หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1261-1264
บทที่ 1261 ปรากฏ
ตู้ม ตู้ม!
เสียงคำรามของหลิงจั้นจื่อดังก้องราวกับฟ้าฟาดทั่วมิติ พร้อมกับคลื่นหลิงไร้ขอบเขตถูกปลดปล่อยอย่างต่อเนื่อง ทำให้มิติโดยรอบผันผวน
ยามนี้ดวงตาของหลิงจั้นจื่อเปล่งประกายแวววาวและดูไม่อ่อนล้าเหมือนเมื่อครู่อีก เห็นได้ชัดว่าเขาใช้ประโยชน์จากการสังเวยการต่อสู้เพื่อฟื้นฟูคลื่นหลิงของตนเอง
พลังงานที่หมดไปเติมเต็มร่างกายของเขาอีกครั้ง
หลิงจั้นจื่อยืนอยู่บนร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์จ้องมองไปที่มู่เฉิน ในที่สุดเขาก็เอาชนะได้ในนาทีสุดท้าย เพราะตอนนี้มู่เฉินที่เหนื่อยล้า ไม่เป็นอันตรายในสายตาเขาแล้ว
ผู้ชมส่ายหน้า ใครจะคิดว่าหลิงจั้งจื่อยังมีทักษะนี้ทำให้พลิกสถานการณ์พลิกกลับมาได้อีกครั้ง
“หลิงจั้นจื่อเหี้ยมจริงๆ เขายอมจ่ายราคาดังกล่าวเพื่อตำแหน่ง” บางคนถึงกับถอนหายใจ
“ราคาแค่นั้นไม่นับเป็นอะไรได้ ตราบใดที่เขาเป็นนักรบทวีปและได้รับการชำระด้วยพลังงานทวีปของทวีปซีเทียนก็จะเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงระดับเทียนจื้อจุน เมื่อเปรียบเทียบแล้ว กองทัพล้านคนก็ไม่นับเป็นอะไรหรอก”
“แต่ถ้าแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเป็นเกียรติอะไรแม้เขาจะชนะ มู่เฉินเสียเปรียบตั้งแต่เข้าร่วมในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายด้วยพลังขั้นต้น ตอนนี้หลิงจั้นจื่อยังใช้วิธีขี้โกงเช่นนี้อีก” ก็เป็นปกติที่จะมีคนรู้สึกไม่ยุติธรรมสำหรับมู่เฉิน เพราะพลังที่อีกฝ่ายแสดงออกมาก่อนหน้าทำให้หลายคนยอมรับเขาแล้ว
“ลิขิตฟ้ามักโหดร้าย ในโลกนี้ไม่มีความยุติธรรม… แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่มู่เฉินจะมาไกลขนาดนี้ด้วยขุมพลังของเขา พรสวรรค์และพลังของเขาจะสร้างโอกาสในอนาคตอย่างแน่นอน”
“…”
ในขณะที่เสียงหลากหลายดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ผู้คนก็อดเสียดายแทนมู่เฉินไม่ได้ เขามีศักยภาพที่ลากทึ้งหลิงจั้นจื่อลงมาจากเจ้าเหนือหัวในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายของทวีปซีเทียน แต่น่าเสียดายที่เขาล้มเหลวในที่สุด
“ดูเหมือนพวกแกจะไม่มีโอกาสแล้ว” มองไปที่หลิงจั้นจื่อ หลิงเจี้ยนจื่อก็ยิ้มเยาะให้กับซูมู่
ใบหน้าของซูมู่มืดครึ้ม เป็นเรื่องเหนือคาดที่มู่เฉินสามารถบรรลุผลสำเร็จได้ขนาดนี้ ทว่าก็ไม่มีใครคิดว่าหลิงจั้นจื่อเหี้ยมเกรียมปานนี้
“ไม่ได้ตำแหน่งก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็สามารถทำลายความเย่อหยิ่งของพวกแกได้ หึ พี่ใหญ่เทพจอมยุทธ์ ศิษย์เอกของจักรพรรดิสัประยุทธ์ถูกบีบให้มาถึงจุดนี้โดยจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น ข้าจะดูสิว่าพวกแกจะยังกล้าผยองต่อชื่อเสียงตัวเองในอนาคตหรือไม่” ซูมู่เค้นเสียงเยาะ
ดวงตาของหลิงเจี้ยนจื่อจมลงในความโกรธ เขารู้ว่าคำพูดของซูมู่ไม่ผิด แม้ว่าหลิงจั้นจื่อจะชนะมู่เฉินในการต่อสู้ครั้งนี้ แต่นั่นจะไม่เพิ่มชื่อเสียงของเขา กลับฉายแสงให้มู่เฉินแทน
เพราะเป็นเรื่องตกตะลึงมากที่มู่เฉินทำสิ่งนี้สำเร็จด้วยขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น
“ผู้ชนะก็คือผู้ชนะ ไม่ว่าคนอื่นจะพูดอย่างไร ผลลัพธ์ก็ไม่เปลี่ยนแปลง” หลิงเจี้ยนจื่อเย้ยหยัน
ขณะที่ทั้งสองเปิดศึกน้ำลายใส่กัน มู่เฉินก็มองหลิงจั้นจื่อ เขาอดไม่ได้ที่จะเบะปาก หลิงจั้นจื่อจัดการยากเย็นจริงๆ
เพื่อจัดการกับคนผู้นี้ มู่เฉินควักไพ่ตายออกมาเกือบหมดแล้ว แต่เขาก็ยังไม่สามารถมีชัยเหนือกว่าได้ ไม่แปลกใจเลยที่หลิงจั้นจื่อเป็นเทพจอมยุทธ์อันดับหนึ่ง ชายคนนี้มีปัจจัยที่โดดเด่นนัก
“สมกับถูกสอนโดยจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน” มู่เฉินถอนหายใจ
“ขอบคุณสำหรับคำชม แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็ต้องเชิญแกออกจากสนามนี้” หลิงจั้นจื่อตอบอย่างไม่แยแส ตอนนี้เขาปฏิบัติต่อมู่เฉินอย่างจริงจังและรู้สึกครั่นคราม ดังนั้นจึงไม่มีน้ำเสียงดูถูกที่เคยมีอีกแล้ว
ตู้ม!
หลังจากสะบักสะบอมจากน้ำมือมู่เฉิน หลิงจั้นจื่อก็ฉลาดพอที่จะไม่ให้เวลามู่เฉินอีกต่อไป เขากระแทกฝ่าเท้า คลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็ระเบิดออก ก่อตัวเป็นภาพมายาก่อนจะทะยานออกไป
ทุกคนบอกได้เลยว่าหลิงจั้นจื่อต้องการยุติการต่อสู้แล้ว!
ลำแสงวาบผ่านไปพร้อมด้วยคลื่นหลิงไร้ขอบเขตครอบคลุมพื้นที่ เพียงอึดใจเดียวเงาร่างของหลิงจั้นจื่อก็มาปรากฏต่อหน้ามู่เฉินซึ่งอยู่บนบ่าของร่างเทพสุริยะนิรันดร์
ตอนนี้คลื่นหลิงของมู่เฉินหมดลงอย่างสมบูรณ์ ร่างเทพสุริยะนิรันดร์จึงสูญเสียความสุกสว่าง ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีกต่อไป ดังนั้นเมื่อหลิงจั้นจื่อปรากฏตัวต่อหน้าก็ไม่ได้ทำการโจมตีใดๆ
“เอาป้ายสัประยุทธ์มา!”
หลิงจั้นจื่อคำรามเสียงเย็นพร้อมกับฝ่ามือกระแทกออกไป ทำลายมิติพุ่งไปที่หน้าอกของมู่เฉิน
แม้ว่ามู่เฉินดูเหมือนจะไม่มีพลังในการตอบโต้ แต่หลิงจั้นจื่อก็ยังระวัง ตัดสินใจใช้เพลงฝ่ามือจัดการมู่เฉินให้ได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
เฮ้อ เฮ้อ
ทุกคนถอนหายใจกับฉากนี้ ดูเหมือนว่าคราวนี้มู่เฉินจะแพ้แล้ว
ฝ่ามือขยายใหญ่ในดวงตาของมู่เฉิน แต่เขาไม่ได้ตกใจอะไร บนใบหน้ากลับมีรอยยิ้มจางๆ แทน
เมื่อเห็นรอยยิ้มนั่น ม่านตาของหลิงจั้นจื่อก็สั่นกระเพื่อม ความไม่สบายใจเพิ่มขึ้นในหัวใจ แต่ในฐานะจอมยุทธ์ที่เหี้ยมและเด็ดขาด เขาก็อัดคลื่นหลิงในร่างกายลงไปเพิ่ม ฝ่ามือก็ยิ่งคมชัดมากขึ้น ไม่ว่ามู่เฉินจะเคลื่อนไหวหรือไม่ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหนีจากโจมตีของคลื่นหลิงในระยะแค่นี้
ตึง!
