฝันที่จะจากไป


แต่ชัดว่าเขาประเมินความระมัดระวังของต่งซันต่ำไป ชายคนนั้นต้องรู้สึกถึงบางอย่างผิดปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุให้ถอยกลับไปโดยไม่ลังเล


มู่เฉินหรี่ตาจ้องมองไปยังทิศที่พวกต่งซันจากไป ก่อนจะพึมพำกับตัวเอง


“เด็ดเดี่ยวนัก… ครั้งต่อไปที่พบกัน ข้าต้องกุดหัวมันไม่ให้เหลือซากแล้ว”


บทที่ 1301 ภูตผีเสื้อโอสถ

เมื่อพวกต่งซันตัดสินใจถอยไป


ความผันผวนของคลื่นหลิงที่พวยพุ่งจากกลุ่มของเวินชิงเฉวียนก็สงบลง ตอนแรกพวกเขาคิดว่าจะมีการสู้รบที่นี่วันนี้แน่ แต่พวกมู่เฉินที่มาถึงพอดีก็ขู่ต่งซันจนจากไปได้


“พวกเจ้าเป็นอะไรไหม?”


มู่เฉินหันกลับมาถามพวกเวินชิงเฉวียนด้วยรอยยิ้ม


เวินจื่อหยู่เผยรอยยิ้มบนใบหน้าพลางประสานมือ “ขอบคุณพี่มู่ที่ช่วยในวันนี้ ไม่เช่นนั้นคงต้องสู้กันจนเลือดตกยางออกแน่”


“หึ ถ้าสู้กันจริงๆ พวกมันจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ” เวินชิงเฉวียนเค้นเสียงเย็นดวงตาเป็นประกายวูบไหวด้วยไอเย็นเยือก เห็นได้ชัดว่านางไม่พอใจต่งซันอย่างยิ่ง


มู่เฉินรู้สึกประหลาดใจ เนื่องจากเขาสามารถบอกได้เลยว่าเวินชิงเฉวียนไม่ได้โอ้อวดแต่อย่างใด ทว่าจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มของพวกนางคือเวินจื่อหยู่ที่อยู่ในขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเท่านั้น แต่ถึงกระนั้นก็ยังอ่อนด้อยกว่าเล็กน้อย หากต้องการเผชิญหน้ากับต่งซัน


นั่นหมายความว่ากลุ่มเวินชิงวียนจะต้องมีไพ่ตาย


เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของมู่เฉิน เวินชิงเฉวียนก็เท้าเอวประกาศอย่างภาคภูมิใจว่า “อย่าดูถูกพวกข้า หากไม่มีไพ่ตายบ้างพวกข้าจะกล้าเข้ามาในแดนเซิ่งยวนโบราณได้ยังไง?”


“แต่เจ้าสิประหลาด… อย่าบอกข้าว่าจะพึ่งพี่หลิงซีกับพี่หลงเซี่ยงเพื่อปกป้องนะ” เวินชิงเฉวียนเอียงศีรษะลงเล็กน้อย ขณะที่มองมู่เฉินแบบทำตาเล็กตาน้อย


แม้ว่าขุมพลังของมู่เฉินจะอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายซึ่งถือว่าค่อนข้างดี แต่จอมยุทธ์ระดับนี้ก็ยังไม่มากพอสำหรับแดนเซิ่งยวน มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มเท่านั้นที่จะสามารถข่มขู่ผู้อื่นได้


ในกลุ่มมู่เฉิน คงมีเพียงหลิงซีเท่านั้นที่มีความสามารถนี้ กระทั่งเวินชิงเฉวียนยังคิดว่าหลิงซีเป็นคนทรงพลังที่สุดในกลุ่มของมู่เฉิน


มู่เฉินกลอกตาบนไม่ได้พูดอะไรแต่ดึงหัวข้อกลับมา “พวกเจ้ากำลังตกเป็นเหยื่อเหรอ?”


