หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1275-1280
บทที่ 1275 นายน้อย
ในวังลั่วเสิน
ชายวัยกลางคนรูปร่างผอมบางนั่งบนเก้าอี้โดยไม่มีอารมณ์ใดๆ ร่างกายไม่เคลื่อนไหว แม้แต่การหายใจก็แผ่วเบาจนไม่ได้ยิน หากไม่ใช่แสงหลิงที่วาบผ่านดวงตาเป็นครั้งคราวละก็ ทุกคนคงจะคิดว่าเขาเป็นรูปปั้นแล้ว
ชายคนนี้นั่งอยู่ที่นี่ตลอดทั้งเดือนโดยไม่เคลื่อนไหว!
คิ้วของลั่วหลีขมวดแน่น ตั้งแต่ชายคนนี้แจ้งความจำนง เขาก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมอีก ดังนั้นนางจึงไม่สามารถยืนยันได้ว่าเขาเป็นมิตรหรือศัตรู
แต่มีบางอย่างที่นางมั่นใจได้ ชายคนนี้น่าจะมาจากหนึ่งในห้าเผ่าโบราณ ซึ่งก็คือเผ่าฝูถู
เนื่องจากลั่วหลีตระหนักถึงภาพปักเจดีย์สีดำที่แขนเสื้อเขา ในมหาพันภพมีเพียงเผ่าฝูถูเท่านั้นที่ถือว่าเป็นขั้วอำนาจพิเศษ
“ท่านแม่ของมู่เฉินก็มาจากเผ่าฝูถู”
ลั่วหลีเคยพบชิงเหยี่ยนจิ้งเมื่อในอดีต ดังนั้นนางจึงรู้อะไรบางอย่าง แต่นางก็มั่นใจว่าเพราะเผ่าฝูถูทำให้มู่เฉินและมารดาของเขาไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้
นั่นหมายความว่ามู่เฉินไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเผ่าฝูถู
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ลั่วหลีก็หันไปหาชายวัยกลางคน “ท่านอยู่ที่นี่มานานแล้ว อยู่ต่อไปก็ไม่เกิดผล ดังนั้นไปซะเถอะ“
“มู่เฉินจะไม่กลับมาที่นี่อีก”
ชายวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นพูดว่า “ดูเหมือนเจ้าจะส่งข่าวไปแล้วสินะ”
เมื่อเขาพูดออกมาก็ดูเหมือนว่าเสียงมังกรและช้างจำนวนมหาศาลคำรามออกมาจากร่างกายเขา ปลดปล่อยความผันผวนของคลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัว ทำให้แผ่นหินโดยรอบบนพื้นแตกกลายเป็นเถ้าถ่าน
เผชิญหน้ากับชายวัยกลางคนคนนี้ ลั่วหลีก็ไม่แสดงความหวาดกลัวในสายตา เกลียวแสงหลิงยิ่งใหญ่เล็ดลอดออกมาจากร่างกายของนาง ร่างเวทสวรรค์ก่อตัวขึ้นอย่างเลือนรางที่เบื้องหลัง
แม้ว่านางจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจอมยุทธ์ขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่นางก็สามารถปะทะได้ชั่วครู่ด้วยร่างเทพวารี นอกจากนี้หากอีกฝ่ายยังจะเคลื่อนไหวในตระกูลลั่วเสินก็เหมือนกับการท้าทายกฎของตำหนักซีเทียน เมื่อถึงเวลานั้นผู้พิทักษ์ตำหนักซีเทียนก็จะเคลื่อนพลมาเช่นกัน
แต่ชายวัยกลางคนไม่ขยับ เขาแค่จ้องมองลั่วหลีพลางถอนหายใจด้วยความผิดหวัง “ไม่คิดเลยว่าเขาจะเลือกหนี ช่างเป็นเรื่องที่น่าผิดหวัง”
“เขาคิดว่าจะซ่อนตัวได้ตลอดกาลเรอะ? ด้วยพลังอำนาจของเผ่าฝูถูก็เป็นเรื่องของเวลาที่จะต้อนเขาเข้ามุม เมื่อถึงเวลานั้นเขาจะทำอะไรได้อีก?”
ได้ยินน้ำเสียงผิดหวังและเยาะเย้ยของอีกฝ่าย ลั่วหลีก็รู้สึกโกรธ ทว่าขณะที่นางจะอธิบาย เสียงคุ้นเคยก็ดังก้องขึ้นมาจากประตูห้องโถง
“จอมยุทธ์ขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ข้ามู่เฉินหวาดกลัวหรอก เจ้าประเมินตัวเองสูงเกินไป”
ลั่วหลีเงยหน้าขึ้นมามองประตู ภายใต้แสงตะวัน ร่างเงาสูงโปร่งของชายหนุ่นก็ยืนอยู่พร้อมกับรอยยิ้ม ริ้วความเย็นชากระจายบนใบหน้าเขา
เมื่อมู่เฉินปรากฏตัว ลั่วหลีก็รู้สึกโล่งใจในเวลาเดียวกัน ด้วยพลังของมู่เฉิน เขาเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่ในการชำระล้างครั้งนี้อย่างแน่นอน ดังนั้นแม้เขาจะไม่สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้ แต่อีกฝ่ายก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้เช่นกัน
ยืนอยู่ด้านหลังลั่วหลี จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนคนอื่นก็มีสีหน้าเปลี่ยนแปลงเมื่อมู่เฉินปรากฏตัว นั่นเป็นเพราะชายวัยกลางคนคนนี้มาหามู่เฉิน ตอนนี้สถานการณ์อาจอยู่นอกเหนือการควบคุมทันทีที่มู่เฉินแสดงตัว
การเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม พวกเขารู้สึกถูกกดดันอย่างมาก
ชายวัยกลางคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ สายตาคมกริบก็จ้องเขม็งไปที่มู่เฉิน เมื่อเขาเห็นใบหน้าสดใส ดวงตาของเขาก็สั่นระริก
“เจ้าคือมู่เฉินเหรอ?” ชายวัยกลางคนถาม
“อยู่ก็ชื่อมู่เฉิน ตายก็ชื่อมู่เฉิน ข้าไม่เคยเปลี่ยนชื่อแซ่” มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้มจางๆ
“ดี ถ้าเจ้าไม่กล้าเผชิญหน้ากับข้าวันนี้ ข้าก็รู้สึกว่าสิ่งที่มารดาเจ้าทำเพื่อปกป้องเจ้าไม่คุ้มค่าเลย” ชายวัยกลางคนกล่าว
มู่เฉินส่ายหน้าอีกครั้ง “ก่อนหน้าข้าพูดไปแล้วว่าขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มยังไม่มีความสามารถทำเช่นนั้น”
เผชิญหน้ากับจอมยุทธ์เผ่าฝูถู เขาไม่มีความประทับใจที่ดี ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องไว้หน้าอีกฝ่าย
ชายวัยกลางคนผงกหัวแต่ไม่พูดอะไร ทว่าขณะที่ทุกคนกำลังรู้สึกโล่งใจ ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืน
โฮก!
เสียงคำรามของมังกรและช้างดังออกมา เขาก้าวออกมาหนึ่งก้าว เงาร่างก็หายไปปรากฏที่เบื้องหน้ามู่เฉินพร้อมกับชกหมัดออกไป
แม้ว่าหมัดนี้จะดูเรียบง่าย แต่แสงหลิงที่ไร้ขอบเขตก็ส่องแสงราวกับว่ามังกรและช้างคำราม ปลดปล่อยพลังอันน่าสะพรึงกลัว
หมัดนี้บรรจุด้วยพลังดุดัน ถ้าเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายธรรมดาคงตายคาที่เลยก็ได้
ทว่าไม่มีริ้วอารมณ์ใดบนใบหน้าของมู่เฉิน เนื่องจากเขาไม่แปลกใจกับการจู่โจมกะทันหันของชายวัยกลางคน เขาสูดลมหายใจลึก เกลียวแสงหลิงพร่างพราวระเบิดออกจากดวงตาของเขาเช่นกัน
โฮก!
เขากำกำปั้นแน่น มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงปรากฏขึ้นบนแขน พวกมันเปล่งเสียงคำรามพร้อมกับแรงกดดันที่ห่อหุ้มออกมา
ผ่านการชำระล้างมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงก็เข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นเรียบร้อย พวกมันรวมพลังเอาไว้ในหม้ดนี้
แม้ว่าพวกมันจะยังอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่พลังของเทพอสูรทั้งสองจริงบวกกับมู่เฉินก็สามารถต่อกรระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายได้เลยทีเดียว
มากเสียจนสามารถทำร้ายหลิงจั้นจื่อได้แบบหนักหน่วง!
ตู้ม!
หมัดสองหมัดอัดแน่นด้วยพลังน่าสะพรึงปะทะกันราวกับอุกกาบาตสองลูก
ปัง!
เสียงน่าขนลุกดังออกมา แต่น่าประหลาดใจที่ไม่มีพลังทำลายล้างเกิดขึ้นจากการเผชิญหน้าที่น่ากลัวนี้ ทว่าผู้ที่มีสายตาแหลมคมจะตระหนักได้ว่าแผ่นหินในรัศมีสิบกว่าจั้งกลายเป็นขี้เถ้าไปจนหมด โดยมีเหวลึกไร้ก้นอยู่ใต้กองเถ้าถ่านเหล่านั้น
มิติบิดเบี้ยวรุนแรงจากการปะทะกันระหว่างหมัดทั้งสอง ก่อนที่ร่างทั้งสองจะสั่นสะเทือนในวินาทีถัดไป
ร่างของมู่เฉินถอยหลังไปหลายสิบก้าว ส่วนชายวัยกลางคนถอยไปสิบกว่าก้าว แต่โดยรวมแล้วพวกเขาทั้งสองเสมอกันในการเผชิญหน้าครั้งนี้!
ทุกย่างก้าวของพวกเขาทิ้งรอยเท้าดำเมื่อมไว้บนพื้น เนื่องจากฝ่าเท้าของพวกเขาฝังลงไปในพื้นดินลึก
นี่เป็นเพียงชั่วขณะที่ทั้งสองปะทะกันและถอยกลับ ลั่วหลีลุกขึ้น ม่านตาเย็นชาของนางมองไปที่ชายวัยกลางคน ตั้งใจจะเรียกร่างเทพวารีออกมา
ถ้านางกับมู่เฉินร่วมมือกัน แม้ว่าคนคนนี้จะเป็นจอมยุทธ์เกือบจะบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม เขาก็ต้องหยุดอยู่ที่นี่ในวันนี้
ที่เบื้องหลังลั่วหลี จอมยุทธ์คนอื่นๆ รวมถึงลั่วเทียนเสินลั่วเทียนหลงก็ต่างตกตะลึง แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่ามู่เฉินเอาชนะหลิงจั้นจื่อและพลังของเขาไม่ธรรมดา
แต่ชายคนนี้ไม่ได้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย แต่เป็นขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว พลังนี้ใกล้เคียงกับระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ในแง่ของพลังไม่ใช่ระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายระยะปลายสุดจะเทียบเคียงได้
แต่ใครจะจินตนาการได้ว่ามู่เฉินไปถึงจุดที่สูสีในการเผชิญหน้ากระบวนท่าเมื่อครู่!
