หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1255-1260
บทที่ 1255 ศึกชี้ชัด
ฮึ่ม ฮึ่ม!
เมื่อซูมู่วาดกระบี่ขึ้นรัศมีกระบี่ที่น่าสะพรึงก็ระเบิดออกอาละวาดไปมาระหว่างสวรรค์และโลก รอยบากที่น่าทึ่งทิ้งไว้ที่ด้านหลัง
เขามองไปที่มู่เฉินด้วยดวงตาวูบไหว ความอบอุ่นที่เคยมีมาก่อนถูกลบออกไปหมดแล้ว
การทูตก่อนความรุนแรง ในเมื่อพวกเขาเจรจากันจบแล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาสำหรับความรุนแรง… เนื่องจากพวกเขาต้องการทดสอบพลังของมู่เฉิน หากมู่เฉินไม่ผ่านการพิจารณา พวกเขาก็จะยึดป้ายสัประยุทธ์กลับมาทันที
ความเท่าเทียมกันระหว่างพวกเขาถูกสร้างขึ้นบนบรรทัดฐานของความแข็งแกร่ง
ถ้ามู่เฉินต้องการได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียม เขาก็ต้องแสดงพลังให้เป็นที่ประจักษ์
มู่เฉินรู้ชัดเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้แสดงสีหน้าไม่พอใจ เพียงแค่พยักหน้าเบาๆ “งั้นโปรดชี้แนะข้าด้วย”
เมื่อเห็นว่าไม่มีความกลัวใดบนใบหน้าของมู่เฉิน ซูมู่ก็พยักหน้าเบาๆ เขาเคยได้ยินชื่อเสียงของมู่เฉินมาก่อน ดังนั้นอีกฝ่ายคงต้องมีความแข็งแกร่งในระดับหนึ่ง
แต่ตอนนี้พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับเทพจอมยุทธ์ ทั้งสามคนนั่นมีชื่อเสียงเลื่องลือในทวีปซีเทียน ดังนั้นพวกเขาจึงต้องตรวจสอบว่ามู่เฉินมีความแข็งแกร่งพอหรือไม่ มิฉะนั้นแม้ว่าพวกเขาปะทะกับทั้งสามคนนั่น มู่เฉินก็จะเป็นคนที่สูญเสียเร็วที่สุด ทำลายแผนการของพวกเขาไป
ถ้าเป็นกรณีนั้นพวกเขายึดป้ายสัประยุทธ์จากมู่เฉินซะยังจะดีกว่า เพื่อแลกเปลี่ยนสมบัติและออกจากสนามรบไป
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ซูมู่ก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เขาดึงกระบี่ออกจากฝักแล้วควงเบาๆ
ฮึ่ม
กระบี่กวัดแกว่ง ระลอกคลื่นก็สั่นสะเทือนทั่วมิติราวกับสายน้ำ อึดใจต่อมากระบี่คมกริบก็ขยายขนาดยาวถึงหนึ่งพันจั้งฉีกท้องฟ้าออกจากกัน ขณะที่พุ่งไปทางมู่เฉิน
กระบี่ดูราวกับแยกสรรพสิ่งออกจากกันได้ เผชิญหน้ากับกระบี่แหลมคมเช่นนี้ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายก็ต้องหลบและไม่กล้าที่จะปะทะตรงๆ
เห็นได้ชัดว่าซูมู่ไม่คิดออมมือในกระบวนท่านี้!
“กระบี่เทพหมาป่าสมชื่อเสียงแท้จริง”
มู่เฉินชื่นชมรัศมีกระบี่ก่อนที่จะสะบัดแขนเสื้อ รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตกวาดตัวออกมาพวยพุ่งสู่ท้องฟ้า กลายเป็นวิญญาณสงครามเต่าดำคำรามลั่นป้องกันเขาเอาไว้
วาบ!
กระบี่พุ่งชนวิญญาณสงครามเต่าดำ มันร้องคำรามพร้อมด้วยรัศมีจ้นยี่ที่พลุ่งพล่าน ขณะที่พยายามปิดกั้นไว้ แต่อึดใจต่อมารัศมีจั้นยี่ที่ไร้ขอบเขตก็ถูกเฉือนออกทิ้งรอยไว้บนร่างวิญญาณสงครามที่เกือบจะแยกออกจากกัน
รัศมีกระบี่ของซูมู่ตัดแนวป้องกันของวิญญาณสงครามเต่าดำได้!
แต่เมื่อทะลุผ่านแนวป้องกันไป กระบี่ก็จางและช้าลง แต่ก็ยังคงทะยานไปหามู่เฉินราวกับว่าจะไม่หยุดจนกว่าจะได้ลิ้มรสเลือด
เมื่อกระบี่ขยายอย่างรวดเร็วในดวงตาของมู่เฉิน กำลังจะเข้าสู่รัศมีหนึ่งร้อยจั้ง ค่ายกลก็ปรากฏรอบตัวมู่เฉิน มังกรเก้าตัวคำรามปล่อยลมปราณออกมาปะทะกับกระบี่
ปัง ปัง!
ดาบพุ่งเข้ามาทำลายลมปราณมังกรอย่างต่อเนื่อง แทงทะลุผ่านค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารมาปรากฏต่อหน้ามู่เฉิน มุ่งหน้าไปที่กึ่งกลางของคิ้ว
“น่าเกรงขามนัก”
เมื่อเห็นว่าแม้แต่วิญญาณสงครามเต่าดำและค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารยังไม่สามารถหยุดกระบี่ของซูมู่ได้ มู่เฉินก็กล่าวชื่นชมก่อนที่ผลึกใสจะสั่นไหวในม่านตาของเขา
วาบ!
เมื่อกระบี่มาถึง ทว่าขณะที่กำลังจะเจาะลงตรงหว่างคิ้วของมู่เฉิน ผลึกแสงก็ยิงออกมาจากหน้าผากของมู่เฉิน ก่อตัวเป็นเจดีย์ผลึกแก้วใสที่งดงาม
กระบี่และเจดีย์ปะทะกันจังใหญ่
เคร้ง!
ภูเขาที่มู่เฉินนั่งอยู่ถูกตัดเป็นก้อนหินน้อยใหญ่นับไม่ถ้วนก่อนที่จะกลิ้งตกลงมา
ผลึกแสงแวววาวโอบล้อมกระบี่ ทำให้กระบี่ค่อยๆ สลายหายไป
เมื่อกระบี่หายไปเจดีย์ผลึกแก้วใสก็กลับไปสถิตในหว่างคิ้วของมู่เฉินเช่นเดิม ก่อนที่เขาจะโบกมือสลายวิญญาณสงคราม จากนั้นก็ยิ้มกว้างให้ซูมู่ “กระบี่เทพหมาป่าคู่ควรกับชื่อเสียงเจ้าจริงๆ”
มู่เฉินไม่ได้โกหก กระบี่เล่มนี้แสดงให้เห็นว่าแม้แต่ในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายซูมู่ก็ยังเป็นจอมยุทธ์ที่ยอดเยี่ยม รัศมีกระบี่นั่นเป็นสิ่งที่กระทั่งวิญญาณสงครามและค่ายกลยังไม่สามารถต้านได้
“กระบี่เล่มนั้นดูเหมือนจะไม่ธรรมดา”
มู่เฉินมองกระบี่ของซูมู่ แม้ว่าจะดูไม่โดดเด่น แต่จากการคาดเดาอาจเทียบเคียงได้กับพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจของมั่นถัวหลัวซึ่งเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นกลางได้เลยทีเดียว
เมื่อเห็นว่ามู่เฉินไม่ได้รับอันตรายอะไร ซูมู่ก็หดตาลงก่อนจะแลกเปลี่ยนสายตากับฉู่เหมิน ต่างก็มองเห็นความเคร่งเครียดในสายตาของกันและกัน
แม้ว่าเพลงกระบี่นี้จะไม่ใช่วิชาที่แข็งแกร่งที่สุดของซูมู่ แต่เขาก็ไม่ได้ออมมือ ทว่าการโจมตียังถูกสกัดได้โดยมู่เฉิน ที่สำคัญที่สุดมู่เฉินยังมีพลังงานเก็บกักเอาไว้อีกด้วย
นั่นหมายความว่ากระบี่ของเขายังไม่เพียงพอที่จะบังคับให้มู่เฉินนำไพ่ตายออกมา สิ่งที่พวกเขาเห็นตอนนี้เป็นเพียงไพ่ที่มู่เฉินเคยเปิดเผยต่อหน้าทุกคนมาแล้วเท่านั้น
ข้อเท็จจริงนี้ทำให้ซูมู่และฉู่เหมินรู้สึกถึงความไม่อาจหยั่งรู้จากมู่เฉิน
“ตอนนี้ข้ามีคุณสมบัติรึยัง?” มู่เฉินมองทั้งสองก่อนจะยืดตัวพลางยิ้ม
ซูมู่พยักหน้า แม้แต่การแสดงออกของฉู่เหมินก็ดูเป็นมิตรมากขึ้น เห็นได้ชัดว่าพลังของมู่เฉินได้รับการยอมรับ
“ไม่น่าแปลกใจที่ชื่อเสียงของพี่มู่เติบโตอย่างรวดเร็ว การได้เห็นด้วยตาตัวเอง ข่าวลือไม่ผิดเลย” ซูมู่และฉู่เหมินเดินเข้ามาหามู่เฉินขณะที่ยิ้มแป้น
มู่เฉินยิ้มตอบอย่างสุภาพก่อนที่จะเปลี่ยนหัวข้อ “ไม่รู้ว่าต่อจากนี้เจ้าทั้งสองวางแผนอะไรไว้บ้าง”
ที่เขาพูดก็คือแผนการจัดการกับเทพจอมยุทธ์ทั้งสาม
ฉู่เหมินแลกเปลี่ยนสายตากับซูมู่ก็พูดว่า “จากการประเมินของพวกเรา เทพจอมยุทธ์น่าจะกำลังกวาดล้างสนามรบอยู่ในตอนนี้ อีกไม่นานก็คงเหลือเพียงพวกเราสามคนที่จะอยู่ในสนามรบแห่งนี้”
“พวกมันคิดจะสู้ศึกสุดท้ายแล้ว” สีหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด เทพจอมยุทธ์ทั้งสามตั้งใจที่จะล้างบางที่นี่ เพื่อจะไม่มีใครหาผลประโยชน์ได้อีก
“ถ้าเราต้องเผชิญหน้ากับพวกมันในการต่อสู้ตัดสิน ใครจะจับคู่กับใคร?” มู่เฉินถามอีกครั้ง
ฉู่เหมินเกาหัวตอบว่า “ตามข้อตกลงที่ทำไว้กับพี่หลิ่ว ข้าจะปะทะกับหลิงหลงจื่อที่มีร่างกายทรงพลัง พวกข้าอยู่บนเส้นทางการฝึกฝนแบบเดียวกัน ดังนั้นน่าจะพอฟัดพอเหวี่ยงกันได้”
“ส่วนพี่ซูจะปะทะกับหลิงเจี้ยนจื่อ เนื่องจากพวกเขาทั้งสองได้รับการยกย่องว่าเป็นเทพกระบี่ที่โด่งดัง มิหนำซ้ำพวกเขายังเป็นศัตรูกันในอดีตด้วย ครั้งนี้พวกเขาตั้งใจจะชำระหนี้แค้นกันทั้งหมด”
ขณะที่พูดฉู่เหมินและซูมู่ก็มองไปที่มู่เฉินอย่างกระอักกระอ่วน หากเป็นในกรณนี้จอมยุทธ์ที่มีอำนาจมากที่สุดในบรรดาสามเทพจอมยุทธ์ซึ่งก็คือหลิงจั้นจื่อจะเป็นหน้าที่ของมู่เฉิน
“ถ้าพี่มู่ไม่ไหว ข้าจะรับมือหลิงจั้นจื่อเอง” ซูมู่ครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนที่จะกัดฟันตอบ
เขารู้ดีว่าหลิงจั้นจื่อทรงพลังเพียงใดในหมู่พวกเขา ขนาดหลิ่วซิงเฉินที่ว่าแน่ยังพ่ายแพ้ให้ ดังนั้นแม้ว่าเขาจะเผชิญหน้ากับหลิงจั้นจื่อก็ไม่มีโอกาสชนะ เขาทำได้เพียงลากเวลาออกไปรอให้มู่เฉินและฉู่เหมินคว้าชัยชนะมาก่อนที่จะพลิกสถานการณ์
หลังจากคิดสักพักมู่เฉินก็ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณสำหรับน้ำใจ แต่ในเมื่อข้าได้รับป้ายสัประยุทธ์ของพี่หลิ่ว ข้าก็ต้องสืบทอดเจตนารมณ์ของเขา”
“นอกจากนี้…ข้าคว้ารางวัลของหลิงจั้นจื่อมา ดังนั้นมันคงไม่ปล่อยข้าไปแน่”
มู่เฉินไม่ได้รับความปรารถนาดีของซูมู่ เขายังไม่เชื่อใจอีกฝ่ายมากนัก เพราะพวกเขากำลังจะดวลเดือดแบบสามต่อสาม ดังนั้นหากมีอะไรเกิดขึ้นกับซูมู่แผนการทั้งหมดก็จะล้มเหลวไม่เป็นท่า นี่คือสิ่งที่มู่เฉินไม่ต้องการเห็น
ถ้าเป็นแบบนี้เขาเป็นคนปะทะกับหลิงจั้นจื่อเองดีกว่า เพราะตรงข้ามกับความกลัวและความไม่สบายใจที่ทั้งสองมี เขาไม่มีความรู้สึกหวาดกลัวหลิงจั้นจื่อแม้แต่น้อยและหวังที่จะต่อสู้กับอีกฝ้าย
เนื่องจากหลิงจั้นจื่อเป็นหินลับมีดชั้นดีสำหรับเขาที่จะทดสอบขีดจำกัดของตน!
เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของมู่เฉิน ซูมู่และฉู่เหมินก็อึ้งไป พวกเขาสัมผัสได้ว่ามู่เฉินไม่มีร่องรอยความกลัวหลิงจั้นจื่อเลยสักนิด
“บางที…เขาอาจจะต่อกรกับหลิงจั้นจื่อได้จริงๆ ล่ะมั้ง?”
ทั้งสองที่รับรู้อารมณ์ของมู่เฉินก็รู้สึกสบายใจ ความคาดหวังเพิ่มขึ้นในใจ
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ เราก็รออยู่ที่นี่ให้การดวลครั้งสุดท้ายมาถึง”
มู่เฉินยิ้มให้ทั้งสองก่อนที่จะทะยานตัวไปนั่งลงบนยอดต้นไม้โบราณ
ซูมู่และฉู่เหมินก็ทะยานขึ้นไปนั่งบนภูเขาสองลูกที่อยู่ใกล้เคียง สายตาของพวกเขาสั่นไหว คลื่นหลิงที่ผันผวนอยู่รอบร่าง แสดงให้เห็นถึงจิตใจที่ไม่สงบ
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ภายใต้การรอคอยของพวกเขาหนึ่งวันก็ผ่านไป
ต่อให้นั่งเงียบอยู่ที่นี่ ทว่าทั้งสามก็รู้สึกได้ว่าทั่วมิติว่างเปล่าและเงียบสงบกว่าเดิม เห็นได้ชัดว่าสนามรบแห่งนี้ถูกกวาดล้างเรียบร้อยแล้ว
เมื่อดวงอาทิตย์ลุกโชติช่วงพุ่งขึ้นบนขอบฟ้า แสงอาทิตย์ส่องลงมาดวงตาของมู่เฉิน ซูมู่และฉู่เหมินก็เปิดออก
พวกเขาเงยหน้ามองไปทางท้องฟ้าทิศตะวันตก ทันใดนั้นมิติก็บิดเบี้ยว ร่างแสงสามร่างพุ่งผ่านขอบฟ้าทะยานเข้ามา
พริบตาเงาทั้งสามก็มาปรากฏห่างออกไปหมื่นจั้งจากพวกเขาทั้งสาม
เมื่อมองไปที่เงาร่างเหล่านั้นพวกมู่เฉินก็ยืนขึ้นช้าๆ ประจันหน้ากับศัตรูทั้งสาม
ขณะนี้แม้แต่ท้องฟ้ายังมืดมิดลง
บทที่ 1256 พลังอำนาจของหลิงจั้นจื่อ
เงาจอมยุทธ์ทั้งหกยืนประจันหน้ากันในฟ้าดินกว้างใหญ่
พายุทรงพลังกวาดไปทุกทิศทาง ทำให้ท้องฟ้าถึงกับส่งเสียงครวญครางเบาบาง
แรงกดดันอันทรงพลังปกคลุมสวรรค์และโลก ทำให้บรรยากาศตึงเครียดจนถึงจุดที่แม้แต่เสียงโห่ร้องในจัตุรัสยังเงียบลงทันที
ทุกคนพุ่งมองไปที่หน้าจออย่างตื่นเต้น เนื่องจากพวกเขารู้ว่าหลังจากผ่านการคัดออกไปหลายครั้ง สนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายก็มาถึงเวลาตัดสิน หนึ่งในหกคนนี้จะได้รับฉายานักรบแห่งทวีปไป
แต่เห็นได้ชัดว่าคนส่วนใหญ่โอนเอียงไปทางเทพจอมยุทธ์ทั้งสาม เพราะไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงหรือความสำเร็จ พวกเขาก็เหนือกว่าพวกมู่เฉิน
สำหรับมู่เฉินที่แทนตำแหน่งหลิ่วซิงเฉิน พวกเขาแค่คิดสั้นๆ และรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่มู่เฉินจะเผชิญหน้ากับหลิงจั้นจื่อแม้ว่าจะมีไพ่ตายไม่น้อย เพราะขนาดหลิ่วซิงเฉินยังแพ้ให้หลิงจั้นจื่อเลย
ดูเหมือนว่าแค่ตัดสินจากการรวมตัว เทพจอมยุทธ์ทั้งสามคนก็ชนะขาดแล้ว
“เฮ้อ… ดูเหมือนว่าพวกเขาสามคนจะกลับมามือเปล่าแล้ว” บางคนถอนหายใจ เทพจอมยุทธ์ตำหนักซีเทียนทรงพลังเกินไปและหาที่เปรียบไม่ได้ท่ามกลางจอมยุทธ์ขุมพลังเดียวกัน
“สรรพสิ่งในโลกล้วนไม่แน่นอน ใครจะรู้ว่าอาจมีเรื่องคาดไม่ถึงเกิดขึ้นก็ได้… มีเรื่องเหนือคาดมากมายเกิดในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายแห่งนี้แล้ว” แต่ก็มีคนที่มีมุมมองอื่นและไม่คิดว่าเทพจอมยุทธ์จะเป็นฝ่ายชนะแน่นอน เพราะต่อให้เทพจอมยุทธ์จะทรงพลัง แต่พวกมู่เฉินก็ไม่ใช่ว่าจะจัดการได้ง่ายๆ
“แต่ไม่ว่าอย่างไรการต่อสู้ครั้งนี้คงจะต้องเข้มข้นถึงใจ… แค่ไม่รู้ว่าใครจะเป็นคนสุดท้ายที่ยืนหยัด”
ประโยคนี้ทำให้เหล่าผู้ชมสะท้อนไปด้วย เพียงแค่ความจริงที่ทั้งหกคนสามารถอยู่จนถึงวินาทีนี้ก็พิสูจน์ได้ว่าพวกเขาโดดเด่นขนาดไหน
บนท้องฟ้า
สายตาหกคู่จ้องมองกันพร้อมกับรัศมีเย็นเยือกเจาะกระดูกกำจายออกมา
“ฮ่าๆ ลูกหนูสามตัวมารวมกันที่นี่แล้วสินะ?”
หลิงเจี้ยนจื่อเอ่ยทำลายความเงียบขณะมองศัตรูคล้ายกับนักล่ามองเหยื่อ
“อย่าคิดว่าตัวเองเป็นนักล่าเสมอไป นอกจากนี้แม้แต่นักล่าก็ยังมีโอกาสถูกเหยื่อกัดตาย” ซูมู่ยกเปลือกตาขึ้นมองหลิงเจี้ยนจื่อเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็นชา
“โอ้? จริงเหรอ?”
หลิงเจี้ยนจื่อยักไหล่ ยิงฟันแสยะยิ้ม “ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็หักแขนขาของเหยื่อซะให้กุด เพื่อที่พวกมันจะไม่มีแรงตอบโต้”
ขณะที่หลิงเจี้ยนจื่อกกับซูมู่เชือดเฉือนวาจาใส่กัน ไอสังหารก็พวยพุ่งในดวงตา เห็นชัดว่าทั้งสองคนเป็นศัตรูคู่แค้นกันอยู่แล้ว
เมื่อหลิงเจี้ยนจื่อและซูมู่เผชิญหน้ากัน หลิงจั้นจื่อก็มองอย่างเฉยเมยมาที่มู่เฉินก่อนจะยิ้ม “ป้ายสัประยุทธ์ของหลิ่วซิงเฉินคงอยู่ในมือเจ้าใช่ไหม”
มู่เฉินพยักหน้าตอบรับอย่างนิ่งเรียบ
“เอามาให้ข้าแล้วไสหัวไป เจ้าเป็นคนที่เทพจักรพรรดิอัคคีเลือก ข้าไม่อยากให้เจ้าสร้างความอับอายขายหน้ากับตัวเองและเขา” หลิงจั้นจื่อแบมือออกแล้วยิ้มให้มู่เฉิน ทว่าไม่มีความอบอุ่นในรอยยิ้มมีแต่ความไม่แยแส
เผชิญหน้ากับสายตาไม่แยแส รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของมู่เฉินจากนั้นส่ายหัว “ไม่”
“ฮ่าๆๆๆ!”
คำตอบง่ายๆ ของมู่เฉินทำเอาฉู่เหมินระเบิดเสียงหัวเราะสาแก่ใจ แม้ว่าคำพูดของหลิงจั้นจื่อจะฟังดูอ่อนโยน แต่การดูถูกเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็ต้องโกรธ ทว่าการตอบกลับอย่างจริงจังของมู่เฉินได้เปลี่ยนการพูดจาครอบงำของหลิงจั้นจื่อเป็นมุกตลกไป
หลิงจั้นจื่อจ้องมองมู่เฉินพลางพยักหน้า “งั้นก็ห้ามโทษข้าที่ไม่ให้หน้าท่านเทพจักรพรรดิอัคคีซะล่ะ”
“การให้หน้าเทพจักรพรรดิอัคคี… บางทีจักรพรรดิสัประยุทธ์อาจมีคุณสมบัติที่จะพูดคำเหล่านั้น สำหรับเจ้า…แม้ว่าจะเป็นศิษย์ที่ได้รับการดูแลจากจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็เหมือนฝุ่นเมื่อเทียบกับเขา” มู่เฉินถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
มู่เฉินไม่ชอบน้ำเสียงเสแสร้งของหลิงจั้นจื่อ ดังนั้นเขาจึงหักหน้าไม่ยั้งโดยไม่คิดจะไว้หน้าอีกฝ่ายแต่อย่างใด
สำหรับหลิงจั้นจื่อการโต้แย้งของมู่เฉินปีนเกลียวน่าดู ดังนั้นเขาจึงจ้องเขม็งไปที่มู่เฉินครู่หนึ่งก่อนที่จะนวดหว่างคิ้วตัวเอง “ท่าทางแกรนหาที่ตายนะ”
เสียงของเขาสงบ แต่ใครๆ ก็สัมผัสได้ถึงไอสังหารในคำพูดนี้
หลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อก็สัมผัสได้ถึงอารมณ์ของหลิงจั้นจื่อ จากนั้นพวกเขาก็มองมู่เฉินด้วยความสงสาร นั่นเป็นเพราะพวกเขาเข้าใจในตัวหลิงจั้นจื่อเป็นอย่างดี เมื่อใดที่หลิงจั้นจื่อคิดจะสังหาร เขาก็จะนวดหว่างคิ้วตัวเอง และผลลัพธ์สุดท้ายของศัตรูเหล่านั้นก็น่าอนาถอย่างยิ่ง
อีกครู่มู่เฉินก็จะรู้ราคามหาศาลที่ต้องจ่ายสำหรับการท้าทายหลิงจั้นจื่อ
“เลือกคนเถอะ”
หลิงจั้นจื่อมองไปที่หลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อก็พูดขึ้น
หลิงเจี้ยนจื่อหัวเราะก่อนจะทะยานไปยังภูเขาที่ห่างไกล รัศมีกระบี่คมกริบพุ่งสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับเสียงหัวเราะ “ซูมู่มาดูกันสิว่าเจ้าสามารถรักษาชื่อของตัวเองในฐานะกระบี่เทพไว้ได้ไหมหลังจากวันนี้!”
