หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1227-1232
บทที่ 1227 นักรบทวีป
“ตำแหน่งสำหรับนักรบทวีป?”
คิ้วจักรพรรดิสัประยุทธ์ถึงกับขมวดแน่นขณะที่ตอบโดยไม่ลังเล “เป็นไปไม่ได้! เจ้าก็รู้ดีว่าตำแหน่งนักรบทวีปทรงคุณค่าเพียงใด นั่นอาจถือเป็นจอมยุทธ์ระดับเทียนจื้อจุนเลยทีเดียว ด้วยขนาดปัจจุบันของทวีปซีเทียน แม้ว่าทวีปนี้จะนิ่งมาหลายร้อยปี ก็สามารถสร้างนักรบทวีปได้เพียงสามคนเท่านั้น!”
จักรพรรดิสัประยุทธ์ปฏิเสธเด็ดขาดเพราะทรัพยากรเหล่านี้มีค่ามากเกินไป
มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้นที่สามารถควบคุมพลังทวีปได้ ดังนั้นสิ่งนี้จึงเป็นสิ่งที่ตำหนักซีเทียนเอาไว้ล่อจอมยุทธ์หลากหลายให้เข้าสวามิภักดิ์
ยิ่งกว่านั้นตามกฎของตำหนักซีเทียนมีเพียงขั้วอำนาจและจอมยุทธ์ที่เข้าร่วมเป็นเวลาสิบปีแล้ว ถึงจะมีคุณสมบัติในการแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งนักรบทวีปนี้
นี่เป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มยังถูกดึงดูด
ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินเกี่ยวกับความตั้งใจของเทพจักรพรรดิอัคคีจึงเผยการแสดงออกเช่นนี้
ท้ายที่สุดแล้วนักรบทวีปทุกคนล้วนมีศักยภาพที่จะก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน อย่างน้อยโอกาสประสบความสำเร็จจะสูงเมื่อเทียบกับคนอื่น
“นักรบทวีปคืออะไร?” มู่เฉินรู้สึกงงขณะที่ถามลั่วหลี
ลั่วหลีมีความรู้ในเรื่องนี้โดยธรรมชาติ ดังนั้นนางจึงอธิบายให้มู่เฉินฟังโดยละเอียด นี่ทำให้เขาตะลึงไป
เขาไม่เคยคิดเลยว่าเทพจักรพรรดิอัคคีจะยื้อยุดโอกาสเช่นนี้สำหรับเขา
“เทพจักรพรรดิอัคคีแคว้นหวู่จิ้งฮั่วกว้างใหญ่และมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนมากกว่าหนึ่งคน เจ้าสามารถสร้างนักรบทวีปได้มากกว่าทวีปซีเทียน ทำไมเจ้าถึงวางความตั้งใจไว้ที่ข้า” จักรพรรดิสัประยุทธ์กล่าวน้ำเสียงแข็งกร้าว
เซียวเหยียนยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “แคว้นหวู่จิ้งฮั่วเพิ่งเป็นเจ้าภาพไปเมื่อร้อยปีก่อน พลังงานทวีปหมดลงแล้ว คงต้องใช้เวลาอีกร้อยปีในการฟื้นฟู”
“แต่อย่าเพิ่งด่วนปฏิเสธ ข้าแค่ต้องการสิทธิ์ที่จะต่อสู้เพื่อตำแหน่งนี้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของมู่เฉินเองว่าจะได้รับไหม ถ้าเขาแพ้ก็เป็นปัญหาของเขาเอง”
เมื่อพูดถึงจุดนี้ เซียวเหยียนก็ล้อเลียน “หรือว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์คิดว่าจอมยุทธ์ในทวีปเจ้าอ่อนแอกว่ามู่เฉิน?”
จักรพรรดิสัประยุทธ์เค้นเสียงเย็นเงียบๆ พลางเหลือบมองมู่เฉิน “ก็แค่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น เขาไม่สามารถทำสร้างแรงกระเพื่อมใดๆ ในทวีปซีเทียนได้ ไม่ต้องพูดถึงการแย่งชิงตำแหน่งนักรบทวีปเลย”
“งั้นเจ้าเป็นห่วงอะไร?” เซียวเหยียนยิ้มตาหยี
จักรพรรดิสัประยุทธ์เอ่ยเสียงขึ้นจมูก “ทุกเรื่องไม่มีความแน่นอน ไอ้เด็กนี่มีกลยุทธ์หลายอย่าง ถ้าเกิดมันสำเร็จขึ้นมาจะทำอย่างไร? ข้าไม่สูญเสียครั้งใหญ่เลยเรอะ?”
“นอกจากนี้กลุ่มต่างๆ และจอมยุทธ์ภายใต้ตำหนักซีเทียนจ่ายความภักดีของพวกเขาเพื่อการแข่งขันชิงตำแหน่งนักรบทวีป พวกเขาทำหลายสิ่งเพื่อทวีปซีเทียนของข้า ถ้าข้าให้ไอ้เด็กนี่เข้าร่วมการแข่งขันจะไปอธิบายกับพวกเขาอย่างไร?”
“ดังนั้นเจ้าไม่ต้องสุมไฟซะให้ยาก ข้าไม่ให้สิทธิ์เขาหรอก”
เมื่อมู่เฉินเห็นสิ่งนี้ เขาก็กดเสียงต่ำลงพูดกับเซียวเหยียนว่า “ข้าซาบซึ้งกับความตั้งใจของผู้อาวุโส ในเมื่อจักรพรรดิสัประยุทธ์ไม่เต็มใจ ก็อย่าสามารถบังคับเขาเลย”
แม้ว่านักรบทวีปจะดึงดูด แต่เขาไม่ต้องการให้เทพจักรพรรดิอัคคีขอร้องให้ มิฉะนั้นเขาจะติดหนี้บุญคุณยิ่งใหญ่เกินไป
เซียวเหยียนยิ้มบาง “ข้าช่วยให้เจ้าได้รับโอกาสนี้ไม่ใช่เพราะเรื่องส่วนตัวอะไร ข้าหวังว่าจะมีจอมยุทธ์ระดับข้าปรากฏในมหาพันภพขึ้นอีกคน และเจ้ามู่เฉินมีคุณสมบัตินี้”
“แม้ว่ามหาพันภพจะสงบสุข แต่เผ่าปีศาจต่างมิติก็รอคอยโอกาสเสมอ พลังของพวกมันเป็นสิ่งที่เจ้าไม่สามารถจินตนาการได้ มากจนข้ารู้สึกไม่สบายใจ ดังนั้นเราต้องการจอมยุทธ์ทรงพลังในมหาพันภพมากขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์นั้นเกิดขึ้น…”
“ตอนนี้ในบรรดาทวีปที่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็มีเพียงทวีปซีเทียนเท่านั้นที่จะมีการชิงตำแหน่งนักรบทวีป ดังนั้นเราไม่สามารถปล่อยให้โอกาสนี้ผ่านไปได้”
มู่เฉินอึ้งไป อย่างแรกเนื่องจากเขาไม่คิดเลยว่าเซียวเหยียนจะมองเขายิ่งใหญ่และรู้สึกว่าเขามีคุณสมบัติที่จะไปถึงยอดพีระมิด อย่างที่สองเขารู้สึกชื่นชมเซียวเหยียนมาก เพราะชายผู้นี้ช่วยเขาขนาดนี้เพื่อการอยู่รอดของมหาพันภพ
เซียวเหยียนโบกมือก่อนที่จะมองจักรพรรดิสัประยุทธ์ “ข้าไม่ได้ขอสิทธิ์ของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสำหรับมู่เฉิน แต่เป็นสิทธิ์ของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย”
ใบหน้าของจักรพรรดิสัประยุทธ์เปลี่ยนไปจากคำพูดเหล่านี้ ก่อนที่เขาจะมองมู่เฉินเอ่ยล้อเลียนว่า “เทพจักรพรรดิอัคคี เจ้ามองเด็กนั่นสูงเกินไป”
มีสนามรบสามแห่งสำหรับนักรบทวีป ซึ่งแบ่งออกเป็นระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น-ปลาย-เต็ม
หมายความว่าผู้เข้าร่วมการแข่งขันจะได้รับสิทธิ์ตามขุมพลังที่มี
ทุกสนามรบจะมีตำแหน่งนักรบทวีปหนึ่งที่ ในเวลาเดียวกันก็เป็นตัวแทนของสามขั้นในระดับตี้จื้อจุน เพราะถ้าสู้รวมกันตำแหน่งทั้งสามคงถูกครองโดยจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ซึ่งส่วนมากต่างผ่านช่วงเวลาที่มุ่งมั่นไปแล้ว ทำให้โอกาสในการบรรลุขุมพลังเทียนจื้อจุนต่ำกว่าจอมยุทธ์ตี้จื้อจุนขั้นต้น ขั้นปลายเสียอีก ดังนั้นการชิงตำแหน่งนักรบทวีปจึงมีกฎเช่นนี้ขึ้น
ขุมพลังของมู่เฉินอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น ดังนั้นก็ควรเข้าสู่สนามรบสำหรับขั้นนี้ ทว่าเซียวเหยียนกลับกล่าวว่าจะขอสิทธิ์เข้าร่วมของระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ซึ่งเป็นเรื่องตลกในสายตาของจักรพรรดิสัประยุทธ์
ท้ายที่สุดแม้ว่าทักษะของมู่เฉินจะทำให้ตัวเขาไปอยู่ในอันดับต้นๆ ของระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่เขาก็ยังขาดไปเมื่อเทียบกับระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย
ดังนั้นเสี่ยหลิงจื่อและจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนส่วนใหญ่จึงมองไปที่มู่เฉินด้วยความประหลาดใจ ทั้งหมดมีความคิดเดียวกัน เทพจักรพรรดิอัคคีประเมินความสามารถของมู่เฉินสูงเกินไป
“หึ เทพจักรพรรดิอัคคีมองมู่เฉินสูงเกินไป ไม่กลัวเขาจะร่วงลงมาตายเรอะ ตราบใดที่ไอ้เวรนี่เข้าสู่สนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ก็คงไม่เหลือแม้แต่ซาก!” เสี่ยหลิงจื่อหัวเราะเยาะเย้ยในหัวใจ แต่ลึกๆ ในใจเขาภาวนาให้มู่เฉินได้รับอนุญาตเข้าสู่สนามรบระดับนี้ เพราะตัวเขาก็จะเข้าร่วมด้วย เมื่อถึงเวลานั้นถ้าเขาพบมู่เฉิน เขาก็สามารถฆ่ามู่เฉินทิ้งซะ เพราะหากมู่เฉินถูกฆ่าตายในสนามรบ ก็ได้แต่ตำหนิตัวเองที่ไร้ความสามารถเกินไป
“จักรพรรดิสัปะระยุทธ์คงรู้สึกสบายใจขึ้นที่ให้มู่เฉินไปอยู่ในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายนะ? ถ้ามู่เฉินยังได้ตำแหน่งนี้… ข้าเชื่อว่าก็เป็นสิ่งที่เขาสมควรได้รับ” เซียวเหยียนยิ้ม
สายตาของจักรพรรดิสัประยุทธ์วูบไหว การปฏิเสธในใจแผ่วเบาลง ด้วยพลังในปัจจุบันของมู่เฉิน อาจมีโอกาสสูงที่จะได้รับตำแหน่งหากเข้าสู่สนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่ถ้าเขาถูกโยนเข้าไปในระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายละก็ แม้แต่จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ไม่เชื่อว่ามู่เฉินจะทำอะไรได้
จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายคนไหนที่ไม่ฉลาดแกมโกงและทรงพลังบ้าง? การขว้างจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นอย่างมู่เฉินเข้าไป ก็เหมือนกับการโยนกระต่ายไปในถ้ำของหมาป่า
กลับกันนี่เป็นสิ่งที่จักรพรรดิสัประยุทธ์ปรารถนาที่จะเกิดขึ้น แม้ว่าครั้งนี้เทพจักรพรรดิอัคคีจะทำให้สิ่งต่างๆ ผ่อนคลายลง เขาก็ยังคงโกรธแค้นต่อมู่เฉิน
แต่ด้วยเทพจักรพรรดิอัคคียื่นมือปกป้องมู่เฉินก็ไม่มีอะไรที่ทำได้ในตอนนี้ แต่ถ้ามู่เฉินเข้าสู่สนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย เขาก็เผยความตั้งใจในการจัดการ มู่เฉินก็ต้องยอมแพ้และถอยออกมาในสภาพน่าสมเพช
เมื่อคิดถึงฉากนั้น จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็รู้สึกมีความสุขมากขึ้นในหัวใจ
แม้ว่าเขาจะคลายความตั้งใจ แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่คุยกันได้ง่ายๆ เขาครุ่นคิดสั้นๆ พลางส่ายหัว “ข้าอยากให้หน้ากับเทพจักรพรรดิอัคคี แต่สิทธิ์มีค่ามากเกิน…”
เซียวเหยียนยิ้มแล้วสะบัดนิ้ว ลำแสงสายหนึ่งบินจากแขนเสื้อลอยไปที่เบื้องหน้าจักรพรรดิสัประยุทธ์ นี่เป็นเม็ดยาขนาดผลลำไย
เม็ดยาดูโปร่งใส รัศมีไหลเวียนอยู่รอบๆ เผยภาพมังกรและหงส์ฟ้า กลิ่นหอมอ่อนกำจายออกมา ทำให้ทุกคนรู้สึกถึงคลื่นหลิงในร่างกายที่เข้มข้นขึ้น
“นี่คือ…” จักรพรรดิสัประยุทธ์มองเม็ดยานี้ด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ เขาอดอุทานด้วยความประหลาดใจไม่ได้ “ยาเทวะมังกรหงส์?!”