เห็นได้ชัดว่าภายในเวลาไม่ถึงครึ่งปีพลังของมู่เฉินก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัย!
ชายวัยกลางคนทรงตัวไว้ได้ เขาก็เกิดสีหน้าตะลึงงันเช่นกัน เขาไม่คิดว่าไม่เพียงแต่มู่เฉินจะไม่ล่าถอยแต่ยังซัดใส่เขาด้วยพลังที่มี!
นอกจากนี้ก็ไม่ได้เสียเปรียบจากการปะทะนี้!
ต้องรู้ว่าทักษะการฝึกฝนของเขาเพิ่มความแข็งแกร่งเพียงใด ดังนั้นกำปั้นที่บรรจุพลังของมังกรพลายนี้จึงกดขี่อย่างมหาศาล
แต่จากการปะทะกันของพวกเขา เขาสามารถรู้สึกได้ว่าพลังที่เขาภูมิใจจมดิ่งในแรงกดดันที่ไม่รู้จัก ราวกับว่าพลังของมู่เฉินสูงกว่าระดับของเขา
อีกมุมหนึ่งมู่เฉินก็ลูบกำปั้นด้วยสีหน้าตกใจ เขาอึ้งไปกับความแข็งแกร่งที่ชายวัยกลางคนนี้ครอบครอง
หากไม่ใช่มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงที่บุกทะลวงมาถึงระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น เขาคงต้องทนทุกข์อย่างมากจากการปะทะกันครั้งนี้
“พลังของชายคนนี้น่าสะพรึงกลัวนัก ในแง่ของพลังแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มแท้จริง ก็ไม่ได้แข็งแกร่งกว่าเขา” ดวงตาของมู่เฉินกะพริบไหว เห็นได้ชัดว่าชายคนนี้ไม่ใช่จอมยุทธ์เกือบจะบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มธรรมดา หากพวกเขาต้องต่อสู้กันที่นี่ ก็คงไม่ใช่การต่อสู้ที่ง่ายดาย
ดังนั้นใบหน้าของมู่เฉินจึงเคร่งเครียดลง คลื่นหลิงเพิ่มขึ้นในร่างกายขณะที่จับจ้องชายวัยกลางคนด้วยความตื่นตัว
ทว่าภายใต้การรออย่างเคร่งเครียด ชายวัยกลางคนกลับยิ้มด้วยความพึงพอใจ
“สมกับเป็นลูกของนายหญิง ช่างโดดเด่นด้วยวัยเท่านี้”
เมื่อเห็นรอยยิ้มของเขาซึ่งปกคลุมด้วยความอบอุ่นและความสุข มู่เฉินก็อึ้งไป
แต่ก่อนที่จะมีปฏิกิริยา ชายวัยกลางคนก็คุกเข่าข้างหนึ่งลง สีหน้าที่ไม่มีอารมณ์แต่เดิมแสดงความเคารพจากใจภายใต้สายตาตกตะลึงของทุกคน
“หลงเซี่ยงทักทายนายน้อย!”
บทที่ 1276 ตกลงไปในกับดัก
“หลงเซี่ยงทักทายนายน้อย”
ขณะที่ชายวัยกลางคนคุกเข่า มู่เฉินซึ่งเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ก็อึ้งไปทันที แม้แต่ลั่วหลีและคนอื่นๆ ก็ตะลึงไปตามกัน พวกเขาตกใจกับการเปลี่ยนแปลงฉับพลันที่เกิดขึ้นนี้
พวกเขาไม่คิดเลยว่าชายวัยกลางคนที่ดูดุดันในไม่กี่นาทีที่ผ่านมาจะแสดงท่าทางเช่นนี้
นอกจากนี้พวกเขายังสามารถบอกได้ว่าความเคารพบนใบหน้ามาจากใจจริง ไม่มีการเส้แสร้งแต่อย่างใด
ลั่วหลีและคนอื่นๆ แลกเปลี่ยนสายตากัน พวกเขาเห็นความงุนงงในสายตาของกันและกัน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชายวัยกลางคน…
มู่เฉินอึ้งไปชั่วอึดใจก็ฟื้นคืนสติ ทว่าความตื่นระวังของเขาไม่ลดลงเมื่อมองไปที่หลงเซี่ยง “เจ้าเป็นสมาชิกเผ่าฝูถูใช่ไหม?”
“ใช่!” หลงเซี่ยงพยักหน้า
“งั้นเจ้าก็น่าจะทราบถึงความคิดของเผ่าฝูถูที่มีต่อข้า” มู่เฉินยิ้มบางสายตาคมกริบจ้องมองหลงเซี่ยง “เผ่าฝูถูไม่ปฏิบัติกับข้าอย่างนี้แน่นอน”
เมื่อเห็นความสงสัยของมู่เฉิน หลงเซี่ยงก็พยักหน้าอย่างจริงจัง “ข้าเป็นสมาชิกคนหนึ่งในเผ่าฝูถู แต่หากไม่ใช่เพราะนายหญิงข้าคงกลายเป็นกองกระดูกไร้ค่า นายหญิงมอบชีวิตใหม่ให้ข้า ในใจของข้าตำแหน่งของนางนั้นยิ่งใหญ่กว่าเผ่าโบราณนัก”
“นายหญิงของเจ้าคือใคร?” สายตาของมู่เฉินวูบไหว
หลงเซี่ยงยิ้ม “ท่านแม่ของเจ้า—ชิงเหยี่ยนจิ้ง”
มู่เฉินจับจ้องไปที่หลงเซี่ยง อีกฝ่ายก็ไม่ได้หลบสายตาเขา นอกจากนี้เมื่อหลงเซี่ยงพูดถึงชิงเหยี่ยนจิ้งก็เห็นความเคารพจากใจ
หลังจากลังเลครู่หนึ่ง เขาก็ลดความตื่นระวัง ด้วยสถานะและการกระทำของเผ่าฝูถูไม่จำเป็นที่พวกเขาจะต้องลดตัวและหลอกลวง คนเหล่านี้ทรงพลัง ดังนั้นพวกเขาสามารถส่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มออกมาหรือกระทั่งเทียนจื้อจุนเพื่อทำให้สิ่งต่างๆ ง่ายขึ้นสำหรับพวกเขา
ดังนั้นเขาจึงก้าวออกไปประคองหลงเซี่ยงขึ้น “พี่ใหญ่หลงเซี่ยงลุกขึ้นเถอะ ถ้าไม่ว่าอะไรก็เรียกข้าว่ามู่เฉินเลย ข้าไม่คู่ควรกับการเป็นนายน้อย”
หลงเซี่ยงส่ายหัวตอบ “มารดาของเจ้าเป็นนายหญิงของข้า ดังนั้นเจ้าก็ต้องเป็นนายน้อย”
น้ำเสียงดื้อรั้นไม่ยอมงอ ชัดว่าจะไม่เปลี่ยนในเรื่องนี้
มู่เฉินก็ได้แต่เกาหัวอย่างช่วยไม่ได้ เขาพึ่งพาตนเองมาตลอดหลายปี ถึงมารดาของเขาจะเป็นคนจากเผ่าฝูถูโบราณ มิหนำซ้ำยังเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือ ทว่าตัวเขาไม่เคยมีความสุขกับการอยู่ในตำแหน่งนั้นหรือใช้ทรัพยากรของพวกเขาสักครั้ง ดังนั้นเขาจึงคุ้นเคยกับการเป็นคนธรรมดา เมื่อมีจอมยุทธ์ขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มมาเรียกเขาว่านายน้อย นี่ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ
แต่เมื่อเห็นว่าหลงเซี่ยงดื้อแค่ไหน มู่เฉินก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “คำพูดข้าเมื่อสักครู่ อย่าเก็บไปใส่ใจเลยนะ”
ตอนแรกเขาคิดว่าเผ่าฝูถูส่งหลงเซี่ยงมาหยั่งเชิง ดังนั้นเขาจึงไม่มีความสุภาพเมื่อพูด
หลิงเซี่ยงยิ้มด้วยความยินดี “นายน้อยสมเป็นลูกของนายหญิงอย่างแท้จริง ด้วยพรสวรรค์ที่โดดเด่นเช่นนี้ ที่สำคัญเจ้ายังสามารถไปถึงระดับนี้ได้ แม้จะไม่มีความช่วยเหลือจากนายหญิง ไม่ง่ายเลยจริงๆ”
คำพูดของเขามาจากก้นบึ้งของหัวใจ เนื่องจากมู่เฉินประสบความสำเร็จด้วยวัยนี้ก็น่าตกตะลึงอย่างแท้จริง ไม่เพียงแต่ชายหนุ่มจะเป็นนักรบทวีปซีเทียน ตอนนี้ยังบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายแล้วอีกด้วย ที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือการเผชิญหน้ากับมู่เฉินที่มีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย แม้แต่คนอย่างหลงเซี่ยงยังไม่รู้สึกว่าจะเอาชนะได้
“ถ้านายน้อยเติบโตในเผ่าฝูถูละก็ ข้าเกรงว่าเจ้าจะกลายเป็นผู้สมัครชั้นดีของตำแหน่งประมุขคนต่อไป เจ้าจะไม่อ่อนแอกว่านายน้อยเฉวียนหลัวตอนนี้เลย” หลงเซี่ยงถอนหายใจ
มู่เฉินยิ้ม ไม่ได้รู้สึกเสียดายอะไร เขาพึ่งตัวเองมาตลอด ดังนั้นเขาจึงไม่ได้โลภมากในทรัพยากรของเผ่าฝูถู
“พี่ใหญ่หลงเซี่ยง… ท่านแม่ข้าเป็นยังไงบ้าง?” แม้ว่าเขาจะไม่สนใจทรัพยากรของเผ่าโบราณ แต่เขาก็กังวลว่ามารดาเป็นอย่างไรบ้างตอนนี้ ในอดีตเขาไม่มีความผูกพันกับเผ่าโบราณนี้ ดังนั้นในเมื่อตอนนี้เขาได้พบผู้ใต้บังคับบัญชาของมารดา เขาก็ต้องถามอย่างละเอียด
“นายหญิงถูกจองจำ แต่นางไม่ได้เป็นอะไรมาก ก็มีแต่คิดถึงเจ้าและบิดาเจ้ามากเท่านั้น” หลงเซี่ยงยิ้มพูดอย่างภาคภูมิ “พลังของนายหญิงลึกซึ้งและไม่อาจหยั่งรู้ แม้แต่ผู้อาวุโสใหญ่ก็ไม่กล้าคุกคามมากเกินไป หากไม่ใช่นายหญิงไม่ต้องการให้นายน้อยติดร่างแหไปละก็ ข้าคิดว่าพวกเขาคงไม่สามารถควบคุมนางไว้ได้”
มู่เฉินรู้สึกโล่งใจเมื่อรับรู้ แม้ว่าเผ่าฝูถูจะเป็นเผ่าโบราณ การพยายามจัดการกับหลิงเจิ้นต้าจงซือก็ยังคงต้องจ่ายราคาแพงระยับ ซึ่งอาจทำร้ายรากฐานเผ่าพันธุ์
แต่เมื่อคิดได้ว่าเขาเป็นเหตุผลที่ทำให้มารดาถูกจองจำ มู่เฉินก็รู้สึกเสียใจและโทษตัวเอง
“นายน้อยไม่จำเป็นต้องตำหนิตัวเอง ข้าแน่ใจว่านายหญิงต้องพึงพอใจมากเมื่อเห็นความสำเร็จของเจ้า” ราวกับว่าเขารู้เกี่ยวกับการตำหนิตนเองของมู่เฉิน หลงเซี่ยงก็เอ่ยปลอบใจ
มู่เฉินพยักหน้า เขาไม่ใช่คนที่ติดอยู่ในความเศร้าโศก ไม่มีประโยชน์ในการตำหนิตัวเองตอนนี้ เขาเพียงแต่ต้องพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อให้แข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วจนถึงจุดที่เผ่าฝูถูไม่สามารถพาเขาไปเป็นตัวประกันเพื่อขู่มารดาของเขาได้อีกต่อไป
ในห้องโถงเมื่อลั่วหลีและคนอื่นๆ เห็นว่าความเป็นปรปักษ์หายไปก็รู้สึกโล่งใจ สถานการณ์บอกพวกเขาแล้วว่าชายวัยกลางคนนี้เป็นมิตรไม่ใช่ศัตรู
“นายน้อยได้รับตำแหน่งนักรบทวีปซีเทียน ทำให้ชื่อขจรขจายออกไป ผู้คนในเผ่าฝูถูเริ่มให้ความสนใจกับเจ้า” หลงเซี่ยงเอ่ยเตือนเมื่อจ้องมองมู่เฉิน
