หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1233-1240
บทที่ 1233 สังหารและช่วยเหลือ
เสียงเกรี้ยวกราดดังกึกก้องไปทั่วฟ้าดินประหนึ่งฟ้าคำรน
ความผันผวนของคลื่นหลิงที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากระเพื่อมไหวออกมา
ขณะที่คลื่นหลิงกำลังผันผวน มือใหญ่ที่แห้งกรังก็โอบเข้าหามู่เฉินราวกับภูเขามหึมา
การเปลี่ยนแปลงฉับพลันนี้ทำให้มู่เฉินหวาดกลัว เขารีบเรียกเจดีย์ผลึกใสกลับมาและหนีไปโดยไม่ลังเล
ร่างดวงจิตมู่เฉินรีบเผ่นเข้าไปในเจดีย์และกระตุ้นมัน ทันใดนั้นแสงวววาวราวกับอัญมณีก็แผ่ขยายออกไปพร้อมกับรัศมีเทพที่ก่อตัวกลายเป็นกระแสน้ำวน
เมื่อกระแสน้ำวนก่อตัวขึ้น มู่เฉินก็คือกระตุ้นสิ่งนี้เพื่อหนีไป
“เจ้าหัวขโมย คิดหนีเรอะ?!”
ทว่าทันใดนั้นเสียงเกรี้ยวกราดก็ดังก้องกังวานขึ้นอีกครั้ง อึดใจก็สามารถมองเห็นดวงดาวนับไม่ถ้วนบนท้องฟ้า ซึ่งถ้ามองให้ละเอียดก็จะพบว่ามันคือสัญลักษณ์หลิงยิ่งที่เชื่อมโยงกัน ก่อตัวเป็นค่ายกลจองจำขนาดใหญ่
เมื่อค่ายกลปรากฏขึ้น มู่เฉินก็รู้สึกได้ทันทีว่าดินแดนนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของใครบางคน ดังนั้นเขาจึงรู้ว่านี่เป็นสถานการณ์เข้าตาจนแล้ว
“จองจำ!”
เสียงเย็นดังก้อง มู่เฉินก็ต้องตกใจเมื่อพบว่ากระแสน้ำวนข้างหลังหยุดนิ่ง นอกจากนี้ร่างดวงจิตซึ่งอยู่ในเจดีย์ผลึกใสก็ถูกตรึงไว้ด้วย
ความรู้สึกราวกับว่าเวลาและมิติแห่งนี้ถูกคุมขัง เขาเหมือนยุงในอำพันที่ไม่สามารถกระตุกกระดิกได้
เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์นี้ กระทั่งคนอย่างมู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสิ้นหวัง แต่เขาไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา ดังนั้นเขาจึงกัดฟันตั้งใจจะทำลายเจดีย์ผลึกใสไปพร้อมกับร่างดวงจิตของตนเอง
แต่ถ้าเป็นกรณีนี้ เขาจะต้องสูญเสียใหญ่หลวง ไม่ต้องพูดถึงความยากลำบากในการสร้างเจดีย์ผลึกใสนี้ มู่เฉินรู้สึกว่านี่อาจเป็นโอกาสครั้งเดียวในชีวิต หากเขาพลาดไปก็จะไม่สามารถสร้างเจดีย์ผลึกใสนี้ได้อีกในอนาคต
ยิ่งกว่านั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือถ้าเขาไม่ทำลายร่างดวงจิตของตนเอง จอมยุทธ์เผ่าฝูถูอาจใช้สิ่งนี้ในการตรวจหาร่างจริงเขา เมื่อตัวตนเขาถูกเปิดเผยก็จะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่
ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากทำลายเจดีย์ผลึกใสไปพร้อมกับร่างดวงจิต
“ระเบิด!”
“หืม?”
มู่เฉินกัดฟันแน่นทำใจที่จะทำลาย ทว่าทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่ามีสัญลักษณ์หลิงยิ่งเริ่มปรากฏขึ้นในพื้นที่นี้ สายผนึกเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของค่ายกลทรงพลัง แต่พวกมันไม่ได้ถูกควบคุม เนื่องจากได้แยกการเชื่อมโยงออกจากกัน
เหตุนี้ทำให้การคุมขังในบริเวณนี้หายไป ร่างดวงจิตมู่เฉินสามารถควบคุมเจดีย์ผลึกใสได้อีกครั้ง
ทุกอย่างเกิดขึ้นฉับพลัน มากจนมู่เฉินยังไม่ได้ฟื้นตัวเต็มที่ แต่โชคดีที่เขาตอบสนองว่องไว เขาส่งเจดีย์ผลึกใสไปที่กระแสน้ำวนทันที
“ทำไมค่ายกลพิทักษ์บรรพบุรุษถึงมีช่องโหว่?!”
คนที่เคลื่อนไหวร้องอุทานเมื่อเห็นว่ามู่เฉินกำลังจะหนีเข้าไปในกระแสน้ำวน เขาคำรามลั่น “หยุดเดี๋ยวนี้!”
ตู้ม!
ทันใดนั้นมือแห้งกรังก็ตบลง ชั้นฟ้าและชั้นดินดูเหมือนจะพังทลายลงมา พลังอันน่าทึ่งและน่าสะพรึงกลัวถูกฉีกขาดมิติบดขยี้มู่เฉินไว้จากด้านบน
สถานการณ์เช่นนี้เขาก็ไม่คิดจะจับเป็นแล้ว หัวขโมยแบบนี้ ต่อให้ต้องฆ่าก็ปล่อยให้มันหนีไปไม่ได้!
คลื่นพลังงานน่าสะพรึงบดขยี้ลงมาอีกครั้ง ทำให้มู่เฉินรู้สึกขนลุกขนพองไปหมด ถ้ามีเวลาอีกสามลมหายใจเขาก็จะสามารถหลบหนีไปได้!
แต่การโจมตีครั้งนี้โหดเหี้ยมไม่ให้โอกาสเขาสักเสี้ยววินาที
ถึงเป็นสามลมหายใจสั้นๆ แต่ขณะนี้หมายถึงความเป็นตายเลยทีเดียว
มู่เฉินได้แต่มองพลังทำลายล้างกวาดเข้ามา ทว่าทันใดนั้นก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้ง
ฮึ่ม ฮึ่ม
สัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนปรากฏรอบตัวมู่เฉิน พวกมันกระตุ้นค่ายกลพิทักษ์บรรพบุรุษ ถักทอเป็นม่านบางเหนือร่างมู่เฉิน
ปัง!
แม้ว่าม่านจะแตกสลายในทันที แต่ก็ซื้อเวลาได้ถึงสามอึดใจพอดี
มู่เฉินควบคุมเจดีย์ผลึกใสทะยานเข้าไปในกระแสน้ำวน จังหวะนั้นเขาก็มีเวลาที่จะหันกลับไปมองดูเส้นสายผนึกที่เกิดขึ้นเหล่านั้น เขาสัมผัสได้ถึงความใกล้ชิดที่มาจากพวกมัน
ทันใดนั้นเขาก็รับรู้ หัวใจของเขาเต้นเป็นกลองรัว
“ท่านแม่…เป็นท่านใช่ไหม?”
ดวงตาของมู่เฉินแดงก่ำ มารดาของเขาช่วยแก้ไขสถานการณ์เป็นตายให้เขาเป็นครั้งที่สองแล้ว
ในเผ่าฝูถูมีเพียงมารดาของเขาคนเดียวเท่านั้นที่สามารถช่วยเหลือเขาได้
“ท่านแม่รอข้านะ ข้าจะมาช่วยท่าน แล้วเราจะกลับไปหาท่านพ่อด้วยกันแน่นอน!”
กระแสน้ำวนมืดมิดลงแล้วหายไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่มู่เฉินพึมพำในใจ
เมื่อร่างดวงจิตและเจดีย์ผลึกใสของมู่เฉินเข้าสู่กระแสน้ำวน พลังงานทำลายล้างก็หายไปทันที ไม่กี่อึดใจผู้อาวุโสที่ปกคลุมไปด้วยรัศมีประสบการณ์สูงก็ปรากฏตรงจุดที่กระแสน้ำวนหายไป
เขายื่นมือออกสัมผัสมิติบริเวณนี้ พยายามที่จะมองหาทิศทางตามรัศมีที่หลงเหลือไว้
ทว่าเขาก็ต้องหดมือกลับ ใบหน้าของเขามืดครึ้มเพราะเขาพบว่าร่องรอยมิติที่นี่ถูกลบไปหมดแล้ว
ทำได้อย่างหมดจดจนเขาไม่รู้สึกถึงร่องรอยแม้แต่น้อย
ชายชราเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าขณะที่ใบหน้ามืดครึ้ม
ร่างเงาหนึ่งนั่งอยู่ในเจดีย์
ทันใดนั้นนางก็เบิกตากว้าง รอยยิ้มคลุมเครือผุดตรงมุมปากขณะมองไปในระยะไกล
ทว่าก็กินเวลาสั้นๆ ก่อนที่จะหายไป
ฮึ่ม ฮึ่ม
มิติมืดมิดบิดเบือนยามนี้มีใบหน้าแก่หงำปรากฏขึ้นพร้อมกับความโกรธมองร่างเงาในเจดีย์
“ชิงเหยี่ยนจิ้ง เมื่อกี้เจ้าทำอะไรลงไป?!”
ชิงเหยี่ยนจิ้งปรายตามองไปที่ใบหน้าสูงวัยก็ตอบว่า “ข้าไม่รู้ว่าท่านผู้อาวุโสกำลังพูดอะไร”
ใบหน้าอาวุโสอัดแน่นด้วยความกรุ่นโกรธขณะที่คำราม “มีคนแอบเข้าไปในดินแดนโบราณเพื่อขโมยรัศมีตกทอด ที่สำคัญในช่วงเวลาสุดท้ายยังเกิดปัญหาขึ้นกับค่ายกลพิทักษ์บรรพบุรุษ ช่วยเจ้าหัวขโมยหลบหนีไป!”
“แล้วเกี่ยวกับข้าตรงไหน?” ชิงเหยี่ยนจิ้งยิ้มบาง
“หึ! เกี่ยวข้องกับเจ้ายังไงเรอะ? เจ้าเป็นหนึ่งในคนสร้างค่ายกลพิทักษ์บรรพบุรุษ! จะยากแค่ไหนถ้าเจ้าต้องการทิ้งบางอย่างเอาไว้? เจ้าคิดว่าข้าเป็นตาแก่ขี้หลงขี้ลืมรึ? เจ้าโจรที่มาขโมยรัศมีตกทอดจะต้องเป็นเชื้อสายต่ำตมที่เจ้าทิ้งไว้ข้างนอกแน่?!” ผู้อาวุโสใหญ่ตะคอกอย่างเย็นชา
“งั้นเหรอ?” ชิงเหยี่ยนจิ้งไม่ได้ยอมรับคำพูดของเขา
ผู้อาวุโสใหญ่เค้นเสียงเย็นขึ้นจมูก “ดูเหมือนว่าข้าจะประเมินไอ้เด็กเหลือขอน้อยไป เพียงไม่กี่ปีก็เติบโตได้ขนาดนี้ นอกจากนี้ยังมีรายงานมาว่าเขาสามารถสร้างเจดีย์พุทธะได้ ท่าทางคงได้รับการถ่ายทอดสายเลือดไปจากเจ้า ในเมื่อเป็นกรณีนี้เราคงต้องส่งผู้อาวุโสออกไปจับเขามา!”
ชิงเหยี่ยนจิ้งที่สงบนิ่งเสมอ ทันใดนั้นก็ขมวดคิ้วจ้องมองผู้อาวุโสใหญ่ก่อนที่จะพูดช้าๆ ว่า “ถ้าท่านกล้าส่งหน้าไหนออกไป อย่าโทษข้าไม่ไว้หน้าแล้วกัน!”
ผู้อาวุโสในเผ่าฝูถูมีสถานะสูงส่ง แต่ละคนมีขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสิ้น เมื่อไรที่พวกเขาเคลื่อนไหวจะเป็นเรื่องน่าสะพรึงสำหรับมู่เฉินแน่
“เจ้าจะทำอะไรได้?” ผู้อาวุโสใหญ่พูดด้วยสีหน้ามืดครึ้ม เห็นชัดว่าเขาไม่พอใจกับความขัดขืนของชิงเหยี่ยนจิ้ง
ชิงเหยี่ยนจิ้งปรายตามองไปก่อนที่จะค่อยๆ ปิดตา
ทันทีที่ดวงตาปิดสนิท เจดีย์ก็สั่นสะท้าน จากนั้นผู้อาวุโสใหญ่ก็ตกใจเมื่อเห็นผนึกที่ปราบปรามชิงเหยี่ยนจิ้งเริ่มพังทลายลง
ในเวลาเดียวกันผู้อาวุโสใหญ่ยังสัมผัสได้ถึงความโกลาหลใหญ่เผ่าฝูถู ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปรุนแรง เนื่องจากค่ายกลผู้พิทักษ์ที่ควบคุมโดยสภาผู้อาวุโสเริ่มถูกกระตุ้น
“เจ้า!”
ผู้อาวุโสใหญ่มองอย่างเกรี้ยวกราดไปที่ชิงเหยี่ยนจิ้งพูดต่อ “ความสำเร็จของเจ้าในด้านค่ายกลไปไกลขนาดนี้เชียวรึ? เจ้าสามารถควบคุมค่ายกลผู้พิทักษ์จากระยะไกลได้?!”
