หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1283-1288
บทที่ 1283 น้ำเต้าแดง
วาบ!
กระบี่แก้วเจาะทะลุมิติทันที เฉือนลงไปในทิศทางของกู้ซือหวง การจู่โจมกะทันหันนี้ช่างเต็มไปด้วยกลยุทธ์มากมาย แม้จะมีขุมพลังนี้ กู้ซือหวงก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการโจมตีนี้ได้ เขาได้เพียงแต่ยืนมองกระบี่กวาดผ่านไปด้วยสีหน้าหวาดผวา
วินาทีนั้นแม้แต่วิญญาณก็หลุดออกจากร่าง เขาสามารถรู้สึกได้ว่ากระบี่ในมือของมู่เฉินชุดขาวเปล่งประกายรัศมีที่ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวออกมา
รัศมีนี่เป็นเอกลักษณ์ของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน!
ในอดีตเจ้าของกระบี่เล่มนี้จะต้องเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนแท้จริงแน่นอน!
ดังนั้นเมื่อกระบี่เคลื่อนผ่าน แม้แต่กู้ซือหวงก็รู้สึกหวาดผวา ทั้งๆ ที่เขามีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม เขาไม่เคยคิดเลยว่ามู่เฉินจะมีอาวุธที่น่ากลัวเช่นนี้
กระบี่แก้วนั่นจะต้องอยู่เหนือระดับอาวุธมหสวรรค์ขั้นสูงแน่
เมื่อกระบี่ฟาดลงมาก็รู้สึกราวกับว่าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่ในฐานะจอมยุทธ์มากประสบการณ์ อึดใจสุดท้ายกู้ซือหวงก็ขยับศีรษะเล็กน้อยในมุมแปลกประหลาด
ชี่!
กระบี่เฉียดใบหูเฉือนลงบนไหล่ของเขา แม้ว่าจะมีร่างกายทรงพลัง กู้ซือหวงก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดรุนแรงที่อธิบายไม่ได้มาจากตรงที่โดนฟัน
อ๊าก!
กู้ซือหวงร้องเสียงหลง เกือบครึ่งหนึ่งของร่างกายส่วนบนจากไหล่พาดลงมาราวกับสะพายแล่ง นอกจากนี้ยังมีแสงผลึกวูบไหวบนร่างกาย แม้จะมีการฟื้นตัวอันแข็งแกร่งของเขาในฐานะจอมยุทธ์ตี้จื้อจุน ก็ไม่สามารถฟื้นตัวได้เต็มที่ เลือดปกคลุมทั่วร่างดูน่าสมเพชอย่างไม่น่าเชื่อในขณะนี้
ปัง!
ด้วยความหวาดหวั่นใหญ่หลวง กู้ซือหวงก็ถอยกลับอย่างลนลานโดยไม่สนใจบาดแผลของตนเอง หนีไปไกลหมื่นจั้ง ก่อนที่จะหยุดมองไปที่มู่เฉินชุดขาวด้วยความตะลึงพรึงเพริด
“น่า-เสีย-ดาย”
มู่เฉินชุดขาวจับกระบี่เกล็ดจักรพรรดิมองไปที่กู้ซือหวงพลางส่ายหัวอย่างเสียดาย ด้วยร่างหลักและร่างรองร่างหนึ่งที่เป็นเหยื่อล่อก็ดึงดูดความสนใจทั้งหมดของกู้ซือหวง ดังนั้นร่างรองอีกร่างจึงสามารถซ่อนตัวเพื่อลอบโจมตีที่ไม่คาดคิดได้
ผลลัพธ์ค่อนข้างดีทีเดียว แม้แต่กู้ซือหวงก็ไม่สามารถหลบได้ เพียงแต่สุดท้ายหลบจุดตายได้ มิฉะนั้นต่อให้กู้ซือหวงไม่ตาย เขาก็จะสูญเสียพลังในการต่อสู้ทั้งหมด
มู่เฉินชุดขาวสะบัดเลือดบนกระบี่ออก ก่อนที่เบนสายตาไปกระบี่แก้ว เขาสามารถสัมผัสถึงพลังงานส่วนที่เหลือภายในหายไปอีกส่วน
ตามการประเมินกระบี่เล่มนี้อาจจะใช้งานได้อีกสองครั้งก่อนที่จะหมดประโยชน์อย่างแท้จริง ในเวลานั้นกระบี่เกล็ดจักรพรรดิจะไม่มีพิษสงเช่นนี้อีกต่อไป
“แต่พลังการต่อสู้ของกู้ซือหวงก็น่าจะลดลงหกถึงเจ็ดส่วนแล้ว เขาไม่ได้เป็นภัยคุกคามอีกต่อไป”
มู่เฉินชุดขาวมองร่างหลัก เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้า เขาจึงพุ่งเข้าไปอีกครั้ง แสงกะพริบวูบวาบบนกระบี่เกล็ดจักรพรรดิ ในเวลานี้กู้ซือหวงตกอยู่ในสภาพอ่อนแอที่สุด ดังนั้นเขาจะปล่อยโอกาสดีเช่นนี้ไปไม่ได้เด็ดขาด
เมื่อเห็นมู่เฉินชุดสีขาวพุ่งตรงมา กู้ซือหวงก็ถอยจ้าละหวั่น เห็นได้ชัดว่าเขากลัวกระบี่เล่มนั้นมาก
ฮึ่ม!
เมื่อมู่เฉินที่ยืนอยู่บนร่างเทพสุริยะนิรันดร์เห็นสิ่งนี้ เขาก็เร้าร่างเทพสุริยะนิรันดร์ รหัสเทพอมตะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อนที่จะทำการโจมตีกู้ซือหวง
กู้ซือหวงในตอนแรกได้เปรียบทุกประตูก็ตกเป็นเบี้ยล่าง เขาหลบหนีการไล่ล่าของมู่เฉินชุดขาวอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันยังต้องป้องกันการโจมตีของมู่เฉิน ยามนี้รอบด้านถูกล้อมไปด้วยอันตรายแล้ว
ขณะที่กู้ซือหวงตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤต เหลียงเสียหยูที่ตึงมืออยู่กับหลงเซี่ยงและลั่วหลีก็สังเกตเห็นภาพนั้นเช่นกัน ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก เขาไม่เคยคิดว่ากู้ซือหวงจะถูกบีบอยู่ในจุดนั้น
“บ้าเอ้ย ไอ้เด็กกาลกิณีนั่นมีทักษะแบบนี้ด้วยหรือ?!”
หัวใจของเหลียงเสียหยูสั่นไหวด้วยความตื่นตระหนก หากกู้ซือหวงพ่ายแพ้ เขาก็ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ไม่ดีกว่าแน่
ดังนั้นเขาต้องไปช่วยเหลือพรรคพวก!
“ห่วงตัวเองก่อนเถอะ!”
ทว่าขณะที่สมาธิแตกซ่าน เสียงหัวเราะร้ายกาจก็ดังก้อง หลงเซี่ยงมาปรากฏตรงหน้าแล้วซัดหมัดออกมา นี่เป็นหมัดที่มาพร้อมกับเสียงคำรามของมังกรพลายที่บรรจุด้วยพลังของสัตว์อสูรทั้งสองไว้อย่างล้นหลาม กระแทกลงบนม่านพลังที่เบื้องหน้าเหลียงเสียหยู
ปัง!
ม่านแข็งแกร่งแตกออก เหลียงเสียหยูก็ถลาออกไปพร้อมกับใบหน้าสลับไปมาระหว่างสีขาวกับสีเขียว ขณะที่เขาพยายามระงับคลื่นหลิงที่พลุ่งพล่านในร่างกาย เขาก็เห็นหลิงเซี่ยงพุ่งมาอีกครั้ง ดังนั้นเขาได้แต่ตั้งสมาธิจัดการหลงเซี่ยงและลั่วหลีที่อยู่ตรงหน้า
ขณะที่เหลียงเสียหยูกำลังติดพันการต่อสู้ ผู้อาวุโสอสรพิษมรกตที่ถูกขังอยู่ค่ายกลก็มองไปที่กู้ซือหวงด้วยสีหน้ามืดมน จากนั้นเขาก็จ้องมองที่กระบี่ในมือมู่เฉินด้วยริ้วความหวาดหวั่นในดวงตา
เมื่อครู่เขาเห็นมู่เฉินชุดขาวที่ถือกระบี่เกือบสังหารกู้ซือหวงได้แล้ว
“ไอ้เด็กเหลือขอนั่นแปลกประหลาดเหลือเกิน มันเป็นแค่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายเท่านั้น แต่กลับมีร่างรองสองร่างที่มีขุมพลังเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้นกระบี่แก้วนั่นต้องเป็นของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนอย่างแน่นอน!”
“หรือว่ามันมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนหนุนหลังอยู่?”
แค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ทำให้หัวใจของผู้อาวุโสอสรพิษมรกตเย็นยะเยือก เขาเป็นจอมยุทธ์อิสระ ไม่มีการสนับสนุนที่ทรงพลังอย่างเผ่าฝูถู ถ้าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่อยู่เบื้องหลังมู่เฉินปรากฏตัวขึ้นละก็ แม้ว่าเขาจะสร้างปัญหาให้เผ่าฝูถูไม่ได้ แต่จะทำอะไรกับคนอย่างเขาไม่ได้เชียวเหรอ?
กู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูมีเผ่าฝูถูสนับสนุน แต่เขาไม่มีอะไรเลย!
“ไอ้หมาแก่ แกลากข้าเข้าไปในเรื่องวุ่นจริงๆ ไอ้เด็กประหลาดนั่นดูเหมือนคนที่ไม่มีเบื้องหลังตรงไหน?!”
ผู้อาวุโสอสรพิษมรกตสาปแช่งในใจ สถานการณ์นี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากสิ่งที่กู้ซือหวงพ่นบอกก่อนหน้า
“ข้าอยู่ต่อไม่ได้แล้ว นี่เป็นเรื่องระหว่างไอ้เด็กเหลือขอกับเผ่าฝูถู คนอย่างข้าไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้”
ผู้อาวุโสอสรพิษมรกตกัดฟันกรอด กระดาษรางสีทองปรากฏในมือทำให้เกิดความผันผวนในมิติ
นี่คือกระดาษรางโบราณเป็นสิ่งที่เขาได้รับจากซากอารยธรรมโบราณ ตราบใดที่ใช้มันเขาก็จะสามารถหลุดพ้นจากสถานการณ์อันตรายใดๆ ได้
ตอนแรกเขาก็ไม่ต้องการใช้ แต่ถ้าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่อยู่เบื้องหลังมู่เฉินปรากฏตัว เขาก็ไม่มีทางหนีได้อีกแล้ว
ด้วยความคิดนี้ผู้อาวุโสอสรพิษมรกตก็ไม่ลังเล นิ้วสะบัดออกไป กระดาษรางลุกโชติช่วง ทำให้เกิดระลอกคลื่นมิติผันผวนเข้มข้น ก่อร่างเป็นวังวนทำลายพันธนาการของค่ายกลสะเก็ดดาวไหลเวียนสวรรค์
“อสรพิษมรกต เจ้าคิดจะทำอะไร?!” เมื่อสัมผัสถึงความผันผวนมิติที่รุนแรง กู้ซือหวงที่สังเกตเห็นก็ตะคอกลั่น
แต่ผู้อาวุโสอสรพิษมรกตไม่ตอบสนองอะไร เขาก้าวเข้าไปในอุโมงค์มิติหายวับไปกับตา
“ไอ้เวร!”
เฝ้ามองการหนีของผู้อาวุโสอสรพิษมรกต กู้ซือหวงก็โกรธจนแทบคลั่ง หากไม่มีอีกฝ่ายคอยช่วยต้านค่ายกล หลิงซีก็จะใช้ค่ายกลประสานแรงเข้าช่วย เผชิญหน้ากับค่ายกลทรงพลังนี้ ไม่มีความหวังใดๆ สำหรับเขาที่หลังชนฝาแล้ว
ฮึ่ม ฮึ่ม
ความคิดนี่ไม่ผิดเลย ทันทีที่ผู้อาวุโสอสรพิษมรกตหลบหนีค่ายกลสะเก็ดดาวไหลเวียนสวรรค์ที่ล้อมรอบเกาะก็เริ่มเคลื่อนไหว แสงดาวพุ่งลงมาจากท้องฟ้าพยายามกักขังเขา
เมื่อกู้ซือหวงเห็นแสงดาวเหล่านั้นก็รู้สึกหนังหัวชาหนึบไปหมด ค่ายกลนี้สามารถจัดการกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้ ถ้าเขาอยู่ในสภาพเต็มร้อยก็ไม่มีอะไรน่ากลัว แต่นี่ไม่เพียงเขาได้รับบาดเจ็บหนัก เขายังต้องเผชิญกับการโจมตีที่ดุเดือดของมู่เฉิน ถ้าเขาติดอยู่ในค่ายกลบวกกับมู่เฉินใช้กระบี่อีกครั้ง งานนี้ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตแล้ว
เพียงแค่คิดความตายก็ทำเอากู้ซือหวงรู้สึกกลัวไม่รู้จบ ก่อนที่เขาจะกัดฟันคำราม “ไอ้สารเลว แกบังคับข้าเองนะ!”