นี่เป็นเม็ดยาเทพที่หายาก ซึ่งมีผลอย่างมากแม้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน เม็ดยาดังกล่าวมีความต้องการสูงในตลาดแต่ก็ไม่มีที่ซื้อขาย เวลาที่ปรากฏก็จะเกิดการแย่งชิงเลือดตาแทบกระเด็นจากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนนับไม่ถ้วน
ทุกคนที่นี่มองเม็ดยาด้วยดวงตาแดงก่ำ ในมหาพันภพใครก็รู้ว่าไม่ใช่พลังของเทพจักรพรรดิอัคคีที่ทำให้คนอื่นอิจฉา แต่เป็นทักษะการเล่นแร่แปรธาตุที่หาใดเปรียบของเขา
ทุกสิ่งที่ผลิตโดยเทพจักรพรรดิอัคคีมีคุณภาพยอดเยี่ยม!
หลายคนแสวงหาเม็ดยาที่กลั่นโดยเทพจักรพรรดิอัคคี ดังนั้นนี่จึงทำให้แม้แต่ดวงตาของจักรพรรดิสัประยุทธ์ยังยิ้มแย้มแจ่มใสเมื่อเม็ดยาปรากฏที่เบื้องหน้า
“ด้วยยาเม็ดนี้ ข้าว่าเจ้าคงไม่ปฏิเสธใช่ไหม?” เซียเหยียนหัวเราะเบาๆ
จักรพรรดิสัประยุทธ์เบ้ปากคว้าเม็ดยาเทวะมังกรหงส์ ยาเม็ดนี้ช่างล่อลวงนัก แต่ปัจจัยสำคัญก็คือเทพจักรพรรดิอัคคียอมถอยให้บ้าง ดังนั้นหากเขายืนกรานปฏิเสธก็อาจทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองใจ ตัวเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเทพจักรพรรดิสงคราม ถ้าเขาทำสิ่งที่เลวร้ายยิ่งขึ้นกับเทพจักรพรรดิอัคคีอีกคนละก็ งานนี้คงมีแต่จบเห่เท่านั้น
ดังนั้นเขาจึงเก็บเม็ดยาไว้ สายตาไม่แยแสมองไปที่มู่เฉินก่อนจะพยักหน้าเบาๆ ให้เทพจักรพรรดิอัคคี
“ข้าอนุญาตให้ไอ้หนูนี่มีส่วนร่วมในการแข่งขันสำหรับนักรบทวีปตามคำขอของเจ้า แต่สนามรบเต็มไปด้วยอันตราย หากเขาโชคร้ายตายที่นั่นก็เป็นความซวยของเขา โทษใครไม่ได้…”
บทที่ 1228 จักรพรรดิมู่
เมื่อได้ยินคำพูดของจักรพรรดิสัประยุทธ์
เซียวเหยียนก็ยิ้มบาง “เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ต้องขอขอบคุณจักรพรรดิสัประยุทธ์ด้วย”
จักรพรรดิสัประยุทธ์โบกมือพูดเชื้อเชิญออกไป “การแข่งขันสำหรับนักรบทวีปจะเริ่มขึ้นในเดือนหน้า ข้ายินดีต้อนรับเทพจักรพรรดิอัคคีที่ตำหนักซีเทียนเพื่อเข้าชม”
เซียวเหยียนยิ้มผงกศีรษะรับ “ข้ามาแน่นอน”
“งั้นข้าจะต้องตารอ วันนี้ขอตัวก่อน” จักรพรรดิสัประยุทธ์ยิ้มไม่คิดจะอยู่ต่อ เขาประสานมือคำนับเซียวเหยียน แสงสีทองเบ่งบาน รัศมีสีทองก็พุ่งเข้าปกคลุมหลิงตง จากนั้นทั้งสองก็หายไปจากสายตา
นับตั้งแต่การปรากฏตัวของเทพจักรพรรดิอัคคี เขาก็ไม่พูดถึงเรื่องลั่วหลีที่จะให้รับตำแหน่งธิดาเทพอีก เพราะเขารู้ว่าตนเองไม่สามารถข่มคนเหล่านี้ได้ด้วยพลังที่มีอีกต่อไป ในเมื่อเทพจักรพรรดิอัคคีอยู่ที่นี่ด้วย
ต่อให้มู่เฉินเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น ซึ่งเป็นอะไรที่เขาสามารถสังหารได้เพียงพลิกฝ่ามือ ทว่ายังมีพลังหลายประเภทในโลกนี้
แม้จะเป็นเพียงจอมยุทธ์ระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นแต่มู่เฉินก็รู้จักวิธียืมมือ… ถึงว่าจะฟังดูง่าย แต่จักรพรรดิสัประยุทธ์รู้ดีว่าการยืมมือคนอื่นทำได้ยากเพียงใด
ทว่ามู่เฉินก็สามารถยืมมือของเทพจักรพรรดิอัคคีได้ด้วยขุมพลังระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น ซึ่งอธิบายได้ว่ามู่เฉินพิเศษเพียงใด จะมีกี่คนในมหาพันภพที่จะบรรลุความสำเร็จเช่นนี้?
นอกจากนี้เขายังสามารถยืมมือเทพจักรพรรดิสงครามได้อีกด้วย
ดังนั้นจักรพรรดิสัประยุทธ์จึงรู้ว่าตนเองไม่สามารถข่มมู่เฉินได้อีกต่อไปด้วยขุมพลังเทียนจื้อจุนที่มี
หากเขาฝืนทางมากเกินไป เขาอาจสร้างความขุ่นเคืองกับเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม เวลานั้นแม้แต่คนอย่างเขาก็จะต้องจ่ายราคาแพงระยับ
ดังนั้นเขาจำใจต้องยอมเลิกรากับตำแหน่งธิดาเทพของลั่วหลีแห่งตำหนักซีเทียน ทั้งหมดเป็นเพราะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นที่อ่อนแอ
แม้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับจักรพรรดิสัประยุทธ์ที่จะรู้สึกไม่พอใจว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นเป็นคนบีบให้เขาต้องล่าถอย แต่เมื่อคิดถึงเรื่องนี้มากขึ้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมมู่เฉินอยู่ในใจ
นั่นเป็นเพราะอีกฝ่ายสามารถบังคับให้เขาต้องถอยกลับแม้จะมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นเท่านั้น สุดท้ายยังทำให้เขาต้องจ่ายราคาสำหรับสิทธิ์ในการแข่งขันนักรบทวีปด้วย
วิธีและความคิดของมู่เฉินเป็นสิ่งควรค่าแก่การยกย่อง จักรพรรดิสัประยุทธ์เริ่มเข้าใจว่าทำไมคนอย่างเทพจักรพรรดิอัคคีถึงดูแลมู่เฉินอย่างมาก เพราะมู่เฉินมีศักยภาพที่จะเติบโตเป็นมังกรยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง
การจากไปของจักรพรรดิสัประยุทธ์ ทำให้ความกดดันที่ล้อมรอบเมืองลั่วเสินหายไป คนตระกูลลั่วเสินพากันเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะระเบิดเป็นเสียงโห่ร้อง
นั่นเป็นการส่งเสียงดีใจที่รอดจากความตายมาได้
วันนี้มีเรื่องราวพลิกตาลปัตรไปมามากมาย พวกเขารู้สึกสิ้นหวังหลายครั้งจนคิดว่าตระกูลลั่วเสินคงถึงคราวล่มสลายแล้ว
แต่ใครจะคาดว่าสถานการณ์จะพลิกผันหลายครั้งเช่นนี้ ท้ายที่สุดตระกูลลั่วเสินไม่เป็นอันตรายและยังได้รับประโยชน์ที่ดีที่สุดด้วย
ผู้คนในตระกูลลั่วเสินมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา เพราะพวกเขารู้ว่าหลังจากภัยพิบัติวันนี้ตระกูลลั่วเสินจะพลิกโฉมครั้งใหม่!