ชิงเหยี่ยนจิ้งลุกขึ้น ก่อนที่สัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนจะเปล่งประกายราวกับดวงดาวรอบตัวนาง จากนั้นก็มองไปที่ผู้อาวุโสใหญ่ “ท่านผู้อาวุโสใหญ่ เหตุผลที่ข้ายอมรับการลงโทษในตอนนั้นไม่ใช่เพราะกลัวพวกท่าน ข้าแค่ไม่ต้องการให้ลูกมาติดร่างแหด้วย แต่ถ้าท่านกำลังจะข่มขู่ข้าด้วยลูกชายของข้า พวกท่านจะต้องคิดให้ถ้วนถี่กับราคาที่ต้องจ่ายออกมา”
ยามนี้ชิงเหยี่ยนจิ้งไม่ได้สงบเยือกเย็นเหมือนเมื่อก่อน นางแสดงให้เห็นถึงด้านดุร้ายราวกับเสือแม่ลูกอ่อนที่ปกป้องลูกน้อย หากใครแตะต้องดวงใจของนาง พวกมันก็ต้องเผชิญหน้ากับความดุร้ายและบ้าคลั่งด้วย
เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตนางก็คือลูกรัก…มู่เฉิน
ใบหน้าของผู้อาสุโสใหญ่เปลี่ยนไปเมื่อเผชิญกับชิงเหยี่ยนจิ้งที่อยู่ในสภาพอันตราย เขาสัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่นของนาง ถ้าเขาส่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนออกไปจริงๆ ละก็ชิงเหยี่ยนจิ้งคงจะก่อกบฏทันที แม้ว่าพวกเขาจะสามารถปราบปรามนางได้ด้วยรากฐานของเผ่าฝูถู พวกเขาก็ต้องจ่ายราคาสูงแน่นอน
ซึ่งราคานั้นอาจเป็นความตายของจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนเลยทีเดียว
สำหรับเผ่าฝูถูนี่เป็นการระเบิดครั้งใหญ่ เนื่องจากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเป็นทรัพยากรที่มีค่าสำหรับทุกขั้วอำนาจในมหาพันภพ
หลังจากเงียบไปชั่วครู่ผู้อาวุโสใหญ่ก็กล่าวช้าๆ ว่า “ข้าจะไม่ส่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนออกไป แต่ลูกของเจ้าจะต้องถูกจับกลับมา”
เสียงของเขาเคร่งขรึมไร้ข้อกังขา เขายอมถอยหนึ่งก้าวไม่ส่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนออกไป แต่เขาสามารถส่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนออกไป
ชิงเหยี่ยนจิ้งสงบลงหลังจากได้ยินคำพูดนั่น เนื่องจากนางรู้ชัดเจนว่าเป็นเรื่องยากสำหรับเผ่าโบราณที่จะถอย ตัวนางก็ไม่อยากตัดความสัมพันธ์กับเผ่าอย่างเด็ดขาด ถึงยังไงนางก็มีสายเลือดของเผ่าโบราณไหลเวียนอยู่ในร่างกายเช่นกัน
สำหรับจอมยุทธ์ที่อยู่ระดับต่ำกว่าระดับเทียนจื้อจุน แม้จะกังวลอยู่บ้าง แต่นางก็ยอมรับพอได้ นั่นเป็นเพราะถ้ามู่เฉินสร้างเจดีย์พุทธะได้แล้วจริงๆ นั่นก็หมายความว่าเขาบรรลุระดับตี้จื้อจุนแล้ว ดังนั้นเขาปกป้องตัวเองได้อย่างแน่นอน
นางเงยหน้าขึ้นมองเข้าไปในความว่างเปล่า สายตาราวกับทะลุผ่านห้วงมิติห่างไกลไปยังร่างเงาที่นางรักอย่างสุดหัวใจ นางเผยรอยยิ้มน่ายินดี ในเวลาเดียวกันก็ถอนหายใจอย่างนุ่มนวล
“ลูกรัก แม่ทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อเจ้าแล้ว ต่อไปเจ้าต้องพึ่งพาพลังของตนเองแล้วนะ”
บทที่ 1234 เจดีย์ผลึกใสทรงพลัง
บนภูเขาด้านหลังของวังลั่วเสิน
มู่เฉินที่นั่งอยู่บนยอดเขาสูงสุดก็ลืมตาขึ้นหลังจากเข้าสมาธิมาสิบวัน แต่ขณะนี้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกลัวที่กวนตัว
“เส้นยาแดงผ่าแปด…”
มู่เฉินปาดเหงื่อบนหน้าผากออก สถานการณ์เมื่อครู่อันตรายมาก แม้ว่าจะเป็นเสี้ยวหนึ่งของเขาที่แอบเข้าไปในดินแดนโบราณของเผ่าฝูถู แต่ถ้าถูกจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจับได้ก็จะสามารถสัมผัสตำแหน่งของเขา เวลานั้นเขาจะไม่มีทางหนีรอดไปได้เลย
แต่โชคดีที่มารดาออกมาช่วยในช่วงเวลาสำคัญ มิฉะนั้นเขาคงตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย
“ท่านแม่”
หวนคิดถึงการเปลี่ยนแปลงในค่ายกลที่ปกป้องเขา ความรู้สึกอบอุ่นก็ไหลเวียนอยู่ในใจ แม้ว่าครั้งนี้เราแม่ลูกจะไม่ได้พบกัน แต่มู่เฉินก็รู้สึกได้ถึงความผูกพันทางสายเลือด
บางทีมารดาคงคาดว่าจะเกิดสถานการณ์เช่นนี้ตั้งแต่นางมอบคัมภีร์ต้าฝูถูไว้ให้ ดังนั้นจึงได้สร้างช่องโหว่ในค่ายกลเอาไว้ ซึ่งเป็นบางสิ่งที่สามารถให้ความคุ้มครองมู่เฉิน เมื่อสัมผัสถึงรัศมีของเขา
เห็นได้ชัดว่าชิงเหยี่ยนจิ้งไตร่ตรองไว้อย่างรัดกุม
“ท่านแม่วางใจเถอะ ข้าไม่ใช่เด็กอ่อนแอเหมือนแต่ก่อนแล้ว” มู่เฉินพึมพำพร้อมกับมือกำแน่น ในเวลานี้ไม่เพียงแต่เขาบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุน เขายังสร้างขั้วอำนาจของตนเองและมีความเชื่อมโยงที่ทรงพลังเช่นกัน
มิหนำซ้ำยังมีหินสลักจากเทพจักรพรรดิสงคราม ดังนั้นต่อให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเผ่าฝูถูมาตามจับเขา เขาก็ไม่ได้หมดหนทางแท้จริง
นอกจากนี้เขายังพยายามเต็มที่ที่จะเสริมพัฒนาการ เขาเชื่อว่าต้องมีสักวันที่เผ่าฝูถูไม่สามารถทำอะไรเขาได้ ต่อให้เขาจะไม่พึ่งความช่วยเหลือจากภายนอก
หลังจากความคิดเดือดพล่านในใจครู่หนึ่ง มู่เฉินก็ค่อยๆ สงบลงและเริ่มมองย้อนกลับไปถึงการเก็บเกี่ยวครั้งนี้จากดินแดนโบราณของเผ่าฝูถู
เขาสามารถสัมผัสเจดีย์ผลึกใสที่ลอยอยู่ในร่างกาย
เมื่อเปรียบเทียบกับเจดีย์ก่อนหน้าก็งดงามยิ่งกว่าเดิม ซ้ำยังเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์และลึกลับออกมาอีกด้วย
มู่เฉินไตร่ตรองไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเร้าเจดีย์ผลึกใส จากนั้นเขาก็เห็นร่องรอยของเพลิงที่ปรากฏภายในเริ่มลุกโชน
ช่างเป็นเพลิงผลึกงดงามอย่างไม่น่าเชื่อ ทว่ามู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงความผันผวนอันตรายอย่างยิ่งที่มาจากมัน
ในอดีตแม้ว่าเจดีย์ของเขาจะสร้างเพลิงพุทธะที่ทำลายร่างเทห์สวรรค์ของศัตรูได้ ทว่าเพลิงผลึกนี้ก็มีผลเช่นเดียวกัน มิหนำซ้ำยังทรงพลังมากกว่า
มู่เฉินสัมผัสได้ถึงพลังของเพลิงผลึกก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ เขาวาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว กระแสคลื่นหลิงในร่างกายกวาดออกมาเทลงไปในเจดีย์ผลึกใส
วูบ วูบ
คลื่นหลิงจำนวนมหาศาลหลั่งไหลเข้ามาในเจดีย์ มู่เฉินก็สัมผัสได้ว่าคลื่นหลิงกำลังเปลี่ยนเป็นเหมือนแก้วใส
ในอดีตคลื่นหลิงของมู่เฉินมีสีม่วงเนื่องจากการหลอมรวมกับเพลิงอมตะ แต่เมื่อผ่านเจดีย์ผลึกใสก็ราวกับเปลี่ยนเป็นคลื่นหลิงลึกซึ้งอีกชนิด
เมื่อสัมผัสคลื่นหลิงที่เปลี่ยนเป็นแก้วใส มู่เฉินก็ลังเลครู่หนึ่งแล้วหมุนเวียนพลังทั้งหมดภายในร่างกายเข้าสู่เจดีย์
ในเวลาเพียงสิบกว่าลมหายใจร่างของมู่เฉินก็เต็มไปด้วยคลื่นหลิงสีแก้วใส
มู่เฉินลุกขึ้นยืน ร่างของเขาเปล่งความแวววาวออกมา เมื่อยกมือขึ้นคลื่นหลิงที่ราวกับแก้วใสก็รวมตัวกันไหลเวียนอย่างช้าๆ
“คลื่นหลิงแข็งแกร่งขึ้นแล้ว!”
รู้สึกถึงพลังที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ในร่างกาย แม้แต่มู่เฉินที่ใจเย็นก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง นั่นเป็นเพราะจากการคาดการณ์คลื่นหลิงในร่างกายของเขาได้รับการเสริมสร้างขึ้นหลายเท่าเลยทีเดียว
ตัดสินจากคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขต เขาเทียบเท่าระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นระยะปลายสุดเลยทีเดียว!
“เจดีย์ผลึกใสมีความสามารถที่ทรงพลังสองอย่างคือการแปลงและเสริมความแข็งแกร่ง” มู่เฉินตะลึงไม่หยุด ไม่ต้องพูดถึงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ถูกล่อลวงจากความสามารถทั้งสองนี้
ทว่าตอนนี้มู่เฉินกลับรู้สึกไม่คุ้นเคยกับคลื่นหลิงแก้วใส ถ้าคลื่นหลิงที่หลอมรวมกับเพลิงอมตะในอดีต สามารถเผาผลาญไม่รู้จบ งั้นคลื่นหลิงนี้ก็เพิ่มรัศมีศักดิ์สิทธิ์และลึกลับเข้ามา
ฟิ้ว!
ขณะที่มู่เฉินเพ่งสมาธิไปที่คลื่นหลิงแก้วใสที่ไม่คุ้นเคย เสียงลมอัดอากาศหวีดหวิวก็ดังขึ้นที่เบื้องหน้า ก่อนที่ลั่วหลี ลั่วเทียนเสินและลั่วเทียนหลงจะพุ่งตัวมาปรากฏขึ้น
พวกเขาอึ้งไปเมื่อมองมู่เฉิน พวกเขารู้สึกว่าคลื่นหลิงของชายหนุ่มไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
“เจ้า…ทำไมคลื่นหลิงถึงทรงพลังมากขึ้นขนาดนี้!” ลั่วเทียนเสินพูดขึ้นเป็นคนแรกขณะที่มองมู่เฉินด้วยความตกตะลึง เขารู้สึกได้ว่าความแข็งแกร่งคลื่นหลิงของมู่เฉินทรงพลังมากกว่าเมื่อสิบวันก่อนหลายเท่า
ความเร็วในการเสริมความแข็งแกร่งนี้ช่างน่ากลัวจริงๆ!
ลั่วเทียนหลงก็มองมู่เฉินด้วยความประหลาดใจ ส่วนลั่วหลีกลับมองด้วยความสนใจ ชัดว่านางไม่แปลกใจอะไรกับสิ่งใดที่เกิดขึ้นกับมู่เฉิน
“ทำไมคลื่นหลิงของเจ้าถึงเปลี่ยนไป?” ลั่วเทียนเสินมองมู่เฉินด้วยความไม่เชื่อ เนื่องจากเขาตระหนักได้ว่าคลื่นหลิงภายในร่างกายชายหนุ่มแตกต่างไปจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง ต้องรู้ว่ายากแค่ไหนที่จะปลูกฝังใหม่ ทว่ามู่เฉินแค่เข้าสมาธิไปสิบวัน ทำไมคลื่นหลิงถึงเปลี่ยนไปหมด?
ด้วยการรับรู้ของลั่วเทียนเสินในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย เขาสามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่าคุณลักษณะคลื่นหลิงของมู่เฉินในตอนนี้แตกต่างจากที่เคยเป็นมาก่อน
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้ทั้งสาม ก่อนที่จะหันไปหาลั่วเทียนหลง “ท่านลุงเทียนหลงช่วยข้าทดสอบคลื่นหลิงใหม่หน่อยได้ไหมขอรับ”
ลั่วเทียนหลงรู้ว่ามู่เฉินกำลังขอใช้เขาเป็นผู้ทดสอบ ทว่าเขาก็เดินหน้าขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจพลางพูดเสียงดังว่า “ไหนขอข้าดูหน่อยว่าคลื่นหลิงของเจ้าพิเศษเพียงใด”
มู่เฉินยิ้มพลางเหยียดมือจับข้อมือของลั่วเทียนหลง จากนั้นก็เทคลื่นหลิงแก้วใสของตนเองใส่ร่างกายของอีกฝ่าย
ลั่วเทียนหลงปล่อยให้คลื่นหลิงของมู่เฉินเข้าสู่ร่างกาย จากนั้นก็ตั้งท่าจะขับไล่ ทว่าทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าคลื่นหลิงตนเองแข็งค้างเมื่อสัมผัสกับคลื่นหลิงของมู่เฉิน แม้ว่าเขาจะพยายามหมุนเวียนก็ไร้ประโยชน์นัก
ในเวลาสิบกว่าลมหายใจคลื่นหลิงทรงพลังภายในร่างกายเขาก็หยุดชะงักลง ไม่มีความผันผวนใดๆ เกิดขึ้นเลย ราวกับว่าเขาเป็นคนธรรมดาที่ไม่เคยฝึกฝนมาก่อน
ลั่วเทียนหลงที่สูญเสียการควบคุมพลังงานของตนเองก็รู้สึกตะลึงขณะมองมู่เฉินด้วยความอึ้งทึ่ง
ลั่วเทียนเสินสังเกตเห็นเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงเหยียดมือวางไหล่ของลั่วเทียนหลงสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด ครู่หนึ่งเมื่อสัมผัสถึงได้เขาก็อุทานลั่น “พลังงานของเจ้าถูกผนึก!”
“ผนึก?” คราวนี้แม้แต่มู่เฉินก็ออกเสียงอย่างประหลาดใจ
ลั่วเทียนเสินพยักหน้าเคร่งเครียด ก่อนที่คลื่นหลิงทรงพลังของเขาจะพุ่งเข้าสู่ร่างกายของลั่วเทียนหลงเพื่อช่วยละลายคลื่นหลิงแก้วใสออกไป ไม่นานคลื่นหลิงที่ทรงประสิทธิภาพของลั่วเทียนหลงก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ทว่าแม้จะได้รับการแก้ไขแต่ลั่วเทียนหลงก็ยังคงมองมู่เฉินอย่างตกตะลึงพร้อมกับใบหน้าซีดลง เขารู้สึกผวาหน่อยๆ จากความรู้สึกที่เหมือนกลายเป็นคนพิการ
“ไม่เพียงแต่เจดีย์ผลึกใสจะปรับเปลี่ยนและเสริมสร้างคลื่นหลิงของข้าเท่านั้น แต่ยังมอบพลังผนึกให้อีกด้วย”
มู่เฉินตกตะลึงไป เขาไม่คิดเลยว่าเจดีย์จะมีประโยชน์มากมายขนาดนี้ ไม่ต้องพูดถึงการเปลี่ยนแปลงและการยกระดับ แม้จะเป็นเพียงตัวช่วยเสริม แต่ก็มีประโยชน์อย่างยิ่ง ส่วนความสามารถในการผนึกนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าอีก เพราะแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนยังถูกผนึกคลื่นหลิงไว้ถ้าโดนคลื่นหลิงเขาบุกเข้าไปในร่าง เวลานั้นพวกเขาจะกลายเป็นลูกแกะให้เขาสังหารโดยง่าย
“มีคลื่นหลิงประเภทที่มีความสามารถในการผนึกในมหาพันภพด้วยหรือ?” ลั่วเทียนหลงพูดด้วยความไม่เชื่อ
ลั่วเทียนเสินครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนที่จะมองมู่เฉินด้วยสายตาผิดแผก “จากที่ข้ารู้… มีข่าวลือว่าเผ่าฝูถูโบราณเก่งกาจในการผนึก… คลื่นหลิงของพวกเขามีผลต่อการผนึก ทำให้ยากที่จะจัดการ”
เมื่อได้ยินคำพูดนั่น ลั่วเทียนหลงก็ตกตะลึงพลางมองมู่เฉิน หรือว่าชายหนุ่มจะมีความสัมพันธ์กับเผ่าฝูถูโบราณ?