ขณะที่คำรามก็ถือแผ่นหยกบดขยี้ลงไป
ปัง!
แผ่นหยกที่ถูกขยี้ก็กำจายแสงหลิงไม่มีที่สิ้นสุดพุ่งสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อตัวเป็นวังวนขนาดใหญ่เกิดความผันผวนน่าสะพรึงกลัว
เมื่อเห็นสถานการณ์นี้ ใบหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนไป ความผันผวนของคลื่นหลิงช่างลึกซึ้งและไม่อาจหยั่งรู้ แค่รู้สึกสั้นๆ ก็ทำให้รู้สึกสิ้นหวัง
“จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน!”
ม่านตามู่เฉินหดลง เขาไม่คิดว่ากู้ซือหวงจะสามารถเชิญจอมยุทธ์ระดับนี้ของเผ่าฝูถูมาได้
ทันใดนั้นหินสลักอักขระชิ้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา หากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจากเผ่าฝูถูมาถึงจริง เขาก็จะต้องใช้ความช่วยเหลือครั้งสุดท้ายเชิญเทพจักรพรรดิสงครามมา
ความปั่นป่วนนี้ทำให้สนามรบฝั่งลั่วหลีหยุดลง เหลียงเสียหยูก็เคลื่อนไหวไปปรากฏตัวข้างกู้ซือหวงมองวังวนขนาดใหญ่ “ตาเฒ่า เจ้าไม่รู้หรือไงว่าท่านผู้อาวุโสใหญ่พูดมาก่อนว่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนห้ามเข้ายุ่งเกี่ยวกับการจัดการไอ้เด็กนี่”
“ตอนนี้ข้าไม่สนอะไรแล้ว!”
กู้ซือหวงกัดฟันขณะพูดต่อ “ผู้อาวุโสเฮยกวางอยู่ข้างเรา แค่ซ่อนเรื่องให้ดี ผู้อาวุโสใหญ่ก็ไม่รู้หรอก”
เหลียงเสียหยูได้แต่พยักหน้าตามคำพูดไป
“ทำลายอุโมงค์มิติ!”
มู่เฉินคำราม หากพวกเขาสามารถทำลายช่องทางนี้ได้ จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็จะไม่สามารถมาที่นี่ได้
เมื่อมู่เฉินคำราม แสงดาวนับไม่ถ้วนจากค่ายกลก็ตกลงมาราวกับอุกกาบาตมุ่งไปทางอุโมงค์มิติ
มู่เฉินสั่งร่างเทพสุริยะนิรันดร์ รหัสเทพอมตะก็ทะยานขึ้นไปพุ่งเข้าหาอุโมงค์มิตินั่น
แม้แต่หลงเซี่ยงและลั่วหลีก็ออกกระบวนท่า พวกเขาปลดปล่อยการโจมตี พยายามทำลายอุโมงค์นั้น
แต่เผชิญหน้ากับการกระทำของพวกเขา กู้ซือหวงก็ยิ้มเย้ยหยันเท่านั้น
อุโมงค์มิติขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อการโจมตีพุ่งไปถึง เสียงแก่ชราก็ดังกึกก้องพร้อมด้วยแรงกดดันมหาศาลเดินทางผ่านมิติห่างไกลสะท้อนออกมาในภูมิภาคนี้
“ไอ้พวกโอหัง แกกล้าที่จะไร้มารยาทต่อหน้าชายชราคนนี้เหรอ?!”
ตู้ม!
มือคลื่นหลิงที่จินตนาการไม่ได้ยื่นออกมาจากมิติ สลายการโจมตีทันทีก่อนที่จะโอบล้อมเกาะทั้งหมดไว้
ใบหน้าของหลงเซี่ยงขาวซีด เผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน พวกเขาไม่สามารถต้านทานได้เลย
สายตาของมู่เฉินเปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม เขามองฝ่ามือตั้งใจจะบดขยี้หินสลัก
แต่ทันใดนั้นมิติเบื้องหน้าพวกเขาก็แตกออก น้ำเต้าสีแดงบินออกมาอย่างแปลกประหลาด
“เฮ้ ชายชราคนนี้อุตส่าห์พบเมล็ดพันธุ์ชั้นดี ถ้าโดนเผ่าฝูถูของพวกเจ้าทำลาย เผ่าไท่หลิงโบราณของข้าจะไม่จบเรื่องง่ายๆ แน่!
เมื่อน้ำเต้าสีแดงบินออกมา เสียงหัวเราะลั่นก็ดังที่ด้านข้างกลุ่มมู่เฉิน
บทที่ 1284 ท่านเซียนชื่อเหยียน
ผลัวะ!
มือคล้ายกับหัตถ์เทพอัดแน่นด้วยพลังสูงล้ำไม่มีใครขวางได้
แต่เมื่อมือนั้นกำลังจะโอบล้อมพื้นที่เอาไว้ มิติที่เบื้องหน้ามู่เฉินก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ น้ำเต้าสีแดงบินฉวัดเฉวียนออกมาอย่างแปลกประหลาด
เมื่อน้ำเต้าปรากฏขึ้น ก็กำจายแสงสีแดงเข้มดูราวกับว่าเป็นแหล่งกำเนิดของภูเขาไฟ เกลียวสีแดงเข้มประหนึ่งเปลวไฟที่ลุกโชติช่วง ทุกจุดของแสงสีแดงเข้มเหมือนเป็นมหาสมุทรเพลิง
อุณหภูมิในบริเวณนี้เพิ่มสูงขึ้นกะทันหัน กระทั่งรอบด้านยังต้มเดือด
ตู้ม!
เกลียวแสงสีแดงเข้มไม่มีที่สิ้นสุดพุ่งสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า ปะทะกับมือใหญ่ จังหวะนั้นทั้งบริเวณก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น เมฆหมอกนับไม่ถ้วนลุกโชนออกจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น
ตึง!
ภายใต้แสงสีแดงเข้ม มือใหญ่ก็แห้งลงอย่างรวดเร็ว รอยแตกปกคลุม อึดใจต่อมาก็ถูกแสงสีแดงเข้มจนแข็งเป็นหิน
ครืน!
มือใหญ่แหลกสลาย ก่อนจะกลายเป็นเศษหินนับไม่ถ้วนร่วงกราวลงมาจากท้องฟ้า ยกคลื่นที่น่าตกใจขึ้นในเวิ้งทะเลนี้
เมื่อกู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูเห็นมือพังทลายลง ความหวาดหวั่นก็วูบไหวในดวงตาพร้อมกับความกลัวปรากฏบนใบหน้า
เห็นได้ชัดว่าฉากนี้ทำให้พวกเขาตกใจไปหมดแล้ว
กระบวนท่านี้เป็นของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ทว่าการโจมตีที่น่าสะพรึงกลัวกลับได้รับการแก้ไขอย่างง่ายดาย แบบนี้ฝ่ายตรงข้ามจะน่ากลัวแค่ไหนกัน?!
ต่อหน้าจอมยุทธ์ระดับนี้ จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ราวกับเป็นแค่มดปลวกเท่านั้น
ฮา
เมื่อน้ำเต้าแดงทำลายมือนั้นก็บินกลับไปพลิ้วลงไม่ไกลจากกลุ่มมู่เฉินภายใต้สายตาตกตะลึง
ตอนนี้เองพวกเขาก็พบว่าชายชราคนหนึ่งในชุดธรรมดา ไม่รู้มาปรากฏตัวตั้งแต่เมื่อไร
ชายชรายิ้มตาหยีก่อนที่จะจับคว้าน้ำเต้าแดงบิออกมาคำหนึ่ง ขณะนั้นเองมู่เฉินและคนอื่นๆ ก็เห็นของเหลวสีแดงเข้มเหนียวหนืดไหลเข้าสู่ปากของชายชรา
แม้จะไม่ได้สัมผัส กลุ่มมู่เฉินก็รับรู้ได้ถึงอุณหภูมิที่น่ากลัว พวกเขารู้ว่าตนเองไม่มีความสามารถดื่มลาวาราวกับสุราเหมือนอย่างที่ชายชราทำแน่นอน
มู่เฉินและลั่วหลีแลกเปลี่ยนสายตากัน พวกเขามองเห็นความตกใจในสายตากันและกัน ตัดสินจากการเคลื่อนไหวเมื่อครู่ ชายชราผู้นี้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนตัวจริงเสียงจริงแน่!
ทว่าพวกเขาไม่เข้าใจทำไมจอมยุทธ์ระดับนี้ที่ไม่รู้จักกันถึงช่วยเหลือพวกเขา
อย่างไรก็ตามชายชราไม่ได้ใส่ใจกับความตกใจของพวกเขา หลังจากดื่มไปอึกหนึ่งเขาก็เงยหน้าขึ้นมองอุโมงค์มิติด้านหลังกู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูด้วยรอยยิ้ม “ยังไงก็เป็นคนมีชื่อเสียงในเผ่าฝูถู ทำไมต้องลดสถานะตนเองมากลั่นแกล้งคนรุ่นใหม่ด้วย?”
กู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูใบ้กินจากความกลัว อุโมงค์ที่อยู่ข้างหลังยังคงนิ่งสงบก่อนที่จะมีเสียงพูดเปล่งออกมา “ที่แท้ก็เซียนเฒ่าชื่อเหยียนเผ่าไท่หลิง แต่เผ่าฝูถูและเผ่าไท่หลิง ต่างคนต่างอยู่ไม่แส่เรื่องกันเละกัน ทำไมแกต้องยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของเผ่าข้าด้วย”
ชายชราที่ถูกเรียกว่าเซียนชื่อเหยียนยิ้มพลางส่ายหัว “ที่นี่มีเมล็ดพันธุ์ที่ข้าค้นหามานาน ดังนั้นข้าจะปล่อยให้เผ่าฝูถูทำลายได้ยังไง?”
“หึ ไอ้เด็กกาลกิณีนี่มีเชื้อสายของเผ่าข้า หากเผ่าไท่หลิงต้องการจะพามันไป ข้ากลัวว่าแรงกระทบจะไม่ใช่สิ่งที่แม้แต่แกก็สามารถทนได้!” เสียงโกรธแค้นดังขึ้นจากอุโมงค์มิติขณะที่สะท้อนก้องออกไป
ชื่อเหยียนกลอกตาชี้ไปที่ลั่วหลีแล้วก็มู่เฉิน “เมล็ดพันธุ์ที่ข้าบอกคือนาง ไม่ใช่เขา”
เมื่อมู่เฉินเห็นสิ่งนี้ก็ได้แต่ยักไหล่อย่างเซ็งๆ เท่านั้น
อีกด้านหนึ่งของอุโมงค์มิติก็รู้สึกโล่งใจก่อนที่จะพูดอีกครั้งว่า “ในเมื่อเป็นแบบนี้ เจ้าก็พานางออกไปซะ แต่ไอ้เด็กกาลกิณีต้องอยู่ที่นี่!”
เมื่อลั่วหลีได้ยินคำพูดนั่น นางก็พูดขึ้นทันที “ถ้ามู่เฉินอยู่ ข้าก็อยู่!”