“คิดว่าข้ากลัวเรอะ?!”
ซูมู่เค้นเสียงก่อนที่ทะยานออกไปราวกับกระเรียนยักษ์ รัศมีกระบี่ที่ไร้ขอบเขตพุ่งตรงไปยังเทือกเขา
เมื่อเห็นว่าหลิงเจี้ยนจื่อปะทะซูมู่แล้ว สายตาของหลิงหลงจื่อก็กวาดไปที่ฉู่เหมินที่มีรูปร่างกำยำพลางยิ้ม “เราไปเล่นมั่งไหม?”
“ตามขอ!”
ฉู่เหมินทะยานออกไปพร้อมกับคลื่นหลิงรุนแรงอัดแน่นทั่วบริเวณ
หลิงหลงจื่อก็คำรามแล้วไล่ตามไป
ทั้งสี่หายไป ในป่ากว้างใหญ่ก็เงียบสงบเหลือเพียงมู่เฉินกับหลิงจั้นจื่อยืนเผชิญหน้ากัน ไอสังหารเริ่มก่อตัวในสายตาของพวกเขา
โฮก!
มู่เฉินสะบัดแขนเสื้อโดยไม่มีการแสดงออกใดๆ นำกองทัพสังหารวิญญาณและกองทัพดับปีศาจออกมา จากนั้นก็กลั่นรัศมีจั้นยี่ก่อตัวเป็นวิญญาณสงครามเต่าดำ ควบคุมให้พุ่งเข้าใส่หลิงจั้นจื่อ
เผชิญหน้ากับวิญญาณสงครามเต่าดำที่ทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายธรรมดาหวาดกลัว หลิงจั้นจื่อกลับไม่มีระลอกคลื่นใดๆ ในสายตา เขายื่นมือออกมาพลางกระทืบฝ่าเท้าพื้นดิน เงาร่างทะยานออกไป
ตู้ม!
อึดใจเดียวเขาก็ไปปรากฏเบื้องหน้าวิญญาณสงครามเต่าดำ ฝ่ามือทั้งสองยื่นปะทะเข้าไปจังใหญ่
ปัง ปัง!
คลื่นกระแทกรุนแรงที่เกิดจากการเผชิญหน้าของพลังสองสายผันผวนไปทั่วบริเวณ
ดวงตาของมู่เฉินหดลง เนื่องจากเขาเห็นว่าหลิงจั้นจื่อราวกับหินผา ไม่ว่าวิญญาณสงครามเต่าดำจะปล่อยพลังรุนแรงยังไงก็ไม่สามารถผลักอีกฝ่ายกลับไปได้
แคว๊ก!
แขนเสื้อของหลิงจั้นจื่อฉีกขาดจากคลื่นกระแทกเผยให้เห็นรอยลึกนับไม่ถ้วนที่ปกคลุมแขน
เมื่อมองที่ร่องรอยเหล่านั้นหัวใจของมู่เฉินก็สั่นไหว เนื่องจากเขาพบว่านั่นคือลวดลายจั้นเหวินทั้งหมด!
ทว่าลวดลายจั้นเหวินที่ควรปรากฏในวิญญาณสงครามกลับเผยขึ้นบนร่างกายของหลิงจั้นจื่อ!
“เป็นเพราะคลื่นหลิงจั้นของจักรพรรดิสัประยุทธ์เรอะ?” ดวงตามู่เฉินกะพริบวูบไหว ว่ากันว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์สามารถหลอมรวมคลื่นหลิงของตนเองและรัศมีจั้นยี่ให้กลายเป็นคลื่นหลิงที่ไม่เหมือนใครหรือที่รู้จักในชื่อคลื่นหลิงจั้น!
ร่างของหลิงจั้นจื่อเล็กมากเมื่อเทียบกับวิญญาณสงครามเต่าดำขณะที่ทั้งสองปะทะกัน ลวดลายจั้นเหวินนับไม่ถ้วนแล่นแปลบปลาบบนแขนเขา จากนั้นเสียงคำรามก็ดังก้อง
“ไสหัวไป!”
ขณะที่เขาแผดเสียง แสงก็ระเบิดออก วิญญาณสงครามเต่าสีดำกระเด็นกลับมาสร้างรอยไถลหลายหมื่นจั้งบนพื้น
หลิงจั้นจื่อยืนบนอากาศพร้อมกับคลื่นหลิงที่น่าเกรงขามและดุร้ายซึ่งระเบิดออกจากร่างเขา ยามนี้เขาราวกับเทพสงครามก็มิปาน
สายตาของเขาวูบไหวขณะมองมู่เฉินพูดด้วยเสียงเย็น “เจ้ายังอ่อนไปที่คิดจะใช้รัศมีจั้นยี่กับข้า!”
พูดจบเขาก็ก้าวไปข้างหน้า ร่างกลายเป็นภาพมายาโจนตัวเข้าใส่มู่เฉิน
แต่เมื่อเขาอยู่ห่างจากมู่เฉินหนึ่งพันจั้ง คลื่นหลิงก็คำรามทั่วบริเวณ ค่ายกลขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้น มังกรเก้าตัวทะยานออกมา
ทว่าเผชิญหน้ากับค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร หลิงจั้นจื่อก็ไม่แสดงสัญญาณถอยกลับ เขาซัดหมัดลงไปบนมังกรทุกตัวที่ปรากฏเบื้องหน้า
ตู้ม ตู้ม ตู้ม!
เสียงระเบิดดังก้อง ทุกเพลงหมัดของเขาทรงพลังน่าสะพรึงกลัว ทำให้มิติแตกสลาย มังกรถูกทำลาย
เมื่อหมัดที่เก้าแย็บออกไป ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารก็ถูกทำลาย
ขณะนี้หลิงจั้นจื่อไร้เทียมทานยิ่งนัก!
ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งเครียดไปกับภาพตรงหน้า แม้ว่าเขาจะไม่ชอบหลิงจั้นจื่อ แต่ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายถือได้ว่าเป็นจอมยุทธ์ที่มีพลังอำนาจมากที่สุดในบรรดาระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายที่มู่เฉินเคยพบเจอ
เมื่อผู้ชมที่ภายนอกเห็นฉากนี้ พวกเขาก็ตะลึงงัน ชัดว่าตกใจกับการเคลื่อนไหวของหลิงจั้นจื่อที่ซัดวิญญาณสงครามเต่าดำถลาออกไป หลังจากนั้นก็เหวี่ยงหมัดจัดการมังกรอีกเก้าตัวเพื่อทำลายค่ายกล
ขณะนี้ในที่สุดพวกเขาก็รู้ว่าผู้นำในหมู่เทพจอมยุธ์ตำหนักซีทรงพลังเพียงใด!
แม้แต่ใบหน้าของลั่วเทียนเสินยังเต็มไปด้วยความกลัวและความกังวลในสายตา เขารู้ว่าการเผชิญหน้ากับหลิงจั้นจื่อ แม้แต่มู่เฉินก็ตกอยู่ในอันตราย
บทที่ 1257 เผชิญหน้าแบบสุดยอด
บนท้องฟ้าของป่ากว้างใหญ่
หลิงจั้นจื่อยืนตระหง่านพร้อมกับคลื่นหลิงทรงพลังพัดอยู่รอบตัวราวกับพายุ ลวดลายจั้นเหวินวูบวาบบนแขน ทำให้เขาดูราวกับเทพสงครามในขณะนี้ ช่างเต็มไปด้วยการขู่ขวัญนัก
หลิงจั้นจื่อมองอย่างไม่แยแสไปที่วิญญาณสงครามเต่าสีดำที่กระเด็นออกไป รวมถึงค่ายกลที่ถูกทำลาย รอยยิ้มเย้ยหยันเผยบนใบหน้าของเขา “ถ้านั่นเป็นทั้งหมดของเจ้า ข้าผิดหวังนัก”
ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ บนใบหน้าของมู่เฉิน แต่แววตากลับเคร่งขรึมลง หลิงจั้นจื่อเป็นจอมยุทธ์ที่มีอำนาจมากที่สุดที่เขาเคยพบในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายอย่างไม่ต้องสงสัย
ตามการประเมินของเขา หลิงจั้นจื่อน่าจะอยู่ที่ระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายระยะปลายสุด ซึ่งห่างจากขั้นเต็มอีกก้าวเดียวเท่านั้น
“สมกับเป็นศิษย์เอกของจักรพรรดิสัปประยุทธ์…”
มู่เฉินพึมพำจากนั้นก็เงยหน้าขึ้น ไม่มีความกลัวใดๆ ในสายตา เขาคลี่ยิ้ม “ในเมื่อเจ้าอยากรู้ก็เข้ามาลองเลย ข้าเชื่อว่าจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง”
แม้ว่าหลิงจั้นจื่อจะทรงพลัง มู่เฉินก็ไม่ใช่คนธรรมดา ผู้ชนะในวันนี้ยังไม่ถูกตัดสิน
“จริงเหรอ? หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น ไม่งั้นก็น่าเบื่อเกินไปแล้ว”
ตู้ม!
พูดจบหลิงจั้นจื่อก็ร่างเปลี่ยนเป็นภาพมายาพุ่งออกมา
เขาพยักหน้าเบาๆ ก็มาปรากฏตัวตรงหน้ามู่เฉินในพริบตา หมัดแย็บออกพร้อมกับแสงแวววาวระเบิดจากลวดลายจั้นเหวินบนแขนของเขา ทำให้มิติแตกเป็นเสี่ยงๆ จากกำปั้นนี้
กำปั้นของหลิงจั้นจื่อขยายใหญ่ขึ้นในดวงตาของมู่เฉิน แต่เขาก็ไม่ได้หลบหลีก นั่นเพราะเขาต้องการจะรู้ว่าคลื่นหลิงของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายระยะปลายสุดทรงพลังเพียงใด
เจดีย์ผลึกแก้วใสส่องประกายในส่วนลึกของดวงตา แปลงคลื่นหลิงในร่างให้กลายเป็นผลึก ก่อนที่เขาจะกำมือแน่นแล้วเหวี่ยงกำปั้นออกไป
กำปั้นนี้แล่นแปลบปลาบด้วยประกายแสงอัญมณี คลื่นหลิงในร่างกายก็พวยพุ่งออกมาโดยไม่มีการยับยั้งใดๆ กลั่นตัวเข้าไปในแขนฉาบด้วยผลึกใสรอบกำปั้น
ตู้ม!