ดวงตามู่เฉินกะพริบวูบไหว เขาไม่คิดว่าลั่วเทียนเสินจะมีความรู้มาก ขนาดสามารถคาดเดาถึงเผ่าโบราณได้อย่างรวดเร็ว… แต่เมื่อเผชิญหน้ากับครอบครัวของลั่วหลี เขาก็ไม่อยากโกหกอะไร ดังนั้นเขาจึงตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“ดีล่ะ ในเมื่อมู่เฉินมีทักษะเพิ่มขึ้น ก็มีโอกาสในการแข่งขันนักรบทวีปมากขึ้น” ลั่วหลียิ้มบางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
มู่เฉินจ้องมองคนรักอย่างขอบคุณก่อนที่จะดึงคลื่นพลังกลับออกมา จากนั้นเขาก็สัมผัสได้ว่าเมื่อคลื่นหลิงออกจากเจดีย์ผลึกใสก็เปลี่ยนกลับสู่คลื่นหลิงชนิดเดิมของเขา
เมื่อรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่สมบูรณ์ มู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะอุทานชื่นชม มิน่าล่ะเผ่าฝูถูที่ถึงเป็นหนึ่งในเผ่าโบราณแห่งมหาพันภพได้ วิธีการลึกซึ้งเช่นนี้น่าอัศจรรย์อย่างแท้จริง
“อีกสิบวันก็จะถึงการเข้าร่วมการประลอง อีกสองสามวันเราก็จะเดินทางไปยังตำหนักซีเทียน” ลั่วหลียิ้มให้กับมู่เฉิน
เมื่อได้ยินคำพูดของนางหัวใจของมู่เฉินก็สั่นไหว “เจ้าจะเข้าร่วมด้วยเหรอ?”
ลั่วหลีหัวเราะเบาๆ “ตระกูลลั่วเสินอยู่ในทวีปซีเทียนนานยิ่งกว่าตำหนักซีเทียนอีกนะ ดังนั้นจึงมีคุณสมบัติเข้าร่วมเป็นธรรมดา แต่ว่าข้าไม่ใช่คนโหดอะไรเหมือนเจ้า ดังนั้นข้าเข้าร่วมในสนามรบตี้จื้อจุนขั้นต้นเท่านั้น”
มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ แม้ว่าลั่วหลีเพิ่งบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่นางมีร่างเทพวารีที่ไม่สามารถมองข้ามได้ นางต้องเป็นคู่แข่งที่ทรงพลังสำหรับผู้ที่อยู่ในสนามรบเดียวกันแน่นอน
“ในเมื่อเป็นแบบนี้…”
มู่เฉินยิ้มให้ลั่วหลี “เราสองคนก็รับสิทธิ์นักรบทวีปทั้งสองตำแหน่งไปเลย ในเมื่อจักรพรรดิสัประยุทธ์ทำให้เราไม่มีความสุข เราก็จะทำแบบเดียวนี้กับเขาด้วย!”
“ต้องทำแบบนั้นอยู่แล้ว” ลั่วหลีพยักหน้าขณะหัวเราะ
ลั่วเทียนเสินและลั่วเทียนหลงมองคู่รักที่มีความมั่นใจก็แลกเปลี่ยนสายตาพลางส่ายหน้ายิ้มอย่างขมขื่น ดูเหมือนว่าทั้งสองจะไปสร้างความโกลาหลในศึกนักรบทวีปของทวีปซีเทียนครั้งนี้แล้ว
บทที่ 1235 เตรียมเปิดศึก
ยิ่งเวลาผ่านไปทวีปซีเทียนก็ยิ่งร้อนระอุ
หัวข้อสนทนาทั้งหมดมุ่งไปที่ศึกนักรบทวีปที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า
ในบางแง่มุมนี่อาจเป็นเหตุการณ์ใหญ่ที่สุดของทวีปซีเทียนในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมาเลยก็ว่าได้
นอกเหนือจากการคุ้มครองที่ตำหนักซีเทียนมีให้พวกเขา เหตุผลสำคัญอีกอย่างที่ทำไมขั้วอำนาจต่างๆมอบความจงรักภักดีให้กับตำหนักซีเทียนก็เป็นเพราะศึกนักรบทวีปนี้!
นี่เป็นแรงดึงดูดอย่างมากต่อจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทุกคน
เพราะในมหาพันภพปัจจุบันมากกว่าครึ่งหนึ่งของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนมีความคล้ายคลึงกันในเรื่องพวกเขาเคยได้รับตำแหน่งนักรบทวีปมาแล้ว!
ความจริงข้อนี้เพียงอย่างเดียวก็สามารถสร้างความบ้าคลั่งให้กับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนได้มากมาย เพราะขุมพลังเทียนจื้อจุนเป็นระดับที่พวกเขาฝัน หากพวกเขาสามารถเข้าถึง พวกเขาก็จะเทียบเท่าหนึ่งในยอดยุทธ์แห่งมหาพันภพเลยทีเดียว
การเคลื่อนไหวของบุคคลเช่นนี้ดึงดูดความสนใจของทุกคนในมหาพันภพ
ดังนั้นหากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนได้ครอบครองทวีป จัดตั้งขุมกำลังก็จะมีสำนักมากมายรวมตัวกันเพื่อมอบความจงรักภักดีต่อพวกเขา สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือพวกเขาต้องการสิทธิ์ในการชิงตำแหน่งนักรบทวีป
และทวีปซีเทียนก็ไม่ได้เป็นข้อยกเว้นเช่นกัน
เมืองซีเทียนจั้น
สำหรับทวีปซีเทียน เมืองแห่งนี้เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจละเมิดได้ แต่โดยทั่วไปจะไม่มีใครอยู่ที่นี่นอกเหนือจากวันสำคัญที่เหล่าผู้นำและจอมยุทธ์ของขั้วอำนาจทั้งหลายจะมารวมกันที่นี่
เพราะพวกเขาแต่ละคนเป็นเจ้าเหนือหัวในดินแดนของตนเอง แต่เมื่อพวกเขาอยู่ในเขตแห่งนี้ แม้แต่มังกรก็ต้องหมอบพยัคฆ์ก็ต้องคุกเข่า
เนื่องจากเมืองนี้เป็นที่พักอาศัยของจักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียน!
แต่ในช่วงเวลานี้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นจุดสนใจของทั้งทวีป
เพราะศึกนักรบทวีปกำลังจะอุบัติขึ้นที่นี่
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเมืองถึงร้อนเดือดเมื่อทุกคนมารวมกัน ทุกคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเข้าร่วมในศึกนักรบทวีปต่างมารวมตัวกันที่นี่ ไม่ใช่แค่กลุ่มท้องถิ่นของทวีปซีเทียน แม้แต่กลุ่มที่ไม่ได้อยู่ในทวีปก็มารวมตัวกัน แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีสิทธ์เข้าร่วม แต่พวกเขาก็สามารถชมได้ พวกเขาจะได้มีประสบการณ์ไว้บ้างเผื่อได้เข้าร่วมในอนาคต
ดังนั้นเมืองซีเทียนจั้นจึงดูอลังการอย่างมากในวันนี้
จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนที่มักถือตัวพบได้ทั่วในเมืองซีเทียนจั้น ทำให้ผู้ที่มาชมศึกนักรบทวีปต้องส่งเสียงอุทาน ขณะเดียวกันพวกเขาก็ตื่นเต้นกับศึกที่จะเกิดนี้มากขึ้น
ผลกระทบของศึกนักรบทวีปในทวีปซีเทียนยิ่งใหญ่มาก ตราบใดที่นักรบทวีปถูกยืนยันตัว ชื่อของพวกเขาก็จะกระจายไปทั่วมหาพัภพ
โดยทั่วไปแล้วมีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะสร้างชื่อไปทั่วมหาพันภพ
วังหลวง
สถานที่งดงามแห่งนี้ตั้งตระหง่านบนภูเขาสูงที่ใจกลางเมืองทำให้มองเห็นได้ทั่วสารทิศ
ที่นี่คือตำหนักซีเทียน
ภายในมีห้องโถงใหญ่ซึ่งตอนนี้ตกอยู่ในความเงียบสงบ เงาร่างทั้งสี่คุกเข่าข้างหนึ่งลง โดยมีร่างสง่างามร่างหนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ ขณะที่แรงกดดันแผ่ออกมาจากเขา ทำให้ทั้งสี่คนก้มศีรษะลงด้วยความยำเกรง
ร่างสง่างามนี้ก็คือจักรพรรดิสัประยุทธ์นั่นเอง ตอนนี้ดวงตาของเขาปิดลงราวกับว่ากำลังพักผ่อนหย่อนใจ แม้ว่าสี่คนที่คุกเข่าเบื้องหน้าจะมีสถานะสูงในตำหนักซีเทียน แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดรบกวนจักรพรรดิสัประยุทธ์
“หลิงจั้นจื่อ หลิงเจี้ยนจื่อ หลิงหลงจื่อ”
ความเงียบดำเนินไปเป็นเวลานานในที่สุดจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็เปิดดวงตาพร้อมกับเสียงทรงเกียรติดังก้อง
“ศิษย์อยู่นี่ขอรับ!”
สามในสี่ตอบด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความเคารพ
ชายคนแรกสวมชุดสีดำ เขาดูธรรมดา แต่มองเห็นไฟแห่งการต่อสู้วูบไหวในดวงตา เป็นความรู้สึกราวกับว่ามีสัตว์อสูรดุร้ายซ่อนอยู่ ภาพลักษณ์ปกติที่ปรากฏทำให้ผู้อื่นรู้สึกถึงอันตรายจากแกนกระดูกเลยทีเดียว
เบื้องหลังมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาสะพายกระบี่ไว้บนหลัง คิ้วคมขณะที่เปล่งรัศมีกระบี่คมกริบออกมา ราวกับว่าเขาเป็นกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีใครเทียบ ด้วยกระบี่นี้สามารถตัดผ่านทุกสรรพสิ่งได้
เยื้องจากทั้งสองเป็นชายร่างกำยำราวกับหอคอยเหล็ก เงาของเขาบดบังคนที่ยืนอยู่ข้างหน้า เหมือนมีเกล็ดมังกรบนพื้นผิวของร่างกาย เสียงคำรามของมังกรเลือนรางเปล่งอย่างป่าเถื่อน ทำให้เขาดูเหมือนมังกรปีศาจ
ทั้งสามคนก็คือเทพจอมยุทธ์ของตำหนักซีเทียนที่มีชื่อเสียงโด่งดังในทวีปซีเทียน
ทว่าเมื่ออยู่เบื้องหน้าจักรพรรดิสัประยุทธ์ ทั้งสามก็ดูมีมารยาทและให้เกียรติอย่างมาก
จักรพรรดิสัประยุทธ์มองพวกเขาพูดออกมาช้าๆ “พวกเจ้าสามคนจะเข้าสู่สนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย เพื่อรับตำแหน่งเดียว…”
“ข้าไม่สนใจว่าใครในพวกเจ้าที่จะได้ตำแหน่งไป แต่ข้าขอบอกไว้เลยว่าตำแหน่งนี้จะต้องตกเป็นของตำหนักซีเทียนเท่านั้น”
“เข้าใจไหม?”