มิติผันผวน พริบตาฝ่ามือของหลิงจั้นจื่อก็ปรากฏเบื้องหน้ามู่เฉิน ทว่าขณะกำลังจะปะทะกับหน้าอก ฉับพลันก็มีมือข้างหนึ่งเหยียดออกกระแทกใส่กับฝ่ามือของหลิงจั้นจื่อ
ตู้ม!
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตแปรปรวน ร่างกายของหลิงจั้นจื่อก็สั่นไหว ฝ่ามือถูกปิดกั้น แต่ไม่รอให้เขาตั้งสติ ลูกเตะที่มาพร้อมกับคลื่นหลิงก็พุ่งเข้าหาหน้าอกเขา
ปัง!
อากาศโดยรอบแตกออก หลิงจั้นจื่อที่ไม่ทันตั้งตัวก็ปลิวถลาไปบนพื้น ทำให้เกิดรอยแยกขนาดใหญ่ทุกที่ที่ผ่าน
การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นโดยฉับพลัน ดังนั้นหลังจากที่หลิงจั้นจื่อกระเด็นออกไปไกล ผู้ชมถึงได้หายจากอาการตกใจ ใบหน้าก็อัดแน่นด้วยความหวาดผวา
“เกิดอะไรขึ้น?”
“มู่เฉินยังมีคลื่นหลิงที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้ยังไง?!”
ความปั่นป่วนเกิดขึ้น สายตาไม่อยากเชื่อมองไปยังมู่เฉิน เมื่อเห็นทั่วทั้งจัตุรัสก็ถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ
ทุกคนอ้าปากตาค้างด้วยความตกใจราวกับว่าเห็นผี
เนื่องจากพวกเขาเห็นร่างเงาสองร่างยืนจังก้าอยู่ข้างมู่เฉิน ร่างในชุดสีดำและสีขาวกำจายคลื่นผันผวนทรงพลังรอบตัว
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาตกตะลึงที่สุด ไม่ใช่คลื่นหลิงที่ผันผวน แต่เป็นเพราะทั้งคู่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนมู่เฉินเปี๊ยบ!
“นี่…นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
“ทำไมมีมู่เฉินเพิ่มอีกสองคน! พวกเขาเป็นพี่น้องแฝดกันหรือ?”
“ไร้สาระ พวกเขาต้องเป็นร่างดวงจิตแน่!”
“เป็นไปได้ยังไง?! มู่เฉินอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นเท่านั้น เขาจะสร้างร่างพิมพ์ในระดับเดียวกับตัวเขาได้ยังไง!”
“…”
ความปั่นป่วนเกิดขึ้น ทุกคนมีความไม่เชื่อเขียนบนใบหน้า พวกเขาตกตะลึงกับฉากนี้ ตอนแรกพวกเขาคิดว่าการต่อสู้จะจบลงแล้ว แต่ใครจะคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น…
หลิ่วซิงเฉินก็ผงะไปกับฉากนี้ โดยธรรมชาติเขาไม่เชื่อว่าร่างทั้งสองที่คล้ายคลึงกันนั่นจะเป็นพี่น้องแฝดของมู่เฉิน ดังนั้นใจเขาเอนเอียงไปยังแนวคิดเรื่องร่างดวงจิต แต่ที่เขาไม่เข้าใจคือทำไมร่างดวงจิตของมู่เฉินถึงได้ทรงพลังเพียงนี้…
นอกจากนี้ร่างดวงจิตก็ดูสมจริงมาก! พวกเขาไม่ได้แตกต่างจากร่างหลักเลย!
ภายใต้ความปั่นป่วนใบหน้าของจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ตื่นตะลึง ก่อนที่เขาจะผุดลุกขึ้นยืนมองดูเงาร่างทั้งสองในทันที
บางทีคนอื่นคงไม่สามารถบอกอะไรได้ แต่เขาในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ดังนั้นเขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าทั้งสองไม่ได้เป็นร่างดวงจิต แต่เป็นร่างจริง!
นอกจากนี้ทั้งสามยังมีรัศมีเดียวกัน กระทั่งคลื่นหลิงก็เหมือนกัน ร่างทั้งคู่นั่นไม่มีร่องรอยของการเป็นร่างดวงจิตเลย!
การที่ร่างดวงจิตสมจริงเช่นนี้เป็นสิ่งที่มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้นที่ทำได้ แต่มู่เฉินเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น!
นอกจากนี้พลังของร่างดวงจิตที่สร้างโดยคลื่นหลิงก็จะด้อยกว่าร่างหลักอย่างแน่นอน แต่ร่างดวงจิตของมู่เฉินนั้นมีขุมพลังเหมือนกับร่างหลัก!
นี่คือสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนยังทำไม่ได้!
เทพจักรพรรดิอัคคีเงยหน้ามองไปที่ร่างเงาของมู่เฉินในเวลานี้ เขาเบ้ปากถอนหายใจในใจ “ไม่คิดว่าชายหนุ่มจะประสบความสำเร็จในการฝึกได้จริงๆ…”
“หลายหมื่นปีต่อมา ในที่สุดวิชาสามพิสุทธิ์ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง”
เขารู้อยู่ในเรื่องที่มู่เฉินได้รับมรดกของจักรพรรดิฟ้า รวมถึงวิชาสามพิสุทธิ์ที่เป็นคัมภีร์ระดับเสินทงขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่าในตำนาน นี่ไม่ใช่สิ่งที่ใครๆ ก็สามารถฝึกฝนได้ แต่มู่เฉินทำสิ่งนี้สำเร็จ
เมื่อมองไปที่เงาทั้งสามเซียวเหยียนก็หันไปมองจักรพรรดิสัประยุทธ์ตามด้วยเสียงหัวเราะ ทำเอาใบหน้าอีกฝ่ายอดกระตุกไม่ได้
“ดูเหมือนว่าปาฏิหาริย์ยังคงปรากฏในตอนท้ายเสมอ… ฮ่าๆ ข้าต้องขอบคุณจักรพรรดิสัประยุทธ์แทนมู่เฉินกับรางวัลใหญ่ครั้งนี้ด้วย”
บทที่ 1262 พลังอำนาจวิชาสามพิสุทธิ์
ปัง!
ร่างหลิงจั้นจื่อทะยานออกจากหลุม จากนั้นก็มองไปยังมู่เฉินด้วยความไม่อยากเชื่อ
เขาไม่เคยคิดว่าในวิกฤตสุดท้ายมู่เฉินจะปลดปล่อยคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตออกมาได้เช่นนี้!
สายตามองข้ามเส้นขอบฟ้าก่อนที่ดวงตาจะหยุดลงตรงไหล่ร่างสีม่วงทอง ฉับพลันรูม่านตาของเขาก็หดลง
นั่นเป็นเพราะภายใต้ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำมีเงาร่างสามร่างที่มีรูปลักษณ์เหมือนกันอยู่บนไหล่ร่างสีม่วงทอง!
มู่เฉินสามคน!
“ร่างดวงจิต?”
หลิงจั้นจื่ออุทานด้วยความไม่เชื่อ แต่ไม่ช้าเขาก็ลบล้างสิ่งนี้ออกไป เนื่องจากเขาสามารถรู้สึกได้ว่าความผันผวนของคลื่นหลิงจากเงาสีดำและสีขาวไม่ได้อ่อนแอไปกว่าร่างหลักอย่างมู่เฉิน!
เป็นไปไม่ได้ที่ร่างดวงจิตจะบรรลุถึงระดับนั้น
แต่ถ้าพวกเขาไม่ได้เป็นร่างดวงจิต แล้วพวกเขาจะเป็นอะไร? ตอนนี้แม้แต่หลิงจั้นจื่อยังรู้สึกสมองว่างเปล่าไปหมดแล้ว
ขณะที่ผู้คนนับไม่ถ้วนกำลังตกตะลึง มู่เฉินในชุดสีขาวก็ก้มมองหลิงจั้นจื่อด้วยรอยยิ้มบาง “คิดจะแย่งป้ายสัประยุทธ์…”
มู่เฉินในชุดสีดำยิ้มแจ่มใสพูดต่อ “เจ้าถามพวกข้ารึยัง?”