ลั่วหลีได้รับมรดกของลั่วเสินซึ่งเป็นการยอมรับจากบรรพบุรุษ เห็นได้ชัดว่าตระกูลลั่วเสินจะมีจักรพรรดินีทรงอำนาจในอนาคต พวกเขาอาจกลับคืนสู่ยุคสมัยอันรุ่งโรจน์ภายใต้การนำของนาง
จากนั้นพวกเขาก็หันมองร่างเงาอ่อนเยาว์ ดวงตาเต็มไปด้วยความขอบคุณและความเคารพ
พวกเขารู้ว่าปัญหาในวันนี้ถูกแก้ไขโดยชายหนุ่มคนนี้แทบทั้งหมด
เพราะเขานำจอมยุทธ์ทรงประสิทธิภาพเข้ามาช่วยตระกูลลั่วเสิน ระงับความทะเยอทะยานของตระกูลเสี่ยเสิน เขาแทรกแซงเมื่อตำหนักซีเทียนพยายามที่จะนำจักรพรรดินีของพวกเขาไป มิหนำซ้ำยังสามารถเชิญเทพจักรพรรดิอัคคี เมื่อจักรพรรดิสัประยุทธ์เดินทางมายังสถานที่แห่งนี้…
หากมีข้อผิดพลาดเล็กน้อยในวันนี้ตระกูลลั่วเสินคงถึงกาลอวสานอย่างแน่นอน ทว่าเรื่องราวกลับได้รับการแก้ไขปัญหาอย่างสมบูรณ์โดยชายหนุ่มผู้นี้
กล่าวได้ว่าศักยภาพที่มู่เฉินแสดงสามารถครองหัวใจคนตระกูลลั่วเสินได้ บางทีคงมีเพียงชายหนุ่มผู้โดดเด่นคนนี้ที่คู่ควรกับจักรพรรดินีของพวกเขา!
“จักรพรรดิมู่!”
“จักรพรรดิมู่!”
เสียงร้องสรรเสริญดังก้องทั่วเมืองลั่วเสินกระจายออกไปทุกซอกมุมอย่างน่าอัศจรรย์ ผู้คนตระกูลลั่วเสินจำนวนมากมีใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อร้องตะโกน ขณะนั้นแม้แต่ชั้นฟ้าและชั้นดินก็สะเทือนเลื่อนลั่นด้วยเสียงคำรามนี้
“จักรพรรดิมู่! จักรพรรดิมู่!”
ลั่วชิงหยา ลั่วซิวและเหล่าจอมยุทธ์ตระกูลลั่วเสินมองไปที่ประชาชนที่ตื่นเต้นก็แลกเปลี่ยนสายตากัน ปัจจุบันตระกูลลั่วเสินมีเพียงจักรพรรดินี แต่เมื่อนางมีคนรัก และอีกฝ่ายก็ได้รับการยอมรับจากทั้งตระกูล คนรักของนางก็จะดำรงจักรพรรดิตระกูลลั่วเสิน
เห็นได้ชัดว่าตระกูลลั่วเสินไม่ได้ตาบอด พวกเขาสามารถบอกถึงความสัมพันธ์ระหว่างลั่วหลีและมู่เฉินได้ นอกจากนี้ที่สำคัญที่สุดศักยภาพที่มู่เฉินแสดงให้เป็นที่ประจักษ์ทำให้ทุกคนเชื่อมั่น ดังนั้นทุกคนจึงแสดงความตื่นเต้นในใจออกมาผ่านคำพูดสรรเสริญนี้
นี่เป็นสิ่งที่ผู้คนใฝ่ฝัน
ลั่วชิงหยา ลั่วซิวและเหล่าจอมยุทธ์ตระกูลลั่วเสินถอนหายใจ จากนั้นก็มองหน้ากันแล้วตะโกนออกมาสุดเสียงเช่นกัน
นั่นเป็นเพราะไม่เพียงแต่ประชาชนที่เชื่อมั่นเท่านั้น เหล่าทหารหาญก็เชื่ออย่างนั้นในเวลานี้เช่นกัน
จะมีกี่คนในโลกที่สามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนโดยไม่เกรงกลัว มิหนำซ้ำยังสามารถตอบโต้ได้ด้วย?
ลั่วเทียนเสินไม่สามารถกลั้นยิ้มเมื่อได้ยินเสียงตะโกน เขามองไปที่ชายหนุ่มบนท้องฟ้าพลางถอนหายใจ เขานึกถึงตอนที่พาลั่วหลีออกไปจากสำนึกศึกษาเป่ยชางเมื่อไม่กี่ปีก่อน…
ในเวลานั้นชายหนุ่มทั้งเด็กและอ่อนแอคล้ายกับลูกเหยี่ยวน้อย แม้ว่าจะเฉียบคมแต่ก็เด็กเหลือเกิน ในเวลานั้นลั่วเทียนเสินไม่ได้ให้ความสำคัญกับชายหนุ่ม เพียงแค่คิดว่าเป็นผู้โชคดีที่ได้รับหัวใจของลั่วหลี
ตอนนั้น… เขาไม่คิดเลยว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้าชายคนนั้นจะปรากฏตัวเบื้องหน้าเขาในฐานะผู้กอบกู้
ชายหนุ่มสลายความอ่อนแออย่างสมบูรณ์ในหลายปีที่ผ่านมา เปล่งประกายความคมชัดที่ทำให้คนอื่นตกตะลึง
“สายตาลั่วหลีดีจริงๆ” ลั่วเทียนเสินถอนหายใจ ที่ผ่านมาลั่วหลีได้รับแรงกดดันอย่างมากในตระกูล แม้ว่าทุกคนจะสงสัยในตัวนาง นางก็ไม่เคยหวั่นไหว
ขณะที่เสียงโห่ร้องดังสะท้อนไปทั่วขอบฟ้า ความไว้สง่าของลั่วหลีก็จางหายไปหมด ยามนี้ดวงตาของนางเป็นประกายระยิบระยับ ใบหน้าขึ้นริ้วสีแดง นางก้มศีรษะลง ท่าทางเขินอายนี่ทำให้หัวใจของผู้คนมากมายผันผวน
นั่นเป็นเพราะนางรู้ว่าการเรียกขานเช่นนี้หมายถึงอะไร
นี่เป็นการยอมรับสูงสุดสำหรับมู่เฉินและก็หมายความว่าตระกูลลั่วเสินยอมรับความสัมพันธ์ของนางกับมู่เฉินด้วย
นางมองไปที่ลั่วเทียนเสิน ขณะนี้อีกฝ่ายก็ผงกหัวด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน
เผชิญหน้ากับเสียงไชโยโห่ร้อง มู่เฉินก็เกาหัวก่อนที่จะหันไปมองหญิงสาวที่เขินอายข้างกายด้วยหัวใจที่พลุ่งพล่าน
“ลั่วหลี…”
มู่เฉินเรียกเสียงเบาขณะมองดวงตาของหญิงสาว เขาเก้อเขินอายไปเล็กน้อยก่อนที่จะพูดว่า “คำสัญญาที่ข้าให้ไว้กับเจ้าก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะโอ้อวดไปหน่อย…”
ย้อนกลับไปตอนนั้นเขาสัญญากับนางว่าตัวเองจะเป็นยอดยุทธ์และปกป้องนางเธอจากลมฝน…
ลั่วหลีมองใบหน้าหล่อเหลาเบื้องหน้า ดวงตาก็ขึ้นริ้วแดง บางทีคนอื่นอาจคิดว่าคำสัญญานั้นช่างน่าหัวเราะ ทว่ามีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ว่างานหนักที่เขาทำเพื่อสัญญายากเย็นขนาดไหน
เส้นทางของยอดยุทธ์เต็มไปด้วยขวากหนามนานัปการ สามารถเปลี่ยนคนที่มีจิตใจตั้งมั่นได้อย่างสิ้นเชิง ดังนั้นนางจึงรู้ว่าเขาทำงานหนักอย่างไร ต้องผ่านสถานการณ์เป็นตายมากี่ครั้ง
แค่คิดก็ทำให้นางรู้สึกปวดใจ
“เจ้าลำบากไปแล้ว” ลั่วหลีกัดริมฝีปาก ก่อนที่จะพูดด้วยดวงตาบวมแดง
มู่เฉินยิ้มบาง “ลั่วหลี เจ้ายังจำคำสัญญาที่ข้าให้ไว้ได้ไหม ตอนที่เจ้าจากมา…”
ลั่วหลีพยักหน้าเบาๆ นางยังจดจำคำพูดของมู่เฉินได้แจ่มชัด ทุกประโยคดังก้องในโสตประสาทของนาง
“ลั่วหลี ข้ารักเจ้า แม้ตระกูลลั่วเสินอาจไกลมากเกินไปในตอนนี้ ข้าก็ไม่สามารถทำให้ท่านปู่และตระกูลเจ้ายอมรับได้ นอกจากนี้พวกเขายังอาจเกิดความสงสัยในสายตาและรู้สึกว่าเจ้าตาบอดมารักชายที่ธรรมดาเท่านั้น แต่…”
“เชื่อข้าจะต้องมีสักวันที่ข้าจะไปที่ตระกูลลั่วเสิน ในเวลานั้นข้าจะให้พวกเขารู้ว่าเจ้าไม่ได้คว้าก้อนกรวดในทะเลทราย แต่เป็นเพชรที่เจิดจรัส…”
มู่เฉินจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าพลางยิ้มบาง
“หลายปีที่ผ่านมาข้าได้พยายามในสิ่งนี้….”