เมื่อหมัดทั้งสองปะทะกันอย่างรุนแรง ความผันผวนที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็กระเพื่อมเป็นระลอก ต้นไม้ที่อยู่ภายในรัศมีหมื่นจั้งของป่าเบื้องล่างทั้งสองถูกบดขยี้กลายเป็นเถ้าถ่าน…
ขณะที่เศษไม้ปลิวว่อนร่างของมู่เฉินก็สั่นไหว เขากระเด็นออกไปเกิดร่องลึกยาวหลายพันจั้งบนพื้น…
เมื่อมู่เฉินทรงตัวได้มั่นคง ใบหน้าก็แดงขึ้นในเวลาสั้นๆ ก่อนที่จะสงบลง เขารู้สึกเจ็บที่หมัดขณะจ้องมองหลิงจั้นจื่อด้วยสายตาลุกโชน “คลื่นหลิงทรงพลังอะไรอย่างนี้ นี่คือพลังของระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายระยะปลายสุดสินะ”
หลิงจั้นจื่อก็ถอยออกไปหลายสิบก้าว แต่เมื่อเทียบกับมู่เฉินเขาอยู่ในสภาพที่ดีกว่ามาก ทว่าสายตาของเขากลับมืดครึ้มลงเล็กน้อย
แม้ว่ามู่เฉินจะโดนกำปั้นสอยออกไปหลายพันจั้ง แต่ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ
หลิงจั้นจื่อก้มศีรษะลงมองกำปั้นก็เห็นชั้นผลึกแวววาว นี่เป็นเศษคลื่นหลิงของมู่เฉิน ตอนที่กำปั้นของเขาปะทะกับกำปั้นของมู่เฉิน ผลึกคลื่นหลิงของมู่เฉินก็รุกเข้ามาในแขนของเขา
ที่ทำให้หลิงจั้นจื่อตกใจก็คือเขาตรวจพบว่าคลื่นหลิงจั้นที่อยู่ในเส้นทางของผลึกคลื่นหลิงถูกผนึกเอาไว้
แต่โชคดีที่เขาหมุนเวียนพลังงานอย่างรวดเร็วเพื่อระงับและขับไล่ผลึกพลังงาน แต่เพราะเหตุนี้ก็ทำให้พลังหมัดได้รับผลกระทบไปหลายส่วนเลยทีเดียว
ดังนั้นหมัดที่เขาตั้งใจจะเอาชีวิตของมู่เฉิน กลับได้ผลเพียงส่งให้อีกฝ่ายถอยออกไป
“คลื่นหลิงของเจ้านั่นแปลกขนาดนี้เชียว แม้แต่คลื่นหลิงจั้นของข้าก็ได้รับผลกระทบด้วย” หลิงจั้นจื่อขมวดคิ้วเบาๆ คลื่นหลิงจั้นของเขาอยู่ในระดับที่สูงเมื่อเทียบกับคลื่นหลิงสามัญ แต่ก็ยังได้รับผลกระทบจากคลื่นหลิงของมู่เฉิน แบบนี้ไม่ได้หมายความว่าผลึกคลื่นหลิงที่มู่เฉินเพาะบ่มนั้นยอดเยี่ยมกว่าคลื่นหลิงจั้นรึ?
“หึ ถึงแกจะมีกลยุทธ์ในแขนเสื้ออยู่บ้าง แต่เพียงสิ่งนี้ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์!”
หลิงจั้นจื่อจ้องเขม็งไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชา แม้ว่าผลึกคลื่นหลิงของมู่เฉินจะผิดแผก แต่มู่เฉินก็เป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นเท่านั้น
“น่าสนใจ ข้าอยากเห็นว่าคลื่นหลิงของแกจะช่วยได้สักกี่น้ำ”
หลิงจั้นจื่อกล่าวเสียงเย็นชาก่อนที่จะหายใจเข้าลึก ลวดลายจั้นเหวินมากขึ้นปรากฏบนแขน รัศมีอันตรายเล็ดลอดออกมาจากร่างกาย
เมื่อมู่เฉินสัมผัสได้ถึงอันตราย สายตาก็แข็งเกร็ง ดูเหมือนว่าหลิงจั้นจื่อตัดสินใจที่จะปะทะแบบจริงจังแล้ว
ฟู่ ฟู่!
หลิงจั้นจื่อยืนอยู่บนท้องฟ้า เมื่อลวดลายจั้นเหวินปรากฏมากขึ้นบนแขน พายุป่าเถื่อนก็ระเบิดขึ้นไปทั่ว เมื่อปั่นป่วนถึงขีดจำกัด ประกายแสงก็ส่องแวววับในดวงตาของเขา
เขาค่อยๆ ยกฝ่ามือขึ้น จากนั้นก็เริ่มขยายขนาดใหญ่ขึ้นในเวลาไม่กี่ลมหายใจ
มือมหึมาปกคลุมไปด้วยลวดลายจั้นเหวินนับไม่ถ้วน รัศมีจั้นยี่เชี่ยวกรากมารวมตัวกัน เวลานี้มือดูราวกับเป็นหัตถ์เทพสงครามที่กดลงมาจากท้องฟ้า
ทันใดนั้นก็ส่งผลให้คลื่นหลิงทั่วบริเวณเดือดปุด
“วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเต็ม ล้านหัตถ์โอบสวรรค์!”
หลิงจั้นจื่อมองไปที่มู่เฉินอย่างไม่แยแส ก่อนที่จะกระแทกฝ่ามือ เสียงเย็นยะเยือกแฝงไอสังหารสะท้อนทั่วบริเวณนี้
ขณะที่ฝ่ามือบีบกดลงมาความโกลาหลก็ดังขึ้นในหมู่ผู้ชม
“วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเต็มรึ?!”
“หลิงจั้นจื่อโหดเหี้ยมมาก เขาตั้งใจจะฆ่าแล้ว!”
“ตอนนี้มู่เฉินอยู่ในจุดอันตรายซะแล้ว”
จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนจ้องมองไปที่หน้าจอแสงด้วยความตกใจ การโจมตีของหลิงจั้นจื่อเป็นสิ่งที่จะทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายยังรู้สึกหนังหัวด้านชาไปหมด
หลิ่วซิงเฉินที่อยู่ในจัตุรัส ความเข็ดขยาดก็โหมกระพือในดวงตาเมื่อเห็นมือใหญ่นั่น
เพราะในการปะทะกับหลิงจั้นจื่อ เขาเสียเปรียบในกระบวนท่านี้
ในมือใหญ่นี้เหมือนมีลวดลายจั้นเหวินนับล้านลายบวกกับคลื่นหลิงที่มี ช่างดุร้ายเกินคณนาแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายก็อาจพังพาบได้หากประมาท
หลิ่วซิงเฉินมองดูเงาเล็กใต้มือนั่นพูดพึมพำว่า “มู่เฉิน… เจ้าจะรับได้ไหม…”
มู่เฉินมองมือใหญ่โตนิ่ง
เขาไม่คิดว่าหลิงจั้นจื่อจะสามารถใช้วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเต็มได้ด้วย
“สมกับเป็นศิษย์เอกจักรพรรดิสัประยุทธ์ ไพ่ลับช่างเยอะนัก” มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะอุทาน
ดวงตาของหลิงจั้นจื่อเปล่งประกายเย็นชาพร้อมด้วยสีหน้าไม่แยแสโดยไม่มีคำพูดใดๆ ก่อนที่มือจะบีบกดลงมาในทิศทางของมู่เฉิน
ตู้ม!
เมื่อฝ่ามือบีบกดลงมา พื้นดินก็พังทลายลงเป็นหลุมขนาดใหญ่
เงาขนาดใหญ่คลี่ออก มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองไปก่อนจะหายใจออกแรงๆ มือประสานเข้าด้วยกัน
ฮึ่ม!
คลื่นหลิงทรงพลังระเบิดออกจากร่าง อึดใจร่างเงาขนาดใหญ่ก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นด้านหลังมู่เฉิน
เงาสีทองยืนตระหง่านเบื้องหลังมู่เฉินพร้อมกับแสงสีม่วงทองเปล่งประกายทำให้ดูลึกลับนัก
เห็นได้ชัดว่าเมื่อเผชิญหน้ากับหลิงจั้นจื่อ มู่เฉินก็ไม่กล้าที่จะออมมือ นำร่างเทพสุริยะนิรันดร์ออกมาทันที
ซ่า!
เมื่อร่างเทพสุริยะนิรันดร์ปรากฏขึ้นคลื่นหลิงก็ก่อตัวขึ้นเป็นแม่น้ำ แม่น้ำสีม่วงทองพร่างพราวแวววาวด้วยประกายสีทอง ก่อนที่จะก่อตัวขึ้นเป็นลวดลายลึกลับสิบสองลายอย่างรวดเร็ว…
กระบวนท่าของมู่เฉินเปลี่ยนไป ลวดลายสิบสองลายก็พวยพุ่งสูงขึ้น ก่อนที่จะมารวมกันเป็นร่มสีม่วงทองขนาดมหึมา
“รหัสเทพอมตะ แปรเปลี่ยน!”
“ร่มม่วงทอง!”
มู่เฉินสะบัดแขนเสื้อร่มขนาดใหญ่ก็ปะทะกับมืออันใหญ่โต
ครืน!
เมื่อปะทะกัน เสียงครางกระหึ่มก็ดังขึ้นระหว่างสวรรค์และโลก ร่มโค้งงอลงราวกับกำลังจะหัก
แต่เมื่อทุกคนคิดว่าร่มกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ลวดลายสีม่วงทองก็เปล่งประกายแวววาว แสงสีม่วงทองลึกลับกวาดไปทั่วขอบฟ้า
ปัง!
ร่มที่โค้งลงราวกับลวดสปริง ดีดกลับอย่างแรงพร้อมกับแรงน่าสะพรึงกลัวเทลงบนมือ
ครืนๆๆๆ!
เสียงดังก้องขึ้น จากนั้นทุกคนก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าลวดลายจั้นเหวินบนมือใหญ่เริ่มแตกสลาย
ปัง ปัง ปัง!
ในเวลาไม่กี่ลมหายใจมือก็กระเด็นกลับไป หดลงจนมีขนาดเท่าปกติ
ใบหน้าของหลิงจั้นจื่อเปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม มือของเขาสั่นเทิ้มปรากฏริ้วเลือด เห็นได้ชัดว่ามือนี้ได้รับบาดเจ็บจากแรงสะท้อนกลับ
“น่าสนใจ น่าสนใจจริงๆ…” สายตาของหลิงจั้นจื่อจ้องมองร่างเทพสุริยะนิรันดร์ใต้ฝ่าเท้าของมู่เฉิน นี่คือร่างเทห์สวรรค์ที่มู่เฉินฝึกฝน ซึ่งเป็นร่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ดังนั้นไม่ใช่ธรรมดาแน่นอน!
มู่เฉินยืนอยู่บนไหล่ร่างเทพสุริยะนิรันดร์จ้องมองหลิงจั้นจื่อพูดช้าๆ ว่า “นำร่างเวทสวรรค์ของเจ้าออกมา มิฉะนั้นก็อย่าหวังว่าจะทำอะไรข้าได้”
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน หลิงจั้นจื่อก็ไม่ได้เยาะเย้ย เนื่องจากกระบวนท่าเมื่อสักครู่ทำให้เขารู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะจัดการมู่เฉิน ตราบใดที่มู่เฉินมีร่างสีม่วงทองยิ่งใหญ่นี่
ต้องใช้ร่างเทห์สวรรค์เผชิญหน้ากันเท่านั้น
หลิงจั้นจื่อจ้องไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชาพูดว่า “มู่เฉิน วันนี้ต่อให้แกแพ้ก็จงภูมิใจที่บังคับให้ข้านำร่างเวทสวรรค์ออกมาได้!”
ตู้ม!