ทั้งสามพยักหน้าหนักแน่น
จักรพรรดิสัประยุทธ์พูดต่อ “จงอย่าประมาท แม้ว่าเจ้าสามคนถือว่าอยู่ในระดับดีของขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะอยู่ยงคงกระพัน”
“โดยเฉพาะหลิ่วซิงเฉิน ซูมู่และฉู่เหมิน พวกเขาทั้งสามยอมสวามิภักดิ์ต่อตำหนักซีเทียนก็เพื่อตำแหน่งนี้ พวกเขาจึงเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าเกรงขามที่พวกเจ้าต้องเผชิญ”
หลิงจั้นจื่อพยักหน้าอย่างเงียบๆ ขณะที่หลิงเจี้ยนจื่อคลี่ยิ้ม “ข้าอยากประลองกับกระบี่เทพหมาป่ามานานแล้ว ข้าว่าหลังจากครั้งนี้เขาจะไม่กล้าใช้ฉายากระบี่เทพอีกแล้ว”
หลิงหลงจื่อยิ้มกว้างด้วยสีหน้าน่ากลัว “อาจารย์วางใจเถอะ เราจะให้พวกเขารู้ที่ยอมจำนนต่อตำหนักซีเทียนอย่างเชื่อฟัง การคิดทำอะไรตุกติกเป็นการรนหาที่ตาย”
จักรพรรดิสัประยุทธ์พยักหน้า ก่อนจะตบที่เท้าแขนบนพนักบัลลังก์พลางเงียบไปอึดใจ “และคนสุดท้ายเป็นไอ้เด็กเหลือขอที่ชื่อมู่เฉิน…”
“ในเมื่อเทพจักรพรรดิอัคคีให้เขาเข้าร่วมในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย มันก็ต้องมีความสามารถบางอย่าง ดังนั้นจงระมัดระวังถ้าเจอ”
สายตาของทั้งสามกะพริบตามคำพูดของจักรพรรดิ พวกเขารู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตระกูลลั่วเสินและเด็กเหลือขอที่ชื่อมู่เฉิน ชายคนนั้นทำให้เจ้าวังของพวกเขากลับมาพร้อมกับความล้มเหลวแท้จริง ซึ่งไม่ดีต่อชื่อเสียงสักนิด
ด้วยความเข้าใจ สิ่งนี้จะต้องเป็นปมในหัวใจเขาแน่นอน แต่เนื่องจากสถานะของเขาและเทพจักรพรรดิอัคคีจึงไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำกับมู่เฉินได้ ดังนั้นทั้งสามจึงเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของจักรพรรดิของตน
ดูเหมือนว่าถ้าพวกเขาพบกับมู่เฉินในสนามรบ พวกเขาควรจัดการสอนเพื่อนคนนั้นว่ามีบางอย่างในโลกที่เขาไม่สามารถทำให้ขุ่นเคืองได้
เมื่อมองไปที่แววตาของพวกเขา จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ไม่พูดอะไรอีกต่อไป เขามองไปที่จอมยุทธ์คนสุดท้าย “หลิงเฟยจื่อจงทำงานหนักในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น”
จอมยุทธ์คนสุดท้ายเป็นหญิงสาวทรงเสน่ห์ที่มีเรือนร่างเย้ายวนทำให้ผู้คนมึนเมา โดยเฉพาะไฝที่มุมหางตา ทำให้นางโดดเด่นยิ่งนัก
นี่คือเทพจอมยุทธ์คนที่สี่หลิงเฟยจื่อ นางเป็นอิสตรีหนึ่งเดียว เพียงแต่ว่าเวลาฝึกฝนของนางไม่ได้นานเท่ากับคนอื่น ดังนั้นนางจึงเข้าร่วมในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นที่สอดคล้องกับพลังในปัจจุบัน
สายตาของหลิงเฟยจื่อเป็นประกายเมื่อมองไปที่จักรพรรดิ ความรักลึกซึ้งฉายในดวงตา “วางใจเถิดเจ้าค่ะอาจารย์ เฟยจื่อจะนำตำแหน่งในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นมาให้ได้”
จักรพรรดิสัประยุทธ์ยกยิ้ม “แต่เดิมเจ้าน่าจะสามารถชนะเลิศในสมรภูมิตี้จื้อจุนขั้นต้นได้ แต่ตอนนี้มีการเพิ่มตัวแปรเข้าไป ลั่วหลีได้รับมรดกร่างเทพวารีของลั่วเสิน ไม่อาจประมาทได้”
เมื่อเอ่ยถึงลั่วหลีน้ำเสียงของจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ผิดแผกไปเล็กน้อย
ด้วยประสาทสัมผัสของสตรี หลิงเฟยจื่อรู้สึกได้ ความอิจฉาวูบไหวในดวงตาก่อนที่นางจะผงกหัว “ศิษย์จะจำไว้เจ้าค่ะ”
จักรพรรดิสัประยุทธ์สั่งการเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย ก่อนที่จะให้ทั้งสี่คนออกไป
ทั้งสี่ออกจากวังไปอย่างเคารพ เมื่อห่างออกไปหลิงเจี้ยนจื่อก็ถอนหายใจ “ข้าได้ยินมาว่าลั่วหลีรับร่างเทพวารีมา ทำให้ความงามของนางเรียกว่าล่มเมืองได้ ในอนาคตนางจะกลายเป็นเทพธิดาลั่วคนที่สองอย่างแน่นอน ไม่น่าแปลกใจที่แม้แต่นายท่านก็กลับมามือเปล่า”
พอได้ยินคำพูดนี่แม้แต่หลิงหลงจื่อที่ไม่สนใจเรื่องสตรีก็พยักหน้า พวกเขารู้ชัดถึงทักษะและเสน่ห์ของอาจารย์ แต่ไม่คิดว่าจะไปล้มเหลวเรื่องของลั่วหลี
“ถ้าศิษย์พี่สองสนใจทำไมพวกไม่ลองดูล่ะ ใครจะรู้เจ้าคนใดคนหนึ่งอาจตรงกับความชื่นชอบของนางก็ได้นี่?” เสียงหัวเราะพลิ้วไหวดังขึ้นขณะที่หลิงเฟยจื่อตอบ
หลิงเจี้ยนจื่อกระแอมไอขณะที่เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ฮ่าๆ เฟยจื่อของเราก็ไม่ธรรมดา ครั้งนี้ในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น ข้าคิดว่าสตรีทั้งสองคงได้ต่อสู้กันดุเดือดแน่”
หลิงเฟยจื่อยิ้ม “ข้าอยากพบนางนะ แค่กลัวว่าจะมีหลายคนเกลียดข้าถ้าไปตะกุยหน้าสวยๆ ของนาง”
เมื่อทั้งสามคนเห็นนางใช้พูดคำอาฆาตแค้นด้วยรอยยิ้ม พวกเขาก็ขนลุกชัน ความหึงหวงของผู้หญิงน่ากลัวจริงๆ
ดูเหมือนว่าจะมีศึกน่าสนใจในสนามรบตี้จื้อจุนขั้นต้นแล้ว
บทที่ 1236 ผู้ที่มีโอกาสชนะสูงสุด
เมื่อมู่เฉินและลั่วหลีไปถึงเมืองซีเทียนจั้น
ที่นี่ก็เต็มไปด้วยผู้คน สิ่งที่ทำให้พวกเขาตกตะลึงที่สุดก็คือความผันผวนของคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ระลอกคลื่นทุกเส้นสายอยู่ในระดับตี้จื้อจุน
“แหล่งรวมยอดยุทธ์จริงๆ”
มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ฉากนี้อลังการยิ่งกว่าการเปิดวังสวรรค์บรรพกาลเสียอีก
“นี่คือการแข่งขันชิงตำแหน่งนักรบทวีป ในมหาพันภพตำแหน่งนักรบทวีปเทียบเท่ากับตั๋วเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน ไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนคนใดที่สามารถต้านทานสิ่งล่อใจนี้ได้ ถ้าไม่ใช่ว่าทุกขั้วอำนาจถูกจำกัดไว้เพียงหนึ่งสิทธิ์ ข้าเองก็อยากเข้าไปลองขอทดสอบโชคชะตามั่ง” ลั่วเทียนเสินกล่าวด้วยยิ้ม
แม้ว่าตระกูลลั่วเสินเพิ่งจะตั้งหลักได้ แต่ลั่วเทียนเสินก็ยังเป็นคนพามู่เฉินและลั่วหลีมายังเมืองซีเทียนจั้นด้วยตนเอง เนื่องจากราชโองการของจักรพรรดิสัประยุทธ์ทำให้ผู้คนคุกคามมู่เฉิน ดังนั้นเขาจึงติดตามมาด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยในกรณีที่มีอะไรเกิดขึ้น
“ด้วยกำลังของท่านปู่ ถึงแม้ว่าจะเข้าร่วมในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายก็ไม่สามารถเอาชนะได้หรอกนะ” ลั่วหลีกล่าวยิ้มๆ
วันนี้ลั่วหลีสวมชุดสีดำพอดีกับรูปร่างที่บอบบางของนางซึ่งช่วยขับเน้นรูปร่าง ทว่านางกลับสวมผ้าคลุมหน้า ตั้งแต่นางได้รับมรดกร่างเทพวารี รูปลักษณ์ของนางก็ยิ่งสวยสะดุดตามากยิ่งขึ้น มากจนกระทั่งมู่เฉินก็ยังลุ่มหลงเมื่อจ้องมองนาง ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดขึ้นนางจึงเลือกสวมผ้าคลุมหน้าไว้
แต่นางไม่รู้ว่ารูปลักษณ์ที่คลุมเครือกลับยิ่งดึงดูดผู้คนขึ้นมาก
เมื่อลั่วเทียนเสินได้ยินคำพูดขวานผ่าซากของหลานสาว เขาก็ฮึดฮัดขึ้น “ไอ้หนูมู่เฉินก็เข้าร่วมสนามระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายด้วยพลังแค่นี้ ทำไมเจ้าไม่ว่ากระทบเขามั่ง?”
“แม้แต่เทพจักรพรรดิอัคคียังรู้สึกว่าเขาจะชนะ สายตาของข้าจะไปเปรียบเทียบกับผู้อาวุโสเซียวเหยียนได้อย่างไร?” ลั่วหลีหัวเราะเบาๆ
“ชิ ลิ้นชักคมใหญ่แล้วนะยัยหนู!”
ลั่วเทียนเสินกลอกตา ก่อนจะจ้องมองไปที่มู่เฉินด้วยความหมั่นไส้ จากนั้นก็พุ่งไปยังเมื่อซีเทียนจั้นแบบงอนๆ
มู่เฉินยักไหล่ขณะที่ลั่วหลีขยิบตา อากัปกิริยานี้ทำให้หัวใจของเขาพองโต ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือจับมือนุ่มของนาง
ลั่วหลีขัดขืนเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยอมแพ้ปล่อยให้เขาจับมือพร้อมกับใบหน้าเห่อแดง ภายใต้สายตาอิจฉามากมาย ทั้งสองก็ทะยานตามหลังลั่วเทียนเสินไป
ทั้งสามเข้าสู่เมืองมุ่งหน้าไปยังอาคารทางตะวันตกเฉียงใต้ นี่เป็นจุดรวมตัวของผู้เข้าร่วมศึกนักรบทวีป
ทั้งสามคนใช้เวลาระยะหนึ่งก่อนที่จะมาถึงอาคารพร้อมกับความตกตะลึง นั่นเพราะพวกเขาสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าในอาคารแห่งนี้มีความผันผวนของคลื่นหลิงหลายร้อยสายมาบรรจบและปะทะกัน
นั่นก็หมายความว่ามีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนไม่ต่ำกว่าร้อยคนในอาคารนี้ ดูเหมือนว่าจอมยุทธ์ตี้จื้อจุนส่วนใหญ่ของทวีปนี้จะมารวมตัวกันที่นี่
ขณะเดียวกันกับที่เกิดความตกใจพวกเขาก็เข้าไปด้านใน พื้นที่ภายในดูกว้างขวางมากพร้อมเสียงดังก้องตลอดเวลา
ทั้งสามกวาดสายตาหยุดที่บนแผ่นศิลาตรงกลางโถงที่วูบไหวด้วยแสงไฟซึ่งถูกล้อมรอบด้วยผู้คน
“นั่นอะไร?” ลั่วหลีถามอย่างสงสัย
“ตารางยอดนิยมของผู้มีโอกาสชนะศึกนักรบทวีป” ลั่วเทียนเสินมองไป ก่อนจะหันมาหยอกล้อมู่เฉิน
เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดของเขาก็รู้สึกสนใจ ทั้งสามเดินเข้าไปกวาดสายตามอง เมื่อพวกเขาเห็นชื่อแรกบนตารางของสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น มู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
เนื่องจากอันดับแรกเป็นชื่อของลั่วหลี
มีตัวเลขกะพริบอยู่ข้างหลังชื่อของนาง ซึ่งเหมือนจะเป็นสองร้อยสามสิบล้าน ซึ่งมีหน่วยเป็นของเหลวจื้อจุน
“นั่นหมายความว่ามีของเหลวจื้อจุนรวมสองร้อยสามสิบล้านหยดวางเดิมพันข้างลั่วหลีในฐานะผู้ชนะของสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น” ลั่วเทียนเสินยิ้มตาหยี
มู่เฉินพยักหน้าก่อนจะเลื่อนสายตาลงไป ที่สองก็มองข้ามไม่ได้ โดยมีของเหลวจื้อจุนสองร้อยล้านหยดตามชื่อของหลิงเฟยจื่อ
“หลิงเฟยจื่อหนึ่งในสี่เทพจอมยุทธ์น่ะรึ?” มู่เฉินพยักหน้าหงึกหงัก ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมนางถึงเป็นรองจากลั่วหลี
ไม่ช้าสายตาของเขาก็ย้ายไปที่ตารางยอดนิยมของระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย จิตสังหารรุนแรงกวาดเข้าใส่ การแข่งขันสมรภูมินี้ดุเดือดยิ่งกว่าขั้นต้นหลายเท่า
พี่ใหญ่เทพจอมยุทธ์หลิงจั้นจื่อยืนหนึ่งด้วยจำนวนของเหลวจื้อจุนจำนวนสี่ร้อยล้านหยด ทำให้มู่เฉินแอบเดาะลิ้นเลยทีเดียว ย้อนกลับไปที่ทวีปเทียนหลัวองค์ชายใหญ่แห่งราชวงศ์เซี่ยก็ถึงกับใบหน้าดำคล้ำเมื่อถูกกรรโชกทรัพย์เป็นของเหลวจื้อจุนร้อยล้านหยดจากหลินจิ้ง จำนวนสี่ร้อยล้านหยดเป็นสิ่งที่แม้ว่าขั้วอำนาจระดับสูงจะจ่ายออกมาทั้งหมดก็ไม่อาจรวบรวมถึง
ถัดลงมาก็เป็นเทพจอมยุทธ์อีกสองคนคือหลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อที่มีของเหลวจื้อจุนรวมกันถึงห้าร้อยล้านหยดเลยทีเดียว
“เทพจอมยุทธ์ทั้งสี่มีชื่อเสียงแท้จริง” เมื่อเห็นสามอันดับสูงสุดที่เทพจอมยุทธ์ครอบครอง มู่เฉินก็อดถอนหายใจไม่ได้
จากนั้นชื่อคุ้นหูอีกส่วนก็ไล่ตามมา หลิ่วซิงเฉิน ซูมู่และฉู่เหมินที่ลั่วหลีบอกเอาไว้ก่อนหน้า
ยอดรวมของการเดิมพันของพวกเขาไม่ได้ด้อยกว่าหลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อรวมกัน เห็นได้ชัดว่าหลายคนรู้สึกว่าพวกเขาสามารถแข่งขันกับเทพจอมยุทธ์ทั้งสามแห่งตำหนักซีเทียนได้
การวางเดิมพันลดลงอย่างมากหลังจากนั้น เนื่องจากส่วนใหญ่ถูกรวบรวมในหกอันดับแรก
“เฮ้ เจ้าเห็นชื่อตัวเองยัง?” ขณะที่มู่เฉินถอนหายใจกับการวางเดิมพัน ลั่วเทียนเสินก็หัวเราะเบาๆ ด้วยความประสงค์ร้าย
มู่เฉินไล่สายตาลงไปจากนั้นมุมปากก็กระตุก นั่นเป็นเพราะเขาเห็นว่าชื่อตนเองเป็นชื่อสุดท้ายบนตารางโดยมีของเหลวจื้อจุนห้าแสนหยดเป็นเดิมพัน
เมื่อเปรียบเทียบกับการเดิมพันคนอื่นๆ แล้วดูเขาน่าสงสารเหลือเกิน
ลั่วหลีอดไม่ได้ที่จะยิ้ม จากนั้นก็เปล่งเสียงปลอบโยน “คนเหล่านี้ตาบอดจริงๆ…”
มู่เฉินถูจมูก ไม่ได้สนใจมากนั้น “ข้าคิดว่าคงไม่มีใครโง่พอที่จะเดิมพันกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นที่ลงแข่งขันในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายแล้วจะเป็นผู้ชนะหรอก”
“เฮ้ ดูเหมือนเจ้ารู้จักตัวเองดีนี่”
ทว่าทันใดนั้นเสียงมากวัยก็ดังขึ้นหลังจากมู่เฉินเอ่ยเยาะตัวเอง
มู่เฉิน ลั่วหลีและลั่วเทียนเสินขมวดคิ้วเมื่อเห็นเสี่ยหลิงจื่อจ้องมาทางพวกเขาด้วยสายตากินเลือดกินเนื้อ
“ก็ว่าเป็นใคร หมาจนตรอกนี่เอง” สีหน้าของลั่วเทียนเสินเย็นชาลง สาเหตุที่เขาว่ากระทบมู่เฉินก็เพราะพวกเขาหยอกล้อกันเล่นแบบปู่หลาน ตอนนี้พอเสี่ยหลิงจื่อโผล่มากัดมู่เฉินไม่ปล่อยก็ทำให้เขาทนไม่ได้
ใบหน้าของเสี่ยหลิงจื่อดิ่งลงก่อนที่จะเค้นเสียงเย็น หันกลับไปพูดกับคนด้านหลัง “ฮ่าๆ พี่สงป้า เจ้าสนใจมู่เฉินคนนี้ไม่ใช่เหรอ? เขานี่แหละ”
“เด็กเหลือขอที่ไม่ประมาณตนเอง อาศัยเทพจักรพรรดิอัคคีมองข้ามหัวจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายในทวีปของข้า วันนี้เขาจะได้เข้าร่วมสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายด้วยขุมพลังกระจ้อยร่อย ช่างน่าตลกนัก”
เสี่ยหลิงจื่อไม่ออมเสียง ไม่ช้าก็ดังสะท้อนไปทั่วอาคาร ทำให้เกิดความปั่นป่วน ทุกคนกวาดสายตามาที่มู่เฉิน
“เขาคือมู่เฉินเหรอ?”
