หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1267-1274
บทที่ 1267 ลั่วหลีชนะ
ซ่า ซ่า!
แสงกระบี่เติมเต็มชั้นฟ้าและชั้นดินพร้อมกับเสียงน้ำกระเซ็น
สีหน้าเย็นเยือกของหลิงเฟยจื่อถูกแทนที่ด้วยความเคร่งเครียด ริ้วความกลัวพลุ่งพล่านในดวงตา นางไม่เคยคิดว่ากระบี่ของลั่วหลีจะน่ากลัวขนาดนี้
เมื่อกระบี่กวัดแกว่ง แสงกระบี่ก็อัดแน่นไปทั่วทุกมุมของสวรรค์และโลก เผชิญหน้ากับกระบี่นี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะหลีกเลี่ยง
“แย่ล่ะ!”
หลิงเฟยจื่อกัดฟันแววตาเย็นยะเยือก ในเมื่อมาไกลขนาดนี้ก็ไม่มีทางหนีให้นางแล้ว นางอยากดูด้วยว่าจะยังมีรอยยิ้มบนใบหน้าของลั่วหลีหรือไม่ หากนางต้านกระบี่นี้ได้
“เจ้าคิดจริงๆ หรือร่างมหาจักรพรรดินีของข้าจะปราบได้ง่าย?!”
หลิงเฟยจื่อกัดลิ้นตัวเอง ในปากเลือดกลั่นไหลพล่านซึ่งอัดแน่นไปด้วยคลื่นหลิงน่าเหลือเชื่อ
หลิงเฟยจื่อใบหน้าซีดขาว ชัดว่ากลุ่มเลือดนี้ทำให้นางเสียคลื่นหลิงไปมหาศาล
กลุ่มเลือดพุ่งออกไปโปรยลงบนดวงจันทร์ของร่างมหาจักรพรรดินี ทันใดนั้นเลือดสดก็ย้อมสี ดวงจันทร์ที่เปล่งประกายเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มพร้อมกับรัศมีน่ากลัวค่อยๆ แช่แข็งพื้นที่โดยรอบ
ฮึ่ม!
ดวงจันทร์สีแดงเข้มสั่นไหวพุ่งออกมาจากมือร่างมหาจักรพรรดินี ปลดปล่อยแสงสีแดงเข้มเชี่ยวกราก สุดท้ายกลายเป็นรัศมีแสงสีแดงเข้มพุ่งทะลุมิติ ทะยานเข้าใส่แสงกระบี่อย่างรวดเร็ว
ริ้วแสงสีแดงเข้มเปล่งประกายไอเย็นเยือก แม้แต่คลื่นหลิงในฟ้าดินก็กลายเป็นน้ำแข็งทันทีที่สัมผัสมัน จากนั้นก็ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า
ตู้ม!
ภายใต้สายตาที่จ้องมองมานับไม่ถ้วน แสงกระบี่และดวงจันทร์สีแดงเลือดก็ปะทะกันในอึดใจต่อมา
ทันทีที่เกิดการกระทบ แสงแวววาวก็อัดแน่นทุกซอกมุมของสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น เทือกเขาสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นภายใต้แสงนี้
ทุกคนที่อยู่รอบรัศมีหลายพันลี้หนีกันจ้าละหวั่นพร้อมกับความสยองขวัญบนใบหน้า เพราะพวกเขารู้ว่าหากคลื่นกระแทกซัดเข้าละก็ ต่อให้ไม่ตายพวกเขาก็จะได้รับบาดเจ็บหนักแน่
แคว๊ก แคว๊ก!
ท่ามกลางสายตาตกตะลึง ดวงจันทร์สีแดงเลือดก็ฉีกเงากระบี่ออกเป็นชิ้นๆ ทว่าเมื่อแสงกระบี่ลดลง ดวงจันทร์สีแดงเข้มก็จางลงเช่นกัน
เคร้ง!
ทันใดนั้นเมื่อดวงจันทร์สีแดงเข้มกำลังตัดผ่าน กระบี่ยาวก็พุ่งเข้ามาสัมผัสกับดวงจันทร์
เสียงคมชัดดังกึกก้องไปทั่วท้องฟ้า
แต่ใบหน้าของหลิงเฟยจื่อเปลี่ยนเป็นซีดขาวทันที ความกลัวพล่านในสายตา
แกร็ก!
เนื่องจากนางเห็นรอยแตกเริ่มกระจายไปบนดวงจันทร์สีแดงเข้ม เพียงสิบกว่าอึดใจรอยแตกก็พล่านไปทั่วแล้ว
ปัง!
ในที่สุดดวงจันทร์ก็มาถึงขีดสุดแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ลั่วหลีแตะนิ้วอย่างเรียบเฉยในอากาศ ความผันผวนกระจายออกไป
วาบ!
กระบี่ยาวที่แทงทะลุดวงจันทร์หายไปอีกครั้ง
หลิงเฟยจื่อเหมือนรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ นางรีบล่าถอยออกมาทันทีโดยควบคุมร่างมหาจักรพรรดินี ม่านคลื่นหลิงจำนวนมากถูกรวมขึ้นเป็นแนวการป้องกัน
ชี่!
ทว่าเสียงเสียดแก้วหูก็ดังขึ้น ขณะที่นางถอยกลับทำเอาร่างกายนางแข็งทื่อไปเลย นางค่อยๆ ก้มศีรษะลงด้วยความยากลำบาก มองเห็นกระบี่ยาวแทงทะลุผ่านหน้าอกของร่างมหาจักรพรรดินี
แสงกระบี่คมกริบทำให้เกิดการระเบิดขึ้นภายในร่างทันที
ปัง!
ร่างมหาจักรพรรดินีระเบิดภายใต้แสงกระบี่ กระจายคลื่นหลิงลงมาราวกับพายุฝน
อ็อก!
หลิงเฟยจื่อได้รับบาดเจ็บหนัก กระอักเลือดเต็มปากก่อนที่ร่างจะกระแทกกับภูเขา จนภูเขาทั้งลูกพังทลายเป็นหน้ากลอง
แสงกระบี่เริ่มจางหาย
บนร่างเทพวารีลั่วหลีก็ค่อยๆ ดึงมือกลับอย่างเงียบๆ สายตาจ้องมองบนภูเขาที่ถล่มลงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอ่อนโยน “เจ้าแพ้แล้ว”
โห
ทุกคนในสนามรบตกตะลึง ไม่มีใครคิดว่ากระทั่งทุ่มไปหมดหน้าตักหลิงเฟยจื่อก็ยังไม่สามารถต้านทานการโจมตีของลั่วหลีได้
เห็นได้ชัดว่าลั่วหลีเป็นผู้ชนะคนสุดท้าย
ปัง
หินน้อยใหญ่กลิ้งหล่นลงมาจากภูเขา ก่อนที่ร่างของหลิงเฟยจื่อจะปรากฏขึ้นพร้อมรอยเลือดที่มุมปาก ดวงตาของนางวาววับด้วยความไม่เต็มใจพลางกัดฟันกรอด “ข้ายังไม่แพ้!”
ทว่าลั่วหลีไม่ได้สนใจอีกฝ่าย นางโบกมือคลื่นหลิงก็พล่านออกไป ป้ายสัประยุทธ์บินออกจากแขนเสื้อของหลิงเฟยจื่อ
เมื่อหลิงเฟยจื่อเห็นสิ่งนี้นางก็รู้สึกโกรธจนกระอักเลือดออกมาอีกคำหนึ่ง นางได้รับบาดเจ็บหนักไม่มีพลังพอที่จะต่อกรกับลั่วหลีได้อีกต่อไป
เมื่อป้ายสัประยุทธ์ถูกยึดไป สภาพแวดล้อมรอบตัวหลิงเฟยจื่อก็เริ่มผันผวน นางกำลังจะถูกเตะออกจากสนามรบ สายตาแสดงความเกลียดชังจ้องเขม็งที่ลั่วหลีกัดฟันพูด “ลั่วหลีรอก่อนเถอะ! สักวันข้าจะเอาชนะแกได้แน่!”
ทว่าลั่วหลีไม่ได้ใส่ใจคำพูดของนางแม้แต่น้อย
ในที่สุดร่างของหลิงเฟยจื่อก็หายไปในกระแสมิติ ชัดว่านางสูญเสียคุณสมบัติไปแล้ว
หลังจากเอาชนะหลิงเฟยจื่อได้ ลั่วหลีก็กวาดสายตาไปยังค่ายหลิงเฟยจื่อ แตะฝ่าเท้าลง ร่างเทพวารีทะยานออกไปพร้อมกัน กระบี่แหลมคมพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าล้อมรอบจอมยุทธ์จากสำนักสู่ไว้
เผชิญหน้ากับการโจมตีของลั่วหลี จอมยุทธ์สามคนจากสำนักสู่ก็ยิ้มขมขื่น หลังจากต่อต้านไปพักหนึ่ง พวกเขาก็ตระหนักได้ว่าแม้จะร่วมมือกันก็ไม่สามารถต่อสู้กับร่างเทพวารีนี้ได้
“พวกข้ายอมแพ้!”
หลังจากตระหนักถึงความเป็นจริงอันโหดร้าย ทั้งสามคนก็ยกมือยอมแพ้ พวกเขาเข้าใจแล้วว่าลั่วหลีไม่ใช่คนที่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นจะสามารถเผชิญหน้าได้ ตอนนี้นางคือจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อขั้นต้นที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปซีเทียน!
มีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างนางกับพวกเขา
พวกเขายิ้มอย่างขมขื่นกับความจริงนี้ พวกเขาถือตัวว่าเป็นอัจฉริยะ แต่หลังจากได้เห็นลั่วหลี พวกเขาก็เข้าใจว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้าอยู่เสมอ
เมื่อทั้งสามคนยอมจำนน ลั่วหลีก็หยุดยืนอยู่บนร่างเทพวารีแล้วมองไปที่พวกเขา ทั้งสามคนโยนป้ายสัประยุทธ์ทั้งหมดมาให้ด้วยท่าทางเศร้าซึม
เมื่อหลู่เฟิ่งเซียน เถิงขุยและหยูหู่เห็นว่าลั่วหลีสามารถทำให้อีกฝ่ายยอมจำนนได้อย่างง่ายดาย ใบหน้าของพวกเขาถูกฉาบด้วยแววซับซ้อน
หญิงสาวสะคราญโฉมคนนี้เป็นยอดอัจฉริยะอย่างแท้จริง พวกเขาที่ปกติมักถูกเรียกเป็นอัจฉริยะ ในวันนี้ได้รู้ซึ้งแล้วว่าเป็นเรื่องน่าตลกเพียงใด
เผชิญหน้ากับหญิงสาวที่งดงามปานล่มเมือง แม้กระทั่งคนที่มีความภาคภูมิใจอย่างหลู่เฟิ่งเซียนก็ยังรู้สึกละอายใจที่ด้อยกว่า สตรีเช่นนี้ใครจะคู่ควรกับนางได้?
หยูหู่ก็ยิ้มขมขื่นระงับความชื่นชมในหัวใจไว้
“ไม่รู้ว่ามู่เฉินโชคดีอะไรขนาดไหนถึงได้รับความรักจากนาง?” พวกเขาแลกเปลี่ยนสายตากันจากนั้นก็ถอนหายใจในใจ ตอนนี้พวกเขารู้สึกอิจฉามู่เฉินเกินจะบรรยาย
“ใครยังต้องการต่อสู้อีก” ขณะที่ทั้งสามคนถอนหายใจ ลั่วหลีก็หันไปมองจอมยุทธ์ค่ายหลิงเฟยจื่อ เสียงที่ดังนุ่มนวลกลับทำให้ใบหน้าของผู้คนจำนวนมากเปลี่ยนเป็นสีเทา
มาถึงตอนนี้ทำไมพวกเขาจะไม่รู้ว่าตนเองยืนอยู่ฝั่งผิด? ความพ่ายแพ้ของหลิงเฟยจื่อ ทำให้พวกเขาต้องจ่ายราคากับการยืนผิดข้าง
เมื่อเผชิญกับสถานการณ์นี้ หลายคนก็หัวใจเย็นสะท้าน แต่พวกเขาก็ต้องส่งป้ายสัประยุทธ์ออกจากสนามรบไป
ไม่กี่นาทีค่ายหลิงเฟยจื่อก็เหลือคนสามสิบคนเท่านั้น พวกเขาเป็นคนที่ไม่ต้องการยอมแพ้และพยายามหนี
ลั่วหลีโบกมือ จอมยุทธ์กว่าหนึ่งร้อยคนทะยานออกมา ในเวลาชั่วก้านธูปคนเหล่านั้นก็ถูกกวาดล้างหมด
ตอนนี้มีเพียงสมาชิกค่ายลั่วหลีที่ยังอยู่ในสนามรบ พวกเขาเอาป้ายสัประยุทธ์ที่ได้มาซึ่งมีจำนวนหลายร้อยออกมาลอยอยู่บนท้องฟ้า
ลั่วหลีก็นำป้ายออกมาเช่นกัน นางมองไปรอบๆ และยิ้ม “ในเมื่อได้รับรางวัล เราก็จะแจกจ่ายตามผลงาน”
ทุกคนพยักหน้า ผลงานของพวกเขาถูกบันทึกไว้ทั้งหมด ดังนั้นพวกเขารับจำนวนป้ายที่พวกเขามีสิทธิ์
หลายสิบลมหายใจต่อมาก็มีเพียงป้ายสัประยุทธ์แปดสิบกว่าป้ายลอยอยู่บนท้องฟ้าซึ่งเป็นของลั่วหลี
ทว่านางไม่ได้แตะป้ายเหล่านั้น นางโบกมือกระจายป้ายส่งออกไป
ทุกคนไม่แปลกใจกับการกระทำของนาง เพราะพวกเขารู้ว่านี่หมายถึงอะไร ลั่วหลียกรางวัลในป้ายสัประยุทธ์ให้ เนื่องจากนางต้องการตำแหน่งนักรบทวีปเท่านั้น
ไม่มีใครคัดค้านเรื่องนี้เพราะนี่เป็นสิ่งที่คาดไว้อยู่แล้ว นอกจากนี้ก็มีเพียงลั่วหลีเท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะได้รับตำแหน่งไปจากพลังของนางเอง
หากไม่ใช่ลั่วหลี พวกเขาคงถูกหลิงเฟยจื่อเตะออกจากสนามรบไปนานแล้ว จะได้รับป้ายสัประยุทธ์มามากมายเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นสมบัติได้อย่างไร?