เมื่อพูดจบ แสงพร่างพราวก็ปะทุขึ้นที่ด้านหลังเขาพร้อมกับเสียงคำรามสะเทือนสวรรค์และโลก
ร่างมหึมาค่อยๆ ก่อตัวขึ้นด้านหลังหลิงจั้นจื่อ แรงกดดันทรงพลังค่อยๆ รวมตัวทั่วภูมิภาคในเวลานี้
ขณะที่ความกดดันแผ่ขยายออกไป เสียงลึกซึ้งของหลิงจั้นจื่อก็ดังทั่วฟ้าดิน
“ร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์…ปรากฏ!”
บทที่ 1258 ร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์
ครืนๆ!
เมื่อเสียงของหลิงจั้นจื่อดังขึ้น คลื่นหลิงรุนแรงก็ไหลมาบรรจบกันอยู่ข้างหลัง ร่างเงาขนาดใหญ่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น
ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจร่างใหญ่โตก็ควบแน่นปรากฏต่อสายตาของทุกคน ดึงดูดความตกตะลึงนับไม่ถ้วน
นี่เป็นร่างสีดำที่สูงใหญ่มาก มีลูกทรงกลมสามลูกอยู่ด้านหลังศีรษะซึ่งหมุนตลอดเวลาด้วยแรงกดดันที่อธิบายไม่ได้กวาดออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้มิติเกิดการบิดเบือนจากแรงกดดัน
เมื่อร่างเวทสวรรค์นี้ปรากฏขึ้น ก็ทำให้เกิดความโกลาหลในเมืองซีเทียนจั้น ความเคารพและอิจฉาพล่านในดวงตาของทุกคน
เพราะพวกเขารู้ที่มาของร่างเวทสวรรค์นี้
ร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธธ์อันดับยี่สิบสี่บนทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง
ในสมัยโบราณมียอดยุทธ์ที่รู้จักกันในชื่อปฐมจักรพรรดิสัประยุทธ์ เขาสามารถสร้างคลื่นหลิงจั้นซึ่งเกิดจากการผสมผสานระหว่างรัศมีจั้นยี่และคลื่นหลิง ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของเขาน่ากลัวเกินบรรยาย ทำให้ตัวเขาอยู่ในอันดับต้นๆ แม้ในสมัยโบราณ
แต่เมื่อปฐมจักรพรรดิสัประยุทธ์สิ้นชีพลง มรดกของเขาก็หายสาบสูญไป แต่จักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งทวีปซีเทียนกลับโชคดีพบเข้า ด้วยการรับมรดกนั่นทำให้จักรพรรดิสัประยุทธ์เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนได้
ส่วนร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังโดยปฐมจักรพรรดิสัประยุทธ์ แต่เงื่อนไขในการฝึกฝนเข้มงวดมาก ในบรรดาเทพจอมยุทธ์ทั้งสี่มีเพียงหลิงจั้นจื่อเท่านั้นที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งเป็นอะไรที่น่ากลัวมาก
เพราะไม่ใช่ขั้วอำนาจใดๆ ที่จะสามารถครอบครองร่างเทห์สวรรค์อันดับยี่สิบสี่ได้
“ร่างเวทสวรรค์ของมู่เฉินคืออะไรกัน? ทำไมข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”
“ฮ่าๆ ร่างเวทสวรรค์สูงเพียงไม่กี่ร้อยจั้ง จะสามารถบรรจุคลื่นหลิงได้เท่าใด?”
“เปรียบเทียบได้กับดาวแคระและดาวยักษ์อย่างแท้จริง… ข้ากลัวว่าร่างเวทสวรรค์นั่นจะถูกบดทันทีที่เคลื่อนไหว”
“…”
ขณะที่เสียงกระซิบกระซาบอัดแน่นทั่วฟ้าดิน จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็มองภาพเบื้องหน้าด้วยดวงตาแคบลง ทว่าเขาไม่ได้สนใจร่างเวทสวรรค์ของหลิงจั้นจื่อ แต่กลับให้ความสนใจร่างสีม่วงทองของมู่เฉิน
บางทีคนอื่นอาจจะไม่รู้สึกอะไร แต่ด้วยการรับรู้ของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน จักรพรรดิสัประยุทธ์สามารถสัมผัสได้ถึงพลังน่าสะพรึงกลัวที่มีอยู่ในร่างเล็กนั่น
“ร่างเวทสวรรค์ของมู่เฉินเหมือนจะไม่ธรรมดา” จักรพรรดิสัประยุทธ์เอ่ยอย่างช้าๆ แม้เขาจะมีประสบการณ์มาก แต่ก็แค่รู้สึกคุ้นกับร่างเวทสวรรค์ของมู่เฉิน ไม่อาจบอกได้ว่ามันมีประวัติความเป็นมาอย่างไร
ทว่าถึงแม้เขาจะไม่สามารถบอกต้นกำเนิดได้ แต่เขารู้ว่าร่างเวทสวรรค์ของมู่เฉินไม่ได้อ่อนแอไปกว่าร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์เลย
“มู่เฉินโชคดีจริงๆ ที่ได้รับร่างเวทสวรรค์นี้… มิน่าเทพจักรพรรดิอัคคีถึงให้ความสำคัญกับเขา”
จักรพรรดิสัประยุทธ์มองไปที่เทพจักรพรรดิอัคคีพลางยิ้ม “ด้วยร่างเวทสวรรค์นี้ เขาอาจมีกำลังพอที่จะต่อสู้กับหลิงจั้นจื่อ แต่ถ้าเขาต้องการที่จะชนะ ข้ากลัวว่าจะไม่ง่าย”
แม้จะมีความแข็งแกร่งที่มู่เฉินแสดงออกมา แต่ก็ยังมีข้อจำกัดจากการฝึกฝนของเขาในขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาที่จะก้าวข้ามความแตกต่างด้านขุมพลัง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าหลิงจั้นจื่อเป็นหัวกะทิในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายเลย
ถ้ามู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย จักรพรรดิสัประยุทธ์อาจต้องยอมรับว่าเขามีโอกาสสูงที่จะตีหลิงจั้นจื่อจนจุกได้ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีคำว่า ‘ถ้า’ ในโลกนี้
เซียวเหยียนไม่ได้โต้คำพูดของอีกฝ่าย แค่มอบรอยยิ้มตอบ
เมื่อเห็นรอยยิ้มนั่น จักรพรรดิสัประยุทธ์กลับรู้สึกไม่สบายใจ เพราะทุกครั้งที่เทพจักรพรรดิอัคคีเผยรอยยิ้มแบบนี้ มู่เฉินจะนำไพ่ตายที่น่าตกใจออกมาเสมอ
“ไอ้หนูนั่นยังมีไพ่ตายที่ทรงพลังกว่านี้อีกรึ?”
จักรพรรดิสัประยุทธ์มองไปที่มู่เฉิน ขณะที่คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน
“ร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์เรอะ”
ยืนอยู่บนร่างสีม่วงทอง มู่เฉินก็มองเงาขนาดใหญ่โตด้วยสายตาวูบไหว เขาแปลกใจนิดหน่อยที่หลิงจั้นจื่อฝึกฝนร่างเวทสวรรค์ระดับสูงเช่นนี้
ไม่น่าแปลกใจที่หลิงจั้นจื่อจะเพิกเฉยต่อจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายส่วนใหญ่ ด้วยร่างเวทสวรรค์นี้ก็ไม่มีจอมยุทธ์ทั่วไประดับเดียวกันคนไหนสามารถทำอะไรเขาได้
“ในสนามรบแห่งนี้ มีเพียงหลิ่วซิงเฉินเท่านั้นที่บังคับให้ข้านำร่างเวทสวรรค์ออกมา แต่เขาต้องจ่ายในราคาแพงระยับ ไม่รู้ว่าแกจะต้องจ่ายในราคาเท่าไร?” หลิงจั้นจื่อปรากฏตัวบนร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์พลางก้มมองลงไปที่มู่เฉิน
ฮึ่ม!
เมื่อพูดจบลง ร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ระเบิดแสงพราว ริ้วแสงขึ้นไปรวมตัวกันบนท้องฟ้า ก่อตัวเป็นหอกมากมายที่มีลวดลายจั้นเหวินปกคลุม กำจายด้วยรัศมีจั้นยี่อันเชี่ยวกราก
เพียงหอกเดียวก็สามารถฉีกร่างจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นได้ ยิ่งด้วยจำนวนดังกล่าวแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายก็ยังไม่สามารถหนีรอดได้
ช่างเป็นฉากที่ตระการตานัก
“ทักษะเทห์สวรรค์ พายุหอกสงคราม”
ฟิ้ว ฟิ้ว!
หลิงจั้นจื่อสะบัดนิ้ว หอกก็ทะยานออกมาราวกับห่าฝน ดูคล้ายกับก้อนเมฆสีดำขนาดใหญ่ห่อหุ้มมู่เฉินและร่างสีม่วงทอง เสียงเจาะโสตประสาทดังก้องไปทั่วขอบฟ้า
เมื่อมองเงาที่เกิดจากหอก ท่าทางของมู่เฉินก็เคร่งเครียดลงหลายส่วน ดวงตาของเขาหดเกร็งก่อนที่มือจะประสานกันอย่างรวดเร็ว ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ใต้ฝ่าเท้าก็ระเบิดด้วยแสงสีทองม่วง
“แสงอมตะ!”
แสงสีม่วงทองแปรปรวนโดยรอบ ดูราวกับเป็นเปลือกไข่สีม่วงทองห่อหุ้มมู่เฉินและร่างเทพสุริยะนิรันดร์ไว้
ร่างเทพสุริยะนิรันดร์เป็นวิวัฒนาการของร่างเทพสุริยะ ดังนั้นความสามารถในการป้องกันจึงมากขึ้นตามไปด้วย แสงอมตะนี้ทำให้ร่างเทพสุริยะนิรันดร์มีการป้องกันที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
เคร้ง เคร้ง
ขณะที่แสงสีม่วงทองพวยพุ่งออกมา หอกก็กระแทกกับแสงก่อนที่จะชะลอลงและแข็งตัวเมื่ออยู่ห่างจากร่างสีม่วงทองไม่กี่เมตร
เมื่อมองจากที่ไกลร่างสีม่วงทองถูกปกคลุมด้วยหอกราวกับตัวเม่น
“ไปให้พ้น!”
มู่เฉินเบิกตากว้าง แสงสีม่วงทองก็กวาดออกมาก่อนที่เขาจะตบฝ่าเท้าลงไป ร่างเทพสุริยะนิรันดร์คำราม คลื่นเสียงกระเพื่อมออกมาราวกับพายุเฮอริเคนพัดหอกกลับไป
ปัง ปัง!
หอกถูกกวาดกลับไปในทิศทางของหลิงจั้นจื่อ
“หึ!”
หลิงจั้นจื่อวาดกระบวนท่าเร็วรี่ หอกละลายในรัศมีจั้นยี่ก่อนที่จะกลายเป็นจุดแสงห้อมล้อมรอบตัว
ตู้ม!
ร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์กระทืบเท้า ร่างกายมหึมาก็กระโจนออกไปพร้อมกับหมัดที่อัดแน่นด้วยคลื่นหลิงเชี่ยวกรากซัดเข้าใส่ร่างเทพสุริยะนิรันดร์อย่างป่าเถื่อน
ปัง!
พื้นดินที่อยู่ใต้ร่างเทพสุริยะนิรันดร์พังทลายลง แต่มู่เฉินก็ไม่แสดงสัญญาณจะถอยเมื่อเผชิญหน้ากับร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์ เขาควบคุมร่างสีม่วงทองเคลื่อนไหวออกไปเช่นกัน
ตู้ม ตู้ม ตู้ม!