“เขาดูเด็กมาก…โดดเด่นแท้จริง แต่ก็หยิ่งยโสนัก สนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายไม่ใช่ที่ที่เขาสามารถเข้าร่วมได้ในตอนนี้”
“ฮ่าๆ การมีกองหนุนทรงพลังเป็นสิ่งที่ดี ได้กระทั่งสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันนักรบทวีป”
“…”
เสียงนินทาดังกึกก้อง พวกเขาส่วนใหญ่ไม่พอใจที่มู่เฉินเข้ามาแทรกในการแข่งขันศึกนักรบทวีปของทวีปซีเทียนนัก
ชายร่างกำยำที่ด้านหลังเสี่ยหลิงจื่อก็สาดสายตาดุร้ายไปที่มู่เฉินพลางตะคอกเสียงเย็นชา “เป็นเด็กเหลือขอที่ใช้สิทธิ์เปล่าประโยชน์สิ้นเชิง!”
เสียงของเขาอัดแน่นด้วยความขุ่นเคือง เขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายที่เพิ่งจะสวามิภักดิ์ต่อตำหนักซีเทียน ดังนั้นเขาจึงไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมได้ ทว่ามู่เฉินที่เป็นคนนอกที่ไม่มีฐานอะไรในตำหนักซีเทียน กลับได้รับสิทธิ์ให้เข้าร่วม ดังนั้นเขาจึงรู้สึกว่าช่างไม่ยุติธรรม
“ไอ้หนู แกกล้าที่จะสู้กับข้าไหม? หากแกแพ้ก็ยกสิทธิ์ให้ข้า จะได้ไม่ต้องเอาชีวิตไปทิ้งในสนามรบ” สงป้ามองมู่เฉินด้วยสายตาที่ดุร้าย
ทว่ามู่เฉินเพียงยกคิ้วเมื่อเผชิญกับการยั่วยุของสงป้า สีหน้าดูนิ่งสงบแต่แล้วคำพูดของเขากลับทำให้อาคารทั้งหลังเงียบกริบลง
“แกเป็นใครมีสิทธิ์อะไรที่จะมาขอที่ข้า?”
บทที่ 1237 แปดสิบล้านต่อหมัด
เสียงของมู่เฉินดังก้อง
ทั้งอาคารก็เงียบกริบขณะสายตาอึ้งทึ่งมากมายจ้องไปที่เขา
ไม่มีใครคิดว่าชายหนุ่มที่ดูอ่อนโยนคนนี้จะกล้าพูดไม่ไว้หน้าสงป้าออกมา
นั่นเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายนะ!
นอกจากนี้สงป้ายังมีชื่อเสียงในทวีปซีเทียน ซึ่งรู้จักกันในฉายาราชาหมี เขาเป็นคนโหดเหี้ยมและเผด็จการมาก มีข่าวลือว่าเขาได้ฉีกร่างจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสองคนให้กลายเป็นแอ่งเลือดเมื่อในอดีต
แต่ถึงกระนั้นมู่เฉินยังกล้าสร้างความอับอายให้เขา
คำอุทานมากมายดังก้องอยู่ในอาคาร ดวงตาของสงป้าเปลี่ยนเป็นแดงก่ำอัดด้วยไอสังหาร ขณะที่เขาจ้องมองมู่เฉินก็แสยะฟันขาวออกมา “ไอ้หนู กล้าพูดแบบนี้กับข้าคิดหาที่ตายรึ?”
เผชิญหน้ากับสงป้าที่โกรธแค้น มู่เฉินก็ยังคงยิ้มเฉยเมย “ข้าเป็นประมุขตำหนักมู่ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มยังเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของข้า เจ้าเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ข้าพูดแบบนี้ด้วยแล้วจะทำไม?”
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ทุกคนก็อึ้งไปก่อนจะจำได้ว่ามู่เฉินไม่เพียงแต่เป็นประมุขสำนักเท่านั้น เขายังมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา การรวมตัวเช่นนี้เทียบเท่ากับขั้วอำนาจชั้นยอดในทวีปซีเทียนเลยทีเดียว
ด้วยภูมิหลังสนับสนุนเช่นนี้ เขาก็ไม่มีอะไรต้องกลัวเมื่อเผชิญหน้ากับสงป้า
สงป้าหวนนึกถึงเรื่องนี้ ใบหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะเค้นเสียงเย็น “แล้วไง? แกคิดจะร้องแรกแหกกระเฌอให้ทุกคนช่วยรุมข้าไง? มาดูกันว่าตำหนักซีเทียนจะยอมให้เจ้าทำเช่นนั้นไหม!”
แม้ว่าจะพูดอย่างเกี้ยวกราด ทุกคนก็สามารถบอกได้ว่าน้ำเสียงของเขาไม่ได้บีบคั้นเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
“เชอะ แม้ว่าแกจะมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา แต่แกจะให้นางเข้าไปที่สมรภูมิแทนรึไง?” เสี่ยหลิงจื่อช่วยสงป้าสาดโคลนทันที
ทันใดนั้นดวงตาของสงป้าก็เป็นประกายขณะยิ้ม “ใช่สิ แกมันฉลาดแกมโกงจริงๆ ข้าแค่มีข้อกังขากับคุณสมบัติของแกที่จะเข้าร่วมสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับผู้ใต้บังคับบัญชาเลย”
“ข้าว่าแกคงกลัวจนบ้าไปแล้ว ถึงได้หาข้ออ้างแบบนี้ หากมีความสามารถพอก็รับกำปั้นข้าสักครั้ง หากรับได้ไม่เพียงแต่ข้าจะขอโทษเท่านั้น นอกจากนี้ยังไม่สร้างเรื่องยุ่งยากให้ในอนาคตอีกด้วย… แต่หากไม่ก็ส่งสิทธิ์ของแกมา จะได้ไม่ต้องไปตายในสมรภูมิ” สงป้ายิ้มกว้าง แม้ว่าเขาจะมีร่างกำยำ แต่ในสมองก็ไม่ได้มีแค่กล้ามเนื้อจึงเอ่ยกล่าวออกมาโดยไม่หวังดี
เขามีวัตถุประสงค์ชัดเจนก็คือสิทธิ์ของมู่เฉิน นั่นเพราะการตัดสินจากทัศนคติที่ไม่พึงพอใจของจักรพรรดิสัประยุทธ์ที่มีต่อมู่เฉิน ถ้าเขาแย่งสิทธิ์ของมู่เฉินมาได้ จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็จะต้องยอมรับในสิ่งนี้ ต่อให้เขาไม่ได้รับอนุญาติให้เข้าร่วมในตอนแรก มิหนำซ้ำอาจจะยังชื่นชมเขาอีกด้วย
เขาพิจารณาเรื่องนี้มานานแล้ว นั่นคือเหตุผลที่เขาร่วมมือกับเสี่ยหลิงจื่อเพื่อมาหาเรื่องมู่เฉิน
“ไอ้หนู แกกล้าไหม?”
สงป้ามองมู่เฉินพลางตะแบงเสียง
เสียงสะท้อนก้องในอาคาร มีหลายคนที่สนับสนุนความคิดสงป้า ถึงยังไงมู่เฉินก็เป็นคนนอก ผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่ของสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายรู้สึกอับอายใจที่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสามารถเข้าร่วมกับพวกเขาได้
ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกมีความสุขที่จะได้เห็นมู่เฉินเสียสิทธิ์นี้ไป
เมื่อลั่วเทียนเสินและลั่วหลีรู้สึกถึงความคิดของคนอื่น ทั้งสองก็ขมวดคิ้ว พวกเขาประเมินการไม่ต้อนรับมู่เฉินของทวีปซีเทียนต่ำเกินไป
ทั้งหมดนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นเพราะจักรพรรดิสัประยุทธ์
มู่เฉินคงไม่มีความสงบสุขตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใส่ใจกับสงป้า แต่ก็ต้องมีบางคนที่มีความคิดคล้ายกันมาหาเรื่องเขาอยู่เรื่อยๆ ซึ่งจะส่งผลต่อพลังงานของเขา
มู่เฉินสัมผัสกับสิ่งนี้ได้เช่นกัน เขาจึงหรี่ตาลงจ้องมองสงป้าพลางตอบด้วยเสียงสงบ “เจ้าจะวัดกำปั้นกับข้าเหรอ?”
พอได้ยินคำตอบที่เหมือนจะมีแววรับคำท้า ดวงตาของสงป้าก็วูบไหวด้วยความดีใจ “เจ้าตอบตกลงเรอะ?”
มู่เฉินยิ้ม “เจ้าคำนวณเข้าข้างตัวเองไปไหม ถ้าข้าแพ้ก็ต้องส่งสิทธิ์ แต่เจ้ากลับแค่ขอโทษเท่านั้น คำขอโทษของเจ้ามีค่าขนาดนั้นเลยเหรอ?”
สงป้าขมวดคิ้ว “แล้วเจ้าต้องการอะไร?”
มู่เฉินยักคิ้วยิ้ม “ข้าจะยอมรับเงื่อนไขของเจ้าก็ได้ แต่ในราคา…ของเหลวจื้อจุนแปดสิบล้านต่อหนึ่งหมัด”
หนังตาสงป้ากระตุกไม่หยุดพลางคำราม “ของเหลวจื้อจุนแปดสิบล้านต่อหนึ่งหมัด? แกคุ้มกับราคานี่เรอะ?!”
หลายคนกลั้นเสียงหัวเราะ นี่เป็นราคาที่สามารถซื้ออาวุธมหสวรรค์ขั้นต่ำได้เลย ราคาที่มู่เฉินเสนอเอาเรื่องน่าดู
“ข้าไม่คุ้มหรอก แต่สิทธิ์เข้าร่วมศึกนักรบทวีปคุ้มกับราคานี้” มู่เฉินยิ้ม อึดใจสายตาก็เย็นเยือกลง “ถ้าเจ้าไม่สามารถจ่ายได้ราคานี้ ก็ไสหัวไป หยุดสร้างความอายให้ตัวเองซะ!”
ดวงตาของสงป้าเปลี่ยนเป็นแดงฉาน รัศมีร้ายกาจปกคลุมรอบตัว ของเหลวจื้อจุนแปดสิบล้านหยดไม่ใช่ปริมาณเล็กน้อย กำลังทรัพย์ของเขาก็ไม่ได้ดีนัก ทำให้ไม่สามารถจ่ายได้ในเวลานี้
สงป้ามองเสี่ยหลิงจื่อก็สังเกตเห็นท่าทางอึดอัดใจของอีกฝ่าย ตระกูลเสี่ยเสินจ่ายเงินจำนวนมหาศาลเพื่อจัดการตระกูลลั่วเสิน ดังนั้นแม้ว่าเขาจะพอจ่ายของเหลวจื้อจุนแปดสิบล้านหยดได้ แต่เขาก็ไม่เต็มใจที่จะใช้กับสงป้า เรื่องนี้สิ้นเปลืองเกินไป มิหนำซ้ำเสี่ยหลิงจื่อก็มีประสบการณ์ตรงกับความแปลกประหลาดของมู่เฉิน ในเมื่อมู่เฉินกล้าที่จะรับการท้าทาย ดังนั้นเสี่ยหลิงจื่อก็ต้องระมัดระวังเพื่อที่จะไม่ต้องเสียของเหลวจื้อจุนไปโดยเปล่าประโยชน์
พอเห็นท่าทางอึกอักของเสี่ยหลิงจื่อ สงป้าก็รู้สึกโกรธมาก ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เขาไม่คิดว่าตนเองจะอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอับอายเช่นนี้จากการตอกกลับของมู่เฉิน
เมื่อเห็นท่าทางอับอายของสงป้า มู่เฉินก็ยิ้มบาง เหตุผลที่เขาเรียกราคาสูงเช่นนั้นก็เพื่อทำให้เกิดปัญหากับสงป้าพร้อมกับสร้างกำแพงรอบตัวในเวลาเดียวกัน เขาต้องการให้คนอื่นรู้ว่าถ้าพวกเขาตั้งใจจะมาชิงสิทธิ์จากเขาจริงๆ ละก็ พวกเขาจำเป็นต้องเตรียมพร้อมที่จะจ่ายของเหลวจื้อจุนแปดสิบล้านหยด มิฉะนั้นถ้ามีคนมาท้าไม่หยุด แม้แต่จอมยุทธ์ไร้เทียมทานก็คงเอาไม่อยู่
ทุกคนรู้สึกผิดหวังกับท่าทางของสงป้า เนื่องจากตอนแรกพวกเขาต้องการใช้สงป้าเพื่อทดสอบมู่เฉิน แต่ดูเหมือนตอนนี้สงป้าจะไม่สามารถทำตามความคาดหวังของพวกเขาได้
“ฮ่าๆ ของเหลวจื้อจุนแปดสิบล้านหยดใช่ไหม? เรียกราคาสูงจริงๆ เลย แต่ช่างเถอะ ข้าจะจ่ายให้เอง”
ทว่าขณะที่ทุกคนคิดว่าเรื่องจะจบลงเท่านี้ เสียงหัวเราะเร้าใจก็ดังขึ้น สายตาทุกคนยกขึ้นไปบนชั้นสาม เงาร่างอรชรเดินออกมาเบื้องหหน้าครรลองสายตาทุกคน
“เทพจอมยุทธ์สี่—หลิงเฟยจื่อ!”
“ทำไมนางถึงมายุ่งเรื่องนี้”
“ฮ่าๆ หลิงเฟยจื่อเล็งเป้ามาที่ลั่วหลีแน่ คึๆ การแข่งขันของอิสตรี บางครั้งโหดยิ่งกว่าบุรุษซะอีก”
“…”
พร้อมกับการปรากฏตัวของร่างทรงเสน่ห์ เสียงกระซิบก็กระจายไปในอาคาร
หลิงเฟยจื่อจ้องมองไปที่ลั่วหลีขณะที่ปรากฏตัว เมื่อรู้สึกถึงแววตาท้าทายลั่วหลีก็เงยหน้าขึ้น ประกายไฟแล่นแปลบปลาบจากการจ้องมองของพวกนาง
เมื่อเห็นท่าทางของหญิงทั้งสอง ทุกคนก็รู้ซึ้งทันทีว่าการแข่งขันของจอมยุทธ์หญิงยอดนิยมทั้งสองในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นได้เริ่มขึ้นแล้ว
หลิงเฟยจื่อโบกมือ ขวดหยกก็บินไปหาสงป้า ก่อนที่นางจะหัวเราะเสียงพลิ้ว “นี่คือของเหลวแปดสิบล้านหยด หวังว่าราชาหมีจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังใช่ไหม?”