ดังนั้นทุกคนจึงเงยหน้ามองลั่วหลีพูดด้วยเสียงแสดงความเคารพ “เราขอบคุณต่อจักรพรรดินีลั่ว!”
หลังจากแลกเปลี่ยนสมบัติแล้ว ทุกคนก็เริ่มออกจากสนามรบ จนสุดท้ายทั้งสนามรบเหลือเพียงลั่วหลีคนเดียว
เห็นได้ชัดว่าผู้ชนะของสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นถูกตัดสินแล้ว
ลั่วหลีเงยหน้าขึ้นมองความว่างเปล่าแล้วแย้มยิ้ม นี่เป็นรอยยิ้มที่งดงามที่สามารถล่มเมืองได้ แม้ว่านางจะไม่รู้ข่าวเกี่ยวสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย แต่นางรู้สึกได้ว่า…
มู่เฉินน่าจะชนะแล้ว
เพราะนางมั่นใจในตัวเขามาตั้งแต่แรก
บทที่ 1268 แบ่งสรรการชำระล้าง
ในจัตุรัส
เมื่อลั่วหลีปรากฏตัว ความโกลาหลขนาดใหญ่ก็เปลี่ยนเป็นเงียบงัน สายตาลุ่มหลงนับไม่ถ้วนมองไปที่หญิงสาว
นอกจากนี้หลังจากผ่านการต่อสู้ในสนามรบเมื่อสักครู่ ทุกคนรู้ว่านางไม่เพียงแต่มีความงามเกินใครเทียบเคียง แต่ยังมีความสามารถเทียบเท่ากับความงามที่มี
รัศมีใสกระจ่างของนาง ทำให้หลายคนรู้สึกละอายใจที่ดูต่ำต้อย
เผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางก็ยังสงบนิ่งขณะที่มองไปรอบๆ เมื่อเห็นมู่เฉินอยู่กับลั่วเทียนเสิน นางก็ยิ้มกว้าง
รอยยิ้มของนางทำให้ทุกสรรพสิ่งหม่นหมอง สายตาอิจฉาพุ่งตรงไปที่มู่เฉินด้วยความเกลียดชัง
ถ้ามู่เฉินไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถที่น่าตกใจละก็ คงมีบางคนขยับเข้าใส่เขาในตอนนี้แล้วก็ได้
มู่เฉินยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ตอบสนองสายตาเหล่านั้น ยามนี้เขาเข้าใจถ่องแท้ว่ามีหญิงสาวประเภทหนึ่งในโลกที่มีความงามเป็นหายนะ
ลั่วหลีขจัดความไร้เดียงสาที่มีมาแต่ก่อนก้าวสู่ความงามเลิศล้ำ หลังจากนางฝึกฝนร่างเทพวารี
โชคดีที่ความงามนี้เป็นของเขาแล้ว… ดังนั้นเขาจะแบกรับภัยพิบัตินั่นเอง!
“อะแฮ่ม!”
ทันใดนั้นเสียงกระแอมไอก็ดังก้องจากบัลลังก์ ทำลายช่วงเวลางดงามของมู่เฉินและลั่วหลี ทุกคนกวาดสายตาไปก็เห็นใบหน้าไร้ความริ้วอารมณ์ของจักรพรรดิสัประยุทธ์ พวกเขาสามารถบอกได้ว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์ไม่ได้รู้สึกดีใจในตอนนี้
แน่นอนว่าก็ไม่มีใครมีความสุขหลังจากเห็นตำแหน่งสองในสามหายวับไปกับตา
ทว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ไม่สามารถทำอะไรกับลั่วหลีได้ ในเมื่อนางทำตามขั้นตอน เข้าร่วมโดยใช้คุณสมบัติของตระกูลลั่วเสิน นอกจากนี้ลั่วหลียังแข็งแกร่งกว่าหลิงเฟยจื่ออย่างแท้จริง
ระงับความทุกข์ในใจลง เสียงของเขาก็ประกาศก้อง “นักรบทวีปซีเทียนได้รับการพิจารณาแล้ว”
“สนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม หลิงตง”
“สนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย มู่เฉิน”
“และสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น ลั่วหลี”
สิ้นเสียงประกาศของจักระพรรดิสัประยุทธ์ ร่างสามร่างก็ปรากฏขึ้นที่ใจกลางจัตุรัส เสียงโห่ร้องดังสะเทือนเลื่อนลั่น แม้ว่าจะมีผู้ชนะเพียงสามคน แต่ในฐานะผู้ชมที่ได้เห็นการต่อสู้ที่น่าตื่นเต้นครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขาก็ให้ความเคารพต่อทั้งสามคน
บนจัตุรัส หลิงตงที่มีรูปลักษณ์ชายเฒ่าไม่มีอะไรน่าดูเลย ดังนั้นสายตาส่วนใหญ่จึงมองไปที่มู่เฉินกับลั่วหลีเป็นหลัก
ชายหนุ่มยืนตัวตรงพร้อมด้วยริ้วอ่อนโยนในแววตา แต่เมื่อเขาหรี่ตาลงก็จะมีรัศมีสังหารที่ไม่สามารถประเมินได้กระจายออกมา
หญิงสาวสวมเสื้อผ้าสีดำซึ่งเผยรูปร่างทรงเสน่ห์ ริมฝีปากสีแดงชาดคลี่ยิ้มราวกับราชินีผู้สูงศักดิ์
ชายหนุ่มหญิงสาวที่โดดเด่นคู่นี้เปรียบได้กับกิ่งทองใบหยก ช่างเหมาะสมกันยิ่งนัก แม้แต่เทพจักรพรรดิอัคคียังพยักหน้าด้วยรอยยิ้มกับคู่รักที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้
“ในเมื่อพวกเจ้าสามคนได้รับชัยชนะก็มีคุณสมบัติเป็นนักรบทวีป ตอนนี้ข้าจะพาพวกเจ้าไปรับการชำระล้างจากพลังงานทวีป” จักรพรรดิสัประยุทธ์เอ่ยขึ้น
เมื่อพูดจบไม่เพียงแต่ดวงตาของลั่วหลีกับมู่เฉินจะสว่างวาบ แม้แต่ใบหน้าของหลิงตงก็สั่นสะท้านด้วยความกระหายที่ไม่อาจปกปิดได้
จอมยุทธ์ในระดับหลิงตงอีกก้าวเดียวก็จะเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน แต่ความยากลำบากนั้นสูงเทียมฟ้าเลยทีเดียว
ในมหาพันภพ จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็เป็นจอมยุทธ์ชั้นยอดที่สมบูรณ์แบบแล้ว แต่มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้นที่จะรู้จักในนามยอดยุทธ์
ตราบใดที่พวกเขาก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน พวกเขาก็จะสามารถครองทวีปมีจอมยุทธ์นับไม่ถ้วนอยู่ภายใต้คำสั่ง เช่นเดียวกับทวีปซีเทียน จำนวนของจอมยุทธ์ที่คล้ายคลึงกับหลิงตงสามารถนับได้ด้วยสองมือ หากไม่ใช่เพราะจักรพรรดิสัประยุทธ์ช่วยผลักดันละก็ เขาคงมีความเสี่ยงสูงกว่าที่จะได้ตำแหน่งมา
ความแตกต่างระหว่างระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มและระดับเทียนจื้อจุนต่างกันราวกับสวรรค์และโลก
ดังนั้นการเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนจึงเป็นความฝันของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มที่เหมือนกับหลิงตง แต่เขารู้ว่าด้วยพรสวรรค์ของตนเองไม่สามารถก้าวขึ้นไปได้ถ้าไม่มีโอกาสที่ดี
และตอนนี้การชำระล้างจากพลังงานทวีปเป็นโอกาสสำหรับเขา!
แม้ว่าไม่ใช่นักรบทวีปทุกคนที่สามารถก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนได้ แต่โอกาสของพวกเขาก็สูงกว่ามาก แค่นี้ก็เพียงพอที่จะล่อลวงผู้อาวุโสตง
ดังนั้นเมื่อได้ยินคำพูดของจักรพรรดิสัประยุทธ์ แม้แต่หลิงตงก็ระงับความตื่นเต้นในใจไว้ไม่ได้
ผู้ชมต่างมองร่างเงาของผู้ชนะทั้งสามบนจัตุรัสด้วยความอิจฉาเนื่องจากโอกาสหายากในรอบหลายร้อยปีอยู่ในมือพวกเขาทั้งสาม
“เทพจักรพรรดิอัคคีสนใจจะไปดูการชำระล้างของทวีปซีเทียนไหม?” จักรพรรดิสัประยุทธ์หันไปมองเซียวเหยียนพลางเอ่ยถาม
เมื่อได้ยินเซียวเหยียนก็ส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม “การชำระล้างแต่ละทวีปเป็นความลับ ดังนั้นข้าไม่ขอเข้าไปยุ่ง”
พื้นที่ดังกล่าวคือการบรรจบกันของพลังงานทวีป ซึ่งสามารถพิจารณาได้ว่าเป็นรากฐานของทวีป ดังนั้นโดยทั่วไปจะไม่ให้คนนอกเข้าเนื่องจากนี่เป็นความลับ
“ขอบคุณสำหรับคำเชิญจักรพรรดิสัประยุทธ์ หากมีโอกาศภายภาคหน้าแวะมาที่แคว้นหวู่จิ้งฮั่วของข้าได้นะ” เซียวเหยียนยิ้ม
“ข้าได้ยินชื่อเสียงของแคว้นหวู่จิ้งฮั่วมานานแล้ว ถ้ามีโอกาสข้าจะไปเยี่ยมแน่นอน” จักรพรรดิสัประยุทธ์พยักหน้า แม้ว่าพวกเขาจะเป็นขั้วอำนาจสูงสุดเช่นเดียวกัน แต่เขาก็รู้ว่ารากฐานของแคว้นหวู่จิ้งฮั่วไม่ใช่สิ่งที่ตำหนักซีเทียนจะสามารถนำมาเปรียบเทียบได้
เซียวเหยียนยิ้มจากนั้นก็มาปรากฏตัวต่อหน้ามู่เฉินและลั่วหลี “มู่เฉิน ครั้งนี้เจ้าทำได้ดีมาก”
มู่เฉินประสานมือด้วยความเคารพ ขณะที่ลั่วหลีก็ทักทายด้วยมารยาทเช่นกัน
“หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสเซียว ข้ากลัวว่าจะไม่ได้รับสิทธิ์เช่นนี้ ผู้น้อยคนนี้จะจดจำบุญคุณเอาไว้ไม่ลืมแน่นอน” มู่เฉินกล่าวอย่างจริงจังเนื่องจากเขารู้ว่าหากไม่ใช่เซียวเหยียน จักรพรรดิสัประยุทธ์คงไม่อนุญาตให้เขาเข้าร่วมการประลองอย่างแน่นอน
เซียวเหยียนโบกมือยิ้มให้ “อย่าแกล้งเด็กขณะที่เขายังเด็ก นี่คือสิ่งที่ข้าประสบมากับตัว ดังนั้นแล้วข้าจะผิดพลาดได้อย่างไร? มู่เฉินข้าเชื่อว่าสักวันเจ้าจะยืนอยู่ที่ระดับเดียวกับข้า”
เมื่อเห็นความสำคัญที่เซียวเหยียนวางไว้ให้ มู่เฉินก็เขินอายเล็กน้อย แม้ว่านั่นจะเป็นเป้าหมายของเขาก็ตาม
“ในเมื่อการแข่งขันจบลงแล้ว ข้าก็ต้องกลับไปแคว้นหวู่จิ่งฮั่วแล้ว หากเจ้าสนใจก็สามารถไปเยี่ยมเยือนที่แคว้นข้าได้ ข้าเชื่อว่าเซียวเซียวคงดีใจที่ได้พบเจ้า” เซียวเหยียนยิ้ม คำเชิญของเขานั้นเป็นกันเองยิ่งกว่าที่เขาพูดกับจักรพรรดิสัประยุทธ์เสียอีก
เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดนั่นก็พยักหน้า
เซียวเหยียนไม่คิดอ้อยอิ่งอยู่ต่อ เขาโบกมือก่อนที่ร่างจะเลือนหายไป
“ตามข้ามา”
หลังจากที่เห็นเทพจักรพรรดิอัคคีไปแล้ว จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็กวาดมองผู้ชนะทั้งสามแล้วโบกมือ แสงหลิงก็ล้อมรอบตัวทั้งสามคน อึดใจร่างทั้งสี่คนก็หายไป
เมื่อทั้งสี่คนไปแล้ว เสียงถอนหายใจก็ดังก้องทั่วบริเวณ ทุกคนเริ่มแยกย้ายไปเช่นกัน ดังนั้นบอกได้ว่าข่าวศึกนักรบทวีปจะแพร่กระจายไปอย่างไร บางทีคงไม่ใช้เวลานานสำหรับชื่อทั้งสามที่จะดังก้องไปทั่วมหาพันภพ
เมื่อวิสัยทัศน์ชัดเจนขึ้น
มู่เฉินก็ตระหนักได้ว่าสภาพแวดล้อมมืดสนิทราวกับท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว ความเงียบช่างน่ากลัวอย่างยิ่ง
สัมผัสเย็นฉ่ำยื่นเข้ามาจับมือเขาเบาๆ มู่เฉินก็จับมือนั้นไว้ก่อนที่จะหันไปมองลั่วหลีที่อยู่ข้างกาย
ตอนนี้ความมืดเริ่มจางหาย เบื้องหน้าพวกเขาสามารถมองเห็นท้องฟ้าพร่างพราวเต็มไปด้วยดวงดาว
ท้องฟ้านี้ดูแปลกประหลาดมาก บางครั้งมีวาฬขนาดใหญ่ กระเรียนใหญ่และต้นไม้ใหญ่โต ทั่วทั้งบริเวณราวกับอยู่ในโลกดึกดำบรรพ์
ในที่แห่งนี้มู่เฉินสามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานหลิงบริสุทธิ์โบราณที่ไม่เหมือนโลกภายนอก ราวกับว่าคลื่นหลิงมีต้นกำเนิดมาในยุคโบราณ
เก่าแก่และบริสุทธิ์
“นี่คือจุดรวมคลื่นหลิงของทวีปซีเทียน ฉากนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากการรวมกันหลายร้อยปีและการชำระล้างก็จะเกิดขึ้นที่นี่”
“ตอนนี้เจ้าสามคนจะเข้าไปซึมซับ สำหรับผลลัพธ์นั้นขึ้นอยู่กับโชคชะตาของพวกเจ้าเอง” จักรพรรดิสัประยุทธ์เอ่ยเสียงแผ่วเบา
มู่เฉินไม่ได้รู้สึกอะไรเมื่อจักรพรรดิสัประยุทธ์กล่าวสิ่งนี้ แต่สายตาลั่วหลีกลับวูบไหวพูดขึ้นว่า “จักรพรรดิสัประยุทธ์กำลังบอกว่าเราต้องพึ่งพาความสามารถของตนเองในการรับการชำระล้างหรือ?”
