หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1241-1246

 บทที่ 1241 ผลประโยชน์จากจักรพรรดิสัประยุทธ์

เจดีย์ผลึกแก้วใสในร่างสั่นไหว


แม้ว่าสีหน้ามู่เฉินจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่ก็มีริ้วความตื่นตะลึงวาบขึ้นในส่วนลึกของดวงตา เขาไม่คิดเลยว่าเทพจักรพรรดิอัคคีจะทรงพลังขนาดนี้ สามารถสัมผัสเจดีย์ในร่างกายของเขาได้เพียงมองปราดเดียว


“จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทุกคนจะสามารถสัมผัสได้หรือ?”


มู่เฉินขมวดคิ้ว นี่ไม่ใช่ข่าวดีสำหรับเขาเพราะถ้าสิ่งนี้ไปดึงดูดเผ่าฝูถูก็สร้างปัญหาให้กับเขาไม่น้อย


แต่ในไม่ช้าเขาก็ล้มล้างความคิดออกไป เพราะเขารับรู้ได้ว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์ไม่สามารถตรวจพบการสถิตอยู่ของเจดีย์ในร่างกายของเขาได้


นั่นก็หมายความว่าไม่ใช่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทุกคนครอบครองความสามารถที่น่ากลัวนี้ นอกเหนือจากบุคคลที่อยู่ในระดับเดียวกับเทพจักรพรรดิอัคคี…


ทว่าจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกับเทพจักรพรรดิอัคคีมีน้อยมากในมหาพันภพ ดังนั้นจึงไม่ใช่บุคคลที่สามารถพบได้ง่ายๆ


เมื่อคิดแล้ว มู่เฉินก็รู้สึกโล่งใจ เทพจักรพรรดิอัคคีคอยดูแลเขา ไม่น่าที่จะเปิดเผยแม้ว่าจะสัมผัสได้ถึงเจดีย์ในร่างกายของเขาก็ตาม


ขณะที่ความคิดเหล่านี้หมุนวนอยู่ในใจของมู่เฉิน เซียวเหยียนก็ถอนสายตาออกด้วยความประหลาดใจ


“เจดีย์นั่น…ดูเหมือนว่าเป็นวัตถุเอกลักษณ์ของเผ่าฝูถู…” เซียวเหยียนคิดก่อนที่จะยิ้มบางพลางพึมพำในใจ ‘ดูเหมือนว่ามู่เฉินจะมีภูมิหลังที่น่าสนใจ’


การชำระเจดีย์จะต้องมีสายเลือดของเผ่าฝูถู แต่ไม่มีสมาชิกจากเผ่านี้อยู่รอบตัวมู่เฉิน นอกจากนี้ดูเหมือนว่ามู่เฉินจงใจพยายามหลบซ่อนการมีอยู่ของเจดีย์ไว้โดยเฉพาะ


นี่เป็นการประทำที่ควรต้องไตร่ตรอง


เซียวเหยียนยิ้ม เก็บเรื่องนี้ลงไปในสมอง ในเมื่อมู่เฉินพยายามซ่อนก็ต้องมีเหตุผลสำหรับเขาที่จะทำเช่นนั้น ตนก็จะไม่เปิดเผยโดยไม่ได้รับความยินยอมจากมู่เฉินอยู่แล้ว


“แต่เจดีย์นั่นดูเหมือนจะไม่ธรรมดา…” เซียวเหยียนเคยได้พบกับสมาชิกเผ่าฝูถูมาก่อน เขาแทบไม่เคยเห็นเจดีย์ใดที่มีรัศมีศักดิ์สิทธิ์แบบเดียวกับมู่เฉิน เห็นได้ชัดว่าระดับเจดีย์ของมู่เฉินนั้นไม่ธรรมดา


“ในเดือนเดียวก็มีพัฒนาการเพียงนี้ ดีเยี่ยมจริง” เซียวเหยียนเผยรอยยิ้มพอใจ ดูเหมือนว่าสายตาของเขาจะไม่ถั่วสินะ


“เทพจักรพรรดิอัคคี เจ้าคิดว่าทวีปซีเทียนของข้าเป็นยังไง?” ขณะนี้เองจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ยิ้มให้อีกฝ่าย


เมื่อมองไปที่จัตุรัสและฝูงชนที่ดูหรูหราเป็นพิเศษ เขาก็พยักหน้า “ทวีปซีเทียนเป็นสถานที่ที่มีจอมยุทธ์อัจฉริยะซ่อนเร้น”


จักรพรรดิ์สัประยุทธ์หัวเราะเบาๆ ก่อนจะถอนหายใจ “แต่ก็ยังด้อยกว่าเมื่อเทียบแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว”


เขาพูดจากกันบึ้งของหัวใจ จักรพรรดิสัประยุทธ์อาจจะหยิ่งยโส แต่เขาไม่ใช่คนหยิ่งผยอง ชื่อเสียงและพลังของแคว้นหวู่จิ้งฮั่วในมหาพันภพไม่ใช่สิ่งที่ตำหนักซีเทียนของเขาสามารถนำมาเปรียบเทียบได้


“จักรพรรดิสัประยุทธ์ถ่อมตัวเกินไป” เซียวเหยียนปลอบด้วยรอยยิ้ม


จักรพรรดิสัประยุทธ์ไม่ได้คงหัวข้อสนทนานี้ไว้ เขามองไปที่จัตุรัสก่อนที่จะเห็นมู่เฉินกับลั่วหลี จากนั้นก็โบกมือ


วาบ!


แสงสี่สายทะยานเข้ามา ทั่งสี่คุกเข่าคำนับเบื้องหน้าองค์จักรพรรดิ “คารวะเจ้าตำหนักซีเทียน!”


ทั้งสี่คนดึงดูดความสนใจของผู้คนในทันที หากหลายคนรู้สึกกลัวหลิ่วซิงเฉิน ซูมู่และฉู่เหมินแล้ว พวกเขาทั้งหมดก็หวาดผวาในเวลานี้


เนื่องจากทั้งสี่ก็คือเทพจอมยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียน


จอมยุทธ์บนตารางยอดนิยมที่ถูกวางตัวจะชนะในศึกนักรบทวีปครั้งนี้


“นั่นคือเทพจอมยุทธ์อีกสามคนเรอะ?”


สีหน้าของมู่เฉินเคร่งเครียดลงหลายส่วน เมื่อจดจ่ออยู่กับร่างทั้งสาม เขารู้สึกถึงรัศมีคุกคามมาจากพวกเขา


“เจ้าต้องระวังทั้งสามคนนี้ด้วย” ลั่วหลีเตือนเสียงอ่อนด้วยท่าทางที่เครียดจัด


มู่เฉินพยักหน้า พวกเขาจะต้องมีพลังแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครในเมื่อสามารถเป็นถึงอันดับต้นๆ บนตารางยอดนิยม ซึ่งเป็นบางสิ่งที่สามารถบอกได้จากสายตาที่หวาดกลัวจากผู้เข้าร่วมคนอื่นๆ


เมื่อมู่เฉินมองไปที่เทพจอมยุทธ์ทั้งสาม หลิ่วซิงเฉิน ซูมู่และฉู่เหมินก็มีสายตาครั่นคร้ามเช่นกัน ก่อนที่พวกเขาจะแลกเปลี่ยนสายตากัน มีแววบางอย่างวาบผ่านในดวงตา จากนั้นก็กดอารมณ์ให้สงบ


“ฮ่าๆ เทพจักรพรรดิอัคคีคิดว่าพวกเขาทั้งสี่เป็นยังไง?” จักรพรรดิสัประยุทธ์มองทั้งสี่ จากนั้นก็หรี่ตาถามด้วยรอยยิ้ม


กวาดสายตามองทั้งสี่ เซียวเหยียนหยุดชะงักที่หลิงจั้นจื่อ ก่อนที่จะพูดว่า “จักรพรรดิสัประยุทธ์สั่งสอนพวกเขาได้ดี ทั้งสี่คนนั้นล้วนไม่ธรรมดา”


สายตาจักรพรรดิสัประยุทธ์เหลือบมองมู่เฉินถามว่า “เทพจักรพรรดิอัคคีคิดว่าพวกเขามีโอกาสที่จะชนะในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายหรือไม่?”


เซียวเหยียนยิ้มเพราะทราบถึงความตั้งใจของจักรพรรดิสัประยุทธ์ในการถามคำถามนี้ เขาตอบอย่างนิ่งเฉยว่า “พวกเขาต่างมีโอกาสสูง แต่ทุกเรื่องล้วนมีความไม่แน่นอน บางทีอาจมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ…”


สายตาของจักรพรรดิสัประยุทธ์เปล่งประกาย เขาจะไม่รู้สึกถึงความมั่นใจที่เทพจักรพรรดิอัคคีมีต่อมู่เฉินได้อย่างไร ทันใดนั้นเขาก็หันหน้ามาทางเทพจอมยุทธ์ทั้งสามและยิ้ม “ในเมื่อเทพจักรพรรดิอัคคีกล่าวว่าอาจมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น พวกเจ้าก็จงระวังให้มาก อย่าให้ล้มเหลวล่ะ”


“รับทราบ!”


หลิงจั้นจื่อ หลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อเปล่งแสงวาบในดวงตา พวกเขาไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเทพจักรพรรดิอัคคี แต่พวกเขาก็ไม่กล้าเปิดเผยท่าทางไม่สุขใจใดๆ เมื่อเผชิญกับจอมยุทธ์ระดับนี้


จักรพรรดิสัประยุทธ์พยักหน้ามองไปที่จัตุรัสเสียงเรียบเฉยดังก้อง “บัดนี้ได้เวลาแล้ว ดังนั้นเตรียมตัวเข้าสู่สนามรบได้”


เขาโบกมือ ลำแสงนับไม่ถ้วนก็ทะยานไปตกอยู่เบื้องหน้าผู้เข้าแข่งขันทุกคน


ลำแสงสายหนึ่งพลิ้วลงมาที่เบื้องหน้ามู่เฉิน จากนั้นกลายเป็นรูปแกะสลักของกองทัพยิ่งใหญ่ซึ่งทำให้เกิดความผันผวนอันเป็นเอกลักษณ์


“ทุกคนนี่คือป้ายสัประยุทธ์ ซึ่งเป็นคุณสมบัติของเจ้า หากป้ายของใครถูกยึดก็จะเท่ากับล้มเหลว ต้องออกจากสนามรบ”


“สุดท้ายจอมยุทธ์ที่มีป้ายสัประยุทธ์มากที่สุดก็จะได้รับตำแหน่งนักรบแห่งทวีปซีเทียน”


จักรพรรดิสัประยุทธ์มองทุกคน “นอกจากนี้เพื่อเพิ่มกำลังใจในการต่อสู้ของทุกคน ข้าจะให้ประโยชน์บางอย่างกับพวกเจ้า หลังจากเข้าสู่สนามรบพวกเจ้าสามารถเทคลื่นหลิงลงไปในป้ายสัประยุทธ์เพื่อตรวจสอบคลังสัประยุทธ์ ภายในนั้นมีอาวุธมหสวรรค์ คัมภีร์ระดับเสินทง หรือแม้แต่ภาพค่ายกลให้พวกเจ้าได้เลือก”


คำพูดนี่ทำให้ความโลภพวยพุ่งในสายตาของหลายคนทันที


คลังสัประยุทธ์? ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะต้องมีสมบัติล้ำค่ามหาศาลอยู่แน่ ถ้าได้มาสักชิ้นจะทำให้การเดินทางเข้าสู่สนามรบคุ้มค่าเลย


“ในสนามรบหากต้องการแลกสมบัติก็ต้องใช้ป้ายสัประยุทธ์เป็นสิ่งแลกเปลี่ยน… ดังนั้นหากใครต้องการสมบัติวิธีที่ดีที่สุดก็คือยึดป้ายผู้อื่นมา”


“นอกจากนี้เพื่อความสะดวกในการหาเป้าหมาย ตราบใดที่มีคนครองป้ายได้มากกว่าสองป้ายที่ตั้งก็จะปรากฏให้เห็น… ”


พูดถึงจุดนี้ ประกายล้อเลียนก็วูบไหวบนใบหน้า เพราะสิ่งนี้จะจุดประกายการแข่งขันมากขึ้น


