หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1247-1250
บทที่ 1247 พอหรือยัง?
คลื่นพวยพุ่งจากมหาสมุทรไร้ขอบเขต
พร้อมกับเจตนาฆ่ากระจายไปทั่วบริเวณนี้
มีสายตาจับจ้องมาจากบนเกาะ มองไปที่มหาสมุทรที่ถูกย้อมสีเลือดแดง เมื่อพวกเขาเห็นเงาทั้งสองยืนอยู่บนยอดคลื่น สายตาของพวกเขาสั่นไหว
“เสี่ยหลิงจื่อเชิญอาจารย์ผีมาเพื่อจัดการมู่เฉินเชียวรึ…”
“แบบนี้มู่เฉินแพ้แน่นอน”
“อาจารย์ผีเป็นหลิงเจิ้นจงซือที่มีชื่อเสียงมานานในทวีปซีเทียน ดังนั้นคงไม่ยากที่เขาจะจัดการกับค่ายกลของมู่เฉิน”
“…”
เสียงกระจายออกไปเงียบๆ มีคนชื่นชมในความโชคร้ายของผู้อื่น หลายคนรู้สึกไม่พอใจที่ไม่มีใครกล้าเข้าไปจัดการกับมู่เฉินในช่วงสองสามวันมานี้ เพราะมู่เฉินแสดงความหยิ่งยโสในทวีปซีเทียนเกินไป เขาเมินเฉยต่อเหล่าจอมยุทธ์ทั้งหลาย
ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้สึกสงสารมู่เฉินเลยสักนิด
ท่ามกลางสายตาที่มองมานับไม่ถ้วน เสี่ยหลิงจื่อยืนบนคลื่นโลหิต ขณะที่มองมู่เฉินด้วยรอยยิ้มน่าขนลุก “ถ้าอยู่ข้างนอกข้าคงทำอะไรเจ้าไม่ได้ แต่ไม่มีความเมตตาใดในสนามรบ แม้ว่าเจ้าจะตายที่นี่ เทพจักรพรรดิอัคคีก็ทำอะไรข้าไม่ได้”
สายตาของเขาเต็มไปด้วยไอสังหารเย็นชาขณะที่มองไปที่มู่เฉิน เขากลัวมู่เฉินมาก เนื่องจากชายหนุ่มคนนี้สามารถเดินไปทั่วสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายทั้งที่มีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น หากมู่เฉินก้าวเข้าสู่ระดับเดียวกับเขาละก็ พลังไม่ได้หมายความจะสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้เลยเรอะ?
คนประเภทนี้เป็นสัตว์ประหลาด ในเมื่อพวกเขาก็มีเรื่องไม่ลงรอยกัน ดังนั้นเขาจึงต้องคิดหาวิธีลบภัยคุกคามนี้ออกไปจากชีวิต
ทว่าฟังเสียงเสี่ยหลิงจื่อซึ่งเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า มู่เฉินก็พยักหน้าเบาๆ พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการเช่นกัน”
เสี่ยหลิงจื่ออยากฆ่ามู่เฉิน ก็เหมือนกับมู่เฉินที่คิดไม่ต่างกัน เขาต้องการกำจัดตัวอันตรายให้กับตระกูลลั่วเสิน ช่วงเวลาที่เสี่ยหลิงจื่อตาย ตระกูลเสี่ยเสินระส่ำระสายแน่ สถานการณ์กับตระกูลลั่วเสินก็จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
ทว่าตอนนั้นเสี่ยหลิงจื่อซ่อนตัวอยู่แต่ในตระกูลพร้อมกับผู้คุ้มกันมากมาย บวกกับความได้เปรียบเรื่องพื้นที่ แม้ว่ามู่เฉินจะนำกองทัพตำหนักมู่ไปด้วย ก็ไม่ง่ายที่จะฆ่าไอ้หมาเก่าตัวนี้
ดังนั้นสนามรบแห่งนี้เหมาะสำหรับเขาที่จะทำเช่นนั้น
เมื่อเห็นไอสังหารพวยพุ่งในดวงตาของมู่เฉิน เสี่ยหลิงจื่อก็เย้ยหยัน “ช่างไม่เจียมกะลาหัว แกมีสิทธิ์อะไรที่มาพูดแบบนี้!”
เขาไม่อยากพูดกับมู่เฉินให้เมื่อยปาก จึงหันไปหาอาจารย์ผี “ท่านอาจารย์ เราจะเข้าไปในค่ายกลนี้ด้วยกัน เจ้าช่วยสกัดค่ายกลไว้ ข้าฆ่าไอ้เด็กเหลือขอนี่เอง”
หากไม่มีการช่วยเหลือของค่ายกล มู่เฉินก็เปรียบเสมือนพยัคฆ์ไร้เขี้ยวในสายตาของเสี่ยหลิงจื่อ
“ตกลง”
อาจารย์ผีแสยะยิ้มด้วยดวงตาหรี่แคบลงพลางพยักหน้า แม้ว่าค่ายกลเบื้องหน้าเขาจะดูไม่ธรรมดา แต่ก็ไม่ยากที่จะยับยั้งด้วยพลังที่มี นอกจากนี้เขาเพียงแค่จำกัดวงของค่ายกล ไม่ได้เสี่ยงชีวิต เพราะที่เหลือเป็นหน้าที่ของเสี่ยหลิงจื่อเอง
ทั้งสองก้าวเดินออกมาในเวลาเดียวกัน จากนั้นก็ก้าวเข้าไปในค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร ภายใต้สายตาที่จ้องมองนับไม่ถ้วน
ตู้ม!
เมื่อก้าวเข้าไปคลื่นหลิงรุนแรงก็ผันผวน แปรสภาพเป็นมังกรเก้าตัวซึ่งสร้างแรงกดดันทรงพลังเล็งเป้าไปที่ร่างเสี่ยหลิงจื่อและอาจารย์ผี
“ค่ายกลนี้ไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง” อาจารย์ผีมองมังกรเก้าตัวก็ถอนหายใจด้วยความชื่นชม “มู่เฉินมีความสามารถโดดเด่นในศาสตร์ค่ายกลทั้งที่อายุเพียงเท่านี้”
แสงเย็นวาบผ่านดวงตาของเสี่ยหลิงจื่อ ยิ่งมู่เฉินแสดงความสามารถแข็งแกร่งมากเท่าไร ความตั้งใจในการฆ่าในใจเขาก็มากขึ้นเท่านั้น
“อาจารย์ผี เจ้าสามารถสกัดได้หรือไม่?” เสี่ยหลิงจื่อถาม
อาจารย์ผียิ้มอย่างภาคภูมิใจ “แม้ว่าค่ายกลนี้จะไม่ธรรมดา แต่ก็ทำอะไรข้าไม่ได้”
ฟิ้ว!
จากนั้นอาจารย์ผีก็โบกแขนเสื้อ สัญลักษญ์หลิงยิ่งพวยพุ่งออกมารวมเข้ากับมิติที่อยู่รอบๆ
ฮึ่ม!
เมื่อสัญลักษณ์หลิงยิ่งรวมเข้าในอากาศ ค่ายกลก็ก่อตัวขึ้นรอบร่างอาจารย์ผีอย่างรวดเร็ว อึดใจมิติก็บิดเบี้ยว โซ่คลื่นหลิงขนาดใหญ่เก้าเส้นถูกสร้างขึ้น ฉีกมิติเข้าโอบล้อมมังกรทั้งเก้า
“ค่ายกลกุญแจมังกรสามารถยับยั้งค่ายกลนี้ได้สบาย”
อาจารย์ผียิ้ม ตราประทับก็เปลี่ยนแปลงไปมา หมอกหลิงในค่ายกลค่อยๆ หายไปเกิดเป็นเส้นทางขึ้น
“ไปทางนั้น ช่วงเวลานี้ค่ายกลจะไม่สามารถรบกวนเจ้าได้ เมื่อไรที่เจ้าสามารถฆ่าไอ้เด็กนั่นได้ ค่ายกลนี้ก็จะแหลกสลายไปเอง”
ดวงตาของเสี่ยหลิงจื่อวูบไหว เขารู้สึกโกรธขึ้นมาบ้าง เขาคิดว่าอาจารย์ผีจะสามารถทำลายค่ายกลของมู่เฉินได้อย่างง่ายดาย ไม่คิดเลยว่าไอ้เฒ่านี่ทำได้เพียงยับยั้งไว้เท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าแม้จะอ้างว่าเป็นเรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่ง่ายเลยที่จะทำลายค่ายกลนี้
ทว่าแม้จะรู้สึกไม่พอใจ เสี่ยหลิงจื่อก็ไม่พูดมาก ตราบใดที่อาจารย์ผีสามารถยับยั้งค่ายกลของมู่เฉินได้ชั่วคราว เป้าหมายของเขาก็สำเร็จได้แล้ว
เสี่ยหลิงพยักหน้าให้กับอาจารย์ผี ก่อนที่ร่างจะเปลี่ยนเป็นลำแสงทะยานไปตามทาง ไม่กี่ลมหายใจวิสัยทัศน์ก็เปิดกว้าง ภาพภูเขาผุดขึ้นมาจากผิวน้ำในมหาสมุทรมีมู่เฉินนั่งอยู่ที่นั่น สายตาจ้องมองมาที่เขาอย่างเฉยเมย
“ไอ้เด็กเวร ข้าจะดูสิว่าเมื่อไม่มีค่ายกล แกจะพลิกสถานการณ์ได้ยังไง!” เสี่ยหลิงจื่อลอยตัวขึ้นปรากฏตัวต่อหน้ามู่เฉินพร้อมกับหัวเราะเยาะ
มู่เฉินหลุบตาลงกล่าวว่า “เดี๋ยวได้ลองแล้วก็จะรู้เอง”
“กำลังจะตายแล้วยังมาเสแสร้งอีก!”