ทันใดนั้นลั่วหลีก็อดกลั้นอารมณ์ที่พวยพุ่งในหัวใจไม่ได้ หยาดน้ำตาหลั่งรินออกมาทันที
บทที่ 1229 วิธีของลั่วหลี
การกลับไปของจักรพรรดิสัประยุทธ์
ทำให้เมฆสีดำเหนือตระกูลลั่วเสินจางหายจนหมดสิ้น ขณะนี้ทุกคนรู้ว่าหายนะที่เกิดขึ้นในตระกูลลั่วไม่มีหลงเหลืออีกแล้ว
ดังนั้นขณะที่ทุกคนกำลังส่งเสียงโห่ร้องยินดี เสี่ยหลิงจื่อก็นำจอมยุทธ์ตระกูลเสี่ยเสินหนีออกจากเมืองทันที
หลังจากทะยานออกมาได้ระยะหนึ่งแล้ว พวกเขาก็เริ่มชะลอตัวพลางแลกเปลี่ยนสายตากัน ตอนนี้ขวัญกำลังใจทุกคนตกต่ำหมดแล้ว
ครั้งนี้จอมยุทธ์ทั้งหมดของตระกูลเสี่ยเสินออกมาโดยตั้งใจที่จะทำลายตระกูลลั่วเสินให้ราบคาบ แต่พวกเขาไม่คิดว่าสถานการณ์เข้าตาจนของตระกูลลั่วเสินจะตาลปัตรกลับมาแบบนี้
“ทั้งหมดเป็นเพราะไอ้สารเลวมู่เฉินนั่น!” จอมยุทธ์คนหนึ่งรู้สึกไม่พอใจ หากไม่ใช่การปรากฏตัวของมู่เฉิน ตระกูลเสี่ยเสินของพวกเขาจะกลายเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวันนี้
แต่ตอนนี้ตัดเรื่องชัยชนะออกไปเลย ตระกูลเสี่ยเสินประสบความสูญเสียใหญ่หลวง หากพวกเขาไม่รีบหนีไปให้เร็วที่สุด สิ่งที่รออยู่ต่อไปอาจเรียกว่านรก
ใบหน้าของเสี่ยหลิงจื่อมืดครึ้มขณะกัดฟันกรอด หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชังที่มีต่อมู่เฉิน เขารู้ว่าเป็นเพราะมู่เฉินทำให้พวกเขาสูญเสียโอกาสในการทำลายตระกูลลั่วเสิน ซึ่งโอกาสเช่นนี้จะไม่มีในอนาคตอีกแล้ว
แม้แต่ลั่วเทียนเสินที่ได้รับพิษโลหิตปีศาจก็สามารถกู้คืนสภาพเดิมได้อย่างสมบูรณ์ด้วยความช่วยเหลือของเทพจักรพรรดิอัคคี เพียงพักผ่อนอีกไม่นาน ความแข็งแกร่งของเขาก็จะฟื้นตัวเต็มที่
นอกจากนี้ยังมีเรื่องลั่วหลีและมู่เฉินที่ทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจ
ลั่วหลีได้รับมรดกของเทพธิดาลั่วเสินและปลูกฝังร่างเทพวารี พรสวรรค์และศักยภาพของนางทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัว ด้วยการคงอยู่ของลั่วหลีตระกูลลั่วเสินจะเป็นปึกแผ่นอย่างแท้จริง ในอนาคตตระกูลลั่วเสินจะแตะยากราวกับแผ่นเหล็ก ไม่มีโอกาสสำหรับพวกเขาในอนาคตอีกแล้ว
นอกจากนี้ยังมีมู่เฉินที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าลั่วหลี…
ความแข็งแกร่งของมู่เฉินไม่เพียงแต่จะน่ากลัว เขายังเป็นประมุขตำหนักมู่ซึ่งทรงพลังยิ่งกว่าตระกูลเสี่ยเสินและยังเชื่อมโยงอย่างเหนียวแน่นในการเชิญเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามมาได้
ด้วยความช่วยเหลือนี้ไม่มีใครในดินแดนซีเทียนเล็กกล้าที่จะยั่วตระกูลลั่วเสินอีกต่อไป
สายตาของเสี่ยหลิงจื่อวูบไหวด้วยไอเย็นเยือกและไม่พอใจ สุดท้ายเขามองกลับไปในทิศทางของเมืองลั่วเสินพลางพูดเสียงโหดร้าย “ปล่อยให้ไอ้เด็กเวรนั่นชะล่าใจไปก่อน เมื่อมันเข้าสู่สนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายของนักรบทวีป ข้าจะทำให้มันเสียใจสุดซึ้งกับเรื่องในวันนี้!”
“ไป!”
เสี่ยหลิงจื่อโบกมือ นำกลุ่มคนหนีตายจากไป…
เมื่อตระกูลเสี่ยเสินหนีไป ขั้วอำนาจอื่นก็จากไปเช่นกัน แต่ละคนยับยั้งความตั้งใจที่มีก่อนหน้าทั้งหมดลง
กลุ่มที่มีสัมพันธ์เชิงดีกับตระกูลลั่วเสินก็ปรากฏตัวแสดงความยินดีกับลั่วเทียนเสิน พยายามแสดงให้เห็นถึงความปรารถนาดี
เพราะจากสถานการณ์ในวันนี้ทุกคนบอกได้ว่าตระกูลลั่วเสินจะกลับมาผงาดในอนาคต พวกเขาอาจกลายเป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่ของทวีปซีเทียนเลยทีเดียว
หลังจากมู่เฉินและลั่วหลีสารภาพรักกัน ทั้งสองก็พลิ้วลงมาที่พื้นที่ของพวกราชวงศ์ย่อย
เมื่อเห็นการมาถึงของลั่วหลี พวกตระกูลสาขาก็มือไม้อ่อนทันที พวกเขาคุกเข่าลง แม้แต่ผู้อาวุโสทั้งสามก็ยังมีสีหน้าซีดเซียวเนื้อตัวสั่นเทา
พวกเขารู้ว่าการลงทุนล้มเหลวลงหมดแล้ว
“พวกเจ้าสมรู้ร่วมคิดกับตระกูลเสี่ยเสิน คิดทรยศตระกูลตัวเอง มีอะไรจะพูดอีกไหม?” ท่าทางของลั่วหลีเย็นชาลงหลายส่วน เมื่อนางมองไปที่ผู้อาวุโสทั้งสาม
ทั้งสามมีท่าทางสิ้นหวัง จากนั้นก็ตอบด้วยเสียงแหบแห้ง “พวกข้าโง่เขลาที่ถูกล่อลวงโดยตระกูลเสี่ยเสิน พวกข้ายินดีที่จะรับการลงทัณฑ์ แต่สมาชิกสาขาส่วนมากไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ หวังว่าจักรพรรดินีจะยกเว้นโทษพวกเขา”
พวกเขารู้ว่าตนเองสมควรตาย หากลั่วหลีต้องการลงโทษก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาแทรกแซงแน่ แม้แต่ทุกคนในราชวงศ์ย่อยที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาก็คงสาปแช่งพวกเขาในใจตอนนี้
เคร้ง!
ลั่วหลีประจันหน้ากับทั้งสามโดยไม่มีอารมณ์ใดๆ ก่อนที่กระบี่ลั่วเสินจะเปล่งประกายแสงเย็น จากนั้นนางก็ชี้ไปที่ทั้งสามคน ทำให้พวกเขาดิ่งลงไปในสิ้นหวังไม่สามารถปีนกลับมาได้
แต่ก่อนที่กระบี่จะอ้างสิทธิ์ในชีวิตของพวกเขา ทันใดนั้นพวกเขาก็เห็นลั่วหลีโบกมือ เม็ดยาสีเงินตกลงในมือพวกเขาทั้งสามคน
“พวกเจ้าสมควรตาย แต่พลังของพวกเจ้ามาจากทรัพยากรของตระกูลลั่วเสิน หากพวกเจ้าตายที่นี่จะไม่เท่ากับทรัพยากรสูญเปล่าไปเหรอ?”
“ถึงแม้ว่าโทษตายจะละเว้นได้ แต่ก็ยังต้องรับการลงทัณฑ์พิษแม่น้ำลั่วและทำงานตอบแทน เจ้าสามคนเต็มใจหรือไม่?”
เสียงเยือกเย็นของลั่วหลี ทำให้ทั้งสามตะลึง ก่อนที่พวกเขาจะคุกเข่ากลืนเม็ดยาลงไปทันที เสียงร้องตะโกนดังขึ้น “พวกข้าขอบคุณจักรพรรดินีลั่ว สำหรับการให้อภัยโทษครั้งนี้ เราน้อมรับทุกสิ่ง!”
พวกเขารู้ว่าพิษแม่น้ำลั่วทรงประสิทธิภาพเพียงใด ถ้ากินเข้าไปก็ต้องได้รับยาแก้พิษเป็นประจำทุกปีจากลั่วหลี มิฉะนั้นพิษแม่น้ำลั่วทำลายร่างกายของพวกเขา
ดังนั้นเพื่อซื้อชีวิต พวกเขาจะต้องทำตามคำสั่งของลั่วหลีทุกอย่าง แต่พวกเขาก็พอใจกับผลลัพธ์นี้มากแล้ว เพราะถึงยังไงการมีชีวิตอยู่ก็ดีกว่าตายถมเถ
ลั่วหลีกวาดสายตาเย็นชาไปยังทั้งสาม พวกเขาสมควรตาย แต่นางก็สามารถระงับความโกรธในใจลงได้ แม้ว่าตระกูลลั่วเสินจะรอดพ้นจากภัยพิบัติแล้ว แต่ก็ยังอ่อนแอในแง่ของจำนวนจอมยุทธ์ระดับสูง ดังนั้นหากฆ่าทั้งสามคน ก็เหลือเพียงลั่วเทียนเสิน ลั่วเทียนหลิงและนางที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน ซึ่งเป็นจำนวนที่น้อยมาก
ดังนั้นนางไม่สามารถฆ่าพวกเขาเพื่อผลประโยชน์ระยะยาวของตระกูล
ทว่านางก็ไม่สามารถให้อภัยได้ บ้านเมืองต้องมีกฎ ไม่อย่างนั้นจะไม่ส่งผลดีต่อการพัฒนาตระกูลลั่วเสิน
ลั่วหลีมองไปที่สมาชิกตระกูลสาขา แม้ว่าผู้บงการเรื่องนี้จะเป็นทั้งสามคนนี่ แต่ก็เป็นทัศนคติของตัวแทนผู้คนทั้งหมด
“สำหรับราชวงศ์ย่อยทั้งหมดจะถูกลดขั้นไปเป็นตระกูลธรรมดา แต่หากสร้างคุณูปการในอนาคตก็สามารถกลับคืนสู่ตำแหน่งเดิมได้!”