“แกสองคนเป็นใคร! ที่นี่ไม่อนุญาตให้มีคนมาช่วยจากภายนอก!” ใบหน้าของหลิงจั้นจื่อเขียวคล้ำขณะที่พูด
เขาไม่สามารถยืนยันตัวตนของมู่เฉินชุดดำและชุดขาวได้ ดังนั้นเขาจึงบอกได้แค่ว่าพวกเขาเป็นความช่วยเหลือจากภายนอก… หรือว่าจะเป็นพี่น้องฝาแฝด?
เผชิญหน้ากับคำพูดของหลิงจั้นจื่อ มู่เฉินชุดดำและชุดขาวก็ยิ้มแล้วเหยียดมือออกแล้ววางลงบนไหล่ของมู่เฉิน ทันใดนั้นคลื่นหลิงไร้ขอบเขตในร่างกายก็หลั่งไหลเข้าไปในร่างของมู่เฉิน
เมื่อคลื่นหลิงเทเข้ามาในร่าง ม่านตาที่หมองหม่นของมู่เฉินก็แวววาวขึ้นพร้อมกับคลื่นหลิงผันผวนทรงพลังที่ค่อยๆ กำจายออกมาจากร่างของเขา
เมื่อสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงที่พลุ่งพล่านภายในร่างกาย มู่เฉินก็ยืนขึ้นมองหลิงจั้นจื่อที่กำลังตกตะลึงด้วยรอยยิ้มอ่อน “ดูเหมือนว่าแกไม่ใช่คนหัวเราะตอนจบนะ”
“แก!”
หลิงจั้นจื่อมองไปที่มู่เฉินที่ฟื้นพลังอย่างรวดเร็วด้วยความไม่อยากเชื่อ นั่นเป็นเพราะพลังงานในร่างกายของผู้อื่นอัดแน่นไปด้วยเจตจำนงของเจ้าของ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะถูกดูดซับและใช้โดยผู้อื่น ทว่ามู่เฉินสามารถดูดซับคลื่นหลิงจากพรรคพวกทั้งสองเพื่อเติมเต็มตนเอง
นั่นหมายถึงว่าทั้งสามคนเป็นหนึ่งเดียว
พวกเขาไม่ได้มาจากภายนอก แต่เป็นสิ่งที่มู่เฉินสร้างขึ้น!
“แต่…เป็นไปได้ยังไง?” หลิงจั้นจื่อยังคงไม่เชื่อกับความจริงข้อนี้ ด้วยทักษะนี้หมายความว่ามู่เฉินสามารถแยกตัวออกเป็นสามคน โดยที่ทั้งสามคนมีขุมพลังเหมือนกันหรือ? หากเป็นเช่นนี้ถ้าใครต่อสู้กับมู่เฉิน ก็จะเท่ากับการเผชิญหน้ากับมู่เฉินที่ทรงพลังสามคนรึ?
แค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ทำเอาหลิงจั้นจื่อปวดกบาล มู่เฉินแค่คนเดียวเขาก็ตึงมือไปหมดแล้ว แต่นี่มีมู่เฉินถึงสามคน เขาจะจัดการกับไอ้ตัวพวกนี้อย่างไร?
แม้อารมณ์จะแปรปรวน หลิงจั้นจื่อก็หายใจลึกๆ เพื่อระงับอารมณ์ “ไม่คิดว่าแกจะยังคงมีไพ่ตายที่น่าตกใจอยู่บนในแขนเสื้อ… แต่ไม่รู้ว่านี่ดูปลอมและฉูดฉาดเกินไปหรือไม่!”
ไพ่ตายใบนี้น่ากลัวเกินกว่าจะยอมรับได้ ดังนั้นหลิงจั้นจื่อไม่มีทางเลือกนอกจากสงสัยว่ามู่เฉินกำลังเล่นเหลี่ยมอะไรกับเขาและพยายามข่มขู่คู่ต่อสู้ให้ยอมแพ้
สามมู่เฉินแลกเปลี่ยนสายตา รอยยิ้มประหลาดยกขึ้นบนริมฝีปาก “งั้นก็ต้องให้แกมาช่วยตรวจสอบหน่อยแล้วล่ะ”
ตู้ม!
หลังจากพวกเขาพูดจบก็เร้าพลังออกมาในเวลาเดียวกัน ร่างกลายเป็นลำแสงสามสายพุ่งเข้าหาหลิงจั้นจื่อ
เมื่อเห็นทั้งสามคนทะยานเข้ามา หลิงจั้นจื่อก็ไม่กล้าลังเล เขาผลักฝ่ามือออกไป คลื่นหลิงบรรจบกันในฝ่ามือราวกับพายุกลายเป็นมังกรคลื่นหลิงพุ่งเข้าหามู่เฉินทั้งสาม
ครืน!
มู่เฉินชุดดำและชุดขาววาดกระบวนท่าในเวลาเดียวกัน ผลึกคลื่นหลิงกวาดออกไป จากนั้นก็ปะทะกับมังกรคลื่นหลิง
ปัง!
ทั้งสองฝ่ายปะทะกันผลึกคลื่นหลิงก็แตกกระจาย ทำลายกระบวนท่าของหลิงจั้นจื่อ
“อะไรน่ะ?!”
เมื่อเห็นว่ากระบวนท่าถูกลบล้างไปทันที หลิงจั้นจื่อก็ตกใจ แม้ว่ามู่เฉินจะมีกลยุทธ์มากมาย แต่ก็ยังเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น ก่อนหน้านี้ที่พวกเขาดวลกันก็เป็นมู่เฉินที่ยากลำบากในแง่ของพลังงาน แต่เมื่อปะทะกันตอนนี้คนที่ลำบากกลับเป็นเขา
“บ้าเอ้ย นี่เป็นไปได้ยังไง?! แม้ว่าไอ้ชุดดำชุดขาวจะมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกมันจะมาร่วมมือกันลบล้างการโจมตีของข้าได้อย่างง่ายแบบนี้!”
หลิงจั้นจื่อเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายระยะปลายสุด ไม่ต้องพูดถึงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสองคน ต่อให้เพิ่มอีกหลายคนก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเผชิญหน้ากับเขา แต่ตอนนี้เพียงมู่เฉินสองคนก็ทำสำเร็จ ทำให้เขาเสียเปรียบไป
“อย่าเพิ่งฟุ้งซ่านไปตอนนี้”
ขณะที่หลิงหลิงจั้นจื้อสติหลุด เสียงหัวเราะเบาๆ ก็ดังก้องจากด้านหลัง ร่างหลักมู่เฉินปรากฏตัวขึ้น เขาเหวี่ยงหมัดเรียบง่ายออกไป
“หมัดปีศาจพลีชีพ!”
คลื่นหลิงระเบิดออกทันทีพร้อมกับรัศมีเสียสละตนเองที่ทำให้หลิงจั้นจื่อรู้สึกว่าหนังหัวด้านชาไปหมด ทว่าเขาก็ไม่ได้ตื่นตระหนกมาก เขากระแทกฝ่ามือออกไปพร้อมกับคลื่นหลิงไร้ขอบเขต ก่อนหน้านี้ต้องใช้มู่เฉินสองคนเพื่อทำลายการโจมตี แต่ตอนนี้มีมู่เฉินแค่คนเดียว
ปัง!
กำปั้นและฝ่ามือซัดกัน คลื่นหลิงรุนแรงที่สร้างหายนะก็กวาดออก แต่ทันทีที่ปะทะก็ทำให้ใบหน้าของหลิงจั้นจื่อเปลี่ยนไปอย่างมาก เนื่องจากเขารู้สึกว่ามู่เฉินแข็งแกร่งกว่าเดิมมาก!
คลื่นกระแทกกวาดออกไป ร่างของมู่เฉินก็สั่นไหวก่อนจะถอยกลับไปหลายก้าว ส่วนหลิงจั้นจื่อถึงกับสะบักสะบอมก้าวไปหลายสิบก้าวเลยทีเดียว ทิ้งรอยเท้าลึกลงไว้บนพื้นทุกย่างก้าว
“แก! แกแข็งแกร่งขึ้นแบบนี้ได้ยังไง?!” หลิงจั้นจื่อมองไปที่ร่างหลักของมู่เฉินด้วยความหวาดผวา คลื่นหลิงของมู่เฉินแข็งแกร่งขึ้นหลายเท่าจากตอนเริ่มการต่อสู้!