“เท้าเทพโลหิตสะเทือนสวรรค์!”
สายตาของเสี่ยหลิงจื่อเย็นชาลง เขากระทืบฝ่าเท้าลงไป เลือดไหลลงกวาดออกไปอย่างช้าๆ กลายเป็นเท้าสีแดงเข้มขนาดใหญ่ที่มีรัศมีทำลายล้างสูงและมีฤทธิ์กัดกร่อนเมื่อบดขยี้ไปที่มู่เฉิน
ตู้ม!
เท้ากระทืบลงมาราวกับอุกกาบาต มู่เฉินสูดหายใจเข้าเจดีย์ผลึกแก้วใสก็ปรากฏขึ้นในส่วนลึกของดวงตา เขาเทคลื่นหลิงไร้ขอบเขตภายในร่างลงในเจดีย์ เปลี่ยนเป็นคลื่นหลิงคริสตัลไหลไปทั่วร่างกาย
เขายกมือขึ้น คลื่นหลิงคริสตัลก็ก่อตัวเป็นกำแพงกั้นขวางอยู่บนท้องฟ้า
ตึง!
เท้ากระแทกบนกำแพงอย่างหนัก คลื่นกระแทกที่มองเห็นด้วยตาเปล่ากวาดอาละวาดออกไป ทำให้มิติโดยรอบยุบตัวลงอย่างต่อเนื่อง
ครืนๆๆๆ!
แม้ว่ากำแพงนี้จะสามารถสกัดเท้ายักษ์ไว้ได้ แต่พลังน่าสะพรึงกลัวที่เบื้องหลังก็ทำให้ภูเขาด้านล่างพังทลายลง ในเวลาไม่กี่อึดใจร่างของมู่เฉินก็ตกลงบนพื้นผิวมหาสมุทรพร้อมกับการพังทลายของภูเขา
มู่เฉินยืนอยู่บนมหาสมุทรขณะที่มองเท้าสีแดงเข้มที่ค่อยๆ หายไปก็หดตาลง ดูเหมือนว่าแม้จะมีเจดีย์ผลึกแก้วใส แต่เขาก็ยังอ่อนแอกว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายในแง่ของพลังงาน
เสี่ยหลิงจื่อยืนบนท้องฟ้าอย่างภาคภูมิใจขณะมองไปที่มู่เฉิน ริ้วเยาะเย้ยแขวนอยู่ที่มุมปาก “ไอ้หนูตอนนี้แกรู้ช่องว่างระหว่างระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายกับขั้นต้นหรือยัง? เมื่อไม่มีค่ายกล คลื่นหลิงของแกก็ยังไม่เพียงพอที่จะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย”
เขารู้ว่าคลื่นหลิงของมู่เฉินแปลกประหลาด ดังนั้นจึงไม่ให้โอกาสมู่เฉินเข้าใกล้ เขาเลือกโจมตีระยะไกล เพราะจะสามารถนำข้อได้เปรียบของระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายมาใช้ได้เต็มที่
“เรียกร่างเวทสวรรค์ออกมาซะ มิฉะนั้นจะไม่มีโอกาสแล้ว”
เผชิญหน้ากับการเยาะเย้ยของเสี่ยหลิงจื่อ มู่เฉินก็ยิ้มอ่อน “แค่จัดการแก ยังไม่จำเป็นต้องใช้ร่างเวทสวรรค์หรอก”
“โอ้? เวลานี้ยังกล้าปากดีอีกเรอะ?” เสี่ยหลิงจื่อตอบอย่างเย็นชา
มู่เฉินยิ้มไม่พูดกับเสี่ยหลิงจื่ออีกต่อไป ทันใดนั้นเท้าเขาก็กระทืบลงที่มหาสมุทร เงาร่างหนึ่งพันร่างโผล่ออกมารวมตัวกันอยู่ด้านหลังมู่เฉิน
เมื่อร่างทั้งหนึ่งพันปรากฏขึ้น รัศมีของพวกเขาก็รวมเข้าด้วยกัน รัศมีจั้นยี่ที่ไร้ขอบเขตกวาดออกมาราวกับมหาสมุทร
เมื่อมองไปที่กองทัพ เสี่ยหลิงจื่อก็หรี่ตาแคบลงพลางเยาะเย้ย “ในที่สุดก็เอากองทัพนี้ออกมาแล้วเรอะ? แต่แกไร้เดียงสาเกินไปที่คิดว่าสามารถใช้พวกมันจัดการกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย!”
กองทัพที่มู่เฉินเรียกออกมาคือกองทัพสังหารวิญญาณ เสี่ยหลิงจื่อเคยเห็นมู่เฉินใช้ทหารเหล่านี้เพื่อจับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นของตระกูลเสี่ยเสินมาก่อน
แต่นั่นก็เป็นขีดสุดของกองทัพแล้ว ถ้ามู่เฉินต้องการใช้เพื่อจัดการกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายละก็ เสี่ยหลิงจื่อจะทำให้มู่เฉินซึ้งถึงความหมายของความจริง
ทว่าเมื่อประจันหน้าอาการเยาะเย้ยของเสี่ยหลิงจื่อ มุมปากมู่เฉินค่อยๆ โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มแปลกประหลาด “ในเมื่อพวกเขาไม่สามารถ…งั้นก็เพิ่มอีกหนึ่งกองทัพ”
ตู้ม!
ขณะที่มู่เฉินพูดจบ รัศมีจั้นยี่ที่น่ากลัวก็ระเบิดออกมาจากมหาสมุทรอีกครั้ง พลังของรัศมีจั้นยี่ทำให้ใบหน้าของเสี่ยหลิงจื่อเปลี่ยนไป
เสาน้ำจำนวนนับไม่ถ้วนยิงออกมาจากมหาสมุทร เงาร่างเริ่มปรากฏอยู่ด้านหลังมู่เฉินอย่างเงียบๆ
จำนวนนักรบประมาณหนึ่งพันคน ทุกร่างสวมชุดเกราะหนาถือเคียวสีดำ พวกเขามีลวดลายโบราณสักไว้บนร่างกาย
รัศมีจั้นยี่ที่ระเบิดออกมาจากร่างกายพวกเขาเหนือกว่ากองทัพสังหารวิญญาณอีก!
กองทัพนี้เป็นกองทัพที่ดีที่สุดของจอมพลหนึ่งแห่งวังสรรค์บรรพกาลซึ่งก็คือกองทัพดับปีศาจ!
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าซีดเซียวของเสี่ยหลิงจื่อด้วยรอยยิ้มบาง ก่อนที่เสียงจะดังก้องไปทั่วมหาสมุทรอย่างช้าๆ
“ตอนนี้…พอหรือยัง?
บทที่ 1248 กองทัพดับปีศาจ
บนผิวน้ำ
ร่างเงาหลายพันร่างยืนอยู่ราวกับก้อนหินขณะที่นิ่งไม่ไหวติง ไม่มีพลังชีวิตใดๆ เล็ดลอดออกมาจากร่างกายของพวกเขา แต่ทุกร่างเปล่งรัศมีจั้นยี่ที่น่ากลัว ทำเอาผู้ชมหัวใจสั่นคลอน
ข้อมูลหลักของมู่เฉินเป็นสิ่งที่ทุกคนทราบดี ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ว่านอกจากจะเป็นหลิงเจิ้นจงซือ มู่เฉินยังเป็นจั้นเจิ้นซือด้วย
ทว่าเรื่องนี้ไม่ได้แปลกอะไร เพราะจั้นเจิ้นซือเป็นแขนงหนึ่งของหลิงเจิ้นซืออยู่แล้ว ถ้าต้องการเป็นจั้นเจิ้นซือก็ต้องมีพื้นฐานของหลิงเจิ้นซือมาก่อน
แต่ผู้ฝึกยุทธ์โดยส่วนใหญ่มักเลือกที่จะก้าวไปบนเส้นทางเดียว ทว่ามู่เฉินกลับฝึกฝนทั้งสองศาสตร์และบรรลุความสำเร็จทั้งสองศาสตร์อีกด้วย
“กองทัพนั่นโผล่มาจากไหนอีกเนี่ย?”