จักรพรรดิสัประยุทธ์พยักหน้าตอบ
สายตาของลั่วหลีวาวโรจน์ด้วยความโกรธ นางขมวดคิ้วเข้าหากัน “จักรพรรดิสัประยุทธ์ไม่ทำเกินไปหน่อยเหรอ?”
เมื่อมู่เฉินสังเกตเห็นท่าทางของลั่วหลี เขาก็ขมวดคิ้วฉับ สายตาจับจ้องที่จักรพรรดิสัประยุทธ์ดูเหมือนชายคนนี้กำลังวางแผนบางอย่างอีกแล้ว
บทที่ 1269 แย่งส่วนชำระล้าง
เมื่อเสียงโกรธเกรี้ยวของลั่วหลีดังก้อง
บรรยากาศก็แข็งค้างไปพร้อมกับแรงกดดันทรงพลัง ส่งผลให้มิติถึงกับสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น
“สามหาว!” ในฐานะที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิสัประยุทธ์ หลิงตงก็คำรามลั่น สายตาคมกล้าจ้องเขม็งไปที่ลั่วหลีที่กล้ารุกรานเจ้านายของตน
มู่เฉินขมวดคิ้ว ปราดเข้ามาปกป้องลั่วหลี หินสลักอักขระโบราณกำไว้ในมือ เมื่อไรที่เขาบดขยี้ของชิ้นนี้ เขาก็จะสามารถเชิญเทพจักรพรรดิสงครามมาได้
แม้ว่านี่จะเป็นไพ่ตายใบสุดท้ายที่อยู่ในมือ มู่เฉินก็ไม่ลังเล ถ้าจักรพรรดิสัประยุทธ์คิดรังแกพวกเขาจริง เขาก็จะเชิญหลินต้งมาจัดการซะให้เฮี้ยนเต้ไปเลย ในเวลานั้นเขาจะดูว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์จะจัดการปัญหาอย่างไร
จักรพรรดิสัประยุทธ์ท่าทางสงบนิ่งหันมามองลั่วหลี “ข้าคนนี้ทำอะไรเกินไป?”
แม้จะเผชิญหน้ากับจักรพรรดิสัประยุทธ์ผู้เป็นใหญ่ในทวีป ลั่วหลีก็ไม่แสดงอาการหวาดกลัว นางขมวดคิ้ว “ทำไมจักรพรรดิสัประยุทธ์ต้องแสร้งไม่รู้ไม่เห็น? พลังงานการชำระล้างมีปริมาณจำกัด ในอดีตสิ่งนี้ถูกแจกจ่ายตามกฎ จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นและขั้นปลายจะได้คนละสามส่วน ขณะที่ขั้นเต็มจะได้สี่ส่วน”
“แต่จักรพรรดิสัประยุทธ์กลับไม่สนใจเรียกร้องให้เราต่อสู้แย่งชิงกันเอง”
เมื่อได้ยินคำพูดของลั่วหลีในที่สุดมู่เฉินก็เข้าใจว่าปกติพลังงานการชำระล้างจะได้รับการแบ่งสรรอย่างเป็นธรรมและยุติธรรม เพราะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มแข็งแกร่งกว่าอีกสองคน ดังนั้นถ้าเกิดแย่งชิงพลังงานส่วนใหญ่ก็จะตกเป็นของอีกฝ่าย
ตามการประเมินของมู่เฉิน หลิงตงอาจยึดการชำระล้างได้ถึงหกส่วนและทิ้งสี่ส่วนหรือน้อยกว่านั้นไว้ให้พวกเขา
พลังงานทวีปเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาหลายร้อยปีในการสะสม ดังนั้นความแตกต่างในปริมาณเพียงเล็กน้อยก็จะมีผลที่แตกต่างกันไป
เห็นได้ชัดว่าแม้จักรพรรดิสัประยุทธ์จะยอมรับพวกเขาสองคนที่โผล่มาแย่งพลังชำระล้าง แต่เขาก็ต้องทำอะไรขัดขวางบ้าง
เมื่อได้ยินสิ่งที่ลั่วหลีพูด จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ไม่มีความผันผวนในดวงตาพลางยิ้ม “การจัดสรรแตกต่างกันทุกที่ ผู้ปกครองทวีปเป็นคนตัดสินใจเองเสมอ ดังนั้นข้ามีสิทธิ์ที่จะแจกจ่ายด้วยวิธีนี้ เรื่องนี้ต่อให้เจ้าเรียกเทพจักรพรรดิอัคคีมา ข้าก็มีเหตุผล”
“ในเส้นทางการฝึกยุทธ์ คนอ่อนแอก็จะตกเป็นเหยื่อของคนแข็งแกร่งอยู่เสมอ หากพวกเจ้าไม่สามารถแย่งพลังงานชำระล้างได้อย่างเพียงพอ นั่นหมายความว่าปัญหาเกิดขึ้นที่เจ้าสองคน หากเจ้าไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ ต่อให้เป็นนักรบทวีป เจ้าก็เข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนไม่ได้”
ได้ยินคำพูดน่าทุเรศของจักรพรรดิสัประยุทธ์ ลั่วหลีก็ขมวดคิ้ว ขณะที่กำลังจะโต้แย้ง นางก็ถูกหยุดลงโดยมู่เฉิน
“แม้เรื่องที่จักรพรรดิสัประยุทธ์ทำจะดูใจแคบ แต่สิ่งที่ท่านพูดสมเหตุสมผลดี” มู่เฉินยิ้ม
เมื่อได้ยินการเสียดสีซ่อนอยู่หลังคำพูดของมู่เฉิน จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็เลิกคิ้วขึ้น แต่ก็ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่ม เขาเพียงแค่จ้องมองมู่เฉินอย่างประหลาดใจ “หมายความว่าเจ้าไม่คัดค้านวิธีการจัดสรรของข้าเรอะ?”
มู่เฉินพยักหน้าพลางยิ้ม “ไม่มีความยุติธรรมแท้จริงในโลก คนเราต้องพุ่งไปอย่างหาญกล้าผ่านเส้นทางเพื่อเป็นหนึ่ง หากไม่มีความสามารถเพียงพอจนทำให้เสียโอกาส ก็ทำได้เพียงตำหนิตนเองเท่านั้น”
ลั่วหลีหันไปมองมู่เฉิน แม้นางจะไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงเห็นด้วยกับการจัดสรรที่ไม่ยุติธรรมนี้ แต่นางก็ยังคงเงียบเพราะเชื่อใจเขา
เมื่อเห็นว่ามู่เฉินไม่ค้าน สายตาของจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็วูบไหว เผชิญหน้ากับมู่เฉินที่คาดเดาไม่ได้ แม้แต่เขาก็ไม่กล้าดูถูกชายหนุ่มคนนี้
“ในเมื่อจักรพรรดิสัประยุทธ์ตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดสรรแล้ว งั้นข้ามีคำถามอื่นอีกนิด หากผลลัพธ์ไม่ใช่สิ่งที่ท่านหวัง ท่านจะขัดขวางอีกหรือไม่?” มู่เฉินยิ้ม
จักรพรรดิสัประยุทธ์ขมวดคิ้วพูดด้วยสีหน้าบิดเบ้ “เจ้าคิดอย่างไร?”
หากเขามีเหตุผลเพียงพอที่จะเปลี่ยนกฎการจัดสรรก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรแม้ว่าเรื่องนี้จะแพร่งพรายออกไป แต่ถ้าเขาแทรกแซงผลที่ตามมาก็ต้องถูกรังเกียจเหยียดหยามแน่นอน ซึ่งเป็นผลกระทบต่อชื่อเสียงเขาอย่างมาก
เมื่อเห็นการตอบสนองนั่น มู่เฉินก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ข้าก็วางใจ งั้นเรามาเริ่มกันเลยไหม?”
เมื่อไม่เห็นความกังวลใดๆ ในนัยน์ตาของมู่เฉิน จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ได้แต่ขมวดคิ้วแน่นขึ้น เขาไม่รู้หรอกว่ามู่เฉินกำลังแกล้งทำไหม แต่ไม่ว่าอย่างไรจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นก็ปะทะกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มไม่ได้หรอกมั้ง?
ความคิดนี้เกิดขึ้นในใจ สีหน้าของจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ดีขึ้น เขามองไปที่หลิงตงที่พยักหน้าตอบมา
หลิงตงเข้าใจความตั้งใจของจักรพรรดิสัประยุทธ์ นั่นคือให้เขาไม่ต้องออมมือ พยายามแย่งชิงพลังให้ได้มากที่สุด เพื่อไม่ให้ประโยชน์ตกอยู่กับมู่เฉิน
เผชิญกับคำขอนี้หลิงตงก็ไม่ได้รู้สึกลำบากอะไร ตรงกันข้ามเขาดีใจในใจอย่างเหลือล้น เพราะโดยปกติการจัดสรรในอดีตตัวเขาจะได้รับสี่ส่วน แต่ถ้าพึ่งพาความสามารถทั้งหมดที่มีละก็ เขามั่นใจว่าจะได้รับเพิ่มอย่างน้อยอีกคนละหนึ่งส่วนจากมู่เฉินและลั่วหลี นั่นหมายความว่าเขาจะสามารถได้รับเป็นหกส่วน นี่เท่ากับส้มทั้งเข่งหล่นลงมาจากท้องฟ้าเลยทีเดียว
บอกเป็นนัยกับหลิงตงแล้ว จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็โบกมือ “ในเมื่อไม่มีปัญหาอะไรงั้นก็เริ่มเลย พวกเจ้าต้องจำไว้ว่ามีเวลาเพียงหนึ่งก้ามธูปในการแบ่งปริมาณชำระล้าง หลังจากการชำระล้างเริ่มขึ้น ภายใต้สภาวะนั้นจะไม่สามารถแย่งชิงได้อีกต่อไป”
สายตาของมู่เฉินวูบไหว นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องกำหนดปริมาณของการชำระล้างภายในเวลาหนึ่งก้านธูป เมื่อถึงเวลาปริมาณพลังที่ครองก็จะถูกชำระเข้าตัว
วาบ!
มู่เฉินกับลั่วหลีแลกเปลี่ยนสายตากัน ก่อนที่ทั้งสองจะทะยานเข้าสู่ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว หลังจากนั้นร่างหลิงตงก็ตามมาช้าๆ
ไม่กี่ลมหายใจทั้งสามคนก็ปรากฏตัวในท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว
วาฬว่ายช้าๆ ต้นไม้โบราณสะบัดกิ่งก้านใบ แต่พวกมันก็เป็นเพียงภาพลวงตา เมื่อสัมผัสร่างพวกเขาก็ทะลุผ่านไป
ทว่ามู่เฉินสามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานหลิงบริสุทธิ์และเก่าแก่เป็นพิเศษในตัวพวกมัน นี่เป็นสิ่งที่มู่เฉินไม่เคยรู้สึกมาก่อนราวกับว่ามันมีอยู่ในสมัยโบราณเท่านั้น
ฮึ่ม!
ขณะที่มู่เฉินจมลงไปในความรู้สึก กระแสหลิงทรงพลังก็พวยพุ่งเข้าหาทั้งสี่ทิศทาง ความผันผวนกลายเป็นม่านพลังแยกพลังงานในท้องฟ้าออกจากกันทันที
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองหลิงตงที่ปลดปล่อยคลื่นหลิงของตนเพื่อจัดสรรพื้นที่
มู่เฉินและลั่วหลีแลกเปลี่ยนสายตากันอย่างรวดเร็ว คลื่นหลิงระเบิดออกมาจากร่างในเวลาเดียวกัน โดยไม่ลังเลก็กระจายคลื่นพลังงานขึ้นสู่ท้องฟ้า
ในเวลาเริ่มต้นพวกเขาไม่ได้ปะทะกับหลิงตง หลีกเลี่ยงอีกฝ่ายเพื่อกางเขตแดนที่หลิงตงไม่ได้แตะต้อง
ภายในเวลาไม่ถึงสิบนาทีทั้งสามคนก็แบ่งเขตแดนเรียบร้อย
ในช่วงเวลานี้หลิงตงครอบครองพลังงานการชำระล้างอย่างหยาบๆ ประมาณห้าส่วน แม้ว่ามู่เฉินกับลั่วหลีจะผสานงานกัน ทั้งสองก็ยังได้รับไว้ห้าส่วนเท่านั้น
“หึ!”
หลิงตงตะเบ็งเสียง คลื่นหลิงเชี่ยวกรากก็พุ่งออกไปในเขตแดนของมู่เฉินกับลั่วหลี
เห็นได้ชัดว่าเขาเริ่มแย่งการจัดสรรของทั้งสองแล้ว
ประจันหน้ากับหลิงตง มู่เฉินกับลั่วหลี่ก็ประสานพลังกัน คลื่นหลิงก่อร่างเป็นม่านพลังพยายามจะสกัดกั้นอีกฝ่าย
ทว่าก็ตามที่จักรพรรดิสัประยุทธ์คาดไว้มู่เฉินกับลั่วหลี่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น การเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แม้ว่าพวกเขาจะรวมพลังเข้าด้วยกัน ก็ยังเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถเผชิญหน้าได้
ดังนั้นการป้องกันของพวกเขาจึงถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง ในเวลาเพียงไม่กี่นาทีเขตแดนก็ถูกยึดโดยหลิงตง
ในเวลานี้หลิงตงได้รับผลรวมหกส่วนแล้ว!
เมื่อได้เห็นภาพนี้ ความโลภก็วาวขึ้นในดวงตา เขาต้องการมากกว่านี้เพราะนี่จะเพิ่มโอกาสในการบรรลุระดับเทียนจื้อจุน
“ในเมื่อเจ้าสองคนไม่มีโชคชะตาก็ให้ชายชราคนนี้รับแทนแล้วกัน!” หลิงตงเย้ยหยันไม่ลังเลอีกต่อไป คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพัดพาลอนคลื่นไปในทิศทางเขตแดนของมู่เฉินกับลั่วหลี
เผชิญหน้ากับความโลภนี้ ใบหน้าของลั่วหลีก็เย็นชาลง นางเรียกร่างเทพวารีออกมาทันที
สายตาของมู่เฉินเปล่งประกายก่อนที่จะนำร่างเทพสุริยะนิรันดร์ออกมา
ทั้งสองสาดสายตาเย็นชาไปยังหลิงตง แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่เขาก็ฝันกลางวันแล้วที่จะยึดสิ่งที่เป็นของพวกเขาไป!