เมื่อได้ยินคำพูดของลั่วหลีเหล่าสมาชิกราชสงศ์ย่อยก็มีสีหน้าซีดเซียว การถูกลดระดับก็จะเป็นการลบสถานะของพวกเขาในฐานะราชวงศ์ นี่เป็นการระเบิดที่ร้ายแรงสำหรับพวกเขาอย่างแน่นอน
แต่พวกเขาก็ไม่สามารถปฏิเสธคำพูดของลั่วหลีได้ ต้องก้มหน้ายอมรับไว้เท่านั้น ทว่าสายตามากมายก็ยังสาดความแค้นไปยังผู้อาวุโสทั้งสาม
พวกเขาไม่กล้าที่จะนำความเกลียดชังไปให้ลั่วหลี ดังนั้นจึงได้แต่เทใส่ทั้งสามคนที่คบคิดกับตระกูลเสี่ยเสินลากทั้งครอบครัวลงนรกไปตามกัน
รับรู้ถึงสายตาที่จ้องมองมาทั้งสามก็มีสีหน้าขมขื่น พวกเขารู้ว่าลั่วหลีทำเช่นนี้ก็เพื่อให้พวกเขาสูญเสียความภักดีของผู้ใต้บังคับบัญชา ในอนาคตพวกเขาต้องฟังคำสั่งของลั่วเหลืออย่างเชื่อฟังเท่านั้น
ลั่วเทียนเสินไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการตัดสินใจของลั่วหลี เขาเพียงยิ้มอย่างพอใจกับวิธีจัดการของหลานสาว
“ฮ่าๆ คนรักตัวน้อยของเจ้ามีวิธีจัดการดีกว่าเจ้าตำหนักมู่มากเลยนะ” มั่นถัวหลัวล้อเลียนขณะที่เอ่ยชมเชยวิธีที่ลั่วหลีสามารถจัดการตระกูลสาขาและยังได้รับผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสามคน ยิ่งกว่านั้นนางยังแยกทั้งสามออกจากตระกูลสาขา ทำให้พวกเขาขาดการสนับสนุน
มู่เฉินถูจมูกอย่างช่วยไม่ได้เพราะเขาไม่เก่งเรื่องการบริหารคน เมื่อเทียบกับลั่วหลี เขาก็ด้อยกว่าแท้จริง
“ฮ่าๆ ประมุขมู่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว นี่เรียกว่าการจัดการแบบอิสระ” คนอื่นๆ รีบเข้ามาช่วยมู่เฉิน ที่จริงแล้วพวกเขาก็ตกตะลึงกับวิธีการของลั่วหลี ลองคิดดูว่าถ้านางกลายเป็นเจ้าตำหนักมู่ ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาคงต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแน่นอน
ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาน่ากลัวมากที่ได้พบประมุขที่มีความสามารถจัดการ
มั่นถัวหลัวชำเลืองมองพวกเขาก็หัวเราะเบาๆ นางรู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่
“ในเมื่อเสร็จเรื่องนี้ข้าจะพาพรรคพวกกลับไปทวีปเทียนหลัวในอีกสองวันจากนี้ ถึงยังไงตำหนักมู่ก็เพิ่งก่อตั้ง ข้ากลัวว่าเป็นไปไม่ได้ที่วั้นเซิ่งจะจัดการปัญหาทั้งหมดได้ด้วยตัวเอง” มั่นถัวหลัวมองไปที่มู่เฉิน
มู่เฉินพยักหน้า แม้เขาจะจัดการไม่เก่งเรื่องแต่ตำหนักเพิ่งถูกสร้างขึ้นมา ดังนั้นจึงจำเป็นต้องให้มั่นถัวหลัวและผู้อาวุโสคนอื่นๆ กลับไปดูแล สถานการณ์ของทวีปเทียนหลัวอันตรายกว่าตระกูลลั่วเสิน เพราะไม่มีขั้วอำนาจไหนที่สามารถปกครองทั้งทวีปได้ ดังนั้นความผิดพลาดเล็กน้อยก็อาจทำให้ขั้วอำนาจระดับสูงถูกทำลายได้เช่นเดียวกับตำหนักเทพปีศาจ
“ขอบคุณสำหรับเรื่องนี้” มู่เฉินยิ้ม
มั่นถัวหลัวกลอกตาใส่ “เจ้าเป็นผู้นำ พวกข้าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นเรื่องปกติที่เราจะฟังคำสั่งของเจ้า”
นางหยุดพูดชั่วครู่ก่อนจะเตือน “แต่เจ้าต้องระวังระหว่างการแข่งขันนักรบทวีปด้วย…”
นางรู้ว่ามู่เฉินยังมีไพ่ตายที่ยังไม่ได้เปิดเผย แต่เขาก็ไม่ได้ลงประลองในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นแต่เป็นขั้นปลาย
ที่นั่นเป็นสถานที่ที่จอมยุทธ์ระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายมารวมตัวกัน ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาที่จะโดดเด่นในหมู่คนเพื่อคว้าชื่อนักรบทวีปมา
“ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมเทพจักรพรรดิอัคคีถึงให้เจ้ารับสิทธิ์นี้…” มั่นถัวหลัวมองไปที่เซียวเหยียนที่กำลังสนทนากับลั่วเทียนเสินก็บ่นเบาๆ
มู่เฉินยิ้มพลางส่ายหัว เขาไม่มีความข้องใจเกี่ยวกับการจัดการของเซียวเหยียน ตรงกันข้ามเขากลับเต็มไปด้วยความกตัญญูรู้คุณ เพราะเขารู้ว่าเซียวเหยียนต้องการให้เขาปรับปรุงตัวเองผ่านการต่อสู้
ก็คล้ายกับการเจียระไนอัญมณี
แม้ว่าตอนนี้เขาจะได้เคียงข้างกับลั่วหลีแล้ว แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่เขาจะหยุดทำงานหนัก เพราะ…มารดาของเขายังคงถูกกักขังอยู่ในเผ่าฝูถู
ตอนนี้เขาทรงพลังแล้วก็จริง แต่ถ้าเขาต้องการช่วยมารดา เขาก็ต้องแข็งแกร่งขึ้น เพราะพลังในตอนนี้ยังไม่เพียงพอ…
ดังนั้นเขาต้องไปสมรภูมิของระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย!
ตำแหน่งนักรบทวีปเขาก็ต้องคว้ามาให้ได้!
บทที่ 1230 เทพจอมยุทธ์ทั้งสี่
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตระกูลลั่วเสินค่อยๆ สงบลง
ทว่าข่าวข้อมูลในวันนี้ก็แพร่กระจายไปทั่วทวีปซีเทียนในเวลาไม่กี่วัน ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนอย่างมาก
เพราะไม่ว่าจะเป็นเทพจักรพรรดิอัคคีและจักรพรรดิสัประยุทธ์ที่ปรากฏตัวก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนตกใจ
ดินแดนซีเทียนเล็กเป็นเพียงมุมหนึ่งของทวีปซีเทียน แม้ว่าสี่ตระกูลเทพที่อาศัยอยู่ในดินแดนนี้จะไม่อ่อนแอ แต่พวกเขาก็นับว่าธรรมดาเมื่อเทียบกับทวีปซีเทียนทั้งหมด
ทว่าใครจะคิดว่าเหตุการณ์เล็กๆ ในสายตาของผู้คนจะทำให้เทพจักรพรรดิอัคคีและจักรพรรดิสัประยุทธ์ปรากฏตัว…
เป็นเพราะเหตุผลนี้ขั้วอำนาจอื่นๆ จึงให้ความสนใจในเรื่องนี้มากและสืบหาข้อมูลเพิ่มเติม
ผลการสืบสวนทำให้พวกเขารู้สึกไม่อยากจะเชื่อ เนื่องจากเรื่องราวทั้งหมดเกิดจากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น
ทว่าถึงแม้มู่เฉินจะเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่ตำหนักมู่ของเขาไม่เพียงแต่มีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นหลายคน ซ้ำยังมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มอีกด้วย!
ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม!
แม้แต่ในทวีปซีเทียน การดำรงอยู่ของจอมยุทธ์ระดับนี้ก็ด้อยกว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียนเสี้ยวเดียวเท่านั้น ณ ทวีปแห่งนี้พวกเขาสามารถขึ้นเป็นผู้นำของขั้วอำนาจทรงพลังและได้รับความเคารพจากคนมากมาย ทว่าจอมยุทธ์ระดับนี้กลับยอมอยู่ใต้บังคับบัญชาของมู่เฉินและยอมเข้าร่วมตำหนักมู่!
นี่ทำให้ผู้คนในทวีปซีเทียนสับสน ในเวลาเดียวกันก็ทำให้มู่เฉินดูลึกลับซับซ้อนยิ่งขึ้น ต้องมีบางสิ่งที่พิเศษกับมู่เฉิน ในเมื่อเขาสามารถบัญชาการจอมยุทธ์สูงล้ำกว่าตนเองได้
ขณะที่ทุกคนอยากรู้เกี่ยวกับตัวตนของมู่เฉิน ตำหนักซีเทียนก็ประกาศข่าวที่เพิ่มแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทวีปมากยิ่งขึ้น
จักรพรรดิสัประยุทธ์ประกาศด้วยตัวเองว่ามู่เฉินจะเข้าร่วมในการแข่งขันเพื่อตำแหน่งนักรบทวีปและจะเข้าร่วมในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย!
ช่วงเวลาที่ข่าวแพร่สะพัดออกไปทั่วทั้งทวีปก็ร้อนระอุ หลายคนไม่ค่อยพอใจจากเรื่องที่ว่ามู่เฉินเข้ามาเบียดตำแหน่งนักรบทวีปทำให้พวกเขาเกิดอาการกรุ่นโกรธเข้าไปใหญ่
ในฐานะบุคคลภายนอก มู่เฉินไม่เพียงแต่เข้ามามีส่วนร่วมเท่านั้น เขายังเข้าร่วมสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ทั้งที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นเท่านั้น
มู่เฉินคิดว่าตัวเองอยู่ยงคงกระพัน ดูถูกจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายของทวีปซีเทียนรึ?
จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายจำนวนมากถึงกับหัวร้อนในเรื่องนี้ แม้ว่ามู่เฉินจะแสดงความแข็งแกร่งไม่ธรรมดาเป็นที่ประจักษ์ในตระกูลลั่วเสินซึ่งสามารถจัดอยู่ในอันดับต้นๆ ในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถข้ามขั้นไปต่อสู้ได้
ระดับตี้จื้อจุนแต่ละขั้นห่างไกลกันเป็นโยชน์ ก็เหมือนกับภูมิภาคทางเหนือ เมื่อมั่นถัวหลัวก้าวเข้าสู่ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ไม่เพียงแต่นางสามารถทำลายหมู่ตึกเทวะได้ นางยังบีบให้ขั้วอำนาจสูงสุดอื่นๆ ก่อตั้งพันธมิตรกับนาง ทั้งหมดนี่ทำได้ด้วยพลังของนาง
จากเรื่องนี้ทำให้เห็นได้ว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายทรงพลังเพียงใด
แต่ตอนนี้มู่เฉินจะเข้าไปเดินในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายของทวีปซีเทียน ในสายตาของคนอื่นๆ มู่เฉินดูถูกต่อจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายในทวีปแห่งนี้อยู่
ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้เกิดความเกรี้ยวกราดของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายหลายคน พวกเขาเตรียมทำให้มู่เฉินเสียใจที่ดันมาแหยมทวีปซีเทียนโดยใช้การแข่งขันนี้ในการสั่งสอน
ในวังลั่วเสิน
“ไม่รู้ว่ามีจอมยุทธ์จำนวนมากเท่าไรคิดเก็บเจ้าหลังฟังข่าวนี้…” ลั่วหลีมองมู่เฉินด้วยสายตาเป็นกังวลเมื่อรับรายงานข้อมูลนี้
ทว่ามู่เฉินก็ไม่เก็บมาใส่ใจกลับยิ้มกว้างมากขึ้น นักรบทวีปเป็นตำแหน่งที่เข้าถึงยาก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่คนจะเกลียดเขา เมื่อเขาได้เข้าร่วม
แต่เขากลับให้ความสนใจกับความไม่พอใจที่จักรพรรดิสัประยุทธ์แอบแฝงอยู่เมื่อประกาศเรื่องนี้ ดังนั้นจะต้องมีผู้ที่พยายามสร้างความดีความชอบแก่จักรพรรดิสัประยุทธ์และตั้งเป้าหมายมาที่เขาไว้
ซึ่งนี่เป็นความตั้งใจของจักรพรรดิสัประยุทธ์แน่นอน เพราะด้วยสถานะเขาไม่สามารถจัดการกับมู่เฉินได้ตรงๆ แต่เมื่อแสดงเจตนารมณ์ตนเองเพียงเล็กน้อย ก็จะมีผู้คนจำนวนมากเต็มใจที่จะเคลื่อนไหวเพื่อเขาแทน
ดังนั้นการแข่งขันนักรบทวีปครั้งนี้เป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างแน่นอน
“จักรพรรดิสัประยุทธ์หน้าไหว้หลังหลอกนัก” ลั่วเทียนหลงอดที่จะพูดออกมาไม่ได้ เขาเกิดความพอใจอย่างยิ่งกับมู่เฉินตลอดเวลาที่ได้สนทนากัน นอกจากนี้ด้วยความสัมพันธ์ของมู่เฉินกับลั่วหลีก็เป็นธรรมดาที่เขาจะเข้าข้างมู่เฉิน
ขณะที่พูดเขาก็มองไปที่มู่เฉิน “ข้ากลัวว่าสิ่งนี้อาจเป็นไปไม่ได้ เจ้ายอมแพ้ดีกว่าไหม?”
เขาไม่ได้ดูถูกมู่เฉิน หากมู่เฉินเข้าร่วมในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น เขาเชื่อว่าชายหนุ่มสมควรได้รับตำแหน่ง ทว่าที่จะเข้าร่วมคือสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย…
ดูเป็นไปไม่ได้ที่คิดจะคว้าตำแหน่งนี้จากมือจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายจำนวนมาก
มู่เฉินส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม เทพจักรพรรดิอัคคีอุตส่าห์ช่วยเหลือ ดังนั้นเขาไม่สามารถยอมแพ้ได้อย่างง่ายดาย
“เจ้าเด็กดื้อ!” ลั่วเทียนหลงถลึงตา จากนั้นก็มองไปที่ลั่วหลี “ทำไมเจ้าไม่กล่อมเขาซะ ตอนนี้จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายทั้งหมดในทวีปซีเทียนคงรอมารุมสอนบทเรียนให้เขา”
ลั่วหลีเม้มปากยิ้ม ม้วนหยกปรากฏขึ้นในมือนาง จากนั้นก็ส่งไปให้มู่เฉิน “นี่เป็นข้อมูลเกี่ยวกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายทั้งหมดในทวีปซีเทียน หากเจ้าจะเข้าร่วมก็ควรรู้ข้อมูลให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”
มู่เฉินดีใจ แม้ว่าเขาจะไม่กลัวคนเหล่านี้ แต่เขาก็ไม่ได้โอหัง ดังนั้นข้อมูลจึงจำเป็นมาก
ลั่วเทียนหลงเค้นเสียงขึ้นจมูกอย่างหงุดหหงิด เมื่อเห็นว่าลั่วหลีไม่กล่อมมู่เฉินยังไปรวบรวมข้อมูลเพื่อสนับสนุนอีกด้วย
ลั่วเทียนเสินได้แต่ยิ้มพลางส่ายหัว “เรื่องของเด็กก็ให้พวกเขาจัดการกันเอง”
เขาค่อนข้างมองในแง่ดี เนื่องจากเขารู้ว่ามู่เฉินไม่ได้มีนิสัยประมาท ในเมื่อมู่เฉินตัดสินใจเข้าร่วมในการแข่งขันก็ต้องมีความมั่นใจในระดับหนึ่งแล้ว
แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าไม่น่าเชื่อและยากเกินไปสำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นที่จะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย เขาก็ยังคงเชื่อมั่นในตัวมู่เฉินเนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดก่อนหน้านี้
เมื่อได้ยินที่ผู้ใหญ่ทั้งสองคุยกัน ลั่วหลีก็หัวเราะเสียงพลิ้วให้มู่เฉิน ความงดงามช่างสั่นสะท้านหัวใจ ดวงตาของเขาจับจ้องดวงหน้านาง ซึ่งทำให้นางมองมาอย่างเขินอายก่อนจะพูดว่า “มีจอมยุทธ์มากมายที่สวามิภักดิ์ต่อตำหนักซีเทียน แต่มีสามคนในหมู่พวกเขาที่เจ้าควรระวัง”
“โอ้?” เมื่อพูดถึงเรื่องเป็นทางการ มู่เฉินก็สำรวมลงขณะที่ตอบอย่างหนักแน่นว่า “สามคนใครบ้าง?”
“เจ้าตำหนักแสงดาว—หลิ่วซิงเฉิน”
“กระบี่เทพหมาป่า—ซูมู่”
”ดาบทรราช—ฉู่เหมิน”
เมื่อได้ยินชื่อทั้งสามคนใบหน้าของลั่วเทียนเสินก็เปลี่ยนเป็นจริงจังพลางพยักหน้า “ทั้งสามคนนั้นมีชื่อเสียงอย่างมากในทวีปซีเทียน ซึ่งมีข้อเหมือนกันอย่างหนึ่งก็คือต่างเคยเอาชนะจอมยุทธ์ในระดับขุมพลังเดียวกัน”
“แม้ว่าข้าจะหายดีแล้ว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับทั้งสามคนก็คงได้แค่ป้องกันตัวเอง ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย”
“หลิ่วซิงเฉิน… ซูมู่… ฉู่เหมิน …” มู่เฉินพึมพำ สายตาเปลี่ยนไป แม้แต่ลั่วเทียนเสินยังยอมรับความแข็งแกร่งของทั้งสาม พวกเขาก็จะต้องมีความสามารถอย่างแท้จริง
“แต่พวกเขาก็ยังไม่ใช่ที่สุด คนที่มีหวังจะได้คว้าตำแหน่งมากที่สุดไม่ใช่พวกเขา” เสียงของลั่วหลีดังขึ้นกะทันหัน ทำให้ดวงตาของมู่เฉินหดลง ทั้งสามคนทรงพลังมากแล้วก็ยังไม่ถือว่าเป็นที่สุดเรอะ?
ลั่วเทียนเสินถอนหายใจ “แม้ว่าทั้งสามคนนั้นจะทรงพลัง แต่พวกเขาก็ยังอ่อนแอกว่าเหล่าจอมยุทธ์ที่ฟ้าประทาน”
“จอมยุทธ์ฟ้าประทาน?” มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะพูดคำนี้ออกมา
ลั่วหลีพยักหน้า “มีเทพจอมยุทธ์สี่คนในตำหนักซีเทียนได้แก่ พี่ใหญ่—หลิงจั้นจื่อ พี่รอง—หลิงเจี้ยนจื่อ พี่สาม—หลิงหลงจื่อและน้องสี่—หลิงเฟยจื่อ”
“สามคนแรกจะเข้าร่วมในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย พวกเขาได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากตำหนักซีเทียนเพื่อการเป็นนักรบทวีปนี้!”
“พวกเขามีชื่อเสียงอย่างมากในทวีปซีเทียน ซึ่งก็มีจุดเหมือนอย่างหนึ่ง…” ม่านตาของลั่วหลีสั่นไหวอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ใบหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของลั่วหลี ดวงตามู่เฉินก็แคบลงอีกพลางถามว่า “เหมือนกันในเรื่องอะไร?”
ลั่วหลีและลั่วเทียนเสินแลกเปลี่ยนสายตากันก่อนที่หญิงสาวจะพูดว่า “พวกเขาเคยสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายมาก่อน…”
“สังหารจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย!”