กลุ่มมือสังหารก่อนหน้านี้ไม่เพียงแต่ขัดขวางพวกเวินชิงเฉวียนเท่านั้น พวกเขายังมีพรรคพวกซ่อนตัวอยู่ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาหมายตาตระกูลเวิน


รอยยิ้มบนใบหน้าของเวินชิงเฉวียนถอนกลับ สายตาเย็นชาลงหลายส่วน “ถ้าข้าเดาถูก พวกมันน่าจะมาจากการยุยงของตระกูลหวู่เขตทะเลทรายฝั่งเหนือน่ะ”


“ตระกูลหวู่เขตทะเลทรายฝั่งเหนือ?” ดวงตาของลั่วหลีหดลงขณะถามต่อ “นั่นเป็นขั้วอำนาจที่ไม่ได้อ่อนแอกว่าตระกูลเวินเลย ชื่อเสียงในมหาพันภพของพวกเขาก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน”


เวินชิงเฉวียนพยักหน้า “ที่จริงตระกูลเวินของพวกข้าจ่ายราคาไปมากเพื่อรับข่าวเกี่ยวกับมรดกจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน แต่ก็เกิดการเข้ามาแทรกแซงโดยตระกูลหวู่ ดังนั้นพวกมันจึงได้ข้อมูลไปด้วย”


“มีเพียงสองตระกูลเท่านั้นที่มีข่าวนี้ ต่งซันรู้ได้ยังไง มิหนำซ้ำยังมาขัดขวางพวกข้าที่นี่ได้ ผู้บงการจะต้องเป็นตระกูลหวู่แน่”


เวินจื่อหยู่พยักหน้าด้วยเช่นกัน “นอกจากนี้หากไม่มีการสนับสนุนจากตระกูลหวู่ ต่งซันจะกล้าหาญขนาดนี้ได้อย่างไร”


“ตอนนี้กลุ่มตระกูลหวู่จะต้องมุ่งหน้าไปหามรดกจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่เรากำลังพูดถึงแน่”


มู่เฉินพยักหน้าถามว่า “พวกข้าสามารถรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับมรดกได้ไหม?”


มูลค่าของมรดกไม่ต้องพูดถึงเลย หากพวกเขาไม่ได้เวินชิงเฉวียนเป็นแหล่งข่าวก็ยากลำบากมากสำหรับพวกเขาที่จะหา แม้ว่าพวกเขาจะช่วยแก้สถานการณ์ให้กลุ่มเวินชิงเฉวียน แต่มู่เฉินก็ไม่ใช่คนประเภทกอบโกยประโยชน์จากผู้อื่น ดังนั้นน้ำเสียงจึงเต็มไปด้วยความต้องการเจรจา


เขาต้องการข้อมูลเพื่อประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น


เวินชิงเฉวียนไม่ได้คิดปิดบังพูดขึ้นว่า “เราเป็นพันธมิตรกัน ดังนั้นข้าจะบอกตามที่รู้มา”


“มรดกตกทอดจากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนถูกเรียกว่าภูตผีเสื้อโอสถ”


“ภูตผีเสื้อโอสถ?” มู่เฉินกับลั่วหลีถึงกับหันมามองหน้ากัน


“ใช่แล้วจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนคนนี้เป็นที่รู้จักในด้านทักษะการเล่นแร่แปรธาตุ ถึงแม้ขุมพลังของนางจะอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงเท่านั้น แต่เม็ดยาใดๆ ที่ถูกนางสร้างขึ้นสามารถกวนคลื่นท่ามบรรดาจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งได้เลย”


“ในสุสานนั้นมีเม็ดยาเหลืออยู่จำนวนมาก เม็ดยาเหล่านั้นล้วนมีมูลค่ามาก แต่ละเม็ดสามารถสร้างความปันป่วนกับพวกจอมยุทธ์ชั้นสูงได้เลยทีเดียว”


“เช่นเม็ดยาเซิ่งหลิงที่ช่วยให้จอมยุทธ์ขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มก้าวเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้ ซึ่งเป็นเป้าหมายสำหรับเวินจื่อหยู่ในครั้งนี้ด้วย”