เงาร่างสองร่างโรมรันพันตูกันในป่า ทุกครั้งที่ซัดหมัดออกไปก็มีคลื่นหลิงมหาศาลกวาดออก ทำให้มิติแตกออกเป็นเสี่ยงๆ พื้นดินพังทลายเหวขนาดมหึมากระจายออกไปทั่วฟ้าดิน
ผู้ชมในจัตุรัสตะลึงงัน ขณะที่พวกเขาจ้องมองร่างสองร่างฟัดกันนัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาเห็นว่าร่างสีม่วงทองของมู่เฉินสามารถทนต่อการโจมตีทำลายล้างของร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์ได้อย่างไร ดวงตาแต่ละคู่แทบถลนออกมานอกเบ้า
นั่นคือร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์นะ กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายก็ไม่สามารถต้านทานแม้แต่หมัดเดียวได้ แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่สามารถทำอะไรกับร่างเวทสวรรค์ที่ลึกลับของมู่เฉินได้รึ?
ตอนแรกพวกเขาคิดว่าหลังจากที่หลิงจั้นจื่อเรียกร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์สถานการณ์จะกลายเป็นพับกระดานสู้ด้านเดียว แต่ในความเป็นจริง…ร่างเวทสวรรค์ลึกลับของมู่เฉินไม่ได้อ่อนแอไปกว่าร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์เลย!
ครืนนนน!
การต่อสู้ที่สะเทือนโลกาสร้างหายนะในป่า เนินเขาราพณาสูรในเส้นทางที่เงาทั้งสองพุ่งผ่านไป
ตู้ม!
ร่างเทพสุริยะนิรันดร์และร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์ปะทะกันอีกครั้ง คลื่นพลังงานมหาศาลก็กวาดออก มิติแตกสลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยบินว่อน
ร่างทั้งสองกระเด็นออกจากกัน เงาขนาดใหญ่ก็พังทลายภูเขาเสียราบเตียน
หลิงจั้นจื่อยืนอยู่บนไหล่ของร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์พร้อมกับใบหน้าดำคล้ำลง เขาไม่เคยคิดว่ามู่เฉินจะสามารถเผชิญหน้ากับเขาได้ถึงระดับนี้
ร่างเวทสวรรค์ลึกลับนั่นยากในการรับมือนัก
“เจ้านั่นฝึกฝนร่างเวทสวรรค์อะไร? ทำไมถึงไม่ได้อ่อนแอกว่าร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์เลย?”
ความไม่เต็มใจวาบขึ้นในดวงตาของหลิงจั้นจื่อ เขากวาดศัตรูจำนวนมากที่อยู่ในระดับเดียวกันด้วยร่างเวทสวรรค์นี้ แต่วันนี้เขากลับไม่สามารถทำอะไรกับมู่เฉินได้
“เจ้านี่ประหลาดมาก ไม่ฉลาดที่จะลากการต่อสู้ออกไป ถึงเวลาจบแล้ว!”
ดวงตาของหลิงจั้นจื่อวูบไหวเมื่อมองไปที่มู่เฉินพร้อมกับริ้วความเคร่งขรึม ไม่เหลืออาการดูถูกอีกต่อไป
เผชิญหน้ากับมู่เฉิน หลิงจั้นจื่อก็รู้อย่างชัดเจนว่าไม่สามารถออมมือหากต้องการชนะ
เขาไม่ลังเลอีกต่อไป สูดหายใจเข้าลึก แสงเย็นเยือกโหดเหี้ยมวาบในนัยน์ตา เขากระทืบเท้า ฝ่ามือเริ่มวาดตราประทับ
เมื่อกระบวนท่าเปลี่ยนแปลง ลูกแสงทรงกลมทั้งสามด้านหลังร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ระเบิดออกด้วยแสงแพรวพราวทันที มู่เฉินสังเกตเห็นว่าในลูกทรงกลมเหล่านั้นเหมือนจะเต็มไปด้วยเงาร่าง
ม่านตาของเขาก็หดลงทันที
เนื่องจากมีกองทัพชั้นยอดซ่อนอยู่ในลูกทรงกลมเหล่านั้น!
บทที่ 1259 ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ปะทะร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์
ฮึ่ม ฮึ่ม!
ที่เบื้องหลังร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์ลูกทรงกลมแสงทั้งสามระเบิดริ้วแสงนับไม่ถ้วน ทำเอามู่เฉินตกตะลึงไปเมื่อได้เห็นร่างเงาในลูกทรงกลมนั่น…
“นั่นคืออะไร?!”
ม่านตาของมู่เฉินหดแคบลงขณะที่เขาจ้องมองไปที่รูปทรงกลมสามลูก คลื่นหลิงรวมตัวกันในดวงตา ก่อนจะเพิ่มวิสัยทัศน์ในการมอง
ซี้ด!
หลังจากเห็นชัดเจน มู่เฉินก็หายใจลึก เนื่องจากพบว่าลูกทรงกลมทั้งสามเต็มไปด้วยร่างเงาในชุดเกราะหนัก พวกเขานั่งอยู่ภายในรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตอันพลุ่งพล่าน
นี่เป็นกองทัพขนาดใหญ่!
“รูปทรงกลมนี้ก่อตัวเป็นมิติขนาดเล็กที่สามารถเก็บกองทัพทหารจำนวนมากไว้รึ?” ใบหน้ามู่เฉินเปลี่ยนไปเมื่อสังเกตเห็นว่าร่างเหล่านั้นมีพลังชีวิตเล็ดลอดออกมา ซึ่งนั่นหมายความว่าพวกเขาไม่ใช่หุ่นเงา!
“ที่แท้นี่ก็คือความลึกซึ้งของร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์!”
“โดยการเก็บกองทัพไว้ในลูกทรงกลมเหล่านั้น กองทัพก็จะจัดเตรียมรัศมีจั้นยี่เพื่อหลอมรวมเข้ากับคลื่นหลิงของผู้ใช้ ผลิตคลื่นหลิงจั้นที่ไม่มีวันสิ้นสุด!”
ตอนนี้มู่เฉินเข้าใจแล้วว่าทำไมหลิงจั้นจื่อถึงสามารถครอบครองรัศมีจั้นยี่ทรงพลังได้ แม้ว่าจะไม่ได้บัญชากองทัพ ที่แท้เขาก็ซ่อนกองทัพไว้ในลูกทรงกลมเหล่านั้นนี่เอง!
“ร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์สมคำร่ำลือจริงๆ” มู่เฉินถอนหายใจในใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นร่างเทห์สวรรค์ที่อัศจรรย์ใจเช่นนี้
หลิงจั้นจื่อยืนอยู่บนหัวของร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์ เขารู้ว่ามู่เฉินมองเห็นความลึกซึ้งของร่างเวทสวรรค์ของเขา เมื่อเห็นมู่เฉินจ้องมองไปที่ลูกทรงกลมเขม็ง
“ตาแหลมดี”
น้ำเสียงไม่แยแสดังก้องกังวานโดยไม่มีเจตนาที่จะซ่อน เขากระทืบเท้าริ้วแสงที่ซ่อนกองทัพก็ค่อยๆ หายไป เผยด้านในให้เห็น
“ในมิตินี้ ข้ามีทหารจำนวนหนึ่งล้านคนที่จะให้รัศมีจั้นยี่ไม่มีที่สิ้นสุด…” หลิงจั้นจื่อตอบเบาๆ
แม้ว่าคุณภาพหนึ่งล้านนี่จะไม่อาจเทียบกับกองทัพสังหารวิญญาณและกองทัพดับปีศาจของมู่เฉิน แต่ก็มากด้วยปริมาณ นอกจากนี้พวกเขายังเพาะบ่มพลังในมิติร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์เป็นประจำ ดังนั้นรัศมีจั้นยี่จึงเข้ากันได้กับหลิงจั้นจื่อมาก อำนาจนี้สามารถทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายยังรู้สึกหวาดกลัว
“ในปัจจุบันมีไม่กี่คนหรอกที่สามารถบังคับให้ข้าเปิดเผยความลึกซึ้งของร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์ได้…” หลิงจั้นจื่อจ้องมองมู่เฉิน ไม่มีระลอกคลื่นใดในสายตา ทว่าไอสังหารกลับเข้มข้นขึ้น
“แต่ทุกคนที่เห็นสุดท้ายก็ใช้หัวเป็นรางวัลของข้าและแกก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น!”
เมื่อสิ้นเสียงหลิงจั้นจื่อ กองทัพทหารล้านคนก็ระเบิดด้วยเสียงคำรามทำเอาแผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่น ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง ดวงตาเต็มไปด้วยความต้องการสู้ รัศมีจั้นยี่ทรงพลังพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
รัศมีจั้นยี่ของพวกเขาเทเข้าไปในร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์ เมื่อเกิดการผสมผสานของรัศมีจั้นยี่แล้ว ร่างต้นก็เริ่มปกคลุมไปด้วยลวดลายจั้นเหวิน แรงกดดันสุดพรรณนาครอบครองไปทั่วบริเวณนี้
มู่เฉินหดตาลงกะทันหันเมื่อรู้สึกได้ว่าร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์แข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
ก่อนหน้าหลิงจั้นจื่อยังไม่เต็มใจที่จะเผยให้เห็นการดำรงอยู่ของทหารเหล่านี้ แต่ขณะนี้เขาไม่ใส่ใจอะไรแล้ว ดังนั้นภายใต้การควบคุมอย่างเต็มที่ เขาจึงเร้ากำลังเต็มของกองทัพออกมาเลยทีเดียว
ความกดดันน่าสะพรึงกลัวปกคลุมดินแดนนี้ พื้นดินเบื้องล่างเริ่มพังทลาย ต้นไม้ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ แล้วสลายกลายเป็นกองขี้เถ้า
แรงกดดันน่าตกตะลึง กระทั่งสี่คนที่กำลังต่อสู้อยู่ห่างออกไปก็ได้รับผลกระทบ สายตาของพวกเขากวาดมองมายังทิศทางนี้ด้วยความตกใจ
เมื่อหลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อเห็นสถานการณ์ของหลิงจั้นจื่อ พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ พวกเขาประหลาดใจที่หลิงจั้นจื่อถูกบังคับให้เปิดเผยความลับทั้งที่แค่ต่อกรกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นเท่านั้น
ในฐานะศิษย์เอกของจักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียน พวกเขารู้ดีว่าร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์ทรงพลังเพียงใด ทว่าพวกเขาทั้งสองคนไม่ประสบผลในการฝึก ในบรรดาศิษย์ทั้งสี่คนมีเพียงหลิงจั้นจื่อที่ประสบความสำเร็จไปได้
ในอดีตจอมยุทธ์ที่บังคับให้หลิงจั้นจื่อมาไกลถึงขนาดนี้ล้วนอยู่ในระดับตี้จื้อจุนเข้าใกล้ขั้นเต็ม แต่ครั้งนี้ศัตรูเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น…
“มู่เฉินเป็นเสือที่แกล้งเป็นเหยื่อจริงๆ!” ดวงตาของหลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อวูบไหว จากนั้นก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว ถ้ามู่เฉินไม่ได้จัดการยาก ไม่มีทางที่หลิงจั้นจื่อจะเปิดเผยความลับของร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์
เมื่อเปรียบเทียบกับความตกใจของพวกเขา แม้ว่าซูมู่และฉู่เหมินจะตกตะลึงกับความแข็งแกร่งที่มู่เฉินเปิดเผย แต่พวกเขาก็รู้สึกโล่งใจในใจ ก่อนหน้านี้พวกเขากังวลว่ามู่เฉินอาจจะพ่ายแพ้แบบนกกระจอกยังไม่ทันกินน้ำ เวลานั้นหลิงจั้นจื่อจะเข้ามายุ่งในการปะทะของพวกเขาเพื่อเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ ไล่พวกเขาทั้งสองออกจากสนามรบไป
แต่ดูเหมือนว่ามู่เฉินจะจัดการกับหลิงจั้นจื่อจนอยู่หมัด
“ต้องใช้เวลานี้รีบตัดสินผลแพ้ชนะ” ความคิดเดียวกันปรากฏขึ้นในใจของซูมู่และฉู่เหมิน ในเมื่อมู่เฉินช่วยพวกเขาซื้อเวลาได้ พวกเขาก็ต้องจัดการคู่ต่อสู้ของตนแบบเบ็ดเสร็จ จากนั้นก็จะสามารถไปช่วยเหลือมู่เฉินได้
เห็นได้ชัดว่าพวกเขายังไม่คิดว่ามู่เฉินสามารถเอาชนะหลิงจั้นจื่อได้
ด้วยความคิดนี้ซูมู่และฉู่เหมินก็ปลดปล่อยคลื่นหลิงออกมาเต็มพิกัด การโจมตีของพวกเขาคมชัดขึ้นในขณะนี้
“ฮ่าๆ คิดจะจัดการให้เร็วเพื่อไปช่วยไอ้เด็กเหลือขอนั่นเหรอ?” หลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อเข้าใจความตั้งใจนี้ทันที พวกเขาจึงเอ่ยล้อเลียน
“ดูเหมือนว่าการอุ่นเครื่องของพวกข้า ทำให้แกคิดว่าพวกข้าเป็นคนอ่อนแอ ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกข้าก็จะแสดงให้เห็นว่าความจริงที่โหดร้ายนั้นเป็นอย่างไร!”