มู่เฉินยิ้ม หลังจากที่ร่างรองของเขามาถึง พวกเขาก็สร้างการเชื่อมโยงเข้าด้วยกันเพื่อให้หนึ่งในนั้นสามารถปลดปล่อยพลังของทั้งสามคนรวมกันได้ บวกกับที่ร่างหลักและร่างรองของเขาเชื่อมต่อกันในระดับลึกการขยายคลื่นพลังก็ยิ่งน่าตกใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวที่จะปะทะกับหลิงจั้นจื่อในแง่ของคลื่นพลังงานอีกต่อไป
ตู้ม!
ทว่าไม่จำเป็นที่มู่เฉินต้องบอกอะไรกับหลิงจั้นจื่อ เมื่อคิดมู่เฉินทั้งสามก็กระโจนออกมาพร้อมด้วยคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขต ห่อหุ้มหลิงจั้นจื่อเอาไว้
แม้ว่าหลิงจั้นจื่อจะใช้ทุกอย่างที่มี แต่เขาก็ยังต้องถอยจากการต่อสู้กับมู่เฉินทั้งสามอย่างต่อเนื่อง ทำให้ดูน่าอนาถและเสียเปรียบนัก
ปัง!
การปะทะกันของคลื่นพลังงานเกิดขึ้นอีกครั้ง หลิงจั้นจื่อกระเด็นออกไป ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปรุนแรง ก่อนที่เขาจะตะเบ็งเสียงลั่น “หลิงเจี้ยนจื่อ หลิงหลงจื่อมาช่วยข้าตอนนี้เลย!”
ในเวลานี้เขาไม่สนใจกับชื่อเสียงแล้ว เขาได้แต่หวังว่าหลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อจะมารวมพลังจัดการกับมู่เฉินร่วมกับเขาได้
เมื่อหลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อได้ยินเสียงแผดลั่น ใบหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป จากนั้นกัดฟันเตรียมจะพุ่งไปให้ความช่วยเหลือ เพราะพวกเขารู้ว่าถ้าหลิงจั้นจื่อแพ้ พวกเขาก็จะไม่สามารถขัดขวางมู่เฉินได้
ทว่าซูมู่และฉู่เหมินก็เข้ามาขัดขวางทันควัน เมื่อพวกเขากำลังจะไปช่วย
“ฮ่าๆ ถามพวกข้ายังว่าจะให้ไปรึเปล่า?” ซูมู่และฉู่เหมินรู้สึกดีจนแทบบ้า เนื่องจากก่อนหน้านี้พวกเขาถูกทั้งสองเยาะเย้ย แต่เมื่อเห็นสถานะปัจจุบันพวกเขาก็รู้สึกสะใจอย่างมาก
หลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อไม่ได้พูดอะไร แต่การโจมตีดุเดือดขึ้นทันที ตอนนี้พวกเขาไม่สนใจที่จะเก็บงำปล่อยไพ่ตายทั้งหมดออกมา ทำให้สามารถปราบซูมู่และฉู่เหมินไว้ แต่ทั้งสองก็กัดฟันรับแรงกดดันพยายามขัดขวางแม้จะต้องจ่ายด้วยราคาบาดเจ็บหนัก
อีกฝั่งสถานการณ์ของหลิงจั้นจื่อก็อันตรายอย่างยิ่ง
ตู้ม!
พายุคลื่นหลิงกวาดออกไป เส้นผมของหลิงจั้นจื่อยุ่งเหยิงไปหมด รอยเลือดไหลออกมาจากมุมปาก ขณะเขามองไปที่มู่เฉินทั้งสามที่ย่างสามขุมเข้ามาหา ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำทันที คล้ายกับสัตว์ที่ถูกบีบให้จนมุม
“มู่เฉิน ต่อให้วันนี้ข้าจะต้องพ่ายแพ้ ข้าก็ไม่ยอมให้แกมีช่วงเวลาดีๆ แน่!”
หลิงจั้นจื่อคำราม ริ้วโหดเหี้ยมวาววับในดวงตา เขากัดลิ้นเลือดกลั่นพุ่งออกมา ก่อตัวเป็นเปลวไฟสีแดงเข้มห่อหุ้มเขาไว้
ฟู่ ฟู่!
เปลวไฟเหล่านั้นจุดชนวนเลือดในร่างกายอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างเขาลุกโชติช่วง คลื่นหลิงรุนแรงพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าราวกับสัญญาณควัน
“จุดชนวนแก่นเลือด?”
สายตาของมู่เฉินกะพริบกับฉากตรงหน้า หลิงจั้นจื่อเป็นคนที่โหดเหี้ยมไม่เพียงแต่กับศัตรู แต่กลับตนเองก็เช่นกัน การที่เขาจุดชนวนแก่นเลือดก็หมายความว่าจะใช้เวลาอีกนานสำหรับเขาที่จะกู้คืนสภาพเดิม นอกจากนี้ยังทิ้งผลกระทบไว้เบื้องหลัง ขัดขวางการพัฒนาในอนาคต
“มู่เฉิน แกต้องออกจากสนามรบไปกับข้า! ตำแหน่งนี้จะต้องเป็นของตำหนักซีเทียนเท่านั้น!”
หลิงจั้นจื่อหัวเราะราวกับคลุ้มคลั่ง เขาละทิ้งชีวิตเพื่อลากมู่เฉินออกจากสนามรบ เมื่อถึงเวลานั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับหลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อที่จะเอาชนะซูมู่และฉู่เหมิน
ตู้ม!
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตครางกระหึ่มรอบร่างหลิงจั้นจื่อก่อตัวเป็นพายุทอร์นาโด เขาดูราวกับเทพปีศาจ สายตาจับจ้องไปที่มู่เฉิน ทันใดนั้นเขาก็วาดตราประทับแล้วซัดหมัดออกมา
“วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเต็ม หมัดจักรพรรดิสัประยุทธ์!”
เมื่อเขาเหวี่ยงกำปั้นออกไป ท้องฟ้าก็มืดมิด กระทั่งเหล่าผู้ชมในจัตุรัสยังมีสีหน้าเปลี่ยนไปมาก หมัดนั่นเป็นกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของหลิงจั้นจื่อ นอกเหนือจากการใช้ร่างเทห์สวรรค์!
เห็นได้ชัดว่าหลิงจั้นจื่อถูกบีบเข้ามุมอับแล้ว
ทว่าขณะที่หลายคนเปลี่ยนสีหน้า พวกเขาก็เห็นมู่เฉินซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าหลิงจั้นจื่อส่งเสียงหัวเราะก้องฟ้า จากนั้นก็ก้าวออกมาขณะที่ร่างรองทั้งสองถอยกลับไป แม้ว่าการเคลื่อนไหวจะดูสบายๆ แต่พวกเขาก็สร้างค่ายที่ลึกซึ้งขึ้นทันที
มู่เฉินก้าวไปข้างหน้า ราวกับเมินเฉยต่อหมัดของหลิงจั้นจื่อ เสียงเขาดังก้องท่ามกลางพายุที่กวาดล้างฟ้าดิน
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ให้แกเป็นคนแรกที่เสียสละทดลองค่ายกลรบสามกำลังซะเลย!”
บทที่ 1263 ผู้ชนะเลิศ
ตึง!
หลิงจั้นจื่อเหวี่ยงหมัดออกมา คลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็มารวมตัวกัน ก่อร่างเป็นกำปั้นขนาดหมื่นจั้ง อำนาจยิ่งใหญ่ตระการตาสั่นสะเทือนสวรรค์และโลก
ขณะที่แย็บหมัด ใบหน้าของหลิงจั้นจื่อก็ซีดลงทันที แต่มีความภาคภูมิใจพล่านอยู่ในสายตา เพราะพลังที่อยู่เบื้องหลังกำปั้นนี้มาถึงขีดสุดของเขาแล้ว
การโจมตีครั้งนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายระยะปลายสุดยังต้องหลีกเลี่ยง!