ทุกคนสาดความโลภ มองคนอื่นด้วยสายตาไม่เป็นมิตร


“จักรพรรดิสัประยุทธ์อยากให้ทั้งสนามรบวุ่นวายจริงๆ” มู่เฉินถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ อำนาจของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนช่างห่างไกลอย่างแท้จริง คำสั่งจากพวกเขาอาจทำให้จอมยุทธ์อื่นๆ ตกอยู่ในความโกลาหล


ทว่า…คลังสัประยุทธ์… ช่างเป็นเรื่องล่อใจขึ้นมาหน่อยๆ แล้วแฮะ


หลังจากที่โยนสิ่งล่อใจออกไป จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ไม่สนบรรยากาศที่เริ่มเดือดพล่าน เขาโบกมือ ท้องฟ้าก็บิดเบี้ยวรุนแรง วังวนปรากฏขึ้นสามแห่ง


“ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเข้าไป”


เมื่อเสียงจักรพรรดิสัประยุทธ์ดังออกมา ร่างแสงทั้งแปดก็ระเบิดตัวพุ่งเข้าไปในวังวน


“โอ้ มีคู่แข่งแปดคนในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเท่านั้น…” ทุกคนมองไปด้วยความอิจฉา ต้องรู้ว่ามีจอมยุทธ์มากกว่าสองร้อยคนในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายและจำนวนสูงขึ้นในขั้นต้น


แต่ไม่มีอะไรที่พวกเขาสามารถทำได้เนื่องจากจอมยุทธ์ระดับนี้มีจำนวนน้อยยิ่งกว่าน้อยแม้แต่ในตำหนักซีเทียน


“ระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย…”


เมื่อสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเปิดออกแล้ว ลำแสงหลายร้อยก็ทะยานเข้าไปในวังวน


“ข้าไปก่อนนะ” มู่เฉินส่งยิ้มให้ลั่วหลี


“สู้ๆ ระวังตัวด้วยนะ” ลั่วหลีพยักหน้าส่งรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ให้มู่เฉิน


มู่เฉินพยักหน้าร่างเปลี่ยนเป็นลำแสงติดตามผู้แข่งขันคนอื่นก็เข้าสู่วังวน


จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายเข้าสู่สนามรบเรียบร้อย จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นก็เข้ามาในวังวนเป็นลำดับสุดท้าย


เมื่อทุกคนหายตัวไปในวังวนทั้งสามแห่ง จัตุรัสก็เริ่มเดือดพล่าน ผู้คนนับไม่ถ้วนเงยหน้าขึ้นสูง


ลั่วเทียนเสินก็อยู่ท่ามกลางฝูงชน เขามองวังวนที่หายไปก็หายใจลึกพร้อมกับความคาดหวังวูบไหวบนใบหน้าแก่ชรา


ศึกนักรบทวีปได้เริ่มขึ้นแล้ว


บทที่ 1242 ค่ายกลรบสามกำลัง

ผ่านวังวนเข้ามา


มู่เฉินก็ลืมตาขึ้น ภาพทิวทัศน์เบื้องหน้าถูกย้อมด้วยสีเหลืองคล้ำ พระอาทิตย์ตกเหมือนเป็นสีเลือด ทั้งมิติราวกับตกอยู่ในความรกร้าง


“นี่คือสนามรบครั้งนี้เหรอ?” มู่เฉินมองความขมุกขมัวก็ตกอยู่ในภวังค์ความคิด


เห็นได้ชัดว่านี่เป็นมิติขนาดเล็กที่จักรพรรดิสัประยุทธ์สร้างขึ้น ตอนนี้จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ทั้งหมดได้เข้ามาอยู่ในมิตินี้ การต่อสู้ดุเดือดกำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า


เป็นการต่อสู้ที่ไม่มีใครหน้าไหนได้รับการยกเว้น


ทว่ามู่เฉินก็ไม่ได้ตื่นเต้น เขาครุ่นคิดสั้นๆ ไม่คิดรีบจะเดินทาง เขากำมือแล้วแบออกป้ายสัประยุทธ์ก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา


ป้ายนี้มีความสำคัญสำหรับทุกคนที่เข้าร่วมการศึกนักรบทวีป เพราะถ้าสูญเสียป้ายก็จะหมายถึงความล้มเหลว พวกเขาจะถูกลบออกจากมิตินี้ทันที


นอกจากนี้ป้ายสัประยุทธ์ยังเชื่อมโยงกับคลังสัประยุทธ์ ซึ่งเป็นคลังสมบัติของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ดังนั้นสมบัติทุกชั้นในนั้นจึงมีค่ามหาศาลแบบไม่ต้องสงสัยแน่นอน


มู่เฉินจับป้ายแล้วเทคลื่นหลิงเข้าไป ก่อนที่หน้าจอแสงจะยิงออกจากป้ายเพื่อแสดงรายการสมบัติล้ำค่าทุกประเภท แม้จะไม่ได้เป็นภาพจริง แต่เขาก็ยังรู้สึกถึงรัศมีสมบัติที่ถูกปลดปล่อยออกมา


“คัมภีร์ระดับเสินทงขั้นเต็ม ทักษะดาวประกายพรึก… สิบป้ายสัประยุทธ์”


“อาวุธมหสวรรค์ขั้นต่ำ พลองร้อยมังกร… สี่ป้ายสัประยุทธ์”


“อาวุธมหสวรรค์ขั้นกลาง ป้ายหินโกฏิวิญญาณ…สิบสามป้ายสัประยุทธ์”


“ลำดับเจ็ดสิบเก้าของคัมภีร์ร่างเทห์สรรค์เก้าสิบเก้าร่าง ร่างพระวิญญาณ…เก้าป้ายสัประยุทธ์”


“…”


เมื่อมองรายการสมบัติ มู่เฉินก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้ ในดวงตาอัดแน่นได้ด้วยความโหยหา คลังสมบัติของจักรพรรดิสัประยุทธ์สมกับเป็นการสะสมของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนแท้จริง ทุกชิ้นมีค่ามหาศาลในมหาพันภพเลยทีเดียว


ทว่าวันนี้จักรพรรดิสัปะระยุทธ์กลับยอมปล่อยพวกมันเพื่อผลประโยชน์ ผู้คนต้องถอนหายใจกับฐานะที่ร่ำรวยของเขาจริงๆ


“ป้ายหินโกฏิวิญญาณอาวุธมหสวรรค์ขั้นกลาง…”


มู่เฉินมองไปที่สมบัติที่เรียกน้ำลายเกือบสอ ต้องรู้ว่าพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจที่อยู่ในมือมั่นถัวหลัวก็แค่ขั้นกลางเช่นกัน


ส่วนตัวเขาก็ได้ครอบครองแค่พัดสายลมและป้ายขวางสมุทรซึ่งอยู่ในขั้นต่ำทั้งคู่


“แต่สิ่งแลกเปลี่ยนก็คือสิบสามป้ายสัประยุทธ์…นั่นหมายความว่าต้องได้ป้ายจากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายสิบสามคน” ทว่าแม้เขาจะถูกล่อลวง แต่ก็ต้องถอนหายใจจนใจจากเงื่อนไข เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำสำเร็จ


“แพงเกินไป…”


มู่เฉินมองรายการอยู่นานก่อนที่จะถอนหายใจ มีสมบัติมากมายที่เขาสนใจ แต่เงื่อนไขช่างสูงลิบลับ


ตามสถานการณ์ปกติจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายทั่วไปที่มีความสามารถและโชคช่วยก็น่าจะได้รับป้ายหกเจ็ดป้าย ซึ่งยังไม่เพียงพอสำหรับอาวุธมหสวรรค์ขั้นกลางเลย…


นอกจากนี้หากเป็นไปตามที่เขาคาดไว้ การแลกเปลี่ยนสมบัติก็หมายความว่าเขาจะสูญเสียโอกาสที่จะได้อันดับหนึ่ง


เนื่องจากนักรบทวีปจะต้องเป็นของผู้ที่มีป้ายสัประยุทธ์มากที่สุด…


เมื่อเป็นเช่นนี้คนที่มีความทะเยอทะยานที่จะได้รับตำแหน่งนี้ก็คงไม่เต็มใจที่จะแลกเปลี่ยนสมบัติจากคลัง แม้ว่าพวกเขาจะถูกล่อลวงก็ตาม


นั่นหมายความว่าคลังสัประยุทธ์คล้ายกับรางวัลปลอบใจสำหรับคนที่ไม่สามารถชิงตำแหน่งได้


“ไม่มีของดีราคาถูกมั่งเลยเหรอ?” มู่เฉินเบ้ปาก นิ้วเลื่อนหน้าจอพลางส่ายหัว จากนั้นก็เตรียมปิด


“หืม?”


ทว่าขณะที่เขาคิดจะปิด ทันใดนั้นเขาก็เห็นของสิ่งหนึ่ง มือของเขาหยุดชะงักชั่วคราว


“ค่ายกลรบสามกำลัง… “


สายตาของมู่เฉินจ้องเขม็งตรงภาพกระบวนทัพสงครามที่หายาก ที่สำคัญยังใช้จำนวนคนเพียงสามคนเท่านั้น


นี่เป็นสิ่งที่แปลกประหลาดเนื่องจากค่ายกลสงครามเป็นของจั้นเจิ้นซือ ซึ่งกองทัพที่พวกเขาควบคุมต้องมีอย่างน้อยในหลักพันถึงหลายหมื่น คนที่โดดเด่นกว่านั้นจะมีเป็นหลักแสนหรือล้านเลยทีเดียว


แล้วค่ายกลสงครามรูปแบบสามคนนี้คืออะไรกัน?


ความประหลาดใจแวบเข้ามาในดวงตา ก่อนที่เขาจะแตะเบาๆ ทันใดนั้นก็มีข้อมูลมหาศาลไหลเข้ามาในสมอง ความแปลกประหลาดก็วาบบนใบหน้าเมื่อรับข้อมูล


ที่แท้ค่ายกลรบสามกำลังถูกสร้างขึ้นโดยจั้นเจิ้นซือสมัยโบราณที่สามารถสร้างลวดลายจั้นเหวินได้ห้าล้านลวดลาย บุคคลเช่นนี้ถือได้ว่าโดดเด่นแม้จะอยู่ในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายก็ตาม


ทว่าจั้นเจิ้นซือผู้นี้แปลกมาก กองทัพของเขาไม่ได้มีจำนวนหลักพันหรือหลักหมื่น แต่มีเพียง…จอมยุทธ์สองคน


พูดให้ชัดเจนก็คือเป็นแฝดสองคนของเขา


ทว่าทั้งสองคนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย


โดยทั่วไปแล้วเป็นไปไม่ได้ที่ไป่วั่นเหวินจั้นเจิ้นซือจะใช้จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายสองคนเป็นแหล่งกำเนิดของรัศมีจั้นยี่ เนื่องจากแต่ละคนทรงพลังเกินไป คลื่นรัศมีจั้นยี่ของพวกเขาจะเต็มไปด้วยความระแวดระวัง ถ้าไป่วั่นเหวินจั้นเจิ้นซือพยายามควบคุมก็จะได้รับผลกระทบจากการตอบโต้ของรัศมีจั้นยี่


แต่แตกต่างกันสำหรับพวกเขา เพราะพวกเขาเป็นแฝดสาม ดังนั้นหัวใจของพวกเขาจึงเชื่อมโยงกันและยอมรับรัศมีจั้นยี่ของกันและกันได้ ดังนั้นพี่น้องทั้งสองจึงเปรียบได้กับทหารนับล้านหรือแม้กระทั่งหลายสิบล้านคน


ด้วยการเชื่อมโยงที่อัศจรรย์ใจนี้ บวกกับความลึกซึ้งของการสร้างค่ายกลรบสามกำลัง ไป่วั่นเหวินจั้นเจินซือผู้นี้สามารถท้าทายจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มและสังหารลงได้!