จบคำพูด นางก็หันไปหาชื่อเหยียน “ขอบคุณที่ผู้อาวุโสให้ความสำคัญเจ้าค่ะ”
เมื่อชื่อเหยียนได้ยินคำพูดของนาง เขาก็ไม่โกรธแต่พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะหันไปมองอุโมงค์มิติ “ดูเหมือนว่าข้าจะปล่อยให้เด็กคนนี้อยู่ไม่ได้ หากเจ้าไม่ยอมปล่อย ข้าก็คงต้องขอลองชิมพลังอำนาจของเผ่าฝูถูซะหน่อยแล้ว”
ขณะที่พูดน้ำเต้าสีแดงก็ค่อยๆ เปล่งประกายแสงสีแดงออกมา ก่อนที่อุณหภูมิน่าสะพรึงจะพัดระหว่างสวรรค์และโลก
เมื่อเห็นการตัดสินใจเด็ดขาดของชื่อเหยียน ฝั่งในอุโมงค์มิติก็เงียบไป จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจากเผ่าฝูถูโกรธจัดอย่างเห็นได้ชัด เรื่องของวันนี้เป็นสิ่งที่เขาทำภายใต้ความคิดของตนเอง หากคนในตระกูลรู้เรื่องนี้เข้าจะทำให้เขาเดือดร้อนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเรื่องนี้ไปถึงหูชิงเหยี่ยนจิ้ง ด้วยนิสัยของนางคงจะอาฆาตแค้นไม่เลิกแน่ ผู้หญิงคนนั้นเป็นอะไรที่แม้แต่ผู้อาวุโสใหญ่ยังไม่สามารถปราบไว้ได้ ดังนั้นเขาจะต้องเป็นคนที่รับทุกข์ทั้งหมดแน่นอน
ขณะที่ในอุโมงค์มิติยังคงเงียบสงบ ชื่อเหยียนก็หันไปมองมู่เฉิน ดวงตาวูบไหวพลางถอนหายใจ “เด็กคนนี้ก็เป็นเมล็ดพันธุ์ยอดเยี่ยม เผ่าโบราณของเจ้าใช้ชีวิตอย่างอุดมสมบูรณ์โดยไม่เห็นคุณค่า หากเด็กคนนี้ได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง เขาจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนในอนาคตแน่นอน แต่กระนั้นพวกเจ้าก็ยังปฏิบัติต่อเขาในฐานะตัวกาลิกิณี ตลกแท้จริง”
ได้ยินการประเมินของชื่อเหยียนเกี่ยวกับมู่เฉิน เสียงที่ไม่สามารถระบุอารมณ์ได้ก็เค้นดังออกมาจากอีกด้านหนึ่งของอุโมงค์มิติ แต่เขาก็ไม่ได้อธิบายอะไร “ในเมื่อไอ้เซียนเฒ่าอย่างแกต้องการแทรกแซงเรื่องนี้ งั้นก็แล้วแต่ แค่หวังว่าแกจะรับผลที่ตามมาได้!”
“นี่เป็นเรื่องของข้า พวกเจ้าไม่ต้องสะเออะสอน” ชื่อเหยียนหัวเราะเบาๆ
จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจากเผ่าฝูถูรู้ดีว่าคงไม่มีความคืบหน้าในเรื่องนี้แล้ว คลื่นหลิงก็กวาดออกดูดร่างกู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูเข้าไปในกระแสมิติ
ความผันผวนของห้วงมิติกระจายออกแล้วค่อยๆ หายไป
การหายไปของกระแสมิติ ทำให้ความกดดันน่าสะพรึงที่ล้อมรอบบริเวณนี้ก็ลดระดับลงอย่างรวดเร็ว แสงส่องลงมายังสถานที่แห่งนี้อีกครั้ง
มู่เฉิน ลั่วหลีและหลงเซี่ยงรู้สึกโล่งใจอย่างมาก เนื่องจากแรงกดดันที่มาจากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทรงพลังเกินไป การดำรงอยู่แบบนั้นไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสามารถจัดการได้ในขณะนี้
“ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือท่านผู้อาวุโส”
มู่เฉินหันกลับประสานมือก้มศีรษะให้ชื่อเหยียน
ชื่อเหยียนโบกมือขณะที่เขามองมู่เฉินพร้อมกับรอยยิ้มแปลกประหลาด “ไอ้หนู แม้ไม่มีชายชราคนนี้ ข้าเชื่อว่าวันนี้ก็ไม่มีใครทำอะไรกับเจ้าได้”
เขาเหลือบไปที่หินสลักที่ยังอยู่ในมือของมู่เฉิน สัมผัสได้ถึงรัศมีทรงพลังที่กำจายเบาบาง แม้กระทั่งคนอย่างเขายังแขยงอยู่หน่อยๆ เลย
มู่เฉินยิ้มบางก่อนจะแลกเปลี่ยนสายตากับลั่วหลีพูดว่า “ผู้อาวุโส ไม่ทราบว่าท่านตามหาตัวลั่วหลีด้วยเรื่องอะไร?”
เขายังไม่ได้เก็บหินสลัก ปล่อยให้ชื่อเหยียนสัมผัส ซึ่งนี่เป็นรูปแบบการข่มขู่อย่างหนึ่ง นั่นเป็นเพราะเขาไม่แน่ใจเกี่ยวกับความตั้งใจของชื่อเหยียนกับลั่วหลี ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล มู่เฉินก็จะบอกให้รู้ว่าแม้ว่าเขาจะไม่สามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะทำอะไรไม่ได้
ในโลกนี้การยืมพลังของคนอื่นก็ถือเป็นจุดแข็งเช่นกัน
ลั่วหลีกวาดม่านตาแก้วใสไปที่ชื่อเหยียนด้วยความสงสัย เมื่อชายชรามองลั่วหลี เขายิ้มตาหยี “ที่จริงแล้วเหตุผลที่ตาแก่คนนี้มาหานางเป็นเรื่องง่าย… ข้าต้องการให้นางไปเป็นธิดาเทพของเผ่าไท่หลิงน่ะ”
“ธิดาเทพอีกแล้วเหรอ?!”
ใบหน้าของมู่เฉินและลั่วหลีเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินเรื่องนี้
“อะแฮ่ม ธิดาเทพเผ่าไท่หลิงไม่เหมือนกับตำหนักซีเทียนนะ!” เมื่อชื่อเหยียนเห็นสายตาระแวดระวังของพวกเขาก็อธิบายทันที
ดูท่าเขารู้เรื่องที่จักรพรรดิสัประยุทธ์พยายามจะเกี้ยวลั่วหลีให้รับตำแหน่งธิดาเทพ
“ผู้อาวุโส ข้าเป็นจักรพรรดินีตระกูลลั่วเสิน นอกจากนี้ข้าก็ไม่ได้เป็นคนจากเผ่าไท่หลิง ดังนั้นข้าขอสำนึกบุญคุณของท่านไว้ในใจ” นางส่ายหัวปฏิเสธความหวังดีของชื่อเหยียน แม้ว่าเผ่าไท่หลิงจะเป็นหนึ่งในห้าเผ่าโบราณของมหาพันโลก แต่นางก็ไม่มีแผนที่จะภักดีต่อพวกเขา
เมื่อเห็นว่าลั่วหลีปฏิเสธโดยไม่ลังเล ชื่อเหยียนก็ตะลึงงัน เผ่าไม่หลิงมีชื่อเสียงเลื่องลื่อในมหาพันภพ ไม่มีใครที่ไม่ต้องการเชื่อมสัมพันธ์กับพวกเขาในทางปฏิบัติ แต่ในสายตาของลั่วหลีไม่ได้สนใจสักนิด
เผชิญกับผลลัพธ์นี้ ชื่อเหยียนก็มีใบหน้าเปรี้ยวฝาดไป
มู่เฉินและลั่วหลีแลกเปลี่ยนสายตากันก่อนที่จะเลิกสนใจชายชรา
มู่เฉินหันไปมองที่ส่วนลึกของเกาะหัวใจหยกพูดกับลั่วหลีว่า “ไปช่วยพี่หลิงซีกันก่อนเถอะ”
ลั่วหลีพยักหน้า จากนั้นทั้งสองก็มุ่งหน้าไปที่ยังส่วนลึกของเกาะ ปล่อยชื่อเหยียนให้ยืนทึ่มทื่อตรงนั้นด้วยสีหน้าขมขื่น
เวลาเดียวกันที่เผ่าฝูถู
ชายชราชุดดำมองไปที่กู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูที่กำลังตัวสั่นเทาพูดด้วยเสียงเย็น “เจ้าสองคนช่างกล้า เครื่องรางของข้าไม่ได้ให้ไว้เพื่อจัดการกับไอ้ตัวกาลกิณี!”
ใบหน้าของกู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูดิ่งลง ไม่กล้าแก้ตัวอะไร
เมื่อเห็นท่าทางทั้งสองไร้ประโยชน์ ชายชราสวมชุดดำก็เค้นเสียงดวงตากะพริบวูบไหว “เจ้าสองคนติดตามข้าไปเยี่ยมเยียนประมุขน้อย รายงานทุกสิ่งที่รู้เกี่ยวกับไอ้กาลกิณีนั่น เพื่อให้เขาตัดสินใจ”
เมื่อพูดจบเขาก็สะบัดแขนเสื้อออกไป เมื่อกู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูเห็นก็รีบติดตามไปด้วยเช่นกัน
ทั้งสามเดินผ่านอาคารหลายหลัง ก่อนจะมาถึงลานหินที่สร้างขึ้นบนหน้าผาสูงชันเมฆล้อมรอบลาน ชายหนุ่มชุดสีฟ้าอมเขียวนั่งเงียบๆ อยู่ที่นั่น รัศมีของเขาลึกพอกับก้นบึ้งไม่อาจหยั่งรู้ เจดีย์ผลึกใสสามารถมองเห็นผ่านดวงตาที่เปิดออก
ชายชราชุดดำมายืนที่เบื้องหลังชายหนุ่ม ส่วนกู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูก็คุกเข่าทำความเคารพ
“คารวะประมุขน้อย!”
ชายหนุ่มชุดสีฟ้าอมเขียวเปิดตาอย่างช้าๆ มองทะเลเมฆผ่านรอยยิ้มจางๆ ก่อนที่เสียงจะดังก้องเนิบนาบโดยไม่มีอารมณ์ใดๆ
“เจ้าสองคนเจอไอ้กาลกิณีคนนั้นแล้วใช่ไหม?”
บทที่ 1285 วิชาเจดีย์แปดองค์
“เจ้าสองคนเจอไอ้กาลกิณีคนนั้นแล้วใช่ไหม?”
เมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม กู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูก็ตัวสั่นไหวขณะที่ผงกหัวหงึกหงัก
“แล้วทำไมไม่บอกข่าวนี้กับข้าก่อน” ชายหนุ่มถามเสียงนิ่ม
แต่เมื่อเผชิญกับน้ำเสียงอ่อนโยน ใบหน้าของกู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูก็ซีดเผือด ก่อนที่พวกเขาจะตอบอย่างขมขื่น “ตอนแรกพวกข้าสองคนคิดว่าจะจับมันก่อน ค่อยมอบให้กับประมุขน้อย นี่เป็นความผิดพลาดของพวกข้าที่ขาดความยั้งคิด โปรดอภัยให้พวกข้าด้วย”
ชายหนุ่มเคาะนิ้วที่หัวเข่าเบาๆ ขณะที่กวาดสายตามองทั้งสอง พวกเขาก็เหงื่อกาฬแตกพลั่ก เขาพูดช้าๆ ว่า “แม้ว่าเจ้าสองคนจะลงมือโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ข้าจะปล่อยเรื่องนี้ไปเพื่อเห็นแก่หน้าที่ติดตามกันมานาน สำหรับผู้อาวุโสใหญ่ข้าจะไปคุยให้เอง เพื่อได้ยกเว้นจากการลงโทษ”
“ขอบคุณประมุขน้อย!”