“หลังจากกำปั้นนี้แล้ว แม้ว่าข้าจะหมดเรี่ยวแรงต่อสู้ ข้าก็จะลากมู่เฉินออกจากสนามรบด้วย ในเวลานั้นตำแหน่งก็ยังจะเป็นของตำหนักซีเทียน ข้าเชื่อว่าอาจารย์จะชดเชยความสูญเสียให้อย่างแน่นอน”
สายตาของหลิงจั้นจื่อวูบไหว เขารู้ว่าตนเองไม่สามารถได้รับชัยชนะเหนือกว่ามู่เฉินได้ต่อไป สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือเสี่ยงชีวิตลากมู่เฉินออกจากสนามรบไปพร้อมกัน ในกรณีนี้เขาจะสามารถกำจัดศัตรูที่หลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อไม่สามารถเผชิญได้
หากเขาประสบความสำเร็จก็จะมีส่วนสำคัญมาก ในเวลานั้นจักรพรรดิสัประยุทธ์ไม่เพียงแต่จะไม่ตำหนิ ยังจะมอบรางวัลให้สำหรับการกระทำของเขา
ด้วยความคิดนี้ หลิงจั้นจื่อก็มองมู่เฉินอย่างเย็นชา แต่เขากลับเห็นว่ามู่เฉินไม่แสดงอาการหลบหลีก ความเย้ยหยันเยือกเย็นก็ผุดขึ้นที่มุมปาก
“ไอ้ยโส คิดว่าชัยชนะอยู่ในมือตัวเองแล้วรึ?”
เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาเยาะเย้ย มู่เฉินก็ไม่ได้สนใจอะไร เนื่องจากเขาสัมผัสได้ว่าเมื่อมีการสร้างค่ายกลรบสามกำลังขึ้น มู่เฉินชุดดำและชุดขาวก็ตัวสั่นสะท้านและรัศมีจั้นยี่เชี่ยวกรากรุนแรงพวยพุ่งสูงขึ้นบนท้องฟ้า ก่อนที่จะขยายขอบเขตเป็นมหาสมุทรไร้ที่สิ้นสุดเหนือท้องฟ้า
รัศมีจั้นยี่แข็งแกร่งกว่ากองทัพสังหารวิญญาณและกองทัพดับปีศาจรวมตัวกันซะอีก!
“รัศมีจั้นยี่ของสองคนกลับแข็งแกร่งกว่ากองทัพชั้นยอดทั้งสองซะอีก ค่ายกลรบสามกำลังลึกซึ้งอย่างแท้จริง” ดวงตาของมู่เฉินเปล่งประกายด้วยความดีใจ พลังของค่ายกลรบนี้เกินความคาดหมายของเขาไปไกล
ด้วยความปีติยินดีเต็มหัวใจ มู่เฉินก็หัวเราะเสียงดังลั่น เขามองกำปั้นขนาดมหึมาที่ห่อหุ้มเข้ามา มือข้างหนึ่งก็วาดตราประทับขึ้น
ฟู่ ฟู่!
เมื่อตราประทับสร้างขึ้น มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ก็คำรามลั่น ชั่วขณะต่อมาทุกคนก็ต้องตกใจที่เห็นมือขนาดใหญ่เอื้อมคว้าออกมาจากมหาสมุทร
นี่เป็นมือที่มีขนาดใหญ่กว่ากำปั้นของหลิงจั้นจื่อเสียอีก นอกจากนี้สิ่งที่น่าตกตะลึงที่สุดก็คือมันปกคลุมด้วยลวดลายจั้นเหวินนับไม่ถ้วน
“นั่นคือ…วิญญาณสงคราม?!”
หลิงจั้นจื่ออุทานด้วยความไม่อยากเชื่อ ดวงตาถึงกับหดลง นั่นเป็นเพราะขณะนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้กองทัพทั้งสองที่มี ดังนั้นพลังการต่อสู้ที่ทรงพลังนี้มาจากที่ไหนกัน?
สายตาหวาดผวามองไปที่มู่เฉินอีกสองคน แล้วก็ตระหนักได้ว่ารัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตนั่นมาจากทั้งสอง
“เป็นไปได้ยังไง?! เขาบัญชารัศมีจั้นยี่ของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นได้ยังไง?!”
ใบหน้าของหลิงจั้นจื่อราวกับเห็นผี ทุกคนรู้ว่ายิ่งผู้ฝึกมีพลังมากขึ้น รัศมีจั้นยี่ที่เกิดขึ้นก็จะยิ่งทรงพลัง ทำให้ยากที่จะควบคุมมากนัก
การที่จะสั่งรัศมีจั้นยี่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นเป็นสิ่งที่มีเพียงเชียนวั่นเหวินจั้นเจิ้นซือเท่านั้นที่สามารถทำได้ แต่มู่เฉินไม่ได้อยู่ในระดับนั้นอย่างชัดเจน ไม่อย่างนั้นไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น แต่แม้กระทั่งจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ยังต้องหวาดกลัว
ครืน!
เผชิญหน้ากับความหวาดผวาของอีกฝ่าย มู่เฉินไม่คิดจะอธิบายใดๆ ก่อนที่ฝ่ามือจะกวาดลงมา อึดใจกำปั้นของหลิงจั้นจื่อก็ถูกคว้าโดยฝ่ามือภายใต้สายตาตกตะลึงของผู้คนทั้งหมด
พลังสองสายปะทะกัน ทว่าฝ่ามือไม่ได้ขยับเขยื้อนแต่เริ่มบีบแน่น กำปั้นครอบคุลมไปด้วยรอยแตกก่อนที่จะระเบิด
ใบหน้าของหลิงจั้นจื่อเปลี่ยนเป็นซีดเผือด ความสิ้นหวังวาบขึ้นในดวงตา เขาไม่เคยคิดเลยว่าการโจมตีเสี่ยงชีวิตของตนจะถูกทำลายอย่างง่ายดายโดยมู่เฉิน
คลื่นกระแทกทรงพลังกวาดออก มู่เฉินไม่แม้แต่จะกะพริบตา เขาสะบัดแขนเสื้อ มือใหญ่โตที่หม่นแสงลงเล็กน้อยก็เคลื่อนไหว พุ่งทะยานไปยังทิศทางของหลิงจั้นจื่อ
ก่อนที่ฝ่ามือจะกดลงบนพื้นดิน แผ่นโลกก็ทรุดตัวลงแล้ว
ความผันผวนที่น่าสะพรึงบีบกดลงมา ทำให้หลิงจั้นจื่อฟื้นคืนจากอาการตื่นตะลึง ร่างกายของเขาเย็นเยือก เขารับรู้ได้ว่ามู่เฉินไม่มีท่าทางที่จะหยุด ถ้าเขาปะทะกับกระบวนท่านี้ได้ตายคาที่แน่!
ขณะที่ความตายคืบคลานในหัวใจ หลิงจั้นจื่อก็เผยความกลัวในสายตา
ตู้ม!