สงป้าคว้าขวดด้วยความปีติยินดีบนใบหน้าจากนั้นก็หัวเราะ “แม่นางหลิงเฟยจื่อโปรดวางใจ ข้าจะทำให้มันซึ้งจนกระอักที่เข้ามาในทวีปซีเทียนของเรา!”
หลิงเฟยจื่อหัวเราะ ของเหลวจื้อจุนแปดสิบล้านหยดไม่ใช่ปริมาณเล็กน้อยสำหรับนางเช่นกัน แต่ถ้านางสามารถใช้เพื่อกำจัดมู่เฉินได้ นางก็จะได้ช่วยองค์จักรพรรดิของนางระบายความโกรธที่มี มิหนำซ้ำยังสามารถทำให้ลั่วหลีอับอาย ดังนั้นถือว่าคุ้มค่าสำหรับนางนัก
นางยิ้มมองไปที่ลั่วหลี ทว่าความสงบที่อีกฝ่ายแสดงออกทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจก่อนที่จะเค้นเสียงเยาะเย้ย นางจะรอดูว่าลั่วหลีจะรักษาหน้ายังไงหลังจากที่มู่เฉินแพ้!
สงป้าคว้าขวดหยกมองไปที่มู่เฉินด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “ไอ้หนูมาดูสิว่าแกจะหาข้อแก้ตัวครั้งนี้ได้อย่างไร!”
ในความคิดของเขา มู่เฉินแค่พยายามทำให้เรื่องต่างๆ ยุ่งยากไปเท่านั้น
มู่เฉินยิ้มก่อนที่จะมองหลิงเฟยจื่อ ด้วยสายตาเฉียบแหลมเขาสามารถบอกได้ว่าหลิงเฟยจื่อตั้งใจมาหาเรื่องลั่วหลีโดยเฉพาะ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็ไม่มีเหตุผลที่ถอยแล้ว
ดังนั้นภายใต้สายตาจอมยุทธ์มากมาย มู่เฉินก็ก้าวออกมายื่นมือท้าทายสงป้า สิ่งที่พูดออกมาทำให้ผู้คนตกตะลึงไปอีกครั้ง
“ในเมื่อมีคนรวยขนาดนี้… ข้าจะยืนอยู่ที่นี่ รับกำปั้นโดยไม่หลบเลย”
บทที่ 1238 หนึ่งหมัด
“รับกำปั้นโดยไม่หลบ…”
เสียงของมู่เฉินดังก้องทำให้หลายคนต้องแลกเปลี่ยนสายตากัน จากนั้นก็ฉายแววเยาะเย้ย เนื่องจากคำตอบนั้นเกินความคาดหมายของทุกคน
เขาไม่เพียงแต่ยอมรับการท้านี้เท่านั้น ซ้ำยังบอกอีกด้วยว่าจะไม่หลบและจะรับกำปั้นตรงๆ
ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอนสำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นที่จะรับการโจมตีของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย…
บนชั้นสามสายตาของหลิงเฟยจื่อก็กะพริบวูบไหว ก่อนที่ริมฝีปากจะโค้งขึ้น นางหัวเราะเบาๆ “ไม่คิดว่าจะพบวีรบุรุษผู้กล้า ข้าคงต้องมองเจ้าใหม่ ราชาหมีในเมื่อเขาขอ เจ้าก็ทำให้ความปรารถนาเขาเป็นจริงที”
หลายคนแอบหัวเราะเยาะในใจ เวลาผู้หญิงโหดขึ้นมานี่น่ากลัวแท้จริง คำพูดของนางปิดกั้นทุกทางถอยสำหรับมู่เฉิน ตอนนี้ต่อให้ไม่ยินยอม มู่เฉินก็ต้องกลืนคำพูดเข้าไปทางเดียว
หากมู่เฉินพูดด้วยความอวดดี ตอนนี้เขาต้องทุกข์แล้ว
ทว่าที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจคือท่าทางของมู่เฉินไม่ได้เปลี่ยนไปจากคำพูดของหลิงเฟยจื่อ เขายังคงสงบซึ่งทำให้ทุกคนสงสัยว่าเขามีไพ่ตายซ่อนอยู่จริงหรือ?
ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นที่จะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายเลยนะ
ใบหน้าของสงป้าปกคลุมไปด้วยรังสีน่ากลัวก่อนที่จะมองมู่เฉินอย่างดุดัน เขาไม่คิดว่าตนเองจะถูกมู่เฉินดูถูกเพียงนี้
เจ้าโง่นี่ไม่รู้หรือไงว่าสงป้าเป็นจอมยุทธ์ที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ซึ่งหน้า? แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายบางคนยังไม่กล้าเผชิญหน้ากับพลังป่าเถื่อนแบบจังๆ
“ไอ้หนู ดูเหมือนว่าแกเหนื่อยกับการมีชีวิตนะ!” ดวงตาแดงก่ำของสงป้ามองมู่เฉินราวกับอสูรร้าย
มู่เฉินขมวดคิ้ว “เลิกพล่ามไร้สาระซะที ตกลงเจ้าจะเอารึเปล่า?”
สงป้ารู้สึกคัวนออกหู แต่สุดท้ายก็กัดฟันระงับเอาไว้ “ดี ข้าจะสนองความต้องการของแกวันนี้เอง!”
ตู้ม!
ร่างกายของสงป้าลั่นเปรียะด้วยรัศมีรุนแรง ทำให้เกิดรอยแตกในมิติโดยรอบ
คลื่นหลิงของเขาอัดแน่นด้วยความป่าเถื่อน เหมือนจะสะท้อนเสียงคำรามของหมีอย่างเลือนรางออกมาด้วย
ร่างของเขาพองตัวเป็นยักษ์ทันที ใบหน้าก็บิดเบี้ยวไป เขาดูเหมือนมนุษย์ครึ่งหมีที่ดิบเถื่อนในขณะนี้
ในอาคารผู้คนมากมายหรี่ตาแคบลงกับฉากนี้
“ว่ากันว่าทักษะที่สงป้าฝึกฝนต้องใช้เลือดหมีโลหิตแตกฟ้าซึ่งเป็นเทพอสูรโบราณ ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องหลอมรวมกับคลื่นหลิงของเขา ทำให้คลื่นหลิงของเขามีความรุนแรงอย่างมากพร้อมกับพลังที่ทำลายสวรรค์ได้” มีคนอุทานออกมา
แม้แต่ท่าทางของลั่วเทียนเสินก็เปลี่ยนไปเป็นเคร่งขรึม เขาอดไม่ได้ที่จะกังวลว่าสงป้าอาจฆ่ามู่เฉินตายในหมัดเดียว
มู่เฉินหรี่ตาแคบลง ท่ามกลางเสียงร้องของฝูงชน เขาสัมผัสถึงคลื่นหลิงรุนแรงที่ระเบิดออกมาจากร่างสงป้า ดวงตาก็วูบไหว
โฮก!
คลื่นหลิงในร่างสงป้ากวาดออกมาเป็นลอน วินาทีต่อมาเขาก็หมุนวนคลื่นหลิงไปยังจุดสูงสุด คำรามก้องฟ้า คลื่นเสียงกระเพื่อมจากเสียงคำรามของเขาทำให้มิติแตกสลาย
ปัง!
คลื่นหลิงเชี่ยวกรากผันผวนภายในร่างกาย สายตาเขาก็จับจ้องมู่เฉิน อึดใจเขาก็กระแทกฝ่าเท้า ระเบิดพื้นที่แข็งแกร่งใต้ฝ่าเท้าให้กลายเป็นฝุ่น
ร่างกลายเป็นลำแสงสายหนึ่งพุ่งออกไป ขณะเดียวกันก็เหวี่ยงกำปั้นขวาออกไปอย่างช้าๆ
ทันใดนั้นหมีตัวใหญ่ตัวหนึ่งก็ปรากฏอยู่ข้างหลัง อุ้งตีนหมีซ้อนทับรวมกันกับกำปั้นของสงป้า
ปัง ปัง!
พายุสีแดงกวาดออกทำให้มิติรอบด้านแตกเป็นเสี่ยงๆ ประกายไฟแล่นแปลบปลาบเมื่อสัมผัสกับหมัด
“กำปั้นปีศาจแยกฟ้า!”
สงป้าคำรามขณะที่เหวี่ยงหมัดออกไป ภาพนี้ทำให้ใบหน้าผู้คนเปลี่ยนแปลงไปมาก พวกเขาตกใจกับการเคลื่อนไหวของสงป้า
กำปั้นนี้เค้นพลังทั้งหมดของสงป้า แม้ว่าชายคนนี้จะดูเหมือนพวกสมองกล้ามเนื้อ แต่ก็ยังมีไหวพริบ เขากลัวว่ามู่เฉินจะมีทักษะบางอย่างในแขนเสื้อ ดังนั้นเขาจึงเลือกใช้วิธีการที่ตรงที่สุดเพื่อเอาชนะมู่เฉิน ด้วยพลังหลิงยิ่งใหญ่ของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย
การโจมตีนี้อาจดูงุ่มง่าม แต่เป็นเส้นทางพลังยิ่งใหญ่แท้จริง
ต่อให้แกมีทักษะมาก ข้าก็สามารถทำลายสิ่งกีดขวางให้หมดสิ้น!
ถึงยังไงมู่เฉินก็มีขุมพลังเท่านี้ ดังนั้นคลื่นหลิงไร้ขอบเขตของสงป้าในฐานะจอมยุทธ์อีกขั้นก็สามารถทำลายการป้องกันของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นนี้ได้
ดังนั้นเมื่อสงป้าชกหมัดออกไป หลายคนก็ชื่นชม เพราะสิ่งที่ดีที่สุดที่ต้องทำเมื่อเผชิญกับการโจมตีครั้งนี้คือการหลบ ทว่ามู่เฉินบอกไว้แล้วว่าจะไม่หลบ นี่ก็เท่ากับบีบตัวเองให้ต้องตายนั่นเอง
มุมปากของหลิงเฟยจื่อเพิ่มโค้งเยาะเย้ยมากขึ้น เนื่องจากนางรู้ว่ามู่เฉินต้องจ่ายราคาแพงระยับสำหรับความเย่อหยิ่งของตนเอง
ขณะที่ทุกคนกำลังเฝ้าดูฉากนี้ด้วยความดีใจกับความทุกข์คนอื่น มู่เฉินก็หายใจลึกสุดปอดกางขาออกเล็กน้อย จากนั้นก็เหยียดฝ่ามือออก ตั้งท่าจะรับกำปั้นอีกฝ่าย
ทว่าไม่มีใครสังเกตเห็นการวูบไหวของแสงอัญมณีที่กะพริบในส่วนลึกของดวงตามู่เฉิน คลื่นหลิงของเขาหลั่งไหลลงในเจดีย์ผลึกใส เปลี่ยนเป็นคลื่นหลิงแก้วใส…
เมื่อแสงอัญมณีบางจางก็เริ่มกำจายทั่วร่างมู่เฉิน จังหวะนั้นกำปั้นรุนแรงของสงป้าก็มาถึง
“ตาย!”
สงป้าคำรามด้วยท่าทางน่ากลัว รัศมีร้ายกาจห่อหุ้มเขาไว้ จากนั้นก็ชกไปที่ฝ่ามือของมู่เฉินภายใต้สายตาที่จ้องมองมานับไม่ถ้วน
ตู้ม!
เมื่อกำปั้นและฝ่ามือปะทะกัน เสียงดังกึกก้องก็กระจายไปทั่ว ทุกคนเห็นเสื้อผ้าของมู่เฉินกระพืออย่างรุนแรง
ขณะนี้ฝ่ามือมู่เฉินเปลี่ยนเป็นสีแดง เหมือนมีหยดเลือดซึมออกมาด้วย เนื่องจากคลื่นหลิงรุนแรงของสงป้า
คลื่นหลิงสีแดงกวนตัวเป็นพายุเฮอริเคนห่อหุ้มทั้งสองไว้
“ข้าจะฉีกร่างแกเป็นชิ้นๆ!” สงป้าหัวเราะร่วน อึดใจต่อมาคลื่นหลิงสีแดงเข้มก็พลุ่งพล่านเข้าสู่ร่างกายของมู่เฉินอย่างป่าเถื่อน เขาตั้งใจจะทำลายร่างมู่เฉินจากภายในสู่ภายนอก
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาใช้กระบวนท่าที่โหดร้าย เขาเคยทำสิ่งนี้กับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสองคนให้กลายเป็นแอ่งเลือด
ตู้ม!
ทว่าเมื่อคลื่นหลิงสีแดงเข้มเทลงไปในร่างกายมู่เฉิน สงป้าก็เห็นรอยยิ้มเย้ยบนใบหน้าของอีกฝ่าย
“จะตายอยู่แล้วยังเสแสร้งอีกเรอะ?!” สายตาสงป้าเปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม คิดจะจุดประกายพลังงานรุนแรงภายในร่างของมู่เฉิน
แต่ทันใดนั้นรูม่านตาของเขาก็หดลงด้วยความหวาดผวา เมื่อพบว่าตนเองสูญเสียการเชื่อมต่อกับคลื่นหลิงที่กระแทกใส่ร่างกายของมู่เฉินไป
นี่ให้ความรู้สึกราวกับว่าร่างกายของมู่เฉินเป็นหลุมดำที่สามารถกลืนกินและย่อยสลายพลังงานทุกชนิดที่เข้าไป
“เป็นไปได้ยังไง?” ใบหน้าของสงป้าเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ
ตรงกันข้ามมู่เฉินกลับยิ้มเย็นชา แท้จริงแล้วคลื่นหลิงของสงป้ารุนแรงมาก แต่น่าเสียดายที่มู่เฉินไม่กลัวคลื่นหลิงที่บุกเข้ามาในร่างกายของเขา
เนื่องจากตอนนี้คลื่นหลิงแก้วใสคำรามอยู่ภายในร่างกาย เมื่อคลื่นหลิงสีแดงที่บุกเข้ามาสัมผัสกับมันก็เงียบลงทันที ถูกผนึกอย่างสมบูรณ์…
ยามนี้ทุกคนรู้แล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติ ทำให้ใบหน้าถึงกับเปลี่ยนไป พวกเขารู้สึกได้ว่าไม่ว่าสงป้าจะพยายามจุดชนวนคลื่นหลิงของเขาในร่างกายของมู่เฉินเท่าไร ก็ไม่มีอาการปั่นป่วนสักเล็กน้อยออกมาจากร่างกายของอีกฝ่าย แม้แต่เท้าก็ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้?!” ทุกคนมีท่าทางเคร่งเครียดลงหลายส่วน ความตกใจผุดขึ้นในใจของพวกเขา
ขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึงไป มู่เฉินก็ยิ้มให้สงป้า “อยากได้คลื่นหลิงกลับไปเหรอ? งั้นเอาคืนไปเลย”
เขากำมืออีกข้างหนึ่ง คลื่นหลิงสีแดงก็พุ่งออกมาก่อตัวเป็นลูกแสงสีแดงกว้างเกือบร้อยจั้ง
ภายในบรรจุคลื่นหลิงที่มีความรุนแรง
มู่เฉินถือลูกแสงจากนั้นก็ขว้างใส่สงป้า
เผชิญหน้ากับการกระทำของมู่เฉิน สงป้าก็หัวเราะเสียงดัง เพราะเมื่อวงแสงคลื่นหลิงสีแดงเข้มสัมผัสกับร่างเขาก็รวมเข้าสู่ร่างอย่างรวดเร็วราวกับว่าน้ำไหลลงทะเล
“ฮ่าๆ เจ้าโง่ คิดจะใช้คลื่นหลิงของข้าเพื่อโจมตีข้าเนี่ยนะ? เพ้อฝันจริงๆ!” สงป้าระเบิดเสียงหัวเราะ
“งั้นเหรอ?” มู่เฉินตอบด้วยรอยยิ้มแปลกประหลาด
เมื่อพูดจบใบหน้าของสงป้าก็เปลี่ยนไปรุนแรง เพราะเขาตระหนักว่าคลื่นพลังงานที่ดูดซึมเข้าไปส่งผลกระทบต่อคลื่นหลิงในร่างทั้งหมดของเขา ทำให้เขาสูญเสียการควบคุมทันที…
ในช่วงเวลาไม่กี่ลมหายใจคลื่นหลิงที่หนาแน่นรอบตัวเขาก็อันตรธานหายไป
“คลื่นหลิงของข้า?!” ดวงตาของสงป้ากะพริบด้วยความหวาดผวาเข้มข้นกับสถานการณ์นี้
“แกก็ลองรับหมัดข้าหน่อยละกัน”
ทว่าก่อนที่เขาจะได้ทันตรวจสอบร่างกาย มู่เฉินยิ้มพลางก้าวออกไป หมัดกระทุ้งเข้าไปที่หน้าอกของสงป้าที่สูญเสียพลังงานทั้งหมดไปแล้ว
ปัง!