โดยทั่วไปแม้ว่าจะเป็นการผนึกกำลังของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายสามคน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ทว่าไป่วั่นเหวินจั้นเจิ้นซือคนนี้กลับสามารถสังหารจอมยุทธ์ระดับนี้ร่วมกับพี่น้องทั้งสอง ด้วยค่ายกลรบสามกำลังผลลัพธ์นี้ก่อให้เกิดความตกใจกับผู้คนนับไม่ถ้วน


“ไม่คิดว่าจะมีเรื่องแปลกประหลาดเช่นนี้ในโลก”


ใบหน้าของมู่เฉินเต็มไปด้วยริ้วความตะลึงจากข้อมูล เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินมาว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายสองคนสามารถเป็นกำลังให้ไป่วั่นเหวินจั้นเจิ้นซือได้


แต่ก็เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่ผู้อื่นจะทำเลียนแบบ เนื่องจากพวกเขาเป็นพี่น้องฝาแฝดที่มีหัวใจเชื่อมโยงกัน จึงสามารถควบคุมพลังอำนาจยิ่งใหญ่ของรัศมีจั้นยี่ที่รวมกันโดยไม่ตอบโต้กัน


แน่นอนว่าเหตุผลสำคัญที่พวกเขาสามารถฆ่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้ก็เพราะค่ายกลรบสามกำลัง


ความลึกซึ้งของค่ายกลสงครามนี้ได้รวมพวกเขาเป็นหนึ่งเดียวอย่างแท้จริง มิหนำซ้ำยังขยายพลัง ทำให้พวกเขาบรรลุความสำเร็จที่น่าตื่นตาได้ในที่สุด


ทว่า…


สิ่งที่คนอื่นไม่สามารถบรรลุได้ ไม่ได้หมายความว่ามู่เฉินทำไม่ได้…


มู่เฉินมองค่ายกลรบสามกำลังด้วยดวงตาลุกโชน


แม้เขาจะไม่มีพี่น้องแฝด แต่เขามีวิชาสามพิสุทธิ์!


อีกสองคนเป็นร่างรองของเขา ดังนั้นความเชื่อมโยงระหว่างพวกเขาจึงแข็งแกร่งกว่าพี่น้องฝาแฝด เมื่อพูดในระดับหนึ่งความเข้ากันได้ที่เขามีกับค่ายกลรบสามกำลังสามารถชนะแม้กระทั่งพี่น้องแฝดสามได้!


ค่ายกลรบสามกำลังสร้างขึ้นมาสำหรับเขาจริงๆ!


มู่เฉินเลียริมฝีปากด้วยความปรารถนาวูบไหวตา แม้ว่านี่จะเป็นเพียงการคาดเดาตอนนี้ แต่เขาจะต้องได้รับค่ายกลรบสามกำลังนี้!


ด้วยการเสริมพลังของค่ายกลนี้ พลังของวิชาสามพิสุทธิ์จะยิ่งเพิ่มขึ้นทบทวี!


ดังนั้นมู่เฉินเลื่อนสายตาไปด้านหลัง ซึ่งได้แสดงราคาเอาไว้


ค่ายกลรบสามกำลัง สี่ป้ายสัประยุทธ์


มู่เฉินรู้สึกโล่งใจกับราคานี้ ถึงแม้ว่าค่ายกลรบสามกำลังจะลึกซึ้ง แต่เงื่อนไขเข้มงวดเกินไป ในโลกนี้ไม่มีแฝดสามมากมาย ซ้ำหนึ่งในนั้นต้องเป็นจั้นเจิ้นซืออีกด้วย


ดังนั้นราคาของค่ายกลรบสามกำลังจึงเปรียบได้กับอาวุธมหสวรรค์ขั้นต่ำเท่านั้น


ทว่าสำหรับมู่เฉินแล้ว มูลค่าค่ายกลนี้สูงยิ่งกว่าคัมภีร์ระดับเสินทงขั้นเต็มเสียอีก


มู่เฉินแตะเบาๆ บนหน้าจอ จากนั้นก็กำกำปั้นเก็บป้ายไป เขาเงยหน้าขึ้นมองขอบฟ้าด้วยรอยยิ้ม


ดูเหมือนว่าเขาจะต้องหาป้ายสัประยุทธ์สี่ป้ายอย่างรวดเร็ว ไม่งั้นจะเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่สำหรับเขาถ้ามีคนอื่นมาแลกไป


“ในเมื่อเป็นแบบนี้…”


มู่เฉินกำมือด้วยรอยยิ้มพลางพึมพำ “ต่อไปถึงเวลาการออกล่าของข้าแล้ว…”


พูดจบเขาก็ยิ้มเสียงเบา ไม่มีอาการลังเลอีกต่อไปก่อนจะสะบัดแขนเสื้อ เปลี่ยนเป็นร่างแสงพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วมุ่งหน้าเข้าไปในสนามรบ


เป้าหมายแรกของเขาคือได้ป้ายสัประยุทธ์ทั้งสี่ป้ายโดยไม่คำนึงถึงวิธีการใด!


บทที่ 1243 ชายเสื้อคลุมเพลิง

ฟิ้ว!


พื้นที่กว้างใหญ่ขมุกขมัวระหว่างฟ้าดิน เงาลุกโชติช่วงพุ่งผ่านขอบฟ้า เขาเป็นชายแต่งกายด้วยชุดคลุมยาวสีแดงที่มีเปลวไฟเต้นระริกอยู่บนร่างกาย


นี่เป็นเอกลักษณ์จากคลื่นหลิงเพลิงทรงพลังที่เขาฝึกฝน ทำให้คลื่นหลิงที่ปล่อยออกมาเหมือนเสื้อเพลิงห่อหุ้มเขาไว้


ขณะนี้เขากำลังกวาดมองไปรอบๆ ราวกับเหยี่ยวออกล่า


สายตากวาดไปมาค้นหาเหยื่อ เมื่อพบใครที่อ่อนแอกว่าก็จะเข้าไปจัดการและแย่งป้ายสัประยุทธ์มาเป็นของตน


ทว่าสถานะระหว่างเหยื่อกับนักล่าสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาในสนามรบแห่งนี้ ดังนั้นเขาจึงต้องระมัดระวังอย่างมาก ถ้าพบว่าอีกฝ่ายทรงพลังเกินไปก็จะหลบหนีไปทันที


ด้วยทักษะการหลบหลีกขั้นเทพที่ไม่เหมือนใคร ทำให้เขามั่นใจว่ามีจอมยุทธ์ที่ขุมพลังเดียวกันไม่มากที่สามารถตามจับเขาได้


นอกจากนี้หากคู่ต่อสู้ไล่ตาม เขาสามารถใช้สถานการณ์เพื่อทำให้คู่ต่อสู้อ่อนล้าและชิงความได้เปรียบในการต่อสู้


ก่อนหน้านี้เขาได้ใช้กลยุทธ์ที่ศัตรูไล่ล่าและตนหลบหนี ชิงป้ายสัประยุทธ์มาได้ป้ายหนึ่งแล้ว


ตอนนี้เขามีป้ายสัประยุทธ์สองป้ายที่กำลังหมุนช้าๆ เหนือฝ่ามือ เขายิ้มบางเนื่องจากรู้ว่าเป็นไปไม่ได้สำหรับตนเองที่จะครองอันดับหนึ่งในสถานที่ซึ่งมีจอมยุทธ์มากมายมารวมตัวกัน ดังนั้นตำแหน่งนักรบทวีปจึงไม่ได้เป็นเป้าหมายของเขา แต่ทำเพื่อใช้ป้ายเหล่านี้แลกเปลี่ยนของบางอย่างจากคลังสัประยุทธ์


เขาสามารถถอนตัวออกจากการแข่งขันเมื่อได้สมบัติที่ต้องการ ส่วนตำแหน่งก็ปล่อยให้คนอื่นๆ ต่อสู้กันไป…


“หืม?”


ขณะที่เกิดความคิด จู่ๆ ท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไป ดวงตาหรี่ลงมองไปที่เทือกเขาที่อยู่ห่างไกล เขารู้สึกถึงความผันผวนของพลังงานบางจางที่กำลังแอบหนีอย่างเงียบๆ ในขณะนี้


เจ้าของคลื่นพลังกำลังพยายามอย่างที่สุดเพื่อปกปิดคลื่น แต่ชายเสื้อคลุมเพลิงก็ยังรู้สึกถึงคนคนนั้นได้อยู่


เปลวไฟรวมตัวในดวงตาของเขา วิสัยทัศน์ก็ย่นระยะมองเห็นร่างเงาที่อยู่ลึกเข้าไปในเทือกเขาทันที


“จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น?”


เมื่อชายเสื้อคลุมเพลิงเห็นร่างอ่อนเยาว์ เขาก็อึ้งไปก่อนที่รอยยิ้มจะโค้งขึ้นบนริมฝีปาก “มู่เฉินเหรอ?”


ในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายมีจอมยุทธ์หนึ่งเดียวที่มีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น นั่นก็คือมู่เฉิน


เมื่อชายเสื้อคลุมเพลิงรู้สึกถึงการมีอยู่นั้น อีกฝ่ายก็เหมือนจะรู้สึกเช่นกัน เขาพุ่งหนีทันที ร่างเปลี่ยนเป็นลำแสงทะยานข้ามภูเขาอย่างต่อเนื่องเพื่อพยายามหลบหนี


“เฮ้ ป้ายสัประยุทธ์ที่ส่งมาถึงหน้าบ้านจะปล่อยให้หลุดมือไปได้ยังไง?”


ชายเสื้อคลุมเพลิงยิ้มกว้าง ก่อนที่จะกระทืบเท้า เปลวไฟปะทุออกมาจากนั้นร่างก็หายไป เขาไปปรากฏขึ้นเหนือเทือกเขา ซัดฝ่ามือลงมา


เขาเป็นคนระวังตัว เนื่องจากเคยได้ยินเรื่องการต่อสู้ระหว่างมู่เฉินกับสงป้า ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าเป็นการดีที่สุดที่คลื่นหลิงของเขาจะไม่สัมผัสกับมู่เฉิน


ดังนั้นเขาจึงไม่คิดที่จะเข้าใกล้มู่เฉินในการปะทะกันตัวต่อตัว เลือกที่จะระดมยิงคลื่นหลิงจากระยะไกล


ตู้ม!


ฝ่ามือขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยคลื่นหลิงเพลิง โอบล้อมป่าในเทือกเขาทำให้ป่าไม้กลายเป็นทะเลเพลิงทันที


ปัง!


ทว่าเงาของมู่เฉินกลับสามารถหลบหนีไปได้ในช่วงเวลาสำคัญ แต่คลื่นกระแทกรุนแรงก็ทำให้เขาดูน่าสมเพช


ทว่ามู่เฉินไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับสภาพตอนนี้ เขายังคงวิ่งต่อไป


“คิดหนีเรอะ?”


ชายเสื้อคลุมเพลิงหัวเราะเบาๆ แต่ไม่ได้วิ่งไล่ทันที สายตาของเขากวาดไปทั่วภูเขา หลังจากค้นพบว่าไม่มีคลื่นหลิงอื่นใดรอบตัว เขาก็เปลี่ยนร่างเป็นลำแสงและไล่ล่าอีกฝ่ายไป


ในสนามรบแห่งนี้ ไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายคนไหนที่จัดการได้ง่าย การพยายามที่จะได้รับป้ายสัประยุทธ์จากพวกเขายากมาก ดังนั้นจอมยุท์ตี้จื้อจุนขั้นต้นจึงเปรียบเสมือนอ้อยเข้าปากช้าง


แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ต้องระมัดระวัง เพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่ตกลงไปในกับดัก…


เมื่อเกิดความคิดนี้ ชายเสื้อคลุมเพลิงก็ไล่ล่ามู่เฉินโดยเว้นระยะห่าง ส่งการโจมตีทำลายล้างเป็นครั้งคราวเพื่อทำให้มู่เฉินหมดแรงให้จงได้


ดังนั้นยามนี้เทือกเขาตลอดทางจึงกลายเป็นทะเลเพลิงอย่างต่อเนื่องพร้อมร่างเงาวิ่งหลบหนีอยู่ที่เบื้องหน้า…


จัตุรัสเมืองซีเทียนจั้น


เหล่าผู้ชมมองไปที่หน้าจอด้านบนที่ฉายฉากมากมาย


แต่ละหน้าจอฉายฉากที่จอมยุทธ์กำลังเกิดการต่อสู้ดุเดือดเลือดพล่าน


ชัดว่าหน้าจอเหล่านี้สะท้อนให้เห็นภาพสถานการณ์ในสนามรบทั้งสาม


ตราบใดที่มีการต่อสู้เกิดขึ้นก็จะมีการฉายภาพขึ้นเพื่อให้ทุกคนได้ดู


“หลิงจั้นจื่อน่ากลัวมาก… ผ่านไปไม่นานเขาก็เอาชนะคนสามคนได้แล้ว!”


“หลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อก็ไม่ได้ด้อยกว่า พวกเขาชนะคนไปสองคนแล้ว…”


“จุ๊ๆ ลั่วหลีไร้เทียนทานในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นนัก…”


“ความสำเร็จของหลิงเฟยจื่อก็น่าตกใจไม่แพ้กัน…”


“…”


ขณะที่ผู้ชมเฝ้าดูก็จะมีเสียงไชโยโห่ร้องและอุทานดังออกมาเป็นครั้งคราว


ลั่วเทียนเสินก็กำลังเฝ้าดูพร้อมกับฝูงชนด้วยสีหน้าปีติยินดีนัก เมื่อเห็นหลานสาวโผทะยานไปทั่วสนามรบ


แม้ว่าลั่วหลีจะเพิ่งบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่เนื่องจากได้รับมรดกของลั่วเสิน รากฐานของนางจึงแข็งแกร่งอย่างยิ่ง นอกจากนี้นางยังมีวิธีมากมายที่แม้แต่ผู้เป็นปู่ก็ไม่ทราบ เห็นได้ชัดว่ามาจากการสืบทอดมรดกของลั่วเสินที่นางได้รับ


“ลั่วหลียังไม่ได้ใช้ร่างเทพวารี หากนางใช้ละก็จะมีคนไม่มากที่สามารถคุกคามนางในสนามรบได้” ลั่วเทียนเสินลูบเครา สายตามองไปยังหน้าจออื่น จากนั้นคิ้วเขาก็ขมวดขึ้นเล็กน้อย


เนื่องจากช่วงเวลานี้เขาไม่เห็นแม้แต่เงาของมู่เฉิน ซึ่งนั่นหมายความว่ามู่เฉินยังไม่ได้เริ่มการเคลื่อนไหวใดๆ ประสิทธิภาพเช่นนี้ต่ำกว่าพวกหลิงจั้นจื่อมาก


ทว่าลั่วเทียนเสินรู้ดีว่าด้วยขุมพลังระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นของมู่เฉินเป็นเรื่องยากมากที่จะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ดังนั้นเขาจึงได้แต่ภาวนาว่ามู่เฉินจะมีหนทางราบรื่น


“ฮ่าๆ นั่นไม่ใช่มู่เฉินเหรอ?”


“ทำไมเขาถึงหนีอย่างน่าสมเพชเช่นนั้น… ดูเหมือนว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายจะแรงไปสำหรับเขานะ”


“เขาหยิ่งผยองและกล้าดูถูกทวีปซีเทียนเอง หึ ตอนนี้เขาจะได้รู้ซึ้งถึงพลังที่แท้จริงของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายเมื่อลงมือสู้…”


ทันใดนั้นเสียงดังขึ้นกะทันหันก็ดึงดูดความสนใจของลั่วเทียนเสิน เขาหันไปที่หน้าจอนั่นทันที เขาเห็นเปลวเพลิงสีแดงเข้มลุกโชนเป็นทางตามเทือกเขา เงาร่างหนึ่งกำลังหลบหนีซึ่งก็คือมู่เฉินนั่นเอง!


ผู้คนโดยรอบก็เห็นภาพนี้ แต่ละคนหัวเราะกันเอิ้กอ้าก ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยได้ยินว่ามู่เฉินเป็นคนพิเศษเพียงใด แต่จากที่ดูเขาตอนนี้ เหมือนจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาแล้ว


ทว่าลั่วเทียนเสินกลับหรี่ตาแคบลง แต่ก็ไม่ได้กังวล เนื่องจากตัวเขาเข้าใจวิธีของมู่เฉินดี ด้วยความแข็งแกร่งที่มีมู่เฉินไม่มีทางอยู่ในสภาพน่าสมเพชจากการไล่ล่าของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายคนเดียวแน่นอน…


ดังนั้น…มีเหตุผลเดียวที่เขาทำเช่นนี้


แสดงความอ่อนแอเพื่อล่อลวงศัตรูให้ติดกับดัก


ตู้ม!


ภายใต้ฝ่ามือเพลิงภูเขาหนึ่งลูกก็ลดจนกลายเป็นเถ้าถ่าน ชายสวมเสื้อคลุมเพลิงมองมู่เฉินที่แม้จะดูน่าสมเพช แต่ก็ยังสามารถวิ่งหลบซ้ายป่ายขวาได้ไม่หยุด เขาเริ่มขมวดคิ้วรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นเล็กน้อย


“ข้าลากการต่อสู้นี้ไม่ได้อีกแล้ว ถ้าดึงดูดคนอื่นเข้ามาอาจทำให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน” สายตาชายสวมเสื้อคลุมเพลิงเคร่งขรึมลงเมื่อมองไปยังมู่เฉินที่หนีไปยังภูเขาอีกลูกหนึ่ง เขาไม่ลังเลอีกต่อไปโบกแขนเสื้อทันที เมฆเพลิงยิงออกมากลายเป็นม่านล้อมรอบภูเขาที่มู่เฉินอยู่


หลังจากปิดผนึกเทือกเขาทั้งหมด ชายสวมเสื้อคลุมเพลิงก็กลายเป็นร่างแสงทะยานออกมาก่อนที่จะปรากฏขึ้นเหนือเทือกเขาแห่งนี้ สายตาจ้องมองอีกฝ่ายนิ่ง


“ทำไมไม่วิ่งต่อแล้วล่ะ?” ชายสวมเสื้อคุลมเพลิงเยาะเย้ยด้วยสายตาเย็นชา


ทว่ามู่เฉินกลับเหยียดเอวเมื่อเผชิญหน้ากับการเยาะเย้ย เขาเงยหน้าขึ้นด้วยรอยยิ้มประดับบนใบหน้า “ก็เจ้าระมัดระวังตัวแจ ข้าเลยต้องวิ่งอ้อมซะไกลเพื่อลดความระแวงของเจ้า…”


เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ชายเสื้อคลุมเพลิงก็รูม่านตาหดเกร็ง เปลวเพลิงระเบิดออกมาจากฝ่าเท้าโดยไม่ลังเล ทันใดนั้นเขาก็เร้าวิชาเพลิงทะยานเพื่อหลบหนี


ไม่ว่าคำพูดของมู่เฉินจะใช่เรื่องจริงหรือไม่ ที่เขาระวังตัวก็เพราะต้องการความปลอดภัยไว้ก่อน อย่างมากถ้าพบว่ามู่เฉินโกหก เขาก็แค่ไล่ตามต่อ


ผลัวะ!


แต่เมื่อเผชิญหน้ากับปฏิกิริยารวดเร็วของชายเสื้อคลุมเพลิง มู่เฉินก็ยิ้มบางก่อนจะเหยียดมือออกมาพร้อมกับเสียงโปร่งดังสะท้อน


ตู้ม!


ทันทีที่เสียงดังขึ้น ทั้งเทือกเขาก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น เสาคลื่นหลิงนับไม่ถ้วนพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ถักทอเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ล้อมรอบพื้นที่ทั้งหมดในทันที


ค่ายกลที่ก่อตัวนี้ประกอบไปด้วยมังกรคลื่นหลิงเก้าตัวภายใน พวกมันจ้องมองอย่างดุเดือดบนร่างชายสวมเสื้อคลุมเพลิง


มู่เฉินมองสีหน้าไม่น่าดูของอีกฝ่ายก็ยิ้มอ่อน “นี่คือสภาพสมบูรณ์แบบของค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร ลองลิ้มชิมรสดูหน่อยนะ”


บทที่ 1244 เริ่มสู้ยกที่หนึ่ง

มังกรเก้าตัวบินฉวัดเฉวียนบนท้องฟ้า


ปลดปล่อยคลื่นหลิงน่าสะพรึงกระจายไปทั่ว เสียงคำรามราวกับลูกคลื่น ทำให้มิติโดยรอบบิดเบี้ยวจากแรงกดดันนี้


ชายเสื้อคลุมเพลิงสีหน้าน่าเกลียดลงเมื่อเผชิญหน้ากับมังกรเก้าตัว ก่อนที่จะมองมู่เฉินที่ยืนยิ้มกริ่มบนภูเขา เขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่าตนเองตกหลุมพรางของมู่เฉินแล้ว


การวิ่งหนีจ้าละหวั่นของมู่เฉินเมื่อก่อนหน้านี้เป็นการแกล้งทำทั้งหมด!


“เจ้าเล่ห์เหลือเกินนะ!” ชายเสื้อคลุมเพลิงสบถด้วยสีหน้ามืดมน


มู่เฉินยิ้ม ขี้เกียจคุยด้วยมากนัก ดังนั้นจึงพูดวัตถุประสงค์อย่างตรงไปตรงมา “ส่งป้ายสัประยุทธ์มาซะ”


“ฝันไปเถอะ! เจ้าคิดว่าสามารถเอาชนะข้าราชันเมฆเพลิงด้วยค่ายกลเดียวเนี่ยนะ?” ราชันเมฆเพลิงยิ้มเยาะ แม้ว่าค่ายกลนี้จะดูไม่ธรรมดา แต่มู่เฉินก็เป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น อย่างมากก็แค่ลากการต่อสู้ออกไป เวลานั้นก็ไม่ง่ายที่จะเป็นไปตามที่มู่เฉินต้องการ


ตู้ม!


ทันใดนั้นคลื่นกระแทกหลิงสีแดงเข้มก็ระเบิดออกจากร่างของราชันเมฆเพลิง ทั้งแผ่นฟ้าจวนเจียนจะลุกไหม้ อุณหภูมิในบริเวณนี้ก็พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว


มู่เฉินยิ้มให้กับภาพนี้ ถ้าค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารของเขายังอยู่ในสถานะมังกรเจ็ดตัว นั่นจะไม่เป็นภัยคุกคามต่อจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย


แต่ตอนนี้…ค่ายกลมาถึงสภาวะที่สมบูรณ์แบบแล้ว


มู่เฉินล้มเหลวนับครั้งไม่ถ้วนกว่าจะสร้างค่ายกลให้สำเร็จ สุดท้ายเขาต้องใช้เจดีย์ผลึกใสเพื่อปรับแต่งและขยายคลื่นหลิงเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้


ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารเป็นค่ายกลระดับจงซือขั้นกลาง ดังนั้นรูปแบบที่สมบูรณ์สามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายได้ นอกจากนี้… ยังมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยจากมู่เฉิน ทำให้พลังอำนาจไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน


โฮก!


เมื่อคิดถึงตรงนี้ มู่เฉินก็สะบัดแขนเสื้อ เร้าค่ายกลขนาดใหญ่ทันที อึดใจมังกรเก้าตัวก็คำรามลั่นชั้นฟ้า จากนั้นก็เปิดปาก ลมหายใจทั้งเก้าพ่นไปในทิศทางของราชันเมฆเพลิง


มิติแตกออกจากลมหายใจทั้งเก้าสายที่เคลื่อนผ่าน ซึ่งแสดงความครอบงำทำลายล้าง


แม้ว่าราชันเมฆเพลิงจะพูดเชิงเหยียดหยามออกไป แต่เขาก็ไม่กล้าประมาทค่ายกลระดับนี้ เขาโบกมือเมฆเพลิงก็ถอนตัวออกจากภูเขามาไหลเวียนรอบตัวเขา ไฟลุกโชติช่วง มิติก็บิดเบี้ยวจากอุณหภูมิสูง


ปัง ปัง!