เมื่อเห็นสายตาของทั้งสอง รอยยิ้มเหยียดหยามก็ลุกขึ้นตรงมุมปากของผู้อาวุโสตง
จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสองคนพยายามขัดขวางเขา ช่างไม่ประมาณตนจริงๆ!
“ข้าจะแสดงให้พวกเจ้าเห็น ไม่ว่าเจ้าจะเป็นอัจฉริยะแค่ไหน พวกเจ้าก็ทำได้แค่เพียงก้มหน้าต่อพลังเท่านั้น!”
หลิงตงเย้ยหยันพลางกางมือทั้งสองออก ทันใดนั้นคลื่นหลิงเชี่ยวกราก็กวาดออกมา
บทที่ 1270 หนึ่งกระบี่
ตู้ม!
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตกวาดออกโดยมีร่างหลิงตงอยู่ใจกลาง ท้ายที่สุดก็พุ่งเข้าไปโจมตีขอบเขตของมู่เฉินและลั่วหลี
ปัง!
ภายใต้การโจมตี มู่เฉินกับลั่วหลีก็ตัวสั่นสะท้าน อึดใจร่างเวทสวรรค์ก็ระเบิดออกมาพร้อมกับคลื่นหลิงที่ไม่มีที่สิ้นสุดก่อตัวเป็นแนวตั้งรับ แต่ก็ยังค่อยๆ สึกกร่อน
ถึงแม้ว่าทั้งสองจะมีความโดดเด่นในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นและมีแม้กระทั่งมีความสามารถก้าวข้ามขึ้นไปต่อสู้ในขั้นที่สูงกว่า แต่หลิงตงไม่ได้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ทว่าอยู่ในขั้นเต็มต่างหาก!
จอมยุทธ์ระดับนี้สามารถปราบปรามทั้งสองด้วยคลื่นหลิงเพียงอย่างเดียว
และโชคดีที่พวกเขาใช้คลื่นหลิงเพื่อรุกรานและยึดครองขอบเขตเท่านั้น หากพวกเขาต่อสู้แม้แต่มู่เฉินกับลั่วหลีรวมพลังกันก็ไม่สามารถจัดการกับผู้อาวุโสตงได้
เพราะไม่ว่าอย่างไร ช่องว่างระหว่างขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นกับขั้นเต็มก็ไม่ใช่สิ่งที่สามารถเติมเต็มได้
หลิงตงมองไปที่เขตแดนมู่เฉินและลั่วหลีที่ถูกยึดครองก็เค้นเสียงเยือกเย็น ตามความเร็วนี้เขาอาจจะครอบครองได้ถึงเจ็ดหรือแปดส่วนเมื่อถึงเวลาที่กำหนด!
แค่คิดเกี่ยวกับการได้ครอบครองพลังงานชำระล้างถึงแปดส่วน ในใจของหลิงตงก็อดไม่ได้ที่จะปลื้มปีติ
“ของขวัญจากสวรรค์แท้จริง!”
หลิงตงหัวเราะในใจ หากไม่ใช่เป็นมู่เฉินและลั่วหลีที่ได้รับตำแหน่งนี้ไป จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็อาจไม่ให้โอกาสนี้แก่เขา เพราะตามกฎในอดีตเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของจอมยุทธ์ระดับอื่น พลังชำระล้างจะถูกจัดสรรอย่างเป็นธรรมโดยจักรพรรดิสัประยุทธ์
ในขณะที่หลิงตงกำลังสุขล้น ลั่วหลีก็ขมวดคิ้วก่อนที่หันไปมองมู่เฉินพลางส่งเสียงออกไป “มู่เฉิน เราควรจะทำยังไง? ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปข้าเกรงว่าเราจะไม่มีเหลืออะไรแล้ว”
มู่เฉินสูดหายใจลึก รู้สึกประหลาดใจจากแรงกดดันที่หลิงตงกำจายมาให้ เห็นได้ชัดว่าเมื่อเทียบกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ต่อให้เป็นจอมยุทธ์อัจฉริยะอย่างหลิงจั้นจื่อ จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ทรงพลังกว่ามาก
ทว่าไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะฉกพลังงานชำระล้างซึ่งเป็นของพวกเขา!
ด้วยความคิดนี้ แสงเย็นก็วาบขึ้นในดวงตาของมู่เฉิน ก่อนที่เขาจะเริ่มวาดตราประทับ มิติเบื้องหลังเกิดความผันผวน เงาร่างสองร่างปรากฏขึ้นพวกเขาก็มู่เฉินชุดดำและชุดขาว
เมื่อมู่เฉินทั้งสองปรากฏขึ้น พวกเขาก็นั่งลงทันที คลื่นหลิงไร้ขอบเขตระเบิดออกมา ช่วยต่อต้านการรุกรานของหลิงตง
ด้วยการเข้าร่วมของเหล่ามู่เฉิน ความเร็วในการรุกรานของผู้อาวุโสตงก็ช้าลง บางครั้งก็ต้องใช้เวลานานสำหรับผลลัพธ์เกี่ยวกับขอบเขตเล็กๆ นี่
“ไอ้ตัวปัญหา!”
หลิงตงขมวดคิ้วในสถานการณ์นี้ เนื่องจากเขาไม่คิดว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นจะทำให้เขาเดือดร้อนปานนี้
ถ้าตอนนี้ทั้งสองสู้กันซึ่งหน้า หลิงตงก็ไม่ต้องกลัวมู่เฉิน ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะมีร่างดวงจิตถึงสองร่าง แต่หลิงตงก็ยังมั่นใจในชัยชนะ
แต่ตอนนี้พวกเขากำลังแย่งชิงปริมาณพลังชำระล้าง ถ้าเขาปราบอีกฝ่ายในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็จะดูไม่ค่อยเหมาะสม
ดังนั้นหลิงตงจึงไม่ได้เปรียบอย่างสมบูรณ์เมื่อเผชิญหน้ากับมู่เฉินและลั่วหลีในขณะนี้
“หึ แต่ข้อได้เปรียบก็ยังอยู่ที่ข้า เพียงแค่ทำให้กระบวนการช้าลง หากสิ่งนี้ดำเนินต่อไปข้าก็ยังคงได้รับถึงเจ็ดส่วน”
หลิงตงเยาะเย้ยในหัวใจ แม้ว่ามู่เฉินจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อต่อต้านและหยุดยั้งการยึดพลังถึงแปดส่วน แต่ได้รับเจ็ดส่วนก็ทำให้เขาพอใจมากแล้ว
ด้วยความคิดนี้ผู้อาวุโสตงก็ระงับความกังวลในใจ ค่อยๆ เริ่มฮุบเขตแดนของทั้งสองต่อ
เมื่อเห็นมู่เฉินหยุดสถานการณ์ไว้ได้ ลั่วหลีก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย แต่ใบหน้ายังคงเคร่งเครียด เนื่องจากนางรู้สึกได้ว่าแม้จะมีการกีดขวางนี้ ส่วนแบ่งของพวกนางก็ยังคงถูกกลืนหายอย่างช้าๆ โดยผู้อาวุโสตง ซึ่งเป็นเพียงการชะลอตัวลงเท่านั้น
“หากสิ่งนี้ดำเนินต่อไปข้ากลัวว่าจะสามารถรักษาได้เพียงสามส่วน นี่น้อยเกินไปสำหรับเราสองคน” ลั่วหลีกัดฟันแน่น นางตัดสินใจว่าหากสิ่งนั้นเกิดขึ้น นางจะทิ้งการจัดสรรปล่อยให้มู่เฉินได้รับไป มิฉะนั้นถ้าต่ำกว่าสามส่วนจะไม่เพียงพอสำหรับการชำระล้างที่สมบูรณ์แบบ
มู่เฉินไม่รู้ความคิดของนาง แต่ท่าทางของเขาสงบมาก เขาไม่แสดงความวิตกกังวลหรือความโกรธจากสถานการณ์นี้
ราวกับว่าเขาได้ทิ้งความหวังไปแล้ว
หลิงตงเย้ยหยันด้วยความดูถูก มู่เฉินฉลาดเฉลียว รู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่ทั้งสองจะแข่งขันกับเขา
“เห็นว่าเจ้ารู้สถานการณ์ดี ข้าจะเหลือพลังให้สักสามส่วน เดี๋ยวคนอื่นหาว่าข้ารังแกเด็ก” หลิงตงยิ้มกริ่ม
จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่อยู่ภายนอกก็เห็นภาพนี้ก็กลับขมวดคิ้ว จากความเข้าใจของเขามู่เฉินไม่ใช่คนอ่อนแอ ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะแข็งแกร่งเพียงใด คนอย่างมู่เฉินใส่เต็มเสมอ ไม่เช่นนั้นมู่เฉินคงไม่แม้แต่จะขี้เกียจแสดงความเคารพต่อผู้มีอำนาจเช่นเขาหรอก
แต่เผชิญหน้ากับหลิงตง ทำไมเขาถึงทำแค่ป้องกันเท่านั้น?
“เขายอมแพ้จริงๆ หรือ…เขายังมีไพ่ตายอีกนี่?” สายตาของจักรพรรดิสัประยุทธ์วูบไหว แต่เขาไม่สามารถจินตนาการได้ว่ามู่เฉินจะแข่งขันกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้อย่างไร
เวลาค่อยๆ ผ่านไปขณะที่จักรพรรดิสัประยุทธ์อยู่ในภวังค์
เวลาหนึ่งก้านธูปใกล้จะหมดลงแล้วและตอนนี้โดยประมาณเจ็ดส่วนของเขตแดนก็ถูกครอบครองโดยผู้อาวุโสตง คลื่นหลิงโบราณไร้ขอบเขตไหลเวียนอยู่ในเขตแดนของเขา
“ฮ่าๆ!”
เมื่อใกล้จะถึงเวลาที่กำหนด ผู้อาวุโสตงก็ไม่สามารถระงับความตื่นเต้นในใจได้ เขาหัวเราะลั่น ด้วยการรับการชำระล้างถึงเจ็ดส่วน ตอนนี้เขามีความมั่นใจในการบุกทะลวงระดับเทียนจื้อจุนในอนาคตแล้ว
ลั่วหลีกำกำปั้นมองไปที่มู่เฉิน ทว่าอีกฝ่ายก็ยังคงไม่มีริ้วอารมณ์ใดๆ
เวลาไหลไป คลื่นหลิงโบราณก็ค่อยๆ เปล่งประกายออกมา เห็นได้ชัดว่ากำลังจะเกิดการชำระล้างในไม่ช้านี้แล้ว
นิ้วมู่เฉินเคาะที่เข่าเบาๆ ทันใดนั้นเมื่อเขารู้สึกว่าช่วงเวลาสุดท้ายมาถึง ม่านตาสีดำก็พราวแสงขึ้น
เขาลุกขึ้นยืนทันทีพร้อมกับกระบี่โบราณในมือ
ขณะที่ถือกระบี่ไว้ก็ปล่อยรัศมีทรงพลังออกมาราวกับเทพเซียน จากนั้นก็กรีดผ่านไปในทิศทางของหลิงตง!
ฟิ้ว!
ลำแสงพุ่งทะลุบินไปหาหลิงตง
ไม่มีเสียงใดๆ แต่แค่กระบี่นี้ก็ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของหลิงตงหยุดชะงัก วินาทีต่อมาความสิ้นหวังก็ลุกโชนขึ้นในหัวใจ ความกลัวคืบคลานบนใบหน้า
นั่นเป็นเพราะเขาสามารถรู้สึกถึงความผันผวนที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้จากกระบี่เล่มนั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เขารู้สึกเมื่อเผชิญหน้ากับจักรพรรดิสัประยุทธ์!
นั่นคือรัศมีเทียนจื้อจุนที่แท้จริง!
“ระดับเทียนจื้อจุน?!”
หลิงตงร้องลั่นวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง เขาถอยห่างออกไปทันที คลื่นหลิงที่กำลังแผ่ขยายก็ดีดกลับ สร้างการป้องกันรอบตัว
ปัง ปัง ปัง!
ทว่าการป้องกันก็พังครืนอย่างต่อเนื่อง ทำให้ใบหน้าของเขาซีดลง เมื่อผลึกแสงกระบี่กำลังจะตกมาถึง เขาก็คำรามปลดปล่อยคลื่นหลิงในร่างทั้งหมด เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ทันใดนั้นกระแสเย็นเยือกสีน้ำเงินก็พุ่งออกมาจากปาก
แม้ว่ากระแสเย็นนี้ไม่ได้ดูน่าทึ่ง แต่ดวงตาเขาก็หม่นแสงลงชัดว่าทุ่มพลังทั้งหมดแล้ว
ปัง!
กระแสเย็นและกระบี่ปะทะกันและเป็นกระแสเย็นที่ทรุดลงก่อน แต่เมื่อกระแสถล่มมลง แสงกระบี่ก็จางลงก่อนที่จะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เช่นกัน
ชี่
แสงกระบี่แตกสลายทิ้งบาดแผลลึกไว้ที่หน้าอกของผู้อาวุโสตง แต่เขากลับอึ้งไป เขาสกัดการโจมตีที่มีรัศมีเทียนจื้อจุนไว้ได้หรือ?
เมื่อครู่นี้ เขารู้สึกว่ากำลังจะตายภายใต้คมกระบี่นั่น!
แต่ดูเหมือนว่าแม้จะมีอันตราย แต่กระบี่นั้นก็ไม่น่ากลัวเท่าที่เขาจินตนาการ
หลิงตงตกใจช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนจะฟื้นตัวและเงยหน้าขึ้น จากนั้นเขาก็ต้องใจแทบขาดเมื่อเห็นว่าตอนที่เขาถูกข่มด้วยกระบี่ มู่เฉินได้เร้าคลื่นหลิงเข้ายึดครองเขตแดนที่เขาฮุบไว้ก่อนหน้านี้!
ตอนนี้ตัวเขาเหลือเขตแดนสามส่วนเท่านั้น!
“สารเลว!”