มู่เฉินไม่แปลกใจกับสิ่งนี้ เนื่องจากเขารู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะซ่อนตัวจากขอบเขตของเผ่าฝูถูไปตลอดกาล แต่ตอนนี้เขาไม่ได้เป็นเด็กหนุ่มอ่อนแออีกต่อไป แม้ว่าเขาจะประหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม เขาก็สามารถต่อสู้ได้
ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าเผ่าฝูถูจะตัดสินใจที่จะส่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนออกมา เขาก็สามารถต่อต้านได้เช่นกันโดยการเรียกกำลังเสริม
พูดโดยรวมก็คือตอนนี้เขามีกำลังในการปกป้องตัวเอง ดังนั้นไม่จำเป็นต้องกังวลว่าเผ่าฝูถูจะใช้ไม้ไหนในการจับเขาไปคุกคามมารดาของเขา
“ข้าจะระวังตัว” มู่เฉินยิ้ม แม้ว่าเขาจะไม่กลัวเผ่าฝูถูอีกต่อไป แต่เขาก็ยังต้องระวัง เพราะอย่างไรพวกเขาก็เป็นหนึ่งในห้าเผ่าโบราณที่ยิ่งใหญ่
หลงเซี่ยงพยักหน้าให้ ดวงตาวูบไหวเหมือนต้องการพูดอะไร แต่สุดท้ายเขาก็กลืนคำพูดที่มาถึงลำคอกลับลงไป
ทว่าทันใดนั้นก็มีคนเข้ามาคุกเข่าต่อหน้าลั่วหลี “องค์จักรพรรดินีมีคนส่งข้อความมาที่วัง เราไม่รู้ว่ามาจากใคร”
ขณะที่พูดเขาก็หยิบชิ้นหยกออกมา
ลั่วหลีอึ้งไปวูบหนึ่ง ก่อนที่ยื่นมือดึงชิ้นหยกเข้ามา เมื่อสัมผัสโดนใบหน้าของนางก็เปลี่ยนไปและมองไปที่มู่เฉิน
“มีอะไรรึ?” มู่เฉินถาม
ลั่วหลีลังเลสั้นๆ ก่อนที่นางจะเติมคลื่นหลิงเข้าไปในชิ้นหยก ทันใดนั้นชิ้นหยกก็เรืองแสง หน้าจอพุ่งออกมามีภาพชายชราสวมเสื้อคลุมสีเทาปรากฏขึ้น
ชายชรานั่งอยู่เบื้องหน้าเจดีย์สีดำ สายตาราวกับทะลุผ่านมิติจับจ้องมาที่มู่เฉิน ก่อนที่เสียงของเขาจะดังกึกก้อง “ไอ้กาลกิณีมู่เฉิน ตอนนี้หลงเซี่ยงคงได้พบกับเจ้าแล้ว แต่ไม่ว่าเขาจะจับตัวเจ้าหรือไม่ ข้าก็มีบางอย่างที่จะบอกให้รู้”
“หากเจ้าต้องการช่วยเหลือหญิงสาวคนนี้ก็ให้มาที่เกาะหัวใจหยกในทวีปวั้นเต่า ไม่งั้นข้าจะส่งนางไปยังเผ่า พวกเขาคงไม่สงสารหญิงสาวที่มีชนักติดหลังหรอก”
เมื่อสิ้นเสียงเขา ภาพคุกก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอพร้อมกับหญิงสาวสวมชุดขาวนั่งอยู่เงียบๆ
“พี่หลิงซี!”
เมื่อมู่เฉินเห็นภาพหญิงสาว ดวงตาของเขาแคบลง รังสีสังหารแน่นหนาพล่านจากดวงตาของเขา
“หากเจ้าไม่ต้องการเห็นนางตาย ข้าจะรออยู่ที่เกาะหัวใจหยก”
ชายชรายิ้มไม่แยแส สะบัดแขนเสื้อหน้าจอก็หายไป ส่วนชิ้นหยกก็สลายกลายเป็นเถ้าถ่าน
ทั้งโถงเงียบกริบ โดยที่ใบหน้าของมู่เฉินมืดครึ้ม
เขาไม่คิดเลยว่าหลิงซีซึ่งขาดการติดต่อจะถูกขังอยู่ในเกาะหัวใจหยก
มู่เฉินหันไปหาหลงเซี่ยงถามว่า “พี่ใหญ่หลงเซี่ยง ชายคนนั้นพูดความจริงรึเปล่า?”
หลังจากลังเลครู่หนึ่งหลงเซี่ยงก็พยักหน้า “หลิงซีถูกขังอยู่ในเกาะหัวใจหยก กู้ซือหวงใช้นางข่มขู่ให้ข้าพาเจ้าไปที่เกาะหัวใจหยก”
“ตอนแรกข้าตั้งใจจะกลับไปแอบช่วยหลิงซีหลังจากพบเจ้าแล้ว แต่ข้าไม่คิดว่าไอ้เฒ่านั่นจะส่งคนตามหลังมา เพื่อแจ้งข่าวนี้กับเจ้า…”
“ดูเหมือนว่าไอ้เฒ่านั่นจะรู้ว่าถึงเราจะพบกันแต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะจับเจ้าไป”
“นายน้อย ไอ้เฒ่าคนนั้นเลวทรามต้องการให้เจ้าตกหลุมพราง เขาดูแลเกาะหัวใจหยกมาหลายปีแล้ว และที่นั่นก็เป็นป้อมปราการที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มยังมีปัญหา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกู้ซือหวงเองก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม!”
หลงเซี่ยงพยายามเกลี้ยกล่อม แม้ว่ามู่เฉินจะทรงพลัง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ระดับนั้นในสายตาของเขา
ได้ฟังคำพูดโน้มน้าว มู่เฉินก็ยิ้มพลางพยักหน้า เสียงเอ่ยออกมาอย่างนิ่งสงบ
“พี่ใหญ่หลงเซี่ยง ข้ารู้ว่าเขาต้องการให้ข้าตกลงไปในกับดัก… แต่เขาคงไม่เคยคิดว่า…”
“กับดักของเขา…เล็กไปหน่อย”
“บางครั้ง…ถ้ากับดักแตกนักล่าก็จะกลายเป็นคนถูกล่า…”
มู่เฉินพูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่เย็นชาสาดไอเข่นฆ่าเข้มข้น ทำให้แม้แต่หลงเซี่ยงยังตัวสั่น
บทที่ 1277 ความนุ่มนวล
ภูเขาด้านหลังวังลั่วเสิน
ตู้ม ตู้ม!
เสียงฟ้าร้องดังกึกก้องไปทั่วเทือกเขา ฝุ่นควันแผ่กว้าง แผ่นดินสั่นสะเทือน เงาร่างสองร่างกำลังโรมรันพันตู ทุกการปะทะปล่อยระลอกคลื่นทำลายล้างออกมา
ขณะที่ทั้งสองกำลังต่อสู้กันภูเขานี้ก็ถูกทำลายจนราพณาสูร
ปัง!
การปะทะกันดุเดือดอีกครั้ง ก่อนที่ร่างทั้งสองจะกระเด็นออกไปพร้อมกับเท้าลากไปบนพื้น ทำให้ภูเขากลายเป็นกองเถ้าถ่าน
“ฮ่าๆ เยี่ยมสุดๆ!” มู่เฉินยืนนิ่งขณะที่ถูกำปั้นแดงก่ำ รอยยิ้มยินดีปรากฏบนใบหน้า การแลกกระบวนท่าเมื่อครู่สะใจยิ่งนัก
หลงเซี่ยงปรากฏตัวตรงข้ามกับเขา แต่เมื่อเทียบกับความพอใจของมู่เฉินแล้ว สายตาของหลงเซี่ยงเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง
นั่นเป็นเพราะในหลายวันที่ผ่านมาขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มของเขาถูกใช้เป็นคู่มือให้กับมู่เฉิน เนื่องจากมู่เฉินเพิ่งก้าวเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ดังนั้นเขาจึงต้องการคู่ต่อสู้เพื่อให้คุ้นเคยกับพลังที่เพิ่มขึ้น ซึ่งตัวเลือกที่ดีที่สุดก็คือหลงเซี่ยง
หลงเซี่ยงเองก็ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องเป็นคู่ฝึกให้ เพราะเขาต้องการทราบถึงขีดจำกัดพลังของมู่เฉิน
แต่เมื่อลองเขาก็ต้องตกใจ
ตอนแรกเขายังรู้สึกได้ว่าการไหลเวียนของคลื่นพลังมู่เฉินค่อนข้างเชื่องช้า เนื่องจากยังไม่คุ้นชินกับคลื่นหลิงที่แข็งแกร่งขึ้น
ในเวลานั้นหากพวกเขาปะทะกันในแง่ของพลังงาน หลงเซี่ยงอาจยังได้รับข้อได้เปรียบเล็กน้อย
แต่เมื่อเวลาผ่านไป มู่เฉินก็ค่อยๆ ชินกับขุมพลังที่มี ดังนั้นพลังในการต่อสู้ของเขาก็เริ่มเพิ่มขึ้นในอัตราที่น่าตกใจ
ไม่กี่วันหลงเซี่ยงก็ตระหนักว่าในแง่ความบริสุทธิ์ของความแข็งแกร่ง เขาไม่สามารถได้รับประโยชน์อีกต่อไป เมื่อปะทะกับมู่เฉิน
นั่นทำให้เขาตกตะลึงอย่างยิ่งยวด เพราะไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นจอมยุทธ์ที่เกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม มิหนำซ้ำทักษะการฝึกฝนก็มุ่งเน้นความแข็งแกร่งทางกายภาพ
ดังนั้นต่อให้เป็นบรรดาคู่ต่อสู้ในขุมพลังเดียวกัน เขาก็ไม่ได้อ่อนแออย่างแน่นอน ทว่าตอนนี้เขากลับถูกปราบปรามโดยจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายเท่านั้นแล้วเขาจะไม่ตกตะลึงได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้นมู่เฉินก็ยังไม่ได้เผยไพ่ตายใดๆ… หลงเซี่ยงมีความรู้สึกว่าถ้าเขาปะทะแบบเดิมพันชีวิตกับมู่เฉิน คนที่ตายจะเป็นเขาแน่นอน
“นายน้อยลึกซึ้งยากหยั่งถึงจริงๆ ข้านับถือจริงๆ”
หลงเซี่ยงถอนหายใจ มู่เฉินสามารถทำสิ่งนี้ได้ด้วยขุมพลังที่มี ดังนั้นเขาจึงเชื่อมั่นในตัวมู่เฉินมาก
มองใบหน้าของมู่เฉิน ริ้วความเชื่อมั่นในหัวใจของหลงเซี่ยงก็ยิ่งเกิดขึ้น บางทีด้วยความแข็งแกร่งของมู่เฉิน อาจจะสามารถช่วยเหลือหลิงซีจากเกาะหัวใจหยกได้จริงๆ
ได้เห็นความชื่นชมของหลงเซี่ยง มู่เฉินก็เพียงยิ้มเท่านั้น สาเหตุที่ทำให้เขาต่อกรกับหลงเซี่ยงได้ ไม่เพียงเพราะเกิดจากร่างกายที่ทรงพลังของเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง เมื่อเทพอสูรทั้งสองผสานกันก็ปลดปล่อยออกมา ซึ่งนี่ไม่ได้เป็นสมการง่ายๆ ของหนึ่งบวกหนึ่ง
จากการประเมินของเขา แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้คลื่นหลิง แต่เขาก็สามารถยืนอยู่บนยอดพีระมิดท่ามกลางจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายได้ มากยิ่งกว่านั้นหากเขาได้พบกับจอมยุทธ์ขุมพลังเดียวกับหลงเซี่ยง เขาก็ยังสามารถรักษาที่มั่นของตนเองไว้ได้
แน่นอนว่าสิ่งนี้เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะจัดการกับจอมยุทธ์เกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม
ด้วยความคิดเหล่านี้กวนตัวในใจ มู่เฉินเงยหน้าขึ้นก็เห็นเงาที่คุ้นเคยยืนอยู่บนเนินเขาที่อยู่ไกลออกไป มองมาที่เขา
“นายน้อย ข้าขอตัวก่อน” หลงเซี่ยงยิ้มเมื่อเห็นลั่วหลี
มู่เฉินพยักหน้า “เราจะเดินทางอีกสามวันข้างหน้าไปยังเกาะหัวใจหยก”
“รับทราบ!”