แต่ขณะที่ฝ่ามือนั่นกำลังจะขยี้ลงมา ทันใดนั้นมิติก็แตกออกรอบตัวหลิงจั้นจื่อ ก่อตัวขึ้นเป็นรอยแตกมิติกลืนกินเขาเข้าไป
เมื่อรอยแยกมิติดูดร่างหลิงจั้นจื่อเข้าไป ป้ายสัประยุทธ์ก็บินออกมาพร้อมกับคลื่นละเอียดห่อหุ้มมือขนาดใหญ่ ทำให้มันแตกเป็นเกลียวแสงทันที
สีหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยกับฉากนี้ นอกจากจักรพรรดิสัประยุทธ์จะมีใครเล่าที่จะช่วยหลิงจั้นจื่อและทำลายการโจมตีของเขาได้
เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์ไม่เต็มใจที่จะเห็นศิษย์เอกตายคามือมู่เฉิน
ณ จัตุรัสใบหน้าของจักรพรรดิสัประยุทธ์มืดครึ้ม มิติแตกออกที่เบื้องหน้า ก่อนที่ร่างหลิงจั้นจื่อจะกลิ้งออกมา
เมื่อเห็นฉากนี้ความปั่นป่วนก็ระเบิดออกมา เนื่องจากทุกคนรู้ว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์เป็นคนช่วยชีวิตหลิงจั้นจื่อเอาไว้
“ไม่ได้เรื่อง!” จักรพรรดิสัประยุทธ์มองหลิงจั้นจื่ออย่างโกรธเกรี้ยว เขาไม่คิดว่าลูกศิษย์คนนี้ที่เขาให้ความหวังสูงจะพ่ายแพ้น่าอนาถ มิหนำซ้ำยังต้องได้รับการช่วยเหลือให้รอดด้วยซ้ำ
ใบหน้าของหลิงจั้นจื่อซีดเผือดพร้อมกับอาการหดหู่
อย่างไรก็ตามจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ไม่คิดสนใจอีกฝ่ายต่อ ดวงตาเขายังคงจับจ้องไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ เขามองไปที่เงาร่างเหมือนกันทั้งสามพร้อมกับแววตาประหลาดใจ “เล่าลือกันว่าในสมัยโบราณจักรพรรดิฟ้ามีวิชาระดับเสินทงขั้นสุดยอดชื่อว่าสามพิสุทธ์ แต่วิชานี้หายสาบสูญหายไปนับหมื่นปี ไม่คิดว่าจะตกอยู่ในมือของมู่เฉิน เขาช่างโชคดีจริงๆ”
จักรพรรดิสัประยุทธ์เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ซึ่งมีประสบการณ์มาก ดังนั้นหลังจากครุ่นคิดช่วงสั้นๆ เขาก็รับรู้ถึงต้นกำเนิดของร่างพิมพ์ของมู่เฉินได้
ขณะที่พูดเสียงก็ร้อนแรงขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่า วิชาสามพิสุทธิ์เป็นสิ่งที่น่าดึงดูดอย่างยิ่งแม้แต่กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน
“ฮ่าๆ สายตาไม่เลว ตอนที่มู่เฉินได้รับมรดกจากจักรพรรดิฟ้า เทพจักรพรรดิสงครามและข้าก็อยู่ที่นั่น ซ้ำพวกข้ายังได้รับการฝากจากจักรพรรดิฟ้าให้ช่วยดูแลมู่เฉินแทนเขาด้วย” เซียวเหยียนยิ้มบาง
พอได้ยินคำพูดนั่น จักรพรรดิสัประยุทธิ์ก็หัวใจสั่นไหว เขาจะฟังไม่ออกได้อย่างไรว่าเทพจักรพรรดิอัคคีเตือนเขากลายๆ ว่าอย่าได้คิดฉกชิงวิชาสามพิสุทธิ์ของมู่เฉิน มิฉะนั้นจะถือว่าคุกคามทั้งเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม
ในมหาพันภพหากเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามร่วมมือกัน แม้แต่เผ่าโบราณก็ไม่ได้มีช่วงเวลาที่ดี
ดังนั้นไฟที่โหมกระพือในดวงตาของจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ค่อยๆ มอดลง ถึงแม้ว่าวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดจะเยี่ยมปานใด เขาก็ไม่มีวาสนาที่จะได้เพลิดเพลิน ถ้าสร้างความไม่พอใจให้กับเทพจักรพรรดิทั้งสอง
แม้ว่าตอนนี้เทพจักรพรรดิอัคคีจะดูอ่อนโยน แต่จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายแค่ให้หน้าเขา ท้ายที่สุดแล้วพลังของตำหนักซีเทียนยังไม่สามารถต่อกรกับแคว้นหวู่จิ้งฮั่วได้
ขณะที่เซียวเหยียนและจักรพรรดิสัประยุทธ์กำลังสนทนากัน ความโกลาหลก็ระเบิดจากในจัตุรัส ผู้คนถอนหายใจกับผลลัพธ์ที่เกินความคาดหมาย
ใบหน้าของลั่วเทียนเสินก็แดงก่ำ เขารู้สึกไม่เชื่อในเวลานี้ นั่นเป็นเพราะเขาไม่ได้คาดหวังว่าหลิงจั้นจื่อจะแพ้มู่เฉิน
“เขาเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น… หากเขาก้าวเข้าสู่ขั้นปลายละก็ คงไม่มีใครหน้าไหนในขั้นเดียวกันสามารถต่อกรกับเขาได้” ใบหน้าของลั่วเทียนเสินวูบไหวขณะมองเงาร่างของมู่เฉินด้วยสายตาที่ซับซ้อน หลายปีก่อนตอนที่พวกเขาพบกัน เขาไม่เคยคิดเลยว่ามู่เฉินที่อ่อนแอจะก้าวมาเป็นดาวจรัสแสงในช่วงเวลานี้
“สายตาของลั่วหลีดีกว่าตาแก่คนนี้จริงๆ…”
แม้แต่ลั่วเทียนเสินก็ไม่รู้ว่าตนเองพูดประโยคนี้ซ้ำไปกี่ครั้ง
ขณะที่ผู้คนกำลังเผชิญกับความโกลาหลจากความพ่ายแพ้ของหลิงจั้นจื่อ มู่เฉินก็ถอนรัศมีจั้นยี่ออก ยกเลิกค่ายกลรบสามกำลังก่อนที่จะมองไปอีกสองทิศทาง
ตอนนี้หลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อยังคงโรมรันพันตูกับซูมู่และฉู่เหมินที่ถูกปราบปรามอย่างสมบูรณ์
ทว่าพวกเขาก็ต้องตัวสั่นเทาเมื่อสายตาของมู่เฉินถูกส่งมา พวกเขาถอยกลับทันทีมองมู่เฉินด้วยความกลัวและหวาดระแวง
สามมู่เฉินเคลื่อนไหวมองไปที่หลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก “พวกเจ้ายังต้องการสู้อีกเรอะ?”
สายตาจ้องมองอย่างเย็นชาของมู่เฉินสามคน ทำเอาหลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อรู้สึกว่าหัวใจเย็นสะท้านไปหมด ในเมื่อพวกเขาได้เห็นความพ่ายแพ้ของหลิงจั้นจื่อแล้ว ดังนั้นความกลัวที่พวกเขามีต่อมู่เฉินเรียกว่าถึงสุดขีดไปเลยทีเดียว
พวกเขารู้ว่าผลลัพธ์ถูกตัดสินตั้งแต่หลิงจั้นจื่อล้มเหลวแล้ว
“แกสองคนก็แค่โชคดี!”
หลิงหลงจื่อและหลิงเจี้ยนจื่อจ้องซูมู่และฉู่เหมินด้วยความฝืนใจ หากไม่ใช่เพราะมู่เฉินพวกเขาก็จะได้รับชัยชนะในการต่อสู้ในอีกไม่ช้า
พวกเขาแลกเปลี่ยนสายตากัน ก่อนจะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันโยนป้ายสัประยุทธ์ทั้งหมดไว้ถอยออกจากสนามรบไป
เผชิญหน้ากับมู่เฉิน พวกเขาไม่มีความต้องการที่จะต่อสู้เลย
หลังจากเห็นหลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อถอยหนี ซูมู่และฉู่เหมินก็รู้สึกโล่งใจ ก่อนที่จะมองมู่เฉินด้วยสายตาที่ซับซ้อน พวกเขาไม่คิดเลยว่าผู้ช่วยที่พวกเขาได้รับในนาทีสุดท้ายจะดุดันและยังเอาชนะหลิงจั้นจื่อได้
“พี่มู่พิเศษอย่างแท้จริง ครั้งนี้เราเป็นคนที่ได้รับประโยชน์จากเจ้า… ข้าคิดว่าคงมีเพียงคนอย่างพี่มู่เท่านั้นที่สมควรกับตำแหน่ง” ซูมู่และฉู่เหมินเข้าใจสถานการณ์อย่างดี ตำแหน่งมีเพียงหนึ่งเดียว แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่มู่เฉินจะมอบให้กับพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงตั้งใจยอมแพ้ ด้วยสิ่งนี้พวกเขาอาจจะสามารถกระชับความสัมพันธ์กับมู่เฉินได้แนบแน่นขึ้น
เมื่อได้ยินคำพูดของทั้งสอง รอยยิ้มอบอุ่นก็กระจายบนใบหน้าของมู่เฉิน เขาเผยยิ้มสุภาพให้ทั้งสอง “หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าสองคน ผลลัพธ์วันนี้ก็ยากที่จะคาดการณ์”
ขณะที่พูดมู่เฉินก็สะบัดนิ้ว ป้ายสัประยุทธ์ที่หลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อโยนทิ้งไว้ก็บินไปหาทั้งสอง
“ใช้ป้ายเหล่านี้เลือกสมบัติสำหรับตัวเจ้าเพื่อการเดินทางครั้งนี้จะไม่เปล่าประโยชน์”
ในเมื่อทั้งสองฉลาดเลือก มู่เฉินก็ต้องให้ประโยชน์กับพวกเขา
เมื่อเห็นจำนวนป้ายเหล่านั้น ซูมู่และฉู่เหมินก็เปิดเผยท่าทางยินดีปรีดา เนื่องจากพวกเขาสามารถแลกเปลี่ยนสมบัติบางอย่างที่หมายตาเอาไว้
“ขอบคุณความใจกว้างของพี่มู่!”
