หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1251-1254
บทที่ 1251 รับค่ายกลรบ
ขณะที่ทุกคนยังตกตะลึงกับการตายของเสี่ยหลิงจื่อ
จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็หรี่ตาแคบลง ขณะที่จ้องมองใบหน้าอ่อนเยาว์บนหน้าจอ
แม้ว่าสีหน้าเขาจะคงความสงบได้ แต่ก็มีริ้วความประหลาดใจวูบไหวในส่วนลึกของดวงตา เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกประหลาดใจกับการที่มู่เฉินสามารถฆ่าเสี่ยหลิงจื่อได้
“ดูท่าเทพจักรพรรดิอัคคีจะมีสายตาเฉียบแหลมจริงๆ มู่เฉินมีคุณสมบัติเหมาะสมแท้จริงในการเข้าร่วมสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย” จักรพรรดิสัประยุทธ์เอ่ยหัวเราะเบาๆ
ตัวเขาเป็นจอมยุทธ์เทียนจื้อจุน ดังนั้นจึงไม่ใช่คนไร้เหตุผลแม้จะภาคภูมิใจในตนเอง ดังนั้นหากเขาเลือกที่จะเพิกเฉยต่อพลังของมู่เฉินก็ดูใจแคบไปหน่อยแล้ว
ทว่าเขาก็ยังคงคิดว่ามู่เฉินมีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมในสมรภูมินี้เท่านั้น แต่ยังคงไม่เชื่อว่ามู่เฉินมีพลังจะได้ตำแหน่งไป
เซียวเหยียนยิ้มเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น เขาเข้าใจความหมายที่อยู่เบื้องหลังคำพูดดี อย่างไรก็ตามเขาไม่คิดจะโต้เถียงกับอีกฝ่าย “งั้นมาดูต่อว่าเขาจะทำให้เราประหลาดใจได้อีกหรือไม่”
จักรพรรดิสัประยุทธ์ลูบพนักเก้าอี้พลางพยักหน้า
“งั้นข้าขอดูว่าเขาจะทำให้เราประหลาดใจอีกตามที่เจ้าพูดหรือไม่”
เหนือมหาสมุทรที่พลุ่งพล่าน
มู่เฉินโบกแขนเสื้อ เจดีย์ผลึกแก้วใสก็หายไป ลำแสงสามสายกะพริบวาบ ก่อนที่จะตกลงไปในมือ นั่นก็คือป้ายสัประยุทธ์นั่นเอง
มือจับป้ายทั้งสามไว้ รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้า ดูเหมือนว่าการเก็บเกี่ยวของเสี่ยหลิงจื่อจะไม่เลวเลยทีเดียว จำนวนป้ายทั้งสามนี้ในที่สุดเขาก็สามารถแลกเปลี่ยนค่ายกลรบสามกำลังจากคลังสัประยุทธ์ได้
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะแลกเปลี่ยน
เก็บป้ายทั้งสามไป มู่เฉินก็กวาดสายตาเย็นชาไปไม่ไกล ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารแตกสลายเรียบร้อยไปแล้ว แต่อาจารย์ผีที่ยืนอยู่ที่นั่นก็มีใบหน้าสลับไปมาระหว่างขาวกับเขียว เมื่อเห็นสายตาของมู่เฉิน เขาก็รู้สึกเย็นเยือกทั่วสรรคพางค์กาย ความกลัวพวยพุ่งในดวงตา
เขาหวาดผวามากกับการตายของเสี่ยหลิงจื่อ
เขาไม่เคยคิดว่าด้วยความสามารถและทักษะที่เสี่ยหลิงจื่อมีไม่เพียงแต่จะไม่สามารถเอาชนะมู่เฉินได้ กลับยังถูกฆ่าตายแทน
แม้จะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่ความแข็งแกร่งของมู่เฉินน่ากลัวกว่ามาก
“ฮ่าๆ พี่ชายน้อยมู่เฉินเป็นมังกรในหมู่มนุษย์ ข้าตาบอดด้วยความโลภและติดกับเสี่ยหลิงจื่อ หวังว่าเจ้าจะใจกว้างนะ!” เมื่อระลึกได้ว่ามู่เฉินฆ่าเสี่ยหลิงจื่ออย่างไร อาจารย์ผีก็รู้สึกหัวใจเย็นเยือก รีบเผยรอยยิ้มลุแก่โทษทำใจดีสู้เสือ
พิจารณาจากพลังการต่อสู้ของมู่เฉิน ต่อให้อาจารย์ผีจะเป็นหลิงเจิ้นจงซือ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเผชิญหน้ากับมู่เฉิน ดังนั้นจะเป็นการดีกว่าถ้าเขายอมรับความพ่ายแพ้เอง
เมื่อมองท่าทางของอาจารย์ผี มู่เฉินก็ยิ้ม “เจ้าคิดว่าง่ายที่จะลบความจริงที่โจมตีข้ารึ?”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นใบหน้าของอาจารย์ปีศาจก็กระตุก เขาอึกอักครู่ก่อนจะยิ้มขมขื่น “ไม่รู้ว่าเจ้าต้องการอะไร?”
มู่เฉินเหยียดมือออกด้วยสีหน้าเฉยเมย “ป้ายสัประยุทธ์สามป้าย”
ใบหน้าของอาจารย์ผีเปลี่ยนไปขณะกัดฟัน “จะไม่โหดไปหน่อยเหรอ?”
เขาเพิ่งรวบรวมป้ายสัประยุทธ์ได้สี่ป้ายเท่านั้น ตอนแรกยังคิดจะนำไปแลกเปลี่ยนเป็นภาพค่ายกลระดับจงซือ หากเขาส่งสามป้ายไป ความพยายามทั้งหมดก็ไม่ไร้ประโยชน์ไปหรือ?