หลงเซี่ยงตอบกลับด้วยความเคารพก่อนหันจากไป
เมื่อเห็นหลงเซี่ยงจากไปแล้ว ร่างของมู่เฉินก็เคลื่อนไหวไปปรากฏตัวต่อหน้าลั่วหลี
วันนี้ลั่วหลีเข้าร่วมประชุม นางจึงสวมชุดสีม่วงงดงามที่ดูสูงศักดิ์และสง่างามนัก
เอวของนางคอดกิ่ว การแต่งกายเช่นนี้ยิ่งเน้นย้ำส่วนโค้งที่น่าประทับใจ รูปร่างหน้าตาสมบูรณ์แบบทำให้คนอื่นต้องหันมาจ้องมองนาง สายลมพัดผ่านเรือนสีเงินก็พลิ้วไหว ยามนี้นางช่างดูงดงามหมดจด
รอยยิ้มอ่อนโยนเผยบนใบหน้าของมู่เฉินเมื่อเห็นหญิงสาวคนรัก แม้แต่ร่างกายเกร็งเครียดของเขาก็ผ่อนคลาย
อยู่ต่อหน้านาง เขาสามารถละทิ้งหน้าที่และรับความสงบสุขที่หายากได้เสมอ
ทว่าสายตาที่มองลั่วหลีก็ร้อนแรงขึ้น
เมื่อรู้สึกถึงสายตาชัดเจนของเขา ลั่วหลีก็รู้สึกสะเทินอายก่อนที่ส่งสายตาค้อนไปให้ แต่ก่อนที่นางจะได้พูดอะไรมู่เฉินก็ก้าวเข้ามา
กลิ่นของมู่เฉินโชยอ่อน ทำให้ลั่วหลีถอยกลับจากปฏิกิริยาตอบสนอง แต่อึดใจนางก็หยุด แขนแกร่งเอื้อมเข้ามาโอบรอบเอวไว้ ดึงตัวนางพุ่งเข้าใส่อ้อมกอดของเขา
สัมผัสคนรักในอ้อมแขน มองใบหน้าที่ขึ้นริ้วแดงของนางพร้อมกับริ้วความประหม่าในดวงตางดงาม มู่เฉินก็กดอารมณ์ในหัวใจไม่ไหว เขาก้มลงจูบนาง
ร่างกายของลั่วหลีแข็งเกร็งไป แต่ไม่ช้านางก็ตอบสนอง เรียวแขนโอบรอบคอมู่เฉินพร้อมกับหลับตาพริ้ม
สายลมอ่อนโยนพัดผ่านมา ขณะที่คู่รักกอดกันแน่น ปลดปล่อยความรักความคิดถึงที่พรากจากกันมานาน
ทั้งสองตระกองกอดกันไว้ไม่รู้นานเท่าไร ในที่สุดลั่วหลีก็แพ้ลงด้วยใบหน้าเขินอายซ่อนตัวอยู่ในอ้อมกอดของมู่เฉินราวกับนกกระจอกเทศ ท่วงท่าเขินอายนี้ไม่เหมือนกับจักรพรรดินีตระกูลลั่วเสินเลยสักนิด
ภาพนี้ทำให้ดวงตาของมู่เฉินลุกโชนยิ่งขึ้น ลมหายใจของเขาเริ่มกระชั้นถี่ มือกดหญิงสาวลงบนพื้นหญ้า
แต่ก่อนที่เขาจะก้าวต่อ มือเรียวก็ยื่นมาดันที่หน้าอกเขา ครั้นเขาก้มศีรษะลงก็เห็นสายตาเอียงอาย
“ไม่เอา” ลั่วหลีกัดริมฝีปากสีแดงชาดแน่น
มู่เฉินได้สติขึ้นมา ไฟปรารถนาในดวงตาก็ลดลง เขายิ้มเนือยๆ เขารู้ว่าอารมณ์ถูกกักเก็บมานานหลายปี ดังนั้นจึงยากจะควบคุม
นี่เป็นภูเขาด้านหลังวังลั่วเสินจะมีหน่วยลาดตระเวณมาตรวจตราเป็นครั้งคราว หากพวกเขาเห็นว่าจักรพรรดิถูกมู่เฉินรังแก พวกเขาอาจมองข้ามความแตกต่างของพลัง พุ่งเข้ามาแบบสู้ตาย
พอเห็นมู่เฉินหยุดการกระทำ มือของนางก็เลื่อนออกจากแผ่นอก ใบหน้างดงามยังคงแดงซ่าน ก่อนหน้านางรู้สึกตกใจไปกับความรู้สึกที่ปะทุของมู่เฉิน ดังนั้นจึงปฏิเสธโดยการตอบสนองตามธรรมชาติ แต่ถ้าเราสองอยู่ในที่รโหฐาน นางอาจไม่มีความกล้าที่จะหยุดมู่เฉิน
แค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ทำให้ใบหน้าของนางแดงเป็นหัวผักกาด
เมื่อมองท่าทางน่ากินของนาง มู่เฉินก็ถอนหายใจ “ข้าดันปล่อยเนื้อหงส์ให้บินออกจากปากซะนี่”
ลั่วหลีที่ได้ยินคำพูดของเขาก็กำมือทุบหลังไหล่ของมู่เฉินรัวๆ นางกัดฟันก่อนที่จะพูดเสียงต่ำ “ระ…รอจนกว่าเจ้าจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนและช่วยมารดาเจ้าได้ ขะ…ข้า…จะให้เจ้าทำตามที่ปรารถนา”
เมื่อพูดถึงตอนท้าย แม้กระทั่งน้ำเสียงก็ยังสั่นเทา ชัดว่าเขินอายสุดขีด
มู่เฉินเบิกตา เขาไม่เคยคิดว่าลั่วหลีจะใช้วิธีนี้เพื่อล่อลวงเขา ดังนั้นเขาจึงเชิดหน้าขึ้นพูดว่า “ข้าดูเหมือนจะเป็นคนหื่นกามงั้นเหรอ?”
ทว่าเลือดที่เดือดพล่านและผิวแดงก่ำพิสูจน์ได้ว่าเขาพูดโกหก
ด้วยความรู้ทันของลั่วหลี นางสามารถบอกได้ว่าเขาแกล้งทำ ดังนั้นนางจึงเบ้ปาก ผลักเขาออกไป ลุกขึ้นนั่งกอดเขาพลางปัดเส้นผมที่ระบนใบหน้าออก “ก็ได้ งั้นถือว่าข้าไม่เคยพูดมาก่อนละกัน”
“เอ่อ”
มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะพูดเสียงตะกุกตะกักว่า “เจ้าคือจักรพรรดินีแห่งตระกูลลั่วเสิน คำพูดกษัตริย์มีน้ำหนักมหาศาล จะเปลี่ยนแปลงอย่างง่ายดายได้ยังไง”
ขณะที่พูดเขาก็สังเกตเห็นรอยยิ้มหยอกเย้าบนริมฝีปากของนาง ดังนั้นจึงกระโจนใส่ทันที
“เจ้ากล้าหลอกข้าเหรอ!”
“คิกๆ!”
บนผืนหญ้าทั้งคู่กลิ้งเกลือกไปมาพร้อมกับเสียงหัวเราะสดใส พวกเขาเครียดตลอดในช่วงหลายปีที่ผ่านมาและนี่เป็นช่วงเวลาที่หายากยิ่งสำหรับทั้งสอง
สิ่งนี้กินเวลานานพอสมควร ก่อนที่พวกเขาจะลุกขึ้นไปนั่งบนเนินเขามองพระอาทิตย์ที่กำลังตกดิน
“เจ้าตั้งใจจะไปเกาะหัวใจหยกใช่ไหม?” ศีรษะของลั่วหลีเอนซบลงบนไหล่ของมู่เฉิน
มู่เฉินพยักหน้า “พี่หลิงซีอยู่ที่นั่น ข้าต้องไปช่วยนาง”
แม้ว่าเกาะหัวใจหยกจะเป็นถ้ำเสือ แต่มู่เฉินก็ไม่มีทางเลือกนอกจากมุ่งหน้าไป เพราะหลิงซีเคยช่วยเหลือเขามามาก ไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างพวกเขา
“เจ้าจะไม่บอกมั่นถัวหลัวให้รู้หน่อยเหรอ?”