“รัศมีจั้นยี่น่าตกตะลึงนัก ในทวีปซีเทียนคงมีเพียงตำหนักซีเทียนเท่านั้นที่สามารถนำกองทัพระดับนี้ออกมาได้!”
“ภูมิหลังไอ้เด็กนั่นทรงพลังอะไรเช่นนี้!”
“…”
เมื่อกองทัพดับปีศาจปรากฏตัวขึ้น ความโกลาหลก็กวนตัวรอบบริเวณ ชัดว่าจอมยุทธ์ที่แอบเฝ้ามองอยู่ต่างตะลึงไปกับไพ่ตายของมู่เฉินใบนี้
นั่นเป็นเพราะรัศมีจั้นยี่ที่เกิดขึ้นจากกองทัพดับปีศาจ ทำให้แม้แต่พวกเขายังรู้สึกว่าถูกคุกคามมากนัก
ขณะที่ผู้ชมตกตะลึง ใบหน้าของเสี่ยหลิงจื่อก็ไม่น่าดูอย่างมาก เขาจ้องเขม็งกองทัพดับปีศาจด้วยความเย็นเยือกในหัวใจ
เขาไม่เคยเห็นมู่เฉินใช้กองทัพลึกลับนี่มาก่อน ดังนั้นนี่ต้องเป็นไพ่ตายแน่ เมื่อมู่เฉินเปิดเผยการข่มขู่นี้ก็เป็นเรื่องที่น่าตกใจนัก
“ไอ้หนูนี่เป็นใครมาจากไหนกันแน่ กองทัพระดับนี้ไม่ใช่สิ่งที่ใครๆ ก็มีได้!” ใบหน้าของเสี่ยหลิงจื่อเปลี่ยนไป ในมหาพันภพจั้นเจิ้นซือเป็นศาสตร์อันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งมีพลังน่าสะพรึงกลัว แม้ว่าจะไม่ได้พึ่งพาพลังของตนเองก็ตาม
ทว่าข้อบกพร่องอย่างหนึ่งของจั้นเจิ้นซือก็คือความยากลำบากในการเลี้ยงดูกองทัพชั้นยอด นั่นเป็นเพราะจะต้องมีความมั่งคั่งและกำลังคนขนาดใหญ่ ดังนั้นจั้นเจิ้นซือจึงต้องการการสนับสนุนจากขั้วอำนาจยิ่งใหญ่
ยิ่งไปกว่านั้นกองทัพทั้งสองในมือของมู่เฉินยังเป็นกองทัพหุ่นเงารบซึ่งหายากยิ่งกว่า! นั่นเป็นเพราะมีเพียงนักรบชั้นสูงที่ใช้ทักษะลับถึงสามารถรักษาร่างของพวกเขาให้เป็นหุ่นไว้ได้ นอกจากนี้ยังมีโอกาสที่จะล้มเหลวมาก นั่นหมายความว่ากองทัพใหม่ที่มีจำนวนนักรบเกือบหนึ่งพัน อย่างน้อยก็ต้องนักรบนับหมื่นคนตอนที่พวกเขายังมีชีวิต!
แล้วแนวคิดของกองทัพจำนวนมากกว่าหมื่นคนคืออะไร? ทั่วทั้งทวีปซีเทียนคงมีเพียงตำหนักซีเทียนเท่านั้นที่สามารถบำรุงกำลังเช่นนี้ได้
ดังนั้นเสี่ยหลิงจื่อจึงคิดไม่ออกว่ามู่เฉินมีอำนาจน่ากลัวเช่นนี้ได้อย่างไรทั้งที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นเท่านั้น
“ทำไม? ไม่หยิ่งต่อแล้วเหรอ?”
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นพลางยิ้มมองไปที่เสี่ยหลิงจื่อ
มุมปากของเสี่ยหลิงจื่อกระตุก สายตาเย็นชาลง “ไอ้เวร อย่าหยิ่งนัก ถึงแกจะมีกองทัพสองกองทัพที่แตกต่างกันลึกซึ้ง ข้าก็ไม่เชื่อว่าแกจะสามารถควบคุมทั้งสองกองทัพได้!”
แม้ว่าเสี่ยหลิงจื่อจะไม่รู้ว่ามู่เฉินได้รับกองทัพทั้งสองมาได้อย่างไร แต่เขาก็มั่นใจได้ว่านักรบเหล่านี้ไม่ได้รับการเลี้ยงดูจากมู่เฉินอย่างแน่นอน ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ไม่ง่ายที่เขาจะบัญชารัศมีจั้นยี่
มู่เฉินยิ้มเมื่อได้ยินคำพูดนั่น โดยทั่วไปกองทัพหุ่นเงารบจะคงความปราถนาของตอนมีชีวิตไว้ ดังนั้นการได้มาก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถควบคุมได้ แต่นี่ไม่เหมือนกันสำหรับมู่เฉิน แม้กองทัพดับปีศาจจะเป็นของจอมพลหนึ่ง แต่มู่เฉินเป็นคนที่ได้รับมรดกสืบทอดของจักรพรรดิฟ้า แทบจะเหมือนมีสถานะประมุขรุ่นสองแห่งวังสวรรค์บรรพกาล จึงไม่มีปัญหาใดๆ สำหรับเขาที่จะสั่งการกองทัพสังหารวิญญาณและกองทัพดับปีศาจนี้
ดังนั้มู่เฉินจึงเหยียดมือโบกเบาๆ
ตู้ม!
ทันใดนั้นกองทัพทั้งสองก็ระเบิดรัศมีจั้นยี่ขึ้นปกคลุมท้องฟ้า
ทั่วบริเวณกลายเป็นสีเหลืองคล้ำ เสียงคำรามของการสังหารดังขึ้น ราวกับว่าพวกเขายาตราจากยุคโบราณผ่านเข้าสู่พื้นที่แห่งนี้
รัศมีจั้นยี่ที่ยิ่งใหญ่สองแห่งเปลี่ยนเป็นมหาสมุทร ขณะที่หมุนรอบร่างมู่เฉิน ทุกครั้งที่เคลื่อนไหวจะทำให้มิติโดยรอบสั่นสะเทือน
ร่างใหญ่สองร่างค่อยๆ ก่อตัวขึ้นจากในมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ วิญญาณสงครามของกองทัพสังหารวิญญาณเป็นอสรพิษยักษ์ที่มีลวดลายจั้นเหวินอัดแน่นอยู่บนร่างถึงหนึ่งล้านห้าแสนลาย!
ขณะที่วิญญาณสงครามของกองทัพดับปีศาจเป็นเต่ายักษ์ตัวมหึมาที่ดุร้ายแสยะเขี้ยวแหลมคม หนามผุดขึ้นจากกระดองเต่าพร้อมกับลวดลายจั้นเหวินถึงสี่ล้านลาย!
กองทัพดับปีศาจเป็นกองทัพชั้นยอดของวังสรรค์บรรพกาล ในอดีตพวกเขาเป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถต่อกรกับการรุกรานของเผ่าปีศาจมิติได้ แม้ว่าจำนวนนักรบจะลดลงเหลือไม่ถึงพัน แต่พวกเขาก็ยังคงแข็งแกร่งกว่ากองทัพสังหารวิญญาณ
ฟ่อ!
วิญญาณสงครามอสรพิษส่งเสียงขู่บนท้องฟ้าก่อนที่จะพุ่งออกมา ฉีกมิติซัดเข้าหาเสี่ยหลิงจื่อไม่ยั้ง
เผชิญหน้ากับวิญญาณสงครามอสรพิษ สายตาของเสี่ยหลิงจื่อก็มืดครึ้มลง ก่อนที่มือจะประสานกันคำรามลั่น “ร่างเงาโลหิตอมตะ!”
