หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1289-1292

 บทที่ 1289 ทวีปเซิ่งยวน

ทวีปเซิ่งยวนอยู่ทางตะวันตกไกลโพ้นของมหาพันภพ


ในระดับหนึ่งที่นี่ไม่นับว่าเป็นทวีปได้เต็มปาก แต่เป็นพิภพเขตล่างที่พัฒนาขึ้นจนเป็นมิติที่สามารถเชื่อมโยงกับมหาพันภพได้


ในสมัยโบราณทวีปเซิ่งยวนนี้เป็นหนึ่งในสมรภูมิตัดสินเด็ดขาดระหว่างมหาพันภพและจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ


ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่ามีจอมยุทธ์กี่คนที่ละร่างไว้ในทวีปเซิ่งยวนแห่งนี้ แม้แต่จำนวนจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็เกินมือสองข้างนับ มีวิทยายุทธระดับเสินทงนับไม่ถ้วน แม้แต่อาวุธมหสวรรค์ก็สูญหายไปในนั้น ตลอดช่วงหลายหมื่นปีที่ผ่านมา ทว่าก็มีคนที่โชคดีได้รับมรดกบางอย่างและเปลี่ยนจากคนไม่มีใครรู้จักเป็นจอมยุทธ์โด่งดัง…


เนื่องจากกรณีนี้ในอดีต ทำให้มีผู้คนมากมายในมหาพันภพต้องการลองเสี่ยงโชคดู…


ทว่าแม้ทวีปเซิ่งยวนจะมีปาฏิหาริย์ แต่อันตรายในนั้นก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจจินตนาการได้เช่นกัน เนื่องจากการสงครามสมัยโบราณทำให้มิติที่นี่ไม่มีเสถียรภาพ เกิดสภาพแวดล้อมโหดร้ายทุกประเภท ดังนั้นแม้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มที่ประมาทก็อาจถูกทำลายได้


นอกจากนี้ที่อันตรายที่สุดคือยังมีพวกเผ่าปีศาจปรากฏในทวีปแห่งนี้…


ในสมัยโบราณทวีปเซิ่งยวนถูกครอบครองโดยเผ่าปีศาจ ดังนั้นพวกปีศาจจึงมีเส้นทางเข้าไปในทวีปนี้ตามธรรมชาติ


เป้าหมายของพวกมันก็คล้ายกับจอมยุทธ์มหาพันภพ พวกมันก็มีเหล่านักรบชั้นเยี่ยมที่ทิ้งร่างลงในสมัยโบราณ ดังนั้นพวกมันจึงพยายามที่จะค้นหารับมรดกเพื่อทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น


ด้วยเหตุผลเหล่านี้ทำให้ทวีปเซิ่งยวนเป็นสถานที่เชื่อมโยงระหว่างมหาพันภพและจักรวรรดิปีศาจ ช่วงเวลาที่ทั้งสองฝ่ายปะหน้ากัน พวกเขาจะฟัดกันไม่ยั้งจนกว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะตาย…


ในระดับหนึ่งทวีปเซิ่งยวนก็ถือว่าเป็นแนวหน้าของมหาพันภพกับเผ่าปีศาจเลยทีเดียว


เมื่อพวกมู่เฉินมาถึงทวีปเซิ่งยวนเวลาสองเดือนก็ผ่านไปแล้ว


ระยะทางที่ยาวนานนี้แม้แต่มู่เฉินก็อึ้งไปเล็กน้อย


ตลอดทางพวกเขาพึ่งพาการข้ามมิติของชื่อเหยียนในการเดินทาง แม้ว่าจะไม่เร็วเท่าการผ่านค่ายกลเคลื่อนย้าย แต่มีข้อดีที่ไม่ต้องวิ่งวุ่นตามหาค่ายกลเคลื่อนย้าย


แน่นอนว่าวิธีการเดินทางนี้มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนอย่างชื่อเหยียนที่สามารถทำได้ หากพวกเขาต้องเดินทางด้วยตัวเอง คงต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวอีก


“ที่นี่เหรอทวีปเซิ่งยวน?”


มู่เฉินยืนอยู่บนยอดเขารกร้างขณะมองไกลออกไป มีแต่เพียงความมืดเข้ามาในครรลองสายตา ราวกับว่าบริเวณนี้ถูกบีบกดไว้


คลื่นหลิงระหว่างฟ้าดินเหมือนดิ่งลง ไม่มีชีวิตชีวาเท่ากับทวีปอื่นๆ ของมหาพันภพ


เมื่อเทียบกับมหาพันภพ เป็นเรื่องยากสำหรับทุกคนที่จะซึมซับคลื่นหลิงที่นี่เข้าไป


สายฟ้าสีแดงเข้มแล่นแปลบปลาบในบางครั้ง รอยแตกพล่านไปทั่วพื้นดิน ซึ่งอัดแน่นด้วยความผันผวนรุนแรงที่อาจทำให้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนยังหวาดกลัวได้


ทวีปแห่งนี้ดูเหมือนจะถูกห่อหุ้มด้วยความรุนแรง เต็มไปด้วยอันตรายทุกฝีก้าว


“เมื่อนานมาแล้วทวีปเซิ่งหลิงเป็นสถานที่ในการฝึกฝน แต่ต่อมาถูกครอบครองโดยเผ่าปีศาจและถูกปนเปื้อนโดยรัศมีปีศาจ แม้ว่ามหาพันภพจะพยายามที่จะชำระล้างหลายครั้ง แต่ก็ยังคงยากมากสำหรับที่นี่ที่จะกลับคืนสู่สถานะเดิม” ชื่อเหยียนถอนหายใจอยู่ข้างๆ


มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็ถอนหายใจด้วย จักรวรรดิปีศาจต่างมิติถือได้ว่าเป็นศัตรูของมวลมนุษย์ในมหาพันภพ เนื่องจากวิธีการของพวกมันครอบงำมากเกินไป ภายใต้การปนเปื้อนของไอปีศาจ แม้แต่คลื่นหลิงก็จะสูญเสียไป เมื่อเวลาผ่านไปคลื่นหลิงในมหาพันภพก็อาจจะสูญพันธุ์


“ผู้อาวุโสแดนเซิ่งยวนอยู่ในทวีปนี่เหรอขอรับ?” มู่เฉินถาม


ชื่อเหยียนพยักหน้า “นี่เป็นเพียงชั้นนอกของทวีปเซิ่งยวน ส่วนแดนเซิ่งยวนอยู่บริเวณใจกลางทวีป ซึ่งมิติบริเวณนั้นได้แตกสลายและถูกห่อหุ้มด้วยพายุมิติกาลเวลา เราต้องรอให้พายุอ่อนตัวลงก่อน ข้าถึงจะส่งพวกเจ้าเข้าไปได้”


แม้แต่ชื่อเหยียนก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งเครียดเมื่อพูดเกี่ยวกับพายุนั้น


มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็แอบเดาะลิ้น เนื่องจากพวกเขาไม่รู้ว่าพายุนั่นทรงพลังเพียงใดถึงทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนหวาดผวาได้


“ที่จริงพลังทำลายล้างพายุเป็นเรื่องรองนะ เรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าคือมีความเป็นไปได้ที่จะส่งเราไปยังโลกปีศาจ” ชื่อเหยียนส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้เมื่อเห็นท่าท่างของทั้งสี่


“ทวีปนี้เป็นจุดตัดระหว่างมหาพันภพกับจักรวรรดิปีศาจ ดังนั้นต่อให้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็มีโอกาสตายที่นี่ ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว”