กู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูยินดีเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น ต่างรีบแสดงความขอบคุณอย่างรวดเร็ว ความรู้คุณวูบไหวในดวงตา
“ข้าได้ยินมาว่าไอ้กาลกิณีนั่นก็ฝึกฝนเจดีย์พุทธะด้วยเช่นกันหรือ?” ชายชุดสีฟ้ายิ้มบาง
กู้ซือหวงพยักหน้า “ประมุขน้อย ไอ้เจ้านั่นมีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม แม้จะเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย แต่มันก็สามารถบีบให้ข้าต้องตกอยู่ในสภาพน่าสมเพช จากการหยั่งเชิงมันจะต้องสร้างเจดีย์พุทธะได้แล้วแน่ มิเช่นนั้นมันไม่มีทางครอบครองคลื่นหลิงทรงพลังเช่นนี้ในฐานะจอมยุทธ์ตี้จื้อจุนขั้นปลายได้”
ชายชุดสีฟ้าอมเขียวยิ้มด้วยตาหรี่แคบลง “สมกับเป็นลูกชายของชิงเหยี่ยนจิ้งอย่างแท้จริง ไม่คิดว่าแม้จะไม่มีทรัพยากรของเผ่า เขาก็สามารถมาได้ไกลขนาดนี้”
เหลียงเสียหยูตอบด้วยความเกลียดชัง “แม้ว่าไอ้กาลกิณีนั่นจะมีความสามารถ แต่มันก็คล้ายกับหิ่งห้อยเมื่อเทียบกับดวงจันทร์สุกใสแบบประมุขน้อย”
“นั่นแน่นอน ประมุขน้อยเป็นอัจฉริยะพันปีของเผ่าฝูถู ในอนาคตท่านจะได้ปกครองเผ่า มู่เฉินต้องดูหม่นแสงเมื่อเทียบกับท่าน” กู้ซือหวงพยักหน้าหงึกหงักขณะที่ตอบรับแบบพินอบพิเทา
ขณะที่พูด กู้ซือหวงก็หยุดลังเลชั่วครู่ “แต่ตอนที่พวกข้าต่อสู้กับมัน ข้าพบว่ามันมีร่างรองสองร่างที่มีการฝึกฝนเหมือนกับร่างหลักเปี๊ยบ ซึ่งยากมากที่จะจัดการ ข้าเกือบตายเพราะตั้งตัวไม่ทัน”
“ร่างรองสองร่างที่มีพลังพอกับร่างหลักเหรอ?”
ดวงตาของชายชุดสีฟ้าอมเขียวกะพริบ เขาครุ่นคิดอยู่นานก่อนที่การแสดงออกจะกลายเป็นความหวั่นไหว “หรือจะเป็น…วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่าในตำนาน—วิชาสามพิสุทธิ์!”
จอมยุทธ์เทียนจื้อจุนชุดดำสีหน้าเปลี่ยนไปชั่วครู่ขณะพยักหน้า “ร่างดวงจิตธรรมดาที่สร้างจากพลังงานหลิงสามารถครอบครองพลังหนึ่งส่วนสิบของร่างหลักได้เท่านั้น หากต้องการครอบครองโดยสมบูรณ์จะต้องเป็นวิชาสามพิสุทธิ์ในตำนานเท่านั้น”
“แต่วิชาสามพิสุทธิ์สูญหายไปนานแล้ว ข้าไม่คิดว่าไอ้เด็กกาลกิณีจะมีโชคลาภที่น่าตกใจเช่นนี้”
ขณะพูดดวงตาของชายชุดดำก็เปิดเผยความโลภ วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่า น่าดึงดูดใจแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนแบบเขา
“มีเพียงประมุขน้อยเท่านั้นที่คู่ควรที่จะได้รับวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานทรงพลังเช่นนี้ ไอ้กาลกิณีนั่นจะครอบครองได้ยังไง?!” กู้ซือหวงพูดกระแทกกระทั้น พยายามยั่วยุชายชุดฟ้าอมเขียวให้แก้แค้นแทนพวกเขา
ทว่าชายชุดฟ้าอมเขียวยังคงมีสีหน้าสงบไม่ได้สั่นคลอนแต่อย่างใด “วิชาสามพิสุทธิ์ดึงดูดใจอย่างแท้จริง แต่ข้าไม่มีเวลาที่จะตามหาเขาตอนนี้”
ชายชุดดำพยักหน้าเช่นกัน “ประมุขน้อยพูดถูกต้อง แดนเซิ่งยวนใกล้เปิดแล้ว เรื่องสำคัญตอนนี้คือนายน้อยต้องดำเนินการอย่างสวยงามที่นั่น หากนายน้อยสามารถได้รับวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดที่สูญหายมายาวนานของเผ่าเรา—วิชาเจดีย์แปดองค์ นายน้อยก็จะสามารถเอาชนะคู่แข่งคนอื่นได้ กลายเป็นประมุขคนต่อไป!”
“วิชาเจดีย์แปดองค์?!”
หัวใจของกู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูสั่นไหวขณะที่ร้องอุทาน “ใช่วิชาเจดีย์แปดองค์วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่าใช่หรือไม่?”
ชายชุดฟ้าอมเขียวคลี่รอยยิ้มกล่าวว่า “มีอะไรที่ต้องตกใจ? วิชาเจดีย์แปดองค์เป็นวิชาของเผ่าเราอยู่แล้ว เพียงแค่บรรพบุรุษที่เป็นผู้สร้างได้จบชีวิตไปอย่างน่าเสียดายในการต่อสู้กับจอมปีศาจระดับเทียนของเผ่าปีศาจต่างมิติ ดังนั้นวิชาเจดีย์แปดองค์จึงหายไป ตลอดเวลานี้เผ่าพยายามค้นหา แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ”
“แดนเซิ่งยวนเป็นสมรภูมิรบระหว่างมหาพันภพกับจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ สภาพแวดล้อมที่นั่นเลวร้ายจนแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็อาจตายแบบไม่เหลือซากหากพวกเขาประมาท”
ชายชุดดำถอนหายใจ “น่าเสียดายที่ดินแดนนั่นมีแรงปฏิเสธทรงพลังเกินไป ที่นั่นเป็นจุดตัดระหว่างมหาพันภพและเผ่าปีศาจต่างมิติ ดังนั้นหากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเข้าไปก็จะทำให้เกิดความปั่นป่วน หากไม่ระวังก็อาจจะถูกโยนไปยังดินแดนของเผ่าปีศาจได้”
เมื่อกู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูได้ยินประโยคเหล่านั้นร่างกายก็สั่นเทิ้ม แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็อาจจะตายอย่างช้าๆ หากถูกโยนเข้าไปในดินแดนของเผ่าปีศาจและหากไปดึงดูดความสนใจจากระดับราชันปีศาจเข้าละก็ งานนี้คงถึงวาระแน่นอน
“ในเผ่าตอนนี้ประมุขน้อยคนอื่นก็กำลังเตรียมเข้าสู่แดนเซิ่งยวน ชัดว่าเป้าหมายของพวกเขาก็คือวิชาเจดีย์แปดองค์ หากพวกเขาได้รับไป กระทั่งนายน้อยก็จะตกเป็นเบื้ยล่างทันที”
ขณะที่พูดชายชุดดำก็มีสีหน้าเคร่งเครียด เพราะเขารู้ว่าผลที่ตามมาน่ากลัวขนาดไหน
กู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูพยักหน้า เมื่อเปรียบเทียบกับสถานะประมุขน้อยของพวกเขาแล้ว การจัดการกับไอ้ตัวกาลกิณีหยุดวางไว้เฉยๆ ก่อนได้
“แต่ถึงแม้ตอนนี้เราจะวางความสนใจไว้กับเรื่องแดนเซิ่งยวน เราก็คงยังต้องใส่ใจกับการเคลื่อนไหวของไอ้กาลกิณีนั่น ข้าสนใจวิชาสามพิสุทธิ์ในตำนานมากเลยทีเดียว” ชายชุดฟ้าอมเขียวยิ้มบางขณะที่พูดต่อ
“ถ้าข้าสามารถได้รับทั้งวิชาเจดีย์แปดองค์และสามพิสุทธิ์ แม้ในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ข้าก็สามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนได้”
พลังอำนาจของวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่าสองวิชาเป็นสิ่งที่เหนือจินตนาการนัก
“นายน้อยความคิดหลักแหลมนัก มีเพียงท่านเท่านั้นที่ควรค่าแก่สมบัติเช่นนี้ สำหรับไอ้กาลกิณีนั่นมันเป็นโชคลาภที่ท่านใช้ผ่านมันไป” กู้ซือหวงรีบเอ่ยทันที
ชายหนุ่มชุดฟ้าอมเขียวยิ้มพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ส่งคนเกาะรอยไอ้กาลกิณีนั่นไว้ หลังจากการเดินทางเพื่อไปยังแดนเซิ่งยวนเสร็จเรียบร้อย ข้าจะเดินทางไปเยี่ยมเขาเป็นการส่วนตัว”
“ถ้าเขายอมส่งวิชาสามพิสุทธิ์มาให้ดีๆ ข้าก็อาจช่วยเขาพูดกับผู้อาวุโสใหญ่ให้หน่อย”
“แน่นอนว่า ที่สำคัญถ้าสามารถจับเขาเป็นลูกไก่ในกำมือ บางทีอาจใช้เป็นไพ่ในการรับมือกับชิงเหยี่ยนจิ้งได้ด้วย ถึงตอนนั้นถ้าสามารถดึงให้นางมาสนับสนุนฝั่งเรา กำลังของเราก็มากกว่าเพียงพอแล้ว”
ชายชุดดำพยักหน้าขณะที่พูดต่อ “แม้ว่าชิงเหยี่ยนจิ้งจะถูกจองจำมานานหลายปี แต่ก็ยังมีผู้สนับสนุนเบื้องหลัง ดังนั้นพลังของนางจึงไม่สามารถประมาทได้ หากเราสามารถทำให้พวกเขาเอนเอียงมาทางเรา ก็จะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับพวกเรา”
ชายหนุ่มชุดฟ้าอมเขียวพยักหน้ามองเข้าไปในความลึกของหมู่เมฆด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“ดูเหมือนว่าไอ้กาลกิณีนั่นจะเป็นดาวนำโชคของข้านะ”
ในคุกมืดมิด
มู่เฉินมองหญิงสาวที่เรียบเย็นก็รู้สึกโล่งใจ มองจากท่าทางแล้วหลิงซียังดูดีเลยทีเดียว
หลิงซีเงยหน้าขึ้นมองไปที่ชายหนุ่ม ช่วงเวลาสั้นๆ รอยยิ้มกว้างยินดีปรีดาก็เผยบนริมฝีปากของนาง
เมื่อเทียบกับในอดีตมู่เฉินเติบโตขึ้นเป็นชายชาตรีอย่างสมบูรณ์ ความอ่อนโยนหายไปแทนที่ด้วยหัวใจที่มั่นคงซึ่งไม่อาจสั่นไหว
เขายังคงดูหล่อเหลาแต่ก็มีเสน่ห์ของชายเต็มวัยขึ้นมาเล็กน้อย
มองไปที่มู่เฉิน รอยยิ้มของหลิงซีก็ยิ่งเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน ชายหนุ่มเพิ่งเริ่มโตในอดีต…กลายเป็นคนที่ยืนหยัดเผชิญหน้ากับโลกใบนี้ได้แล้ว
เขาไม่ต้องการการปกป้องของนางอีกต่อไปและไม่ต้องการให้ท่านน้าจิ้งเป็นห่วงอีกแล้ว
นางเข้าใจดีถึงเรื่องนี้ตั้งแต่เห็นว่าเขาก้าวย่างอย่างไม่กลัวเกรงมาที่เกาะหัวใจหยกนี้ ชายหนุ่มเติบโตจนถึงจุดที่เขาไม่กลัวพายุร้ายใดอีกต่อไป
“ท่านน้าจิ้ง… ในที่สุดมู่เฉินก็เติบโต ท่านสามารถปลดภาระได้แล้ว ข้าเชื่อว่าไม่นานจากนี้เผ่าฝูถูก็ไม่สามารถใช้เขาเพื่อขู่ท่านได้อีกต่อไป”
“พี่หลิงซี”
มู่เฉินมองหลิงซีด้วยรอยยิ้มสดใส ก่อนที่จะสะบัดแขนเสื้อกระแทกฝ่ามือไปที่คุก พยายามจะทำลาย
ฮึ่ม
ทว่าคุกก็ยังคงยืนอย่างมั่นคง
“เอ่อ”
มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะมองด้วยความประหลาดใจ ในเวลานี้เขาก็ตระหนักว่าคุกนี้สร้างจากค่ายกล ตัดสินจากระดับไม่ได้อ่อนไปกว่าค่ายกลที่ปกป้องเกาะเลย
มู่เฉินเกาหัวอย่างเงอะงะ ดูเหมือนว่าความพยายามของเขาที่จะทำตัวเท่ล้มเหลวแล้ว
คิก คิก
ลั่วหลีไม่สามารถกลั้นเสียงหัวเราะได้ขณะที่ยืนข้างหลัง แม้แต่หลิงซีก็เม้มปากแน่นแล้วส่งยิ้มให้ จากนั้นนางก็วาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว ความผันผวนของคลื่นหลิงที่เกิดจากใต้ดินเริ่มหายไป
“หลิงซี ที่แท้เจ้าก็สามารถควบค่ายกลนี้ได้แล้ว!” หลงเซี่ยงอดอึ้งไปไม่ได้เมื่อเห็นภาพนี้
“ค่ายกลที่นี่เป็นสิ่งที่น้าจิ้งตั้งขึ้นเอง ดังนั้นข้าจึงสามารถควบคุมได้โดยธรรมชาติ หลังจากอยู่ที่นี่มาสามปี ดังนั้นแม้ว่าพวกเจ้าจะไม่มา กู้ซือหวงก็ทำอะไรข้าไม่ได้” หลิงซียิ้มบาง
เมื่อได้ยินคำพูดของนาง ทั้งสามคนก็แลกเปลี่ยนสายตากันก่อนจะยิ้มอย่างขมขื่น
มองแต่ละคนที่จนคำพูด หลิงซีก็ยิ้ม “แต่พี่สาวก็ยังคงมีความสุขที่มู่เฉินมาช่วยนะ”
รอยยิ้มของนางช่างมีเสน่ห์มาจากส่วนลึกของหัวใจ
“แต่…ดูเหมือนว่าเจ้าจะโชคดีที่มาที่นี่”
หลิงซีมองมู่เฉินที่ดูงงงวย ก่อนที่มือนางจะแตะเบาๆ บนหินสีดำเหมือนกระจกเรียบที่ส่องแสงประหนึ่งดวงดาว
ประโยคต่อมาของนางทำให้ดวงตามู่เฉินเบิกกว้าง
“เพราะ…มีของขวัญจากน้าจิ้งทิ้งไว้ให้เจ้าที่นี่”
บทที่ 1286 แม่ลูกพบกันอีกครั้ง
“ของขวัญจากท่านแม่?”