เหมือนมีแม่น้ำโลหิตพรั่งพรูออกมาจากร่างเสี่ยหลิงจื่อ ทันใดนั้นร่างโลหิตขนาดใหญ่หลายหมื่นจั้งก็ก่อตัวขึ้นข้างหลัง
ร่างนี้ดูลึกซึ้งมาก ดูทั้งลวงตาและสมจริงในเวลาเดียวกัน ช่างให้ความรู้สึกแปลกประหลาดนัก
นี่คือมรดกสืบทอดร่างเทห์สวรรค์ของตระกูลเสี่ยเสิน อันดับสามสิบแปดในทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง
ประจันหน้ากับกองทัพชั้นยอดของมู่เฉินสองกองทัพ เสี่ยหลิงจื่อก็ไม่กล้าออมมืออีกต่อไป เขาเร้าร่างเวทสวรรค์ออกมาทันที ด้วยกลัวตนเองจะตกอยู่ในความล้มเหลวอย่างน่าสังเวช
ตู้ม!
เมื่อร่างเงาโลหิตอมตะเผยออกมา มือสีแดงเข้มก็ตบลงมาพร้อมกับแม่น้ำโลหิตไหลมาบรรจบกันบนฝ่ามือ กระแทกใส่วิญญาณสงครามอสรพิษเต็มเหนี่ยว
ปัง!
มิติผันผวน อสรพิษก็ถูกกระแทกด้วยฝ่ามือโลหิต ท้ายที่สุดวิญญาณสงครามอสรพิษที่มีลวดลายจั้นเหวินหนึ่งล้านห้าแสนลายก็สามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ตี้จื้อจุนขั้นต้นได้เท่านั้น ยังไม่เพียงพอที่จะสู้กับตี้จื้อจุนขั้นปลาย
“บดมัน!”
ส่งวิญญาณสงครามอสรพิษกลับไปด้วยพลังฝ่ามือ เสี่ยหลิงจื่อก็มุ่งมั่นที่จะทำลายวิญญาณสงครามนี้ เพราะแบบนี้กองทัพสังหารวิญญาณจะได้รับผลกระทบด้วย
ดังนั้นมือโลหติจึงเปลี่ยนเป็นหมัดพุ่งไปยังวิญญาณสงครามอสรพิษทันที
วาบ!
ทว่าในช่วงเวลานั้นก่อนที่กำปั้นจะซัดใส่อสรพิษ เงาขนาดใหญ่ก็ทะยานมาจากด้านข้าง เต่าแสงเปล่งประกาย ปล่อยให้กำปั้นชกลงบนกระดอง
ครืนๆๆๆ!
คลื่นกระแทกที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากวาดออก ยอดเขาจำนวนมากที่ยื่นออกมาจากพื้นผิวมหาสมุทรแตกเป็นฝุ่นพร้อมกับคลื่นม้วนตัวออกไป
บนอากาศ เต่าสั่นเทิ้มเล็กน้อย แต่ก็สามารถต่อต้านการชกรุนแรงของเสี่ยหลิงจื่อได้ นอกจากนี้ในจังหวะสุดท้ายมันยังเปิดปากกัดมือโลหิตเต็มแรง
เต่ายักษ์ที่ถูกสร้างขึ้นจากกองทัพดับปีศาจมีจำนวนลวดลายจั้นเหวินถึงสี่ล้านลาย ซึ่งเป็นจำนวนมากพอที่จะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายได้ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เสี่ยหลิงจื่อจะได้เปรียบเหมือนตอนที่จัดการวิญญาณสงครามอสรพิษ
ใบหน้าของเสี่ยหลิงจื่อมืดครึ้มลง การควบคุมอย่างชำนาญของมู่เฉินในรัศมีจั้นยี่เกินความคาดหมายของเขา
โฮก!
ทว่ามู่เฉินไม่ปล่อยโอกาสให้เขาเคลื่อนไหวอีกต่อไป วิญญาณสงครามอสรพิษและเต่าปะทุขึ้นในเวลาเดียวกัน เปิดการโจมตีใส่ร่างเงาโลหิตอมตะไม่ยั้ง
ตู้ม ตู้ม!
ด้วยเหตุนี้รัศมีจั้นยี่เกรี้ยวกราดและคลื่นหลิงสีแดงเข้มปะทะใส่กันอย่างต่อเนื่องบนท้องฟ้า ทุกครั้งที่ปะทะจะทำให้มิติโดยรอบแตกออกเป็นลอนคลื่น หุบเหวมากมายหลายร้อยจั้งฉีกข้ามมหาสมุทรที่เบื้องล่าง
ความรุนแรงของการดวลกันครั้งนี้เกินจะอธิบาย
ผู้ชมมีสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อมองดูการต่อสู้ดุเดือดในท้องฟ้า
ท่ามกลางวิญญาณสงครามทั้งสองที่ภายใต้การบัญชาของมู่เฉิน วิญญาณสงครามอสรพิษอ่อนที่สุด เนื่องจากมีพลังเทียบเท่ากับระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นเท่านั้น ส่วนวิญญาณสงครามเต่าสามารถเผชิญหน้ากับระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายได้เลยทีเดียว
ถ้าสู้กันตัวต่อตัว ร่างเงาโลหิตอมตะก็ทรงพลังยิ่งกว่าด้วยซึมซับคลื่นหลิงไม่มีที่สิ้นสุดจากเสี่ยหลิงจื่อ ทว่ามู่เฉินสามารถใช้ประโยชน์จากการบัญชาสมบูรณ์แบบ เขาใช้วิญญาณสงครามอสรพิษและเต่าประสานพลังเข้าด้วยกัน สลายการโจมตีจากร่างเงาโลหิตอมตะไว้ได้ครั้งแล้วครั้งเล่า
นอกจากนี้วิญญาณสงครามทั้งสองยังโจมตีใส่ตอนเสี่ยหลิงจื่อเผลอโดยไม่ทันตั้งตัว
การโรมรันพันตูรุนแรงผิดปกติ
เมื่อเผชิญหน้ากับการปะทะนี้ ผู้ชมก็ตกตะลึงไปเพราะไม่มีใครคิดว่า ต่อให้ไม่มีค่ายกลมู่เฉินก็ยังสามารถสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายได้
บนมหาสมุทรเสี่ยหลิงจื่อมองไปที่วิญญาณสงครามที่กำลังพุ่งเข้าหาอย่างรุนแรงด้วยสีหน้าไม่น่าดู สถานการณ์ตอนนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากเห็น แม้ว่าคลื่นหลิงระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายจะทรงพลัง แต่พลังที่มู่เฉินใช้คือรัศมีจั้นยี่ ซึ่งตราบใดที่กองทัพไม่ถูกทำลายพลังงานก็จะมีไม่สิ้นสุด ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไปจะเป็นตัวเขาเองที่ต้องเสียเปรียบ
เขาต้องพลิกสถานการณ์ให้เร็ว!
ดวงตาเขาเป็นประกายวูบไหวก่อนที่จะกัดฟันคำราม “อาจารย์ผีทำลายค่ายกลซะแล้วรีบมาช่วยข้า เสร็จสิ้นการสังหารนี้ป้ายสัประยุทธ์ทั้งหมดของมันจะเป็นของเจ้า รวมทั้งข้าจะจ่ายเพิ่มอีกสองป้ายด้วย!”
เสียงคำรามนี้ทำให้ผู้ชมสั่นหัว ดูเหมือนว่าเสี่ยหลิงจื่อหลังชนฝาแล้ว
ดวงตาของอาจารย์ผีวาวโรจน์ก่อนที่จะหัวเราะร่วน “ช่างเป็นคนใจกว้างจริงๆ ในเมื่อเป็นแบบนี้ขอเวลาสักครึ่งก้านธูปเพื่อจัดการค่ายกลนี้!”
พูดจบสัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมาจากแขนเสื้อ โซ่ที่ผูกกับมังกรทั้งเก้าก็มีหนามโผล่ออกมาอย่างรวดเร็วก่อนที่จะเขมือบคลื่นหลิงของมังกรเหล่านั้น
เมื่อคลื่นหลิงหายไป ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารก็เริ่มพังทลายลง
เมื่อเห็นฉากนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้ชมในสมรภูมินี้หรือจัตุรัสก็ต่างตกตะลึงไป
เมื่อลั่วเทียนเสินเห็นฉากนี้ ใบหน้าของเขาก็เขียวคล้ำ แววกังวลวูบไหวในดวงตา
หากค่ายกลถูกทำลายและอาจารย์ผีเข้าช่วยรุม มู่เฉินแพ้แน่นอน!
บทที่ 1249 วิญญาณสงครามเต่าดำ
ครืนๆๆๆ!