ในเวลานี้มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็รู้ว่าทำไมชื่อเหยียนจึงหวาดกลัว เพราะแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่ทรงพลังยังไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดี หากพวกเขาถูกส่งไปยังโลกปีศาจและเผชิญหน้ากับเหล่าราชันปีศาจอีกด้านหนึ่ง


“ลำดับแรกเราแวะที่เมืองเซิ่งยวนก่อน ที่นั่นเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของทวีปเซิ่งยวน”


ชื่อเหยียนโบกมือ คลื่นหลิงก็ห่อหุ้มทั้งสี่คนเอาไว้ ก่อนที่พวกเขาจะเปลี่ยนเป็นลำแสงสีแดงเข้มพุ่งทะลุผ่านสายฟ้าหนาสีแดงเข้มไป


แม้ว่าทวีปเซิ่งยวนจะเต็มไปด้วยอันตราย แต่ตราบใดที่พวกเขาไม่พบกับพายุมิติกาลเวลา ชื่อเหยียนก็สามารถพุ่งทะลุผ่านอุปสรรคนานัปการด้วยความแข็งแกร่งที่มี


ภายใต้การนำของชื่อเหยียน ในเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงทุกคนก็ค่อยๆ เห็นโครงสร้างของเมืองใหญ่ปรากฏในสายตา


เมื่อฟ้าดินที่มืดมิด ทำให้เมืองนี้ดูราวกับสัตว์อสูรมหึมาหมอบบนพื้น ซึ่งปลดปล่อยแรงกดดันที่ไม่อาจพรรณนาได้


ขณะที่พวกเขาเข้าใกล้ มู่เฉินก็พบว่ามีปราการขนาดมหึมาล้อมรอบเมืองทั้งเมือง ก่อให้เกิดความผันผวนของพลังงานหลิงที่น่าสะพรึงกลัว


“นั่นค่ายกลระดับต้าจงซือ!”


หัวใจของมู่เฉินอดสั่นไหวไม่ได้เมื่อมองปราการ จากความสำเร็จในปัจจุบันของเขาในฐานะหลิงเจิ้นจงซือ เขาสามารถบอกได้ว่านี่เป็นค่ายกลระดับต้าจงซือเพียงแค่เหลือบตามองครั้งเดียว


นอกจากนี้ค่ายกลก็ไม่ได้อ่อนแอ แม้แต่ในระดับต้าจงซือก็ตาม


“ค่ายกลนี้ถูกสร้างขึ้นโดยผู้เฒ่าเทียนเจิ้นในสมัยโบราณ ฮ่าๆ ผู้อาวุโสคนนี้เป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่ง แม้แต่ในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน เขาก็อยู่ในอันดับต้นๆ”


“ต่อให้ข้าจะใช้กำลังเต็มที่ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำลายมัน” ชื่อเหยียนยิ้ม


“หลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่ง?!”


ทั้งสี่คนตกตะลึง โดยเฉพาะมู่เฉินกับหลิงซี ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกศาสตร์ค่ายกลพวกเขารู้ว่าบุคคลที่เรียกว่า ‘หลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่ง’ น่ากลัวเพียงใด


เพราะระดับหลิงเจิ้นต้าจงซือก็แบ่งออกได้เป็นสามขั้นเหมือนระดับเทียนจื้อจุนได้แก่ หลิง-เซียน-เซิ่ง สำหรับหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่งเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งเลยทีเดียว


นั่นคือการดำรงอยู่ของจุดสุดยอดในมหาพันภพ


“ไม่น่าแปลกใจที่ข้าจะอนุมานไม่ได้ ถ้าข้าฝืนหัวใจก็จะอ่อนล้าเต็มที” หลิงซีถอนหายใจ ในฐานะหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียน นางสามารถหาช่องโหว่ของค่ายกลทั่วไปได้เพียงมองในแวบเดียว ทว่าหากนางฝืนผ่านค่ายกลนี้ นางอาจจะถูกโจมตีกลับ


“ทวีปเซิ่งยวนเป็นจุดเชื่อมต่อกับจักรวรรดิปีศาจ เมืองเซิ่งยวนนี้มีหน้าที่ในการจับตามองและข่มขู่ ดังนั้นจึงต้องใช้พลังปกป้องที่แข็งแกร่งที่สุด” ลั่วหลีพยักหน้าขณะอธิบาย


“ไปกันเถอะ”


ชื่อเหยียนพยักหน้า จากนั้นเขาก็พาทั้งสี่เข้าไปในเมืองใหญ่อย่างรวดเร็ว ผ่านเข้าสู่ปราการแสงที่ปล่อยความผันผวนรุนแรง


ขณะที่ผ่านแถวแสง มู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นลึกล้ำสำรวจร่างกายของเขา ภายใต้การสำรวจความลับใดๆ ที่เขาครอบครองก็จะถูกเปิดเผยทันที


มู่เฉินรู้ว่านี่จะต้องเป็นการตรวจสอบ ถ้าพบเผ่าปีศาจเมื่อไรก็จะเกิดการโจมตีทำลายล้างทันที


เมื่อทั้งหมดร่อนลงในเมือง มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็ตระหนักว่าเมืองนี้รุ่งเรืองและคึกคักนักจนคาดไม่ถึง ถนนเต็มไปด้วยเสียงที่พวยพุ่งขึ้นสู่ก้อนเมฆ


นอกจากนี้กลุ่มของมู่เฉินยังตระหนักว่ามีคนมากกว่าครึ่งหนึ่งที่มีความผันผวนของคลื่นหลิงที่ทรงพลัง สามารถระบุได้ว่าพวกเขามาถึงระดับตี้จื้อจุนแล้ว…


แต่ในไม่ช้าเขาก็คิดได้ว่าคนที่กล้ามาที่นี่จะอ่อนแอได้อย่างไร?


สายตาของพวกเขากวาดไปที่ใจกลางเมือง แผ่นศิลาโบราณขนาดมหึมายืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ


ศิลากระจายความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลัง มีอักษรสีแดงเข้มสลักที่จุดสูงสุด วูบไหวด้วยแสงสีแดงสด เปล่งรัศมีเยือกเย็นจนน่าขนลุก


“ที่ประกาศเกียรติคุณ—ศิลาสังหารปีศาจ!”


นอกจากนี้ด้านข้างยังมีตัวอักษรทองคำแถวหนึ่งที่เปล่งออกมาอย่างไม่อาจพรรณนาได้


“จัดตั้งโดยวังมหาพันภพ”


“วังมหาพันภพ?”


สายตาของมู่เฉินสั่นไหวขณะที่พึมพำ “ใช้ชื่อมหาพันภพเลยเหรอ? ขั้วอำนาจอะไรกัน? ครอบงำเชียว”


ชื่อเหยียนเผยรอยยิ้มแปลกประหลาดสายหนึ่งขณะที่มองชื่อวังมหาพันภพแวบหนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “แน่นอนพวกเขาครอบงำนัก เพราะในมหาพันภพนี่คือการดำรงอยู่ที่เหนือล้ำยิ่งกว่าทุกขั้วอำนาจและเผ่าโบราณ…”


“ขั้วอำนาจที่ทรงพลังที่สุดในมหาพันภพ…”


บทที่ 1290 วังมหาพันภพ ราชันสังหารปีศาจ

“ขั้วอำนาจที่ทรงพลังที่สุดในมหาพันภพ?”