ถ้ามั่นถัวหลัวไปด้วยจะทำให้การเดินทางนี้ปลอดภัยยิ่งขึ้น
ทว่ามู่เฉินกลับส่ายหัว “ตำหนักมู่เพิ่งก่อตั้ง แม้ว่าเราจะปกครองภูมิภาคเหนือทั้งหมด แต่ก็ยังมีกองกำลังชั้นยอดมากมายในทวีปเทียนหลัวที่จับตาเรา ดังนั้นมั่นถัวหลัวต้องอยู่ที่นั่น ไม่เช่นนั้นอาจมีความเป็นไปได้ที่ภูมิภาคทางเหนือที่เพิ่งเป็นปึกแผ่นจะถูกแยกอีก”
ลั่วหลีพยักหน้าพลางยิ้ม “งั้นครั้งนี้ข้าจะไปด้วย”
มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะมองลั่วหลี ตอนแรกเขาคิดว่าลั่วหลีจะออกจากตระกูลลั่วเสินไม่ได้ เพราะตอนนี้ตระกูลลั่วเสินต้องการนาง
ทั้งสองแยกจากกันเป็นเวลาหลายปี ดังนั้นเขาจึงอยากจะอยู่กับนางตลอด ทว่าเขารู้ว่าบางทีตนเองก็ต้องแบกรับความเหงาเพื่อปกป้องคนที่รัก
ในเมื่อลั่วหลีตัดสินใจไปกับเขาครั้งนี้ ชัดว่านางให้ความสำคัญกับเขาเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเห็นสายตาประหลาดใจที่จ้องมองมาของมู่เฉิน ลั่วหลีก็ยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ “ตอนนี้ตระกูลลั่วเสินมีความมั่นคงแล้ว ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากนี้…ในอดีตเจ้าแบกรับคนเดียวมาตลอด ครั้งนี้ข้าอยากช่วยแบ่งเบาภาระบ้าง”
มู่เฉินรู้สึกซึ้งใจกับคำพูดของนาง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธด้วยเหตุผลว่ามีอันตราย เพราะนั่นไม่ได้มีผลกับหญิงสาวคนนี้
ดังนั้นเขาเอื้อมมือออกกอดเอวนางพร้อมกับเสียงหัวเราะสะท้อนก้อง
“เอาล่ะ งั้นไปดูกันเถอะว่าถ้ำเสือจะจับเราไว้ได้ยังไง!”
บทที่ 1278 จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มสามคน
ทวีปวั้นเต่า
บนเกาะใหญ่โต ค่ายกลเคลื่อนย้ายมหึมาในเมืองเจริญเปล่งเสียงมหาศาล เหนือขึ้นไปเห็นเงาแสงนับไม่ถ้วนเคลื่อนไหวไปมา
มู่เฉิน ลั่วหลีและหลงเซี่ยงเดินออกจากค่ายกล
เมื่อออกมามู่เฉินก็รู้สึกได้ถึงลมทะเลที่พัดผ่านพร้อมกับกลิ่นคาวปกคลุมไปทั่วบริเวณ มากจนแม้แต่คลื่นหลิงก็ยังชื้นขึ้น
“นี่คือทวีปวั้นเต่ารึ…”
มู่เฉินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อเห็นเมืองคึกคักแห่งนี้ ความนิยมที่นี่ไม่น้อยไปกว่าทวีปซีเทียนเลย ว่ากันว่าทะเลครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของทวีปนี้ โดยมีหมู่เกาะขนาดใหญ่กระจายอยู่ทั่วมหาสมุทร
ไม่มีขั้วอำนาจสูงสุดในทวีปวั้นเต่าแต่ความวุ่นวายที่นี่ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าทวีปเทียนหลัวเลย เกาะแต่ละแห่งประกาศสงครามกัน ดังนั้นความขัดแย้งจึงเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับที่นี่
“นี่คือเกาะหมัวหลัว ผู้ปกครองของเกาะนี้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ซึ่งมีชื่อเสียงในทวีปนี้พอสมควร” หลงเซี่ยงกล่าว ชัดว่ารู้ข้อมูลทวีปวั้นเต่าดี
มู่เฉินพยักหน้าถามว่า “เกาะหัวใจหยกอยู่ที่ไหน?”
“ห่างจากที่นี่ระยะหนึ่ง ต้องใช้เวลาประมาณสองวันในการเดินทาง” เมื่อหลงเซี่ยงพูดก็ดูลังเลในช่วงสั้นๆ “นายน้อย กู้ซือหวงไม่ได้จัดการง่ายๆ ดังนั้นเจ้าต้องระวังตัว”
มู่เฉินยิ้ม “วางใจเถอะ ตราบใดที่ไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน เขาก็ไม่สามารถทำอะไรข้าได้ แม้ว่าเขาจะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ตาม”
แม้ว่ามู่เฉินจะมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายเท่านั้น แต่หากต้องการหนีเขาก็มั่นใจว่าทำได้ แม้ว่าจะเผชิญกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มในฐานะคู่ต่อสู้
หลงเซี่ยงไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเคลื่อนไหวร่างเปลี่ยนเป็นแสงทะยานไปทางมหาสมุทรกว้างใหญ่
มู่เฉินและลั่วหลีแลกเปลี่ยนสายตากัน ก่อนที่จะติดตามไปอย่างรวดเร็ว
ทวีปวั้นเต่าเต็มไปด้วยภัยพิบัติทางธรรมชาตินับไม่ถ้วน ในมหาสมุทรคลื่นหลิงและความเย็นไม่รู้จบรวมตัวกันเป็นพายุหิมะ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนยังต้องเผชิญกับอันตรายเช่นกัน
แต่โชคดีที่มีหลงเซี่ยงเป็นผู้นำ ทำให้พวกเขาไม่พบอุปสรรคมากมาย สองวันต่อมาพวกเขาก็ค่อยๆ เข้าใกล้จุดหมายปลายทาง…
ร่างเงาสามร่างยืนอยู่เหนือมหาสมุทร
มู่เฉินมองไปไกล แววตาวูบไหว ภาพวิวทิวทัศน์ก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น
เกาะสีเขียวมรกตนี้ตั้งอยู่บนมหาสมุทรที่ห่างไกล ห่อหุ้มด้วยคลื่นหลิงหนาแน่น ซึ่งแสดงให้เห็นชัดเจนว่านี่เป็นแดนสวรรค์ที่หายากยิ่ง
แม้จะอยู่ในระยะไกลมู่เฉินก็ยังรู้สึกถึงคลื่นหลิงบนเกาะ ความหนาแน่นนั้นแข็งแกร่งกว่าเกาะใดๆ ที่มู่เฉินเคยเห็นในทวีปวั้นเต่า
“สมกับเป็นเผ่าฝูถู ครอบครองแดนสวรรค์ดังกล่าวแล้วยังไม่มีใครกล้ามาแย่งชิง”
มู่เฉินถอนหายใจ ถ้าเป็นขั้วอำนาจอื่นๆ ควบคุมดินแดนนี้ละก็ แม้จะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็อาจจะต้องเผชิญกับปัญหา
ทว่าที่นี่ไม่มีความขัดแย้งในรัศมีหลายหมื่นลี้เลย เห็นได้ชัดว่าดินแดนเหล่านั้นล้วนเป็นของเกาะหัวใจหยก ดังนั้นกลุ่มอื่นๆ จึงไม่กล้าที่จะแช่มือลงมา
“ข้าจะเข้าไปและหาโอกาสช่วยหลิงซีก่อน เพื่อที่นางจะได้ไม่ถูกกู้ซือหวงใช้เป็นตัวประกันข่มขู่เจ้า” หลงเซี่ยงมองมู่เฉิน
“ลั่วหลีกับข้าจะซ่อนตัวที่ก้นมหาสมุทร ท่านระวังตัวด้วย”
มู่เฉินพยักหน้า หากพวกเขาสามารถช่วยชีวิตนางได้โดยไม่ต้องไปปะทะกัน ก็จะเป็นการดีที่สุดอย่างแน่นอน
สำหรับหลงเซี่ยง ขุมพลังเกือบตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ประมาทไม่ได้ แม้ว่ากู้ซือหวงจะตรวจพบ เขาก็ไม่สามารถทำอะไรกับหลงเซี่ยงได้ทันที
หลงเซี่ยงพยักหน้าก่อนที่จะหายใจลึกกลายเป็นลำแสงทะยานไปที่เกาะหัวใจหยก
ส่วนมู่เฉินและลั่วหลีก็ทิ้งตัวจมลงไปในมหาสมุทร ถอนรัศมีของพวกเขา ค่อยๆ เคลื่อนเข้าหาเกาะจากใต้น้ำ
ฟิ้ว!
หลงเซี่ยงพุ่งไปอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าก็เข้าไปใกล้เกาะหัวใจหยก เขาไม่ได้ประสบกับสิ่งกีดขวางใดๆ ดังนั้นจึงไปปรากฏตัวเบื้องหน้าเจดีย์สีดำในพริบตา
กู้ซือหวงนั่งเงียบๆ อยู่ใต้เงาเจดีย์เหมือนเมื่อตอนหลงเซี่ยงออกไป ดวงตาเขาลืมขึ้นเมื่ออีกฝ่ายมาถึง
เขาคลี่รอยยิ้มมองหลงเซี่ยง “ภารกิจของเจ้าเสร็จสิ้นแล้วหรือ?”
หลงเซี่ยงตอบเสียงสงบกลับไป “มู่เฉินได้รับตำแหน่งนักรบทวีปซีเทียน ตอนที่เขาอยู่ในขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายได้แล้ว ตอนนี้เขาเข้าขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย กระทั่งข้าก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้”
“ถ้าต้องการจับเขา เจ้าคงต้องลงมือเองแล้วล่ะ”
กู้ซือหวงที่ได้ยินคำพูดของหลงเซี่ยงก็ไม่ได้แสดงท่าทางโกรธเคืองอะไร แต่กลับพยักหน้ายิ้มตาหยี เขาไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทว่าพูดด้วยรอยยิ้มประหลาด “งั้นก็ทิ้งเรื่องนี้ไว้ให้ข้า เจ้าไม่ต้องสนใจอีกต่อไป”
“จริงสิ มีคนจากเผ่ามาที่เกาะหัวใจหยก ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จัก”
เมื่อได้ยินคำพูดของกู้ซือหวง หลงเซี่ยงก็ดวงตาหดแคบลงทันที
“ฮ่าๆ ไม่เจอกันนานแล้วนะหลงเซี่ยง”
ภาพเงาหนึ่งเดินออกมาจากทางด้านขวาสวมเสื้อคลุมสีแดง เส้นผมเป็นสีขาว ภาพวาฬเพชฌฆาตปักบนเสื้อคลุมซึ่งดูผิดแผกแตกต่าง
เมื่อเห็นคนผู้นี้ใบหน้าของหลงเซี่ยงก็เปลี่ยนไปอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ก่อนที่เขาร้องอุทาน “เหลียงเสียหยู? ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่?!”
เหลียงเสียหยูเป็นสมาชิกของเผ่าฝูถู มิหนำซ้ำยังเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มซึ่งไม่อ่อนแอกว่ากู้ซือหวง หลงเซี่ยงไม่คิดเลยว่ากู้ซือหวงจะเรียกตัวอีกฝ่ายมาด้วย
“ฮ่าๆ ดูเหมือนเจ้าจะประหลาดใจมากนะ?” กู้ซือหวงหัวเราะร่วน สายตาวูบไหวมองไปทางด้านซ้ายมือด้วยรอยยิ้ม “สหายเก่าของข้าไม่ได้มาแค่คนเดียว”
หัวใจของหลงเซี่ยงสั่นไหว ก่อนที่จะหันไปมองทางซ้าย เขาเห็นชายชราสวมเสื้อสีเขียวปรากฏขึ้นโดยที่เขาไม่รู้ตัว
ชายชราคนนี้ดูราวกับมัมมี่แห้งกรังพร้อมกับสายตาจ้องมองอย่างเย็นชา ลวดลายอสรพิษปักอยู่บนเสื้อคลุม
นอกจากนี้ยังปลดปล่อยคลื่นหลิงทรงพลังออกมา ชัดว่าเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มอีกคน!