ท่ามกลางค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร คลื่นหลิงที่แปรปรวนรุนแรงกวาดออกมาขณะที่มังกรพยายามดิ้นรนต่อสู้ ทว่าพวกมันก็ถูกผูกมัดไว้อย่างแน่นหนาด้วยโซ่ตรวน แสงเย็นเยือกวูบวาบบนหนามแหลมกลืนกินคลื่นหลิงในร่างของมังกรเหล่านั้นไป
ขณะที่ถูกกลืนกิน ทุกคนสามารถรู้สึกได้ว่าค่ายกลก็อ่อนกำลังลง
ในตอนนี้มู่เฉินที่ถูกเสี่ยหลิงจื่อโรมรันพันตูไม่หยุดก็ไม่สามารถแบ่งสมาธิออกมาควบคุมค่ายกลได้ ทำให้อาจารย์ผีพบช่องโหว่และทำลายค่ายกลได้ง่าย
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้คงอีกไม่นานค่ายกลก็จะแตกเป็นเสี่ยงๆ
เมื่อมู่เฉินเห็นก็ขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าเสี่ยหลิงจื่อเทหมดหน้าตักและตัดสินใจที่จะจัดการเขา แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นก็จะเป็นภัยคุกคามต่อเขาไม่น้อย
“ทำไมไม่หยิ่งอีกต่อไปล่ะ?” เมื่อเห็นสีหน้าของมู่เฉิน เสี่ยหลิงจื่อก็เยาะเย้ยพร้อมกับความสะใจพลุ่งพล่านในดวงตา
เขายอมจ่ายราคาแพงเพื่อฆ่ามู่เฉิน ดังนั้นนี่บอกได้ว่าเขาเกลียดมู่เฉินขนาดไหน
ทว่าเผชิญกับการเยาะเย้ยของเสี่ยหลิงจื่อ มู่เฉินก็แค่สะบัดแขนเสื้อ การโจมตีของวิญญาณสงครามทั้งสองบ้าคลั่งขึ้น ทำให้ร่างเงาโลหิตอมตะสั่นสะเทือนไม่หยุด
ชัดว่ามู่เฉินต้องการฆ่าเสี่ยหลิงจื่อก่อนที่อาจารย์ผีจะทำลายค่าลกลได้
ทว่าร่างเงาโลหิตอมตะไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง มันสามารถเปลี่ยนสถานะของสสารได้ หากได้รับการโจมตีรุนแรงก็จะเปลี่ยนเป็นภาพลวงตาเพื่อลบล้างความเสียหายบางส่วน
แต่ถ้ามันโจมตีก็จะมีรูปแบบแท้จริง มีความสามารถทั้งรุกและรับยากที่จะจัดการนัก
“ฮ่าๆ แกคิดจะจัดการข้าก่อนเรอะ? เป็นไอ้หนูที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริงๆ ร่างเงาโลหิตอมตะของข้าเป็นสิ่งที่แกจะทำลายได้เรอะ?” เสี่ยหลิงจื่อล้อเลียนหลังจากเห็นความตั้งใจของมู่เฉิน
จอมยุทธ์ที่เฝ้ามองโดยรอบก็ส่ายหัว ร่างเงาโลหิตอมตะของเสี่ยหลิงจื่อยุ่งยากเป็นพิเศษในการจัดการ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายก็ยังต้องเผชิญกับความยากลำบาก
แม้ว่ามู่เฉินจะมีวิญญาณสงครามทรงพลังเคียงข้าง แต่ชัดว่ายังไม่ถึงระดับที่สามารถปราบร่างเงาโลหิตอมตะได้
สถานการณ์ตอนนี้ไม่ดีต่อมู่เฉินมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
มู่เฉินก็รู้สึกเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงโบกมือเรียกอสรพิษและเต่าให้มาอยู่รอบตัว
“จะยอมแพ้รึ?” เสี่ยหลิงจื่อเค้นเสียง ในที่สุดมู่เฉินก็รู้แล้วว่าตนเองพยายามอย่างไร้ประโยชน์
มู่เฉินเหลือบมองเสี่ยหลิงจื่ออย่างไม่แยแส จากนั้นฝ่ามือก็วาดตราประทับ วิญญาณสงครามทั้งสองกวาดลงมากลายเป็นมหาสมุทรพลังหนาแน่น
คลื่นก่อต่อขึ้นเหนือมหาสมุทรอย่างต่อเนื่อง กระแสน้ำวนมหึมาก็ปรากฏ ทุกคนรู้สึกได้ว่ารัศมีจั้นยี่ของกองทัพทั้งสองพยายามรวมเข้าด้วยกันในเวลานี้
ความผันผวนที่น่าอัศจรรย์ของรัศมีก็กระเพื่อมออกไป
“หืม?”
เมื่อเสี่ยหลิงจื่อเห็นฉากนี้ ดวงตาก็หดลงก่อนที่จะเค้นเสียง “ที่แท้แกก็คิดจะหลอมรวมรัศมีจั้นยี่ของกองทัพทั้งสองเข้าด้วยกัน นั่นเป็นความคิดที่ดีทีเดียว แต่แกก็ไร้เดียงสาเช่นกัน”
ผลลัพธ์ไม่ธรรมดาแน่หากรัศมีจั้นยี่ทั้งสองกองทัพสามารถหลอมรวมเข้าด้วยกัน แต่น่าเสียดายที่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้สำเร็จ
ถ้ามู่เฉินเป็นคนที่สร้างกองทัพทั้งสองขึ้นมาเอง อาจเป็นไปได้ที่จะหลอมรวมรัศมีจั้นยี่ของพวกเขาไว้ด้วยกัน แต่เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินไม่มีความสามารถในการสร้างกองทัพดังกล่าว ดังนั้นจึงยากที่เขาจะทำได้
ผู้ชมก็พากันส่ายหัว ชัดว่ามองการกระทำมู่เฉินเป็นการดิ้นรนครั้งสุดท้ายโดยที่มีโอกาสล้มเหลวสูง
ซ่า ซ่า
ภายใต้ความสนใจ มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ก็กระเพื่อมไหวอย่างต่อเนื่อง รัศมีทั้งสองสายเริ่มติดต่อกัน ทว่าเมื่อใดก็ตามที่เกิดความพยายามที่จะหลอมรวมก็จะเกิดการปฏิเสธซึ่งกันและกัน ทำให้ล้มเหลว
“ดูเหมือนว่าแกจะล้มเหลวแล้ว” รอยยิ้มเย้ยหยันของเสี่ยหลิงจื่อหนาแน่นขึ้น ขณะที่ดวงตาหรี่แคบลง
มู่เฉินยกเปลือกตาขึ้น “จริงเหรอ?”
ทันใดนั้นมือของเขาก็กำแน่น กระบี่แก้วปรากฏขึ้นในมือ จากนั้นเขาก็เฉือนไปที่มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่
“หลอมรวม!”
เสียงคำรามดังก้อง ลำแสงกระบี่ถูกยิงเข้าสู่มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ ทำให้มหาสมุทรเดือดพล่านสงบลง พลังงานที่แตกต่างกันสองสายเริ่มหลอมรวมเข้าด้วยกัน ราวกับแม่น้ำสองสายไหลมาบรรจบกัน
ตู้ม!
ช่วงเวลานั้นทุกคนก็ได้เห็นการหลอมรวมของรัศมีจั้นยี่สุดจะพรรณนาพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าและปกคลุมทั่วทั้งภูมิภาคด้วยแรงกดดัน
ทุกคนตกตะลึงเมื่อเห็นวังวนรัศมีจั้นยี่หมุนคว้าง ก่อนที่สัตว์ประหลาดตัวมหึมาจะยาตราออกมาอย่างช้าๆ
รูปร่างคล้ายเต่าแต่ช่วงกรามดูเหี้ยมโหดขึ้นมาก ส่วนหางเป็นอสรพิษขดอยู่รอบๆ กระดอง มันส่งเสียงขู่ดังลั่นขณะที่กระจายรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตออกไป
ร่างกายเป็นเต่า หางเป็นอสรพิษ นี่ก็คือเทพอสูรเต่าดำ
ร่างมหึมาของเต่าดำถูกปกคลุมไปด้วยลวดลายจั้นเหวินที่หนาแน่นซึ่งมีจำนวนถึงหกล้านลาย!
วิญญาณสงครามที่ทรงอำนาจนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายยังเกรงกลัว
เมื่อรัศมีจั้นยี่ของกองทัพสังหารวิญญาณและกองทัพดับปีศาจควบรวมเป็นวิญญาณสงครามใหม่ ใบหน้าของเสี่ยหลิงจื่อก็แข็งค้างก่อนที่จะพึมพำด้วยความกลัวและสิ้นหวัง “เป็นไปได้ยัง?! เป็นไปได้ยังไง?!”
เขาไม่เคยคิดว่ามู่เฉินจะประสบความสำเร็จ นี่เป็นสิ่งที่มันไม่ควรทำได้!