เวินชิงเฉวียนชี้ไปที่เวินซื่อหยู่ เมื่อพูดถึงเม็ดยาเซิ่งหลิงใบหน้าฝ่ายหลังก็เต็มไปด้วยความโหยหา


แน่นอนว่าไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น แม้แต่หลงเซี่ยงก็เหมือนกัน ตัวเขาก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังที่เกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ดังนั้นการล่อลวงของเม็ดยาเซิ่งหลิงนี้จึงหอมหวนสำหรับเขาอย่างมาก


สิ่งนี้สามารถช่วยประหยัดเวลาจากการฝึกฝนหลายปี


“ที่จริงเม็ดยาเซิ่งหลิงนี้ไม่ได้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ภาคภูมิใจที่สุดของภูตผีเสื้อโอสถ เล่ากันว่าผลิตภัณฑ์ที่น่าภาคภูมิใจของนางคือสิ่งที่เรียกว่า ‘เม็ดยาเซิ่งหวา’ ซึ่งสามารถยกระดับทักษะเทพของผู้ฝึกขึ้นไปอีก กระทั่งวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นยอดเยี่ยมก็ยกระดับได้”


เมื่อมู่เฉินได้ยิน ดวงตาก็หดแคบลงในทันที แม้ว่าจะดูเหมือนธรรมดา แต่ในฐานะของคนที่ครอบครองวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นยอดเยี่ยม เขารู้ว่ายากแค่ไหนในการยกระดับ เช่นร่างเทพสุริยะนิรันดร์ซึ่งตอนนี้มีทักษะสามขั้น


ได้แก่ รหัสเทพอมตะ ดอกบัวอมตะและแปรเป็นตายอมตะ


ทว่าตอนนี้เขาก็ฝึกถึงแค่ขั้นแรกเท่านั้น สำหรับขั้นที่สองคือดอกบัวอมตะ เขายังไม่สามารถแง้มออกได้สักนิด


หากเขาสามารถได้รับเม็ดยาเซิ่งหวาหนึ่งเม็ด นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถคลายทักษะขั้นที่สองของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ได้เลยหรือ?


แค่คิดแม้แต่หัวใจของมู่เฉินก็ลุกโชติช่วงไปหมดแล้ว


“นอกเหนือจากนี้ภูตผีเสื้อโอสถยังทิ้งเม็ดยาเทพเอาไว้มากมาย ซึ่งเป็นทรัพยากรจำนวนมหาศาลที่แม้แต่ตระกูลเวินของข้าก็ยังถูกดึงดูดอย่างมาก” เวินชิงเฉวียนกล่าว


มู่เฉินพยักหน้า มรดกจากจอมยุทธ์ที่เก่งกาจในการเล่นแร่แปรธาตุถือได้ว่าเป็นหีบมหาสมบัติเลยทีเดียว หากพวกเขาสามารถได้รับแม้แต่ขั้วอำนาจใหญ่อย่างตระกูลเวินก็จะพัฒนาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัย


“ไม่น่าแปลกใจที่ตระกูลหวู่พยายามทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางพวกเจ้า เบื้องหน้าผลประโยชน์ล่อตาขนาดนี้ วิธีการพวกนี้ก็ไม่ได้ดูเกินเหตุ” ลั่วหลีถอนหายใจ หากตระกูลหวู่ได้รับมรดกนี้ ความแข็งแกร่งของตระกูลหวู่ก็จะทะยานขึ้นสูงอย่างแน่นอน ในเวลานั้นทำไมพวกเขาจะต้องไปกังวลเกี่ยวกับการรุกรานตระกูลเวินอีก?