สายตาของมู่เฉินเต็มไปด้วยความสุขที่พล่านในส่วนลึกของนัยน์ตา ขณะมองไปที่หลิงซี เห็นได้ชัดว่าคำพูดนี้กระตุ้นความสนใจของเขาเต็มที่
รอยยิ้มบางประดับบนใบหน้านางพร้อมกับโบกมือ หินสีดำเบื้องล่างตัวนางก็เปล่งประกายก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นท้องฟ้าวพราวแสง
จุดแสงเหล่านั้นราวกับกลายเป็นทางช้างเผือก
สายตาของมู่เฉินตรึงอยู่บนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ก่อนที่เขาจะมองดูวิถีโคจรของดวงดาวก็รู้สึกว่ามีความผันผวนลึกซึ้งค่อยๆ แผ่ออกมาอย่างช้าๆ
“ในอดีตน้าจิ้งก็เคยมาฝึกฝนที่เกาะหัวใจหยกแห่งนี้ จึงมีความเข้าใจและประสบการณ์มากมายที่นางทิ้งไว้ในกระจกหัวใจดำชิ้นนี้ นี่คือสิ่งที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังโดยหลิงเจิ้นต้าจงซือตัวจริง ซึ่งเปรียบเสมือนสมบัติล้ำค่าสำหรับหลิงเจิ้นซือทุกคน”
สายตาของหลิงซีก็พร่ามัวเมื่อมองไปที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว นางพูดเบาๆ ว่า “เวลาสามปีที่ผ่านมา ข้าได้ฝึกฝนที่นี่จนกระทั่งเมื่อสองเดือนที่แล้ว ข้าก็สามารถบรรลุการเป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนได้”
“พี่หลิงซี เจ้าบรรลุหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนแล้วเหรอ?”
มู่เฉินอึ้งไป ตอนที่หลิงซีจากไป นางเป็นเพียงหลิงเจิ้นต้าซือ แต่ตอนนี้นางก้าวเข้าสู่ระดับหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนในเวลาเพียงสามปี!
นี่เป็นสิ่งที่น่าตกตะลึงอย่างยิ่ง!
“ก่อนที่ข้าจะสูญเสียความทรงจำ ระดับของข้าเข้าใกล้การเป็นหลิงเจิ้นจงซืออยู่แล้ว… เมื่อได้รับการกู้คืนความทรงจำ พลังของข้าก็ฟื้นตัวขึ้นตามธรรมชาติและเพิ่มขึ้นทบทวีคูณจากประสบการณ์หลายปีที่ฝึกฝน” หลิงซียิ้มขณะที่อธิบาย
มู่เฉินเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ยังคงทำการย่อยข้อมูลอย่างช้าๆ เนื่องจากหลิงซีมีพรสวรรค์ที่โดดเด่นในศาสตร์ค่ายกล บวกกับเรื่องที่นางติดตามมารดาของเขาตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นจุดเริ่มต้นของนางจึงอยู่ในจุดที่สูงกว่าคนทั่วไป บวกกับการได้ปลีกวิเวกเพื่อทำความเข้าใจประสบการณ์และความรู้ที่มารดาของเขาทิ้งไว้ ดังนั้นจึงไม่ได้เหลือเชื่อเกินเหตุที่นางจะประสบความสำเร็จเช่นนี้
ที่สำคัญกว่านั้นหลิงซีมุ่งเน้นไปที่ศาสตร์ค่ายกลอย่างเดียวซึ่งไม่เหมือนเขา ตัวเขาไม่เพียงศึกษาค่ายกลเท่านั้น เขายังให้ความสนใจกับศาสตร์ค่ายกลสงครามและศาสตร์พลังหลิงด้วยเช่นกัน
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่หลิงซีจะเอาทิ้งห่างเขาหลายขุมในการบรรลุด้านค่ายกล
หลิงซีพยักหน้าคลี่ยิ้ม “ช่วงนี้เจ้าก็อยู่ฝึกฝนที่นี่เถอะ ข้าเชื่อว่านี่จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับเจ้า แต่จะบรรลุการเป็นหลิงเจิ้นจงซือได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของเจ้าแล้ว”
มู่เฉินเลียริมฝีปาก ดวงตาวูบไหวด้วยไฟลุกโชน
หลายปีที่ผ่านมาหลังจากแยกจากหลิงซี เรื่องศาสตร์ค่ายกลเขาก็ได้แต่ทำความเข้าใจด้วยตนเอง แม้ตอนนี้จะถือเป็นหลิงเจิ้นจงซือเช่นกัน แต่ในแง่รากฐานด้านค่ายกล เขาก็ยังด้อยกว่าเมื่อเทียบกับหลิงซีมาก
ตอนนี้เขาสามารถเรียนรู้จากความเข้าใจและประสบการณ์ที่เหลือจากมารดา ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่มีค่าอย่างไม่ต้องสงสัย
บางทีเขาอาจสามารถบรรลุเป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนได้จากสิ่งนี้
ในเวลานั้นแม้ว่าเขาจะปะทะกับกู้ซือหวงอีกครั้ง เขาก็ไม่จำเป็นต้องใช้กระบี่เกล็ดจักรพรรดิเพื่อจัดการกับอีกฝ่ายแล้ว
เมื่อมองเห็นความร้อนแรงในสายตาของมู่เฉิน หลิงซีก็ยิ้มก่อนที่นางจะลุกขึ้นยืน “จากนี้ไปที่นี่เป็นของเจ้า”
มู่เฉินพยักหน้า ไม่ได้เกรงใจอะไร เขาเดินขึ้นหน้าไปนั่งลงบนพื้นสบตากับลั่วหลีสั้นๆ ก่อนจะปิดตาลง
“ไปกันเถอะ ให้เขาดื่มด่ำในการเพาะบ่มในช่วงนี้”
เมื่อเห็นว่ามู่เฉินเข้าสู่สถานะการเพาะบ่มเรียบร้อย หลิงซีก็ยิ้มให้ลั่วหลีจับมือกันเดินออกจากคุกไป
เมื่อพวกนางจากไป คุกก็กลับมาเงียบงันอีกครั้ง
หัวใจของมู่เฉินสงบลงเหมือนบ่อน้ำลึกที่ไม่มีระลอกคลื่น
แปะ!
ความเงียบกินเวลาอยู่นาน เสียงน้ำหยดหนึ่งก็ดังสะท้อนสร้างระลอกคลื่นในความเงียบ ระลอกคลื่นกระจายออกไป มู่เฉินก็รู้สึกได้ว่าสภาพแวดล้อมรอบตัวเริ่มเปลี่ยนไป
เขาเหมือนนั่งอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ดาวหางพุ่งผ่านขอบฟ้าราวกับภาพสลักอันงดงาม
ทันใดนั้นแสงดาวก็ส่องลงมาเบื้องหน้ามู่เฉินควบแน่นเป็นร่างเงา เรือนผมถูกเกล้าไว้หลวมๆ รอยยิ้มอ่อนโยนประดับที่มุมปาก นางช่างงดงามและสง่างาม ทำให้มู่เฉินต้องอึ้งไปพักหนึ่ง
“ท่านแม่?”
กระทั่งคนใจเย็นอย่างเขาเมื่อเห็นนางก็ยังตะลึงงันไปไม่ได้ เพราะเขาไม่คิดว่าจะได้พบกับมารดาที่นี่
แม้ว่านี่จะเป็นเพียงร่างดวงจิต แต่นับตั้งแต่ทวีปเป่ยชางเขาก็ไม่ได้พบมารดาอีกเลย
“ลูกรัก”
ขณะที่มู่เฉินตะลึงงัน ชิงเหยี่ยนจิ้งก็อึ้งไปเมื่อมองมู่เฉิน ครู่หนึ่งต่อมาหยาดน้ำตากลิ้งไปมาในนัยน์ตานาง ก่อนที่นางจะขยับอย่างรวดเร็วสวมกอดมู่เฉินเบาๆ
แม้ว่านางจะเป็นเพียงร่างดวงจิต แต่ก็ยังเชื่อมโยงกับร่างกายหลัก
เมื่อถูกกอด มู่เฉินที่ใจเย็นก็แข็งทื่อ ตั้งแต่เขายังเด็กสิ่งหนึ่งที่ใฝ่ฝันตลอดก็คือการโอบกอดของมารดา แต่ถึงกระนั้นการร้องของ่ายๆ นี้ก็ไม่สามารถเติมเต็มได้
แม้ว่านางจะเป็นเพียงร่างดวงจิต แต่มู่เฉินก็ยังรู้สึกถึงความอบอุ่นที่อธิบายไม่ได้พลุ่งพล่านอยู่ในหน้าอกของเขา
ยามนี้แม้ว่าหัวใจจะถูกขัดเกลามาตลอดหลายปี ดวงตาเขาก็ยังอดแดงขึ้นไม่ได้
“มู่เฉิน เจ้าโตมากขึ้นจริงๆ”
นานกว่าชิงเหยี่ยนจิ้งจะคลายอ้อมกอดจากบุตรชายและเริ่มจ้องมองเขาราวกับว่านางไม่ต้องการที่จะพลาดจุดใดๆ รอยยิ้มประดับบนใบหน้างดงาม
มู่เฉินเกาหัวแล้วยิ้ม
“ในเมื่อเจ้าพบร่างดวงจิตนี้ของข้าได้ แสดงว่าเจ้าไปที่เกาะหัวใจหยกแล้วสินะ” ชิงเหยี่ยนจิ้งลูบบุตรชายอย่างรักใคร่ ขณะที่ยิ้มบาง
มู่เฉินพยักหน้า “พี่หลิงซีบอกว่าท่านแม่ได้ทิ้งของขวัญไว้ให้ที่นี่”
ชิงเหยี่ยนจิ้งยิ้ม “มีเพียงเจ้าและหลิงซีเท่านั้นที่สามารถเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ได้ ดังนั้นความเข้าใจที่ข้าทิ้งไว้ก็มีเพียงพวกเจ้าที่รับไปได้”
นางกวาดสายตาไปที่มู่เฉินพูดว่า “จงแสดงค่ายกลที่แข็งแกร่งที่สุดของเจ้าให้แม่ดูหน่อย”
เมื่อย้อนกลับมาที่หัวข้อหลัก มู่เฉินก็รู้สึกตื่นเต้นในหัวใจ สัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนบินออกมาราวกับผีเสื้อ ก่อนที่จะรวมเข้ากับสภาพแวดล้อม
เมื่อสัญลักษณ์หลิงยิงรวมเข้าด้วยกัน ค่ายกลขนาดใหญ่ก็เริ่มก่อตัวขึ้นพร้อมกับเสียงคำรามของมังกรสะท้อนอยู่ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว
ค่ายกลนี้ก็คือค่ายกลที่แข็งแกร่งที่สุดที่มู่เฉินสามารถควบคุมได้ตอนนี้…ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร
กวาดสายตามองค่ายกล ชิงเหยี่ยนจิ้งก็พยักหน้าเบาๆ “ค่ายกลนี้ค่อนข้างน่าสนใจ ไม่คิดว่าความรู้ของเจ้าในศาสตร์ค่ายกลจะมาถึงระดับหลิงเจิ้นจงซือขั้นตี้แล้ว”
น้ำเสียงของนางฟังดูซาบซึ้ง เพราะมู่เฉินพึ่งพาตนเองปลูกฝังค่ายกลมาไกลได้ปานนี้ ถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะแล้ว
“ด้วยระดับปัจจุบันของเจ้า ก็สามารถพิจารณาว่าได้ลงฐานเกี่ยวกับศาสตร์ค่ายกลได้แล้ว”
เมื่อได้ยินว่าแม้แต่หลิ้งเจิ้นจงซือขั้นตี้สำหรับชิงเหยี่ยนจิ้งยังเป็นเพียงแค่การลงฐานเท่านั้น มู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะแอบเดาะลิ้น หากอยู่ในทวีปเทียนหลัว หลิงเจิ้นจงซือขั้นตี้สามารถสร้างสำนักของตนได้เลยทีเดียว
แต่เมื่อคิดได้ว่ามารดาของตนเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือ เขาก็รู้ว่าหลิงเจิ้นจงซือในสายตาของนางอาจเป็นการตั้งหลักบนเส้นทางแห่งค่ายกลเท่านั้น
“เจ้าเริ่มประสบความสำเร็จในด้านค่ายกลแล้ว เพียงว่าเส้นทางในอนาคตของเจ้าอาจไม่คุ้นเคย”
เมื่อได้ยินมู่เฉินก็พยักหน้าเบาๆ เขารู้ว่าชิงเหยี่ยนจิ้งกำลังพูดถึงระดับต้าจงซืออยู่
ระดับนั้นเป็นสิ่งที่แม้แต่มู่เฉินก็ยังไม่เข้าใจอะไรเลย
“โดยทั่วไปคลื่นหลิงทั้งหมดเริ่มต้นจากการเชื่อมโยงสวรรค์และโลก ยืมพลังงานในธรรมชาติเพื่อเรียกลมฝน ซึ่งนี่เป็นระดับที่เจ้าอยู่ตอนนี้”
“ส่วนที่เรียกว่าระดับต้าจงซือ จะไม่เชื่อมโยงกับสวรรค์และโลก แต่จะสร้างโลกขึ้น ค่ายกลก็คือโลกใบหนึ่ง ทุกคนที่เข้ามาจะถูกมองว่าเป็นศัตรู”
ชิงเหยี่ยนจิ้งยิ้ม จากนั้นก็กำมือ ค่ายกลขนาดเท่าฝ่ามือก็ปรากฏขึ้น
ค่ายกลนี้วิจิตรบรรจงมาก แต่เมื่อมู่เฉินมองเข้าไปก็รู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด เขาสามารถสัมผัสถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่มีอยู่ในค่ายกลเล็กจิ๋วนี้
หากเขาหลุดเข้าไปในค่ายกลนี้ละก็ ตายคาที่แน่นอน!