ผู้อาวุโสตงคำราม คลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกวาดออกมา ทว่าขณะที่เขากำลังจะตอบโต้ คลื่นหลิงโบราณก็พลุ่งพล่าน ริ้วแสงปกคลุมแล้วแช่แข็งมิติเอาไว้ แม้แต่หลิงตงก็ยังแข็งทื่อเหมือนยุงในอำพัน
ร่างกายแข็งเกร็ง เขาค่อยๆ บิดคอมองไปทางมู่เฉินด้วยความโกรธเคือง ก่อนจะเห็นรอยยิ้มเยาะบนใบหน้าอีกฝ่าย
บทที่ 1271 พิธีชำระล้าง
แสงแวววาวไร้ขอบเขตเบ่งบานบนท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว
คลื่นหลิงโบราณไม่ได้อ่อนโยนเหมือนก่อนหน้าอีกต่อไป พลังที่น่าสะพรึงกลัวเล็ดลอดออกไป ทำให้มิติทั้งหมดแช่แข็ง
ท่ามกลางมิติที่แช่แข็ง เวลาก็เหมือนจะเคลื่อนช้าลง
ร่างกายของหลิงตงแข็งทื่อด้วยความโกรธ ทว่าเนื่องจากมิติแช่แข็งทำให้เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
แต่ถึงอย่างนั้นสายตาก็จ้องเขม็งไปที่มู่เฉินด้วยความไม่เชื่อ เห็นได้ชัดว่าเขาตกใจอย่างมากจากการเปลี่ยนแปลงฉับพลันที่เกิดขึ้น
เขาไม่เคยคิดเลยว่าในโค้งสุดท้ายการตอบโต้ของมู่เฉินจะดุร้ายขนาดนั้น กระบี่เล่มนั้นบรรจุรัศมีของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนไว้แน่นอน
ทว่าหลังจากที่ประมือ พลังอำนาจของมันก็ไม่ถึงระดับที่หลิงตงคิดไว้ แม้ว่ากระบี่เล่มนั้นจะทำให้เขาตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง หากประมาทอาจต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส
แต่ก็ยังไม่ถึงระดับที่ทำให้เขาตื่นตระหนก เหตุผลที่เขาตอบสนองเช่นนั้นก็คือเขาถูกทำให้ตกใจจากรัศมีเทียนจื้อจุนที่อยู่บนกระบี่
เขากลัวว่าเทพจักรพรรดิอัคคีจะทิ้งไพ่ตายไว้ให้มู่เฉิน ไพ่ตายที่เตรียมไว้โดยจอมยุทธ์เทพเช่นนั้นเป็นสิ่งที่สามารถจัดการคนอย่างเขาได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้นในเวลานั้นเขาจึงถอนคลื่นหลิงทั้งหมด สร้างการป้องกันเพื่อรักษาชีวิตตนเอง
เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้สุดท้ายเขาจะต่อต้านได้ แต่ก็สูญเสียส่วนแบ่งของการชำระล้างที่เขาต่อสู้ มิหนำซ้ำยังสูญเสียเพิ่มไปอีกหนึ่งส่วนด้วย!
ตอนนี้เขามีส่วนแบ่งเพียงสามส่วนเท่านั้น!
นี่ต่ำกว่าที่จัดสรรกันอย่างเหมาะสมซะอีก!
“บ้าเอ้ย! นรกเลย! ไอ้เจ้าเล่ห์นั่น!”
หลิงตงสาปแช่ง ขณะที่รู้สึกเสียใจอย่างมาก เขาไม่ควรหยิ่งผยองมากเกินไป หากเขาเตรียมการไว้ก่อนก็คงไม่ถึงขนาดตกใจกลัวกระบี่ของมู่เฉินจนสูญเสียทั้งหมดไปหรอก
ขณะที่หลิงตงรู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง ใบหน้าของจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็เปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำกับฉากนี้ ในขณะเดียวกันก็จ้องมู่เฉินด้วยสายตาประหวั่นพรั่นพรึง
กระบี่ก่อนหน้าบรรจุด้วยรัศมีเทียนจื้อจุนอย่างแท้จริง
แต่นั่นไม่ได้เป็นของเทพจักรพรรดิอัคคี นี่เป็นรัศมีที่ลึกล้ำและไม่อาจเข้าใจได้… หากเจ้าของรัศมีอยู่ในระดับสูงสุด กระทั่งเขาก็ไม่สามารถแข่งขันกับจอมยุทธ์ระดับนั้นได้
“เทพจักรพรรดิอัคคีบอกว่ามู่เฉินได้รับมรดกของจักรพรรดิฟ้า หากข้าเดาไม่ผิดละก็ กระบี่นั่นจะต้องเป็นของที่จักรพรรดิฟ้าทิ้งไว้ให้และนั่นคือวิธีที่เขานำส่วนแบ่งกลับคืนมาได้” สายตาของจักรพรรดิสัประยุทธ์วูบไหว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะมีไพ่ตายซ่อนเอาไว้อีก
ยิ่งกว่านั้นความอดทนของมู่เฉินก็น่ากลัวอย่างยิ่ง แม้ว่าเขาจะเผชิญหน้ากับหลิงตง เขาก็ยังคงสงบรอจนถึงวินาทีสุดท้าย ก่อนที่จะปล่อยไพ่ตายดึงส่วนแบ่งที่สูญหายคืน!
ความอดทนแบบนั้นน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าอะไร
จักรพรรดิสัประยุทธ์หายใจลึกๆ และถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ เขาไม่ได้สนใจหลิงตงอีกต่อไป หันหลังกลับจากไป
ผลลัพธ์กำหนดแล้ว หลิงตงสูญเสียโอกาสสุดท้าย ดังนั้นแผนการที่เขาวางไว้ก็ถูกแก้ไขโดยมู่เฉินทั้งหมด
พลังงานได้เริ่มเปลี่ยนแปลงแล้ว ดังนั้นหากไม่ได้ใช้พลังของจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนเพื่อขัดขวางกระบวนการ เขาก็ไม่สามารถแทรกแซงการชำระล้างของมู่เฉินได้
แต่ถ้าเขาทำอย่างนั้นก็จะผิดกฎมากไป ซึ่งจะสร้างความเหยียดหยามนับไม่ถ้วนหากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ในฐานะที่เป็นคนกังวลมากต่อชื่อเสียง จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ไม่สามารถทนได้หากเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
ไม่ต้องพูดถึงว่ามู่เฉินมีเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามหนุนหลัง ดังนั้นถ้าเขาทำอย่างนั้น เขาอาจทำให้เทพจักรพรรดิอัคคีซึ่งพูดคุยกับเขาเมื่อไม่นานหันมาจัดการเขา
ชัดว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์ไม่เต็มใจที่จะจ่ายราคานั้นเพื่อจัดการกับมู่เฉิน
“ต่อให้เป็นนักรบทวีปแล้วยังไง? ตำแหน่งนี้แค่เพิ่มโอกาสสูงขึ้นเล็กน้อยในการบุกเข้าไปในระดับเทียนจื้อจุนเมื่อเทียบกับคนธรรมดาทั่วไป แต่คนเก้าส่วนก็ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้”
เมื่อความคิดนี้วูบไหวขึ้นในใจของจักรพรรดิสัประยุทธ์ เขาก็ยิ้มบางแล้วหายไป ตราบใดที่ไม่ใช่ระดับเทียนจื้อจุน ไม่ว่าจะเป็นระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นหรือขั้นเต็ม ก็ไม่ต่างอะไรกับมดในสายตาของเขา
เมื่อจักรพรรดิสัประยุทธ์ออกไป รอยยิ้มเจตจำนงในสายตาของมู่เฉินก็ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เขาพอใจกับผลลัพธ์นี้จริงๆ
สิ่งที่เขายืมมาก็คือพลังกระบี่เกล็ดจักรพรรดิที่จักรพรรดิฟ้ามอบให้เขาเอาไว้ รัศมีที่จักรพรรดิฟ้าทิ้งไว้บนใบมีดเป็นรัศมีระดับเทียนจื้อจุนที่แท้จริง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่หลิงตงกลัวจนตัวสั่น
ทว่าผู้อาวุโสไม่ทราบว่าพลังงานบนกระบี่ส่วนใหญ่หมดไปแล้ว เมื่อตอนที่จักรพรรดิฟ้าสังหารจอมปีศาจทุนเทียน พลังงานที่เหลือสามารถให้มู่เฉินใช้งานได้ไม่กี่ครั้งเท่านั้น
ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ มู่เฉินจึงเลือกที่จะเคลื่อนไหวในวินาทีสุดท้าย ด้วยวิธีนี้เมื่อถึงเวลาที่s]b’ตงได้สติกลับมา ผลลัพธ์ก็ถูกกำหนดไว้แล้ว
และผลลัพธ์ก็เป็นไปตามความคิดของมู่เฉิน มากจนเกินความคาดหวังของเขาไปด้วย
ตอนแรกเขาคิดแค่จะเอาส่วนของเราสองคนกลับมาเท่านั้น แต่ไม่คิดว่าจะคว้าอีกหนึ่งส่วนจากหลิงตงมาด้วย
เห็นได้ชัดว่าเขาประเมินการข่มขวัญของรัศมีเทียนจื้อจุนที่มีต่อหลิงตงต่ำไป
แค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม ก่อนที่สายตาจะกวาดไปทางลั่วหลี ตอนที่เขายึดเขตแดนกลับมา ลั่วหลีก็แบ่งเขตแดน ทว่านางรับพลังไปเพียงสามส่วนยกสี่ส่วนให้กับมู่เฉิน
“ยัยคนนี้”
มู่เฉินรู้สึกจนหนทาง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร นั่นเป็นเพราะเขามีมู่เฉินชุดดำและชุดขาวอยู่ด้วย นี่เป็นสิ่งที่เขาทำโดยมีเจตนา เพราะเขาต้องการให้ร่างรองทั้งสองคนได้รับการชำระล้างด้วย
“เริ่มกันเถอะ”
มู่เฉินหลับตาพลางพึมพำในใจ
ฮึ่ม!
ราวกับว่ามิตินี้ได้ยินเสียงของเขา คลื่นหลิงโบราณก็เริ่มเปล่งประกายแวววาวสดใส ก่อนที่จะกวาดไปทั่วเขตแดนของเขา ห่อหุ้มร่างมู่เฉินทั้งสามไว้
เมื่อแสงครอบคลุม มู่เฉินก็รู้สึกได้ถึงคลื่นหลิงโบราณที่ไหลสู่ร่างกายในทันที ทุกอณูคำรามตอบรับด้วยความตื่นเต้น ขณะที่กลืนกินพลังงานโบราณอย่างเมามัน
คล้ายกับทารกกินนมจากถันมารดาด้วยความกระหายจากส่วนลึกของสัญชาตญาณ
เมื่อพลังงานโบราณเข้ามาในร่างกายของมู่เฉินและสัมผัสกับคลื่นหลิง ก็เป็นความรู้สึกคล้ายกับน้ำหมึกเข้มข้นหยดลงในบ่อน้ำใส ยามนี้มู่เฉินสามารถบอกได้ว่าคลื่นหลิงของตนเองเริ่มข้นหนืดขึ้น
ภายใต้การชำระล้างมู่เฉินรู้สึกได้ถึงกล้ามเนื้อ กระดูก เลือดและแม้แต่คลื่นหลิงก็เริ่มเปลี่ยนแปลง
โฮก!
ขณะที่กระบวนการเปลี่ยนแปลงสำคัญเกิดขึ้นภายในร่างกาย ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงคำรามของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงที่ไม่ได้ออกมานานปรากฏในร่างกายเขา
นับตั้งแต่มู่เฉินบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงก็ไม่ได้มีพัฒนาการ ดังนั้นพวกมันจึงไม่สามารถให้ความช่วยเหลืออย่างมีนัยสำคัญในการต่อสู้ ตัวเขาก็เริ่มลืมเลือนไป
แต่ตอนนี้ภายใต้การชำระล้างมังกรและหงส์ฟ้าก็ได้ตื่นขึ้น พวกมันกินอย่างตะกละตะกลาม ขณะที่กลืนกิน มู่เฉินรู้สึกได้ว่าพลังของพวกมันเข้าใกล้ระดับตี้จื้อจุนมากขึ้นเรื่อยๆ
ด้วยความเร็วนี้อาจใช้เวลาไม่นานที่พวกมันจะบรรลุระดับตี้จื้อจุน
เมื่อถึงเวลานั้นประโยชน์ของพวกมันที่มีต่อมู่เฉินก็จะเผยให้เห็นอีกครั้ง
“นักรบทวีปเต็มไปด้วยผลประโยชน์ไม่รู้จบ”
เมื่อรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในร่างกาย แม้แต่มู่เฉินก็กลั้นความสุขเอาไว้ไม่ได้ ไม่น่าแปลกใจที่หลิงตงวิตกกังวลมาก ที่แท้พลังก็มหัศจรรย์เพียงนี้นี่เอง
“การชำระล้างรุนแรงเกินไป ทำให้มิติแช่แข็งไปเลย ดังนั้นเวลาที่นี่จึงแตกต่างจากภายนอก ตามเวลาที่นี่การรับการชำระล้างอาจกินเวลาเป็นปีแต่ภายนอกคงผ่านไปไม่กี่เดือนเท่านั้น”
ขณะที่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย มู่เฉินก็สัมผัสได้ว่าเวลารอบตัวชะลอตัวลง เห็นได้ชัดว่าพลังงานแห่งการชำระล้างได้เปลี่ยนกฎของเวลาในสถานที่มิตินี้
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการชำระล้างครั้งนี้จะยาวนาน
เมื่อพิจารณาถึงข้อเท็จจริงนี้มู่เฉินก็รู้สึกโล่งใจ ความเร็วในการฝึกฝนของเขาเกินกว่าคนธรรมดา แม้ว่าพรสวรรค์ของเขาจะยอดเยี่ยม แต่บางครั้งเขาก็ต้องใจเย็นและขัดเกลาไปทีละน้อย
ไม่ว่าอัญมณีที่ยังไม่เจียระไนจะยอดเยี่ยมเพียงใด ช่างก็ต้องแกะสลักด้วยความระมัดระวังอย่างที่สุด บางครั้งจำเป็นต้องใช้เวลาในการถนอมกล่อมเกลา
ดวงตาของมู่เฉินค่อยๆ ปิดลง จิตใจก็นิ่งสงบเข้าสู่การฝึกฝนลึก ท่ามกลางการชำระล้างนี้ เขาก็ต้องขัดเกลาพัฒนาการของตนดีๆ
ภายใต้การสะสมลึกล้ำเท่านั้นถึงจะทำให้เขาบรรลุได้อีกครั้ง!