“ผู้อาวุโสอสรพิษมรกต!”
หลงเซี่ยงหายใจเข้าลึกๆ แม้ว่าชายคนนี้จะไม่ได้มาจากเผ่าฝูถู แต่ชื่อของเขาเป็นที่รู้จักกันดีในทวีปวั้นเต่า ซึ่งอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งมาก
ไม่คิดว่าเขาจะมาอยู่ที่นี่ด้วย
นี่เท่ากับมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มสามคน!
กู้ซือหวงยิ้ม “เฮ้อ คนเรายิ่งอายุมากก็จะยิ่งระวังตัวมากขึ้นน่ะ ข้าวางกับดักสำหรับไอ้กาลกิณีไว้แล้ว ก็เป็นธรรมดาที่ข้าต้องเป็นห่วงว่าอาจมีรูโหว่ ดังนั้นข้าจึงเชิญสหายเก่าให้มาช่วยเหลือ”
“หลงเซี่ยง เจ้าคิดว่าไง?” กู้ซือหวงมองไปที่หลงเซี่ยง
หลงเซี่ยงสีหน้ามืดครึ้มก่อนที่จะผงกหัวโดยไม่มีอารมณ์ใด ไอ้เฒ่านี่เจ้าเล่ห์นักและเต็มใจจ่ายราคาดังกล่าวเพื่อจัดการกับมู่เฉิน ดูเหมือนว่าเรื่องในวันนี้จะไม่ใช่ง่ายที่จะแก้ไข
กู้ซือหวงตอบด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “ในเมื่อเป็นแบบนี้ทำไมเจ้าไม่เชิญเด็กสองคนนั่นมาพบหน่อยล่ะ”
ดวงตาของหลงเซี่ยงสั่นไหวขณะมองไปที่กู้ซือหวงอย่างเยือกเย็น ที่แท้ไอ้เฒ่านี่ก็สัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของมู่เฉินกับลั่วหลีแล้ว
“โฮก!”
หลงเซี่ยงปลดปล่อยเสียงคำรามที่ฟังดูราวกับมังกรและช้าง สะท้อนก้องในมิติรอบด้าน
เสียงคำรามเต็มไปด้วยคำเตือนบอกเป็นนัยถึงมู่เฉินถึงการดำรงอยู่ของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มทั้งสาม
เมื่อผู้อาวุโสอสรพิษมรกตเห็นสิ่งนี้ก็ขมวดคิ้วพลางสะบัดแขนเสื้อ เสียงขู่ฟ่อดังกึกก้องออกมาคุลมเสียงคำรามของหลงเซี่ยงไว้
กู้ซือหวงยืนขึ้นมองไปรอบเกาะหัวใจหยก เสียงของเขาดังก้องระหว่างสวรรค์และโลก “ไอ้ตัวกาลกิณีมู่เฉิน! ในเมื่อมาแล้วทำไมถึงไม่แสดงตัว ไม่งั้นข้าจะส่งหลงเซี่ยงและหลิงซีกลับไปยังเผ่าเพื่อรับโทษทัณฑ์!”
เสียงดังก้องในมิติ ดันคลื่นใหญ่ขึ้นโดยรอบ
ครืนๆๆๆ!
เมื่อเสียงของเขากระจายออก ทันใดนั้นคลื่นก็รวมตัวกันเป็นคลื่นยักษ์ขนาดมหึมากวาดเข้ามาในทิศทางของเกาะหัวใจหยก
คลื่นยักษ์มาพร้อมกับเงามหีมา ปรากฏเหนือท้องฟ้าเกาะหัวใจหยก
จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มทั้งสามเพ่งสายตาไปบนยอดคลื่นขนาดใหญ่
มองเห็นร่างสองร่างยืนอยู่บนนั้น หนึ่งในนั้นเป็นชายหนุ่มที่มีสายตาคมกริบกำจายรัศมีเสียดแทง ราวกับเขาเป็นสุดยอดกระบี่ที่ยากจะเปรียบ ทำให้เกิดความกลัวในจิตใจของผู้คน
มู่เฉินยืนอยู่บนเกลียวคลื่นมองลงมาที่ตาเฒ่าทั้งสามก่อนที่จะหยุดอยู่ที่กู่ซือหวง น้ำเสียงราบเรียบดังก้อง
“ปรากฏตัวแล้ว ไอ้แก่อย่างแกจะทำอะไรได้ล่ะ?”
บทที่ 1279 ยึดค่ายกล
เสียงราบเรียบของมู่เฉินก้องไปทั่ว
สะท้อนในเกาะหัวใจหยกเป็นเวลานาน
เมื่อได้ยินคำพูดหยิ่งยโสของมู่เฉิน กู้ซือหวงก็ขมวดคิ้วขณะที่มองเงาร่างที่ยืนอยู่บนเกลียวคลื่นด้วยรอยยิ้มบาง “จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายกล้าใช้คำพูดเช่นนี้กับข้า แกช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริงๆ”
ตู้ม!
ขณะที่คำพูดสุดท้ายระเบิดออกพร้อมกับคลื่นกระแทกที่มองเห็นด้วยตาเปล่ากวาดตัวรุนแรงเข้าหามู่เฉิน
คลื่นเสียงนั้นน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง ถ้าเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายธรรมดาปะทะเข้าละก็ พวกเขาอาจเลือดสาดกระจายหรือไม่ก็รับบาดเจ็บหนัก
แต่สำหรับมู่เฉินที่สามารถครอบครองสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายด้วยขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น เห็นได้ชัดคนอย่างเขาเอาไปรวมกับคำว่า ‘สามัญ’ ไม่ได้
ดังนั้นเผชิญกับการโจมตีเช่นนี้ มู่เฉินจึงก้าวออกไปพร้อมกับอ้าปาก เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าดังกึกก้อง
โฮก!
คลื่นเสียงรุนแรงพร้อมด้วยแรงกดดันของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงกวาดปะทะกับคลื่นเสียงของกู้ซือหวง ทำให้เกิดเสียงระเบิดดังกึกก้องเมื่อกระแทกกัน
คลื่นขนาดใหญ่ใต้ฝ่าเท้าของมู่เฉินและลั่วหลีแตกออก กลายเป็นพายุฝนปกคลุมเกาะหัวใจหยกไว้
พอเห็นว่าคลื่นเสียงของตนถูกปิดกั้นง่ายดายเพียงใด ดวงตาของกู้ซือหวงก็หดลง แม้ว่านี่จะเป็นการหยั่งเชิงมู่เฉิน แต่ตัวเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ดังนั้นแม้ว่าจะเป็นเพียงคลื่นเสียงก็ไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายจะสามารถปิดกั้นได้
ทว่ามู่เฉินกลับทำสำเร็จ
“หึ เจ้ามีความสามารถเหมือนกันนี่ ไม่น่าแปลกใจที่กล้าทำหยิ่งยโสมาชิงคนที่เกาะหัวใจหยกของข้า” กู้ซือหวงเค้นเสียงขึ้นจมูก
“ไม่ว่ามันจะมีความสามารถแค่ไหนก็ยังเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย”
เหลียงเสียหยูแสยะยิ้มขณะจ้องมองมู่เฉินด้วยแววตามืดมนลง “เฮ้ ไอ้หนูกาลกิณีนั่นใช่ไหม? แม้ว่าพรสวรรค์จะใช้ได้ แต่ก็ยังยังด้อยกว่าประมุขน้อย ผู้อาวุโสกู้ ท่านไม่ระวังมากไปหน่อยเหรอ?”
ในเผ่าฝูถู เขาและกู้ซือหวงเป็นกลุ่มผู้สนับสนุนประมุขน้อย เมื่อไม่นานมานี้เขาได้รับข่าวจากกู้ซือหวงว่าไอ้กาลกิณีตัวนี้อาจจะเป็นภัยคุกคามของประมุขน้อย ดังนั้นเขาจึงดั้นด้นมาไกลและตั้งใจจะกำจัดภัยนี้ให้สิ้นซาก
เมื่อกู้ซือหวงได้ยินคำพูดนั่น เขาก็ยิ้มบาง “ไม่ว่าอย่างไรก็มีความเป็นไปได้สูงที่เขาสร้างเจดีย์พุทธะได้ ความจริงเพียงอย่างเดียวนี้เราไม่สามารถปล่อยให้เขาเติบโตได้ เขาอาจเป็นปัจจัยไม่แน่นอนในอนาคต”
แม้ว่าในสายตาเขาจะไม่มีใครสามารถเทียบได้กับประมุขน้อย แต่กู้ซือหวงที่ระมัดระวังเสมอก็ไม่ต้องการทิ้งเสี้ยนหนามเอาไว้รอบตัว ดังนั้นหากมีโอกาสก็เป็นการดีที่สุดที่จะกำจัดภัยคุกคามนี้
เหลียงเสียหยูเบ้ปาก แตก็ไม่ได้หักล้างอะไร เพราะนี่ก็สมเหตุสมผลที่กู้ซือหวงจะต้องระวัง
พวกเขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อสนับสนุนประมุขน้อยของพวกเขาให้ขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขคนต่อไปของเผ่า แต่ถ้าพวกเขาวางเดิมพันผิดก็อาจจะส่งผลให้ถูกปราบปรามเสียเอง ดังนั้นพวกเขาจะต้องช่วยประมุขน้อยกำจัดอุปสรรคบางอย่าง
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็ปล่อยให้ไอ้กาลกิณีนี่หนีรอดไปไม่ได้แล้ว”
เหลียงเสียหยูหยุดพูดไปอึดใจก่อนที่จะพูดต่อ “ถึงแม้ผู้อาวุโสใหญ่จะพูดว่าให้จับเป็นไอ้เด็กนี่ แต่อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอ ดังนั้นการทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส ผู้อาวุโสใหญ่ก็คงเข้าใจได้”
กู้ซือหวงพยักหน้า ฝั่งเขามีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มถึงสามคน ดังนั้นไม่ว่ามู่เฉินจะมีกลยุทธ์แบบไหน ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะหนีไปจากพวกเขา
หลงเซี่ยงถอยกลับไปในเวลานี้ ก่อนที่จะปรากฏตัวข้างมู่เฉินและลั่วหลีด้วยสีหน้าน่าเกลียด “ระวังให้ดีกู้ซือหวงเชิญพรรคพวกมาอีกสองคน ตอนนี้ฝั่งพวกเขามีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มสามคนเลยทีเดียว!”
เผชิญหน้าจอมยุทธ์ระดับนี้สามคน แม้แต่หลงเซี่ยงก็รู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด
ด้วยพลังที่มี ถ้าลองเสี่ยงดูเขาอาจจะสามารถต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มคนเดียวได้ช่วงเวลาหนึ่ง แต่ถ้าเขาต้องการชัยชนะก็เป็นเรื่องยากยิ่ง ไม่ต้องพูดถึงว่าอีกฝ่ายมีตั้งสามคน!