หัวใจของพวกมู่เฉินสั่นรัวเมื่อได้ยินประโยคนี้จากชื่อเหยียน แต่ละคนแลกเปลี่ยนสายตากัน พวกเขาไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน ขุมกำลังนี้ทรงพลังยิ่งกว่าเผ่าโบราณทั้งห้าและขั้วอำนาจอื่นๆ ในมหาพันโลกอีกเหรอ?


“ไม่ทราบว่าใครเป็นประมุขวังมหาพันภพ?”


มู่เฉินอดถามขึ้นมาไม่ได้ การที่จะสามารถสร้างขุมกำลังที่น่าสะพรึงกลัวดังกล่าว เจ้าวังจะต้องเป็นสุดยอดจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในมหาพันภพล่ะมั้ง?


“ปัจจุบันวังมหาพันภพไม่มีประมุข… แต่ในสมัยโบราณมีอยู่คนหนึ่งซึ่งก็คือเทพจักรพรรดินิรันดร์” ชื่อเหยียนส่ายหัวไปมา


“เทพจักรพรรดินิรันดร์?”


ม่านตาของมู่เฉินหดลงในทันที เนื่องจากตัวเขารู้จักเทพจักรพรรดินิรันดร์จากจักรพรรดิฟ้าที่เคยฝึกฝนร่างมหาเทพนิรันดร์


เพียงแต่มู่เฉินไม่คิดว่าจอมยุทธ์ผู้นี้จะเป็นผู้ก่อตั้งวังมหาพันภพขึ้น


“แต่ทำไมพวกเราไม่ได้ยินเรื่องขั้วอำนาจนี้ในมหาพันภพเลย?” หลิงซีรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติจึงได้เอ่ยถาม


ชื่อเหยียนหัวเราะร่วน “เพราะนี่คือขั้วอำนาจที่จะมีอยู่จริงก็ต่อเมื่อเผชิญหน้ากับการรุกรานของเผ่าปีศาจต่างมิติ ในเวลาที่สงบสุขเช่นนี้วังมหาพันภพก็เป็นเพียงสัญลักษณ์เท่านั้น”


กลุ่มมู่เฉินเข้าใจถ่องแท้ ที่แท้วังยิ่งใหญ่นี้ก็ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อประจัญบานกับเผ่าปีศาจต่างมิติโดยเฉพาะ แต่ทำไมถึงเป็นขุมกำลังทรงพลังที่สุดในมหาพันภพกัน?


“ตามกฎที่สืบทอดมาตั้งแต่โบราณ จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนส่วนใหญ่ในมหาพันภพจะถูกจดบันทึกไว้ในวังแห่งนี้ หลังจากการตรวจสอบ พวกเขาก็จะกลายเป็นอาคันตุกะของวังที่ยิ่งใหญ่นี้”


“และจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งจะได้รับตำแหน่งผู้อาวุโส แต่ถ้าในกรณีที่มหาพันภพต้องเผชิญกับอันตราย อาคันตุกะผู้ทรงเกียรติและผู้อาวุโสของวังก็ไม่จำเป็นต้องรับหน้าที่อะไร”


“การรวมตัวเช่นนี้ถือว่าทรงพลังที่สุดในมหาพันภพหรือยัง?” ชื่อเหยียนมองทั้งสี่แบบล้อเล่น


มุมปากของมู่เฉินกระตุก ที่แท้ฉายาขั้วอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดก็ได้มาเพราะเหตุนี้ แต่หลังจากที่คิดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่อง เขาก็รู้สึกได้ว่าวังมหาพันภพน่ากลัวเพียงใด นั่นเป็นเพราะในระดับหนึ่งวังนี้ก็คล้ายกับพันธมิตรมหาพันภพนั่นเอง เมื่อมหาพันภพเผชิญหน้ากับอันตราย พวกเขาก็จะรวมตัวกันเพื่อต่อสู้กับศัตรู


ไม่ว่าจะช่วงเวลาไหน พลังที่เป็นหนึ่งเดียวกันจะยิ่งใหญ่ที่สุดเสมอ


เผชิญหน้ากับภัยคุกคามที่แข็งแกร่งอย่างจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ มหาพันภพต้องรวมตัวกันเพื่อต่อกรกับศัตรู ดังนั้นสามารถบอกได้ถึงการมองการณ์ไกลของเทพจักรพรรดินิรันดร์ผู้ก่อตั้งวังแห่งนี้


“แม้ว่าวังมหาพันภพจะเป็นเพียงสัญลักษณ์ในตอนนี้ แต่ก็อย่าประมาท พลังที่ครอบครองยังคงเกินจินตนาการของพวกเจ้า เพียงแค่ปกติไม่ค่อยได้แสดงให้เห็นเท่านั้น”


“นอกจากนี้วังแห่งนี้ยังมีสถานะสูงส่งในมหาพันภพ แม้แต่เผ่าโบราณก็ต้องสุภาพต่อสมาชิก บางครั้งแค่ตำแหน่งอาคันตุกะของวังก็น่ากลัวยิ่งกว่าผู้อาวุโสเผ่าโบราณทั้งห้าซะอีก”


เมื่อพูดถึงอาคันตุกะ ชื่อเหยียนก็ดูภูมิใจ ดูท่าตัวเขาก็คงเป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน


เมื่อพูดถึงจุดนี้ชื่อเหยียนก็เหลือบมองไปที่มู่เฉิน “ถ้าเจ้าได้เป็นอาคันตุกะของวังนี้ แม้แต่เผ่าฝูถูก็ไม่สามารถทำอะไรเจ้าได้”


เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดดังกล่าว เขาก็ส่ายหัวอย่างจนใจ การเป็นอาคันตุกะหมายถึงตัวเขาจะต้องเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก่อน และถ้าเขาบรรลุขุมพลังดังกล่าวจริงละก็ เขาจะกลัวเผ่าฝูถูไปทำไม?


ชื่อเหยียนรู้ว่ามู่เฉินกำลังคิดอะไรอยู่ เขาคลี่ยิ้ม “การเป็นอาคันตุกะของวังไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเสมอไป”


“หืม?”


มู่เฉินรู้สึกประหลาดใจ หมายถึงมีวิธีอื่นเหรอ? ตำแหน่งในวังสูงตระหง่านในมหาพันภพนัก หากสามารถเป็นอาคันตุกะได้และไม่ถูกจำกัด เห็นได้ชัดว่าเป็นบางสิ่งที่เป็นประโยชน์โดยไม่มีอันตรายใดๆ แฝง


ชื่อเหยียนชี้ไปที่ศิลาสังหารปีศาจ


มู่เฉินมองตามไป ก่อนหน้านี้เขาได้แต่ตกใจเมื่อเห็นชื่อวังมหาพันภพ ตอนนี้พอมองไปที่นั่นอีกครั้งถึงได้เห็นรายชื่อที่ปรากฏขึ้นบนศิลา


แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจมากที่สุดคือชื่อที่อยู่ด้านบนที่วาววับด้วยแสงสีม่วงทองเปล่งรัศมีที่น่าขนลุกภายใต้แสงอาทิตย์


ราชันสังหารปีศาจ—ฉิงเทียน


ชื่อที่อยู่ด้านบนสุดของแผ่นศิลาประหนึ่งจักรพรรดิ ผู้คนมากมายมองดูชื่อด้วยดวงตาเปล่งประกายด้วยความเคารพ