แสงไม่มีที่สิ้นสุดพุ่งออกมาอย่างต่อเนื่อง เวลาและมิติก็ตกลงสู่จุดเยือกแข็ง มีเพียงเงาทั้งห้าที่ถูกห่อหุ้มด้วยแสงยังคงปล่อยพลังชีวิตออกมา
ส่วนเวลาก็เลื่อนไหลไปภายใต้ความเงียบนี้
บทที่ 1272 ความโกลาหล
หนึ่งเดือนหลังจากศึกนักรบทวีปจบลง
ไม่เพียงแต่ข่าวจะไม่หายไปเท่านั้น ยังระเบิดแล้วกระจายออกไปทั่วทวีปซีเทียนเข้าสู่มหาพันภพ
นักรบทวีปเป็นฉายาที่เลื่องลือในมหาพันภพ เนื่องจากนักรบทวีปทุกทวีปเป็นอัจฉริยะที่สมบูรณ์พร้อมศักยภาพที่จะก้าวขึ้นเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน…
แม้ว่าจะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถบรรลุเป้าหมายได้
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรการได้รับตำแหน่งมาก็เป็นการพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งและศักยภาพของพวกเขา ไม่มีใครมั่นใจว่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนคนต่อไปในมหาพันภพจะเป็นใครในนักรบทวีป…
ความจริงที่ว่าทำให้ข่าวเกี่ยวกับนักรบทวีปได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก แม้ว่าทวีปซีเทียนจะไม่โด่งดังในโลกมหาพันภพก็ตาม
ดังนั้นเมื่อข่าวนี้แผ่กระจายออกไป ก็ดึงดูดความสนใจจากขั้วอำนาจจำนวนมาก ทว่าไม่มีใครมีความคาดหมายที่ดี เพราะส่วนใหญ่คิดอยู่ว่าพวกเขาสามารถตักนักรบทวีปออกจากทวีปซีเทียนได้หรือไม่ เพราะนักรบทวีปทุกคนมีศักยภาพในการบรรลุระดับเทียนจื้อจุน หากพวกเขาสามารถดึงคนเหล่านี้มาได้ ก็จะเสริมกำลังให้ ถ้านักรบทวีปเหล่านี้สามารถมีความก้าวหน้าในอนาคต
เมื่อขั้วอำนาจจำนวนมากได้รับข้อมูลของนักรบทวีปซีเทียนก็เกิดความตื่นตระหนกลูกใหญ่
เพราะพวกเขาพบว่าคนที่ชิงความเป็นใหญ่ในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น!
“ใครคือมู่เฉิน? เขาสามารถผงาดขึ้นในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายด้วยขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นเรอะ?”
“จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายในทวีปซีเทียนอ่อนแอขนาดนี้เลยเหรอ?!”
“ดูเหมือนมู่เฉินไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน มีข่าวลือว่าเขามีความสัมพันธ์กับเทพจักรพรรดิอัคคีหรือเขาจะเป็นศิษย์ของเทพจักรพรรดิอัคคีกัน?”
“…”
ในขณะที่กลุ่มหลายกลุ่มตกตะลึงกับความสำเร็จของมู่เฉิน การคาดเดาทุกประเภทก็เริ่มกระจายออกไป
“นักรบทวีปสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นก็ไม่ธรรมดา! นางปลูกฝังร่างเทพวารีของลั่วเสิน!”
“ช่างเป็นหญิงที่งดงามนัก นี่เป็นร่างเทห์สวรรค์ที่สวยงามที่สุดตอนที่ลั่วเสินยังมีชีวิต มิหนำซ้ำยังอยู่อันดับสิบเอ็ดบนทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่างด้วยใช่ไหม?!”
“ศักยภาพของนางก็ไม่มีขอบเขตเช่นกัน นางอาจจะสามารถบรรลุระดับเทียนจื้อจุนได้!”
“…”
หลังจากมู่เฉิน ลั่วหลีก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมาย เพราะร่างเทพวารีโดดเด่นเกินไป ความงามที่เลิศล้ำนั้น ทำให้ผู้คนรู้สึกมัวเมา
ยิ่งไปกว่านั้นพรสวรรค์ที่ลั่วหลีแสดงออกมาก็ทำให้อ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ พวกเขาราวกับเห็นภาพเทพธิดาผู้ยิ่งใหญ่ของโลกในสมัยโบราณที่มีเสน่ห์ดึงดูดจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนนับไม่ถ้วน
เมื่อเปรียบเทียบกับมู่เฉินและลั่วหลี ไม่มีใครให้ความสนใจกับหลิงตงมากนัก เพราะพวกเขาได้รับข้อมูลว่าจอมยุทธ์ผู้นี้ได้รับการดูแลจากจักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียน ดังนั้นเขาจะต้องจงรักภักดีต่อเจ้านายมาก ไม่ง่ายสำหรับพวกเขาที่จะแย่งชิงมา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ให้ความสนใจคนผู้นี้มากนัก
แต่ไม่ว่าอย่างไรนักรบทวีปทั้งสามจากทวีปซีเทียนก็ได้สร้างความโกลาหลในมหาพันภพ ดึงดูดความสนใจเป็นพิเศษในเวลาเดียวกัน
มุมหนึ่งของมหาพันภพ
ชายชราสวมเสื้อผ้าธรรมดาถือไม้เท้าห้อยน้ำเต้าแดงไว้ที่เอว ขณะเดินทอดหุ่ยบนถนน แต่ไม่ว่าสถานที่นี้จะแออัดแค่ไหน ก็ไม่มีใครสามารถแตะต้องเขาได้ ราวกับว่าเขาอยู่ในมิติอื่น
ทันใดนั้นชายชราก็หยุดมองไปที่มุมหนึ่ง ซึ่งเป็นจอภาพคลื่นหลิงที่มีฉากการต่อสู้
การต่อสู้ในระดับนั้นไม่มีค่าอะไรในสายตาของเขา แต่เมื่อเขาจ้องมองไปที่หน้าจอ ดวงตาก็เบิกบาน
เขาจ้องมองร่างเงาที่งดงามหาใดเปรียบเป็นเวลานานก่อนที่จะยิ้มกริ่ม หยิบน้ำเต้าที่คาดเอวขึ้นมา “สวรรค์ไม่ทำให้คนที่พยายามผิดหวัง ช่างเป็นต้นกล้าที่ดีอะไรเช่นนี้…”
เมื่อพูดจบ เขาก็หันจากไป แค่หันตัวไปอีกทางเขาก็หายไปแล้ว
ทวีปวั้นเต่า
นี่เป็นทวีปที่แปลกประหลาด เนื่องจากมันเกิดจากเกาะนับไม่ถ้วน ทว่าแม้จะเป็นเกาะ แต่เกาะเกาะหนึ่งก็มีขนาดกว้างใหญ่เป็นพิเศษ เกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดไม่ได้ด้อยไปกว่าทวีปขนาดเล็กเลย
มีเกาะขนาดใหญ่ปกคลุมด้วยต้นไผ่ในศูนย์กลางของทวีปวั้นเต่า เมฆปกคลุมทั่วเกาะนี้ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตมารวมตัวกัน เห็นได้ชัดว่านี่เป็นดินแดนการฝึกฝนที่หายาก
แต่เมื่อมองใกล้เข้าไปก็จะตระหนักได้ว่าต้นไผ่เหล่านี้ราวกับหยกสีเขียวมรกตที่เปล่งประกายแวววาวจางๆ และมีกลิ่นหอมสามารถทำให้จิตใจสงบ ทำให้คลื่นหลิงว่องไวขึ้นมา
ไผ่มรกตเหล่านั้นมีชื่อว่าไผ่หัวใจหยก ซึ่งสามารถนำมาทำเป็นธูปหัวใจหยก ไม่เพียงแต่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของการเพาะบ่มพลัง แต่ยังสามารถป้องกันไม่ให้เกิดการอาละวาดได้อีกด้วย
นี่เป็นสมบัติธรรมชาติที่หายากสำหรับผู้ฝึก มีข่าวลือว่าธูปหัวใจหยกหนึ่งก้านสามารถขายได้เกือบหมื่นหยดของเหลวจื้อจุน ทว่าบนเกาะนี้กลับเต็มไปด้วยไผ่หัวใจหยก ถ้าเปลี่ยนเป็นของเหลวจื้อจุนมีค่าไม่น้อยกว่าของเหลวจื้อจุนพันล้านหยดเลยทีเดียว…
นี่เป็นจำนวนที่น่าสะพรึง แม้กระทั่งบางขั้วอำนาจสูงสุดก็ยังยากที่จะแจกจ่าย ต่อให้บิดจนตัวแห้งก็ตาม
โดยทั่วไปดินแดนประเภทนี้จะดึงดูดคนโลภนับไม่ถ้วนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปวั้นเต่าซึ่งมีผู้คนมากมายที่ตั้งตนเป็นผู้นำและกดขี่ข่มเหงคนไปทั่ว แต่ถึงกระนั้นขั้วอำนาจที่มีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ยังไม่กล้าที่จะคิดไปยุ่งกับเกาะหัวใจหยกนี้
เพราะเกาะแห่งนี้เป็นของหนึ่งในห้าเผ่าโบราณของมหาพันภพ ซึ่งเป็นทรัพย์สินของเผ่าฝูถู!
เผ่าฝูถูเป็นหนึ่งในเผ่าที่เก่าแก่ที่สุดในมหาพันปีภพโดยที่มีรากฐานลึกล้ำจนไม่มีใครสามารถคาดเดาต้นกำเนิดได้ แม้แต่กลุ่มสุดยอดที่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ยังหวาดกลัวเผ่าโบราณเหล่านี้
ดังนั้นด้วยชื่อเสียงของเผ่าฝูถูนี้จึงทำให้เกาะแห่งนี้เป็นหนึ่งในเกาะที่ปลอดภัยที่สุดในทวีปวั้นเต่า ทุกคนที่มาที่นี่เต็มไปด้วยมารยาท ไม่กล้าเปิดเผยความโลภหรือความเป็นศัตรู
นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้ว่าในสายตาของยักษ์ใหญ่อย่างเผ่าฝูถูโบราณ พวกเขาเป็นเพียงมดปลวก ถ้าทำให้โกรธขึ้นมา เพียงแค่ส่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนมา พวกเขาหรือกระทั่งขั้วอำนาจของตนก็จะถูกล้างบางทันที
ฟิ้ว!
ทันใดนั้นลำแสงก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้า ฉีกผ่านค่ายกลไปถึงใจกลางเกาะ ตรงไปยังภูเขามรกตที่มีเสน่ห์เหลือล้น
มีเจดีย์โบราณจำนวนหนึ่งตั้งในป่าไผ่ เงาร่างนั้นก็ทะยานเข้าไปที่เจดีย์ด้านในสุดทันที
ใต้เจดีย์มีชายชราคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีเทานั่งเงียบๆ พร้อมกับคลื่นหลิงพลิกผันรอบร่างอย่างแผ่วเบา แต่แรงกดดันมหาศาลเลือนรางที่เล็ดลอดออกมาให้ความรู้สึกลึกล้ำและไม่อาจหยั่งรู้ได้
ร่างเงานั้นร่อนลงเบื้องหน้าชายชรา คุกเข่าลงข้างหนึ่ง ทว่าก็ไม่มีการตอบสนอง เขาไม่แม้แต่จะลืมตา มีเพียงเสียงสงบนิ่งดังก้องขึ้นจากท้อง
“ข้าสั่งแล้วว่าไม่ให้รบกวนไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นไม่ใช่รึ?”
ชายที่ตรงหน้าตัวสั่นก่อนที่จะตอบอย่างรวดเร็ว “ข้ามาที่นี่เพื่อรายงานว่าเราเหมือนจะพบไอ้กาลกิณีที่อยู่ในบนกระดานรางวัลแล้วขอรับ”
ปัง!
ทันใดนั้นคลื่นหลิงน่าทึ่งก็ระเบิดออกมาจากร่างชายชรา ดวงตาเบิกโพลงทันที ก่อนที่เขาจะจ้องชายที่เบื้องหน้าด้วยสายตาลึกล้ำ “ไอ้เด็กกาลกิณีบนกระดานรางวัลรึ? เด็กที่ผู้อาวุโสใหญ่พูดถึงใช่ไหม?”
“น่าจะเป็นมันคนนั้น!”
ชายคนนั้นพยักหน้าอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะหยิบป้ายหยกออกมา แสงแวววาวก่อตัวเป็นหน้าจอคลื่นหลิง
บนหน้าจอฉายภาพการต่อสู้รุนแรงระหว่างมู่เฉินและหลิงจั้นจื่อ
เมื่อมู่เฉินเรียกเจดีย์ผลึกแก้วใสขึ้นมา สายตาชายชราชุดเทาก็จ้องเขม็ง ใบหน้าถึงกับกระตุก จากนั้นครู่หนึ่งเขาก็หายใจเข้าลึก พูดด้วยความตกตะลึง “นั่นคือ…เจดีย์พุทธะรึ?!”
ไม่แปลกใจที่เขาจะตกใจ เพราะแม้แต่ในเผ่าฝูถู เจดีย์พุทธะก็ยังไม่ค่อยจะได้พบเห็น มีเพียงคนที่มีพรสวรรค์โดดเด่นที่สุดเท่านั้นที่มีโอกาสได้ปรับแต่ง
ในบรรดาจอมยุทธ์รุ่นใหม่ของเผ่าฝูถูมีเพียงคนคนเดียวเท่านั้นที่สร้างเจดีย์พุทธะได้ เด็กคนนั้นเป็นพรจากสวรรค์ที่ยากจะพบในรอบพันปี นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่าผู้อาวุโสหลายคนกำลังดูแลเขาเพื่อขึ้นเป็นประมุขคนต่อไป
แต่เด็กตรงหน้าที่สามารถสร้างเจดีย์พุทธะได้ ไม่ใช่คนเดียวกันกับอัจฉริยะของเผ่า!
“เด็กคนนี้ไม่คุ้นหน้า แน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนในกลุ่มของเรา แต่เนื่องจากเขาสามารถปรับแต่งเจดีย์พุทธะได้นั่นหมายความว่าเขามีสายเลือดเผ่าเราไหลเวียนอยู่ในร่าง เขาจะต้องเป็นตัวกาลกิณีที่ผู้อาวุโสใหญ่พูดถึงแน่…”
ชายชราหรี่ตาแคบลงประกายแสงวูบไหวในนัยน์ตา ในเผ่ามีตระกูลสาขาหลากหลาย โดยตัวเขาอยู่ในกลุ่มสนับสนุนอัจฉริยะในตระกูล ซึ่งพวกเขาพยายามอย่างดีที่สุดที่จะขัดเกลาอัจฉริยะเพื่อให้เป็นประมุขคนต่อไป หากพวกเขาประสบความสำเร็จ พวกเขาก็จะได้รับอำนาจมหาศาล
แต่จู่ๆ ก็มีคนสามารถปรับแต่งเจดีย์พุทธะได้เช่นกัน แม้ว่าเด็กคนนี้จะเป็นหอกข้างแคร่ แต่พวกเขาไม่ต้องการเห็นอุบัติเหตุใดๆ โดยคิดไม่ถึง
ด้วยความคิดนี้ ริ้วเหี้ยมเกรียมก็วาบในสายตา อุณหภูมิลดฮวบลง ก่อนที่เขาจะโบกมือพูดด้วยเสียงเย็นชาดังๆ
“เรียกผู้พิทักษ์หลงเซี่ยงมาที่นี่…”
บทที่ 1273 หลงเซี่ยง
ตึง!