ทั้งสองไม่ได้มากมารยาท แต่ละคนใช้ป้ายแลกเปลี่ยนสมบัติในคลังสัประยุทธ์อย่างรวดเร็ว
หลังจากที่ใช้ป้ายทั้งหมดเรียบร้อย ร่างของพวกเขาก็เริ่มเลือนหายไปและถูกส่งออกจากสนามรบ
ขณะที่กำลังจะไปทั้งสองก็ประสานมือให้มู่เฉินด้วยรอยยิ้ม “เราขอแสดงความยินดีกับพี่มู่ที่นี่ที่ได้รับตำแหน่งนักรบทวีป”
เมื่อคำพูดสิ้นสุด พวกเขาก็หายไป
เมื่อพวกเขาจากไป มู่เฉินก็รู้สึกโล่งใจก่อนที่จะเห็นว่ามิติแห่งนี้เริ่มบิดเบือน เขารู้ว่านี่คือสัญญาณของการต่อสู้ที่สิ้นสุดลง
ดังนั้นมู่เฉินจึงเงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้ายิ้มบาง “นักรบทวีป… ตอนนี้ข้าตั้งตารอเชียวแหละ”
บทที่ 1264 สนามรบของหญิงสาวสองคน
มิติบิดเบือนถึงขีดสุด
มู่เฉินก็สามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวน เมื่อภาพเบื้องหน้าสว่างขึ้น เขาก็ได้ยินเสียงโห่ร้องดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ
มู่เฉินกวาดสายตาออกไปก็พบว่าตนเองยืนอยู่ในจัตุรัสที่อัดแน่นด้วยความเคารพและสายตาพุ่งตรงมาจ้องมองที่เขา
ตอนที่มู่เฉินเข้าสู่สนามรบไม่มีใครให้ความสนใจเขาเลย ในเวลานั้นมีเพียงเทพจอมยุทธ์ทั้งสาม หลิ่วซิงเฉิน ซูมู่และฉู่เหมินเท่านั้นที่เป็นจุดสนใจของผู้คน
แม้ว่ามู่เฉินจะมีชื่อเสียง แต่ในสายตาหลายคน ผลลัพธ์ของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นที่กล้าไปสู้ในสนามรบขั้นปลายมีทางเดียว นั่นก็คือถูกเตะออกมาราวกับลูกหนัง
ดังนั้นหลายคนจึงมองมู่เฉินอย่างขบขันตอนที่เขาก้าวเข้าสู่สนามรบ
ทว่าใครจะคิดว่าดาวฤกษ์น้อยนี้จะทำให้ทุกคนตกตะลึงกับความไม่เชื่อครั้งแล้วครั้งเล่า
มากจนแม้แต่คนที่มีพลังอย่างหลิงจั้นจื่อยังพ่ายแพ้ให้มู่เฉิน กลายเป็นหินรองเท้าให้มู่เฉินก้าวขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย
ขณะนี้เมื่อทุกคนมองมาที่มู่เฉินอีกครั้ง แม้แต่จอมยุทธ์ชั้นยอดก็ยังรู้สึกหวาดกลัวในใจ เพราะพวกเขารู้ว่าอนาคตของคนอย่างมู่เฉินไม่มีขีดจำกัด มากจนอาจมีความเป็นไปได้ที่จะบรรลุระดับเทียนจื้อจุน
ดังนั้นจึงเป็นการดีที่สุดสำหรับพวกเขาที่จะไม่ไปแหย่สัตว์ประหลาดแบบนี้
สำหรับผู้ที่เข้าร่วมในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายที่สูญเสียตราสัประยุทธ์ให้กับมู่เฉิน ก็ได้แต่ระงับความทุกข์และความเป็นปฏิปักษ์ไว้ในใจ
อย่าได้เป็นศัตรูกับจอมยุทธ์เช่นนี้เลย
เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาที่จ้องมองมาด้วยความเคารพ มู่เฉินก็สงบใจก่อนที่จะมองขึ้นไปบนบันไดก็เห็นร่างผู้ยิ่งใหญ่สองคนพุ่งสายตามายังเขา
สายตาของจักรพรรดิสัประยุทธ์ยังคงไม่แยแสเหมือนเดิม แม้มู่เฉินจะแสดงศักยภาพน่าทึ่งในการต่อสู้ ซ้ำยังได้รับตำแหน่งนักรบทวีปของสนามรบตี้จื้อจุนขั้นปลายด้วย
ความสำเร็จดังกล่าวถือได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์ แต่สำหรับจอมยุทธ์อย่างจักรพรรดิสัประยุทธ์ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงมากได้ เพราะมีจอมยุทธ์อัจฉริยะมากมายในมหาพันภพ แต่ก็มีไม่กี่คนที่สามารถก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนได้
ตราบใดที่มู่เฉินยังไม่ได้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน แม้ว่าจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ไม่มีอะไรในสายตากับคนแบบจักรพรรดิสัประยุทธ์
ทว่าเผชิญหน้ากับสายตาไม่แยแสของจักรพรรดิสัประยุทธ์ มู่เฉินก็ไม่สนใจเพราะเขารู้ว่าจอมยุทธ์ชั้นยอดก็ไม่ใช่ทุกคนที่มีความคิดและสายตากว้างไกลเช่นเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม
นอกจากนี้เขายังไม่ได้แข็งแกร่งพอที่จะให้จอมยุทธ์เทียนจื้อจุนมองเขาอย่างจริงจัง ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องบีบบังคับ เพราะมู่เฉินเชื่อว่าวันหนึ่งเขาจะไปไกลเกินกว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์ รอแค่เพียงเวลาที่จะบรรลุเป้าหมายนั้น
ไม่ได้ใส่ใจกับสายตาของจักรพรรดิสัประยุทธ์ เซียวเหยียนที่อยู่ข้างๆ ก็ยิ้มพยักหน้าให้มู่เฉิน รอยยิ้มช่างพอใจอย่างยิ่ง เพราะตัวเขาเป็นคนแนะนำมู่เฉินให้เข้าร่วมการแข่งขัน แม้ว่าเขาจะไม่คิดว่ามู่เฉินจะประสบความสำเร็จได้เต็มร้อย แต่ผลลัพธ์ก็พิสูจน์ได้ว่าสายตาของเขาไม่ได้แย่
มู่เฉินเคารพเซียวเหยียนมาก ดังนั้นเขาจึงประสานมือโค้งคำนับ “ผู้น้อยคนนี้โชคดีพอที่จะยืนหยัดเป็นคนสุดท้าย ไม่ได้ทำให้ท่านผู้อาวุโสเสียหน้า”
เซียวเหยียนยิ้ม “เจ้าต้องขอบคุณความใจกว้างของจักรพรรดิสัประยุทธ์ เพราะตำแหน่งนักรบทวีปของเจ้ามาจากทวีปซีเทียน”
มู่เฉินยิ้มพยักหน้าหันไปหาจักรพรรดิสัประยุทธ์พลางประสานมือ “ขอบคุณสำหรับความมีน้ำใจของจักรพรรดิสัประยุทธ์”
ริมฝีปากของจักรพรรดิสัประยุทธ์กระตุก เมื่อคิดว่าหนึ่งในสามของตำแหน่งนักรบทวีปจะตกอยู่ในมือของมู่เฉิน เขาก็รู้สึกปวดใจ
นั่นคือนักรบทวีปที่มีโอกาสบรรลุระดับเทียนจื้อจุนของมหาพันภพ!
แม้ว่าจะไม่ใช่นักรบทวีปทุกคนที่สามารถเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน แต่โอกาสของพวกเขาก็สูงกว่าคนอื่น
พิธีชำระล้างเป็นสิ่งที่สามารถทำได้หลังจากรอมาหลายร้อยปี เดิมทีเขาต้องการที่จะมอบให้กับผู้ติดตามที่ซื่อสัตย์ของเขา ซึ่งจะทำให้พลังของตำหนักซีเทียนเพิ่มขึ้น หากมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนปรากฏตัวขึ้นในอนาคต
ดังนั้นจักรพรรดิสัประยุทธ์จะสบายใจได้ยังไงที่มู่เฉินคว้าเอาไป?
แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องกลืนความไม่พอใจลงไป เมื่อปะหน้ากับเทพจักรพรรดิอัคคี หากเขารู้เรื่องนี้ก็คงไม่คิดจะรับยาเทวะมังกรหงส์ตั้งแต่ต้นแล้ว
แม้ว่าเม็ดยาจะมีค่า แต่เมื่อเทียบกับตำแหน่งนักรบทวีปก็ยังด้อยกว่า
ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับคำพูดของมู่เฉิน จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ได้แต่พยักหน้าโดยไร้ซึ่งอารมณ์ใด “ในเมื่อเจ้าชนะด้วยความสามารถที่มี ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูด รอจนกว่าการแข่งขันทั้งหมดจะสิ้นสุดลง ข้าก็จะบอกเจ้าเกี่ยวกับการรับชำระล้าง”
มู่เฉินรู้ว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์รู้สึกไม่พอใจในหัวใจ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ใส่ใจในน้ำเสียง เขาถอยออกจัตุรัสด้วยรอยยิ้ม กลับไปหาลั่วเทียนเสิน
ลั่วเทียนเสินจ้องมองเขาด้วยดวงตาระยิบระยับเป็นเวลานานก่อนที่จะตบไหล่ของมู่เฉินแย้มยิ้ม “ทำได้ดีมาก หลานสาวข้าสายตาดีจริงๆ”
มู่เฉินยิ้มก่อนที่จะจ้องมองลึกซึ้งไปที่ลั่วเทียนเสินบอกเป็นนัยว่าตอนนั้นที่สำนักศึกษาเป่ยชางท่านไม่ได้พูดอย่างนี้น้า
เมื่อเห็นสายตาของมู่เฉิน ลั่วเทียนเสินก็อดไม่ได้ที่จะอึดอัดจนกระแอมไอออกมา “เจ้าจัดการกับเสี่ยหลิงจื่อช่างเป็นบุญคุณใหญ่หลวงกับตระกูลลั่วเสินนัก… ลั่วหลีต้องรู้สึกขอบใจเจ้ามากเช่นกัน”
เมื่อพูดจบสายตาของเขาก็ดิ่งลง ในอดีตบิดาของลั่วหลีก็ตายด้วยน้ำมือเสี่ยหลิงจื่อ เนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัส
มู่เฉินตอบเสียงเบา “เราเป็นครอบครัวเดียวกันไม่ต้องพูดเรื่องพวกนี้หรอก ในอนาคตตระกูลลั่วเสินจะกลับมายิ่งใหญ่ขึ้นอีกครั้งแน่”
ลั่วเทียนเสินระงับอารมณ์พลางพยักหน้า ตระกูลลั่วเสินตอนนี้อยู่ภายใต้การปกครองของลั่วหลีบวกกับนางได้รับมรดกของลั่วเสิน ในอนาคตนางอาจจะกลายเป็นเทพธิดาลั่วคนที่สอง เมื่อถึงเวลานั้นตระกูลลั่วเสินก็จะกลับมาผงาดอีกครั้ง
“อีกสองสนามรบยังไม่มีผลหรือขอรับ?” มู่เฉินเปลี่ยนหัวข้อ
“สนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มจบไปนานแล้ว ผู้ชนะก็ไม่ได้เป็นคนแปลกหน้า เขาคือผู้เฒ่าตงแห่งตำหนักซีเทียน” ลั่วเสินเทียนบอก
“เขารึ?” มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะเดาะลิ้น หากไม่ใช่เขากับลั่วหลีเข้าร่วมการแข่งขัน ตำแหน่งทั้งสามคงตกอยู่ในมือตำหนักซีเทียนทั้งหมดเลยมั้ง?
“แล้วสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นล่ะ?” มู่เฉินถาม
“ยังไม่มีผลลัพธ์ตอนนี้ เพราะมีจอมยุทธ์มากมายเข้าร่วม แต่ก็ไม่ได้น่าสนใจน้อยไปกว่าสนามรบของเจ้าหรอก” พอพูดถึงสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นดวงตาของลั่วเทียนเสินก็โค้งเป็นรอยยิ้ม
“ทำไมรึ?” มู่เฉินถามอย่างสงสัย
“ต่างจากการต่อสู้ชุลมุนในสนามรบของเจ้า ตอนนี้ในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นแบ่งออกเป็นสองค่าย มีจอมยุทธ์นับร้อยคนในแต่ละค่าย… ” ลั่วเทียนเสินกล่าวด้วยดวงตาแคบลงเป็นรอยยิ้ม
“สองค่าย?” มู่เฉินอึ้งไป มีเพียงหนึ่งตำแหน่งเดียวในสนามรบ ดังนั้นทำไมถึงมีสองค่าย? ตำแหน่งจะจัดสรรยังไง?
“ผู้นำค่ายหนึ่งคือหลิงเฟยจื่อ พอนางเข้าสู่สนามรบก็เริ่มสรรหาคนโดยใช้ชื่อของตำหนักซีเทียน เริ่มฉกฉวยแย่งชิงป้ายสัประยุทธ์ของคนจำนวนมาก”
“ภายหลังมีหลายคนเดือดดาลกับการกระทำหลิงเฟยจื่อ พวกเขาเริ่มร่วมมือกัน แต่นั้นก็ยังพ่ายแพ้ต่อหลิงเฟยจื่อหลายต่อหลายครั้ง”
“แต่ในเวลานั้นลั่วหลีก็เริ่มชักชวนผู้คนที่มีเรื่องกินแหนงแคลงใจกับหลิงเฟยจื่อ จัดตั้งค่ายที่ไม่อ่อนแอกว่าขึ้นมา”
ดวงตาของมู่เฉินวูบไหวก่อนที่จะยิ้ม “หลิงเฟยจื่อทำเช่นนี้ก็คงเพื่อจัดการกับลั่วหลี ซึ่งนางจะต้องรู้สึกเช่นกัน ดังนั้นนางจึงนำการโต้ตอบที่คล้ายกันมาใช้”
หลิงเฟยจื่ออคติต่อลั่วหลีตั้งแต่เริ่มต้น ดังนั้นก็เป็นปกติที่นางไม่ต้องการเห็นลั่วหลีเจิดจรัสในสนามรบ ดังนั้นจึงเลือกใช้มาตรการแบบนี้
นอกจากนี้นางน่าจะยังไม่มีความมั่นใจในการจัดการกับลั่วหลี ดังนั้นนางจึงเลือกวิธีการดังกล่าวเพื่อผูกมัดผู้คนเพื่อจัดการแทน
ทว่าลั่วหลีไม่ใช่คนอ่อนแอ หลังจากรับรู้ถึงแผนการของหลิงเฟยจื่อ นางก็เริ่มตอบโต้
แม้ว่าหลิงเฟยจื่อจะใช้ชื่อตำหนักซีเทียนเพื่อดึงหลายคนเข้ามา แต่ก็ประเมินลั่วหลีต่ำเกินไป ลั่วหลีเลือกที่จะหมอบต่ำปล่อยให้หลิงเฟยจื่อวิ่งวนไปรอบๆ ซึ่งทำให้เกิดความไม่พอใจกับผู้อื่น ก่อนที่นางจะเริ่มดึงคนเข้ามา ทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
“ทุกคนคุยกันว่าสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นกลายเป็นเวทีสำหรับหญิงสาวสองไปแล้ว” ลั่วเสินเทียนไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือยิ้มดี การต่อสู้ชุลมุนกลับกลายเป็นการสู้กันระหว่างค่ายของหลิงเฟยจื่อและลั่วหลี
“แต่ดูจากสถานการณ์ก่อนหน้า การต่อสู้ครั้งสุดท้ายก็ใกล้จะถึงแล้ว เพราะตอนนี้นอกเหนือจากสองค่ายนี้ก็ไม่มีใครอยู่ในสนามรบอีกแล้ว”
มู่เฉินพยักหน้าขณะที่กำลังจะพูดนั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นมองหน้าจอขนาดใหญ่เหนือจัตุรัส
ในหน้าจอฉายภาพสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น
ตอนนี้ในสนามรบ ทั้งสองฝ่ายกำลังทะยานขึ้นไปบนภูเขาซึ่งแยกฝั่งกันอย่างชัดเจน
มู่เฉินกวาดสายตาก็อดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นร่างคุ้นเคยยืนอยู่ด้านหน้า นี่เป็นสมรภูมิรบของสตรีสองคนแล้วจริงๆ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น