เวินชิงเฉวียนพยักหน้าจ้องมองพวกมู่เฉิน “หากพวกเราประสบความสำเร็จในความร่วมมือครั้งนี้ ก็แบ่งการเก็บเกี่ยวกันคนละครึ่งเลย”


ขณะที่นางพูดทุกคนก็ตกใจ


กระทั่งพรรคพวกที่อยู่ข้างหหลังเวินชิงเฉวียนก็แลกเปลี่ยนสายตากัน เนื่องจากสิ่งเหล่านี้เกินความคาดหมาย ถึงยังไงตระกูลเวินก็จ่ายราคามหาศาลสำหรับข้อมูลนี้


พูดอย่างไม่เป็นมิตร หากพวกเขาต้องการหาพันธมิตรอื่นๆ ด้วยอัตราส่วนแบ่งนี้ พวกเขาสามารถหากลุ่มที่แข็งแกร่งกว่าพวกมู่เฉินได้ง่ายๆ เลย


ทว่าก่อนที่พวกเขาจะพูดความคิดออกไป พวกเขาก็ต้องหุบปากจากประกายแสงจ้าที่สะท้อนในดวงตาของเวินชิงเฉวียน นางพูดอย่างใจเย็นว่า “มรดกยังไม่ใช่ของเราในตอนนี้ ดังนั้นอย่าถือว่าเป็นของเรา เวลานี้ตระกูลหวู่โอหังนัก ชัดว่าตั้งใจจะรับมรดกนี้ไป ส่วนเราก็ล้าหลังไปเรียบร้อย ถ้ามีแค่พวกเรากลุ่มเดียวก็คงไม่อาจได้รับอะไรเลย”


“นอกจากนี้…”


นางหยุดชั่วครู่หนึ่งมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาที่มีความหมายแฝงพลางแย้มยิ้ม “จากสัญชาตญาณของผู้หญิง ข้ารู้สึกว่าเจ้านี่จะคุ้มค่ากับราคานี้”


แม้ว่านางจะหยอกล้อมู่เฉินไปก่อนหน้า แต่นางก็รู้สึกได้ว่าหลิงซีไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม แต่เป็นมู่เฉินซึ่งดูเหมือนจะเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายเท่านั้น…


ชัดว่าเวินชิงเฉวียนมีตำแหน่งสูงในตระกูล ดังนั้นเมื่อนางตัดสินใจแล้ว คนอื่นๆ ก็ไม่มีอะไรจะพูด เวินจื่อหยู่ยิ้มให้มู่เฉิน “งั้นแบบนี้ เราคงจะต้องพึ่งพี่มู่เพื่อให้ได้รับการเก็บเกี่ยวที่เพียงพอ”


มู่เฉินตอบด้วยรอยยิ้มขณะที่หันไปมองเวินชิงเฉวียน เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะพูดว่า “แม้อัตราส่วนแบ่งนี้เราจะได้ผลประโยชน์มาก แต่ข้าเชื่อว่า พวกเจ้าจะได้เกินคุ้มแน่นอน”


แม้ว่าเสียงจะฟังสงบนิ่ง แต่ความมั่นใจที่อยู่เบื้องหลังรอยยิ้มก็ทำให้พวกเวินชิงเฉวียนรู้สึกผ่อนคลาย


บางทีชายที่เบื้องหน้าพวกเขาอาจเกินความคาดหมายจริงๆ…


เวินชิงเฉวียนจ้องมองไปที่มู่เฉินอย่างลึกซึ้ง ความมั่นใจในปัจจุบันของเขาเหมือนกับตอนที่อยู่ในศึกเบญจภาคีอย่างไรอย่างนั้น ในเวลานั้นต่อให้เผชิญกับศัตรูมากมาย เขาก็เต็มไปด้วยความมั่นใจ ซึ่งความมั่นใจนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น แต่เหมือนยังสามารถแผ่ไปให้ผู้อื่นด้วย


หลังจากหลายปีที่ผ่านมาและมีประสบการณ์ แต่ความมั่นใจของมู่เฉินก็ยังเต็มเปี่ยมในหัวใจ


ในโลกนี้มีเพียงคนที่สามารถรักษาความเชื่อมั่นและไม่แพ้ใครถึงจะมีสิทธิ์ผงาดขึ้นไปสู่จุดสูงสุด