เผชิญหน้ากับการโจมตีรุนแรงของซูมู่และฉู่เหมิน หลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อก็หัวเราะร่วน ขณะที่พวกเขาเริ่มการตอบโต้แรงขึ้น คลื่นหลิงบ้าคลั่งครอบคลุมทั่วบริเวณ ร่างทั้งสี่ปะทะกันอย่างดุเดือด
มู่เฉินไม่ได้ใส่ใจกับความผันผวนภายนอก
ความสนใจของเขามุ่งเน้นไปที่หลิงจั้นจื่อและร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์ หลังจากที่หลิงจั้นจื่อควบคุมกองทัพล้านคนและหลอมรวมรัศมีจั้นยี่เชื่อมกับคลื่นหลิง ก็ทำให้ร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์เกิดการเปลี่ยนน่าสะพรึงกลัวมากขึ้นจนถึงจุดที่มู่เฉินรู้สึกว่าเป็นอันตรายร้ายแรง
แม้แต่มู่เฉินก็ต้องยอมรับว่าหลิงจั้นจื่อเป็นคู่ต่อสู้ที่ต่อกรยาก
ฮา
มู่เฉินสูดหายใจเข้าลึกนั่งลงบนไหล่ของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ จากนั้นก็วาดกระบวนท่า เผชิญหน้ากับหลิงจั้นจื่อที่ดุดัน เขาก็ต้องสู้เต็มที่แล้ว
หลิงจั้นจื่อมองมู่เฉินอย่างเฉยเมย เมื่อพลังของร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์พุ่งสูงขึ้นจนถึงขีดสุด ในที่สุดเขาก็เริ่มเคลื่อนไหว
เขาสะบัดแขนเสื้อ ร่างต้นจักรพรรดิก็ระเบิดออกมาด้วยแสงแวววาวนับไม่ถ้วน ก่อนที่จะเปิดปาก รัศมีจั้นยี่ไม่รู้จบก่อร่างเป็นเสาแสงขนาดใหญ่พุ่งสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า
ในเวลาเดียวกันลวดลายจั้นเหวินบนร่างกายมันก็แยกตัว ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าพุ่งเข้าใส่เสาขนาดใหญ่
เหมือนจะมีคลื่นทำลายล้างเล็ดลอดออกมาเลือนราง
ผู้ชมในจัตุรัสตกใจเมื่อเห็นเสาแสง แม้ว่าจะมองผ่านหน้าจอ พวกเขาก็ยังรู้สึกถึงความผันผวนที่น่ากลัว
ใบหน้าของหลิ่วซิงเฉินเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดกับฉากนี้ ตอนที่เขาพ่ายแพ้ หลิงจั้นจื่อยังไม่ได้ใช้กระบวนท่านี้ เห็นชัดที่มันไม่คิดว่าเขาหลิ่วซิงเฉินมีคุณสมบัติที่จะใช้
แต่นั่นหมายความว่ามู่เฉินจะตกอยู่ในอันตราย เนื่องจากหลิ่วซิงเฉินไม่คิดว่ามู่เฉินจะมีโอกาสเผชิญหน้ากับการโจมตีของหลิงจั้นจื่อ
สายตาประหลาดใจจ้องมองมาจากข้างนอก แต่หลิงจั้นจื่อกลับมองมู่เฉินอย่างไม่แยแส ก่อนที่ฝ่ามือจะเริ่มวาดตราประทับช้าๆ
ฮึ่ม!
เมื่อสร้างตราประทับเสร็จ เสาสูงตระหง่านก็เปลี่ยนเป็นดัชนีขนาดมหึมากำจายด้วยรัศมีโบราณ
ดัชนีนี้ดูสมจริงอย่างไม่น่าเชื่อ ครอบคลุมไปด้วยลวดลายจั้นเหวินนับไม่ถ้วน รัศมีจั้นยี่ที่เชี่ยวกรากกวาดไปทั่วสวรรค์และโลก แม้แต่ท้องฟ้าก็มืดและสั่นสะเทือนจากแรงกดดัน
สายตามืดครึ้มมองไปที่มู่เฉิน รอยยิ้มน่าขนพองสยองเกล้าผุดขึ้นตรงมุมปากของหลิงจั้นจื่อ อึดใจต่อมาเสียงของเขาก็ดังกึกก้องไปทั่วฟ้าดิน
“ทักษะเทห์สวรรค์ ดัชนีจักรพรรดิฉีกฟ้า!”
“มู่เฉิน วันนี้เป็นวันตายของแก!”
ตู้ม!
เมื่อเสียงของเขาดังก้อง ชั้นเมฆก็ยุบตัวลงท้องฟ้าถูกฉีกขาด หลุมดำก่อตัวขึ้นพร้อมด้วยสะเก็ดมิติ ราวกับว่าดัชนีนี้สามารถทำลายทุกสรรพสิ่ง
บริเวณที่มู่เฉินยืนอยู่ก็ทรุดตัวลงเช่นกัน เขาเงยหน้าขึ้นมองไปทางดัชนีขนาดใหญ่ด้วยสีหน้าท่าทางเคร่งเครียดลงหลายส่วน จากนั้นเขาก็หายใจลึกๆ ตราประทับในมือเปลี่ยนไปเร็วรี่
ฮึ่ม ฮึ่ม!
พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของตราประทับ ริ้วแสงสีม่วงทองก็รวมตัวกันในร่างเทพสุริยะนิรันดร์ ก่อตัวเป็นรหัสสิบห้าลายในไม่กี่อึดใจ
เมื่อมองไปที่รหัสเทพ มู่เฉินก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เพราะเขารู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะต่อต้านกระบวนท่าของหลิงจั้นจื่อ ด้วยรหัสเทพอมตะสิบห้าลายเหล่านี้
ผลึกแสงวาววับในดวงตาของมู่เฉิน ก่อนที่เจดีย์ผลึกแก้วใสจะสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจากภายในร่างกาย ดึงคลื่นหลิงของเขาออกมาเพื่อแปลงและทำให้แข็งแกร่งขึ้น
การดึงคลื่นหลิงอย่างบ้าคลั่ง ทำให้แม้แต่มู่เฉินยังรู้สึกเจ็บปวดจากกล้ามเนื้อ
แต่ภายใต้การสกัดที่รุนแรงนี้ แสงสีม่วงทองก็ระเบิดออกมาจากร่างเทพสุริยะนิรันดร์พร้อมกับการก่อร่างของรหัสอมตะ
สิบหก…สิบแปด…ยี่สิบ…ยี่สิบสาม!
เมื่อก่อร่างรหัสเทพได้ยี่สิบสามลาย ดวงตาของมู่เฉินก็เริ่มมืดดำ ชัดว่าเขามาถึงขีดจำกัดแล้ว
“แต่…ก็น่าจะพอแล้ว”
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองดัชนี รหัสเทพอมตะยี่สิบสามลายเป็นกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ในตอนนี้แล้ว
“มาดูกันว่าทักษะเทห์สวรรค์ของร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์ของเจ้ากับร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของข้า ใครจะยืนหัวเราะเป็นคนสุดท้าย!”
มู่เฉินพึมพำ จากนั้นด้วยเจตจำนง รหัสเทพยี่สิบสามลายก็พวยพุ่งออกมา ริ้วแสงสีม่วงทองทำให้เกิดประกายระยิบระยับไปทั่วขอบฟ้า ยามนี้รหัสเทพทั้งยี่สิบสามลายก่อตัวเป็นดัชนีเช่นกัน
“รหัสเทพอมตะ ดัชนีอมตะแปรเปลี่ยน!”
ขณะที่เสียงคำรามดังกึกก้องจากในหัวใจของมู่เฉิน ดัชนีก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยรัศมีลึกลับอันเป็นอมตะ จากนั้นก็ปะทะกับดัชนีขนาดใหญ่ที่กดลงมา ภายใต้สายตาหวาดผวานับไม่ถ้วน
ในเวลานี้แม้แต่เวลาก็เหมือนถูกแช่แข็ง
บทที่ 1260 สัตว์ประหลาด
ตู้ม!
ดัชนีทั้งสองพุ่งทะลุขอบฟ้าปะทะกันจังใหญ่ ช่วงเวลาที่ชนกันทั่วบริเวณก็เหมือนแช่แข็งไปชั่วขณะ…
คลื่นหลิงในฟ้าดินกระเจิดกระเจิงไปในทุกทิศทาง ราวกับกลัวจะถูกทำลายจากพลังการทำลายล้าง
ตู้ม ตู้ม!
ฟ้าดินค้างสนิท ก่อนที่แสงสว่างแสบตาจะปกคลุมลงมา ส่องไปทั่วทุกมุม
แสงนั้นแสบตามาก กระทั่งผู้ชมที่อยู่ในจัตุรัสนอกสนามรบยังรู้สึกแสบตาจนต้องหรี่ตาลง
ครืนๆ!
หลังจากแสงส่องไปทั่ว พายุคลื่นหลิงที่มองเห็นด้วยตาเปล่าก็กวาดออกจากจุดปะทะอย่างป่าเถื่อน ฉีกพื้นดินในเส้นทางที่ผ่าน
ป่าใหญ่ราพณาสูร ทุกสรรพชีวิตถูกลบล้างภายใต้คลื่นกระแทก…
ทุกคนตะลึงกับพลังแห่งการทำลายล้าง รู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด แม้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายติดอยู่ในคลื่นกระแทกเหล่านี้ พวกเขาก็น่าจะทิ้งชีวิตไว้ภายใน
“นี่…พวกเขาสองคนไม่น่ากลัวไปหน่อยเหรอ? นี่เป็นการต่อสู้ระหว่างจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายกับขั้นต้น ทำไมถึงได้น่าสะพรึงขนาดนี้?!” มีจอมยุทธ์ที่เฝ้ามองเหตุการณ์นี้ด้วยสีหน้าขมขื่น การเผชิญหน้าในระดับนี้เกินจินตนาการ ทำให้พวกเขารู้สึกใจหายใจคว่ำไปหมดแล้ว
“สัตว์ประหลาด…” ผู้คนถอนหายใจ “แค่ไม่รู้ว่าใครจะเหนือกว่าในการเผชิญหน้ากันครั้งนี้”
“น่าจะเป็นหลิงจั้นจื่อมั้ง ร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์น่ากลัวเกินไป มิหนำซ้ำเขายังได้รับการสนับสนุนจากรัศมีจั้นยี่ของกองทัพนับล้าน! แม้ว่าร่างเทห์สวรรค์ของมู่เฉินจะลึกลับ แต่เขาก็ยังเป็นแค่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น คงไม่สามารถต้านรับหลิงจั้นจื่อได้”
“ใครจะรู้… มู่เฉินน่ะเป็นสัตว์ประหลาดยิ่งกว่าหลิงจั้นจื่อซะอีก หากมู่เฉินอยู่ในขุมพลังเดียวกัน แม้แต่หลิงจั้นจื่อก็สู้เขาไม่ได้”
ประโยคนี้ทำให้หลายคนตกอยู่ในภวังค์ความคิด พลังการต่อสู้ที่มู่เฉินแสดงออกมาน่าสะพรึงเกินไป ตัวเขาเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่ก็สามารถบังคับให้หลิงจั้นจื่อตกอยู่ในสถานการณ์นี้ ถ้าเขาเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายแล้วจะน่าพรั่นพึงแค่ไหน?