แม้แต่มู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะตกใจกับข่าวนี้ ใบหน้าของเขาเคร่งเครียดลงหลายส่วน ตอนนี้ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่ายากเพียงใดที่เขาจะได้เป็นนักรบทวีป…
บทที่ 1231 ดินแดนโบราณ
บนยอดเขาด้านหลังวังลั่วเสิน
มู่เฉินนั่งอยู่บนก้อนหินสีเขียวต้อนรับสายลมพลิ้วไหวที่พัดผ่านเสื้อผ้าไป
ดวงตาทั้งสองข้างปิดสทิท ฝ่ามือวาดตราประทับ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตส่งเสียงหวีดหวิวโดยรอบ ดูราวกับสายธารที่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายของมู่เฉินที่เหมือนกับเป็นหลุมลึก
เมื่อเข้าสู่ขุมพลังตี้จื้อจุน ปริมาณคลื่นหลิงที่มู่เฉินสามารถกักเก็บได้นั้นเกินคณนา ก่อนขุมพลังตี้จื้อจุนทุกคนสามารถกักเก็บคลื่นพลังไว้ในจุดจื้อจุนไห่เท่านั้น แต่พอหลังจากบรรลุจุดจื้อจุนไห่ก็รวมเข้ากับร่างกาย ทุกส่วนของร่างกายจึงคล้ายกับทะเลพลัง ดังนั้นความสามารถในการบรรจุจึงเพิ่มขึ้นตามธรรมชาติ
หลังจากเข้าสมาธิสองชั่วโมงความปั่นป่วนทั้งหมดก็ค่อยๆ สงบลง มู่เฉินลืมตาขึ้น แสงหลิงในดวงตาจางหายไป
สัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตซึ่งไหลเวียนอยู่ภายในร่างกาย มู่เฉินก็หายใจออกเบาๆ แต่สายตาก็ต้องเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมเมื่อย้อนนึกถึงข้อมูลที่ลั่วหลีกล่าวไว้
“เทพจอมยุทธ์สี่คนของตำหนักซีเทียน”
มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง ตามรายงานของลั่วหลี เทพจอมยุทธ์สามคนแรกเคยสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายมาแล้ว ดังนั้นจึงไม่อาจประมาทได้
เขารู้ถึงความแตกต่างอย่างมากระหว่างการเอาชนะและสังหาร เนื่องจากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทุกคนมีพลังชีวิตที่สุดยอด ต่อให้ครึ่งหนึ่งของร่างกายจะถูกทำลายก็ยังสามารถฟื้นตัวกลับมาได้
การสังหารหมายถึงจะต้องทำลายพลังชีวิตทุกอณูให้สิ้นซาก เช่นเดียวกับที่มู่เฉินได้สังหารจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นของตระกูลเสี่ยเสินไป
แต่การทำเช่นนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสำเร็จ เพราะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ต่อให้สู้ไม่ได้ก็สามารถหนีไปได้ เว้นแต่อีกฝ่ายจะมีความแข็งแกร่งท่วมท้น
ในเมื่อเทพจอมยุทธ์ทั้งสามของตำหนักซีเทียนสามารถสังหารได้ นั่นหมายความว่าพลังของพวกเขาไม่อยู่ในขอบเขตธรรมดา
ครั้งนี้ทั้งสามจะเป็นอุปสรรคใหญ่ในการแข่งขันชิงตำแหน่งนักรบทวีปแน่นอน
ที่สำคัญที่สุดคือเขาสร้างความขุ่นเคืองให้กับจักรพรรดิสัประยุทธ์ แม้ว่าอีกฝ่ายจะลงมือเองไม่ได้เพราะมีเทพจักรพรรดิอัคคีกันไว้อยู่ แต่เทพจอมยุทธ์ทั้งสามคนจะต้องเปิดการปะทะกับเขาแน่ หากพวกเขาเผชิญหน้ากันในสนามรบ
ดังนั้นจึงไม่มีการประนีประนอมระหว่างมู่เฉินกับเทพจอมยุทธ์ทั้งสาม
เมื่อเทียบกับพวกเขา หลิ่วซิงเฉิน ซูมู่และฉู่เหมินยังด้อยกว่าไปเลย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีประวัติของการเอาชนะที่คล้ายคลึงกัน
แต่ผลสำเร็จนี่ก็ยังไม่อาจเทียบได้กับเทพจอมยุทธ์ทั้งสาม
“ทวีปซีเทียนเป็นแหล่งมังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบแท้จริง” มู่เฉินถอนหายใจ แม้ว่าทวีปซีเทียนจะไม่ได้เป็นมหาทวีป แต่ก็ยังคงแข็งแกร่งกว่าทวีปเทียนหลัวด้วยการดำรงอยู่ของจักรพรรดิสัประยุทธ์
ดังนั้นหากเขาต้องการรับหนึ่งในตำแหน่งนักรบทวีป การต่อสู้ดุเดือดเป็นสิ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
เป็นเพราะข้อมูลดังกล่าวทำให้มู่เฉินรู้สึกว่าถูกคุกคามเล็กน้อยในใจ ทว่าความมุ่งมั่นที่มีก็ไม่ทำให้หวั่นไหวเนื่องจากโอกาสนี้เป็นสิ่งที่เทพจักรพรรดิอัคคีช่วยต่อรองเพื่อเขา ดังนั้นเขาไม่สามารถยอมแพ้ได้
ฮา
มู่เฉินสูดลมหายใจลึกสุดปอด ดวงตาหลุบลงก่อนที่มือทั้งสองจะประสานกัน ระลอกความผันผวนปลดปล่อยออกจากร่างกาย เขาสามารถสัมผัสได้ถึงร่างรองทั้งสองในทะเลสาบสวรรค์
เมื่อสัมผัสได้ถึงการเชื่อมโยงที่น่าอัศจรรย์ มู่เฉินก็รู้สึกสบายใจขึ้น แม้ว่าเทพจอมยุทธ์ทั้งสามจะทรงพลัง แต่เขาก็ไม่ได้อ่อนแอ
วิชาสามพิสุทธิ์เป็นหนึ่งในไพ่ตายของเขาที่จะใช้จัดการกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย
เขาไม่เคยใช้วิชาสามพิสุทธิ์ตั้งแต่เริ่มฝึกฝน แต่เขามีลางสังหรณ์ว่าจะไม่ผิดหวังแน่นอน
ทว่าแม้เขาจะมีวิชาเทพที่ไม่มีใครเทียบได้ แต่มู่เฉินก็ยังไม่ได้นิ่งนอนใจ เพื่อความปลอดภัยเขาต้องมีทักษะมากขึ้นเพื่อเพิ่มอัตราความสำเร็จ
“ทักษะที่มากขึ้น”
มู่เฉินหลับตาไตร่ตรองอยู่นาน ก่อนที่จะลืมตาโพลงพร้อมกับความลังเลวูบไหวในนัยน์ตา นั่นเป็นเพราะเขานึกถึงทักษะที่เขาเก็บซ่อนเอาไว้นาน
วิชามหาเจดีย์ที่มารดาของเขาทิ้งเอาไว้ให้
นี่เป็นวิชาวางรากฐานของเผ่าฝูถู ซึ่งลึกซึ้งอย่างไม่น่าเชื่อ มู่เฉินฝึกฝนช่วงสั้นๆ เมื่อในอดีต แต่เนื่องจากเขากลัวที่จะเปิดเผยตัวตน ดังนั้นจึงเก็บซ่อนเอาไว้ แต่ตอนนี้เขาบรรลุระดับตี้จื้อจุนแล้ว ถือว่ามีความสามารถในปกป้องตัวเอง บางทีอาจถึงเวลาที่เขาจะต้องเริ่มฝึกอีกครั้ง
เผ่าฝูถูเป็นหนึ่งในเผ่าโบราณของมหาพันภพที่มีรากฐานที่น่ากลัว พวกเขาเป็นยักษ์ใหญ่ของแท้ ดังนั้นวิชามหาเจดีย์จะต้องไม่ธรรมดาเช่นกัน เพียงแต่ว่าในอดีตพลังของเขาไม่เพียงพอดังนั้นจึงไม่สามารถตีความได้อย่างลึกซึ้ง
แต่ในขณะนี้มู่เฉินเชื่อว่าการตีความจะแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง
ด้วยความคิดนี้ มู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไปมือประสานเข้าด้วยกันทันที เสียงบทสวดคัมภีร์ต้าฝูถูดังกึกก้องอยู่ในใจ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตในร่างกายเคลื่อนผ่านเส้นสายภายในวิชามหาเจดีย์
ฮึ่ม ฮึ่ม!
ยามนี้มู่เฉินหมุนวนวิชามหาเจดีย์ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็ระเบิดออกมาจากภายใน เมื่อพลังงานรวมตัวกันเจดีย์สีดำน่าเกรงขามก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในร่าง
จิตใจมู่เฉินก็ค่อยๆ ดำดิ่งภายในบทสวดโบราณ
ลางสังหรณ์นี้ไม่ได้ทำให้มู่เฉินผิดหวัง ตั้งแต่เขาก้าวเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุน ส่วนของข้อมูลที่เขาไม่สามารถเข้าใจได้ในอดีตก็ถูกลบล้างออกไปทันที ให้ความรู้สึกน่าอัศจรรย์ใจ
ความรู้สึกนี้ราวกับว่าเปิดม่านทักษะที่ลึกซึ้งนี้ออก เริ่มเข้าใจอย่างลึกซึ้งมากขึ้น
เวลาเคลื่อนผ่านไปโดยที่มู่เฉินดำดิ่งอยู่ข้างใน
หลายวันผ่านไปโดยที่เขาไม่รับรู้ ส่วนร่างเขาก็ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวราวกับเป็นก้อนหิน
เมื่อลั่วหลีที่มาถึงเห็นมู่เฉินอยู่ในการฝึกฝนก็ไม่ได้รบกวน นางนั่งลงข้างกายอยู่นานก่อนที่จะผละไป
เวลาสิบวันผ่านไปในพริบตา
ในวันที่สิบร่างกายของมู่เฉินก็สั่นสะท้าน บทสวดของวิชามหาเจดีย์ที่ไหลเวียนอยู่ในห้วงแห่งจิตก็แยกออกจากกัน จากนั้นเนื้อหาคำพูดฝึกยุทธ์ที่ไม่คุ้นเคยก็ผุดขึ้นในใจ
“จงทำลายและใช้หัวใจนำทาง กลั่นรัศมีตกทอดเพื่อเจดีย์อันเป็นนิรันดร์”
มู่เฉินท่องในใจซ้ำๆ ก่อนที่จะเข้าใจ
“ที่แท้เป็นอย่างนี้รึ”
มู่เฉินพึมพำ เจดีย์สีดำก็เริ่มปรากฏรอยแตกร้าว ลำแสงพุ่งผ่านรอยแตกออกมา
เขาทำลายเจดีย์แล้ว!
รอยแตกพล่านปกคลุมไปทั่วเจดีย์ ในที่สุดก็ระเบิดออก แสงสีดำกวาดออกมาสาดส่องทั่วสรรพางค์กายของมู่เฉิน
“ใช้หัวใจนำทาง…”
บทสวดดังกึกก้องในใจ มู่เฉินปล่อยให้แสงส่องเข้าห้วงแห่งจิตจนเริ่มพร่าเลือน ทว่าภายใต้สภาวะสมาธิลึกนี้ ทันใดนั้นกระแสน้ำวนก็ก่อตัวขึ้นจากตรงตำแหน่งแตกของเจดีย์
มู่เฉินมองไปที่กระแสน้ำวนเกิดความลังเลใจ แต่ไม่นานก็โยนความลังเลใจทิ้งแล้วให้ร่างดวงจิตก้าวเข้าไป
ความมืดอยู่ตรงหน้าเพียงชั่วครู่ ทว่าชั่วครู่นั้นกลับทำให้มู่เฉินรู้สึกเกิดความผิดเพี้ยนของเวลาและสถานที่ ราวกับว่าร่างดวงจิตของเขาถูกส่งผ่านไปยังสถานที่ไกลแสนไกลจนไม่อาจบรรยายได้
ความมืดหายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อมู่เฉินลืมตาขึ้น ดวงตาก็อดกระเพื่อมรุนแรงไม่ได้พร้อมกับพึมพำด้วยความตกตะลึงดังขึ้นภายในใจ
“นี่มันที่ไหน?”