เวินชิงเฉวียนยิ้มด้วยท่าทางทรงเสน่ห์ไม่ต่างจากลั่วหลี


นางยื่นมือออกมาพลางหัวเราะเบาๆ “งั้นขอให้เป็นการร่วมมือที่มีความสุขระหว่างเรา”


มู่เฉินเหยียดมือออกมาจับมืออ่อนนุ่มนั่นไว้พลางยิ้ม


“การร่วมมือต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน”


บทที่ 1302 หวู่ทง

ตามแนวเทือกเขาสูง


ร่างร่างหนึ่งยืนเอามือไพล่หลังขณะยืนบนภูเขาเขียวชอุ่มลูกหนึ่ง สายตาจดจ้องไปยังส่วนลึกเทือกเขาเบื้องหน้าก่อนที่จะหันกลับมาด้วยรอยยิ้ม “พี่ต่งดูเหมือนว่าแผนของเราล้มเหลวสินะถึงได้กลับมาตอนนี้”


ที่เบื้องหลังร่างที่ฉายสีหน้าดำมืดเดินออกมาจากป่า ซึ่งก็คือต่งซันที่เพิ่งประจันหน้ากับพวกมู่เฉินมา


“หวู่ทงแผนของเจ้าล้มเหลว เวินชิงเฉวียนฉลาดมาก นางรู้ทันทีว่าพวกเราร่วมมือกัน” ต่งซันพูดด้วยสีหน้ามืดครึ้ม


ชายที่ชื่อหวู่ทงมีผมสีแดงเพลิง ในมือถือลูกโลหะสองลูกซึ่งถูกแกะสลักด้วยลวดลายลึกซึ้ง ความผันผวนของคลื่นหลิงที่เล็ดลอดออกมาจากร่างกายเขาเป็นครั้งคราวกว้างใหญ่ราวกับมหาสมุทรที่ไม่สามารถประเมินได้


เมื่อได้ยินคำพูดของต่งซัน เขาก็ยิ้มสบายๆ “ตอนแรกก็แค่จะลองเชิงเฉยๆ ไม่คิดจะประสบความสำเร็จหรอก นอกจากนี้แม้ว่าแผนการจะล้มเหลว แต่ด้วยพลังของกลุ่มพวกเจ้า ก็น่าจะทำให้ตระกูลเวินสูญเสียไปบ้างไหม?”


ใบหน้าของต่งซันน่าเกลียดมากยิ่งขึ้นขณะตอบว่า “พวกเขาไม่ได้รับความเสียหายอะไรทั้งนั้น เพราะมีกลุ่มอื่นเข้ามาสะเออะ ซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มที่เวินชิงเฉวียนร่วมมือด้วย”


“โอ้?” ลูกโลหะในมือของหวู่ทงหยุดลงชั่วครู่ “พลังของพวกมันเป็นอย่างไร?”


“หลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนหนึ่งคนและจอมยุทธ์ขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มหนึ่งคน” ต่งซันตอบ สำหรับมู่เฉินกับลั่วหลีทั้งสองคนอยู่นอกสายตาเขา เนื่องจากมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายเท่านั้น


“หลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนเรอะ?” หวู่ทงหรี่ตาแคบลงก่อนที่จะยิ้มบาง “ดูท่าพวกเวินชิงเฉวียนก็ไม่โง่ พวกนางรู้จักหาผู้ช่วยเหลือด้วย แต่นางคิดว่าแค่หลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนคนเดียวจะเปลี่ยนสถานการณ์ได้เหรอ?”


“สำหรับมรดกนี้ ตระกูลหวู่เตรียมการมาหลายปีแล้ว เราจะปล่อยโอกาสให้พวกเขาได้ยังไง?”