“นี่ก็คือการสร้างโลกด้วยค่ายกลของระดับต้าจงซือในตำนาน… ทุกคนที่เข้ามาคือศัตรูของโลกใบนี้”
มู่เฉินมองอย่างหลงใหล คำพูดของชิงเหยี่ยนจิ้งเปิดโลกใหม่ในใจเขา ที่แท้ค่ายกลที่มีอันดับสูงขึ้นมีความลึกซึ้งและยากเกินหยั่งอย่างไม่น่าเชื่อ
ไม่น่าแปลกใจระดับต้าจงซือสามารถเทียบเคียงกับระดับเทียนจื้อจุนได้!
เมื่อเห็นว่ามู่เฉินยังคงดื่มด่ำ ชิงเหยี่ยนจิ้งก็ยิ้มบาง ก่อนที่จะเหยียดนิ้วเรียวแตะหน้าผากของมู่เฉิน ข้อมูลไร้ขอบเขตไหลพรวดเข้ามาในห้วงจิตของมู่เฉินกะทันหัน
นี่คือความเข้าใจและประสบการณ์ทั้งหมดของนางในเส้นทางของผู้ฝึกค่ายกล!
ถ้ามู่เฉินสามารถศึกษาและทำความเข้าใจได้ นั่นจะเป็นการเพิ่มขึ้นของความสำเร็จของเขาในศาสตร์ค่ายกลและอาจเป็นรากฐานที่ดีสำหรับเขาในการเข้าถึงการเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือ
แสงห่อหุ้มมู่เฉิน แต่เขายังคงนิ่งเฉยราวกับว่าจมลงในนิทรารมณ์
ในเผ่าฝูถูที่ห่างไกล
ร่างหลักชิงเหยี่ยนจิ้งที่นั่งอยู่จู่ๆ ก็สั่นไหวก่อนจะลืมตามองเข้าไปในมิติว่างเปล่าพร้อมด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนแขวนที่มุมปาก
“มู่เฉิน…แม่จะรอวันที่เจ้าก้าวขึ้นเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือ”
บทที่ 1287 ความลับของแดนเซิ่งยวน
เวลาผ่านไปบนเกาะหัวใจหยกพริบตาก็หนึ่งเดือนแล้ว
ลั่วหลีและหลิงซีนั่งข้างกันในศาลาไม้ไผ่พร้อมกับกระดานหมากรุกวางบนโต๊ะเพื่อใช้ฆ่าเวลา นอกจากนี้ยังมีเสียงหัวเราะพลิ้วหวานดังออกมาเป็นครั้งคราว ช่างเป็นฉากที่งดงามที่ทำให้ศาลาไม้ไผ่ธรรมดานี้ถูกลืมเลือนไป
ในช่วงเวลาที่มู่เฉินเข้าสมาธิเพื่อฝึกฝน หญิงสาวทั้งสองคนก็ตั้งใจรอเขาอยู่บนเกาะแห่งนี้
วาบ
ขณะที่สองสาวกำลังหัวเราะต่อกระซิกกัน ร่างชายสูงวัยก็ปรากฏขึ้นในศาลา ประกายแสงวาบขึ้นใบหน้าบูดบึ้งของชื่อเหยียนก็เผยออกมา เขามองไปที่ลั่วหลี “แม่นางน้อย เจ้าไม่เต็มใจที่จะเป็นธิดาเทพของเผ่าไท่หลิงของข้าจริงหรือ?”
ตลอดช่วงเดือนนี้ชื่อเหยียนเทียวไล้เทียวขื่อหลายครั้ง แต่คำเชิญก็ถูกปฏิเสธจากลั่วหลี
ครั้งนี้ลั่วหลีก็ยังถอนหายใจหนักขณะเอ่ยขอโทษ “ผู้อาวุโสข้าเป็นจักรพรรดินีตระกูลลั่วเสิน จะให้ข้าละทิ้งราษฎรเพื่อไปเป็นธิดาเทพเผ่าไท่หลิงได้อย่างไร? นอกจากนี้ข้าก็ไม่มีสายเลือดเผ่าไท่หลิงด้วย”
ชื่อเหยียนเกาหัวเอ่ยว่า “เผ่าไท่หลิงไม่เหมือนกับเผ่าโบราณที่ดื้อรั้นอื่นๆ พวกข้าใจกว้างมาก ดังนั้นจึงไม่เคยคำนึงถึงความแตกต่างของสายเลือด แม้ว่าเจ้าจะมีสายเลือดเจือจาง ตราบใดที่เจ้าแสดงความสามารถยอดเยี่ยมก็ยังเป็นธิดาเทพได้ ทางเผ่าไม่มีทางปฏิเสธอย่างแน่นอน”
“ในประวัติศาสตร์ของเผ่า พวกข้ามีธิดาเทพที่โดดเด่นหลายคนที่ได้รับการยอมรับ แม้ว่าพวกนางจะไม่ได้มาจากเผ่าของข้าก็ตาม”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น แม้แต่ลั่วหลีก็ประหลาดใจ เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นกลุ่มคนที่ใจกว้างเช่นนี้ เป็นความรู้สึกเดียวกับผู้นำตระกูลลั่วเสินที่ไม่จำเป็นต้องมีสายเลือดของตระกูลก็ได้
“ลั่วหลีสิ่งที่ผู้อาวุโสพูดนั้นไม่ผิด เผ่าไท่หลิงเป็นชนเผ่าโบราณที่ใจกว้างมากที่สุดเผ่าหนึ่งในมหาพันภพ” หลิงซีพยักหน้าจากด้านข้างแล้วถอนหายใจ “ถ้าเผ่าฝูถูเป็นเช่นนี้ น้าจิ้งคงไม่ต้องแยกจากมู่เฉินมาเป็นสิบๆ ปีหรอก”
ลั่วหลีพยักหน้าเบาๆ แต่ก็ยังไม่ตกลง นางไม่ใช่เด็กสาวอีกต่อไป ดังนั้นจึงรู้ว่าจะต้องมีกลุ่มมากมายในเผ่าโบราณขนาดใหญ่ แค่เพียงตระกูลลั่วเสินก็ทำให้นางปวดหัวทุกวัน ถ้านางไปเป็นธิดาเทพเผ่าไท่หลิงก็คงจะมีการแข่งขันรุนแรง ไม่ว่าเผ่าไท่หลิงจะใจกว้างเพียงใด
น้ำนิ่งไหลลึกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ซึ่งลั่วหลีไม่ค่อยอยากจะเข้าไปยุ่งด้วย
เมื่อเห็นการตัดสินใจของลั่วหลี ชื่อเหยียนก็รู้สึกสลดหดหู่พลางถอนหายใจเสียงแผ่ว “น่าเสียดายจริงๆ ตอนแรกคิดว่าจะทันเรื่องแดนเซิ่งยวนซะอีก”
“แดนเซิ่งหยวน?!”
ขณะที่เขาจะพูดจบ หลิงซีก็อุทานด้วยดวงตาที่หดลง “แดนหวงห้ามที่มีชื่อเสียงโด่งดังในมหาพันภพ สนามรบแตกหักในยุคโบราณใช่ไหมเจ้าคะ?”