ใต้ชื่อฉิงเทียนมีชื่อนับไม่ถ้วนกะพริบวูบวาบ


มือสังหารปีศาจขั้นสูง—หลิวตี้เฟิง


มือสังหารปีศาจขั้นสูง—หลู่ซัน



มือสังหารปีศาจขั้นกลาง—ลู่หลิงหยู่



มือสังหารปีศาจขั้นต้น—หลู่ซู



มีชื่อมากมายสลักอยู่บนศิลาสังหารปีศาจ นอกจากนี้เหมือนยังมีชื่อโผล่มาอยู่เรื่อยซึ่งระดับหน้าชื่อก็ได้เปลี่ยนแปลงไป


มู่เฉินมองศิลาสังหารปีศาจเป็นเวลานาน ก่อนจะเหลียวหาชื่อเหยียน ชัดว่าไม่แน่ใจเกี่ยวกับประโยชน์ของมัน


“ทุกคนที่เข้ามาในทวีปเซิ่งยวนจะได้ป้ายสังหารปีศาจจากวังมหาพันภพ ทุกครั้งที่สามารถฆ่านักรบปีศาจได้ ก็จะได้รับรางวัลเป็นคะแนนสังหาร ซึ่งสามารถแลกเป็นสมบัติในวังได้ มิหนำซ้ำตราบใดที่เจ้ามีคะแนนมากพอก็สามารถแลกเปลี่ยนได้กระทั่งวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดหรือร่างเทห์สวรรค์ที่อยู่ในยี่สิบอันดับแรก!”


“สามารถแลกวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอด?” มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะตะลึง เขารู้ดีว่าแม้วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดจะไม่ติดในสามสิบหกกระบวนท่าในตำนาน แต่กระนั้นวิชาเหล่านี้ก็ไม่ธรรมดา จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนส่วนใหญ่ก็ใช่ว่าจะมีในครอบครอง


แต่ตอนนี้วังมหาพันภพกลับสามารถให้พวกเขาแลกด้วยคะแนนสังหาร นี่จะไม่ทำให้ผู้คนตกตะลึงได้อย่างไร


ไม่ต้องพูดถึงยี่สิบอันดับแรกของร่างเทห์สวรรค์ที่ยิ่งน่าตกใจกว่าเดิม เพราะร่างเทห์สวรรค์แบบนั้นหายากยิ่งกว่ายาก!


“ตามกฎของวัง ตราบใดที่คะแนนสูงถึงพันคะแนนก็จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งมือสังหารปีศาจขั้นต้นเป็นขั้นกลาง สามพันคะแนนจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นมือสังหารขั้นสูงและจะสามารถเป็นอาคันตุกะของวังได้ แม้ว่าเจ้าจะไม่ใช่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ตาม”


เมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายนี้ มู่เฉินก็ได้เข้าใจว่านี่คือสิ่งที่ชื่อเหยียนสื่อถึง ตราบใดที่เขามีคะแนนสังหาร เพียงพอ เขาก็จะสามารถเป็นอาคันตุกะของวังมหาพันภพได้


แต่ดูเหมือนว่าการจะได้รับสามพันคะแนน ไม่ใช่เรื่องง่ายเนื่องจากมู่เฉินสังเกตเห็นว่าจำนวนมือสังหารขั้นสูงมีไม่เกินยี่สิบคน


“ตามกฎการฆ่าสมาชิกเผ่าปีศาจระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นจะได้รางวัลห้าสิบคะแนนสังหาร หนึ่งร้อยคะแนนสำหรับระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย และสองร้อยคะแนนสำหรับระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม… พวกนักรบปีศาจระดับแม่ทัพจอมพลมีค่าสามพันคะแนน นักรบราชันปีศาจที่มีพลังเทียบเท่าระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนมีห้าพันคะแนน สุดท้ายการสังหารนักรบราชันปีศาจระดับเทียนจะได้ถึงหมื่นคะแนน”


เมื่อได้ยินคำพูดของชื่อเหยียน กลุ่มมู่เฉินก็ตะลึง พวกเขาคาดไว้แล้วว่าคะแนนสังหารคงจะไม่ง่ายต่อการได้รับ แต่พวกเขาไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องยากเพียงนี้


จากการคำนวณ พวกเขาจะต้องสังหารระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นยี่สิบคนหรือระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายสิบคนถึงจะได้ตำแหน่งมือสังหารขั้นกลาง?


สำหรับการไปถึงมือสังหารขั้นสูง พวกเขาจะต้องฆ่าสมาชิกเผ่าปีศาจต่างมิติสิบห้าคนที่มีขุมพลังเทียบเท่าระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม


นี่ปีศาจนะ ไม่ใช่โรงฆ่าไก่ ดังนั้นพวกเขาจะประสบความสำเร็จได้อย่างง่ายดายได้อย่างไร?


ดังนั้นบอกได้เลยว่ายากแค่ไหนที่จะได้ตำแหน่ง ไม่น่าแปลกใจที่มีรายชื่อมือสังหารปีศาจขั้นสูงเพียงยี่สิบคนเท่านั้น ไม่รู้ด้วยว่าพวกเขาใช้เวลานานแค่ไหนในการสะสมจนถึงตอนนี้


มู่เฉินปาดเหงื่อบนหน้าผากถามว่า “ถ้างั้นต้องมีคะแนนสังหารเท่าไรถึงจะเข้าสู่ตำแหน่งราชันสังหารปีศาจน่ะ?”


“ราชันสังหารปีศาจเหรอ” ชื่อเหยียนถอนหายใจ “จริงๆ แล้วเป็นเรื่องง่ายเพียงมีหนึ่งหมื่นคะแนนสังหาร ก็แค่ฆ่านักรบราชันปีศาจระดับเทียนสักตัว”


พวกมู่เฉินรู้สึกว่าหนังหัวเจ็บจี๊ดไปหมด ฆ่านักรบราชันปีศาจระดับเทียน? พูดฟังดูง่ายเนอะ การมีอยู่ในระดับนั้นเป็นสุดยอดนักรบ การสูญเสียคนหนึ่งจะส่งผลกระทบยิ่งใหญ่ต่อทั้งมหาพันภพหรือเผ่าปีศาจเลยทีเดียว


“ผู้อาวุโส แล้วฉิงเทียนคนนั้นฆ่านักรบราชันปีศาจระดับเทียนได้เหรอ?” ลั่วหลีอดถามไม่ได้


“ฉิงเทียนเหรอ”


ใบหน้าของชื่อเหยียนเปล่งประกายด้วยความนับถือขณะที่กล่าว “หลายปีก่อนตอนที่ฉิงเทียนยังเยาว์วัยเหมือนพวกเจ้า เขานำทีมเข้าสู่ทวีปเซิ่งยวนเพื่อฝึกฝน แต่เนื่องจากพวกเขาพบสมาชิกเผ่าปีศาจ กลุ่มของเขาถูกฆ่าล้าง ทุกคนเสียชีวิตหมดยกเว้นฉิงเทียนที่รอดมาได้”


“หลังจากนั้นเขาก็อยู่ในทวีปเซิ่งยวนไปตลอดสองร้อยปี ช่วงเวลานั้นเขาเหมือนคนบ้าไปทุกที่ที่มีข่าวการปรากฏตัวของเผ่าปีศาจ”


“ระหว่างสองร้อยปีนั้น เขาก็บรรลุระดับเทียนจื้อจุน หลังจากนั้นเขาก็โชคร้ายถูกส่งไปยังโลกปีศาจ ขณะที่ทุกคนคิดว่าเขาไม่มีโอกาสกลับมา จู่ๆ เขาก็ปรากฏตัวพร้อมกับศพของราชันปีศาจ”


“หลังจากนั้นเขาก็ได้รับตำแหน่งราชันสังหารปีศาจคนแรกตั้งแต่ยุคโบราณ… และไม่มีใครสามารถเอาชนะเขาได้”


เมื่อชื่อเหยียนจบคำพูด พวกมู่เฉินก็ตะลึงงันเป็นเวลานาน ก่อนที่จะอดแลกเปลี่ยนสายตากันไม่ได้ พวกเขาเห็นความตกใจในแววตาของกันและกัน


ความสำเร็จเช่นนี้


ราชันสังหารปีศาจผู้นี้เป็นจอมยุทธ์ยอดเยี่ยมแท้จริง!