แต่ต่อให้จะไม่เชื่อขนาดไหน เรื่องมันก็เป็นจริงแล้ว
เสี่ยหลิงจื่อรู้สึกถึงไอคุกคามจากวิญญาณสงครามเต่าดำ แม้แต่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย วิญญาณสงครามที่มีลวดลายจั้นเหวินราวหกล้านลายก็ถือว่าอยู่ในระดับสูงสุด
“อาจารย์ผีทำลายค่ายกลเร็วเข้า!”
เวลานี้เสี่ยหลิงจื่อได้แต่คำรามอย่างรีบร้อน
อาจารย์ผีที่กำลังทำลายค่ายกลอย่างสบายๆ ก็ต้องตกใจ ก่อนที่สีหน้าจะเคร่งเครียดลงหลายส่วน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะบรรลุเป้าหมายเช่นนี้
เขาสูดหายใจเข้าลึกไม่กล้าลากเวลาอีกต่อไป สัญลักษณ์หลิงยิ่งมากมายพุ่งออกมาจากแขนเพิ่มความเร็วในการเจาะทำลายค่ายกล
เขารู้ว่าถ้าเสี่ยหลิงจื่อพ่ายแพ้ในมือของมู่เฉิน ตัวเขาคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของชายหนุ่มคนนี้
ภายใต้สายตาไม่อยากเชื่อมากมาย มู่เฉินก็รู้สึกโล่งใจเมื่อมองวิญญาณสงครามเต่าดำ ที่จริงก็เป็นไปตามที่เสี่ยหลิงจื่อคาดการณ์ไว้ ปัจจุบันตัวเขายังไม่ได้มีความสามารถในการหลอมรัศมีจั้นยี่ของสองกองทัพเพื่อสร้างวิญญาณสงครามใหม่
แต่โชคดีที่เขามีกระบี่เกล็ดจักรพรรดิ… และสิ่งนี้มีรัศมีของจักรพรรดิฟ้าเคลือบอยู่ ดังนั้นเขาจึงใช้รัศมีนี้เพื่อบังคับให้เกิดการหลอมรวม
แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็ประสบความสำเร็จ
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองเสี่ยหลิงจื่ออย่างเย็นชา อีกฝ่ายไม่มีท่าทางอวดดีโดยที่ใบหน้าซีดเผือดไปหมดแล้ว
“ฉีกมันเป็นชิ้นๆ ซะ!”
มู่เฉินยิ้มเหี้ยม มือโบกลง วิญญาณสงครามเต่าดำแผดเสียงเปิดปากกว้าง กระแสรัศมีจั้นยี่ยิ่งใหญ่กวาดออก ซึ่งภายในมีเสียงคำรามแห่งการเข่นฆ่าไม่มีที่สิ้นสุด
“ปราการแม่น้ำโลหิต!”
เผชิญหน้ากับวิญญาณสงครามเต่าดำ เสี่ยหลิงจื่อก็ไม่กล้าชักช้า ตราประทับในมือเปลี่ยนแปลงวูบไหว ร่างเงาโลหิตอมตะก็เปิดปาก แม่น้ำสีแดงเลือดขนาดใหญ่พุ่งออกมากลายเป็นแนวป้องกัน
ตู้ม!
รัศมีจั้นยี่ปะทะกับปราการ ทำให้ปราการละลายเป็นชั้นๆ ทันที จากนั้นก็เจาะทะลุกระแทกร่างเงาโลหิตอมตะจังใหญ่
ในช่วงเวลาวิกฤต เสี่ยหลิงจื่อควบคุมร่างเงาโลหิตอมตะเปลี่ยนแปลงเป็นภาพลวงตาทันที ดังนั้นแม้ว่ากระแสรัศมีจ้นยี่จะปะทะเข้ามา แต่ส่วนใหญ่ก็ทะลุผ่านไป หลังจากที่กลายเป็นภาพลวงตา
ด้วยเหตุนี้กระแสรัศมีจั้นยี่ที่ตอนแรกสามารถทำร้ายร่างเงาโลหิตอมตะได้อย่างหนักหน่วงก็ทิ้งรอยหลุมแผลเอาไว้เท่านั้น ซึ่งมันได้เริ่มฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
เมื่อเสี่ยหลิงจื่อเห็นฉากนี้ ร่างกายที่เกร็งเครียดก็ผ่อนลง ดูเหมือนว่ากระทั่งรัศมีจั้นยี่ที่รวมตัวกันก็ไม่สามารถจัดการกับร่างเงาโลหิตอมตะของเขาได้อย่างง่ายดาย
ตู้ม!
ทว่ามู่เฉินยังเผยท่าทางสงบก่อนที่จะสะบัดนิ้ว กระแสรัศมีจั้นยี่ครางกระหึ่มพุ่งออกไปปะทะกับร่างเงาโลหิตอมตะอย่างต่อเนื่อง
เมื่อเสี่ยหลิงจื่อเห็นการโจมตีนี้ เขาก็เข้าสู่สถานะการป้องกันเปลี่ยนร่างเงาโลหิตอมตะให้กลายเป็นภาพลวงตาเพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายร้ายแรง
ตอนนี้เขาต้องลากเวลาให้กับอาจารย์ผีเพื่อทำลายค่ายกล พวกเขาจะได้ร่วมมือกันจัดการ ในเวลานั้นแม้จะมีรัศมีจั้นยี่ มู่เฉินก็ถึงวาระต้องตาย!
รัศมีจั้นยี่ส่งเสียงหวีดหวิวในท้องฟ้า สถานการณ์เริ่มรุนแรงขึ้นมาก ทว่าจอมยุทธ์ที่เฝ้ามองอยู่ก็ต้องขมวดคิ้ว เนื่องจากพวกเขาตระหนักว่าถึงแม้จะมีการครอบงำของเต่าดำ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผลกับร่างเงาโลหิตอมตะของเสี่ยหลิงจื่อสักเท่าไร
ด้วยสิ่งนี้เสี่ยหลิงจื่อสามารถลากเวลาออกไปได้ ขณะที่ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารเริ่มทลายลงแล้ว
“ตู้ม!”
เกิดการกระแทกกันอีกครั้ง แต่ร่างเงาโลหิตอมตะที่อยู่ในสภาวะลวงตาก็ส่งผลกระทบออกไปเกือบทั้งหมด เสี่ยหลิงจื่อยืนอยู่ด้านบนอดไม่ได้ที่จะกลั้วเสียงหัวเราะ “ไอ้เด็กเหลือขอ แกจะพยายามอย่างไร้ประโยชน์ไปถึงเมื่อไร? โง่หรือเปล่าเฮอะ?”
ได้ยินเสียงตะเบ็งของเสี่ยหลิงจื่อ รอยยิ้มเย้ยหยันก็โค้งขึ้นบนใบหน้าสงบนิ่งของมู่เฉิน ขณะที่จ้องมองอีกฝ่าย “ไร้ประโยชน์จริงเหรอ?”
เมื่อเห็นรอยยิ้มนั่น เสี่ยหลิงจื่อก็อึ้งไปก่อนที่จะก้มหัวลงมองร่างเงาโลหิตอมตะ แสงหลิงรวมเข้าด้วยกันในดวงตา วินาทีต่อมาใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปรุนแรง เขาเห็นลูกแก้วผลึกแสงนับไม่ถ้วนในร่างเงาโลหิตอมตะ โดยที่เขาไม่รู้ตัว พวกมันบินว่อนคล้ายกับหิ่งห้อย
เมื่อมองไปที่ผลึกเหล่านั้น เสี่ยหลิงจื่อก็คิดบางอย่างออก ใบหน้าซีดเผือดไปเลยทีเดียว
ขณะที่ใบหน้าเขาไร้สี มู่เฉินก็ยิ้มบางก่อนที่จะวาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว เสียงดังก้องขึ้นในใจ
“ผนึก”
เมื่อเสียงของเขาจบลง ลูกแก้วผลึกแสงก็เปล่งประกาย ปกคลุมร่างเงาโลหิตอมตะไว้ทั้งหมด อึดใจต่อมาเสี่ยหลิงจื่อก็ต้องตะลึงหวาดหวั่นเมื่อเห็นว่าสูญเสียการควบคุมร่างเงาโลหิตอมตะ ทำให้มันมืดลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังหดตัวไม่ว่าเขาจะพยายามเทพลังงานเข้าไปเท่าใดก็ตาม
“นั่นเป็นคลื่นหลิงที่ผิดปกติของมัน!”
“บุกเข้าร่างเงาโลหิตอมตะตั้งแต่เมื่อไรกัน?”
“ช่วงเวลาที่ทะลุผ่านร่างไปเรอะ?!”
ใบหน้าของเสี่ยหลิงจื่อเปลี่ยนไปรุนแรง ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมมู่เฉินจึงยังโจมตีไม่ยั้งแม้ร่างเงาโลหิตอมตะจะไม่ได้รับผลอะไรก็ตาม ที่แท้มู่เฉินไม่ได้ตั้งใจจะทำลายร่างเงาโลหิตอมตะของเขาโดยรัศมีจั้นยี่ กระบวนท่านี้ เขาแค่ต้องการอัดคลื่นหลิงที่ผิดปกติลงไป!