ชื่อเหยียนพยักหน้า “เจ้ามีความรู้ดีนี่ ถูกตัอง แดนเซิ่งยวนนั่นแหละ”
“แดนเซิ่งหยวนตั้งอยู่ท่ามกลางพายุมิติกาลเวลา ไม่สามารถตรวจพบเจอได้ จะแสดงสัญญาณเมื่อกำลังจะปรากฏขึ้นเท่านั้น ไม่คิดว่ามันจะปรากฏตอนนี้” ดวงตาของหลิงซีกะพริบวาบ
“แดนเซิ่งหยวนเหรอ? ข้าเคยได้ยินมาก่อนบ้าง แต่ลือกันว่าสถานที่แห่งนั้นเป็นที่รู้กันว่าอันตรายและสภาพแวดล้อมก็รุนแรงจนแม้แต่จอมยุทธ์ตี้จื้อจุนขั้นเต็มยังอาจทิ้งชีวิตในนั้น ทำไม? พี่หลิงซีสนใจแดนนั้นเหรอ?” ลั่วหลีพยักหน้าขณะที่ถาม
“มีข่าวลือว่าสนามรบโบราณแห่งนั้นมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเกือบสิบคนทิ้งร่างไว้และสี่คนในนั้นมีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง!” หลิงซีกล่าวขึ้น
ในมหาพันภพแม้กระทั่งระดับเทียนจื้อจุนก็ยังถูกแยกออกเป็นขั้นต่างๆ ได้แก่ หลิง-เซียน-เซิ่ง และขั้นเซิ่งก็เป็นจุดสุดยอดของจอมยุทธ์ที่มีอยู่ในมหาพันภพ
“สี่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง?” เมื่อได้ยินใบหน้าของลั่วหลีเปลี่ยนไป นี่เป็นรูปแบบทึ่น่าสะพรึงนัก ถ้าพวกเขาสิ้นชีพก็จะเป็นความสูญเสียมหาศาลของมหาพันภพเลยทีเดียว
ดังนั้นสามารถอนุมานได้จากราคานี้ที่มหาพันภพได้จ่ายเพื่อต่อต้านจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ
“แม้ว่าเราจะประสบกับความสูญเสียใหญ่หลวงในการต่อสู้ครั้งนั้น แต่จักรวรรดิปีศาจก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน พวกมันก็สูญเสียราชันปีศาจระดับเทียนสิบกว่าคนด้วยเช่นกันและสี่คนติดอันดับหนึ่งในสิบห้า” ชื่อเหยียนกล่าวเสริม
ราชันปีศาจระดับเทียนเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนของมหาพันภพ พวกที่ติดอยู่สิบห้าอันดับสูงสุด นั่นก็หมายความว่าแม้จะอยู่ในจักรวรรดิปีศาจ เผ่าพวกนั้นก็ต้องดำรงอยู่สูงสุด
“เนื่องจากมีจอมยุทธ์จากทั้งสองฝ่ายละสังขารภายใน ดังนั้นมรดกที่เป็นของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน แม้แต่อาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมหรือสูงกว่านั้นก็ถูกทิ้งไว้ข้างใน ดังนั้นแม้จะเป็นแดนอันตราย แต่ก็ยังมีผู้คนมากมายที่ต้องการเข้าไป หากพวกเขาโชคดีพอได้รับมรดกก็เท่ากับทะยานขึ้นสู่ประตูสวรรค์เลยทีเดียว”
“แต่เนื่องจากแดนเซิ่งยวนตั้งอยู่ภายในพายุมิติกาลเวลา จึงมีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้นที่สามารถส่งผู้คนเข้าไปได้ ธรณีประตูหยุดยั้งคนโลภมากมาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีผู้คนที่มุ่งหน้าไป… แม้กระทั่งเผ่าไท่หลิงของข้าก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น”
ขณะที่พูดชื่อเหยียนก็เลียริมฝีปาก เปลวไฟโชนขึ้นในดวงตา “นั่นเป็นเพราะสี่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งที่ทิ้งร่างไว้ คนหนึ่งก็คือบรรพบุรุษของเผ่าไท่หลิง วิชา ‘ช่องแสงวิญญาณ’ ที่เขาฝึกฝนเป็นหนึ่งในวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่า พลังนั้นช่างไร้ขีดจำกัด แม้แต่ในเผ่าของข้าก็ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นทักษะขั้นยอดเทพ แต่น่าเสียดายที่การเสียชีวิตของบรรพบุรุษทำให้วิชาในตำนานหายไปด้วยเช่นกัน ดังนั้นนี่เป็นความปรารถนาของเผ่าข้าที่จะค้นหาวิชาเทพนี้”
“ดังนั้นคนที่สามารถค้นหาวิทยายุทธในตำนานได้ก็จะสามารถเอาชนะคู่แข่งคนอื่นๆ ได้รับการสนับสนุนจากทุกคนในเผ่าเพื่อดำรงตำแหน่งธิดาเทพของเผ่าไท่หลิง!”
เมื่อได้ยินถึงจุดนี้ ลั่วหลีก็พูดขึ้นมาทันทีว่า “ที่แท้ก็ยังมีคู่แข่งชิงตำแหน่งธิดาเทพด้วยหรือ? เฉพาะคนที่สามารถค้นหาวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานเท่านั้นที่จะสามารถขึ้นเป็นธิดาเทพได้เหรอ?”
ไฟบนใบหน้าของชื่อเหยียนแข็งค้าง ท่าทางกระอักกระอ่วนไป “ข้าเป็นเพียงตัวแทนของเผ่าไท่หลิงเพื่อค้นหาผู้สมัครที่เหมาะสมสำหรับตำแหน่งธิดาเทพ”
ลั่วหลีอดไม่ได้ที่จะกลอกตา นางว่าแล้วไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะดำรงตำแหน่งธิดาเทพของเผ่าไท่หลิง พูดชักแม่น้ำมาตั้งหลายวันก็แค่เป็นผู้สมัครเท่านั้น
เมื่อเห็นสายตาของลั่วหลี ใบหน้าของชื่อเหยียนก็เปลี่ยนเป็นแดงก่ำ ก่อนที่จะยิ้มเก้อ
ดังนั้นยามนี้ในศาลาจึงจมลงสู่ความเงียบงัน มีเพียงสายตาของหลิงซีที่เปล่งประกายด้วยความคิดก่อนที่นางจะพูดเบาๆ ว่า“ นอกเหนือจากวิชาช่องแสงวิญญาณ รู้สึกจะมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งของเผ่าฝูถูด้วยใช่ไหมเจ้าคะ?”
ชื่อเหยียนพยักหน้า “ใช่ บรรพบุรุษของเผ่าฝูถูก็ไม่ธรรมดา วิชาเจดีย์แปดองค์ที่เขาฝึกฝนก็เป็นหนึ่งในวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานด้วยเช่นกัน ประมุขน้อยหลายคนในเผ่าฝูถูก็ตั้งเป้าที่จะนำวิชานั้นกลับคืน”
“นั่นเป็นเพราะมีกฎของเผ่าว่าใครก็ตามที่สามารถได้รับวิชาเจดีย์แปดองค์ก็จะได้รับตำแหน่งประมุขคนต่อไป”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ดวงตาของหลิงซีก็วาวโรจน์
ลั่วหลีมองหลิงซีอย่างเข้าใจความตั้งใจของอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่าหลิงซีต้องการให้มู่เฉินได้รับมรดกวิชาเจดีย์แปดองค์ จากนั้นก็อาจช่วยมารดาจากเผ่าด้วยวิธีที่ว่าได้
ลั่วหลีก็เห็นด้วยกับความคิดนี้ เพราะเป็นเรื่องเขี้ยวลากดินมากที่มู่เฉินใช้วิธีสู้ซึ่งหน้า เนื่องจากรากฐานของเผ่าฝูถูยังคงน่ากลัวอยู่ไม่น้อย
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ลั่วหลีก็เข้าสู่ภวังค์ ตอนแรกนางไม่สนใจที่จะเป็นธิดาเทพของเผ่าไท่หลิงเลย ในแง่ของการสืบทอดนางมีมรดกของลั่วเสินและร่างเทพวารี ซึ่งเพียงพอที่จะเป็นประโยชน์สำหรับตัวเองในการก้าวขึ้นเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน
แต่ถ้านางดำรงตำแหน่งธิดาเทพเผ่าไท่หลิงด้วยละก็ นางจะได้รับการสนับสนุนจากเผ่าโบราณที่น่ากลัวอยู่เบื้องหลัง หากวันนั้นที่ความสัมพันธ์ของมู่เฉินกับเผ่าฝูถูสะบั้นลงอย่างสมบูรณ์ นางก็จะสามารถให้ความช่วยเหลือเขาได้
ตอนนี้ลั่วหลีเข้าใจว่าการสนับสนุนของตระกูลลั่วเสินไม่สามารถให้ความช่วยเหลือกับมู่เฉินได้มากนัก ถ้านางต้องการช่วยเหลือมู่เฉินจริงๆ นางอาจสามารถใช้เผ่าไท่หลิงเพื่อทำเช่นนั้นได้
จากแง่มุมนางเองไม่ได้สนใจเผ่าไท่หลิง แต่ถ้าทำเพื่อมู่เฉิน… นางยินดีที่จะเป็นธิดาเทพ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็เม้มริมฝีปากขณะที่แลกเปลี่ยนสายตากับหลิงซี แม้ว่าพวกนางจะไม่พูด แต่ก็เข้าใจความคิดของกันและกัน
ดวงตาของหลิงซีกะพริบด้วยความขอบคุณ เพราะถ้าลั่วหลีทำเช่นนี้ นางจะต้องแข่งขันกับผู้สมัครคนอื่นๆ ของเผ่าไท่หลิงซึ่งไม่น่าจะเป็นเรื่องง่าย
ลั่วหลีเพียงยิ้มตอบบางเบา เพื่อนางแล้วมู่เฉินปะทะกับจักรพรรดิสัประยุทธ์โดยไม่ลังเล แล้วจะเป็นอะไรถ้านางจะแข่งขันเพื่อเขาบ้าง?
ในช่วงเวลาสั้นๆ ทั้งสองก็ได้แลกเปลี่ยนความตั้งใจเสร็จสิ้น ลั่วหลีหันมายิ้มให้ชื่อหยวน “ผู้อาวุโส ข้าจะเป็นผู้สมัครตำแหน่งธิดาเทพให้ก็ได้ แต่ท่านต้องสัญญาบางอย่างกับข้าก่อน”
“โอ้?”
ชื่อเหยียนที่นึกว่าไม่มีความหวังก็ตื่นเต้นพลางโบกมือไปมา “ว่ามาเลย”
ลั่วหลีจือปากชี้ไปในทิศทางของมู่เฉินด้วยท่วงท่างดงาม
“ข้าหวังว่าผู้อาวุโสจะสามารถส่งพวกเราทั้งคู่เข้าสู่แดนเซิ่งยวน”
บทที่ 1288 สองค่ายกล
อีกหนึ่งเดือนต่อมา
มู่เฉินที่อยู่ในคุกก็เปิดดวงตาขึ้นอย่างช้าๆ พร้อมกับเผยความเปล่งประกายที่ดูลึกราวกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว
ดวงตาของเขาสั่นไหวก่อนกลับมาเป็นปกติ
ฮา
ลมหายใจขาวขุ่นพรูออกมาจากปาก แต่ก็ไม่ได้จางหาย กลับรวมตัวกันที่เบื้องหน้ากลายเป็นค่ายกลขนาดเล็กจิ๋ว
แม้จะเป็นค่ายกลที่เรียบง่าย แต่นี่ถูกสร้างขึ้นด้วยลมหายใจของมู่เฉิน เพียงแค่นี้ก็สามารถบอกได้ว่ามู่เฉินได้รับพัฒนาการเพิ่มขึ้นมหาศาลกับความสำเร็จด้านค่ายกล
ในอดีตเขาไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้อย่างแน่นอน!
“แต่น่าเสียดายที่ยังห่างจากหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนอยู่ครึ่งก้าว”
มู่เฉินมองค่ายกลที่ก่อตัวจากหมอกสีขาวที่ค่อยๆ หายไปก็ถอนหายใจอย่างเสียดาย ทว่าความเสียดายครั้งนี้กินเวลาเพียงชั่วครู่ก่อนที่จะหายไป
เนื่องจากมู่เฉินสัมผัสได้ถึงการยกระดับอันน่าทึ่งจากความเข้าใจของตนเองเกี่ยวกับค่ายกลในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา นี่ไม่ง่ายอย่างที่เขาจินตนาการเอาไว้ที่จะเข้าไปในขอบเขตหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนได้
แต่เขามีลางสังหรณ์ว่าตราบใดที่เขาเรียนรู้ประสบการณ์ที่มารดามอบให้ไปเรื่อยๆ การบรรลุเป็นหลิงเจิ้นจงซือก็เป็นเพียงเรื่องของเวลา
ยิ่งกว่านั้นแม้ว่าเขาจะไม่สร้างความก้าวหน้า แต่เขาก็รู้ว่าตอนนี้ตนเองมีคุณสมบัติใช้ค่ายกลระดับจงซือขั้นสูงได้แล้ว เพียงแต่ว่าโอกาสในการล้มเหลวจะสูงขึ้น
ดังนั้นโดยภาพรวมเขาได้รับประโยชน์มากมายจากครั้งนี้ ไม่เพียงแต่จะช่วยให้สามารถบรรลุการเป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนได้ในอีกไม่ช้า แต่เขายังเริ่มเข้าใจถึงทิศทางของการเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซืออีกด้วย นี่จะเป็นประโยชน์มหาศาลและช่วยเขาแก้ปัญหามากมายในอนาคต
ยิ่งกว่านั้นมารดายังทิ้งสิ่งที่สำคัญสองอย่างไว้ให้เขา ภาพค่ายกลสองภาพ
ภาพแรกเป็นค่ายกลระดับจงซือขั้นสูง—ค่ายกลเพลิงคำราม
ส่วนภาพที่สองน่ากลัวยิ่งกว่าซึ่งเป็นค่ายกลระดับต้าจงซือ
ค่ายกลฆาตตะวัน!