ลมปราณมังกรกวาดเข้ามากระทบเมฆเพลิง ประกายไฟบินออกไปพร้อมกับความผันผวนกระจายตามไป


“หึ เจ้าคิดจะทำลายม่านเมฆเพลิงของข้าด้วยพลังแค่เนี่ยรึ?” เมื่อเห็นว่าลมปราณมังกรถูกกั้นกาง ราชันเมฆเพลิงก็เค้นเสียงเยาะ เปลวไฟมารวมตัวกันอยู่ใต้ฝ่าเท้า เขาตั้งใจจะหนีโดยใช้คัมภีร์เพลิงกระโจนก่อน


ยามนี้เขาไม่คิดจะฉกป้ายสัประยุทธ์ของมู่เฉินแล้ว เนื่องจากมู่เฉินอยู่ในสถานะที่ไม่สามารถเอาชนะได้ด้วยค่ายกลที่มี ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์อะไรที่เขาจะดันทุรังสู้ต่อไป


“นั่นอาวุธมหสวรรค์ประเภทป้องกันขั้นต่ำ…”


มู่เฉินประหลาดใจเมื่อเห็นม่านเมฆเพลิงรอบกายราชันเมฆเพลิง แม้ว่าการโจมตีของอาวุธระดับนี้จะอ่อนแอ แต่ก็มีประสิทธิภาพในการป้องกันอย่างไม่น่าเชื่อ


“ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารเป็นค่ายกลระดับจงซือขั้นกลาง ข้ากลัวว่าอาวุธจ้อยร่อยของเจ้าไม่เพียงพอที่จะปกป้องได้” มู่เฉินยิ้มสายหนึ่งพร้อมกับมือวาดตราประทับ


“ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร รวมเป็นหนึ่ง เทพมังกรกลืนกิน!”


เมื่อตราประทับในมือมู่เฉินเปลี่ยนไป มังกรทั้งเก้าก็ระเบิดเป็นแสง พวกมันเริ่มรวมตัวกัน


มังกรทั้งเก้าตัวหายไปอย่างรวดเร็ว ไม่กี่อึดใจมังกรตัวเล็กสีรุ้งก็ปรากฏขึ้นภายในค่ายกล


มังกรสีรุ้งช่างละลานตาราวกับอัญมณี ทว่ากลับทำให้ใบหน้าของราชันเมฆเพลิงเปลี่ยนไปรุนแรงกับภาพนี้


เนื่องจากเขาสามารถสัมผัสถึงคลื่นหลิงที่น่ากลัวที่อยู่ภายในร่างมังกรตัวเล็ก พลังนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายอย่างเขายังรู้สึกหวาดกลัว


“มู่เฉินเป็นเพียงจอมยุทธ์ตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่ประสบความสำเร็จสูงในศาสตร์ค่ายกล เขาเป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นตี้แน่นอน! สัตว์ประหลาดแท้จริง!” ใบหน้าของราชันเมฆเพลิงมืดมน ความกลัวกะพริบในดวงตา


“ต้องไปจากที่นี่!”


ความคิดนี้ผุดขึ้นในใจราชันเมฆเพลิง เปลวไฟพวยพุ่งออกมาจากเท้า เขาตั้งใจที่จะหลบหนีไปจากค่ายกล


วาบ!


ทว่าเมื่อเปลวไฟวูบวาบอยู่ใต้ฝ่าเท้า มังกรงดงามก็แวบหายไป ที่จริงมันไม่ได้หายไป แต่กลายเป็นริ้วแสงพุ่งผ่านมิติด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ


เพียงลมหายใจเดียว ไม่รอให้เปลวไฟห่อหุ้มร่างราชันเมฆเพลิง เสียงแตกโพละก็ดังก้อง เมฆเพลิงแตกเป็นรู ริ้วสายรุ้งก็พุ่งเข้ามาปรากฏเบื้องหน้าราชันเมฆเพลิง แล้วขยำแขนของเขา


ฉวับ!


มังกรกัดฉีกทึ้งท่อนแขนข้างหนึ่ง เลือดสดพุ่งกระฉูดออกมาจากบาดแผล


อ๊าก!


ราชันเมฆเพลิงร้องเจ็บปวด แต่ก็ไม่สนใจแขนที่แหลกเหลว เปลวไฟเข้าโอบล้อม ร่างเขากลายเป็นเปลวไฟพุ่งหายไป เมื่อเขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งก็อยู่ห่างไปหลายหมื่นจั้ง หนีออกมาจากระยะของค่ายกลได้


เมื่อหนีออกมาจากค่ายกลได้ ราชันเมฆเพลิงก็หันไปมองค่ายกลที่ล้อมรอบภูเขาด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะมองแขนที่หายไปขณะกัดฟันกรอด


แม้ว่าการบาดเจ็บทางร่างกายไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย แต่ก็น่าอายสำหรับเขาที่จะถูกบังคับให้เข้าสู่สถานการณ์เช่นนี้โดยจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น


“เจ้าสามารถวิ่งหนีได้กระทั่งเป็นแบบนี้… น่าทึ่งมาก”


ภายในค่ายกลมู่เฉินก็ถอนหายใจออกเมื่อเห็นราชันเมฆเพลิงหนีไป จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายไม่ใช่คู่มือที่ง่ายจะต่อกร


ด้วยคัมภีร์เพลิงกระโจน ตราบใดที่ราชันเมฆเพลิงไม่ได้ปะทะกับพวกอยู่เหนือสุด เขาก็สามารถไปมาได้ตามที่ต้องการ


“ไอ้เวร ข้าจะจดบัญชีไว้ แค้นนี้ไม่หายแน่!” ราชันเมฆเพลิงแผดเสียงใส่ไปยังทิศทางของมู่เฉิน


ปัง!


ทว่าทันทีที่พูดจบ มู่เฉินก็ทะยานออกจากค่ายกลพุ่งเข้ามาหา


“หืม?”


ราชันเมฆเพลิงอึ้งไป เขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะยอมออกจากค่ายกล ต้องรู้ว่าเพราะค่ายกลนี้มู่เฉินถึงสามารถบังคับเขาให้อยู่ในสภาพน่าสมเพชได้ แต่หากปราศจากค่ายกลแล้ว มู่เฉินก็เป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นในสายตาเขาเท่านั้น!


“ไม่ใช่ ไอ้เด็กนี่ฉลาดแกมโกง ต้องมีเหตุผลว่าทำไมมันถึงไม่กลัว!”


แต่ราชันเมฆเพลิงก็เรียกสติกลับมาได้ทันที ความผิดปกติจะต้องมีปัญหา หลังจากที่ประสบกับความสูญเสียเขาก็ระมัดระวังมากขึ้น เขาไม่ต้องการตกอยู่ในกับดักของมู่เฉินอีกครั้ง เขากัดฟันกรอดแล้วหนีไปไม่สนใจมู่เฉินที่ออกจากค่ายกลเพื่อไล่ตามเขามา


“โอ้ ฉลาดแล้วเหรอนั่น? แต่เจ้าหนีไปได้หรอก” เมื่อเห็นราชันเมฆเพลิงหนีจ้าละหวั่น มู่เฉินก็เลิกคิ้วก่อนที่รอยยิ้มแปลกๆ จะโค้งขึ้นที่มุมปาก ขณะที่เขายื่นมือไปยังทิศทางของราช้นเมฆเพลิงแล้วกำหมัดลง


เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน ราชันเมฆเพลิงก็ตื่นตกใจใน เขาเร้าวิชาเพลิงกระโจนสุดพลังโดยไม่ลังเล


“ผนึก”


ทันใดนั้นเสียงทุ้มต่ำก็ดังก้องจากมู่เฉิน


เมื่อสิ้นสุดเสียงลง ผลึกแสงมันวาวก็แล่นแปลบปลาบไปบนบาดแผลของราชันเมฆเพลิง เปลวไฟที่ลุกโชนบนร่างของเขาก็หายไปอย่างผิดปกติ


เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันทำให้ราชันเมฆเพลิงตกตะลึงและฉายแววหวาดผวาบนใบหน้า นั่นเป็นเพราะในขณะนี้เขารู้สึกได้ว่ามีคลื่นหลิงที่ราวกับผลึกแก้วบุกรุกเข้ามาในร่างกายและผนึกคลื่นหลิงของเขาเอาไว้


“ให้ตายเถอะ คลื่นหลิงของมันเข้ามาในร่างข้าตั้งแต่เมื่อไร?” ราชันเมฆเพลิงอุทานด้วยความไม่เชื่อ ก่อนหน้าเขาพยายามป้องกันความสามารถที่ผิดปกตินี้ไว้แล้ว แต่ไม่คิดว่าสุดท้ายก็ยังโดนเข้า


แต่ไม่นานเขาก็คิดถึงบาดแผล ดวงตาของเขาหดลง ที่แท้มังกรสีรุ้งได้บรรจุคลื่นหลิงของมู่เฉินและพลังงานส่วนนั้นก็ได้บุกเข้าสู่ร่างกายเขาเมื่อแขนถูกกัดฉีกขาด


“คิดออกแล้วรึ?”


ขณะที่ราชันเมฆเพลิงเข้าใจทุกอย่าง เสียงหัวเราะก็ดังกึกก้อง มู่เฉินมาปรากฏเบื้องหน้าราชันเมฆเพลิงแล้ว


สีหน้าราชันเมฆเพลิงเปลี่ยนไป เขาพยายามผลักคลื่นหลิงด้วยพลังงานที่มี เพราะเขาพบว่าแม้คลื่นหลิงผลึกแก้วมีความสามารถในการปิดผนึก แต่เนื่องจากไม่มีส่วนมาเสริม ดังนั้นจึงสามารถผนึกเขาได้ไม่ถึงสิบลมหายใจเท่านั้น


แปะ!


ทว่ามือเรียวกลับแตะลงบนไหล่ของเขาเบาๆ เมื่อเขาพยายามที่จะปัดเป่าคลื่นหลิงผลึกแก้วในร่างกาย จากนั้นคลื่นหลิงผลึกแก้วมหึมาก็ไหลบ่าเข้าสู่ร่างกาย


ทันใดนั้นใบหน้าของราชันเมฆเพลิงก็ซีดลง


มืออีกข้างของมู่เฉินเอื้อมออกมา


ราชันเมฆเพลิงดิ้นรนก่อนที่จะส่งป้ายสัประยุทธ์สองป้ายออกไป ด้วยการผนึกคลื่นหลิงไว้ ถ้ามู่เฉินตั้งใจจะฆ่าละก็ จะสร้างความเสียหายหนักให้กับเขาอย่างแน่นอน


เมื่อได้รับป้ายสัประยุทธ์สองป้าย มู่เฉินก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นเขาก็เหยียดมือตบร่างราชันเมฆเพลิงอีกครั้ง ลำแสงวาบออกมากลายเป็นเมฆเพลิงอยู่ในมือมู่เฉิน


ราชันเมฆเพลิงรู้สึกว่าหัวใจถูกฉีกขาดเป็นชิ้น แม้ว่าวัตถุชิ้นนี้จะเป็นเพียงอาวุธมหสวรรค์ขั้นต่ำ แต่ก็มีความสามารถในการป้องกันที่ไม่ธรรมดา ช่วยเหลือเขามานับครั้งไม่ถ้วน


ราชันเมฆเพลิงกัดฟันจ้องมองมู่เฉิน “ทีนี้พอใจรึยัง?”


เมื่อเห็นการแสดงความเกลียดชังนี่ มู่เฉินก็ไม่ได้ใส่ใจแย้มยิ้ม “วิชาเพลิงกระโจนของเจ้าดูน่าสนใจดีนะ…”


“แก ไอ้ปีศาจ!”