มู่เฉินไม่ได้พูดอะไร ทว่าวิญญาณสงครามเต่าดำกลับมองลงมา จ้องไปที่อาจารย์ผีนิ่ง รัศมีจั้นยี่ที่ไร้ขอบเขตก่อตัวเป็นแรงกดดันที่มองไม่เห็น
เมื่อแรงกดดันที่น่ากลัวบีบลง อาจารย์ผีก็รู้สึกได้ทันทีว่าร่างกายเริ่มถ่วงลงจากแรงกดดันมหาศาล ยิ่งเมื่อเห็นสายตาเย็นชาของมู่เฉิน เขาก็รู้ว่าถ้างานนี้ไม่เห็นด้วย เขาอาจจะเป็นอย่างเสี่ยหลิงจื่อก็ได้
แม้ว่าเขาอยากสู้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเผชิญหน้ากับมู่เฉินด้วยพลังของตัวเองคนเดียว
ใบหน้าของอาจารย์ผีเปลี่ยนแปลงไปมาต่อเนื่อง จากนั้นไม่นานก็ก้มหน้าโบกแขนเสื้อ ป้ายสัประยุทธ์สามป้ายบินไปหามู่เฉิน
ในเมื่อไม่สามารถเอาชนะหรือหนีไปได้ ทางเลือกเดียวก็คือยอมแพ้ซะ
“ไอ้สารเลวเสี่ยหลิงจื่อ! ตายก็ตายไปแล้ว ยังมาลากข้าลงนรกอีก มาดูกันว่าฉันจะจัดการกับตระกูลเสี่ยเสินยังไง!” อาจารย์ผีแทบกระอักเลือดพลางคำรามอยู่ในใจ
เมื่อประจันหน้ากับมู่เฉินเขาไม่กล้าทำอะไร แต่เขาสามารถใส่ความโกรธแค้นไปยังตระกูลเสี่ยเสินได้ ยิ่งกว่านั้นเมื่อปราศจากเสี่ยหลิงจื่อตระกูลเสี่ยเสินก็จะอ่อนแอลงเหมือนแกะอ้วนพี
รับป้ายทั้งสามมา มู่เฉินก็ผงกหัวอย่างพอใจ แม้ว่าเขาจะเปิดเผยไพ่ตายอีกใบ แต่ในการต่อสู้ครั้งนี้การเก็บเกี่ยวของเขาค่อนข้างดีเลยทีเดียว
“ไสหัวไปซะ”
มู่เฉินโบกมือให้อาจารย์ผีกล่าวไม่ไว้หน้า
เขาไม่มีความรู้สึกที่ดีกับชายชราคนนี้ที่ชอบรอคว้าผลประโยชน์ ถ้ามู่เฉินไม่กังวลเกี่ยวกับฝูงชนที่อยู่รอบๆ เขาคงไม่สนที่จะเตะส่งอาจารย์ผีออกจากสนามรบ
อาจารย์ผีไม่ได้ใส่ใจกับท่าทางของมู่เฉิน เขาหันหลังจากไปทันที ด้วยเกรงว่ามู่เฉินจะกลับคำพูดมาจัดการเขา
เมื่อเห็นอาจารย์ผีไปแล้ว มู่เฉินก็มองไปรอบๆ พูดเสียงเบาว่า “ถ้ามีใครอยากได้ป้ายสัประยุทธ์ของข้าก็เชิญเข้ามาได้เลย”
เมื่อเสียงของมู่เฉินดังสะท้อนทั่วบริเวณกลับเงียบงัน แม้ว่าคนที่ซ่อนตัวอยู่รอบๆ ที่ต้องการจะฉกป้ายสัประยุทธ์ในมือมู่เฉิน แต่พวกเขาก็ขยาดกับฉากการตายของเสี่ยหลิงจื่อ ขณะเดียวกันพวกเขาก็เข้าใจถึงความไร้ความปรานีที่มู่เฉินมี
เป็นการดีที่จะไม่รุกรานคนที่โหดเช่นนี้
เมื่อความคิดผุดขึ้นในสมอง พวกเขาก็พุ่งตัวขึ้นสูง กลายเป็นลำแสงแยกย้ายกันไปในทันที
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเลิกคิดที่จะจัดการมู่เฉิน
เมื่อเห็นแต่ละคนหายหัวไปอย่างรวดเร็ว มู่เฉินก็เค้นเสียงเย็นขึ้นจมูก ถ้าเขาแสดงจุดอ่อนให้เห็น คนพวกนั้นก็จะกลุ้มรุมเข้ามาเหมือนฝูงหมาป่าหิวโซ
เผชิญหน้ากับพวกเหล่านี้ เขาต้องแสดงความโหดเหี้ยมที่มีเพื่อข่มขู่ไว้ก่อน
เมื่อเห็นคนจากไป มู่เฉินก็เรียกกองทัพทั้งสองกลับคืนมา ก่อนที่จะกลายเป็นร่างแสงพุ่งออกจากสถานที่แห่งนี้ไปเช่นกัน
หลังจากที่ออกมาได้พักใหญ่และรู้สึกว่าไม่มีใครตามมา เขาก็พลิ้วตัวลงมาป้ายสัประยุทธ์ของตัวเขาปรากฏขึ้นในมือ
เขาเร้าป้ายสัประยุทธ์ รายชื่อสมบัติในคลังสัประยุทธ์ก็วิ่งเร็วจี๋ที่เบื้องหน้า เนื่องจากมีสิ่งที่สนใจไว้แล้ว ดังนั้นด้วยการตวัดมือครั้งเดียวป้ายสี่ป้ายที่มีในการครอบครองก็หายไป ลูกแสงหนึ่งบินออกมาลอยอยู่เบื้องหน้ามู่เฉิน
นี่เป็นม้วนทองสัมฤทธิ์โบราณที่เปล่งความมันวาวออกมาก่อตัวเป็นเงาร่างสามร่าง
เมื่อมองดูม้วนภาพนี้ดวงตามู่เฉินก็ลุกโชน นี่คือค่ายกลรบที่เขาโหยหา!
หากเขาสามารถฝึกฝนสำเร็จก็จะเท่ากับติดปีกพยัคฆ์ให้วิชาสามพิสุทธิ์ของเขา!
“ในที่สุดข้าก็รับได้มา”
มู่เฉินยิ้มกริ่มคว้าม้วนทองสัมฤทธิ์ เทคลื่นหลิงเข้าไปภายใน ทันใดนั้นข้อมูลมหาศาลก็ปลดปล่อยอยู่ในห้วงแห่งจิตของเขา
เขาหลับตาเพื่ออ่านข้อมูลเป็นเวลานานก่อนที่จะลืมตาขึ้นด้วยความอัศจรรย์ใจ
“ค่ายกลรบสามกำลังเป็นทักษะพิเศษอย่างแท้จริง”
มู่เฉินเอ่ยชื่นชม แม้ว่าจะไม่ใช่ค่ายกลรบชั้นสูงที่มีประสิทธิภาพรุนแรง แต่เงื่อนไขในการฝึกฝนและความลึกซึ้งนั้นก็น่าตกตะลึงอย่างแท้จริง
“มิน่าล่ะผู้อาวุโสที่คิดค้นวิชานี้ถึงสามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้” หลังจากถอนหายใจลึกซึ้ง เขาก็เก็บม้วนภาพไว้ วิธีการฝึกฝนสำหรับค่ายกลรบสามกำลังไม่ยากนัก แค่ว่ามีข้อกำหนดที่เข้มงวดซึ่งต้องการให้คนสามคนเชื่อมโยงจิตใจกัน ซึ่งจุดนี้มู่เฉินบรรลุได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เพราะร่างรองจากวิชาสามพิสุทธิ์เป็นตัวเขาเอง การเชื่องโยงจิตใจเหนี่ยวแน่นยิ่งกว่าฝาแฝด
ค่ายกลนี้มู่เฉินน่าจะใช้งานได้อย่างสมบูรณ์หลังจากฝึกฝนไประยะหนึ่ง
เมื่อคิดได้ขนาดคนสงบนิ่งแบบมู่เฉินยังอดไม่ได้ที่จะกลั้นรอยยิ้ม พูดพึมพำว่า “ในเมื่อได้รับค่ายกลรบสามกำลังมาแล้ว เป้าหมายต่อไปคือตำแหน่ง”
ในสมรภูมิตำแหน่งนักรบทวีปเป็นอะไรที่ทำให้มู่เฉินน้ำลายสอนัก
บทที่ 1252 กวาดผ่าน
หลังจากการต่อสู้ระหว่างเสี่ยหลิงจื่อและมู่เฉิน
ชื่อเสียงของมู่เฉินก็ขจรขจายทั่วสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ทำให้เกิดคลื่นความตื่นตระหนกยิ่งใหญ่กว่าครั้งก่อนเสียอีก
เนื่องจากครั้งนี้มีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายต้องทิ้งลมหายใจไปนิรันดร์!
ในมหาพันโลกทุกคนรู้ซึ้งถึงพลังชีวิตแข็งแกร่งของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน บางทีถึงแม้พวกเขาจะพ่ายแพ้ แต่การฆ่าพวกเขายากเกินกว่าอะไร เว้นแต่ว่าถูกปราบปรามไว้อย่างสมบูรณ์
ทำไมเทพจอมยุทธ์ทั้งสามของตำหนักซีเทียนจึงมีชื่อเสียง? เหตุผลหลักๆ ก็เพราะพวกเขาประสบความสำเร็จในการฆ่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มไม่ใช่รึ?