บทที่ 1291 คนรู้จัก

ชื่อเหยียนลูบเคราพลางทอดถอนหายใจพูดขึ้น


“เวลานี้ฉิงเทียนเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของวังมหาพันภพ ก่อนที่ประมุขคนต่อไปจะปรากฏ เขามีหน้าที่รับผิดชอบทุกอย่างในวัง บางทีในมหาพันภพชื่อของเขาอาจไม่ดังพอกับเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม แต่ในกลุ่มจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนชื่อเสียงของเขาไม่อ่อนแอกว่าทั้งสองเลย”


ขณะที่พวกมู่เฉินตกตะลึงจากความสำเร็จที่น่าตกใจของราชันสังหารปีศาจ—ฉิงเทียน แม้แต่มู่เฉินและคนอื่นๆ ยังได้ยินความเคารพในน้ำเสียงนั่น


มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ แม้ว่าจะไม่เคยได้พบกับราชันสังหารปีศาจฉิงเทียนคนนี้มาก่อน แต่ในเมื่ออีกฝ่ายสามารถมีสถานะสูงส่งเช่นนี้ในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ต้องทรงพลังอย่างมากแน่ อาจมากจนเทียบเคียงกับเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามได้


มหาพันภพเป็นสถานที่ที่มีมังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบแท้จริง


“ผู้อาวุโสชื่อเหยียน เราจะได้รับป้ายสังหารปีศาจนี้ได้อย่างไร?” มู่เฉินถาม ชัดว่าผลประโยชน์จากป้ายสังหารปีศาจทำให้เขาสนใจอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่ให้สิทธิ์พวกเขาในฐานะอาคันตุกะของวังมหาพันภพ แต่พวกเขายังสามารถใช้แลกเปลี่ยนกับสมบัติต่างๆ ได้อีกด้วย


เพราะตอนนี้นอกเหนือจากวิชาสามพิสุทธิ์ เขาก็ไม่มีวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดอีก หากเขาสามารถได้รับจากวังมหาพันภพก็จะเป็นการเพิ่มศักยภาพได้เป็นอย่างดี


เมื่อเห็นความสนใจที่เพิ่มขึ้นของพวกมู่เฉิน ชื่อเหยียนก็ยิ้มก่อนที่จะหันเดินไปที่ใจกลางเมือง โดยมีทั้งสี่ติดตามมาที่ข้างหลัง


ทั้งกลุ่มเดินเข้าเมืองอย่างรวดเร็ว เกือบครึ่งชั่วโมงต่อมาชื่อเหยียนก็ชะลอความเร็วลง


ตอนนี้กลุ่มมู่เฉินก็พบว่าพวกเขามายืนอยู่ใต้ศิลาสังหารปีศาจแล้ว มีหอสีดำอยู่ใต้ศิลากระจายแรงกดดันหนักหน่วงออกมา


“นี่คือหอหมื่นพันซึ่งเป็นสาขาของวังมหาพันภพตั้งอยู่ในแดนเซิ่งยวนนี้เพื่อสังเกตการเคลื่อนไหวของเผ่าปีศาจ” ชื่อเหยียนกล่าวขณะที่ชี้ไปที่หอสีดำ


เมื่อชื่อเหยียนพูดจบ เขาก็เดินไปที่หอหมื่นพันพร้อมกับทั้งสี่ติดตามมา


เมื่อทั้งกลุ่มเข้ามาในหอ ทิวทัศน์ก็กว้างขึ้นทันที ชั้นแรกใหญ่โตมากมีอัญมณีใสลอยอยู่บนท้องฟ้า ฉายแสงส่องสว่างไปทั่วบริเวณ


ที่มุมขนาดใหญ่ของหอราวกับเป็นร้านอาหารที่มีผู้คนเข้าออกตามด้วยเสียงทุกประเภท เมื่อมู่เฉินเพ่งสายตาไปก็ต้องหดม่านตาลง


มู่เฉินสามารถบอกได้ว่าพวกเขาส่วนใหญ่ปล่อยคลื่นหลิงทรงพลังผันผวน นอกจากนี้ยังมีไอสังหารท่ามกลางความผันผวน ชัดว่าทุกคนต่างเคยผ่านการต่อสู้ด้วยชีวิตและความตายมาแล้ว


เมื่อเข้ามา พวกเขาก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมาย แต่เห็นได้ชัดว่าความสนใจส่วนใหญ่เน้นไปที่ลั่วหลี


เนื่องจากรูปลักษณ์และกิริยาของลั่วหลี ทำให้นางเป็นที่สนใจในทุกที่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสถานที่ที่ผ่านการต่อสู้ความเป็นตาย เพียงแค่แตกต่างจากสายตาตกใจหลงใหลทั่วไป สายตาที่นี้ไม่ได้รับการควบคุมมากกว่า


รับรู้สายตาเหล่านั้นคิ้วของลั่วหลีก็เริ่มมุ่นเข้าหากัน


แต่ก่อนที่นางจะพูดอะไร มู่เฉินก็ปราดมายืนตรงหน้าเพื่อปิดกั้นสายตาเหล่านั้น ขณะเดียวกันเขาก็จ้องเขม็งไปที่บริเวณนั้นโดยไม่พูดมากความ ม่านตาสีดำของเขากะพริบด้วยจิตสังหารที่รั่วไหลออกมาจากกึ่งกลางคิ้ว ท่าทางเขาราวกับยมทูตเลยทีเดียว


ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มู่เฉินก็มีประสบการณ์การต่อสู้เป็นตายนับไม่ถ้วน จิตสังหารที่อยู่ในส่วนลึกของกระดูกจึงไม่ได้อ่อนแอกว่าจอมยุทธ์ในแดนเซิ่งยวน เพียงแค่ปกติเขาควบคุมไว้เกือบตลอดเวลา ถ้าเขาปลดปล่อยก็สามารถส่งความรู้สึกหนาวสะท้านได้เลย


ตอนแรกผู้คนก็ไม่พอใจที่มู่เฉินปิดกั้นสายตาของพวกเขา แต่หลังจากรู้ถึงไอสังหารที่มาจากเขา ไอเย็นเยือกก็พล่านไปตามสันหลัง พวกเขาถอนสายตาอยากได้ใคร่มีออกไป ทุกคนจ้องมองมู่เฉินด้วยความตกใจ เพราะพวกเขาไม่คิดว่าชายหนุ่มอ่อนวัยผู้นี้จะมีไอสังหารเข้มข้นปานนี้


“นั่นคือกองสรรหา คนที่ต้องการตามล่าสมาชิกเผ่าปีศาจในแดนเซิ่งยวนมักจะออกกันไปเป็นกลุ่ม ไม่เช่นนั้นโอกาสที่จะมีชีวิตรอดจะน้อยยิ่งนัก”


“ดังนั้นทุกคนที่มาสมัครที่นี่ล้วนมีฝีมือใช้ได้ ไม่เคยขาดจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายเลย…” ชื่อเหยียนอธิบายขณะเดินเข้าไปที่ส่วนลึกของหอ มีโต๊ะกั้นพร้อมกับหน้าจอแสงกะพริบอยู่ตลอดเวลา ชัดว่ามีหลักการทำงานเหมือนกับศิลาสังหารปีศาจด้านนอก


ผู้อาวุโสสวมชุดสีเทาคนหนึ่งนั่งขี้เกียจอยู่ที่โต๊ะกั้น ท่าทางง่วงเหงาหาวนอน ราวกับว่าไม่สามารถตื่นได้เกือบตลอดเวลา


“ปัง!”