สงป้ารับผลกระทบหนักหน่วง ร่างบินออกไปสร้างรอยครูดยาวบนพื้น ก่อนที่เลือดจะกบปาก หน้าอกยุบตัวลง
ทั่วบริเวณตกอยู่ในความเงียบงัน แม้จะมีจอมยุทธ์มากมายที่นี่ แต่ทุกคนก็ต่างอ้าปากตาค้างไปหมด เนื่องจากพวกเขาไม่คิดว่าไม่เพียงแต่กำปั้นของสงป้าจะไม่ทำอันตรายให้กับมู่เฉิน เขายังสูญเสียการควบคุมคลื่นหลิงทั้งหมดไปและถูกมู่เฉินซัดจนมีสภาพน่าอนาถเช่นนี้
มู่เฉินถอนกำปั้นออก ภายใต้สายตาที่จ้องมาก็คลี่ยิ้ม จากนั้นก็เงยหน้ามองหลิงเฟยจื่อที่หน้าเขียวคล้ำ
“ขอบใจสำหรับของเหลวจื้อจุนแปดสิบล้านหยดนะ…”
บทที่ 1239 เดิมพัน
ในอาคาร
ร่องลึกลากยาวจากโถงไปถึงประตู ทุกคนสาดสีหน้ามืดเคร่งครึ้มลง
ภาพจากเมื่อครู่ผิดปกติมากเกินไป พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเลย
กำปั้นของสงป้าเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขขั้นปลายยังต้องเผชิญหน้าด้วยความแข็งแกร่งเต็มที่ ทว่ามู่เฉินเพียงยกมือขึ้นปิดกั้นเท่านั้น ผลลัพธ์ทำเอาคลื่นหลิงของสงป้าอันตรธานหายไปกะทันหันและถูกชกจนกระอักเป็นเลือด
ช่างเป็นฉากที่ผิดปกติไม่ว่าจะมองอย่างไร
ดังนั้นแต่ละคนจึงจ้องมองด้วยความประหลาดใจไปที่มู่เฉินที่มีท่าทางสงบ พวกเขาไม่คิดว่าสงป้าจะแกล้งทำ จึงมีเพียงข้อสรุปเดียว มู่เฉินใช้วิธีที่พวกเขาไม่สามารถตรวจจับได้เอาชนะสงป้า
แต่ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม… พวกเขาก็เข้าใจจากฉากสูญเสียของสงป้าแล้ว ถึงแม้ว่ามู่เฉินจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่เขามีความสามารถพิเศษและมีคุณสมบัติในการเข้าร่วมสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย
บางคนที่ไม่พอใจมู่เฉินก่อนหน้าก็นิ่งลงจดจำชื่อเขาไว้ นั่นเป็นเพราะพวกเขาเริ่มรู้สึกถูกคุกคามจากมู่เฉินแล้ว
หากพวกเขายังไม่ระวังเมื่ออยู่ในสนามรบ ผลลัพธ์ของสงป้าก็จะเป็นตัวอย่างของพวกเขา…
ขณะที่ทุกคนมีความคิดวนเวียนในใจ สงป้าก็ตะเกียกตะกายยืนขึ้น ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดง คลื่นหลิงรุนแรงที่ก่อนหน้าหายไปก็พวยพุ่งออกมาอีกครั้ง
หน้าอกของเขาหายดีขึ้นทันตา เนื่องจากมู่เฉินไม่ได้มีเจตนาจะฆ่ากัน ดังนั้นจึงทำให้คลื่นเขายุ่งเหยิงไปเท่านั้น แต่ก็ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต
ทว่า…ตัวเขาอายแทบแทรกแผ่นดินหนี แม้ว่าจะไม่ได้รับบาดเจ็บมากก็ตาม
สงป้าแผดเสียงขณะที่มองมู่เฉินด้วยดวงตาแดงก่ำ “ไอ้เวร แกใช้อุบายอะไร?!”
ความหดหู่ในหัวใจสงป้าสะสมจนถึงจุดสุด เขาไม่เคยคิดว่าจะสูญเสียการควบคุมพลังงานในร่างกายที่มี ซึ่งนี่เป็นวิธีการของมู่เฉินอย่างแน่นอน
เผชิญหน้ากับเสียงคำราม มู่เฉินก็ไม่สนใจมือคว้าขวดหยกเอาไว้ “ทักษะเจ้าด้อยกว่าข้าเอง”
“ข้าไม่ยอม!”
สงป้าตะเบ็งเสียงขณะที่กระทืบเท้าส่งแรงพุ่งออกไป
ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับการเคลื่อนไหวนี้ มู่เฉินก็ยกเปลือกตาขึ้นพูดอย่างเฉยเมยว่า “อีกหมัดเหรอ? งั้นก็เอาของเหลวจื้อจุนอีกแปดสิบล้านหยดมาจ่ายก่อน”
วาบ!
สงป้าชะงักท่าอยู่กลางอากาศ จ้องมองมู่เฉินแบบจะกินเลือดกินเนื้อคำรามลั่น “จะเอาอีกเรอะ? ฝันไปเถอะ!”
มู่เฉินยิ้ม “ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าจะให้ผู้อาวุโสขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มของตำหนักมู่ตามมาเก็บหนี้กับเจ้า ข้าเชื่อว่าเหตุผลแบบนี้จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็คงแทรกแซงไม่ได้หรอก”
ใบหน้าสงป้าเขียวคล้ำ กำปั้นสั่นเทิ้ม ความโกรธในใจเขาเกือบทำให้อดใจฆ่ามู่เฉินไม่ได้ แต่เขาก็ระงับความโกรธลง เนื่องจากชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าไม่ใช่ธรรมดา เขามีพลังและความสัมพันธ์กับยอดยุทธ์ที่ไม่สามารถมองข้ามได้
“จำไว้เลย!”
ใบหน้าของสงป้าเปลี่ยนไปรุนแรง ก่อนที่จะพูดทิ้งไว้ภายใต้สายตาเย้ยหยันของทุกคน
เมื่อเสี่ยหลิงจื่อเห็นว่าสงป้าเผ่นหนีไป ใบหน้าเขาก็ดูน่าเกลียดขึ้นก่อนที่จะจ้องมองมู่เฉิน เขาไม่คิดว่าแม้แต่สงป้าก็ไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้
“ไอ้เด็กเหลือขอนี่แกร่งขึ้นอีกแล้ว!”
เสี่ยหลิงจื่อกัดฟันกรอด ถึงเดือนที่แล้วมู่เฉินจะแสดงศักยภาพที่ไม่ธรรมดา แต่เสี่ยหลิงจื่อก็มั่นใจว่าตอนนั้นมู่เฉินยังไม่สามารถต่อกรการโจมตีของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายได้อย่างง่ายดายขนาดนี้
แต่ภายในหนึ่งเดือนกำลังของมู่เฉินก็เติบโตขึ้นอย่างมาก
“ครั้งหน้าถ้าอยากสู้ก็อย่าใช้ประโยชน์จากคนอื่น” มู่เฉินมองเสี่ยหลิงจื่ออย่างเย็นชา
เขารู้ได้โดยธรรมชาติว่าสงป้าถูกยุแยงโดยเสี่ยหลิงจื่อเพื่อสร้างปัญหาให้เขา
เสี่ยหลิงจื่อเค้นเสียงเย็นตอกกลับว่า “แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าแกเล่นกลอะไร แต่หลายคนที่นี่จะหาทางป้องกันวิธีการของแกเมื่อเข้าสู่สนามรบ ในเวลานั้นแกจะไม่มีช่วงเวลาที่ดี”
แม้ว่าเสี่ยหลิงจื่อจะร้ายกาจและเจ้าเล่ห์ แต่เขาไม่ได้ตาถั่ว เขาบอกได้ว่าสงป้าแพ้เพราะคลื่นหลิงเข้าไปสัมผัสกับมู่เฉิน ถ้าป้องกันในจุดนี้ในอนาคตไพ่ตายของมู่เฉินจะมีประสิทธิภาพน้อยลงแน่
“ไอ้ตัวน่ารังเกียจ!”
ลั่วเทียนเสินกัดฟันแน่น เขาโกรธเสี่ยหลิงจื่อถึงขีดสุด
มู่เฉินสงบนิ่งขณะที่มองเสี่ยหลิงจื่อด้วยรอยยิ้ม “ถ้าเราได้เจอกันอีก ข้าจะบอกให้รู้ว่ายังมีไพ่ตายอื่นๆ อยู่ในสำรับอีกเยอะ…”
หัวใจของเสี่ยหลิงจื่อสั่นไหวเมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉินจากนั้นก็เค้นเสียงในลำคอ “เหรอ? ข้าจะรอดู แต่แกก็ระวังเถอะ ถ้าถูกข้าฆ่าในสมรภูมิ แม้แต่เทพจักรพรรดิอัคคีก็แก้แค้นให้แกไม่ได้”
มู่เฉินหัวเราะ “ลมเน่าๆ อย่างแกมีความสามารถแบบนั้นซะที่ไหน”
เส้นเลือดบนหน้าผากของเสี่ยหลิงจื่อถึงกับกระตุกจากการดูถูกของมู่เฉิน ทว่าเขาก็กล้ำกลืนจ้องมองไปที่มู่เฉินอย่างน่าขนลุก ก่อนที่จะสะบัดแขนเดินออกไป
หลังจากเสี่ยหลิงจื่อและสงป้าไปแล้ว บรรยากาศในอาคารก็ค่อยๆ คืนกลับมา แต่หลังจากการต่อสู้นี้ทุกคนที่มองไปที่มู่เฉินก็เกิดความกลัวมากขึ้นและดูถูกน้อยลง
ดูเหมือนว่ามู่เฉินบรรลุเจตนารมณ์กับสงป้าเรียบร้อย อย่างน้อยก็ไม่มีใครมายุ่งกับเขา
หากแม้ต้องการก็ต้องคิดก่อนว่าพวกเขาสามารถจ่ายได้ไหม…
เมื่อหลิงเฟยจื่อก้มมองสงป้าที่จากไปจากชั้นสาม ใบหน้านางก็เขียวคล้ำเปล่งเสียงเกรี้ยวกราด “สวะ!”
นางจ่ายของเหลวจื้อจุนแปดสิบล้านหยดเพราะต้องการเห็นสงป้าบดขยี้ความมั่นใจของมู่เฉิน เพื่อจะได้ใช้โอกาสนี้กระทบกระเทียบลั่วหลี ทว่านางไม่คิดว่าสงป้าจะไร้ประโยชน์เช่นนั้น ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถทำอะไรกับมู่เฉินได้ แต่ยังส่งของเหลวจื้อจุนถึงมือมู่เฉินด้วย
แม้ในฐานะที่เป็นเทพจอมยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียน นี่ก็ยังเป็นจำนวนเงินที่มากสำหรับนาง
“แม่นางหลิงเฟยจื่อ ถ้าเจ้าเบื่อจริงๆ ทำไมไม่ไปเตรียมตัวอะไรเพิ่ม เมื่อเราอยู่ในสนามรบข้าจะเล่นกับเจ้าถึงใจเลยทีเดียว”
ขณะที่หลิงเฟ่ยซี่กำลังคั่งแค้น ลั่วหลีก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่อีกฝ่ายอย่างเย็นชา ก่อนที่เสียงจะดังก้อง
เสียงลั่วหลีสะท้อนออกไป ทุกคนก็หันเหความสนใจมาที่นาง ดูเหมือนว่าเรื่องที่หลิงเฟยจื่อพยายามใช้สงป้าจัดการกับมู่เฉิน ทำให้จักรพรรดินีตระกูลลั่วเสินโกรธเคืองใจแล้ว
ในตอนนี้ลั่วหลีโกรธมากแล้ว นางจะมองไม่ออกได้อย่างไรว่าหลิงเฟยจื่อไม่เป็นมิตรกับนางอย่างมาก นางสามารถเพิกเฉยกับสิ่งนี้ได้ แต่นางไม่ยอมต่อความจริงที่หลิงเฟยจื่อพยายามสร้างปัญหากับมู่เฉิน
ดังนั้นนี่คือเหตุผลว่าทำไมนางถึงตอกกลับหลิงเฟยจื่อทันควัน
บนชั้นสามหลิงเฟยจื่อไม่คิดว่าลั่วหลีจะฟาดตรงๆ นางอึ้งไปวูบหนึ่งก่อนที่เค้นเสียงด้วยความโกรธ “เอาเลย ข้าจะไล่ล่าเจ้าจนจบ มาดูกันว่าใครจะชนะ!”