แต่ตอนนี้สิ่งนี้กลับทำสำเร็จโดยจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น
ดังนั้นความตกใจครั้งนี้จึงยิ่งใหญ่กว่าของเทพจอมยุทธ์ทั้งสามเสียอีก
เพราะเหตุนี้ไม่มีใครกล้ามาแหยมมู่เฉิน คำพูดเพื่อปราบปรามคนนอกจากเขาก็หายไปในขณะนี้
ล้อเล่นรึเปล่า? เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินเป็นคนโหดเหี้ยมกระทั่งฆ่าเสี่ยหลิงจื่อโดยไม่ลังเล เขาเป็นคนชำระหนี้แค้นด้วยตัวเองแน่นอน คงต้องทุกข์ทรมานแน่ถ้าไปยั่วยุเขา
ดังนั้นในเวลาสองสามวันต่อมาจึงไม่มีใครไปหาเรื่องมู่เฉินอีก
เวลานี้มู่เฉินจึงสามารถศึกษาค่ายกลรบอย่างสงบ ค่อยๆ เข้าใจในรายละเอียด เพราะความยากลำบากในการสร้างค่ายกลไม่ได้ยากมาก แค่มีข้อกำหนดที่เข้มงวด
หลังจากได้รับการควบคุมขั้นต้นของค่ายกลรบ มู่เฉินก็ก้าวเข้าสู่สมรภูมิอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาไม่ได้ตั้งค่ายกลเพื่อรอเหยื่ออีกแล้ว เขาเลือกที่จะโจมตี
เขานำพากองทัพสังหารวิญญาณและกองทัพดับปีศาจยาตราไปทั่วสนามรบ ทุกที่ที่ก้าวผ่านจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายที่เขาพบจะถูกกวาดล้างจากรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตที่เข้ามามีส่วนร่วมในการต่อสู้
ทว่าการต่อสู้ส่วนใหญ่จบลงด้วยมู่เฉินชนะ เพียงแค่กองทัพทั้งสองอย่างเดียวก็ทำให้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายได้แล้ว
ในการต่อสู้เขาได้ใส่คลื่นหลิงผลึกใสลงในร่างศัตรู เมื่อถึงเวลาศัตรูของเขาตอบสนอง พลังงานส่วนหนึ่งจะถูกผนึกไว้ ดังนั้นทุกคนจึงได้แต่ก้มหน้ายอมรับความพ่ายแพ้เท่านั้น
เผชิญหน้ากับคนแพ้ มู่เฉินก็ไม่ได้โหดเหี้ยมมากเหมือนกับตอนที่ทำกับเสี่ยหลิงจื่อ เนื่องจากชายคนนั้นเป็นศัตรูคู่อาฆาตของลั่วหลี ซ้ำยังพยายามใช้แผนอุบาทว์เพื่อจัดการเขาหลายครั้ง ดังนั้นมู่เฉินจึงไม่ยอมอ่อนข้อให้โดยธรรมชาติ
ทว่าสถานการณ์ไม่ได้เป็นแบบเดียวกันกับคนอื่นๆ เขาไม่มีความแค้นเคืองกับพวกเขาและก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร แม้ว่าเขาจะฆ่าคนเหล่านี้ไป เพราะตำหนักมู่ไม่ได้อยู่ในทวีปซีเทียน แต่ขั้วอำนาจที่อยู่เบื้องหลังจอมยุทธ์เหล่านี้จะมีปัญหากับตระกูลลั่วเสินอย่างแน่นอน เวลานั้นตระกูลลั่วเสินจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่
นี่เป็นสิ่งที่มู่เฉินไม่ต้องการเห็น
ดังนั้นหลังจากที่อีกฝ่ายยอมรับความพ่ายแพ้ มู่เฉินก็แค่ยึดป้ายสัประยุทธ์ปล่อยให้พวกเขาออกจากสนามรบอย่างปลอดภัย
ภายใต้การกวาดล้างนี้ชื่อเสียงดุร้ายของมู่เฉินก็ทวีความรุนแรงขึ้นไปจนถึงจุดที่คนอื่นๆ จะแตกฮือทันทีเมื่อพวกเขาได้เห็นรัศมีจั้นยี่จากระยะไกล
ขณะนี้ทุกคนบอกได้เลยว่ามู่เฉินคือม้ามืดแห่งสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ซึ่งจะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเผชิญหน้ากับเขาได้
ตู้ม!
รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตกวาดปกคลุมทั่วท้องฟ้าทำให้ทั่วบริเวณสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นด้วยคลื่นจากรัศมีจั้นยี่
เป้าหมายของรัศมีจั้นยี่คือชายสวมชุดสีฟ้าอมเขียว เขาไม่คิดเลยว่าตนเองจะโชคร้าย ครึ่งวันก่อนเขาปะหน้ากับหลิ่วซิงเฉินเจ้าตำหนักแสงดาว เขากลัวจนต้องรีบเผ่นหนี ท้ายที่สุดก็หนีมาได้ แต่ดันต้องมาเผชิญหน้ากับยมทูตตัวนี้ต่อ
ในสนามรบระดับตี้จื้อจุนนั้นปลายยามนี้ ทุกคนรู้ว่ามู่เฉินควบคุมกองทัพสองกองทัพที่จัดการจอมยุทธ์ที่เข้าร่วมการแข่งขันไปไม่น้อยกว่าสิบคน ความสำเร็จน่าอัศจรรย์ใจนัก
ชายชุดฟ้าอมเขียวนี้ก็เป็นคนมีชื่อเสียงในทวีปซีเทียนอยู่บ้าง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับรัศมีจั้นยี่ที่ไร้ขอบเขต เขาก็รู้ว่าตัวเองไม่มีโอกาสมากนัก
นอกจากนี้เขายังสัมผัสได้ว่ามีคลื่นผันผวนที่อันตรายยิ่งกว่าซ่อนอยู่ในมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ นั่นไม่ใช่รัศมีจั้นยี่ แต่เป็นพลังที่ครอบงำยิ่งกว่า
ดังนั้นหลังจากความพยายามซัดกระบวนท่าออกไปสองสามครั้ง เขาก็รู้ตัวว่าไม่สามารถหลุดพ้นจากมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ไปได้ จึงยกมือขึ้นยอมแพ้ประกาศว่า “ข้ายอมแพ้!”
เมื่อเสียงสิ้นสุดลง มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ก็แยกออกจากกัน ร่างเงาสูงโปร่งเดินออกมาพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า
ชายชุดฟ้าอมเขียวยิ้มขมขื่นก่อนจะส่ายหัว เขาไม่คิดพูดมากโยนป้ายสัประยุทธ์ทั้งสี่ให้มู่เฉินไป
พอได้รับป้ายมามู่เฉินก็ประสานมือให้อีกฝ่าย “ขอบคุณสำหรับชัยชนะ”
“เจ้าแข็งแกร่งนัก ไม่ใช่ความอยุติธรรมที่ข้าแพ้ แต่แค่ไม่รู้ว่าเจ้าจะเป็นอย่างไรเมื่อต้องไปเปรียบกับเทพจอมยุทธ์ทั้งสามแห่งตำหนักซีเทียน รวมทั้งหลิ่วซิงเฉิน ซูมู่และฉู่เหมิน… เจ้าจะต้องต่อสู้กับพวกเขาแน่นอน ข้าจะรอดูการดวลนี้อยู่ข้างนอก” ชายชุดฟ้าอมเขียวไม่ได้ยึดติดกับเรื่องนี้มากนัก เมื่อรู้ว่าไม่มีโอกาสในการชิงตำแหน่งก็เอ่ยยิ้มๆ
หลังจากที่พูดจบเงาร่างของเขาก็เริ่มจางหายไปอย่างรวดเร็ว
มู่เฉินหรี่ตาลง ยิ่งเมื่อเวลาผ่านไปจำนวนผู้แข่งขันในสนามรบก็ลดลง ทุกคนที่เหลืออยู่ที่นี่เป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงทั้งสิ้น
จอมยุทธ์หกคนที่ถูกกล่าวถึงโดยชายชุดฟ้าอมเขียวเป็นตัวเกร็งในการแข่งขันศึกนักรบทวีปครั้งนี้ ความแข็งแกร่งของพวกเขาเป็นสิ่งที่แม้แต่มู่เฉินยังยำเกรง
ยิ่งไปกว่านั้นคงไม่ง่ายที่เขาจะคว้าตำแหน่งจากมือพวกเขา
ด้วยความคิดที่แล่นพล่านอยู่ในใจ มู่เฉินก็ส่ายหัวสงบใจลงก่อนที่จะโบกมือหน้าจอสว่างปรากฏขึ้นตรงหน้า
มีตารางการจัดอันดับปรากฏบนหน้าจอ อันดับหนึ่งหลิงจั้นจื่อตำหนักซีเทียนจำนวนป้ายสัประยุทธ์สามสิบป้าย!