ฝ่ามือของชื่อเหยียนกระแทกไปบนโต๊ะ เสียงร้องตะโกนออกมาว่า “แพะแก่ขี้เซาหยุดนอน เริ่มทำงานได้แล้ว!”


ชายชราชุดสีเทาสะดุ้งโหยง เปิดตาขึ้นเล็กน้อยมองชื่อเหยียน “แพะแก่ขี้เมา แกตะโกนหาอะไร! ยังไม่ตายอีกเหรอ?”


“ฮ่าๆ ข้าตายหลังแกแน่นอน ฟันธง” ชื่อเหยียนตอบแบบไม่สน ก่อนโบกมือให้พวกมู่เฉินเดินเข้ามา “เอาป้ายสังหารปีศาจให้พวกเขาหน่อย”


“อ่า แพะแก่คนนี้เป็นผู้ดูแลสาขานี้” เวลาเดียวกันเขาก็แนะนำชายชราชุดเทาให้กับพวกมู่เฉินรู้จัก


เมื่อมู่ทั้งสี่ได้ยิน หัวใจก็เต้นไม่เป็นส่ำ ไม่คิดว่าชายแก่ที่ดูไม่สะดุดคนนี้จะเป็นผู้ดูแล หากชื่อเหยียนไม่ได้บอก พวกเขาคงคิดว่าชายชราคนนั้นเป็นพนักงานต้อนรับธรรมดา


แต่ละคนกวาดมองชายชราด้วยความอยากรู้ ทว่าไม่มีความแปรปรวนของคลื่นพลังงานใดๆ จากร่างชายชราเลย เขาดูเหมือนคนธรรมดาที่ไม่เคยฝึกขุมพลังมาก่อน


แต่ชัดว่าไม่ใช่อย่างที่เห็นแน่นอน…


ถ้าเป็นเช่นนี้การที่สามารถดึงพลังงานกลับคืนจนถึงจุดที่ไม่มีการรั่วไหลใดๆ นี่เป็นสิ่งที่เพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้นที่ทำได้ กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ไม่สามารถทำได้


มู่เฉินและคนอื่นๆ แลกเปลี่ยนสายตาด้วยหัวใจสั่นไหว ไม่น่าแปลกใจที่ชื่อเหยียนบอกว่าอย่าถือว่าวังมหาพันภพเป็นสัญลักษณ์เท่านั้น ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็น่ากลัวเช่นกัน


ชายชราจ้องมองที่กลุ่มมู่เฉิน ก่อนจะมองชื่อเหยียนด้วยความประหลาดใจ “เจ้าแพะแก่ดูเหมือนว่าเจ้ามาตามหาวิชาช่องแสงวิญญาณอีกแล้วสินะ แต่คนทั้งหมดที่เจ้าเลือกท่าทางบ่มิไก๊สักเท่าไรนะ”


ใบหน้าของชื่อเหยียนมืดครึ้มทันที “พูดราวกับว่าคนอื่นประสบความสำเร็จไปแล้ว!”


ชายชราชุดเทายิ้มกริ่ม “ข้าแค่แปลกใจว่าทำไมเจ้าถึงเลือกแม่นางน้อยขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นมาเช่นนี้”


เขาบอกได้ทันทีว่าลั่วหลีเป็นคนที่ถูกเลือกโดยชื่อเหยียน ไม่ใช่อีกสามคน


ชื่อเหยียนยิ้มกริ่ม “การได้รับวิชาช่องแสงวิญญาณนั้นไม่ได้พึ่งพาแค่ความแข็งแกร่ง แต่ต้องดูที่พรสวรรค์และโชคชะตา แม่นางน้อยคนนี้เหมาะสมที่สุดที่ข้าเลือกมาเลยทีเดียว”


“เหรอ?” ชายชราชุดทำเสียงกังขา แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาโบกมือพวกมู่เฉินก็รู้สึกเจ็บจี๊ดที่ปลายนิ้ว ก่อนที่เลือดสี่หยดจะลอยไปหาชายชราชุดเทา


ทั้งสี่อดไม่ได้ที่จะสีหน้าเปลี่ยนแปลง ขณะที่พวกเขามองชายชราชุดเทาด้วยความหวาดผวา ชัดว่าวิธีกลั่นเลือดจากพวกเขาของชายผู้นี้ครอบงำนัก


ชายชราชุดเทาเมินการป้องกันพลังงานของพวกเขาอย่างเต็มที่ ควบคุมเลือดในร่างกายของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย


“ฮ่าๆ”


ชายชรายิ้มจากนั้นก็สะบัดนิ้ว แสงหลิงสี่สายบินออกมา ห่อหุ้มเลือดสี่หยดเอาไว้ ก่อนจะรวมตัวเป็นป้ายสี่ป้ายบินกลับไปที่กลุ่มของมู่เฉิน


เมื่อพวกเขารับป้ายมาก็เห็นว่าป้ายนี้มีสีดำที่มีตัวอักษร “สังหารปีศาจ” สีแดงเข้มสลักอยู่บนนั้น ข้างใต้ปรากฏตำแหน่งมือสังหารขั้นต่ำ


“ถ้าเจ้าฆ่าเผ่าปีศาจคนหนึ่งก็ให้ทำลายวิญญาณของพวกมันและนำไปใส่ในป้ายสังหารปีศาจนี่ เพื่อรับคะแนนสังหารที่สอดคล้องกัน นอกจากนี้เนื่องจากป้ายนี้สร้างจากเลือดกลั่นของพวกเจ้า จึงมีเพียงพวกเจ้าเองเท่านั้นที่สามารถตรวจสอบคะแนนที่ได้รับได้ ดังนั้นไร้ประโยชน์มากแม้ว่าคนอื่นจะขโมยไป” ชายชราชุดเทาอธิบาย


ฟังรายละเอียดเกี่ยวกับป้ายสังหารปีศาจ ทั้งสี่ก็ประสานมือคารวะให้ชายชรา “ขอบคุณอาวุโส”


เมื่อเห็นว่าทั้งสี่ได้รับป้ายเรียบร้อยแล้ว ชื่อเหยียนก็หันไปพูดกับชายชราว่า “เจ้าแพะเก่าขี้เซา มีกลุ่มไหนมาที่แดนเซิ่งยวนแล้วมั่ง?”