หวู่ทงหันกลับมายิ้มให้ต่งซัน “ต่อไปพี่ต่งก็ร่วมเดินทางไปที่สุสานกับเราเลยนะ ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าตอบแทน ตระกูลหวู่จะให้ตามที่คุยกันไว้แน่นอน ”


“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”


ต่งซันเค้นเสียงส่งผลให้แผลเป็นบนใบหน้าดูน่ากลัวยิ่งขึ้น การไปขัดขวางเวินชิงเฉวียนครั้งนี้เขาสูญเสียจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายสี่คน นับเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ เพราะพรรคพวกเหล่านี้ล้วนเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงที่ผ่านศึกมาแล้วนับร้อยครั้ง


เมื่อนึกถึงเรื่องนี้แววตาของต่งซันก็เย็นชาลง “ถ้าเราสามารถจับพวกมันได้ เจ้าจะต้องส่งไอ้คนที่ชื่อมู่เฉินมาให้ข้า ข้าจะให้มันรู้ว่าความตายช่างแสนสบายที่กล้าทำให้ข้าโกรธ!”


“ได้ตามที่ขอ”


หวู่ทงยิ้ม เขาไม่สนใจคนที่ชื่อมู่เฉินแม่แต่น้อย ในมุมมองของเขากลุ่มของเวินชิงเฉวียนจะต้องแพ้อย่างแน่นอน สำหรับผลของผู้แพ้เขาไม่จำเป็นต้องใส่ใจ


เขามองไปในส่วนลึกของเทือกเขาด้วยแววความโลภวูบไหวในดวงตา


“มรดกภูตผีเสื้อโอสถ… ฮ่าๆ ข้าหวู่ทงจะบรรลุจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนคนที่สองของตระกูลได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับครั้งนี้แล้ว …”


“ออกคำสั่ง เคลื่อนพล!”


“เราจะต้องไปเตรียมของขวัญบางอย่างสำหรับเพื่อนที่มาทีหลังสักหน่อย”


เขาหันหลังกลับ เสียงสะท้อนไปทั่วบริเวณ


ฟิ้ว!


เขาทะยานออกไปเป็นคนแรก ร่างเปลี่ยนเป็นลำแสงมุ่งหน้าไปยังเทือกเขาส่วนลึก เงาดำกลุ่มหนึ่งกำจายรัศมีน่าขนลุกออกมาติดตามเขาไปอย่างใกล้ชิด


ฟิ้ว!


ลำแสงสิบสายบินข้ามขอบฟ้าขณะที่จับจ้องไปที่เทือกเขา


“มรดกภูตผีเสื้อโอสถอยู่ตรงใจกลางเทือกเขา ด้วยความเร็วเราน่าจะใช้เวลาอีกหนึ่งชั่วโมงจะไปถึงที่นั่น” ระหว่างทางเวินชิงเฉวียนเข้าหาใกล้มู่เฉิน เสียงของนางถูกส่งไปที่โสตประสาทของทุกคนภายใต้การห่อหุ้มด้วยคลื่นหลิง


“แต่กลุ่มตระกูลหวู่น่าจะนำหน้าเราอยู่ ดังนั้นเราต้องเร่งหน่อย ไม่งั้นพวกมันจะแซงหน้าไปหมด”


มู่เฉินกับลั่วหลีพยักหน้า พวกเขาเดินทางมาอย่างยากลำบาก ดังนั้นจึงไม่ต้องการแค่รับสิ่งที่เหลือจากอีกฝ่าย


ดังนั้นพวกเขาจึงเพิ่มความเร็ว เสียงอัดอากาศดังกึกก้องไปทั่วท้องฟ้า


ภายใต้การเดินทางด้วยความเร็วสูง หนึ่งชั่วโมงต่อมาเวินชิงเฉวียนที่เป็นผู้นำทางก็ชะลอตัวช้าลง นางมองเข้าไปในระยะไกล


สายตาของคนอื่นๆ ก็กวาดตาม จากนั้นพวกเขาก็เห็นหมอกพิษปกคลุมไปทั่วเทือกเขา


มู่เฉินหายใจเข้าเล็กน้อยก็รู้สึกได้ถึงคลื่นหลิงในร่างกายสั่นเทา ความคิดปฏิเสธลุกขึ้นในใจกระตุ้นให้ออกจากพื้นที่นี้โดยเร็ว


“หมอกพิษ”