รองลงมาก็คือหลิ่วซิงเฉินเจ้าตำหนักแสงดาวจำนวนป้ายสัประยุทธ์ยี่สิบห้าป้าย
จากนั้นก็เป็นเทพจอมยุทธ์สองคนของตำหนักซีเทียน ซูมู่และฉู่เหมิน จำนวนป้ายสัประยุทธ์ไม่แตกต่างกันเท่าไร
ส่วนมู่เฉินอยู่อันดับสิบเจ็ดจำนวนป้ายสัประยุทธ์สิบแปดป้าย
“คนพวกนั้นไล่ตามยากจริง”
มู่เฉินมองหน้าจอ เหลือเพียงสิบคนเท่านั้น นั่นหมายความว่าหากการกำจัดยังคงดำเนินต่อไป ในไม่ช้าเขาจะเผชิญหน้ากับทั้งหกคน
นั่นจะเป็นการต่อสู้ดุเดือดเลือดพล่านแน่
ทว่ามู่เฉินไม่มีความกลัวในดวงตาสักริ้ว ตรงกันข้ามดวงตาของเขากลับสว่างไสวด้วยไฟการต่อสู้ บางทีพวกเขาทั้งหกอาจมีชื่อเสียงในทวีปซีเทียน แต่เป็นไปไม่ได้ที่คนอย่างมู่เฉินจะยอมแพ้
นั่นเพราะเขายังมีไพ่ตายที่ยังไม่เปิดเช่นกัน
ทันทีที่เขาเปิดเผยวิชาสามพิสุทธิ์ มู่เฉินมั่นใจว่าต่อให้ไม่ได้ใช้กองทัพหรือค่ายกล เขาก็ยังมีความแข็งแกร่งที่จะก้าวข้ามขอบเขตการต่อสู้กับบางคนที่มีขุมพลังสูงกว่า
“หืม?”
ขณะที่ความคิดแล่นอยู่ในหัว จู่ๆ มู่เฉินก็รู้สึกถึงบางอย่าง เขาเงยหน้าขึ้นเห็นร่างแสงพุ่งออกมาจากระยะไกล ก่อนที่จะหยุดอยู่ตรงหน้า
นี่เป็นชายวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมสีดำปักภาพดวงดาว ผมของเขาเป็นสีขาว รูปลักษณ์เหมือนบัณฑิตทรงภูมิที่เปล่งรัศมีอบอุ่น
เมื่อจ้องมองไปที่ชายคนนั้น มู่เฉินก็หดตาลงรัศมีจั้นยี่รอบตัวคำราม เนื่องจากชายวัยกลางคนนี้ก็คืออันดับสองของตารางยอดนิยม—หลิ่วซิงเฉินเจ้าตำหนักแสงดาว
ทว่าขณะที่มู่เฉินเข้าสู่สภาพพร้อมรบ หลิ่วซิงเฉินก็ก้มศีรษะลงมองไปที่มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขต รอบตัวมู่เฉินด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น
สัมผัสถึงความตั้งใจเป็นมิตรที่มาจากหลิ่วซิงเฉิน มู่เฉินก็อึ้งไปก่อนที่จะเก็บรัศมีจั้นยี่เข้าไปเล็กน้อย
หลิ่วซิงเฉินไม่พูดอะไร เขาประสานมือให้มู่เฉินก่อนที่จะมองไปอีกทิศทางหนึ่ง จากนั้นร่างก็ขยับกลายเป็นลำแสงพุ่งเข้าไปในระยะทาง
มองร่างที่กำลังจากไป มู่เฉินก็ขมวดคิ้ว
วาบ!
ทว่าก่อนที่เขาจะไขปริศนาจากการกระทำของหลิ่วซิงเฉินได้ ความผันผวนกวาดมาจากระยะไกล มู่เฉินก็เห็นภาพเงาพุ่งเข้ามา อึดใจเดียวก็มาปรากฏที่เบื้องบน ชายคนนี้มีรูปร่างหน้าตาธรรมดา แต่กลับมีรัศมีอันตรายเล็ดลอดออกมาจากร่างกาย
เมื่อเห็นอีกฝ่าย ดวงตามู่เฉินก็หดลง
เพราะนั่นคือหลิงจั้นจื่อเทพจอมยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียน!
เมื่อหลิงจั้นจื่อปรากฏตัวขึ้นก็มองไปที่มู่เฉิน แต่เขาไม่ได้กระโจนเข้าใส่ ร่างทะยานออกไปทิ้งร่องรอยไว้เบื้องหลัง ไล่ตามหลิ่วซิงเฉินไป
เมื่อเห็นปฏิกิริยาจากทั้งสองใบหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด
งานนี้เห็นชัดว่าหลิงจั้นจื่อกำลังไล่บี้หลิ่วซิงเฉิน
การต่อสู้ของอันดับหนึ่งและสองกำลังเริ่มขึ้นในไม่ช้า
นั่นก็หมายความว่าศึกนักรบทวีปกำลังดำเนินถึงขั้นคัดออกช่วงสุดท้ายแล้ว
เพียงแต่ไม่รู้ว่าใครจะเป็นคนหัวเราะคนสุดท้ายระหว่างหลิงจั้นจื่อกับหลิ่วซิงเฉิน
บทที่ 1253 หลิ่วซิงเฉิน
หลังจากเห็นหลิ่วซิงเฉินและหลิงจั้นจื่อไปแล้ว
มู่เฉินก็ลังเลเล็กน้อย เขารู้ว่าจะต้องเกิดการต่อสู้รุนแรงระหว่างสองคนนั่น แต่เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะไล่ตามไปเพื่อหาผลประโยชน์ ทั้งสองคนไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา ดังนั้นเขาอาจไปดึงดูดความเป็นศัตรูแทน หากคิดติดตามไป
ดังนั้นมู่เฉินจึงไม่คิดมีส่วนร่วมในการต่อสู้ของทั้งสองและจากไปในทิศทางอื่น เขารู้ว่าหลังจากการต่อสู้ครั้งนี้หนึ่งในนั้นจะถูกส่งออกไปจากสนามรบ แต่ไม่ว่าผู้ชนะจะเป็นใครก็จะเพิ่มความเร็วในการกำจัดของการแข่งขันนี้ ฉากจบสุดเข้มข้นของศึกนักรบทวีปกำลังจะอุบัติขึ้น
เมื่อเกิดความคิดเช่นนี้ในใจ มู่เฉินที่กำลังทะยานอยู่บนอากาศก็หยุดชะงักมองไปในระยะไกล เขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนคลื่นหลิงป่าเถื่อนพวยพุ่งสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า
ความผันผวนทรงพลังมากจนมู่เฉินก็รู้สึกถึงได้แม้อยู่ตรงนี้ เมื่อมองจากที่ไกลกระทั่งมิติก็ยังแสดงให้สัญญาณการบิดเบือน
มู่เฉินรู้ว่าทุกคนในสนามรบนี้คงสัมผัสถึงความผันผวนที่น่ากลัวเช่นกัน
“หลิงจั้นจื่อและหลิ่วซิงเฉินสุดยอดจริงๆ” มู่เฉินส่ายหน้าอย่างเคร่งขรึม เมื่อมองจากความผันผวนของคลื่นหลิง จอมยุทธ์ทั้งสองแข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆ ที่เขาเคยพบมาก่อนหน้า
หากเขาปะทะกับสองคนนี่ ก็ยากที่จะได้รับผลประโยชน์ใดๆ ถึงแม้จะมีกองทัพสังหารวิญญาณและกองทัพดับปีศาจก็ตาม
มู่เฉินยืนอยู่บนท้องฟ้า ขณะรับรู้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงที่น่ากลัว เขาตั้งใจจะรอให้การต่อสู้จบลง เพราะเขาอยากรู้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ
ภายใต้การรอของเขาความผันผวนพลังก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น บริเวณนั้นดูเหมือนจะวินาศสันตะโร มืดมิดไม่มีแสงสว่างใด
สถานการณ์นี้ดำเนินไปสองชั่วโมงเต็มก่อนที่มู่เฉินจะรู้สึกถึงคลื่นหลิงที่รุนแรงลดลงอย่างรวดเร็ว
“สู้กันเสร็จแล้วรึ?”