เมื่อเสียงของมู่เฉินสิ้นสุดลง เสียงคำรามของราชันเมฆเพลิงก็กึกก้องทันที


บทที่ 1245 เผยแพร่ชื่อเสียง

มู่เฉินยิ้มกริ่มในมือมีม้วนคัมภีร์สีแดง


ตอนนี้ราชันเมฆเพลิงหายไปแล้ว เขาถูกเตะออกจากการแข่งขันเนื่องจากการสูญเสียป้ายสัประยุทธ์ไป


ด้วยการข่มขู่จากมู่เฉิน ทำให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างง่ายดาย เขาได้รับวิชาเพลิงกระโจนมาตามต้องการ


นี่ไม่ยากเกินไปที่จะทำสำเร็จ เนื่องจากชะตากรรมของราชันเมฆเพลิงอยู่ในมือเขา ในสมรภูมิแบบนี้ความตายเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นไม่มีใครสามารถพูดอะไรได้แม้ว่ามู่เฉินจะฆ่าคนก็ตาม


บางทีราชันเมฆเพลิงอาจมีไพ่ตาย แต่เขาคงต้องจ่ายราคาด้วยการได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือแม้กระทั่งมีผลสะท้อน ดังนั้นเมื่อเลือกระหว่างชีวิตกับคัมภีร์วิชา ราชันเมฆเพลิงเลือกชีวิตแบบไม่ต้องคิดเลย


“วิชาเพลิงกระโจน…”


มู่เฉินเทคลื่นหลิงลงไปในม้วนคัมภีร์ ข้อมูลมหาศาลก็หลั่งไหลเข้ามาในห้วงจิต วิชานี้เป็นวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นต่ำเท่านั้น ในแง่ของการจัดลำดับก็ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้มู่เฉินถูกล่อลวง ทว่าวิชานี้มีความเร็วและความสามารถทะลวงผ่านปราการของค่ายกลได้ นี่ทำให้มู่เฉินเกิดความสนใจอย่างมาก ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่บีบเอามาจากราชันเมฆเพลิงหรอก


ต้องมีคลื่นหลิงที่มาจากไฟเพื่อฝึกฝนวิชานี้ โชคดีคลื่นหลิงของมู่เฉินหลอมรวมกับเพลิงอมตะแล้ว ซึ่งนี่ถือว่าเหมาะเหม็งเลยทีเดียว


มู่เฉินเก็บม้วนคัมภีร์รู้สึกค่อนข้างพอใจกับการเก็บเกี่ยวครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เขาได้ป้ายสัประยุทธ์สองป้าย เขายังได้รับอาวุธมหสวรรค์ขั้นต่ำและวิชาเพลิงกระโจนอีกด้วย


“ป้ายสัประยุทธ์สามป้าย ป้ายหนึ่งเป็นของข้า ดังนั้นหมายความว่าข้าต้องการอีกสองป้ายเพื่อแลกเปลี่ยนกับค่ายกลรบสามกำลัง” มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง


“แต่ตอนนี้ในเมื่อข้ามีสามป้ายก็คงไม่จำเป็นต้องไปหา ปล่อยให้พวกเขามาหาข้าเอง ดังนั้นข้าแค่เตรียมตัวให้พร้อมเพื่อรอคนมาเท่านั้น…”


มู่เฉินยิ้มกริ่มก่อนที่เหาะเหินขึ้นไปบนท้องฟ้าบินออกไปไกล สถานที่นี้วินาศสันตะโรอย่างมีนัย ดังนั้นจึงไม่เหมาะที่จะตั้งค่ายกล เขาต้องมองหาสถานที่อื่น


เมืองซีเทียนจั้น


เมื่อฉากการต่อสู้ของมู่เฉินจบลง หน้าจอเหนือจัตุรัสก็หายไป ทว่าผู้คนยังคงจ้องมองอย่างอึ้งทึ่งอยู่ที่จุดที่หน้าจอหายไป


ไม่กี่อึดใจก่อนหน้าพวกเขายังเห็นราชันเมฆเพลิงไล่ล่ามู่เฉิน แต่ใครจะคิดว่าจะกลับตาลปัตรแบบนี้ มู่เฉินใช้ค่ายกลทรงพลังบังคับให้ราชันเมฆเพลิงต้องถอยตัวโก่งแล้วหนีไป แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมดมู่เฉินยังออกจากค่ายกลไล่ตามอีกฝ่ายไป ด้วยขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นที่มี!


ตอนที่เห็นฉากนี้ ผู้คนจำนวนมากเยาะเย้ยมู่เฉินเพราะเขาประเมินความสามารถของตัวเองมากเกินไปและมองข้ามจุดที่ได้เปรียบ แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้พูดเยาะอะไรเพิ่ม ดวงตาของพวกเขาก็แทบถลน เมื่อเห็นราชันเมฆเพลิงไร้พลังในกำมือของมู่เฉินในสิบกว่าอึดใจเท่านั้น…


ไม่นานหลังจากหน้าจอหายไป พวกเขาก็ฟื้นจากอาการตะลึงงัน พากันแลกเปลี่ยนสายตาก็เห็นริ้วความเคร่งเครียดและความกลัวอยู่ในแววตาของกันและกัน


หากก่อนหน้าพวกเขายังรู้สึกว่ามู่เฉินใช้อุบายบางอย่างเพื่อเอาชนะสงป้า จากการต่อสู้ครั้งนี้คนเดียว มู่เฉินแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่สามารถคุกคามคุกคามจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายได้


“ไม่คิดว่ามู่เฉินจะเชี่ยวชาญสูงในศาสตร์ค่ายกล… ค่ายกลเมื่อครู่อยู่ในระดับจงซือขั้นกลางแน่นอน” บางคนแอบถอนหายใจ จากข้อมูลที่ได้รับมาพวกเขารู้ว่ามู่เฉินเคยแสดงศักยภาพทางศาสตร์ค่ายกลที่ไม่ธรรมดาตอนที่อยู่ในตระกูลลั่วเสิน แต่ตอนนี้พลังของมู่เฉินเพิ่มขึ้นทบทวีอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับก่อนหน้า


“ชายคนนี้แปลกจริงๆ เขามีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นเท่านั้น แต่กลับมีความสามารถไม่ได้ด้อยกว่าขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ไม่แปลกใจที่เขากล้ากระโดดเข้าร่วมสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายนี้”


“ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นม้ามืดตัวจริง เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขาจะสามารถไปไกลได้แค่ไหน เพราะดูจากสถานการณ์ตอนนี้เขายังค่อนข้างห่างจากกลุ่มคนอันดับต้นๆ…”


“ใช่แล้ว หลิงจั้นจื่อได้รับป้ายสัประยุทธ์หกป้ายแล้วตอนนี้…”


“…”


เสียงซุบซิบดังก้อง แต่คราวนี้ไม่มีเสียงพูดเยาะเย้ยอีกแล้ว เนื่องจากทุกคนเข้าใจแล้วว่ามู่เฉินมีคุณสมบัติที่จะอยู่ในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายได้


ลั่วเทียนเสินรู้สึกโล่งใจในตอนนี้ แม้ว่าเขาจะรู้เกี่ยวกับวิธีของมู่เฉินบ้าง แต่เขาก็ค่อนข้างตกใจเมื่อเห็นว่ามู่เฉินเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายได้


จากการคาดการณ์ กระทั่งเขายังมีโอกาสสูงที่จะพ่ายแพ้มู่เฉินเลย


การคาดการณ์นี้ทำให้เขายิ้มขมขื่น หวนคิดถึงหลายปีก่อนตอนที่พบกับมู่เฉินครั้งแรก ชายหนุ่มไม่มีอะไรโดดเด่นในสายตาของเขา แม้ว่าเขาจะไม่ได้ดูถูก แต่ก็ไม่ได้เอามู่เฉินมาใส่ใจ


แต่ใครจะคาดได้ว่าไม่กี่ปีต่อมาชายหนุ่มที่ทำอะไรไม่เป็นคนนั้นจะเติบโตได้ไกลขนาดนี้


ลั่วเทียนเสินถอนหายใจ ระงับอารมณ์ที่ซับซ้อนในหัวใจ ก่อนที่จะพึมพำ “ต่อไปก็ต้องดูว่าเจ้าหนุ่มนี่จะไปได้ไกลแค่ไหน…”


บนบัลลังก์เบื้องหน้าตำหนัก จักรพรรดิสัประยุทธ์จ้องมองหน้าจอที่แสดงฉากการต่อสู้ของมู่เฉินก็ยิ้มบาง “มิน่าล่ะเทพจักรพรรดิอัคคีถึงให้มู่เฉินเข้าสู่สมรภูมิตี้จื้อจุนขั้นปลาย ที่แท้ตัวเขาเป็นหลิงเจิ้นต้าซือขั้นตี้ด้วยนี่เอง”


“แต่นั่นพิสูจน์ได้ว่าเขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายทั่วไปได้เท่านั้น ข้ากลัวว่าเป็นไปไม่ได้สำหรับเขาที่จะคว้าชัยชนะ”


น้ำเสียงของจักรพรรดิสัประยุทธ์ไม่แยแส หากตัวตนของหลิงเจิ้นจงซือขั้นตี้เป็นไพ่ตายสำหรับมู่เฉินแล้ว งั้นเขาก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับตำแหน่งนักรบทวีปแน่นอน


เนื่องจากหลิงจั้นจื่อและคนอื่นๆ ต่างเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงในหมู่ระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ดังนั้นแม้ว่ามู่เฉินจะสามารถพึ่งพาค่ายกลเพื่อจัดการกับราชันเมฆเพลิง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะคุกคามหลิงจั้นจื่อและคนอื่นๆ


เมื่อได้ยินคำพูดของจักรพรรดิสัประยุทธ์ เซียวเหยียนก็ยิ้ม “ข้ารู้สึกว่ามู่เฉินจะไม่ปล่อยให้ข้าสูญเสียยาเทวะมังกรหงส์เปล่าประโยชน์แน่นอน”


จักรพรรดิสัประยุทธ์หรี่ตามองที่หน้าจอพลางพยักหน้าด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “งั้นขอข้าดูหน่อย หวังว่าเจ้าเปี๊ยกนี่จะไม่ทำให้เทพจักรพรรดิอัคคีผิดหวังนะ…”


ในมุมมองของเขาดีมากแล้วถ้ามู่เฉินสามารถคงอยู่จนถึงช่วงสุดท้าย แต่ถ้าคิดจะคว้าชัยชนะ ฮ่าๆ เทพจอมยุทธ์ทั้งสามของตำหนักซีเทียนจะสอนมันให้รู้ถึงขอบเขตของตัวเอง


หลังจากมู่เฉินออกจากพื้นที่ก่อนหน้า


เขาก็ค่อยๆ ชะลอตัวลง จำนวนป้ายสัประยุทธ์สามป้ายทำให้ตำแหน่งของเขาปรากฏบนป้ายของผู้เข้าแข่งขันคนอื่น เขารู้สึกถึงความผันผวนของคลื่นหลิงหลากหลายที่พุ่งมาในทิศทางของเขา ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง


“มาเร็วดีแฮะ”


มู่เฉินพูดพึมพำก่อนที่จะพลิ้วตัวลงมาอย่างรวดเร็ว แขนเสื้อของเขาสะบัดพรึบพรับ สัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนก็บินฉวัดเฉวียนออกมายราวกับผีเสื้อ รวมเข้ากับมิติทันที


แม้ว่าเขาจะสามารถตั้งค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารที่สมบูรณ์แบบได้สำเร็จ แต่ก็ยังมีโอกาสเกิดความผิดพลาดได้ ดังนั้นเขาจะต้องเตรียมการล่วงหน้า ศัตรูคงไม่ให้เวลาเขาในการจัดการตอนที่ต่อสู้หรอก


ตามคาดมู่เฉินผิดพลาดสองครั้งก่อนที่จะสามารถจัดตั้งค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารได้สำเร็จอีกครั้ง


เขานั่งอยู่บนต้นไม้ใหญ่ ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารเริ่มหมุนคว้าง ความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังเล็ดลอดออกมา ทำให้ระลอกคลื่นคำรามเสียงลั่น


คราวนี้เขาไม่ได้ซ่อนค่ายกลเหมือนที่ทำเมื่อก่อนหน้าในการล่อราชันเมฆเพลิง แต่ครั้งนี้ศัตรูมาเคาะประตูหน้าบ้านแล้ว


พวกเขาจะต้องระมัดระวังมาก ดังนั้นค่ายกลยิ่งใหญ่นี้จะถูกค้นพบไม่ว่าจะพยายามซ่อนขนาดไหนก็ตาม


ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ไม่จำเป็นต้องซ่อน เขาเผยให้รู้ทันทีเพื่อดูว่าใครกล้าพอที่จะท้าทาย


หลังจากที่ตั้งค่ายกลเสร็จ มู่เฉินก็หลับตารอศัตรูเข้ามา


การรอคอยไม่ได้กินเวลานาน เขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังสี่สาย ซึ่งกวาดข้ามมาจากสี่ทิศทางที่แตกต่างกัน ก่อนที่พวกเขาจะหยุดในท้องฟ้าที่ห่างไกล


พวกเขาทั้งสี่รู้สึกถึงกันและกัน ดังนั้นแต่ละคนก็เฝ้าระวังกัน ในการแข่งขันทุกคนถือเป็นศัตรู


พวกเขาถอนสายตาอย่างรวดเร็ว มองไปที่มู่เฉินในป่าจากนั้นก็อึ้งไป


“ระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น?”