นี่คือสิ่งที่เกินความคาดหมายของเขา
แต่เมื่อเทียบกับหลงเซี่ยงแล้ว มู่เฉินค่อนข้างสงบ เนื่องจากเขาคาดเดาไว้อยู่แล้วว่าเกาะหัวใจหยก อาจไม่ได้มีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มเพียงคนเดียว
“ไอ้กาลกิณีมู่เฉิน วันนี้แกหนีไม่พ้นแน่ ยอมแพ้ซะดีๆ ข้าสามารถปล่อยคนที่เหลือไปได้” กู้ซือหวงกล่าวขึ้น
“โอ้? งั้นแกมาลองดูก่อนสิ?”
มู่เฉินยิ้มไม่มีความอบอุ่นในดวงตาสักริ้ว แม้ว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มสามคน แต่เขาก็ไม่ได้หมดปัญญา
ทั้งสามคนตกใจ คิดว่าทำไมมู่เฉินถึงไร้ความกลัวเช่นนี้ พวกเขาเป็นผีเฒ่าที่มีประสบการณ์มายาวนาน ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถบอกได้เลยมู่เฉินไม่ได้แกล้งทำ
ทว่าพวกเขาคิดไม่ออกว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายจะสามารถรับมือกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มสามคนได้อย่างไร
“ดื้อด้านซะจริง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าจะโยนความสิ้นหวังใส่แกเอง”
สายตาของกู้ซือหวงวูบไหว จากนั้นเขาก็ยิ้มน่าขนพองสยองเกล้า เมื่อเขาโบกมือเกลียวคลื่นหลิงนับไม่ถ้วนก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าจากทั่วเกาะหัวใจหยก
เกลียวเหล่านั้นพันไขว้กันก่อร่างเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ล้อมรอบพื้นที่เอาไว้ รัศมีน่ากลัวเล็ดลอดออกมาจากมัน
“นี่…ค่ายกลสะเก็ดดาวไหลเวียนสวรรค์?! แกสามารถควบคุมค่ายกลนี้ได้ยังไง?” หลงเซี่ยงมองค่ายกลขนาดใหญ่ที่ล้อมเกาะหัวใจหยกไว้ทั้งหมด ใบหน้าก็เปลี่ยนไปรุนแรง
คิ้วของมู่เฉินขมวดหากันก่อนจะอุทาน เนื่องจากเขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนที่คุ้นเคยในค่ายกลนี้
“ฮ่าๆ ตอนแรกข้าก็ทำไม่ได้หรอก แต่ครั้งนี้พี่เสียหยูนำป้ายหมื่นค่ายกลมาจากเผ่า ทำให้ข้าสามารถบุกเข้าในจุดศูนย์กลางของค่ายกลเพื่อควบคุมได้”
กู้ซือหวงมองมู่เฉินด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ยบนหน้า “ค่ายกลนี้เป็นสิ่งที่แม่ของแกชิงเหยี่ยนจิ้งทิ้งเอาไว้ บางทีนางคงไม่เคยจินตนาการว่าหลังจากผ่านไปหลายปีค่ายกลนี้จะถูกใช้เพื่อจัดการกับลูกชายตัวเอง! ฮ่าๆๆๆ สุขใจอะไรอย่างนี้”
มู่เฉินหดตาลง มิน่าล่ะเขาถึงรู้สึกคุ้นเคยค่ายกลนี้ ที่แท้มารดาของเขาเป็นคนสร้างนี่เอง
“กู้ซือหวงไม่อายรึไงที่ใช้ค่ายกลปกป้องพร้อมกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มสามคน!” หลงเซี่ยงคำราม
“ผู้ชนะได้ทุกอย่าง ไม่มีใครสนใจวิธีการหรอก” กู้ซือหวงเค้นเสียง
แสงเย็นวาบขึ้นในดวงตาของมู่เฉินพร้อมกับรังสีสังหาร เขารู้สึกโกรธเคืองที่กู้ซือหวงใช้สิ่งที่มารดาของเขาทิ้งไว้มาจัดการกับเขา
“ช่างเถอะ ข้าไม่อยากคุยกับพวกแกอีกต่อไป ข้าจะจับแกมาซะก่อน!”
กู้ซือหวงสะบัดแขนเสื้อ ค่ายกลที่สามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้ก็หมุนคว้าง ก่อนที่แสงดาวแปลกประหลาดสิบกว่าดวงจะเปล่งออกมาในช่วงเวลาต่อไป กลายเป็นอุกกาบาตยิงไปยังทิศทางของมู่เฉิน
ด้วยความระวัง กู้ซือหวงและคนอื่นๆ ไม่ได้เคลื่อนไหวเองทันที กลับเลือกใช้ค่ายกลเพื่อบังคับให้มู่เฉินแสดงไพ่ตาย พวกเขาจะได้เตรียมการทันท่วงที
“ระวัง!”
หลงเซี่ยงคำรามด้วยความร้อนใจ
แต่มู่เฉินกลับเหยียดมือออกไปห้ามเขาไว้ สายตาวูบไหวขณะมองแสงดาว เขาไม่ได้ป้องกันตัวอะไรเลย
“โง่เง่า แกคิดหรือว่าค่ายกลจะแยกคนได้” กู้ซือหวงเย้ยหยันกับฉากนี้
ทว่ามู่เฉินก็ยังไม่ตอบสนอง เขามุ่งความสนใจไปที่แสงดาว ไม่เพียงแต่ไม่ได้ขัดขวางกลับยังมีประกายแสงแปลกประหลาดวาบขึ้นในนัยน์ตาของเขา
ฟิ้ว ฟิ้ว!
แสงดาวครอบคุลมลงมา ขณะที่จะสัมผัสกับร่างของมู่เฉิน แสงดาวก็หันกลับอย่างน่าพิศวง ยิงกลับไปท่ามกลางสายตาหวาดหวั่นของพวกกู้ซือหวง แสงดาวพุ่งกลับมาก่อร่างเป็นกรงขังผู้อาวุโสอสรพิษมรกตที่หลบหนีไม่ทันเอาไว้
การเปลี่ยนแปลงฉับพลันทำให้ทุกคนประหลาดใจ นอกเหนือจากมู่เฉินแม้แต่กู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูก็ตาแทบถลน
“กู้ซือหวง แกทำอะไร?!” ผู้อาวุโสอสรพิษมรกตก็ตกใจคำรามลั่น
“ข้าไม่ได้ทำ!” ใบหน้าของกู้ซือหวงเขียวคล้ำ จากนั้นเขาก็กำมือ ป้ายสีฟ้าอมเขียวปรากฏขึ้น เขาพยายามสั่งให้ค่ายกลละลายพื้นที่ที่จับอสรพิษมรกตเอาไว้
ทว่าเขาก็พบว่ามีแรงต่อต้านที่มาจากส่วนลึกของเกาะ ยึดการควบคุมค่ายกลไว้
“เวรเอ้ย การควบคุมค่ายกลนี้ถูกยึด!”
ใบหน้าของกู้ซือหวงมืดครึ้มไป ก่อนที่เขาจะจ้องมองด้วยความโกรธฝังลึก ฟันขบแน่น
“อีนังตัวดี!”
ขณะที่เขาโกรธเกรี้ยว ความสงสัยก็โหมกระพือในใจ เขาไม่รู้ว่าหลิงซีสามารถควบคุมค่ายกลนี้ได้อย่างไร!
แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็รู้สึกได้ชัดเจนว่าเรื่องวันนี้ค่อยๆ หลุดจากการควบคุมของเขาทีละน้อย…
บทที่ 1280 สู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม
ในคุกมืดมิด
หญิงสาวทรงเสน่ห์ในชุดขาวนั่งเงียบๆ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ราวกับว่าสายตาสามารถมองทะลุผ่านชั้นต่างๆ จ้องมองเงาร่างบนท้องฟ้าได้
“มู่เฉิน…”
รอยยิ้มกระจายบนใบหน้านาง เมื่อครู่ที่นางเข้าควบคุมค่ายกลป้องกัน นางก็ได้กระจายการรับรู้ออกไปทั่วบริเวณ
ดังนั้นนางจึงสามารถเห็นมู่เฉินที่กลายเป็นชายชาตรีไม่เหลือเค้าความเป็นเด็กอีกต่อไป
เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินเติบโตขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
“มู่เฉิน ข้าจะช่วยเจ้าจับหนึ่งในพวกมันเอาไว้ แต่อีกสองคนต้องพึ่งพวกเจ้าเองนะ” หลิงซีพึมพำ ด้วยค่ายกลที่ชิงเหยี่ยนจิ้งทิ้งไว้ ต่อให้ผู้อาวุโสอสรพิษมรกตจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม หลิงซีก็มั่นใจว่าสามารถจับเอาไว้ได้
แต่นี่เป็นขีดจำกัดของนางแล้ว สำหรับกู้ซือหวงและเหลียงเสียหยู พวกมู่เฉินก็ต้องพึ่งพาตัวเอง
“ให้ข้าดูหน่อยว่าเจ้าเติบโตขึ้นมากถึงระดับไหน…”
หลิงซีมองไปในความมืด เสียงต่ำดังก้องอยู่ในคุกที่เงียบสงบ
บนเกาะหัวใจหยก
เมื่อค่ายกลสะเก็ดดาวไหลเวียนสวรรค์เปลี่ยนเป้าหมายไปกลายเป็นกับดักขังผู้อาวุโสอสรพิษมรกตเอาไว้ หลงเซี่ยงก็ตะลึงงัน เขาไม่คิดว่าสถานการณ์จะเกิดการพลิกผันเช่นนี้
“ค่ายกลนี้น่าจะอยู่ภายใต้การควบคุมของพี่หลิงซีแล้ว” มู่เฉินยิ้ม เขาไม่แปลกใจเลย นั่นเป็นเพราะเมื่อค่ายกลปรากฏขึ้น เขาก็สัมผัสได้ถึงความผันผวนที่มาจากหลิงซี
คนอื่นอาจไม่สามารถรับรู้ได้ แต่นี่หนีไม่พ้นจากมู่เฉินหรอก เพราะตัวเขาก็เป็นหลิงเจิ้นซือเช่นกัน
ดังนั้นเขาจึงไม่ตอบโต้เมื่อกู้ซือหวงต้องการใช้ค่ายกลเพื่อจับเขา เนื่องจากเขารู้ว่าผลลัพธ์จะเปลี่ยนไป
“หลิงซี?” หลงเซี่ยงตะลึงงัน “นางประสบความสำเร็จขนาดนี้ได้อย่างไร?”
มู่เฉินมองไปที่เกาะหัวใจหยก “ท่านเคยบอกว่าเกาะนี้เป็นสถานที่ฝึกฝนของแม่ข้าไม่ใช่หรือ? นางอาจทิ้งอะไรไว้บ้างและพี่หลิงซีก็อาจจะแอบฝึกฝนตอนที่ถูกขังอยู่ที่นี่…”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา หลงเซี่ยงก็ตกใจพูดขึ้นว่า “ว่าแล้ว ข้าก็สงสัยอยู่ว่าทำไมหลิงซีถึงตั้งใจตกหลุมพรางที่นี่ ปล่อยให้กู้ซือหวงจับนางเอาไว้ได้ ที่แท้นางมีเป้าหมายอื่นนี่เอง!”