สายตาของมู่เฉินเปล่งประกายก่อนที่ป้ายสัประยุทธ์ของตนเองจะปรากฏขึ้นในมือพร้อมหน้าจออันดับเผยต่อหน้า หากเกิดผลลัพธ์ในการต่อสู้ครั้งนี้หนึ่งในพวกเขาจะมีป้ายสัประยุทธ์เพิ่มขึ้น
“หืม?”
แต่มู่เฉินก็ต้องประหลาดใจ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ กับจำนวนป้ายสัประยุทธ์บนตาราง
“หรือว่าพวกเขาเสมอกัน?” มู่เฉินพูดพึมพำในความสับสน ดูเหมือนว่าหลิงจั้นจื่อและหลิ่วซิงเฉินจะไม่สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ พวกเขาเลยไม่ได้รับป้ายสัประยุทธ์
“ทวีปซีเทียนเป็นสถานที่ที่มีมังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบแท้จริง”
มู่เฉินถอนหายใจ เขารู้สึกประหลาดใจกับความจริงที่ว่าหลิ่วซิงเฉินสามารถถอยไปได้อย่างปลอดภัยเมื่อเผชิญหน้ากับหลิงจั้นจื่อ ถึงยังไงหลิงจั้นจื่อก็เป็นจอมยุทธ์ที่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากจักรพรรดิสัประยุทธ์
ด้วยคำแนะนำของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนบวกกับทรัพยากรมากมายของตำหนักซีเทียน การฝึกฝนของหลิงจั้นจื่อเป็นสิ่งที่แม้แต่คนอย่างมู่เฉินยังต้องถอนหายใจ เนื่องจากตัวเขาพึ่งพาแต่ตัวเองเสมอมา
มู่เฉินไม่คิดอ้อยอิ่งอีกต่อไปมุ่งหน้าต่อไปในระยะไกล ด้วยจำนวนคนที่น้อยลงเขาต้องลองเสี่ยงโชค ดูว่าจะสามารถหาคนที่ซ่อนตัวเพื่อแย่งป้ายสัประยุทธ์มาได้หรือไม่
ทว่าเขาไม่ได้เก็บเกี่ยวอะไรมากมายหลังจากเหาะไปทั่ว คนพวกนั้นเกิดฉลาดหนีไปทันทีเมื่อปะทะกับคนที่มีป้ายจำนวนมาก
นอกจากนี้มู่เฉินยังรู้สึกได้ว่ามีผู้คนส่วนหนึ่งเริ่มแลกเปลี่ยนวัตถุจากคลังสัประยุทธ์และออกจากสนามรบไป
เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านั้นเลือกแลกเปลี่ยนสมบัติและจากไปอย่างเด็ดขาด เพราะพวกเขารู้ว่าไม่มีโอกาสในการแข่งขันครั้งนี้
แต่นี่ทำให้เป็นเรื่องยากขึ้นสำหรับมู่เฉินที่จะออกล่าป้ายสัประยุทธ์ ท้ายที่สุดเขาต้องเลิกความคิดนี้ไป เพราะเขารู้ว่าเมื่อมาถึงจุดนี้การต่อสู้จะไม่ใช่เรื่องเล็กอีกต่อไป
หากเขาต้องการชนะ เขาจะต้องพุ่งความสนใจไปยังคนที่ติดอันดับ
มู่เฉินหยุดลงสูดหายใจเข้าลึกสุดปอด จากนั้นสายตาก็โชนแสง เนื่องจากเขาตัดสินใจปรับสภาพก่อนที่จะทำการต่อสู้กับผู้แข่งขันอันดับต้นๆ
“มาพักกันสักหน่อย”
มู่เฉินพลิ้วตัวลงบนภูเขา แต่เมื่อเขาเข้าไปในเทือกเขา สายตาก็ต้องหดลง เขามองเข้าไปที่ส่วนลึกของเทือกเขาก็สัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงที่คลุมเครือ
ซึ่งเป็นคลื่นหลิงที่ค่อนข้างคุ้นเคย
สายตาของมู่เฉินวูบไหว ก่อนที่ร่างจะเปลี่ยนเป็นลำแสง หลังจากนั้นสิบกว่าลมหายใจเขาก็มาปรากฏตัวในส่วนลึกของเทือกพลางกวาดมองไปรอบๆ เขาเห็นชายสวมเสื้อคลุมดำที่มีผมขาวนั่งอยู่เงียบๆ ใต้ต้นไม้ใหญ่ นี่ก็คือเจ้าตำหนักแสงดาว—หลิ่วซิงเฉิน!
ใบหน้าของอีกฝ่ายซีดเผือดปกคลุมไปด้วยเลือดที่มาจากอาการบาดเจ็บครั้งใหญ่บนร่างกายของเขา ซึ่งทำให้เขาหมดสภาพอ่อนโยนในอดีต
เมื่อมู่เฉินเห็นอาการบาดเจ็บของอีกฝ่าย หัวใจก็สั่นสะท้าน บาดแผลของหลิ่วซิงเฉินถูกทิ้งไว้โดยหลิงจั้นจื่อจากการต่อสู้ก่อนหน้า
หลิ่วซิงเฉินรับรู้ถึงการมาถึงของมู่เฉิน เขาเปิดเปลือกตายิ้มขมขื่นฉายบนใบหน้า
เมื่อมองไปที่หลิ่วซิงเฉินที่บาดเจ็บสาหัส รอยยิ้มของมู่เฉินก็พิลึกไปก่อนที่จะพูดว่า “ดูเหมือนว่าข้าจะดวงดีแล้ว มีเนื้อย่างตกลงมาจากท้องฟ้า”
หลิ่วซิงเฉินยิ้มตามคำพูดของมู่เฉินพลางถอนหายใจ “สมกับเป็นศิษย์เอกของจักรพรรดิสัประยุทธ์ เขาเป็นคนที่พิเศษจริงๆ ตอนแรกข้าคิดว่าตัวเองน่าจะสามารถเผชิญหน้ากับเขาได้ แต่ดูท่าข้าจะประเมินตัวเองสูงไปและประเมินเขาต่ำเกินไป”
“ดูเหมือนว่าการปะทะเมื่อครู่เจ้าจะแพ้ แต่สุดท้ายก็หนีมาได้” มู่เฉินเข้าใจแล้วหลิ่วซิงเฉินและหลิงจั้นจื่อไม่ได้เสมอกัน แต่เป็นหลิ่วซิงเฉินได้รับบาดเจ็บสาหัสและหนีมา ไม่น่าแปลกใจที่หลิงจั้นจื่อจะไม่ได้รับป้ายสัประยุทธ์ของอีกฝ่าย
หลิ่วซิงเฉินถอนหายใจด้วยรอยยิ้มขมขื่นและพยักหน้า “หลิงจั้นจื่อโหดเหี้ยม ดูเหมือนว่าข้าล้มเหลวในข้อตกลงของพี่ซูและพี่ฉู่”
“พันธมิตร?”