เพียงแค่ชื่อก็ทำให้มู่เฉินต้องแอบเดาะลิ้นแล้ว แต่เขาก็ปรารถนาที่จะรู้ถึงพลังทำลายล้างของค่ายกลนี้เสียจริง
เพราะค่ายกลระดับนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนยังต้องหวาดกลัว
น่าเสียดายที่เขาสามารถเข้าใจค่ายกลระดับจงซือและลองสร้างได้เท่านั้น ส่วนค่ายกลระดับต้าจงซือ มู่เฉินถึงกับหัวใจสั่นสะท้านตั้งแต่การมอง ไม่ต้องพูดถึงการลองสร้าง กระทั่งวิถีการฝึกก็ยังไม่สามารถมองดูได้
เห็นได้ชัดว่าค่ายกลระดับนั้นยังห่างไกล
ดังนั้นสุดท้ายเขาจึงต้องปล่อยอยู่ในห้วงจิตไปก่อน รอจนกว่าจะถึงเวลาที่เขาจะศึกษาได้ ตอนนี้สิ่งสำคัญสำหรับเขาก็คือทำความเข้าใจค่ายกลเพลิงทะยาน เมื่อเขาสามารถจัดการได้สำเร็จ ก็ถึงเวลาที่จะบรรลุการเป็นหลิงเจิ้นจงซือแล้ว
ความคิดมากมายวาบผ่านในใจ จากนั้นมู่เฉินก็ก้มลงมองไปที่ก้อนหินสีดำพลางยิ้มให้ “ท่านแม่วางใจเถอะ วันใดที่ข้าบรรลุการเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือก็จะเป็นเวลาที่ข้าไปรับท่านออกจากเผ่าฝูถู!”
ในเวลานั้นเขาก็จะสามารถปะทะกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่เคยไกลเกินเอื้อมได้
วางมือลงบนพื้นอย่างนุ่มนวล เขาก็ไม่อ้อยอิ่งลุกขึ้นยืนหายตัวไปทันที
ในศาลา
มู่เฉินปรากฏตัวเบื้องหน้าลั่วหลีและหลิงซี ดวงตาของพวกนางถึงกับแววแสงแห่งความดีใจ
“เป็นยังไงบ้าง?” หลิงซีถามขณะที่มองมู่เฉิน
“อีกก้าวเดียว” มู่เฉินยิ้ม
เมื่อหลิงซีได้ยินก็ไม่ผิดหวัง นางพยักหน้าเบาๆ ตัวนางมุ่งเน้นอยู่ในเส้นทางการฝึกศาสตร์ค่ายกลเป็นเวลานาน ดังนั้นนางจึงรู้ว่ายากแค่ไหนที่จะบรรลุการเป็นหลิงเจิ้นจงซือ แม้ว่ามู่เฉินจะได้รับความเข้าใจและประสบการณ์ของท่านน้าจิ้ง แต่ข้อมูลเหล่านั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่มู่เฉินจะย่อยได้ในเวลาเพียงสองเดือน
นอกจากนี้มู่เฉินก็เหมือนจะเก็บเกี่ยวไม่น้อย ดูเหมือนเขามั่นใจว่าจะบรรลุระดับนั้นได้ในไม่ช้า
“ที่นี่ไม่สมควรอยู่นาน เรารีบไปกันเถอะ” มู่เฉินมองลั่วหลีกับหลิงซีขณะที่พูด
ที่นี่เป็นเขตของเผ่าฝูถู แม้ว่ากู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูจะหนีไปแล้ว แต่หากทางเผ่ารู้เรื่องเข้าละก็ จะต้องส่งผู้เชี่ยวชาญทรงพลังมากขึ้นกว่าเดิมมาเยี่ยมเกาะนี้ ดังนั้นพวกเขาเดือดร้อนแน่หากอยู่ที่นี่นานเกินไป
แม้ว่าตอนนี้เขาจะแข็งแกร่งขึ้นแต่ก็ไม่ยโส เขารู้ว่าการเผชิญหน้ากับยักษ์อย่างเผ่าฝูถูแบบคนเดียวโดดๆ เป็นวิธีที่โง่เง่าที่สุด
ลั่วหลีกับหลิงซีแลกเปลี่ยนสายตากันก่อนที่จะพูดว่า “เราวางแผนที่จะมุ่งหน้าไปยังแดนเซิ่งยวน”
“แดนเซิ่งยวน?” มู่เฉินอึ้งไป เขาไม่คุ้นเคยกับสถานที่ที่พวกนางพูดถึง
ลั่วหลียิ้มบางเล่ารายละเอียดทุกอย่างเกี่ยวกับแดนเซิ่งยวนให้มู่เฉินฟัง ตามด้วยเรื่องที่นางตกลงกับชื่อเหยียนที่จะเข้าร่วมการคัดเลือกธิดาเทพของเผ่าไท่หลิง
“เจ้าตกลงกับตาเฒ่านั่นว่าจะลงแข่งตำแหน่งธิดาเทพของเผ่าไท่หลิงเหรอ?” หลังจากได้ยินคำพูดของลั่วหลี มู่เฉินก็ตกใจ เขาไม่ได้สนใจวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนาน กลับรีบถามอย่างกังวล
เขารู้ดีว่าการแข่งขันจะรุนแรงเพียงใดกับตำแหน่งธิดาเทพของเผ่าไท่หลิง
เมื่อเห็นความกังวลของมู่เฉินเกี่ยวกับเรื่องนี้ ลั่วหลีก็รู้สึกหวานในใจนางยิ้มบาง “เผ่าไท่หลิงมีรากฐานที่ลึกซึ้ง ถ้าข้าได้เป็นธิดาเทพได้ก็จะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับตัวเองเช่นกัน”
แม้ว่านี่คือเหตุผลที่นางให้มา เขาก็เข้าใจดี ในฐานะคนคล้ายคลึงกัน เราสองคนมีทั้งความอิสระและมั่นใจในตัว นางภาคภูมิใจในตัวเอง ดังนั้นแม้ว่านางจะต้องพึ่งพาตัวเองก็สามารถบรรลุระดับเทียนจื้อจุนได้ ไม่จำเป็นต้องพึ่งความช่วยเหลือจากภายนอก
ดังนั้นเหตุผลที่สำคัญยิ่งกว่าในการตัดสินใจของนาง อาจเป็นเพราะต้องการให้ความช่วยเหลือเขาในอนาคต
เพราะฉะนั้นเขาจึงมองไปที่ลั่วหลีด้วยสายตาซับซ้อน ขณะที่หญิงสาวยิ้มกุมมือเขาไว้ ชัดว่านางตัดสินใจทำเรียบร้อย
ทว่ามู่เฉินก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผล ดังนั้นจึงเลือกจดจำสิ่งที่ลั่วหลีทำเพื่อเขา ไม่ได้พูดอะไรให้มากความ เพราะในเมื่อนางตัดสินเช่นนี้ เขาก็จะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อสนับสนุน
“แต่ไม่คิดว่าวิชาเจดีย์แปดองค์และช่องแสงวิญญาณจะอยู่ในแดนเซิ่งยวน วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานที่สามารถสั่นสะเทือนมหาพันภพได้”
ตอนนี้มู่เฉินถึงได้หันเหความสนใจไปวิชาในตำนานทั้งสองแล้วอดที่จะเดาะลิ้นไม่ได้ สำหรับคนที่ฝึกฝนวิชาสามพิสุทธิ์ที่เป็นหนึ่งในสามสิบหกกระบวนท่าในตำนานอย่างเขา เข้าใจถึงพลังน่าสะพรึงกลัวที่วิชาเหล่านี้มีได้ดี
วิชาเหล่านี้นับเป็นวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในมหาภพเลย
การเผชิญหน้ากับวิชายอดเทพเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงเขาแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนยังถูกล่อลวงไปด้วยเช่นกัน มิฉะนั้นเผ่าฝูถูและเผ่าไท่หลิงคงจะไม่ใช้ความพยายามมากมายในการได้รับวิชาทั้งสองมาครอบครอง
“หากข้าได้รับวิชาเจดีย์แปดองค์ก็อาจจะสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนได้ขณะที่มีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม”
สายตาของมู่เฉินวูบไหว ช่องว่างระหว่างระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มกับระดับเทียนจื้อจุนยากที่จะเติมเต็ม ทว่าวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่าในตำนานอาจสามารถถมช่องว่างเหล่านั้นได้
“เฮ้ เจ้าช่างคิดดีจริงๆ พวกประมุขน้อยเผ่าฝูถูก็สนใจวิชาเจดีย์แปดองค์เช่นกัน ไม่ง่ายที่เจ้าจะคว้าจากพวกเขามาได้หรอก” ชื่อเหยียนมองเห็นความคิดของมู่เฉินก็หัวเราะเบาๆ
แม้ว่ามู่เฉินจะถือว่าโดดเด่น แต่ก็ขาดการสนับสนุนจากเผ่าฝูถู ดังนั้นเมื่อเทียบกับประมุขน้อยที่ได้เพลิดเพลินไปกับทรัพยากรที่มีในเผ่า เขาก็ยังด้อยกว่าอยู่เล็กน้อย
แต่ตอบสนองต่อชื่อเหยียน มู่เฉินกลับยิ้ม “เราจะรู้ได้ยังไงว่าใครจะเป็นคนสุดท้ายที่หัวเราะ ถ้าไม่ลอง”
ชื่อเหยียนรู้สึกประหลาดใจต่อปฏิกิริยาของมู่เฉิน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดว่าชายหนุ่มจะมีความคิดสุขุมด้วยวัยเท่านี้
“ไอ้หนู เจ้าใช้ได้เลยทีเดียว หากไม่ใช่เพราะเจ้ามีสายเลือดเผ่าฝูถู ตาเฒ่าคนนี้ต้องลากเจ้าเข้าร่วมเผ่าไท่หลิงแน่นอน” ชื่อเหยียนลูบเคราเบาๆ
การที่สามารถเข้าถึงระดับปัจจุบันได้ตั้งแต่อายุยังน้อยโดยพึ่งพาตัวเอง ในบางแง่มุม เหล่าประมุขน้อยคนอื่นๆ ของเผ่าฝูถูไม่สามารถทำได้จริงๆ
“ฮ่าๆ ข้าละอยากเห็นปฏิกิริยาพวกเต่าล้านปีในวันที่เจ้าบรรลุระดับเทียนจื้อจุนจริงๆ… ฮ่าๆ ไอ้ผีเฒ่าพวกนั้นพูดว่าเผ่าไท่หลิงของข้าไม่ยืดตามคำสอนโบราณ ปนเปื้อนสายเลือดอันสูงส่ง ช่างหัวโบราณจริงๆ”
เมื่อเห็นท่าทางของชื่อเหยียน มู่เฉินก็รู้สึกจนใจก่อนจะประสานมือ “ท่านเซียนชื่อเหยียนต้องรบกวนเรื่องพาเข้าสู่แดนเซิ่งยวนด้วยนะขอรับ”
“นี่เป็นเรื่องที่ข้าสัญญาไว้กับลั่วหลี แต่ว่าข้าสามารถส่งพวกเจ้าเข้าไปได้เท่านั้น ไม่ว่าเจ้าสองคนจะได้รับวิชาเจดีย์แปดองค์และช่องแสงวิญญาณโบราณหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าเองแล้ว” ชื่อเหยียนโบกมือ
มู่เฉินพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นเราจะไปกันได้เมื่อไร?”
“เวลาไม่คอยท่า ไปกันเลย!”
ชื่อเหยียนไม่ได้เป็นคนชักช้า จึงไม่พูดมากเพียงโบกมือ น้ำเต้าสีแดงก็ขยายขนาดเร็วรี่จนใหญ่ถึงหนึ่งร้อยจั้ง ก่อนที่เขาจะวาบหายไปปรากฏที่ด้านบนทันที
มู่เฉิน ลั่วหลี หลิงซีและหลงเซี่ยงติดตามกระชั้นชิด ทะยานขึ้นไปบนน้ำเต้าเช่นกัน
“ออกเดินทาง!”
ชื่อเหยียนหัวเราะร่วน ตัวน้ำเต้าก็สั่นไหว มิติเบื้องหน้าบิดเบี้ยวกลายเป็นอุโมงค์มิติ จากนั้นน้ำเต้าก็บินเข้าไป
มู่เฉินนั่งอยู่บนน้ำเต้า มองไปแสงสีเข้มเดินทางมิติ ประกายไฟที่ไม่สามารถอธิบายได้วูบไหวในนัยน์ตา
“ประขุมน้อยเผ่าฝูถูเรอะ”
“ไม่ว่ายังไงข้าไม่ให้วิชาเจดีย์แปดองค์ไปหรอก”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น