“ไอ้นอกคอก มู่เฉิน…”


“เขาตั้งค่ายกลไว้รอบตัว ที่แท้เขาเป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นตี้ด้วย ไม่แปลกใจที่เขากล้าที่จะเข้าสู่สนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย”


เมื่อพวกเขาเห็นมู่เฉิน สายตาก็วูบไหวด้วยความคิดที่แตกต่างกัน


“ใครอยากได้ป้ายสัประยุทธ์ของข้า ก็เข้ามาแย่งได้เลย”


ขณะที่ผู้มาใหม่จ้องมองมู่เฉินจากระยะไกล เขาก็เปิดตาขึ้นพร้อมกับระเบิดหัวเราะเสียงสดใสดังกังวาน


เมื่อได้ยินคำพูดท้าทายของมู่เฉิน ทั้งสี่ก็ขมวดคิ้ว แต่ไม่มีใครกล้าขยับตัวเพราะพวกเขารู้สึกถึงไอคุกคามที่มาจากค่ายกลทรงพลังรอบตัวมู่เฉิน


นอกจากนี้พวกเขายังรักษาระวังซึ่งกันและกัน กลัวว่าจะมีคนรอเก็บผลประโยชน์ขณะที่คนอื่นทำงานอยู่


“ถ้าไม่มีใครกล้าก็ออกไปอย่ามาเสียเวลา” เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่มีท่าทางเคลื่อนไหว มู่เฉินก็โบกมือ


“ฮึ่ม ไอ้จอมหยิ่ง!”


เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ชายเสื้อคลุมสีม่วงก็หัวเราะเสียงเยือกเย็น สายตาจับจ้องไปที่ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารรอบร่างมู่เฉิน ก่อนที่จะมองจอมยุทธ์อีกสามคน “ถ้าพวกเจ้าไม่มีความตั้งใจที่จะเคลื่อนไหว งั้นข้าขอแล้วกันนะ แต่ว่าพวกเจ้าคงต้องออกไปก่อน”


ทั้งสามคนกะพริบตาก่อนที่จะยิ้ม “นี่คงเป็นเจ้าสำนักจื่อซัน พวกข้าได้ยินชื่อเสียงมานานแล้วว่าเจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญในการทำลายค่ายกล ในเมื่อเจ้าหมายตาเขาไว้ ก็เอาไปเลย”


พูดจบทั้งสามก็ถอยออกไปทันที เนื่องจากพวกเขาไม่รู้ว่ามู่เฉินแกล้งทำหรือไม่ หากเป็นเรื่องจริงพวกเขาคงไม่มีเวลาง่ายดายแน่นอน หากเป็นเรื่องโกหกพวกเขาก็ใช้เจ้าสำนักจื่อซันปะทะกับมู่เฉิน รอจนกระทั่งทั้งสองคนได้รับบาดเจ็บ…


ทว่าทั้งสามกระจ่างแจ้งว่าเจ้าสำนักจื่อซันจะต้องกันพวกเขาทั้งสามคนไว้แน่ ดังนั้นพวกเขาจึงไปจากที่นี่ตามที่สัญญา


เมื่อสัมผัสได้ว่าคลื่นหลิงสามสายเคลื่อนตัวห่างไกลออกไปแล้ว เจ้าสำนักจื่อซันก็มองมู่เฉินอย่างเยือกเย็นเค้นเสียงขึ้นว่า “ไอ้เด็กโง่ แกคิดจริงๆ หรือว่าค่ายกลนี้สามารถปกป้องตัวเองได้? ข้าจะให้แกดูว่าข้าคนนี้จะทำค่ายกลของแกยังไง!”


พูดจบก็พุ่งเข้าไปในค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร ภายใต้รอยยิ้มไม่เชิงยิ้มของมู่เฉิน


จอมยุทธ์สามคนหยุดเคลื่อนไหวหลังจากอยู่ไกลออกมาก่อนที่ปิดตา พวกเขาสัมผัสถึงความผันผวนของคลื่นหลิงรุนแรงพวยพุ่งมาจากสถานที่แห่งนั้น


“เจ้าสำนักจื่อซันเคลื่อนไหวแล้ว ไอ้เหลือขอนั่นซวยแน่นอน…”


ทั้งสามยิ้มรอคอยให้เจ้าสำนักจื่อซันได้รับบาดเจ็บสาหัส ก่อนจะหาโอกาสฉกฉวยผลประโยชน์


การรอเวลาของพวกเขาใช้เวลาหนึ่งก้านธูป ก่อนที่การแสดงออกจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย เนื่องจากพวกเขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงรุนแรงกำลังหายไปอย่างรวดเร็ว


“เสร็จแล้วรึ? รวดเร็วขนาดนี้เชียวเหรอ?”


ทั้งสามตกใจไปก่อนที่ใบหน้าจะมืดครึ้มลง ดูเหมือนว่ามู่เฉินจะแกล้งข่มขู่พวกเขาแล้ว


“สิ่งที่เป็นประโยชน์ตกไปในมือเจ้าสำนักจื่อซันเลย” ทั้งสามสาปแช่ง ก่อนที่จะเพิ่มความเร็วพุ่งเข้าไปเพื่อดูว่าตนเองจะได้รับประโยชน์ใดๆ บ้าง


ไม่นานพวกเขาก็เข้าใกล้ป่าบริเวณนั้น พื้นที่ส่วนใหญ่ถูกทำลายเป็นวงกว้าง แต่ละคนยืนอยู่บนท้องฟ้าก่อนที่จะยกสายตาไปข้างหน้า ฉับพลันดวงตาก็แคบลง


พวกเขาเห็นเงาร่างนั้นนั่งเงียบๆ บนต้นไม้ใหญ่ แม้ว่าค่ายกลรอบตัวจะขาดรุ่งริ่งไปบ้าง แต่ก็ยังคงหมุนคว้าง


เมื่อทั้งสามคนเห็นชายหนุ่ม แววหวาดผวาก็วาบขึ้นในดวงตา พวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะเป็นคนที่ยืนอยู่ที่นี่!


ในทางกลับกันไม่มีร่องรอยของเจ้าสำนักจื่อซัน นั่นหมายความว่าการดวลนี้มู่เฉินเป็นผู้ชนะ!


ความกลัวและเคร่งเครียดลุกลามขึ้นมาในดวงตาทั้งสาม


พลังของพวกเขาทัดเทียมกับเจ้าสำนักจื่อซัน ในเมื่อมู่เฉินสามารถจัดการกับเจ้าสำนักจื่อซันได้อย่างรวดเร็ว นั่นก็หมายความว่าคงจะใช้เวลาไม่นานสำหรับเขาที่จะจัดการกับพวกเขาเช่นกัน


“เจ้าสามคนอยากลองดูด้วยหรือ?” มู่เฉินเล่นป้ายสัประยุทธ์ที่เพิ่งได้มาในมือ ขณะที่ยิ้มให้ทั้งสามคน


ทว่าขณะที่เขาเผยรอยยิ้มก็ต้องตะลึงไปเพราะจอมยุทธ์ทั้งสามหนีไปโดยไม่ลังเลใดๆ พริบตาก็หายไปในเส้นขอบฟ้าแล้ว


เมื่อมองทั้งสามที่หนีไป มู่เฉินก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนที่จะยืนขึ้นมองไปที่ป้ายสัประยุทธ์ในมือพร้อมถอนหายใจ


“ต่อไปคงไม่ง่ายที่จะเจอพวกโง่แล้ว…”


เขารู้ว่าทั้งสามคนนี้จะเผยแพร่ชื่อเสียงให้กับเขาในสนามรบแห่งนี้แน่นอน


บทที่ 1246 อาจารย์ผี

ดังที่มู่เฉินคาด


ชื่อเสียงของเขากระจายไปทั่วในอีกหนึ่งวันต่อมา มู่เฉินไม่รู้จริงๆ ว่าคนที่ระมัดตัวแจจะแลกเปลี่ยนข้อมูลกันถึงขนาดนี้ได้อย่างไร


แต่สิ่งนี้ทำให้เกิดปัญหากับมู่เฉิน เนื่องจากเขาตระหนักว่าเมื่อเขาตั้งค่ายกลรอเสร็จเรียบร้อย แม้จะมีใครบางคนมาหา แต่พอเห็นค่ายกลแต่ละคนก็ลังเลก่อนจะล่าถอยไป


เมื่อก่อนพวกเขาอาจดูถูกการเพาะบ่มขุมพลังของมู่เฉินที่อยู่ต่ำกว่าหนึ่งขั้น แต่ตอนนี้ใครๆ ก็รู้ว่ามู่เฉินเป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นตี้ด้วย ค่ายกลของเขาเป็นสิ่งที่สามารถคุกคามจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายได้เลยทีเดียว


ในมหาพันโลกเป็นที่รู้กันว่าไม่ควรต่อสู้กับหลิงเจิ้นซือที่เตรียมตัวพร้อมไว้อย่างดี


ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าที่จะก้าวเข้ามารอบตัวมู่เฉิน ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้โง่


ด้วยการเปิดเผยตัวตนในฐานะหลิงเจิ้นซือก็ส่งผลให้เกิดการข่มขู่โดยมู่เฉิน แต่นี่ไม่ใช่ข่าวดีสำหรับมู่เฉินตอนนี้เลย


ตัวเขาต้องการป้ายสัประยุทธ์ ดังนั้นก็ต้องเอาชนะคู่ต่อสู้ให้ได้ แต่ตอนนี้ทุกคนอย่างกับสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ ไม่มีใครเข้ามาในขอบเขตของค่ายกล นี่ทำให้เขารู้สึกจนหนทาง


ที่จริงไพ่ตายของเขาไม่ได้มีแค่ค่ายกล แต่ถ้ายังไม่ถึงเวลาที่ไพ่ตายนี้รับมือคู่ต่อสู้ไม่ได้ เขาก็ไม่คิดที่จะเปิดเผยไพ่อื่นๆ เพราะบางครั้งการทำให้คู่ต่อสู้ตั้งตัวไม่ทันก็เป็นข้อได้เปรียบเช่นกัน


ดังนั้นอีกสองวันผ่านไปมู่เฉินก็ยังไม่ได้รับป้ายสัประยุทธ์เพิ่มแม้แต่ป้ายเดียว ที่จริงมีจอมยุทธ์เข้ามาลองเสี่ยงอยู่บ้าง แต่มู่เฉินไม่สามารถจับไว้ได้ เนื่องจากคนผู้นั้นลื่นอย่างกับปลาไหล เขาเป็นเจ้าของอาวุธมหสวรรค์ที่สามารถฉีกขาดมิติได้ ดังนั้นเมื่อเขาเห็นว่าสถานการณ์ชักไม่ดีกับตัวเอง เขาก็หลบหนีไปทันที มู่เฉินไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากยืนมองการหลบหนีนั่น


การต่อสู้ครั้งนี้ชื่อเสียงของมู่เฉินก็เพิ่มขึ้น ไม่มีใครกล้ามาท้าทายเขาอีก ถึงแม้ว่าจะมีจอมยุทธ์ผ่านมาเป็นครั้งคราว พวกเขาก็เพียงแต่มองจากที่ไกลก่อนที่จะเปิดแน่บทันที


ดังนั้นมู่เฉินจึงได้แต่มองค่ายกลที่ว่างเปล่าพลางถอนหายใจ


แม้ว่าจะรู้สึกช่วยไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ได้รีบ เพราะเขารู้ว่าจะมีคนมากมายที่ถูกกำจัดในการต่อสู้ที่โหดร้าย ส่วนที่เหลือทั้งหมดจะเป็นจอมยุทธ์หัวกะทิ


แม้ว่าคนพวกนั้นอาจยังกลัวมู่เฉินบ้าง แต่พวกเขาก็ไม่เป็นเหมือนพวกขี้ขลาด นอกจากนี้พวกเขาจะต้องจับตาดูอย่างแน่นอน เมื่อไรเกิดช่องโหวก็จะโจมตีทันที


ดังนั้นยิ่งเมื่อเวลาผ่านไป มู่เฉินรู้ว่าความโหดร้ายและรุนแรงของสนามรบแห่งนี้ถึงจะเริ่มเผยให้เห็น


มหาสมุทรไร้ขอบเขต


มองเห็นภูเขาสูงตระหง่านโผล่พ้นผิวน้ำ คล้ายกับใบมีดคมที่ยื่นออกมาจากทะเล


ขณะนี้มู่เฉินนั่งเงียบๆ บนภูเขาลูกหนึ่ง คลื่นมิติป่าเถื่อนผันผวนอยู่รอบตัวในระยะหลายหมื่นจั้ง เหมือนมีสัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนราวกับดวงดาวปรากฏอย่างคลุมเครือ ชัดว่ามีค่ายกลทรงพลังซ่อนอยู่ภายในบริเวณโดยรอบ


เมื่อคลื่นหลิงพลุ่งพล่านเข้าไปในค่ายกล คลื่นสูงก็ดันตัวขึ้นจากมหาสมุทร


ฟิ้ว!