หัวใจของมู่เฉินเต้นไม่เป็นส่ำ ที่หลิ่วซิงเฉินกำลังพูดน่าจะหมายถึงซูมู่และฉู่เหมิน ไม่คิดว่าพวกเขาจะสร้างพันธมิตรกันขึ้นมาด้วย
“ไม่นับว่าเป็นพันธมิตรหรอก แต่เป็นเหมือนข้อตกลง พวกข้าสามคนไม่ชอบเทพจอมยุทธ์ทั้งสามของตำหนักซีเทียน ดังนั้นจึงต้องการที่จะเห็นว่าใครเก่งกว่ากันในสนามรบแห่งนี้ ดังนั้นเราจึงมีข้อตกลงที่จะร่วมมือกันเผชิญหน้ากับพวกเขา แต่ตอนนี้ข้าได้รับบาดเจ็บหนักจากฝีมือหลิงจั้นจื่อ คงต้องทำให้พวกเขาผิดหวังแล้ว” หลิ่วซิงเฉินกล่าว
มู่เฉินเข้าใจทันที ที่แท้หลิ่วซิงเฉิน ซูมู่และฉู่เหมินกลัวเทพจอมยุทธ์ทั้งสาม ดังนั้นพวกเขาจึงสร้างพันธมิตรลับขึ้น แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้หลิ่วซิงเฉินได้รับบาดเจ็บหนัก ถ้าเทพจอมยุทธ์ทั้งสามรวมตัวกันละก็ คนอื่นๆ ก็จะหมดสิทธิ์ในการชิงตำแหน่งนักรบทวีปเลย
“แล้วทำไมเจ้าต้องบอกเรื่องนี้กับข้า? เจ้าอยากให้ข้าถอยไปเรอะ?” มู่เฉินยิ้มมองหลิ่วซิงเฉิน ด้วยอาการบาดเจ็บความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายก็ลดฮวบลงอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นเขาค่อนข้างมั่นใจในความสามารถของตนที่จะคว้าป้ายสัประยุทธ์มาได้
ได้ยินคำพูดนี้ หลิ่วซิงเฉินก็หัวเราะ “ตรงกันข้ามข้าตั้งใจจะให้ป้ายสัประยุทธ์ด้วยซ้ำ แต่กลัวว่าเจ้าจะไม่กล้าเอาไปละสิ”
“ทำไม?”
หลิ่วซิงเฉินยิ้ม “ข้าอ่อนล้าลงมาก กว่าจะฟื้นตัวเต็มที่การต่อสู้ก็สิ้นสุดลงแล้ว ดังนั้นอยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์ ที่อยู่ตอนนี้ก็เพื่อไม่ให้หลิงจั้นจื่อได้ป้ายสัประยุทธ์ของข้าไป หากเจ้ามีความกล้าข้าก็ยินดีที่จะให้ป้ายทั้งหมดนี้แก่เจ้า”
“แต่หลิงจั้นจื่อเห็นข้าเหมือนเหยื่อ แล้วใครจะกล้าขโมยเหยื่อของเขาล่ะ? หากป้ายสัประยุทธ์ของข้าตกอยู่ในมือเจ้า อันดับของเจ้าจะก้าวกระโดดแซงเขาพุ่งขึ้นสู่อันดับหนึ่ง เมื่อถึงเวลานั้นเขามาตามล่าเจ้าแน่นอน”
“ต้องเผชิญหน้ากับหลิงจั้นจื่อแบบนั้น เจ้าคิดจะรับป้ายสัประยุทธ์ของข้าหรือไม่ล่ะ?”
หลิ่วซิงเฉินยิ้มให้มู่เฉิน ราวกับว่าต้องการเห็นความกลัวบนใบหน้าของมู่เฉิน
แต่เขาก็ต้องประหลาดใจกับการแสดงออกของมู่เฉินที่ยังคงสงบนิ่งไม่มีระลอกคลื่นใด ซ้ำยังยิ้มหลังจากที่เขาพูดจบ “ทำไมจะไม่ล่ะ? ข้าตั้งใจจะคว้าตำแหน่งอยู่แล้ว ดังนั้นแม้จะไม่มีป้ายสัประยุทธ์ของเจ้า ข้าก็จะจัดการหลิงจั้นจื่ออยู่ดี”
หลิ่วซิงเฉินอึ้งไปเมื่อมองมู่เฉิน ท่าทางของเขาเปลี่ยนไปทีละน้อย เขาไม่เห็นความกลัวใดๆ ในสายตานั่น นอกจากนี้ความมั่นใจของมู่เฉินก็ไม่ใช่แสร้งทำ
นั่นหมายความว่ามู่เฉินตั้งใจจะสู้กับหลิงจั้นจื่อจริงๆ
หลิ่วซิงเฉินเคยได้ยินเรื่องของมู่เฉินมาบ้าง การประสบความสำเร็จเช่นนั้นแสดงว่ามู่เฉินไม่ใช่คนที่อวดดีและโง่เขลา ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้วเขายังกล้าพูดเช่นนี้ก็หมายความว่ามู่เฉินมีความเชื่อมั่นในการต่อสู้กับหลิงจั้นจื่อ
“ตอนแรกข้าคิดว่ามีเพียงตนเองที่สามารถเผชิญหน้ากับหลิงจั้นจื่อได้ แต่ดูเหมือนว่าข้าจะประเมินความสามารถของตัวเองมากเกินไป” พักใหญ่หลิ่วซิงเฉินก็ถอนสายตา
มู่เฉินยิ้ม “งั้นเจ้าตัดสินใจว่ายังไง?”
หลิ่วซิงเฉินหัวเราะดังลั่นก่อนที่จะสะบัดแขนเสื้อ ป้ายสัประยุทธ์บินไปหามู่เฉิน “เอาเถอะ ถึงหลิงจั้นจื่อจะเอาชนะข้าได้ แต่ในเมื่อสร้างปัญหาให้มันได้ก็ถือว่าคุ้มค่าอยู่”
“มู่เฉินถ้าเจ้ามีความกล้าก็จงรับป้ายเหล่านี้ซะ ข้าจะรอดูการต่อสู้ระหว่างเจ้ากับหลิงจั้นจื่อที่ข้างนอก หวังว่าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”
มองไปที่ป้ายสัประยุทธ์มู่เฉินก็กวาดมือเก็บทั้งหมดไว้ ก่อนจะประสานมือ “งั้นก็ขอให้พี่หลิ่วรอดูเลย”
หลิ่วซิงเฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้มก่อนที่ร่างจะค่อยๆ จางหายไปจากมิติสนามรบ
เมื่อหลิ่วซิงเฉินออกไปแล้ว ป้ายสัประยุทธ์ในมือมู่เฉินก็กะพริบ เขาทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดของการจัดอันดับทันที
อันดับหนึ่ง มู่เฉินรวมสี่สิบสามป้าย!