มู่เฉินยิ้มก่อนที่จะเหลียบมองผู้อาวุโสอสรพิษมรกตที่หน้าเขียวคล้ำ “ในเมื่อพี่หลิงซีช่วยเราจัดการไปตัวหนึ่งแล้ว เราก็มาจัดการอีกสองตัวที่เหลือกัน”
หลงเซี่ยงยิ้มฝืดเมื่อได้ยิน แม้ว่าผู้อาวุโสอสรพิษมรกตจะติดกับดัก แต่สองคนที่เหลือยังคงเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ดังนั้นพวกเขาสามคนจะเอาชนะได้อย่างไร?
“พี่ใหญ่หลงเซี่ยง ท่านกับลั่วหลีรวมพลังกันน่าจะสามารถเผชิญหน้ากับหนึ่งในนั้นได้”
หลงเซี่ยงอึ้งไปก่อนที่จะหันขวับไปมองลั่วหลี เขามีความเข้าใจต่อลั่วหลี รู้ว่าอีกฝ่ายปลูกฝังร่างเทพวารีของลั่วเสิน ทำให้พลังในการต่อสู้ยากจะจินตนาการ แม้ว่านางจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่ตัวเขาเองยังประสบปัญหาที่จะมีตำแหน่งได้เปรียบ
หากพวกเขาทำงานร่วมกัน ก็เป็นไปได้ที่จะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม
ถ้าเป็นแบบนี้ไม่ได้หมายความว่ามู่เฉินจะต้องจัดการกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มด้วยตัวคนเดียวเรอะ?
“พี่ใหญ่หลงเซี่ยง ไม่ต้องไปกังวลแทนเขา ในเมื่อเขาวางแผนเช่นนี้ เขาก็ต้องมีความมั่นใจในการลงมือ” ลั่วหลียิ้มขณะที่พูดกับหลงเซี่ยงที่ลังเล
เห็นได้ชัดว่านางเต็มไปด้วยความมั่นใจสำหรับมู่เฉิน
หลงเซี่ยงทำได้แค่ผงกหัวยิ้มขมขื่น “หากสถานการณ์ไม่ดี เราจะถอยก่อน กู้ซือหวงไม่กล้าทำอะไรหลิงซีหรอก”
มู่เฉินยิ้ม ไม่ได้ตอบรับ
ขณะที่พวกเขาพูดกัน กู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูก็มีสายตามืดมน พวกเขาคิดหาสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงฉับพลันในค่ายกลนี้ได้แล้ว
“อสรพิษมรกตไม่ต้องกังวล โจมตีค่ายกลเต็มกำลังเลย ให้นังแพศยานั่นไม่สามารถควบคุมค่ายกลทำอย่างอื่นได้ เมื่อไรพวกข้าจับพวกมันสามคนได้ เราจะช่วยเจ้าออกมาทันที” กู้ซือหวงมองไปที่อสรพิษมรกต ก่อนที่จะพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ผู้อาวุโสอสรพิษมรกตเค้นเสียงขึ้นจมูก แต่สีหน้าสงบนิ่งลง เห็นได้ชัดว่าถึงแม้ว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น แต่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่ ด้วยพลังของกู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูการจัดการกับสามคนนั่นก็ใช้เวลาแค่กะพริบตา
นี่ทำให้ผู้อาวุโสอสรพิษมรกตสงบใจลงได้ กู้ซือหวงเขม่นมองมู่เฉินอย่างเยือกเย็น สายตาเย็นเยือกลง ลดอุณหภูมิระหว่างสวรรค์และโลก
“แกคิดว่าตัวเองจะรอดด้วยความช่วยเหลือของนังนั่นเรอะ?”
“วันนี้ต่อให้แกจะงอกปีกได้ ก็ไม่สามารถหนีจากข้าไปได้!”
ตู้ม!
เมื่อเสียงของกู้ซือหวงจบลง คลื่นหลิงน่าสะพรึงก็เปล่งออกมาราวกับพายุพร้อมกับพวยพุ่งบ้าคลั่งปกคลุมทั่วบริเวณนี้
เหลียงเสียหยูยิ้มน่าขนลุก ขณะที่ก้าวเท้าออกไปพร้อมกับคลื่นหลิงที่ไม่อ่อนแอกว่ากู้ซือหวงพลุ่งพล่าน
รัศมีหลายหมื่นลี้กลับกลายเป็นความมืด ภายใต้แรงกดดันคลื่นพลังสองสายที่น่ากลัวก็ทำให้มิติโดยรอบกระเพื่อมไหว ขณะที่สัตว์อสูรในมหาสมุทรนับไม่ถ้วนหนีกันจ้าละหวั่น ไม่มีใครกล้าที่จะอยู่ในน่านน้ำของเกาะหัวใจหยกแล้ว
เมื่อจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มทั้งสองปลดปล่อยรัศมีของพวกเขา ใบหน้าของหลงเซี่ยงและลั่วหลีก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
ในทางตรงกันข้ามสายตาของมู่เฉินก็คมชัดขึ้น มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงก็ปรากฏอยู่ใต้ผิวหนัง แม้ว่าพวกมันจะอยู่ระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่เนื่องจากมีสายเลือดบริสุทธ์ของเทพอสูรซึ่งมีศักดิ์ศรีโดยธรรมชาติ ดังนั้นรัศมีหลิงที่มาจากจอมยุทธ์สองคนนี้ก็ไม่สามารถทำอะไรพวกมันได้
มู่เฉินจ้องมองกู้ซือหวง ทันใดนั้นแสงวาวโรจน์ก็ลุกโชนในดวงตา ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงทำได้เพียงหลบหนีเมื่อเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ระดับนี้
แต่เนื่องจากเขาบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ช่องว่างระหว่างพลังที่มีก็ค่อยๆ เติมเต็มลง
ขุมพลังที่เหมือนไกลเกินเอื้อมในสายตาของเขาในอดีตก็ไม่ได้สูงส่งอีกต่อไป
ตู้ม!
ดวงตาของมู่เฉินลุกโชนด้วยไฟการต่อสู้ อึดใจเขาก็ทะยานออกไปพุ่งเข้าใส่กู้ซือหวง
การเคลื่อนไหวฉับพลันของมู่เฉิน ทำให้ดวงตาของกู้ซือหวงกระตุกก่อนจะแสยะยิ้มน่าขนลุก “ไอ้เด็กไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ในเมื่อเรียกร้องความตาย ข้าจะตอบสนองความต้องการนั่นเอง!”
เมื่อจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายธรรมดาสามัญเผชิญหน้ากับเขา ใครบ้างจะไม่หวาดกลัว? แต่ไม่เพียงมู่เฉินจะไม่กลัว เขายังเปิดการโจมตีก่อนด้วยซ้ำ ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เท่ากับการท้าทายอำนาจของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม
ตู้ม!
ร่างของมู่เฉินพุ่งออกมา ไม่กี่ลมหายใจเขาก็ปรากฏตัวต่อหน้ากู้ซือหวง จากนั้นก็สูดหายใจลึก เสียงคำรามดังก้องออกมาจากร่างกาย
ปัง!
ไม่มีสีหน้าใดๆ เขาเหวี่ยงหมัดออกไป
เมื่อหมัดขว้างออกมามังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงก็ปรากฏบนท่อนแขนของเขา เปล่งเสียงคำรามพร้อมกับริ้วแสงสีทองปกคลุมทั่วแขนเขาราวกับถุงมือ
แต่แม้ว่าเขาจะใช้มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะจัดการกับจอมยุทธ์ระดับนี้!
ดังนั้นเมื่อพลังของเทพอสูรทั้งสองทะลักออกมา เจดีย์ผลึกใสก็ปรากฏขึ้นจากส่วนลึกของดวงตา เขาเทพลังงานลงไปในเจดีย์ อึดใจต่อไปคลื่นหลิงอัญมณีก็พวยพุ่งออกมา
ตอนที่มู่เฉินอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น คลื่นหลิงในร่างกายเขาก็สามารถต้านทานระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายได้แล้วหลังจากเปลี่ยนแปลง ยิ่งตอนนี้เขาบรรลุขั้นปลายแล้ว ผลที่ตามมาก็น่ากลัวยิ่งกว่าเดิม
ตู้ม!
ผ่านการแปลงพลังงานที่ไร้ขอบเขตที่เพิ่มขึ้นในร่างกาย ม่านตาสีดำของมู่เฉินก็เปล่งประกายราวกับอัญมณี
ขณะเดียวกันแสงระยิบระยับบนกำปั้น ราวกับว่าทั้งกำปั้นกลายเป็นกำปั้นอัญมณีใสในเวลานี้
กำปั้นแตกสลายมิติ แม้กระทั่งเศษเสี้ยวมิตินับไม่ถ้วนยังพังยับเมื่อสัมผัสกับกำปั้น
รับรู้ถึงพลังน่าทึ่งที่ระเบิดออกจากร่างของมู่เฉิน แม้แต่กู้ซือหวงก็ต้องหดม่านตาลง เนื่องจากเขารู้สึกไม่สบายใจจากพลังงานหลิงนั่น
“ไอ้เด็กเวรนั่นสามารถสร้างเจดีย์พุทธะได้อย่างแท้จริง!”
จิตสังหารพวยพุ่งในดวงตาของกู้ซือหวง ในฐานะที่เป็นสมาชิกคนหนึ่งของเผ่าฝูถู เขารู้ดีถึงการเสริมพลังของเจดีย์ ทว่าการเสริมพลังงานของระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายให้ถึงระดับนี้เป็นสิ่งที่สามารถทำได้กับเจดีย์พุทธะเท่านั้น!
“หึ ต่อให้แกมีเจดีย์พุทธะ แต่แกก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายจ้อยร่อย ข้าไม่เชื่อว่าแกะหลุดรอดจากมือข้าไปได้!”
กู้ซือหวงเค้นเสียงเย็นชาพร้อมกับกวาดสายตาโหดเหี้ยม ก่อนที่ฝ่ามือจะสร้างตราประทับแล้วกระแทกออกไป
“ตู้ม!”
จังหวะที่ฝ่ามือผลักออกมา ริ้วแสงแวววาวก็ระเบิดออกมาจากฝ่ามือของเขา ดูราวกับดวงอาทิตย์ ปะทะกับหมัดอัญมณีของมู่เฉิน
“ข้าจะใช้ฝ่ามือนี่สั่งสอนแกว่าระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มอยู่ยงคงกระพันขนาดไหน!”
“เบื้องหน้าฝ่ามือข้า ทักษะการต่อสู้ใดๆ ก็ไร้ประโยชน์!”
กู้ซือหวงคำราม ฝ่ามือกระแทกออกไป อึดใจต่อมาพลังทำลายล้างก็พุ่งชนกำปั้นของมู่เฉินจังใหญ่
ในช่วงเวลาที่สัมผัสกัน รอยยิ้มชั่วร้ายก็โค้งขึ้นบนริมฝีปากของกู้ซือหวง เขารู้ว่าอึดใจต่อไปมู่เฉินจะต้องบาดเจ็บสาหัสหรือไม่ก็ตาย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น