ในเวลานั้นหรือว่าเขาจะสามารถต่อกรกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้ด้วย?
ทุกคนรู้สึกว่าหนังหัวด้านชาไปหมดพลางส่ายหัวกับความคิดนี้ แม้ว่าระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มดูเหมือนจะเป็นเหนือกว่าระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายแค่คำเดียว แต่ความแตกต่างระหว่างทั้งสองขั้นรุนแรงมาก
ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเป็นที่รู้จักในฐานะประตูเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน ในฐานะที่เป็นจอมยุทธ์ที่ใกล้เคียงกับระดับตำนาน ทุกคนล้วนไม่ธรรมดา
นี่คือสิ่งที่สามารถเห็นได้จากจำนวนคนในสนามรบทั้งสาม ในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นมีผู้แข่งขันหลายร้อยคน ขั้นปลายมีผู้เข้าแข่งขั้นสองร้อยคน และขั้นเต็มมีผู้แข่งขันไม่ถึงสิบคน…
ดังนั้นสามารถบอกได้ว่าระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มน่าหวาดกลัวเพียงใด ตราบใดที่จอมยุทธ์ระดับนี้ไม่ได้แหย่หนวดจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน พวกเขาก็ไร้เทียมทานในมหาพันภพ
ดังนั้นหลายคนจึงปฏิเสธความคิดที่ว่ามู่เฉินสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้เมื่อเขามีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย…
ขณะที่ความคิดของผู้ชมกำลังวุ่นวายไปหมด จักรพรรดิสัประยุทธ์และเทพจักรพรรดิอัคคีก็จ้องมองไปที่หน้าจอ…
“มู่เฉินมีความสามารถจริงๆ… ร่างเทห์สวรรค์ของเขาสามารถติดสิบห้าอันดับแรก ไม่แปลกใจที่เขาบีบบังคับให้หลิงจั้นจื่อมาถึงจุดนี้ได้” จักรพรรดิสัประยุทธ์กล่าวอย่างช้าๆ ขณะนี้เขาเห็นแล้วว่าร่างสีม่วงทองนั่นทรงพลังเพียงใด นอกจากนี้ก็เริ่มยอมรับในความแข็งแกร่งของมู่เฉิน
“ในแง่ของร่างเทห์สวรรค์ ร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์ด้อยกว่าอย่างแท้จริง”
เซียวเหยียนยิ้ม “แล้วเจ้าคิดว่าใครจะชนะ?”
เงียบไปชั่วครู่จักรพรรดิสัประยุทดธ์ก็กล่าวว่า “ในการต่อสู้ครั้งนี้ข้าคิดว่าทั้งสองคนจะไม่มีใครได้เปรียบกัน ผลลัพธ์สุดท้ายน่าจะได้รับบาดเจ็บทั้งคู่…”
แม้ว่าเขาจะไม่อยากยอมรับว่าหลิงจั้นจื่อถูกมู่เฉินบังคับให้มาไกลขนาดนี้ แต่จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ไม่ใช่คนใจแคบอะไรขนาดนั้น เพราะเขารู้ว่าเทพจักรพรรดิอัคคีมองขาดกว่าตนเอง
ทว่าอึดใจเขาก็หรี่ตาลงพูดว่า “แต่ถึงแม้ว่าร่างเทห์สวรรค์ของมู่เฉินจะทรงพลัง แต่เขาก็เสียเปรียบในด้านขุมพลัง หลังจากการปะทะกันกระบวนท่านี้คลื่นหลิงของเขาก็จะหมดลง กลับกันหลิงจั้นจื่อยังสามารถสู้อีกต่อไปได้ ดังนั้น… แม้ว่าจะไม่ได้รับชัยชนะอย่างยุติธรรม แต่หลิงจั้นจื่อก็ยังคงยืนหยัดเป็นคนสุดท้ายได้”
จักรพรรดิสัประยุทธ์เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ดังนั้นสายตาจึงเกินกว่าคนอื่นโดยธรรมชาติ ขณะที่คนอื่นยังไม่สามารถตัดสินผลลัพธ์ได้ เขาก็เห็นขาดไปแล้ว
เซียวเหยียนเผยรอยยิ้มบางพลางพยักหน้า “ที่จักรพรรดิสัประยุทธ์พูดมาไม่ผิด… แต่ข้ากลัวว่าการเอาชนะมู่เฉินไม่ได้ง่ายอย่างที่เจ้าคิดน่ะสิ”
เมื่อเห็นรอยยิ้มลึกลับแขวนอยู่บนริมฝีปากของเซียวเหยียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็รู้สึกว่ามุมปากกระตุกไม่หยุดพร้อมกับความไม่สบายใจเพิ่มขึ้นในใจ
หรือว่ามู่เฉินยังมีไพ่ตายอื่นอีก?!
เป็นไปได้ยังไง!
ขณะที่ทุกคนกลั้นหายใจจดจ้องหน้าจอแบบลุ้นระทุก
ในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายพายุคลื่นหลิงก็จางหายสถานการณ์เริ่มกระจ่างชัด
สิ่งแรกที่พวกเขาสังเกตเห็นก็คือผืนป่าราบเป็นหน้ากลอง ในรัศมีพันลี้พื้นโดยรอบมีรอยแตกที่น่ากลัวพล่านไปทั่ว
พื้นดินแยกออกเป็นสองส่วน ทางซ้ายมือเป็นร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์ที่มีขนาดหมื่นจั้ง ส่วนข้างขวาเป็นร่างเทพสุริยะนิรันดร์…
ร่างเวทสวรรค์ทั้งสองยืนอยู่คนละฝั่ง
ครืนๆ!
ทว่าการเผชิญหน้าครั้งนี้กินเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทุกคนจะเห็นร่างเวทสวรรค์ทั้งสองหัวเข่าข้างหนึ่งกระแทกลงบนพื้นด้วยเสียงดังก้อง
ทั้งสองร่างมืดมนลงอย่างรวดเร็วจากความอ่อนล้าของคลื่นหลิง
ผู้ชมที่เฝ้ามองก็ต้องตะลึงเพราะนี่หมายความว่าการเผชิญหน้านี้จบลงด้วยทั้งสองได้รับบาดเจ็บ!
เมื่อทั้งสี่คนเห็นมู่เฉินและหลิงจั้นจื่อจากระยะไกล พวกเขาก็ตกใจกับภาพเบื้องหน้า เนื่องจากผลลัพธ์นี้เกินความคาดหมายนัก
ไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินจะสู้กับหลิงจั้นจื่อได้!
“ไอ้หนูนั่นร้ายกาจมาก!”
หลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อพึมพำด้วยความกลัวในดวงตา เพราะตอนนี้มู่เฉินยังเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น ถ้าเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย แม้แต่หลิงจั้นจื่อก็ไม่สามารถต่อสู้กับเขาได้
ภายใต้สายตาที่จ้องมองมานับไม่ถ้วน ใบหน้าของหลิงจั้นจื่อก็มืดครึ้ม เขายืนบนไหล่ร่างต้นจักรพรรดิสัปประยุทธ์จ้องมองไปที่มู่เฉิน สายตาราวกับใบมีด
ไม่เพียงแต่คนอื่นตกใจเท่านั้น ตัวเขาเองก็ตกใจกับผลลัพธ์นี้
“ร่างบ้าบอนั่นคืออะไร?! ทำไมน่าสะพรึงนัก!” หลิงจั้นจื่อกำหมัดแน่น เขาบอกได้ว่าที่มู่เฉินสามารถสู้กับเขาจนได้ผลลัพธ์นี้ทั้งหมดเป็นผลมาจากร่างเทห์สวรรค์ลึกลับนั้น
สายตาของหลิงจั้นจื่อมืดมน แต่ไม่นานเขาก็คิดได้พลางมองไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชา “ไม่คิดว่าจะมีสักวันที่ข้าหลิงจั้นจื่อจะดูสะบักสะบอมแบบนี้ มู่เฉิน ข้าต้องยอมรับว่าแกแน่จริงๆ”
มู่เฉินที่ยืนอยู่บนไหล่ร่างเทพสุริยะนิรันดร์มีสีหน้าซีดเผือดเล็กน้อย การปะทะกันกระบวนท่าเมื่อครู่ทำให้เขาเหนื่อยล้ามาก
เขายิ้มตอบหลิงจั้นจื่อไป “ขอบคุณสำหรับคำชม”
ดวงตาหลุบลง สายตาของหลิงจั้นจื่อเต็มไปด้วยความเย็นชาขณะพูดช้าๆ “แต่แกยังมีคลื่นหลิงเพียงพอที่จะควบคุมร่างเทห์สวรรค์ต่อไหม? ถ้าไม่มีร่างนั่นแกยังสามารถสู้กับข้าได้ไหม?”
“แกเองก็หมดแรงเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?” มู่เฉินยิ้มตอบ
หลิงจั้นจื่อพยักหน้าก่อนที่จะเงยหัวขึ้นมองลูกทรงกลมทั้งสาม แสงโหดเหี้ยมสายหนึ่งวาบขึ้นในดวงตา
“สังเวยการต่อสู้!”
หลิงจั้นจื่อกระทืบเท้า กัดที่ปลายนิ้ว จากนั้นก็วาดตราประทับโลหิตในอากาศเบื้องหน้าพลางคำรามลั่น
เมื่อเสียงของเขาดังก้อง กองทัพนับล้านในลูกทรงกลมแสงก็กระแทกอก เลือดไหลออกมาจากปาก
เลือดพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าจุดชนวนก่อนจะก่อตัวเป็นคลื่นหลิงไร้ขอบเขตรวมเข้ากับร่างกายของหลิงจั้นจื่อ
ตู้ม!
ด้วยแก่นโลหิต คลื่นหลิงที่ลดน้อยลงของหลิงจั้นจื่อก็เพิ่มขึ้นทันที เขากลับไปสู่สภาวะสูงสุดในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ
เมื่อผู้คนเห็นสิ่งนี้ใบหน้าของพวกเขาก็หวาดผวา เนื่องจากไม่มีใครคิดว่าหลิงจั้นจื่อจะโหดเหี้ยมปานนี้ เขาใช้วิธีบ้าเลือดที่สุด ดึงพลังงานจากกองทัพเพื่อกู้คืนสภาพ แม้ว่าสิ่งนี้จะทำให้เขาฟื้นฟูพลังได้ แต่กลับสร้างความเสียหายหนักให้กับกองทัพ เขาอาจต้องเตรียมกองทัพใหม่ทั้งหมดก็เป็นได้…
ชัดว่าเพื่อตำแหน่งนักรบทวีป หลิงจั้นจื่อไม่อาจสนใจเรื่องพวกนี้ได้แล้ว
ภายใต้สายตาตกตะลึง หลิงจั้นจื่อก็มองมู่เฉินด้วยดวงตาแดงก่ำ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพวยพุ่งอยู่รอบตัวพร้อมกับเสียงคำรามดังก้องไปทั่ว
“มู่เฉิน ครั้งนี้…แกจะสู้กับข้าได้อย่างไรอีก!
“แกยังไม่มีคุณสมบัติที่จะเอาตำแหน่งนักรบทวีปไปจากข้า!
“ดังนั้น…ไสหัวออกจากสนามรบไปซะ!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น