ทันใดนั้นไม่ว่าจะเป็นภายในหรือภายนอกสิ่งนี้ก็ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนอย่างมีนัยสำคัญ
บทที่ 1254 ซูมู่และฉู่เหมิน
จัตุรัสเมืองซีเทียนจั้น
ช่วงเวลาที่มู่เฉินทะยานขึ้นสู่ยอดบนสุด หน้าจอแสงโดยรอบก็สว่างวาบพร้อมกับอันดับในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายเปลี่ยนแปลง เมื่อทุกคนเห็นชื่อมู่เฉินครองอันดับหนึ่ง ความปั่นป่วนก็เกิดขึ้น
“สวรรค์เกิดอะไรขึ้น?! มู่เฉินกระโดดจากที่เจ็ดมาเป็นที่หนึ่งได้อย่างไร?”
“โอ้ หลิ่วซิงเฉิน! เขาหายไป! ดูเหมือนว่ามู่เฉินจะได้ป้ายสัประยุทธ์ของเขา!”
“คึๆ หยิบชิ้นปลามันโดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ”
“มู่เฉินหลักแหลมแท้จริง หลิ่วซิงเฉินได้รับบาดเจ็บหนักจากการต่อสู้กับหลิงจั้นจื่อและความแข็งแกร่งก็ลดลงอย่างมากก่อนที่จะมาพบเขา!”
“แต่ข้าว่านี่ไม่ใช่เรื่องดีเท่าไร การทำแบบนี้หลิงจั้นจื่อโกรธแน่นอน มู่เฉินเดือดร้อนในไม่ช้าแน่”
“…”
เสียงกระซิบดังก้องไปทั่ว ทว่าแทบทุกคนมองว่าการได้อันดับหนึ่งของมู่เฉินเป็นภัย เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาได้เห็นความแข็งแกร่งของหลิงจั้นจื่อ แม้แต่จอมยุทธ์อย่างหลิ่วซิงเฉินก็ยังพ่ายแพ้
แม้ว่ามู่เฉินจะเป็นม้ามืด แต่เมื่อเทียบกับหลิงจั้นจื่อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชื่อเสียง รากฐานเขาก็ยังด้อยกว่า
ลั่วเทียนเสินมองดูตารางจัดอันดับด้วยคิ้วที่ขมวดกันยุ่ง ตอนแรกเขาคิดว่าด้วยนิสัยของมู่เฉินก็อาจจะรอจนกว่าทั้งหกต่อสู้กันก่อนที่จะเริ่มเคลื่อนไหว
แต่การเปลี่ยนแปลงฉับพลันทำให้มู่เฉินขึ้นสู่จุดสูงสุด นี่จะดึงดูดความเป็นปฏิปักษ์ของหลิงจั้นจื่อทันที
ในฐานะทึ่รู้ว่าหลิงจั้นจื่อทรงพลังเพียงใด แม้ว่าลั่วเทียนเสินจะมีความมั่นใจในตัวมู่เฉิน แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี
“ฮ่าๆ มู่เฉินขึ้นไปที่หนึ่งแล้ว ความประหลาดใจนี้เป็นเรื่องคาดไม่ถึงจริงๆ” เมื่อจักรพรรดิสัประยุทธ์เห็นสิ่งนี้เขาก็ยิ้มเยาะเย้ยให้เซียวเหยียน
บางทีคนอื่นอาจไม่รู้ แต่จักรพรรดิสัประยุทธ์และเทพจักรพรรดิอัคคีเป็นใคร? พวกเขารู้ดีว่ามู่เฉินไม่ได้สู้กับหลิ่วซิงเฉิน เหตุผลที่มู่เฉินได้รับป้ายสัประยุทธ์มาเพราะโชคดี
แต่บางครั้งการเลือกผลประโยชน์ในสนามรบอาจดึงดูดปัญหา
เมื่อได้ยินคำพูดเยาะเย้ย เซียวเหยียนก็ยิ้ม “มู่เฉินตั้งใจจะเป็นที่หนึ่งตั้งแต่ต้น ดังนั้นเขาไม่มีทางปฏิเสธป้ายสัประยุทธ์ที่มาถึงมือ หากเป็นคนอื่นพวกเขาอาจไม่มีความกล้าที่จะหยิบขึ้นมาก็ได้”
จักรพรรดิสัประยุทธ์หัวเราะพูดด้วยน้ำเสียงขี้เล่น “หวังว่าเขาจะสามารถรักษาตำแหน่งนั้นไว้ได้”
พื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย
ชายที่ดูธรรมดาเปิดหน้าจอก็เห็นชื่อมู่เฉินครอบครองป้ายสัประยุทธ์มากกว่าสี่สิบป้าย คิ้วของเขาขมวดขึ้นหัวเราะเสียงเบา
“น่าสนใจ… ไม่คิดว่าจะมีสักวันที่ข้าหลิงจั้นจื่อจะถูกแย่งผลประโยชน์จากคนอื่น”
ชื่อของหลิ่วซิงเฉินหายไปจากตารางจัดอันดับ ซึ่งหมายความว่าเขาออกจากสนามรบแล้ว ดังนั้นเมื่อครุ่นคิดสักเล็กน้อยก็จะสามารถเข้าใจได้ว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์จากการต่อสู้ระหว่างเขากับหลิ่วซิงเฉินไป
“ฮ่าๆ ไม่คิดว่าเจ้าจะมีวันแบบนี้ด้วย”
เสียงหัวเราะดังขึ้นก่อนที่เงาร่างสองร่างจะทะยานเข้ามาหยุดอยู่ข้างเขา ทั้งสองก็คือเทพจอมยุทธ์ของตำหนักซีเทียน
หลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อ
หลิงจั้นจื่อเหลือบมองไปที่ทั้งสองก็ยิ้ม “ข้าได้ยินข่าวลือว่าหลิ่วซิงเฉิน ซูมู่และฉู่เหมินเข้าร่วมเป็นพันธมิตรเพื่อจัดการกับพวกเรา ตอนนี้หลิ่วซิงเฉินถูกข้าจัดการแล้ว สองคนนั่นพวกเจ้าก็รับผิดชอบเองละกัน”
หลิงเจี้ยนจื่อตอบกลับอย่างสบายๆ ว่า “กระบี่เทพหมาป่า ข้าอยากพบเขามานานแล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะมีสีหน้าแบบไหนหลังจากที่ถูกข้าหักกระบี่ทิ้ง”
หลิงหลงจื่อรูปร่างกำยำก็ยิ้มเผยฟันออกมา “ข้าก็อยากทดสอบดาบทรราชเช่นกัน”
หลิงจั้นจื่อหัวเราะ “สนามรบนี้ใกล้ปิดฉากแล้ว ข้าขอแนะนำให้เราจัดการแมลงตัวอื่นๆ ที่นี่ซะ ก่อนที่จะจัดการกับพวกเขาทั้งสามคน จากนั้นพวกเราก็มาสู้กันเพื่อตัดสินผู้ชนะ”
อีกสองคนพยักหน้า แม้ว่าจะเป็นคู่แข่งกัน พวกเขาก็ต้องช่วยกันกำจัดคนอื่นก่อน ไม่งั้นถ้าหากตำแหน่งตกเป็นของคนอื่นละก็ พวกเขาคงต้องรับแรงโกรธเกรี้ยวของจักรพรรดิสัประยุทธ์แน่
หลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อดำเนินการอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ตัดสินใจร่างก็ทะยานหายไปในขอบฟ้า
เมื่อมองไปที่ร่างเงาที่หายไป หลิงจั้นจื่อก็มองชื่อบนสุดด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะปล่อยให้แกฝันหวานอีกสักครู่ เมื่อพวกแมลงหมดไป ข้าจะเหยียบเจ้าลงจากตำแหน่งด้วยตัวเองเลย”