“ข้าต้องสร้างร่างเงาโลหิตอมตะใหม่!”
เสี่ยหลิงจื่อกัดฟันแน่นตัดสินใจลบการเชื่อมโยงกับร่างนี้อย่างเด็ดขาด ทว่าทันใดนั้นม่านผลึกก็บีบลงมาหาเขา เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นเจดีย์ผลึกแก้วใสขนาดใหญ่กดลงมา จากนั้นก็กลืนทั้งเขาและร่างเงาโลหิตอมตะเข้าไป
เจดีย์หดตัวลงอย่างรวดเร็วแล้วลอยลงมาบนฝ่ามือของมู่เฉิน
ผู้ชมต่างตกตะลึงกับฉากนี้ แม้แต่อาจารย์ผีก็สีหน้าเปลี่ยนไปมาก
ไม่มีใครคาดว่าเสี่ยหลิงจื่อและร่างเงาโลหิตอมตะที่ยืนตั้งมั่นก่อนหน้าจะถูกกักขังไว้ในเจดีย์ผลึกแก้วใสของมู่เฉินในพริบตา
มู่เฉินไม่สนใจสายตาเหล่านั้น เขาก้มมองเสี่ยหลิงจื่อที่ตื่นตระหนกอยู่ในเจดีย์ มุมปากเขาเต็มไปด้วยความตั้งใจฆ่าก่อนเสียงจะดังก้อง
“ไอ้หมาแก่ ไหนแกลองวิ่งให้ข้าดูอีกครั้งสิ?!”
บทที่ 1250 การตายของเสี่ยหลิงจื่อ
เจดีย์ผลึกแก้วใสตั้งเงียบๆ บนฝ่ามือของมู่เฉิน
ร่างเงาโลหิตอมตะและเสี่ยหลิงจื่อที่ใบหน้าปกคลุมด้วยความตกใจถูกกักขังไว้อยู่ภายใน
เขาไม่เคยคิดว่าแค่ไม่ใส่ใจวูบเดียว ตัวเองก็จะถูกกักขังอยู่ในเจดีย์ผลึกแก้วใสของมู่เฉินแล้ว
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเจดีย์นี้มีความสามารถอะไร แต่เขาสัมผัสถึงอันตรายหนาแน่นได้ ทันใดนั้นเขาจึงปลดปล่อยคลื่นหลิงออกมาโดยไม่ลังเล ควบคุมร่างเงาโลหิตอมตะหมายจะทำลายเจดีย์
“ในเมื่อเข้าไปแล้วก็อย่าหวังว่าจะได้ออกมาอีก”
ทว่าเผชิญหน้ากับการดิ้นรนนี้ มู่เฉินกลับแย้มยิ้มสดใสกระบวนท่าในมือเปลี่ยนแปลงวูบไหว ผลึกเพลิงกวาดออกภายในเจดีย์ ติดบนร่างเงาโลหิตอมตะทันที
ผลึกเพลิงลุกโชน ใบหน้าเสี่ยหลิงจื่อก็เปลี่ยนไปรุนแรง เขาตระหนักได้ว่าพร้อมกับการเผาไหม้ของผลึกเพลิง ร่างเงาโลหิตอมตะก็ลดลงอย่างรวดเร็วและเริ่มเหือดหาย
นี่ให้ความรู้สึกราวกับว่าคลื่นหลิงที่สนับสนุนร่างเงาโลหิตอมตะได้สูญเสียประสิทธิภาพไป
หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากคลื่นหลิง แม้แต่ร่างเวทสวรรค์ที่ทรงพลังก็จะสลายไปโดยไม่มีความสามารถในการต่อสู้
“เพลิงเหล่านี้…ผนึกคลื่นหลิงของข้าไว้รึ?!”
ทว่าทันใดนั้นเสี่ยหลิงจื่อก็หาเหตุผลได้ ใบหน้าของเขาถูกปกคลุมด้วยความขนพองสยองเกล้า คลื่นหลิงเป็นต้นกำเนิด ช่วงเวลาที่คลื่นของเขาถูกผนึกไว้จะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต แม้ว่าจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม
ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน ถ้าสูญเสียการคุ้มครองของคลื่นหลิงก็จะอ่อนแออย่างยิ่ง
ทว่ามู่เฉินไม่ได้สนใจอาการตกใจนั่น เพลิงในเจดีย์ถูกสร้างขึ้นจากคลื่นหลิงผลึกใส ความสามารถในการปิดผนึกเป็นสิ่งที่ครอบงำโดดเด่น ดังนั้นเมื่อเสี่ยหลิงจื่อติดอยู่ภายในก็ไม่มีหวังที่จะหนีออกมาได้ตลอดกาล
แม้ว่าเจดีย์ผลึกแก้วใสจะครอบงำ ก็เป็นไปไม่ได้ที่มู่เฉินจะจับเสี่ยหลิงได้ ถ้าเขาระมัดระวังตัวมาก
การก้าวผิดครั้งเดียวทำให้แพ้ศึกทันที!
ผลึกเพลิงวูบวาบอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ก่อนที่ร่างเงาโลหิตอมตะจะสลายตัวในเวลาไม่กี่สิบอึดใจ ร่างเสี่ยหลิงจื่อเปิดเผยออกมาทันที
การหายไปของร่างเงาโลหิตอมตะ ทำให้เสี่ยหลิงจื่อรู้สึกหวาดกลัว เขาไม่เคยคิดเลยว่าร่างเงาโลหิตอมตะที่มู่เฉินทำอะไรไม่ได้ในโลกภายนอก จะถูกจัดการง่ายดายในเจดีย์นี้
ตู้ม!
ดังนั้นเสี่ยหลิงจื่อจึงไม่กล้าที่จะอยู่ที่นี่ต่อ คลื่นหลิงระเบิดออกจากร่าง แม่น้ำโลหิตครางกระหึ่มไปรอบๆ กระแทกกำแพงทั้งสี่ด้านของเจดีย์
ฮึ่ม!
ทันใดนั้นผลึกเพลิงก็พัดเข้ามาปะทะกับแม่น้ำโลหิตที่ไร้ขอบเขต ในช่วงเวลาที่สัมผัสก็คล้ายกับแม่น้ำเจอกับลาวา จางลงไปอย่างรวดเร็ว เกิดหมอกเลือดระเหยออกไป
ทั่วสรรพางค์กายเสี่ยหลิงจื่อเย็นเยือกลงด้วยความกลัวจับใจ เขาไม่เคยคิดเลยว่าเจดีย์ผลึกใสของมู่เฉินจะสามารถครอบงำได้ขนาดนี้ ตราบใดที่ติดแหง็กอยู่ภายในก็ไม่มีทางที่จะหนีออกไปได้
ฟู่ ฟู่!
เมื่อผลึกเพลิงห่อหุ้มเขาจากทุกทิศทาง เสี่ยหลิงจื่อก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าคลื่นหลิงในร่างกายถูกผนึกอย่างรวดเร็ว หากสิ่งนี้ยังคงดำเนินต่อไป อีกไม่นานคลื่นพลังในร่างกายก็จะถูกผนึกไว้อย่างสมบูรณ์ เวลานั้นเขาก็จะสูญเสียพลังในการต่อสู้ไป
“มู่เฉิน ถ้าเจ้าปล่อยข้าไป ข้าจะมอบป้ายสัประยุทธ์ให้ทั้งหมด! นอกจากนี้ยังจ่ายค่าทดแทนให้เจ้าเป็นของเหลวจื้อจุนห้าร้อยล้านหยดจากตระกูลเสี่ยเสินด้วย!” เมื่อเผชิญหน้ากับความตายในที่สุดเสี่ยหลิงจื่อก็สูญเสียความสงบ เริ่มที่จะขอร้อง
“ของเหลวจื้อจุนห้าร้อยล้านหยด?”
มู่เฉินยกคิ้วขึ้น เสี่ยหลิงจื่อยอมจ่ายจริงๆ จำนวนนี้อาจทำให้แม้แต่ตระกูลเสี่ยเสินสิ้นเนื้อประดาตัวเลยทีเดียว
นี่เป็นราคาที่สามารถซื้ออาวุธมหสารรค์ขั้นกลางได้เลย
ทว่ามู่เฉินยังคงไม่เคลื่อนไหว เพราะเสี่ยหลิงจื่อเป็นพวกเจ้าเล่ห์เลวทราม ตอนนี้เขาได้โอกาสดีที่จะกำจัดภัยคุกคามนี้ แล้วจะให้ปล่อยให้เสือกลับไปภูเขาได้อย่างไร?