ชายชรายกเปลือกตาขึ้นหัวเราะเบาๆ “นั่นไง มาแล้วหนึ่ง ไหนข้าดูหน่อยซิ เหมือนจะเป็นสมาชิกตระกูลเวินแห่งเขตเหนือ… ”


ชื่อเหยียนหันกลับไปก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาในหอ หญิงชราคนหนึ่งสวมชุดแดงเยื้องย่างเข้ามา ท่าทางที่ชักช้านั้นกลับทำให้ดวงตาของชื่อเหยียนหดลง


“นั่นแม่เฒ่าเหอจากตระกูลเวิน…”


มู่เฉิน ลั่วหลีและคนอื่นๆ ก็เงยหน้าขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น คนที่เข้ามามีรัศมีไม่ธรรมดา เมื่อสายตาของพวกเขามองข้ามผ่านหญิงชราก็เห็นเงาร่างเพรียวบางกระแทกเข้ามาในครรลองสายตา


แม้ว่าจะผ่านมาหลายปี แต่ก็ยังเป็นภาพเงาที่คุ้นเคย


มู่เฉินและลั่วหลีตาโตขณะที่แลกเปลี่ยนสายตากัน ใบหน้าของทั้งสองแปลกไปเล็กน้อย เนื่องจากพวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าจะได้พบกับคนคุ้นเคยหลังจากผ่านไปหลายปี…


บทที่ 1292 พบเวินชิงเฉวียนอีกครั้ง

หญิงชราย่างเท้าเข้ามาด้วยใบหน้าเย็นชา


แม้ว่าจะไม่มีความแปรปรวนของคลื่นหลิงรอบตัว แต่ก็ไม่มีใครกล้าดูถูก ใครก็ตามที่สามารถมีชีวิตรอดในสถานที่ที่อันตรายเช่นนี้ ต้องมีสายตาบางอย่าง ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกได้ถึงความน่ากลัวของหญิงชรา


ทว่าสายตามากมายก็ยึดอยู่ที่หญิงชราแวบเดียว ก่อนที่จะหันไปมองเงาร่างเพรียวบาง


นางเป็นสตรีสวมชุดสีม่วงรูปร่างระเหิดระหง โดยเฉพาะช่วงขาที่เดินไข้วไปมาใต้กางเกง ช่างดูงดงามอย่างยิ่ง


รูปลักษณ์ของนางช่างเจิดจรัส ดวงตามีเสน่ห์ดูราวกับดวงดาวเปล่งประกายไม่มีที่สิ้นสุด ผมสีฟ้าถูกเกล้าขึ้นเป็นหางม้า สะบัดไปมาด้วยความมั่นใจขณะที่นางก้าวเดิน


นี่คือหญิงสาวงดงามที่ราวกับวีรสตรี เมื่อนางจือปากก็ช่างเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ


สายตานับไม่ถ้วนถูกส่งไปที่หญิงสาวผู้มาใหม่ ถึงแม้ว่าหญิงสาวผมสีเงินจะมีเสน่ห์มากกว่า แต่ความโดดเด่นของหญิงสาวคนนี้ก็น่าดึงดูดเช่นกัน


แต่แม้ว่าพวกเขาจะตกตะลึงกับเสน่ห์นาง แต่ก็ไม่มีใครกล้าล้อเลียนเพราะสายตาของหญิงชราที่กวาดมาราวกับเอาน้ำแข็งราดใส่หัวเลยทีเดียว


มู่เฉินและลั่วหลีก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน เมื่อจ้องมองหญิงสาวคนนั้น


เพราะนี่คือเวินชิงเฉวียนที่ทั้งสองคนร่วมมือกันในศึกเบญจภาคี


“ไม่คิดว่านางจะเป็นสมาชิกจากตระกูลเวิน” ลั่วหลีรู้สึกตกใจตระกูลเวินจากเขตเหนือเติบโตขึ้นในช่วงพันปีที่ผ่านมา ในแง่ประวัติศาสตร์ไม่อาจเทียบกับตระกูลลั่วเสิน แต่ด้วยพลังของตระกูลเวินก็ก้าวขึ้นเป็นขั้วอำนาจสูงสุดของมหาพันภพแล้ว


“ทำไมนางถึงไปที่สำนักศึกษาวั่นหวงทั้งที่มีการสนับสนุนขนาดนี้?” มู่เฉินก็แปลกใจเหมือนกัน


“ข้าได้ยินมาว่าตระกูลเวินจากเขตเหนืออยู่เบื้องหลังสำนักศึกษาวั่นหวงน่ะ” ลั่วหลีตอบ


เท่านี้มู่เฉินก็เข้าใจว่ามีการเชื่อมโยงกัน ไม่น่าแปลกใจเวินชิงเฉวียนถึงได้ไปที่สำนักศึกษาวั่นหวง


ขณะที่พวกเขาพูดคุย กลุ่มผู้มาใหม่ก็เดินมาถึงที่กองสรรหา เวินชิงเฉวียนที่มีท่าทางไม่แยแสมาตลอดทางก็หยุดเดินพร้อมกับสายตาไม่อยากเชื่อจ้องมองมาที่ทั้งคู่


เวินชิงเฉวียนมีผู้ติดตามมาด้วย แต่เห็นได้ชัดเจนว่านางเป็นตัวหลัก ดังนั้นเมื่อนางหยุด พวกเขาก็หยุดตามเช่นกัน


“ชิงเฉวียนเกิดอะไรขึ้นเหรอ?” ชายสวมชุดขาวกล่าวเสียงเบาด้านข้างเวินชิงเฉวียนช่างดูสะดุดตาไม่น้อย ยิ่งเมื่อพิจารณาจากความผันผวนของคลื่นหลิงที่ยิ่งใหญ่ที่แผ่ออกมาจากร่างเขา น่าจะอยู่ในระยะเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว เห็นได้ชัดว่าชายคนนี้ต้องมีตำแหน่งสำคัญในตระกูลเช่นกัน


ทว่าเวินชิงเฉวียนไม่สนใจเขาเลย สายตาจ้องมู่เฉินกับลั่วหลีด้วยความตกตะลึง ก่อนที่นางจะร้องอุทานขึ้น “ลั่วหลี? มู่เฉิน?!


“ชิงเฉวียน ไม่เจอกันนานเลย” ลั่วหลียิ้ม


“ไม่คิดว่าจะได้พบเจ้าที่นี่” มู่เฉินยิ้ม ย้อนกลับไประหว่างการแข่งขันศึกเบญจภาคี พวกเขาจากคนแปลกหน้ากลายเป็นคนรู้จัก ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ผ่านประสบการณ์กันมากมาย


หลังจากจบการแข่งขัน แต่ละคนก็แยกย้ายตามทางของตัวเอง ตอนแรกคิดว่าจะไม่มีวันได้พบเจอกันอีก แต่ไม่คิดว่าจะได้มาเจอกันที่นี่วันนี้


“พวกเจ้าจริงๆ ด้วย!”


ดวงตาของเวินชิงเฉวียนเปล่งประกายด้วยความดีใจ นางพุ่งตัวเข้าใส่กอดทั้งสอง แต่ก่อนที่มู่เฉินจะได้ยื่นมือออกมา เวินชิงเฉวียนก็เปลี่ยนใช้ศอกกระแทกที่หน้าอกเขา


มู่เฉินถอยกลับไปสองก้าวพลางเบ้ปากอย่างช่วยไม่ได้


“คิดฉวยโอกาสข้าเหรอ ฝันไปเถอะ”


เวินชิงเฉวียนกลอกตาให้มู่เฉิน ก่อนจะเหยียดแขนโอบกอดลั่วหลีแน่น “ลั่วหลี เจ้างามมากจนข้าไม่กล้าทักเลย”


นางไม่ได้โกหกเนื่องจากลั่วหลีเปลี่ยนแปลงไปมากเมื่อเทียบกับตอนออกจากสำนักศึกษาเป่ยชาง บวกกับร่างเทพวารีของลั่วเสินทำให้นางมีความงดงามที่โดดเด่นขึ้นอีกหลายส่วน