เมื่อจบคำพูดนางก็ไม่คิดอยู่ต่อ สะบัดแขนเสื้อจากไป
“เจ้าต้องระวังผู้หญิงคนนั้น” มองไปที่เงาของหลิงเฟยจื่อ มู่เฉินก็เอ่ยเตือนลั่วหลี บางครั้งการประลองระหว่างผู้หญิงก็โหดยิ่งกว่าผู้ชายเสียอีก
หลิงเฟยจื่อเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา
ลั่วหลียิ้มบางกับคำเตือนของคนรัก “ข้ารู้ แต่ข้าก็ไม่ได้อยู่เฉยตลอดหลายปีเช่นกัน…”
มู่เฉินยิ้มพลางพยักหน้า ในเมื่อลั่วหลีสามารถนำพาตระกูลลั่วเสินฝ่าคลื่นลมมาได้ทั้งหมดด้วยตนเอง นางก็ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน บางทีถึงหลิงเฟยจื่ออาจไม่ใช่ธรรมดา แต่มู่เฉินไม่รู้สึกว่านางจะเหนือกว่าเมื่อเผชิญหน้ากับลั่วหลี
“ไปกันเถอะ”
ลั่วเทียนเสินเอ่ย เตรียมพาทั้งสองคนไปพัก
“ช้าก่อน”
จู่ๆ มู่เฉินก็ยิ้มมองตารางยอดนิยม จากนั้นก็ส่งขวดของเหลวจื่อจุนแปดสิบล้านหยดให้กับผู้ดูแลด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะขอเดิมพันของเหลวจื้อจุนทั้งหมดนี่”
“ไม่ทราบว่าต้องการเดิมพันใคร?” ผู้ดูแลอึ้งไปในเวลาสั้นๆ
มู่เฉินยิ้มกริ่ม ในเมื่อทุกคนในทวีปซีเทียนไม่พอใจเขา ดังนั้นก็ไม่จำเป็นต้องซ่อนตัว
เขาจึงยิ้มเอ่ยอีกครั้ง “ข้าเดิมพันว่าตัวเองชนะ”
ทันใดนั้นหัวใจของทุกคนก็สั่นไหว ความตกตะลึงวูบไหวในดวงตา มู่เฉินเดิมพันตัวเองชนะในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายเรอะ?
ชายหนุ่มคนนี้…กล้าหาญอย่างแท้จริง
หรือว่างานนี้จะมีม้ามืดในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายที่ไม่มีใครคาดคิด?
บทที่ 1240 ศึกมาถึงแล้ว
ไม่กี่วันบรรยากาศในเมืองซีเทียนจั้นก็เดือดพล่าน
เนื่องจากศึกที่กำลังจะเกิดขึ้น ดังนั้นทั้งเมืองจึงร้อนระอุด้วยความคาดหมาย
นอกจากนี้ยังมีข่าวมากมายแพร่สะพัดไปทั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งตารางความนิยมซึ่งกลายเป็นจุดสนใจของคนทั้งเมือง
แต่ภายใต้บรรยากาศนี้ก็มีจอมยุทธ์ที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงเริ่มเผยให้เห็นความสามารถ พวกเขาปิดบังตัวตนไว้เพื่อศึกนักรบทวีป ด้วยความตั้งใจที่จะทะยานขึ้นบนท้องฟ้าด้วยความสำเร็จครั้งเดียว
ภายใต้บรรยากาศนี้ข่าวที่มู่เฉินซัดสงป้ากระเด็นออกไปด้วยหมัดเดียวก็แพร่กระจายออกไป ดึงดูดความสนใจไว้ได้อย่างรวดเร็ว
เป็นเพราะเหตุนี้จำนวนเงินเดิมพันของมู่เฉินก็พุ่งขึ้นเป็นของเหลวจื้อจุนหนึ่งร้อยล้านหยด เข้าสู่สิบอันดับแรกของตาราง ทว่า…
แปดสิบล้านหยดเป็นการลงทุนของเขาเอง
แต่ไม่ว่าอย่างไรการต่อสู้กับสงป้าได้ผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยม อย่างน้อยก็ไม่มีใครกล้ามาท้าทายเขาให้ต้องปวดหัว
ส่วนใหญ่เป็นเพราะราคาหนึ่งหมัดของมู่เฉินเท่ากับแปดสิบล้านหยดของเหลวจื้อจุนนั่นเอง… นี่เป็นราคาที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายก็ไม่เต็มใจที่จะจ่าย ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นพวกเขาไม่มั่นใจว่าจะสามารถบรรลุผลตามที่ต้องการหลังจากจ่ายไปแล้วไหม
เนื่องจากมีสงป้าเป็นตัวอย่างไปก่อนหน้า กำปั้นของมู่เฉินแปลกประหลาดเกินไป ขนาดสงป้ายังไม่มีหน้าที่จะอยู่ในเมืองต่อไป ดังนั้นหลายคนไม่รู้ว่ามีความลับอะไรอยู่เบื้องหลังกำปั้นของมู่เฉินที่ทำให้เกิดความทุกข์ยากยิ่งขึ้นสำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย
ธรรมชาติของมนุษย์มักกลัวสิ่งที่ไม่รู้จัก
ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าหาเรื่องมู่เฉิน ทำให้เกิดความสงบสุขไปอีกหลายวัน
เวลาผ่านไปในพริบตา ท่ามกลางการอคอยของผู้คนศึกนักรบทวีปก็มาถึง
เมื่อวันเปิดศึกมาถึงเมืองซีเทียนจั้นก็อึกทึกด้วยเสียงกลองที่ดังก้องไปทั่วสวรรค์และโลก กลองเหล่านั้นอัดแน่นด้วยรัศมีจั้นยี่ที่ไร้ขอบเขตที่ทำให้ไฟแห่งการต่อสู้ลุกโชนขึ้น
เมื่อเสียงกลองสะท้อนก้อง เสียงแหวกอากาศก็ปกคลุมไปทั่ว เหล่าจอมยุทธ์โผทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
ทุกความผันผวนช่างทรงพลังมาจากทั่วสารทิศ ถ้าเป็นที่อื่นพวกเขาจะเป็นจุดรวมความสนใจแน่นอน แต่วันนี้พวกเขาเป็นเพียงหยดน้ำในมหาสมุทรเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้สามารถบอกได้ว่ามีจอมยุทธ์มากเพียงใดที่รวมตัวกันเพื่อศึกนักรบทวีปครั้งนี้
ตำหนักซีเทียนตั้งอยู่ใจกลางเมืองมีจัตุรัสที่ทำจากหยกขาว ขณะนี้ทั่วจัตุรัสแห่งนี้เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย
กลองในจัตุรัสดังก้องอยู่ตลอดเวลา เสียงกลองที่ดังไปทั่วเมืองก็มาจากที่นี่
วาบ วาบ!
ยามนี้ร่างแสงพุ่งเข้ามาในท้องฟ้าอย่างต่อเนื่อง เหล่าจอมยุทธ์ก็พลิ้วตัวลงมาบนจัตุรัสด้วยมือไพล่ไว้ด้านหลัง แต่ละคนฉายท่าท่างเคร่งเครียดน่ากลัว ไม่แสดงให้เห็นถึงความภาคภูมิที่มีอีกต่อไป
ที่แห่งนี้อยู่ใกล้กับตำหนักซีเทียนและยอดยุทธ์ที่อยู่ข้างในก็ปลดปล่อยรัศมีออกมาเลือนราง เบื้องหน้าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนพวกเขาไม่กล้าทำตัวยโสแม้แต่น้อย
มู่เฉินกับลั่วหลีก็พลิ้วลงมาเคียงข้างกัน
เมื่อทั้งสองมาถึงสายตาหลายคู่ก็พุ่งเป้ามา ทว่าส่วนใหญ่มุ่งไปที่ลั่วหลีที่ยืนอยู่ข้างๆ มู่เฉิน
วันนี้ลั่วหลีสวมชุดยาวเผยรูปร่างยั่วยวน ทำให้เกิดบรรยากาศสง่างามรอบตัวนาง ผมยาวสีเงินยวงปล่อยระบั้นเอว แม้ว่าใบหน้าจะคลุมไว้ด้วยผ้าคลุม ดวงตาที่ถูกเปิดเผยก็ตรึงตาทุกคนที่จ้องมองมา
“สมกับเป็นทายาทเทพธิดาลั่วเสินแห่งมหาพันภพ…”
หลายคนถอนหายใจ ลั่วหลีขัดเกลาความนุ่มนวลลงโดยสิ้นเชิง ดูแล้วทรงเสน่ห์อย่างมากในขณะนี้
ไม่เพียงแต่นางจะกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนรอบนอก แม้แต่ผู้เข้าร่วมการแข่งขันก็เบนสายตามองไป ตอนนี้ทุกคนรู้สึกรำคาญมู่เฉินที่ยืนอยู่ข้างกายนาง
“ไอ้บ้าพวกนี้”
มู่เฉินสบถด้วยรอยยิ้มเมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาที่มองมา ทว่าลั่วหลีก็คุ้นเคยกับสิ่งนี้อยู่แล้ว ดังนั้นนางจึงยิ้มตาหยีหันไปหามู่เฉิน อากัปกิริยานี้ทำให้หลายคนตกตะลึงพรึงเพริด
วาบ วาบ!
ทันใดนั้นเสียงแหวกอากาศสามสายก็ดังขึ้น ก่อนที่เงาร่างสามร่างจะเผยตัวบนจัตุรัสดึงดูดสายตาจำนวนมากไป
มู่เฉินเพ่งสายตามอง เขารู้สึกถึงไออันตรายที่มาจากทั้งสามคน
มู่เฉินกวาดสายตามองไปก็เห็นในร่างทั้งสาม มีชายคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีดำ ลวดลายดวงดาวปักบนเสื้อคลุม เขาดูเหมือนอยู่ในช่วงกลางคน แต่ผมกลับเป็นสีขาว ทำให้ดูอ่อนโยนราวกับเป็นบัณฑิตทรงภูมิ
คนที่สองสวมเสื้อคลุมสีฟ้าอมเขียว กระบี่โลหะคร่ำเครอะพาดอยู่ข้างหลัง ร่างกระจายรัศมีคมชัดทิ้งรอยไว้บนพื้นอย่างต่อเนื่องจากรัศมีกระบี่
คนที่สามมีโครงสร้างแข็งแรง เส้นผมยุ่งเหยิง เขาดูดิบเถื่อนเมื่อยืนอยู่ เปล่งแสงรัศมีครอบงำไม่สามารถอธิบายได้ออกมา
มู่เฉินมองดูทั้งสามคนก็ครุ่นคิด หากการเดาถูกต้องทั้งสามคนคงจะเป็นจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงในทวีปซีเทียนที่ลั่วหลีเคยพูดถึง
เจ้าตำหนักแสงดาว—หลิ่วซิงเฉิน
กระบี่เทพหมาป่า—ซูมู่
ดาบทรราช—ฉู่เหมิน
“พวกเขาไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง” สายตาของมู่เฉินกะพริบวูบไหว เขาสามารถสัมผัสได้ถึงดวงตาของผู้คนจำนวนมากที่เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดด้วยความกลัวที่มีต่อทั้งสามคน
สำหรับทั้งสามก็ยังคงความสงบหลังจากปรากฏตัว ไม่ได้แสดงท่าทางกดดันเหมือนคนอื่นๆ ชัดว่าไม่ธรรมดา
ตึง!
เมื่อผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกันที่จัตุรัส จู่ๆ เสียงกลองก็ดังก้อง ทุกคนเงยหน้าขึ้นก็เห็นบัลลังก์สีทองสองตัวปรากฏขึ้นบนตำหนักใหญ่ มีร่างสง่างามสวมเสื้อคลุมสีทองนั่งอยู่บนบัลลังก์ตัวหนึ่ง
เมื่อเขาปรากฏตัวทั่วบริเวณก็ถูกห่อหุ้มด้วยแรงกดไม่มีรูป เสียงเงียบลงทันควัน สายตาเคารพนับถือก็จ้องมองไปที่ร่างเงานั้น
“คารวะจักรพรรดิสัประยุทธ์!”
เสียงที่เต็มไปด้วยความเคารพนับถือดังก้อง ทุกคนประสานมือโค้งคำนับ
นั่นเป็นเพราะชายผู้นี้คือผู้ปกครองทวีปซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียน!
เฝ้ามองทุกคน จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็พยักหน้าเบาๆ ก่อนที่จะมองไปในอากาศแล้วยิ้ม “น่ายินดีอย่างยิ่งที่เทพจักรพรรดิอัคคีมาเยี่ยมเยือนตำหนักซีเทียนของข้า”
“ในเมื่อเจ้าเชิญมา ข้าจะปฏิเสธได้อย่างไร?”
มิติบิดเบี้ยวเปลวไฟพวยพุ่งแล้วกวาดออก ก่อนจะก่อตัวเป็นร่างสูงบนท้องฟ้า
ร่างนั้นลุกโชติช่วงด้วยเปลวไฟ ทุกคนรู้สึกได้ว่าความกดดันที่มาจากจักรพรรดิสัประยุทธ์หายไปอย่างรวดเร็ว
“นั่นคือ…เทพจักรพรรดิอัคคีแห่งแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว?!”
หลายคนเงยหน้าขึ้นทันควัน จ้องมองร่างเงานั้นด้วยความตกใจและเทิดทูนในดวงตา เพราะชื่อเสียงของเทพจักรพรรดิอัคคียิ่งใหญ่นักในมหาพันภพ
แม้ว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์จะเป็นยอดยุทธ์ในมหาพันภพ แต่ก็ยังด้อยกว่าคนอย่างเทพจักรพรรดิอัคคี
บางทีแม้แต่ตัวจักรพรรดิสัประยุทธ์เองก็ยังต้องยอมรับความจริงข้อนี้
แต่โดยปกติแล้วจอมยุทธ์แบบนี้ยากที่จะพบเจอ ต่อให้ตอนนี้เขาจะเป็นเพียงร่างสำเนาเท่านั้น แต่ทำไมเขาถึงมาดูศึกนักรบทวีปแห่งนี้?
บางคนเหลือบมองไปในทิศทางของมู่เฉิน เนื่องจากเป็นมู่เฉินเคยเชื้อเชิญเทพจักรพรรดิอัคคีมาตอนที่ตระกูลลั่วเสินตกอยู่ในอันตรายทำให้จักรพรรดิสัประยุทธ์ต้องกลับไปมือเปล่า…
ยิ่งกว่านั้นมีลือกันว่าเทพจักรพรรดิอัคคีเป็นคนต่อรองให้จักรพรรดิสัประยุทธ์มอบสิทธิ์เข้าร่วมศึกนักรบทวีปนี้ให้…
ชัดว่างานนี้เทพจักรพรรดิอัคคีมาที่นี่เพราะมู่เฉิน
“ไอ้เด็กเหลือขอนั่นมีภูมิหลังแบบนั้นเชียวเหรอ? ไม่น่าแปลกที่เขาไม่กลัวตำหนักซีเทียน…” หลายคนถอนหายใจด้วยความอิจฉาในใจ เพราะเป็นเรื่องยากมากที่จะมีความสัมพันธ์ใดกับเทพจักรพรรดิอัคคีแห่งมหาพันภพคนนี้
ท่ามกลางสายตาเคารพนับถือเกินคณนา ร่างสำเนาของเซียวเหยียนก็นั่งลงไปบนบัลลังก์สีทองข้างจักรพรรดิสัประยุทธ์
เมื่อนั่งลง เซียวเหยียนก็กวาดสายตายิ้มให้มู่เฉิน
เมื่อเห็นสายตานั่น มู่เฉินก็ยิ้มพลางโค้งคำนับ
“หืม?”
สายตาของเซียวเหยียนหยุดชะงักเมื่อมองที่มู่เฉิน เสียงอุทานแผ่วเบาดังขึ้นในใจ
ขณะที่เซียวเหยียนอุทานในใจ มู่เฉินก็รู้สึกถึงเจดีย์ผลึกแก้วใสในร่างกายสั่นไหว เขารู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งทำให้รู้สึกตกใจในใจไม่น้อย
“มองปราดเดียว… ก็สามารถตรวจพบเจดีย์ผลึกแก้วในร่างข้าได้เหรอ?”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น