ดังนั้นเขาจึงเผยรอยยิ้มไม่แยแส กระบวนท่าในมือก็เปลี่ยนไป เพลิงในเจดีย์ผลึกแก้วใสลุกโชนขึ้นทีละน้อย เปลวไฟร้อนแรงเผาไหม้คลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตรอบตัวเสี่ยหลิงจื่อ
ในเวลาไม่กี่นาที เสี่ยหลิงจื่อก็ดูสิ้นหวังเนื่องจากไม่สามารถรู้สึกถึงคลื่นหลิงในร่างกาย
ตามความรู้สึกเขาจะต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงเพื่อให้พลังงานฟื้นขึ้น ส่วนมู่เฉินก็สามารถฆ่าเขาได้นับหมื่นครั้งในเวลาดังกล่าว
“มู่เฉิน ถ้าแกกล้าฆ่าข้าก็จะจุดชนวนความเป็นปฏิปักษ์กับตระกูลเสี่ยเสินแน่นอน! ในเวลานั้นตระกูลเสี่ยเสินของข้าจะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ตระกูลลั่วเสิน ทำให้ตระกูลลั่วเสินต้องจ่ายราคาแพงระยับเช่นกัน!” เสี่ยหลิงจื่อคำรามด้วยน้ำเสียงโหดร้ายและสิ้นหวัง
“งั้นแบบนี้…”
มู่เฉินยิ้มกับคำพูดของอีกฝ่าย “ถึงเวลานั้นค่อยล้างบางตระกูลเสี่ยเสินเอาก็แล้วกัน”
พูดจบเขาก็ไม่ลังเลอีกแล้ว เขารู้สึกว่าคลื่นหลิงของเสี่ยหลิงจื่อได้รับการผนึกอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะฆ่าอีกฝ่าย
แค่คิดผลึกเพลิงก็ระเบิดภายในเจดีย์ ก่อนที่จะควบแน่นเป็นมือใหญ่โตจับเสี่ยหลิงจื่อเอาไว้
ตู้ม!
ผลึกเพลิงกัดกร่อนร่างกายของเสี่ยหลิงจื่อ เมื่อสูญเสียการป้องกันของคลื่นหลิง ร่างเขาก็ไม่ได้ทรงพลังเหมือนเมื่อก่อน เริ่มละลายภายใต้เปลวไฟเสียงกรีดร้องดังก้องไปทั่วพื้นที่
อ๊าก!
เสียงเขย่าประสาทดังก้อง
ทว่าเสียงร้องก็คงอยู่ไม่กี่สิบลมหายใจ ก่อนที่จะหายไปอย่างสมบูรณ์ ร่างเสี่ยหลิงจื่อเหลือเพียงขี้เถ้าในเจดีย์ไว้ดูต่างหน้า
โชคดีที่คลื่นหลิงของเสี่ยหลิงจื่อถูกผนึก ไม่อย่างนั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับมู่เฉินที่จะฆ่าเขา เนื่องจากพลังชีวิตของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายทรงพลังเกินไป ต่อให้ร่างกายของพวกเขาจะละลายไปหมด พวกเขาก็สามารถใช้คลื่นหลิงฟื้นฟูกลับมาใหม่ได้
แต่น่าเสียดายนักแม้แต่พลังแข็งแกร่งก็ยังอ่อนแอเมื่ออยู่ในเจดีย์ผลึกแก้วใส
“เจดีย์นี้ครอบงำจริงๆ”
มู่เฉินถอนหายใจในใจ ไม่น่าแปลกใจว่าเผ่าฝูถูสามารถมีรากฐานเช่นนี้ในมหาพันภพ พลังแห่งสายเลือดนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ
ยามนี้เสียงกรีดร้องของเสี่ยหลิงจื่อยังสะท้อนไปทั่วมหาสมุทร ทำให้ใบหน้าเหล่าผู้ชมเปลี่ยนไปเมื่อจ้องมองมู่เฉินด้วยสายตาหวาดกลัวหนาแน่น
ไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินจะน่าสะพรึงกลัวที่สามารถสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายในเวลาเพียงสิบกว่านาทีเท่านั้น!
พวกเขารู้ว่าเสี่ยหลิงจื่อถูกฆ่าหมดจดโดยไม่เหลือร่องรอยพลังชีวิต เนื่องจากพวกเขาไม่รู้สึกถึงความผันผวนของพลังงานเสี่ยหลิงจื่อได้อีกต่อไป
สังหารจอมยุทธ์ระดับนี้ในช่วงเวลาอันสั้น มู่เฉินน่าสะพรึงกลัวขนาดไหนกัน?
ในเวลานี้พวกคนที่ตอนแรกยังมีความคิดที่จะจัดการกับมู่เฉินก็รู้สึกว่าหนังหัวาหนึบไปหมด แต่ละคนถอนสายตาอย่างรวดเร็ว ตอนนี้พวกเขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่ามู่เฉินเปรียบได้กับหมาป่าห่มหนังแกะ!
หากพวกเขาต้องการเลือกอีกฝ่ายเพราะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น คงเป็นพวกเขาที่อาจตกลงไปในนรกแทน!
“ดูเหมือนว่ามู่เฉินจะมีคุณสมบัติสู้เพื่อตำแหน่งจริงๆ”
ผู้ชมพากันถอนหายใจในใจ
จัตุรัสเมืองซีเทียนจั้น
เสียงกรีดร้องของเสี่ยหลิงจื่อทำให้ความปั่นป่วนด้านนอกเงียบลง สายตาจำนวนมากจ้องมองร่างอ่อนเยาว์บนหน้าจอด้วยความกลัว
พวกเขาไม่คิดว่าเสี่ยหลิงจื่อที่ปราบมู่เฉินได้เมื่อไม่นานจะลงเอยด้วยสถานการณ์เช่นนี้และสิ้นชีพลง
นอกจากนี้พวกเขารู้ว่าเสี่ยหลิงจื่อตายจริงแน่นอน จากน้ำเสียงโหยหวนที่เปล่งร้องยาวออกมา
นี่เป็นผลลัพธ์ที่ทำให้พวกเขาตกตะลึงมาก เพราะนี่คือจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย! แม้แต่ในมหาพันภพก็ยังถือว่าเป็นยอดยุทธ์!
ในทวีปซีเทียนคนเหล่านี้สามารถเป็นถึงผู้นำภูมิภาค ได้รับความจงรักภักดีจากผู้คนนับไม่ถ้วน
แต่เบื้องหน้าสายตาพวกเขา บุคคลเช่นนี้ถูกฆ่าโดยจอมยุทธ์หนุ่มขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น
หลายคนกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ เมื่อพวกเขามองดูร่างอ่อนเยาว์บนหน้าจอก็มีร่องรอยของความกลัวในสายตา หากใครยังคิดว่ามู่เฉินเดินอยู่บนปากขอบนรกเมื่อเขาเข้าสู่สนามรบ ตอนนี้พวกเขาก็เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่ามู่เฉินมีความสามารถแท้จริง
นอกจากนี้พวกเขายังต้องยอมรับว่ามู่เฉินกลายเป็นม้ามืดเจิดจรัสที่สุดในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย
หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้คงไม่มีใครกล้าประมาทเขาอีกเลย
ในขณะที่ทุกคนจ้องมองไปที่มู่เฉินด้วยความเคารพ ลั่วเทียนเสินก็อึ้งไปเมื่อมองมู่เฉิน ครู่ต่อมาเขาใช้ความพยายามอย่างมากในการเรียกสติกลับมา ก่อนที่เขาจะพึมพำจนริมฝีปากสั่น “เสียหลิงจื่อ…ตายแล้ว?”
ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดง เสี่ยหลิงจื่อเป็นศัตรูตัวฉกาจของตระกูลลั่วเสินและลั่วเทียนเสินก็อยากฆ่าอีกฝ่ายมานานแสนนาน แต่เขาไม่สามารถทำได้สำเร็จจนถูกพิษเอง หากไม่ได้เป็นเทพจักรพรรดิอัคคี ตอนนี้เขาคงต้องตายจากพิษไปแล้ว
ตอนแรกเขายังคิดว่าอาจต้องรอจนกว่าลั่วหลีเติบใหญ่กว่านี้เพื่อสังหารเสี่ยหลิงจื่อ ทว่าเขาไม่เคยคิดเลยว่าเสี่ยหลิงจื่อจะมาตายด้วยน้ำมือมู่เฉินในวันนี้
เขาเงยหน้าขึ้นมองมู่เฉินด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ
“ถ้าลั่วหลีรู้เรื่องนี้ นางจะต้องดีใจอย่างแน่นอน”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น