เสียงฝีเท้าลึกดังก้องในป่าไผ่ ทุกย่างก้าวทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน
ทว่าคนผู้นี้ไม่ได้มีโครงสร้างที่แข็งแรง เขากลับเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างผอมสวมเสื้อผ้าสีดำ
ชายคนนี้เดินออกจากป่ามาถึงเจดีย์ เขาหยุดลงเมื่อเห็นชายชรา เสียงของเขาดังก้องไม่มีความรู้สึกใดๆ “ผู้อาวุโสกู้เรียกข้ามามีธุระอะไร?”
ผู้อาวุโสกู้เงยหน้าขึ้น ดวงตายิ้มแย้มมองไปที่ชายวัยกลางคน “ยินดีด้วยหลงเซี่ยง ดูเหมือนว่าเจ้าบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว”
รัศมีของชายวัยกลางคนลึกล้ำราวกับว่าแบกน้ำหนักภูเขานับไม่ถ้วนไว้ ทุกการเคลื่อนไหวทำให้เกิดความผันผวนของพลังงานกระเพื่อม ทำเอามิติรอบตัวสั่นสะเทือน
“ข้ามาได้ครึ่งทางเท่านั้น ขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม” หลงเซี่ยงตอบเสียงเบา
ผู้อาวุโสกู้ยิ้ม “ด้วยความสามารถของเจ้า ตราบใดที่ก้าวไปได้ครึ่งก้าว การไปถึงระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็เป็นเพียงเรื่องของเวลา”
ทว่าหลงเซี่ยงไม่ได้ตอบสนองคำถามนี้ เพราะตัวเขามั่นใจอยู่แล้วว่าเป็นเรื่องของเวลาที่จะทำให้ตนเองบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้
“มีเรื่องอะไรให้ข้าทำ ผู้อาวุโสกู้?”
แต่เขาไม่ได้พูดในเรื่องนี้มากนักถามขึ้นว่า
ผู้อาวุโสกู้พยักหน้าพร้อมกับดวงตาหรี่ลง “ข้ามีภารกิจให้เจ้าทำ”
“โอ้?”
“ตามล่าคนคนหนึ่งซึ่งเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น” ผู้อาวุโสกู้สะบัดนิ้ว หน้าจอก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับภาพชายหนุ่มฉายออกมา นี่ก็คือมู่เฉินนั่นเอง
หลงเซี่ยงขมวดคิ้ว “ทำไมถึงเรียกข้าไปจัดการจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นตัวจ้อยด้วย?”
“ฮ่าๆ เขาไม่ได้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นธรรมดา เขาได้ตำแหน่งนักรบทวีปจากสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายของทวีปซีเทียน แม้แต่ศิษย์เอกของจักรพรรดิสัประยุทธ์ยังพ่ายแพ้ต่อเขา ดังนั้นเจ้าเด็กคนนี้มองข้ามไม่ได้” ผู้อาวุโสกู้หัวเราะเบาๆ
“ในบรรดาจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ข้าเกรงว่าจะมีไม่มากที่สามารถเผชิญหน้ากับเขาได้ ดังนั้นข้าจึงต้องมอบภารกิจให้เจ้าซึ่งเป็นจอมยุทธ์เสมือนระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม”
พอได้ยินถ้อยคำนี้ หลงเซี่ยงก็หรี่ตาแคบพลางพยักหน้า “งั้นเป็นคนไม่ธรรมดาจริงๆ”
สำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นที่จะบรรลุความสำเร็จดังกล่าวช่างน่าทึ่งนัก แม้ว่าเขาจะมีสายเลือดของตระกูลฝูถูโบราณ เพราะจอมยุทธ์หัวกะทิของเหล่ารุ่นใหม่ในตระกูลก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะประสบความสำเร็จนี้ได้
“เขาคือใคร? ทำไมถึงต้องไปตามจับ?” หลงเซี่ยงถามขณะที่มองผู้อาวุโสกู้
ผู้อาวุโสกู้ยิ้ม “นี่เป็นคำสั่งจากผู้อาวุโสใหญ่”
ม่านตาของหลงเซี่ยงหดลง ดูเหมือนว่าจะหวนนึกบางสิ่งได้ เขาหันขวับไปหาผู้อาวุโสกู้กล่าวว่า “คนที่ผู้อาวุโสใหญ่สั่งประกาศจับเหรอ?”
“เจ้ากาลกิณีคนนั้นนั่นแหละ” ผู้อาวุโสกู้ตอบอย่างแผ่วเบา
ตู้ม!
เมื่อได้ยินแววตาของหลงเซี่ยงก็เย็นเยือกลง คลื่นหลิงน่ากลัวระเบิดออกมาจากร่างก่อตัวขึ้นในบรรยากาศที่น่ากลัวกวาดออกไปในทิศทางของผู้อาวุโสกู้
โฮก!
เผชิญหน้ากับรัศมีที่น่าทึ่งของหลงเซี่ยง สายตาของผู้อาวุโสกู้ก็เฉียบคม แสงสีทองรวมตัวกันอยู่ข้างหลังก่อร่างเป็นสิงโตทองคำ สิงโตทองคำกู่คอคำราม สวรรค์และโลกก็สั่นสะเทือน ความกดดันอันน่าสะพรึงกลัวแตกสลาย
ทั้งสองปะทะกันกะทันหัน ร่างกายของหลงเซียงก็สั่นเทาถอยกลับไปครึ่งก้าว ส่วนร่างของผู้อาวุโสกู้ก็สั่นเทิ้มเล็กน้อย
การประจันหน้าดังกล่าวทำให้ผู้อาวุโสกู้ขมวดคิ้ว แม้ว่าหลงเซี่ยงจะเป็นจอมยุทธ์เกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเท่านั้น แต่เขาเกิดมาพร้อมกับพลังที่ยิ่งใหญ่และได้รับการฝึกฝนทักษะเทพมังกรพลาย ดังนั้นพลังของเขาจึงน่ากลัวอย่างยิ่ง หากต้องต่อสู้กันแล้ว แม้แต่ตนก็ต้องจ่ายราคาแพงระยับเพื่อชนะ
“หลงเซี่ยงคิดจะไม่ฟังคำสั่งของเผ่าเรอะ?” ผู้อาวุโสกู้จ้องไปที่หลงเซี่ยง ขณะรวบรวมพลังบนร่างกาย ช่างดูคล้ายกับราชสีห์ร้ายนัก
สายตาของหลงเซี่ยงวูบไหวพร้อมกับแววเหี้ยมเกรียม แต่เขาก็ดึงรัศมีกลับเล็กน้อยพูดอย่างเย็นชาว่า “เขาเป็นลูกของนายหญิง เขาไม่ใช่กาลกิณี กู้ซือหวงคำนึงถึงคำพูดตัวเองด้วย!”
“หึ แม้ว่าชิงเหยี่ยนจิ้งจะเป็นเจ้านายเก่าของเจ้า แต่ตอนนี้นางเป็นคนบาปที่ไม่เชื่อฟังกฎของเผ่า ทำให้สายเลือดอันสูงส่งของเผ่าฝูถูด่างพร้อย นางมีโทษมหันต์สำหรับอาชญากรรมที่ยิ่งใหญ่นี้!” กู้ซือหวงเอ่ยต่อ
“ถ้าเจ้ามีข้อกังขากับเรื่องนี้รายงานขึ้นไปที่สภาสิ หากพวกเขาเปลี่ยนใจ ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้”
หลงเซี่ยงยิ้มอย่างเย็นชา “ข้าไม่อยากคุยกับเจ้า ข้าไม่ไป!”
ดวงตาของกู้ซือหวงหลุบต่ำ “ไม้ไผ่หัวใจหยกที่นี่กำลังจะเติบโต ข้าต้องปกป้องสถานที่แห่งนี้ หากเจ้าไม่ไปข้าจะรายงานข่าวนี้กลับไปยังเผ่า ในเวลานั้นข้าก็ไม่รู้ว่าจะเป็นใครที่ถูกส่งออกไป…”
“หลงเซี่ยงเราเพียงแต่ต้องการจับไอ้…เด็กนั้นไว้แบบมีชีวิตอยู่ หากเจ้าออกหน้าเองก็ยังสามารถรักษาชีวิตเขาไว้ได้ แต่ถ้าผู้อาวุโสใหญ่โกรธขึ้นมาส่งคนอื่นไปละก็ ความเป็นตายของเด็กนั่นก็จะไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้าอีกต่อไป”
มองไปที่กู้ซือหวงสายตาของหลงเซี่ยงก็กะพริบก่อนที่จะถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ได้ ข้าไปก็ได้!”
ถ้าเขาไปอย่างน้อยก็ไม่ทำอะไรรุนแรงกับลูกนายหญิง แต่ถ้าส่งคนที่มีความสัมพันธ์ไม่ดีกับนางไปละก็ ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คงจะไม่แน่นอน
เมื่อกู้ซือหวงได้ยินคำตอบก็ยิ้ม “เป็นเรื่องดีที่เจ้าเข้าใจ”
พูดถึงจุดนี้เขาก็หยุดชั่วครู่ก่อนที่จะยิ้มอีกครั้ง “แต่หลงเซี่ยง ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่กลับมามือเปล่า หากเป็นเช่นนั้นข้าอาจจะมอบหญิงสาวที่ถูกขังอยู่ที่นี่กลับเผ่า ในเวลานั้นข้าเกรงว่านางจะไม่สามารถรับโทษได้”
ใบหน้าของหลงเซี่ยงเปลี่ยนไปในพลางจ้องมองกู้ซือหวงด้วยสายตามืดมน ก่อนที่จะพูดช้าๆ “กู้ซือหวง ข้าขอเตือนว่าอย่าทำอะไรเกินเลย แม้ว่าตอนนี้นายหญิงจะถูกจองจำ แต่เจ้าก็ทราบดีว่านางเป็นคนอย่างไร แม้แต่ผู้อาวุโสใหญ่ก็ไม่สามารถทำอะไรกับนางได้ ถ้าเจ้าทำให้นางโกรธจริงๆ ข้ากลัวว่าจะไม่มีใครในตระกูลปกป้องเจ้าได้”
“ในสายตานายหญิง เจ้าเป็นเพียงสุนัขแก่ที่สามารถฆ่าได้ด้วยการพลิกฝ่ามือ!”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นใบหน้ากู้ซือหวงก็บิดเบ้อย่างไม่สามารถควบคุมได้ เขาจ้องอีกฝ่ายด้วยความเยาะเย้ย “หึ ข้าไม่เชื่อว่าเผ่าจะให้นางทำตามที่ต้องการ!”
แม้ปากจะพูดเช่นนี้แต่น้ำเสียงก็ไม่ได้เฉียบคมอย่างเดิม เพราะเขารู้ว่าถ้าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนต้องการจัดการเขา ก็มีวิธีการมากมายที่จะทำเช่นนั้น
สายตาดูถูกเหยียดหยามของหลงเซี่ยงสาดออก เขาไม่พูดอะไรก่อนจะหันหลังออกไป
เมื่อเห็นหลงเซี่ยงไปแล้ว กู้ซือหวงก็กัดฟันกรอด “ปล่อยให้แกผยองไปก่อนเถอะ ตราบใดที่ประมุขน้อยขึ้นเป็นประมุข เผ่าฝูถูก็จะอยู่ภายใต้การควบคุมของเรา ในเวลานั้นเราจะไม่ลังเลเหมือนผู้อาวุโสใหญ่ นอกจากนี้เมื่อไรที่เราจับไอ้กาลกิณีนั่นได้ ข้าไม่เชื่อว่าชิงเหยี่ยนจิ้งจะไม่ฟังคำสั่งเรา!”
เมื่อหลงเซี่ยงออกจากเจดีย์ เขาไม่ได้รีบจากไป แต่เดินไปอีกทางหนึ่งที่มีเจดีย์สีดำ เขาเดินเข้าไป
ที่นี่มืดและวังเวงมีคุกสีดำอยู่ในส่วนลึกของเจดีย์ คุกนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยหินสีดำและมีเกลียวแสงหลิงบางเบาวูบไหวออกมา ก่อร่างเป็นค่ายกลขนาดใหญ่
เมื่อมาถึงเบื้องหน้าคุกหลงเซี่ยงก็จ้องมองไปที่หญิงสาวในชุดขาว
ผมยาวของนางแผ่กระจายออกไปอย่างนุ่มนวลพร้อมกับคิ้วตวัดขึ้นบ่งบอกถึงกิริยาท่าทางงดงาม แต่ไม่มีความตื่นตระหนกในสายตาของนางเลย ตรงกันข้ามกลับมีเพียงความสงบ
ถ้ามู่เฉินอยู่ที่นี่เขาจะต้องตกใจอย่างแน่นอน เพราะนางก็คือหลิงซีที่ขาดการติดต่อหลังจากแยกกันที่สำนักศึกษาเป่ยชาง!