ลั่วหลีก็เม้มปากยิ้มออกมาเช่นกัน นางรู้สึกมีความสุขที่ได้พบกับเวินชิงเฉวียนที่นี่ เนื่องจากนางมักจะระลึกถึงเวลาที่ใช้ด้วยกันตอนสู้ศึก สหายเหล่านี้สร้างความทรงจำที่มีค่าให้นาง


“ทำไมเจ้าถึงยังอยู่กับมู่เฉินอีก เขาคู่ควรเจ้าซะที่ไหน?!” เวินชิงเฉวียนปรายตามองไปที่มู่เฉิน ก่อนที่จะหันมาพูดกับลั่วหลีด้วยความปวดใจ


เมื่อมู่เฉินได้ยินประโยคนี้ใบหน้าเขาก็เปลี่ยนเป็นดำมืด


ลั่วหลีมองมู่เฉินด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนและล้อเล่น


“ชิงเฉวียนนี่เพื่อนเจ้าเหรอ?” ขณะที่เวินชิงเฉวียน ลั่วหลีและมู่เฉินกำลังรำลึกความหลัง เสียงขัดจังหวะจากชายชุดขาวก็ดังขึ้น เขาเดินหน้าเข้ามา มองมู่เฉินและลั่วหลีด้วยรอยยิ้ม


“ยินดีที่ได้รู้จัก ข้าชื่อเวินจื่อหยู่จากตระกูลเวิน” ชายคนนั้นเปิดเผยสายตาที่อ่อนโยนซึ่งไม่ได้แกล้งทำ ให้ความรู้สึกดีกับผู้อื่น


ขณะที่เขามองเวินชิงเฉวียนอารมณ์ก็ถูกเปิดเผยในดวงตา เห็นได้ชัดว่าเขากำลังจีบอีกฝ่ายอยู่


มู่เฉินและลั่วหลีรู้สึกประทับใจกับชายคนนี้ ทั้งสองจึงส่งยิ้มให้


“ข้าชื่อมู่เฉิน”


“ลั่วหลี”


เวินชิงเฉวียนเหลือบมองเวินจื่อหยู่ ท่าทางดูไม่สนใจอีกฝ่ายเลย ทำให้อีกฝ่ายยิ้มออกมาอย่างขมขื่น


หญิงชราก็หันมามองลั่วหลีก่อนจะพยักหน้าพูดด้วยน้ำเสียงห้วนๆ “ช่างเป็นเด็กที่งดงามมาก”


จากนั้นก็มองมู่เฉิน แต่นางไม่ได้พูดอะไรก่อนที่จะละสายตาไป ความไม่ใส่ใจในของนางเห็นได้ชัดมาก


ทว่ามู่เฉินไม่ได้โกรธ เพราะเขารู้สึกได้ว่าหญิงชราคนนี้ไม่ได้ตั้งใจทำเฉพาะเขา แต่นางทำกับผู้ชายทุกคน


“ชื่อเหยียน ครั้งนี้เจ้ามาเร็วนัก” หญิงชรามองอย่างไม่แยแสไปที่ชื่อเหยียน


“เฮ้ ยายเฒ่าเหอ บรรพบุรุษของตระกูลเวินไม่ได้อยู่ในแดนเซิ่งยวน ทำไมพวกเจ้าถึงขยันมาที่นี่ทุกครั้งขนาดนี้?” ชื่อเหยียนยิ้มเสียงประหลาด


“ไม่มีใครเป็นเจ้าของแดนเซิ่งยวน ทำไมตระกูลเวินของข้าถึงจะมาคว้าโอกาสที่นี่ไม่ได้ล่ะ?” แม่เฒ่าเหอเค้นเสียงหัวเราะเย็น


ชื่อเหยียนกลอกตาบน แต่เขาก็ไม่คิดจะทะเลาะกับแม่เฒ่าเหอที่ไม่เป็นมิตรกับชายทุกคน


แม่เฒ่าเหอไม่ได้พูดอะไรมากความกับชื่อเหยียน ก่อนที่จะหันไปหาชายชราที่กองสรรหา “ผู้อาวุโสลู่ทงมอบป้ายสังหารปีศาจให้เด็กพวกนี้ด้วย”


ชายชราชุดเทาพยักหน้าพลางโบกมืออย่างเกียจคร้าน จากนั้นครู่หนึ่งป้ายสังหารปีศาจกลุ่มหนึ่งก็บินมาทางพรรคพวกของเวินชิงเฉวียน


รับป้ายมาแล้ว เวินชิงเฉวียนก็มองมู่เฉินกับลั่วหลี “เจ้าสองคนก็มาเพื่อแดนเซิ่งยวนเหรอ?”


มู่เฉินและลั่วหลีพยักหน้า


“เยี่ยมไปเลย! ไม่คิดว่าหลังจากผ่านไปหลายปี เราจะได้ทำงานร่วมกันอีกครั้ง!” เวินชิงเฉวียนหัวเราะเบาๆ


มู่เฉินมองเวินชิงเฉวียนก็พบว่าตอนนี้นางบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นแล้ว เห็นได้ชัดว่าพลังของนางเติบโตขึ้นหลังจากกลับไปที่ตระกูลเวิน


“ดีจริงๆ ที่มีกองกำลังสุดยอดเป็นกองสนับสนุน” มู่เฉินอดถอนหายใจในใจไม่ได้


แต่ดูเหมือนว่าแดนเซิ่งยวนจะดึงดูดผู้คนจากขุมกำลังมากมาย ตอนนี้แดนเซิ่งยวนยังไม่ปรากฏ ไม่รู้ว่าเมื่อถึงตอนนั้นจะมีกลุ่มทรงพลังโผล่มาเท่าไร


แต่ดูท่าการแข่งขันครั้งนี้จะรุนแรงอย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว


“ไปกันเถอะ เราไปหาสถานที่พักผ่อนกัน” ชื่อเหยียนหันไปมองกลุ่มมู่เฉินจากนั้นก็โบกมือ เตรียมนำพวกเขาออกไป


มู่เฉินพยักหน้า ขณะที่กำลังจะกล่าวคำอำลากับเวินชิงเฉวียน ความปั่นป่วนก็ดังกึกก้องในหอหมื่นพัน


ความสนใจทั้งหมดในอาคารขนาดใหญ่จ้องมองไปที่ประตูทางเข้าด้วยความตกใจ


มู่เฉินก็สัมผัสได้จึงเงยหน้ามองไปที่คนสามกลุ่มที่เข้ามา ทั้งสามกลุ่มมีท่าทางที่ไม่ธรรมดา จังหวะที่พวกเขาปรากฏตัวแรงกดดันที่มองไม่เห็นก็ปกคลุมทั่วหอ


ภายใต้แรงกดดันนี้แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญในทวีปเซิ่งยวนยังแสดงความเคร่งเครียดหลายส่วนในสายตา


มู่เฉินมองไปที่ทั้งสามกลุ่ม จากนั้นดวงตาก็หดเกร็งลง นั่นเป็นเพราะมีลวดลายเจดีย์สีดำบนเสื้อคลุม


ซึ่งเจดีย์นั้นเป็นสิ่งที่เขาคุ้นเคย นั่นคือเจดีย์เก้าชั้น!


ในมหาพันภพมีเพียงเผ่าฝูถู หนึ่งในห้าเผ่าโบราณที่ใช้เจดีย์เก้าชั้นเป็นสัญลักษณ์ของพวกเขา!


เห็นได้ชัดว่ากลุ่มทรงพลังทั้งสามมาจากเผ่าฝูถูแน่นอน!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)