พูดจบเขาก็โบกมือ หน้าจอหายไป จากนั้นร่างเขาก็หายไปอย่างช้าๆ
“ที่หนึ่งมาอย่างง่ายดาย…”
ขณะที่ด้านนอกปั่นป่วน มู่เฉินก็ยักไหล่พลางยิ้ม บางทีในสายตาของคนอื่นอันดับของเขาเป็นส้มหล่นแท้จริง
ทว่ามู่เฉินไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก เพราะทุกอย่างจะถูกเปิดเผยว่าเขาพึ่งโชคหรือพลัง
“แบบนี้ข้าก็ไม่ต้องวิ่งยึดป้ายสัประยุทธ์แล้ว รอให้ถึงตอนสุดท้ายก็พอ”
มู่เฉินขยับตัวไปปรากฏบนภูเขาก่อนที่จะนั่งลงอย่างสงบ ช่วงเวลานี้เขาไม่ต้องหาป้ายสัประยุทธ์อีกต่อไป เขารู้ว่าตอนจบจะไม่เริ่มโดยไม่มีเขาไม่ได้
มู่เฉินหลับตาลงดำดิ่งศึกษาค่ายกลรบสามกำลังต่อไป ทว่าก็อยู่ได้ไม่นาน เนื่องจากเขาสัมผัสถึงคลื่นหลิงสองสายที่พุ่งมาในทิศทางของเขา
เขาเปิดตามองไปในทิศทางนั้นก็เห็นร่างเงาสองร่างยืนอยู่บนท้องฟ้า
หนึ่งในนั้นสวมเสื้อคลุมสีฟ้าอมเขียวสะพายกระบี่ไว้บนหลัง เอิบอาบด้วยรัศมีคมกริบ กระทั่งทำให้ดวงตาต้องเจ็บปวดเมื่อจ้องมองไป
อีกคนรูปร่างกำยำปล่อยผมยาวพลิ้วไหว ท่าทางดูนักเลงและเผด็จการมาก
“กระบี่เทพหมาป่า—ซูมู่ ดาบทรราช—ฉู่เหมิน” มู่เฉินเงยหน้าขึ้นยิ้ม เขาไม่แปลกใจที่ทั้งสองมาหาเขา
“เจ้าเป็นคนที่เอาป้ายสัประยุทธ์ของพี่หลิ่วไปรึ?” ฉู่เหมินมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาคมกริบ
“ข้าบังเอิญพบกับเขามา” มู่เฉินยิ้มบาง
ฉู่เหมินชักรู้สึกหัวร้อนพูดว่า “พี่หลิ่วกำลังรอพวกข้าสองคนมาช่วยฟื้นฟูพลัง ในเวลานั้นพวกข้าจะสามารถต่อสู้กับเทพจอมยุทธ์สามคนของตำหนักซีเทียน แต่เจ้ากลับใช้ความได้เปรียบเรื่องอาการบาดเจ็บเตะเขาออกไป!”
มู่เฉินขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดนั่น “ทุกคนต่างเป็นศัตรูกันในสนามรบ ทำไมข้าต้องปล่อยหลิ่วซิงเฉินไป? ข้อตกลงของพวกเจ้ามาเกี่ยวอะไรกับข้า?”
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว ดวงตาของซูมู่ก็วูบไหว “ดูเหมือนว่าพี่หลิ่วจะเล่าเรื่องนี้ให้เจ้าฟังแล้ว”
กวาดมองทั้งสองอย่างรวดเร็ว มู่เฉินตอบว่า “หลิ่วซิงเฉินต่อสู้กับหลิงจั้นจื่อจนได้รับบาดเจ็บรุนแรง เขารู้ว่าตัวเองไม่สามารถเผชิญหน้ากับหลิงจั้นจื่อได้อีก ดังนั้นเขาจึงส่งป้ายสัประยุทธ์ให้กับข้า แต่เขาไม่ได้ทำด้วยความหวังดี เขาต้องการให้ข้าเผชิญหน้ากับหลิงจั้นจือ”
“ช่างโอ้อวดจริงๆ!”
ฉู่เหมินแสดงทัศนคติเผด็จการ ใบหน้ามืดครึ้มลง “จองหองจริง พูดแบบนี้จะบอกว่าตัวเองมีคุณสมบัติที่จะต่อสู้กับหลิงจั้นจื่อเรอะ!”
แม้แต่หลิ่วซิงเฉินยังพ่ายแพ้ แต่มู่เฉินมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นเท่านั้น ดังนั้นคำพูดของเขาจึงดูตลกนัก
“เจ้าไม่ใช่คนที่จะมาตัดสินคุณสมบัติของข้า” มู่เฉินยิ้ม
“เจ้า!” ฉู่เหมินถึงกับเดือดขึ้นเลยทีเดียว
ซูมู่หันมาหยุดฉู่เหมินแล้วมองไปที่มู่เฉินพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “พี่มู่ พวกข้าไม่ได้สนใจว่าพี่หลิ่วมอบป้ายให้กับเจ้าหรือเจ้าฉกมา ข้าแค่อยากบอกว่าถ้าพี่มู่ตั้งใจจะแลกเปลี่ยนสมบัติแล้วออกไป พวกข้าคงต้องขอป้ายคืน”
มู่เฉินตอบด้วยเสียงสงบเรียบว่า “เป้าหมายของข้าคือตำแหน่ง”
เมื่อได้ยินคำตอบของมู่เฉิน ซูมู่ก็รู้สึกโล่งใจและยิ้มแย้ม “ในเมื่อเป็นแบบนี้พี่มู่ทราบสถานการณ์ปัจจุบันของการแข่งขันหรือไม่?
“พวกเทพจอมยุทธ์กำลังกวาดล้างผู้คน ถ้าเป็นไปตามที่คาดไว้พวกเขาจะเป็นสามคนสุดท้ายในสนามรบ ถ้าพวกข้าถูกกวาดออกไปพี่มู่จะสามารถต่อสู้กับพวกเขาสามคนด้วยตัวเองหรือไม่? แล้วจะชิงตำแหน่งมาได้ไหม?
ดวงตามู่เฉินวูบไหว “เจ้ากำลังพยายามจะพูดอะไร?”
ซูมู่ยิ้ม “ข้าแค่หวังว่าพี่มู่จะสามารถแทนที่พี่หลิ่ว พวกเราสามคนจะร่วมมือกันเผชิญหน้ากับเทพจอมยุทธ์ ไม่เช่นนั้นเราคงไม่มีโอกาสในตำแหน่งแน่”
“ได้” มู่เฉินพยักหน้าตกลงทันที เนื่องจากเขาต้องการผู้ช่วยเพื่อหยุดเทพจอมยุทธ์อีกสองคนอยู่แล้ว มิฉะนั้นถึงเขาจะใช้วิชาสามพิสุทธิ์ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะต่อสู้กับทั้งสามคน
ซูมู่ไม่แปลกใจที่มู่เฉินเห็นด้วย ตราบใดที่มู่เฉินต้องการรั้งอันดับหนึ่ง เขาก็ต้องการผู้ช่วยเหลืออย่างแน่นอน และในสนามรบตอนนี้มีเพียงเขาและฉู่เหมินเท่านั้นที่สามารถให้ความช่วยเหลือได้ตามต้องการ
ทันใดนั้นซูมู่ก็ยิ้ม “ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็เยี่ยมมาก… แต่เราจำเป็นต้องยืนยันบางสิ่งก่อน”
“อะไร?” มู่เฉินเงยหน้าขึ้น
ซูมู่ยิ้มกระชับด้ามกระบี่ก่อนที่รัศมีน่าสะพรึงจะพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้ากวาดล้างไปทั่วบริเวณ
“ตรวจสอบว่า… พี่มู่มีคุณสมบัติที่จะทำงานร่วมกับพวกเราได้หรือไม่”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น