มู่เฉินพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เห็นได้ชัดว่าหมอกพิษนี้มีพิษร้ายแรง แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็ไม่สามารถรับได้


เวินชิงเฉวียนพยักหน้าตอบว่า “เล่าลือกันว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นจากการสลายตัวของเกล็ดยาที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังโดยภูตผีเสื้อโอสถ สารพิษนี้มีอานุภาพสูงมาก กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ได้รับบาดเจ็บหนักได้”


มู่เฉินขมวดคิ้ว แต่เมื่อเห็นท่าทางผ่อนคลายของเวินชิงเฉวียน เขาก็ยิ้ม “ดูเหมือนว่าพวกเจ้าเตรียมตัวมาพร้อมนะ”


เวินชิงเฉวียนยิ้มพลางโบกมือ ลำแสงหลายสายก็ยิงเข้าหาทุกคน มู่เฉินคว้าลำแสงสายหนึ่งเอาไว้ เมื่อเปิดฝ่ามือออกก็เห็นเม็ดยาสีฟ้าน้ำแข็งกำจายไอเย็นฉ่ำออกมา ให้ความรู้สึกโปร่งสบายยิ่งนัก


“นี่คือเม็ดยาหัวใจน้ำแข็งเป็นยาแก้พิษ มิหนำซ้ำนี่ยังเป็นผลิตภัณฑ์จากแคว้นหวู่จิ้งฮั่วที่มีราคาค่างวดสูงลิ่ว หนึ่งเม็ดเท่ากับของเหลวจื้อจุนหลายล้านหยดเลยทีเดียว อมไว้ใต้ลิ้นก็จะสามารถสลายพิษหมอกพิษนี้”


“ผลิตภัณฑ์จากแคว้นหวู่จิ้งฮั่วหรือ?”


มู่เฉินจ้องมองเม็ดยาหัวใจน้ำแข็งบนฝ่ามือของเขาด้วยความสนใจขณะที่อุทานด้วยความชื่นชม ในฐานะหนึ่งในสามนักเล่นแร่แปรธาตุชั้นนำของมหาพันภพ เม็ดยาจากแคว้นหวู่จิ้งฮั่วเป็นที่รู้จักกันในชื่อของผลิตภัณฑ์ชั้นสูงของมหาพันภพเลยทีเดียว


เมื่ออมเม็ดยาหัวใจน้ำแข็งเข้าไปในปาก ไอเย็นฉ่ำก็กระจายออกทำให้จิตใจสงบลง


“ไปกันเถอะ ต่อจากนี้ทุกคนก็ระวังตัวกันหน่อย เมื่อเข้าในหมอกพิษก็ถือว่าอยู่ในพื้นที่ของมรดกซึ่งเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยอันตราย นี่จะไม่ง่ายอย่างที่เคยเป็นมาก่อน” เวินชิงเฉวียนเอ่ยเตือน


เมื่อพูดจบนางก็ไม่อ้อยอิ่งทะยานตัวออกไปทันที


มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็ติดตามไป ร่างแสงสิบร่างพุ่งเข้าไปในหมอกพิษมรกต


เมื่อเข้ามาแต่ละคนก็รู้สึกว่าท้องฟ้ามืดหม่นลง นอกจากนี้พวกเขายังรู้สึกถึงไอพิษพยายามที่จะกัดกร่อนร่างกายจากทุกทิศทางเมื่อสัมผัสโดน


ขณะที่ไอพิษเข้าสู่ร่างกาย มู่เฉินก็รู้สึกได้ถึงว่าคลื่นหลิงในร่างลดลง


เขาทำการตรวจสอบก็ตระหนักว่ามีอนุภาคเล็กๆ ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าบุกรุกร่างกายและดูดซับคลื่นหลิงของเขาไป


เมื่อรับรู้สถานการณ์นี้ ใบหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก่อนที่เขาจะทำอะไร ไอเย็นฉ่ำก็ไหลเวียนในร่างกาย อนุภาคเหล่านั้นถูกแช่แข็งกลายเป็นสะเก็ดฝุ่นทันที…


ฮา


ลมหายใจสีขาวขุ่นพรูออกมาจากจมูกของมู่เฉิน บรรจุสะเก็ดของพิษหมอกเอาไว้


“ช่างเป็นพิษที่น่ากลัวจริงๆ!”


ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งเครียดลงหลายส่วน โชคดีที่เวินชิงเฉวียนเตรียมการมาพร้อม มิฉะนั้นเพียงแค่หมอกพิษเพียงอย่างเดียว ก็ทำให้พวกเขาทำอะไรไม่ถูกแล้ว


ฮึ่ม ฮึ่ม


ทว่าขณะที่มู่เฉินกำลังชื่นชมยินดีในใจ ทันใดนั้นก็มีเสียงหึ่งๆ ดังออกมา ทำให้ม่านตาเขาต้องหดลง


มีกลุ่มเมฆสีแดงเข้มเคลื่อนมาอย่างรวดเร็ว เมื่อใกล้เข้ามาเขาก็ตระหนักว่าเมฆนั้นคือฝูงยุงสีแดงเข้มนับไม่ถ้วน…


ยุงฝูงใหญ่ปกคลุมแสงอาทิตย์ แม้ว่าพวกมันจะมีขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ แต่ปากแหลมเล็กของพวกมันก็วูบไหวด้วยแสงสีมรกตที่มีพิษ


ทว่าหลังจากพบว่าหมอกพิษนี้เป็นพิษมากเพียงไร มู่เฉินก็ไม่กล้าที่จะดูถูกอะไรที่นี่แล้ว ทันใดนั้นเขาก็โบกมือคลื่นหลิงไร้ขอบเขตพุ่งออกมาก่อตัวเป็นม่านคลุมห่อหุ้มทุกคนไว้ภายใน


ปัง!


แต่ฝูงยุงก็ยังพุ่งกระหน่ำเข้ามาก่อนที่จะปะทะกับม่านคลุมคลื่นหลิง


ปุ ปุ!


เมื่อเกิดการชนกัน ยุงเหล่านั้นก็ระเบิด เลือดสีแดงเข้มกระเด็นติดเข้ากับม่านคลุม สร้างรูบนม่าน ถ้าไม่ใช่มู่เฉินเทคลื่นหลิงลงไปอย่างต่อเนื่อง ม่านนี้ก็พังทลายไปแล้ว


แต่ถึงกระนั้นท่าทางของมู่เฉินก็ไม่สู้ดี เนื่องจากยุงมีจำนวนมหาศาล เขารู้สึกถึงพลังงานในร่างกายที่หมดลงอย่างรวดเร็ว


เพียงแค่พยายามป้องกันฝูงยุงอย่างเดียว ก็กินพลังงานจำนวนมากแล้ว


“มู่เฉินนี่คือยุงผีพิษ แค่เลือดของพวกมันเพียงอย่างเดียวก็สามารถกัดเซาะคลื่นหลิงได้ ครอบงำมาก!” เวินชิงเฉวียนรีบตะโกนบอก


มู่เฉินพยักหน้าขณะที่รักษาม่านคลุมปกป้องทุกคนให้ผ่านฝูงยุงนี้ไปโดยเร็วที่สุด


แต่ไม่นานความคิดของเขาก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ เพราะเขารู้สึกว่าไม่รู้ด้วยเหตุใดยุงจำนวนมากจับกลุ่มรุมล้อมเข้ามามากขึ้น ทำให้การเคลื่อนไหวของพวกเขายากขึ้น


หากสถานการณ์นี้ยังคงดำเนินต่อไป ความเร็วในการมุ่งหน้าของพวกเขาจะช้าขึ้นอีกหลายส่วน


มู่เฉินขมวดคิ้ว สีหน้ามืดครึ้มลง จากนั้นม่านตาก็หดเกร็งเสียงเย็นส่งผ่านเข้ามาในโสตประสาทของคนอื่นๆ


“สถานการณ์นี้ไม่ถูกต้อง มีคนกำลังใช้ยุงพวกนี้จัดการพวกเรา!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)