“หลิงซี”
จ้องมองหญิงสาวในคุกรอยยิ้มก็ปรากฎบนใบหน้าของหลงเซี่ยง เพราะเขารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้นับวันยิ่งคล้ายกับนายหญิงของเขา
หลิงซีเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มเมื่อเห็นหลงเซี่ยง “พี่หลงเซี่ยง”
หลงเซี่ยงถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้พลางคลี่รอยยิ้มขมขื่น “ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมเจ้าถึงมาที่นี่ เจ้ารู้อยู่แล้วที่นี่เป็นดินแดนของเผ่าฝูถู ซึ่งมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มเฝ้าดูอยู่”
ตอนนั้นจู่ๆ หลิงซีก็บุกเข้ามาที่เกาะหัวใจหยก ตามคาดนางถูกจับขังไว้ที่นี่โดยกู้ซือหวงมานานสามปีเต็มแล้ว
หลิงซีเม้มริมฝีปาก ม่านตาสีดำเปล่งประกายด้วยรอยยิ้มบนริมฝีปาก “เป็นเพราะท่านน้าจิ้งเคยอยู่ที่นี่”
เมื่อได้ยินคำตอบนี้ หลงเซี่ยงก็อดกลอกตาไม่ได้ เขาพูดไม่ออกจริงๆ
“พี่หลงเซี่ยงมีเรื่องอะไรเหรอเจ้าคะ?” หลิงซียิ้ม
หลงเซี่ยงลังเลสั้นๆ ก่อนจะพยักหน้า “ข้าได้รับข่าวเรื่องนายน้อย”
หลิงซีเงยหน้าขึ้นฉับพลัน จากนั้นหลงเซี่ยงก็เห็นความสุขที่ไม่อาจปกปิดบนดวงหน้าของนางที่ไม่เคยแสดงอารมณ์ใดๆ ในช่วงสามปีที่ผ่านมา
“มู่เฉิน…ในที่สุดก็มีข่าวจากเจ้า…”
นางก้มหน้าแย้มยิ้ม
บทที่ 1274 บรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย!
แนวคิดเกี่ยวกับเวลาหายไปในมิติเย็นเยือกนี้
เวลาช้ามากจนรู้สึกเหมือนเป็นนิจนิรันดร์ ราวกับว่าสติสัมปชัญญะแช่อยู่ในความมืด ขณะที่รอบตัวให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในครรภ์มารดา
ภายใต้ความเงียบนี้การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดก็เกิดขึ้นอย่างช้าๆ
ท่ามกลางหมู่ดาวโบราณ ร่างเงาหนึ่งนั่งอยู่ราวกับก้อนหินพร้อมกับมีคลื่นหลิงโบราณก่อตัวขึ้นเป็นวงรัศมีอยู่รอบตัวเขา แสงสาดส่องลงมาบนร่าง ภายใต้ความมันวาวนั้นกระทั่งร่างกายของเขาก็เปล่งแสงลึกล้ำขณะที่เคลื่อนเข้าไปในเนื้อ กระดูกและเลือด ชำระร่างกายให้สมบูรณ์แบบ
เมื่อเวลาผ่านไปคลื่นหลิงโบราณและคลื่นหลิงของมู่เฉินก็ค่อยๆ เชื่อมโยงกัน เมื่อรวมเข้าด้วยกันได้คลื่นหลิงในร่างกายของเขาก็หนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ
นี่เป็นพัฒนาการลึกซึ้งยิ่งขึ้นของคลื่นหลิง ในแง่ของคุณภาพพลังงานนี้น่าจะสูงกว่าเมื่อก่อนอย่างน้อยก็หนึ่งระดับ
คลื่นหลิงที่แข็งแกร่งไหลเวียนอยู่ในร่างกายเขา ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนภายในอย่างผันผวนไม่มีที่สิ้นสุด ราวกับว่าทุกริ้วความผันผวนจะทำให้มันเติบโตอย่างแข็งแกร่งขึ้น
การเสริมพลังนี้แรงกล้าขึ้นเรื่อยๆ ราวกับกำลังสะสมรอจังหวะปะทุขึ้นเพื่อทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ทวีปซีเทียน เมืองลั่วเสิน โถงวังลั่วเสิน
ลั่วหลีนั่งอยู่พร้อมกับเพ่งมองไปที่ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ชายคนนั้นดูผอมบางแต่ความผันผวนของคลื่นหลิงรอบตัวเขาราวกับว่ากำลังแบกภูเขาไว้บนหลัง
นี่เป็นบุคคลอันตรายอย่างยิ่ง!
นี่คือการประเมินจากลั่วหลี แม้ว่านางจะเสร็จสิ้นการชำระล้างและพลังก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัย แต่นางก็ไม่ได้ก้าวเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ตอนนี้นางอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นระยะปลายสุด
เวลานี้นางอาจจะต่อสู้กับหลิงจั้นจื่อได้เลยทีเดียว
ทว่าชายวัยกลางคนผู้นี้มีพลังมากกว่าหลิงจั้นจื่อ จากการคาดเดาเขาอาจจะแตะระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว แม้ว่ายังไม่ได้เข้าไปอย่างเต็มตัว แต่อย่างน้อยก็อยู่ในขุมพลังเสมือนระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว
แม้ว่าจะเป็นเพียงเกือบบรรลุ แต่ก็ยังอยู่ในอีกระดับหนึ่งเมื่อเทียบกับระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย
ลั่วเทียนเสิน ลั่วเทียนหลงและผู้อาวุโสอื่นๆ ของตระกูลลั่วเสินก็ปรากฏตัว สายตามองไปที่ชายวัยกลางคนด้วยความหวั่นเกรงและตื่นตัว
“ท่านผู้อาวุโส มู่เฉินไม่อยู่ที่นี่ ถ้าท่านต้องการเจอเขาโปรดไปที่อื่นเถิด” ลั่วหลีพูดด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
ไม่กี่วันที่ผ่านมาชายวัยกลางคนคนนี้มาที่ตระกูลลั่วเสินเพื่อตามหามู่เฉิน ทว่าตอนนี้มู่เฉินยังคงอยู่ในกระบวนการชำระล้าง นอกจากนี้ต่อให้เขาอยู่ ลั่วหลีก็ไม่ต้องการให้คนคนนี้พบกับมู่เฉิน ก่อนที่นางจะยืนยันเป้าหมายของเขาได้
เผชิญหน้ากับคำพูดของลั่วหลี ชายวัยกลางคนก็ส่ายหัว “เขาจะต้องมาแน่นอนในเมื่อข้ามาที่นี่”
ลั่วหลีมุ่นคิ้ว “เจ้าตามหามู่เฉินเพื่ออะไร?”
“จะเชิญเขาไปที่แห่งหนึ่ง” ชายวัยกลางคนพูดอย่างไม่มีริ้วกระเพื่อมในน้ำเสียง
คิ้วของลั่วหลีขมวดกันมากยิ่งขึ้นขณะมองไปที่ชายวัยกลางคนอย่างลึกซึ้ง “ข้ากลัวว่าท่านจะไม่สามารถเชิญเขาไปได้”
ด้วยความเข้าใจของนางเกี่ยวกับมู่เฉิน หลังจากการชำระล้างพลังของมู่เฉินจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ในอดีตเขาสามารถต่อกรกับหลิงจั้นจื่อซึ่งเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายระยะปลายสุดด้วยขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น
หลังจากการชำระล้างแม้ชายวัยกลางผู้นี้จะมีขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็คงไม่สามารถทำอะไรกับมู่เฉินได้
เมื่อชายวัยกลางคนได้ยินคำพูดของลั่วหลี เขาก็ยิ้มตาหยีพลางหลุบตาลง “หากเป็นเช่นนั้นข้าก็อยากลองดู ข้าหวังว่าเขาจะไม่ทำให้ผิดหวัง”
‘ไม่เช่นนั้นก็เป็นการสิ้นเปลืองความพยายามของนายหญิงที่ปกป้องเขา’
ประโยคสุดท้ายเสียงต่ำลงจนไม่สามารถได้ยิน
เวลาไหลผ่านไปในความมืด
ไม่มีใครรู้ว่าความเงียบงันกินเวลานานแค่ไหน ทันใดนั้นริ้วสติก็กระเพื่อมไหวก่อนที่จะค่อยๆ ตื่นขึ้นจากสมาธิระดับลึก
ขณะเดียวกันแสงริ้วสุดท้ายก็เข้าสู่ร่างกายของมู่เฉินเรียบร้อย
ร่างกายที่ถูกแช่แข็งของเขาฟื้นคืนขึ้นอย่างช้าๆ เมื่อเขาลืมตาแสงลึกล้ำก็กะพริบวาบในม่านตาสีดำของเขา
แม้ว่าจะไม่ได้มีรัศมีอลังการอะไร แต่ก็หมายความว่ามู่เฉินได้มาถึงระดับใหม่ของการควบคุมคลื่นหลิง
มู่เฉินเหยียดแขนออกเงียบๆ
ครืน!
ทันใดนั้นกระดูกก็ส่งเสียงลั่นเปรียะ เสียงดังกึกก้องราวกับเสียงฟ้าคำรามในร่างกายของเขา
นอกจากนี้ทุกเสียงคำรามก็ทำให้มิติรอบตัวผันผวนไปหมด
มู่เฉินลุกขึ้นยืนเส้นผมกระจัดกระจายไปทั่ว อึดใจคลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็ไม่ถูกยับยั้งอีกต่อไป มันปลดปล่อยตัวเองออกมาราวกับคลื่นยักษ์
ตู้ม!
คลื่นหลิงเชี่ยวกรากกวาดออกไปพร้อมกับแรงกดดันไม่รู้จบล้อมรอบมิติทั้งหมดนี้
นอกจากนี้ความแข็งแกร่งของคลื่นหลิงยังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในเวลาไม่กี่อึดใจก็มาถึงระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นระยะปลายสุด
ทว่าก็ไม่มีสัญญาณว่าจะหยุดลง!
เสื้อผ้าของมู่เฉินเผยิบผยาบ กระทั่งผิวหนังของเขาก็ยังสั่นระริก ขณะที่คลื่นหลิงแล่นพล่านราวกับงูใต้ผิวหนัง
เพียงสิบกว่าลมหายใจ ลำแสงหลิงขนาดแสนกว่าจั้งก็ยิงขึ้นสู่ท้องฟ้า
ปัง!
เสียงฟ้าลั่นคำราม ความผันผวนของคลื่นหลิงขยายตัว หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจก็ทะลุผ่านขอบเขตก้าวเข้าระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย!
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตหวีดหวิวรอบร่างตัวมู่เฉิน ความหนาแน่นนั้นแข็งแกร่งกว่าตอนที่เขาอยู่ในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายหลายเท่า!
ประกายคลื่นหลิงรอบร่างมู่เฉินเริ่มหดลง ก่อนที่เขาจะก้มศีรษะลงอย่างช้าๆ มองไปที่ฝ่ามือตนเองซึ่งถูกปกคลุมด้วยพลังงานไร้ขอบเขต ในช่วงเวลานี้กระทั่งหัวใจของเขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น
“ระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย”
ด้วยการชำระล้างนี้ เขาก้าวกระโดดครั้งสำคัญจากระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นเข้าสู่ขั้นปลายเป็นที่เรียบร้อย!
“กระบวนการครั้งนี้กินเวลาถึงสามปี”
ทว่าการเพิ่มขึ้นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นรวดเร็ว ใช้เวลาสามปีเต็มในการทำให้สำเร็จ!
ที่จริงนี่ไม่ได้เป็นเวลาสามปีในมหาพันภพแต่เป็นในมิตินี้ พลังงานชำระล้างที่ลึกซึ้งทำลายเวลาทำให้ไหลช้าลง ดังนั้นในมหาพันภพเวลาน่าจะผ่านไปเพียงไม่ถึงครึ่งปี
มู่เฉินรู้สึกโล่งใจ ในช่วงเวลาสามปีที่ผ่านมาความเร็วในการฝึกฝนของเขาไม่ช้า ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องเพิ่มการเพาะบ่มมากเกินไปและสร้างความเสียหายต่อรากฐาน ในทางตรงกันข้ามกลับทำให้มู่เฉินสามารถวางรากฐานได้ดียิ่งขึ้น
เห็นได้ชัดว่าการชำระล้างนี้สมกับความคาดหวังของมู่เฉิน ไม่เพียงแต่สามปีที่ช่วยให้เขาไปถึงระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย แต่ยังทำให้เขาวางรากฐานแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม
ด้วยสิ่งนี้จะไม่มีผลกระทบใดๆ ที่อาจส่งผลต่อพัฒนาการของเขาในการบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มหรือกระทั่งระดับเทียนจื้อจุน
มู่เฉินยิ้มพอใจก่อนที่คลื่นหลิงไร้ขอบเขตรวมตัวกันในฝ่ามือ เขารู้สึกได้ว่าคลื่นหลิงในตอนนี้แตกต่างจากในอดีต
คลื่นหลิงในปัจจุบันของเขาทั้งมีชีวิตชีวาและหนาแน่นยิ่งขึ้น
“เล่าลือว่าคลื่นหลิงในร่างของจอมยุทธ์เทียนจื้อจุน ทุกหยดสามารถเปลี่ยนเป็นแม่น้ำ มีความหนาแน่นเท่ากับภูเขา”
มู่เฉินครุ่นคิด ดูเหมือนว่าคลื่นหลิงโบราณจะมีการเชื่อมโยงกับการพัฒนาในอนาคตสู่ระดับเทียนจื้อจุน
แม้ว่าเขายังมีระยะทางค่อนข้างไกลจากระดับเทียนจื้อจุน แต่เขาก็มีความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับเส้นทางนี้แล้ว
“การชำระล้างพลังงานทวีปวิเศษจริงๆ”
มู่เฉินยิ้มบาง เขายินดีกับการเก็บเกี่ยวของตนเอง ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเทพจักรพรรดิอัคคีพยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อคว้าโอกาสนี้สำหรับเขา
มู่เฉินเลื่อนสายตาไปยังทิศทางของลั่วหลี แต่เขาหานางไม่พบ ดูเหมือนว่านางจะเสร็จสิ้นกระบวนการก่อนแล้วออกจากที่นี่ไปแล้ว
“หืม?”
ทันใดนั้นมู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงแสงหลิงในทิศทางของลั่วหลี เขาโบกมือดึงมันเข้ามาก่อนที่เสียงลั่วหลีจะก้องดังในโสตประสาท
“มู่เฉินมีคนกำลังรอเจ้าอยู่ที่ตระกูลลั่วเสิน ข้าไม่รู้จุดประสงค์ของเขา แต่เจ้าต้องระวังตัวเมื่อออกจากการชำระล้างแล้ว”
“นอกจากนี้…ถึงแม้ว่าข้าจะไม่มั่นใจที่มาของเขา แต่ข้าเดาว่าเขาน่าจะมาจากเผ่าฝูถู”
เมื่อมู่เฉินได้ยินชื่อนี้ม่านตาก็หดแคบลงพร้อมกับรังสีสังหารกระจายอย่างช้าๆ บนใบหน้า
“เผ่าฝูถู”
เขาพึมพำกับแสงเย็นกะพริบในม่านตาสีดำ
“ในที่สุดก็มาหาแล้วหรือ?”
ภาพเงามู่เฉินเคลื่อนไหวหายวับไปจากมิติโบราณ เหลือเพียงเสียงเย็นของเขาสะท้อนไปทั่วบริเวณ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น