มวลลมแตกออก เสียงสะท้อนกวาดมาจากระยะไกล ก่อนที่ร่างหนึ่งจะเข้ามาและหยุดห่างจากมู่เฉินไปร้อยลี้ เขาขมวดคิ้วมองค่ายกลที่อยู่รอบตัวมู่เฉินก็หมุนตัวจากไปหลังจากลังเลไปครู่หนึ่ง


เมื่อมองร่างที่จากไปสายตาของมู่เฉินก็กะพริบ เขาสามารถรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลของพลังงานที่แข็งแกร่งกว่าราชันเมฆเพลิงและเจ้าสำนักจื่อซันที่มาจากร่างเงานั่น


“ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แล้ว…”


มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง เขาได้พบกับจอมยุทธ์ทรงพลังสูงขึ้นในช่วงสองวันที่ผ่านมา เห็นได้ชัดว่าหลังจากผ่านการแข่งขันที่มีอัตราการกำจัดที่โหดร้าย คนที่ยังยืนยันอยู่ได้ก็ไม่มีใครจัดการได้ง่าย


“ในเมื่อเป็นแบบนี้…เวลาก็ใกล้เข้ามาแล้วสิ”


มู่เฉินพลิกนิ้ว จอมยุทธ์ที่ยังอยู่ที่นี่แข็งแกร่งขึ้นมาก การข่มขู่ของค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารก็อ่อนลง เขารู้สึกได้ว่ามีคนจำนวนมากที่พยายามมองหาช่องโหว่ในค่ายกลอยู่


นั่นก็หมายความว่าค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารเริ่มไม่สามารถคุกคามคนอื่นได้แล้ว


ตามการคาดการณ์อีกไม่เกินหนึ่งวันก็จะมีคนลงมือจัดการกับเขาอย่างแท้จริงแล้ว


เมื่อคิดถึงตรงนี้มู่เฉินก็ยิ้มบาง ก่อนที่จะหลับตาอย่างช้าๆ เขาต้องการที่จะดูว่าใครจะมีความมั่นใจมากพอที่จะต่อกรกับเขา


วันหนึ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว


ซ่า ซ่า!


คลื่นยักษ์กระทบกับภูเขาทำให้เกิดเสียงแตกกระจายไปทั่วมหาสมุทร


ดวงตามู่เฉินเปิดขึ้น แสงหลิงก็พุ่งเข้ามาในม่านตาสีดำก่อนที่จะค่อยๆ หายไป


สายตาของเขาเหลือบมองไปที่เกาะห่างไกล เขาสามารถรู้สึกถึงความผันผวนของคลื่นหลิงหลายสายได้อย่างคลุมเครือ


วันนี้ในบรรยากาศมีไอสังหารเข้มข้น บนเกาะต่างๆ ก็เหมือนมีสายตาจ้องมองมา


ตอนนี้มู่เฉินราวกับหมาป่าในดงพยัคฆ์ เมื่อไรที่เกิดช่องโหว่ มู่เฉินเชื่อว่าคนเหล่านี้จะรวมตัวกันฉกป้ายสัประยุทธ์ที่อยู่ในมือเขาแน่


ทว่าพวกเขาก็ระมัดระวัง ไม่มีใครกระโจนเข้ามาเป็นคนแรก พวกเขารอโอกาสที่จะเกิดขึ้นชัดเจน…


เมื่อแสงอาทิตย์เคลื่อนคล้อยลงมาบนมหาสมุทร พื้นผิวน้ำก็สะท้อนลำแสงเกิดเป็นฉากงดงาม


มองไปที่พื้นผิวน้ำระยิบระยับ จู่ๆ ดวงตาของมู่เฉินก็หดลงก่อนที่จะเงยหน้าขึ้น ผิวน้ำไกลออกไปนั้นเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มอย่างรวดเร็ว ขณะที่คลื่นหมื่นจั้งม้วนตัวกวาดเข้ามา


ไม่กี่ลมหายใจคลื่นสีแดงเข้มก็ปรากฏห่างออกไปหลายหมื่นจั้งจากมู่เฉินก่อนที่จะหยุดช้าๆ ที่ชายขอบค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร


ร่างเงาสีแดงเข้มปรากฏขึ้น ซึ่งเป็นคนที่คุ้นหน้ากันดี เขาคือเสี่ยหลิงจื่อตระกูลเสี่ยเสินนั่นเอง!


ขณะนี้สายตาเย็นชามองมาที่มู่เฉินคล้ายกับมองเหยื่อ ความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานีกระจายในดวงตา


“เป็นไอ้หมาตัวเก่านี่เอง…”


เมื่อเห็นร่างนั่นมู่เฉินก็เลิกคิ้วก่อนที่จะหัวเราะออกมา “ข้ารู้สึกถึงการอยู่ของเจ้าในช่วงสองวันมานี้ แต่เจ้าดันซ่อนตัวเหมือนหนู ทำไมตอนนี้ถึงยอมแสดงตัวแล้วล่ะ?”


เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ใบหน้าของเสี่ยหลิงจื่อก็เย็นเยือกลงหลายส่วน “ไอ้เวร ความตายใกล้เข้ามาแล้ว ยังปากดีอีก!”


มู่เฉินเงยหน้ายกเปลือกตาอย่างแผ่วเบา “ข้าจะตายรึเปล่าไม่รู้ แต่วันนี้ข้ารับรองได้ว่าแกรับหายนะไปเต็มๆ แน่”


น้ำเสียงช่างสงบ แต่ก็บรรจุด้วยไอสังหารที่ไม่คิดปิดบัง มู่เฉินคิดอยากกำจัดเสี่ยหลิงจื่อตั้งแต่ได้ยินว่าบิดาของลั่วหลีต้องจบชีวิตในมือมันผู้นี้ แม้แต่ลั่วเทียนเสินก็ถูกวางยาพิษมาเนิ่นนาน ตอนที่ลั่วหลีกลับมาที่ตระกูลลั่วเสิน ก็เพราะเสี่ยหลิงจื่อที่ทำให้นางต้องอยู่ภายใต้แรงกดดันมหาศาล ต้องเผชิญกับการคุกคามของความตาย


เสี่ยหลิงจื่อเป็นศัตรูคู่อาฆาตของตระกูลลั่วเสิน


แม้ว่าลั่วหลีจะไม่แสดงความเกลียดชังเสี่ยหลิงจื่อต่อหน้าเขา แต่มู่เฉินรู้ว่านางแค่ไม่ต้องการให้เขาเสี่ยงอันตราย ดังนั้นนางจึงระงับอารมณ์ในใจ รอจนกว่านางจะแข็งแกร่งขึ้นเพื่อล้างแค้นด้วยตัวเอง


ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ทำให้มู่เฉินเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าต่อเสี่ยหลิงจื่อ


เมื่อเขาเข้าสู่สนามรบ เขาก็ตัดสินใจจะหาโอกาสกำจัดเสี่ยหลิงจื่อ


ตอนนี้อีกฝ่ายมาเคาะประตูบ้านเขา ทุกสิ่งก็เป็นไปตามที่มู่เฉินต้องการพอดี


“เฮ้ ไอ้เด็กที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!” เสี่ยหลิงจื่อเอ่ยเย้ยหยันก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงน่าขนลุก “แกคิดว่าแค่ค่ายกลระดับจงซือขั้นกลางจะทำหยิ่งได้รึ?


“แกคิดว่าไม่มีหลิงเจิ้นซือในทวีปซีเทียนเรอะ?”


เสี่ยหลิงจื่อโบกมือ แสงสีดำก็วูบวาบที่ด้านช้าง ร่างชายชราเสื้อคลุมสีเทาผอมบางปรากฏตัวขึ้น


เมื่อชายชราเสื้อคลุมสีเทาปรากฏตัว ดวงตาของเขาก็มองไปที่ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารรอบตัวมู่เฉิน แสงมืดครึ้มวูบวาบก่อนที่จะพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นค่ายกลระดับจงซือขั้นกลางแท้จริง ไม่น่าแปลกใจเลยว่าไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหวต่อต้านเขา”


“ฮ่าๆ ท่านอาจารย์ผีมีชื่อเสียงมาหลายปี ซ้ำยังเรียนรู้ค่ายกลระดับนี้มานาน ดังนั้นไอ้เด็กตัวเล็กนี้จะเทียบกับความสำเร็จของท่านได้อย่างไร?” เสี่ยหลิงจื่อยิ้ม


อาจารย์ผีหัวเราะเบาๆ “เสี่ยหลิงจื่ออย่าพูดแต่น้ำให้เสียเวลา ข้าสามารถช่วยเจ้าระงับค่ายกลนี้ได้ แต่ครึ่งหนึ่งของป้ายสัประยุทธ์ไอ้เด็กเหลือขอนี่เป็นของข้าและเจ้าจะต้องจ่ายค่าจ้างด้วยหนึ่งป้ายให้ข้าอีกด้วย”


ความปวดร้าวพล่านในดวงตาของเสี่ยหลิงจื่อ แต่สุดท้ายเขาก็พยักหน้าเด็ดขาด “ตราบใดที่ข้าสามารถกำจัดไอ้เด็กเหลือขอนี้ได้ ก็ตกลงราคาตามนั้น”


“ฮ่าๆ จัดไป”


เมื่อมู่เฉินมองดูชายชราเสื้อคลุมสีเทาดวงตาก็หรี่แคบลงขณะที่พึมพำ “ที่แท้ก็ไปเชิญหลิงเจิ้นจงซือมาจัดการกับค่ายกลข้านี่เอง…”


ที่ด้านนอก


ขณะเดียวกันสายตานับไม่ถ้วนก็เพ่งมองไปที่หน้าจอแสง


ความวุ่นวายเกิดขึ้นทันทีเมื่อพวกเขาเห็นเสี่ยหลิงจื่อและชายชราเสื้อคลุมสีเทา


“เสี่ยหลิงจื่อไปเชิญอาจารย์ผีมารึ!”


“อาจารย์ผีร่ำลือกันว่าเป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นตี้มานานแล้ว ถ้าเขาลงมือก็เป็นเรื่องยากที่ค่ายกลของมู่เฉินจะส่งผลกระทบใดๆ ได้”


“ถึงเวลาเขาแล้ว หากไม่มีค่ายกลมู่เฉินก็เปรียบเสมือนเสือไร้เขี้ยวเล็บ เขาต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน!”


“…”


เสียงกระซิบดังก้องขณะที่ลั่วเทียนเสินจ้องมองหน้าจอด้วยสายตามืดครึ้ม จากนั้นดวงตาก็จ้องเขม็งไปที่เสี่ยหลิงจื่อ เขากัดฟันกรอดด้วยความเกลียดชังที่รั่วไหลออกมากับน้ำเสียง


“ไอ้หมาตัวเก่า แกสมควรตายจริงๆ!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)