ร่างดวงจิตลอยอยู่ในอากาศ ดินแดนโบราณปรากฏเบื้องหน้าสายตา มีร่องรอยกาลเวลาถูกทิ้งไว้ในฟ้าดิน ทว่าสิ่งที่ทำให้หัวใจของมู่เฉินสั่นไหวที่สุดไม่ใช่ดินแดนโบราณแห่งนี้ แต่เป็นเจดีย์ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่เงียบๆ ตรงกลาง
เจดีย์ดูเก่าแก่และลวดลายบนพื้นผิวก็ลึกซึ้งอย่างไม่น่าเชื่อ นอกจากนี้ดูเหมือนจะก้าวข้ามกาลเวลาและมิติ ซึ่งดำรงความเป็นนิรันดร์
ร่างดวงจิตของมู่เฉินจ้องมองไปที่เจดีย์โบราณ เขาสามารถสัมผัสถึงรัศมีที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าระดับเทียนจื้อจุนแผ่ซ่านมาจากมัน
“ที่นี่ที่ไหนกันแน่?”
หัวใจของมู่เฉินสั่นไหว เขาไม่รู้ว่าทำไมทางเชื่อมนี้จึงเกิดขึ้น เมื่อเขาทำลายเจดีย์
ทว่าขณะที่ร่างดวงจิตของมู่เฉินหลุดเข้าไปในดินแดนโบราณ ในเผ่าฝูถูที่ห่างออกไป ร่างที่นั่งนิ่งสงบอยู่ในเจดีย์สีดำก็เปิดดวงตาขึ้นมาทันที
ดวงตานางที่มักไม่มีระลอกคลื่นคลอคลองด้วยหยาดน้ำตาในเวลานี้ นางเงยหน้าขึ้นมองไกลออกไปด้วยความรู้สึกปลื้มใจและคิดถึง
“มู่เฉิน…ลูกรัก เจ้าถึงขั้นที่สามารถเข้าสู่ดินแดนโบราณแล้วหรือ?”
บทที่ 1232 รัศมีตกทอดจากบรรพบุรุษ
หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้าน
จากนั้นก็ค่อยๆ สงบลงหลังจากผ่านอาการตกตะลึงพรึงเพริด เขาเริ่มเดาเหตุผลบางอย่างได้อย่างคลุมเครือ
ก่อนหน้านี้เขาทำความเข้าใจเชิงลึกซึ้งขึ้นเกี่ยวกับวิชามหาเจดีย์ โดยใช้พลังจากการทำลายเจดีย์ของตนเพื่อมาถึงที่นี่ ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จะต้องเกี่ยวข้องอย่างยิ่งกับเผ่าฝูถู
“ถึงแม้ว่าวิชามหาเจดีย์ในอดีตจะพิเศษแล้ว ก็ยังถือว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับระดับตี้จื้อจุน แต่ในเมื่อวิชานี้เป็นทักษะการวางรากฐานของเผ่าฝูถูดังนั้นจึงต้องมีเคล็ดลับสำคัญ ซึ่งจะต้องมีระดับเข้าใจและวิวัฒนาการที่สูงขึ้น”
วิวัฒนาการที่ว่าอาจเกี่ยวข้องกับสถานที่แห่งนี้หรือพูดให้ถูกต้องคือเกี่ยวกับเจดีย์โบราณนี้
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ สายตาของมู่เฉินก็จดจ่อที่เจดีย์โบราณ เขาลังเลสั้นๆ ก่อนที่จะเดินเข้าไปใกล้
ยิ่งเมื่อเดินเข้าไปใกล้ เขาก็ต้องตกใจเมื่อตระหนักถึงขนาดที่แท้จริงของเจดีย์โบราณนี้ที่มีความสูงหลายแสนจั้ง ทำให้คนคล้ายกับมดเมื่อเปรียบเทียบกัน ดังนั้นผลกระทบที่เขาได้รับก็น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
“ช่างเป็นเจดีย์ที่น่าสะพรึงอะไรอย่างนี้”
มู่เฉินพึมพำในใจ เขารู้สึกได้ว่าแรงกดดันคลุมเครือที่เปล่งออกจากเจดีย์นั้นแข็งแกร่งกว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์เสียอีก
ความกดดันเต็มไปด้วยกลิ่นอายเก่าแก่ ราวกับมีร่องรอยของกาลเวลา ภายใต้แรงกดดันดังกล่าวไม่ต้องสงสัยว่าแข็งแกร่งกว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์เพียงใด
ด้วยการรับรู้ของมู่เฉิน เมื่อเทียบกับแรงกดดันของเจดีย์โบราณนี้อาจมีเพียงเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามที่ต่อกรได้
ขณะนี้มู่เฉินรู้อย่างลึกซึ้งมากว่าการเป็นหนึ่งในเผ่าโบราณแห่งมหาพันภพน่ากลัวเพียงใด
ฮึ่ม ฮึ่ม!
ขณะที่มู่เฉินตกตะลึง เจดีย์ก็ดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของเขา มันส่งเสียงครางกระหึ่ม
มู่เฉินตกใจกับการเคลื่อนไหวฉับพลัน เกือบจะดึงแบบร่างดวงจิตกลับ เพราะสุดท้ายเจดีย์ลึกลับนี้ก็น่าสะพรึงเกินไป ถ้าเกิดการเคลื่อนไหวก็อาจเป็นหายนะครั้งใหญ่สำหรับเขาเลย
ลำแสงสีดำส่องลงมาจากเจดีย์โบราณ ห่อตัวมู่เฉินไว้ภายใน
ช่วงเวลานั้นมู่เฉินสัมผัสได้ถึงความผันผวนอย่างลึกซึ้งกวาดผ่านร่างดวงจิต… ซึ่งมากเกินพรรณนาจนทำให้มู่เฉินรู้สึกว่ามันกำลังสำรวจตรวจสอบร่างกายของเขาที่นั่งนิ่งในภูเขาด้านหลังวังลั่วเสินด้วย
หัวใจของเขาสั่นเบาๆ เนื่องจากกลัวว่าจะเกิดภัยพิบัติขึ้นกับร่าง
แต่โชคดีที่แสงจางลงหลังจากการตรวจสอบ ทันใดนั้นมู่เฉินก็รู้สึกว่ามิตินี้เหมือนจะให้การยอมรับตัวเขาแล้ว
เขาอึ้งไปแต่ในไม่ช้าก็คิดออก การตรวจสอบจากเจดีย์เมื่อสักครู่น่าจะเพื่อดูว่าเขามีสายเลือดของเผ่าฝูถูหรือไม่
หากเป็นคนที่ไม่มีสายเลือดอาจถูกกำจัดโดยเจดีย์โบราณทันที
โชคดี… มารดาของเขาเป็นสมาชิกเผ่าฝูถู ดังนั้นเขาจึงมีสายเลือดโบราณไหลเวียนอยู่ในร่างกายเช่นกัน!
“เกือบซวยไหมล่ะ…”
มู่เฉินรู้สึกโล่งอกจากอันตรายที่มาเยือน โชคดีที่เขาผ่านการตรวจสอบไม่เช่นนั้นผลลัพธ์คงจะตกที่นั่งลำบาก
ขณะที่หัวใจของมู่เฉินยังอบอวลด้วยความหวาดกลัว รัศมียิ่งใหญ่ก็พุ่งออกมาจากด้านบนของเจดีย์โบราณ ห่อหุ้มมู่เฉินไว้อีกครั้ง
รัศมีลึกลับดูเหมือนว่ามาจากยุคโบราณที่เก่าแก่มาก แต่มู่เฉินรู้สึกถึงความใกล้ชิดที่มาจากมัน
ให้ความรู้สึกราวกับว่าพวกเขามาจากแหล่งกำเนิดเดียวกัน
“นี่คือรัศมีตกทอดจากบรรพบุรุษ?!”
ทันใดนั้นมู่เฉินก็เข้าใจอะไรบางอย่าง บางทีรัศมีลึกลับนี้อาจเป็นรัศมีตกทอดที่บทสวดของเผ่าฝูถูพูดถึง!
“กลั่นรัศมีตกทอดเพื่อเจดีย์อันเป็นนิรันดร์!”
เสียงท่องไหลเวียนอยู่ในหัวใจของมู่เฉินอีกครั้ง จากนั้นเขาก็ประสานมือเข้าด้วยกัน แสงเข้มข้นระเบิดออกจากร่างกาย ตัวเขาก็ราวกับวาฬกินเหยื่อ ดูดซับรัศมีตกทอดบรรพบุรุษเอาไว้
ขณะที่ดูดซับรัศมี มู่เฉินก็รู้สึกว่าร่างกายสั่นสะเทือน กระแสเลือดเดือดพล่าน แม้แต่พลังในสายเลือดที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของร่างกายก็ถูกกระตุ้นขึ้นมา
ฮึ่ม ฮึ่ม!
ยามนี้แสงสีดำระเบิดออกจากร่างดวงจิตมู่เฉินคล้ายกับหลุมดำ ดูดซับรัศมีตกทอดจากเจดีย์โบราณอย่างเมามัน
ภายใต้การกลืนกินรัศมี เจดีย์ที่มีขนาดสิบกว่าจั้งก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในแสงสีดำ
นี่เป็นเจดีย์ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับที่เคยชำระไว้ก่อนหน้านี้ เนื่องจากม้นเป็นสีขาวปลอด นอกจากนี้เมื่อรัศมีตกทอดไหลหลั่งเข้ามาที่ตัวเขามากขึ้น เจดีย์ก็เริ่มโปร่งใสราวกับว่ากำลังชำระล้างสิ่งสกปรกออก
ฟู่ ฟู่!
เมื่อเจดีย์สีขาวปรากฏขึ้น มู่เฉินไม่ได้สังเกตว่าเลือดในร่างกายเริ่มเผาไหม้จนกลายเป็นเปลวไฟสีดำห่อหุ้มร่างกายไว้
นี่เป็นเหตุจากสายเลือดเผ่าฝูถูถูกกระตุ้น
ชี่!
เมื่อเปลวไฟปรากฏขึ้นบนร่างมู่เฉิน เพลิงสีดำก็เริ่มลุกไหม้บนเจดีย์สีขาว ทำให้โปร่งใสมากขึ้นเรื่อยๆ
มู่เฉินให้ความสนใจกับการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด แม้จะไม่คุ้นเคยกับเจดีย์สีขาวนั้น แต่สัญชาตญาณก็บอกว่ายิ่งเจดีย์โปร่งใสมากขึ้นก็ยิ่งเป็นเรื่องดีสำหรับเขา
เมื่อมีความคิดนี้เขาก็ไม่ลังเล ปล่อยร่างดวงจิตควบคุมเพลิงสีดำให้ลุกโชติช่วงยิ่งขึ้น ดูดซับรัศมีตกทอดมากยิ่งขึ้น
นั่นเป็นเพราะเขาพบว่ารัศมีตกทอดลึกลับนี้เป็นส่วนผสมหลักในการปรับแต่งเจดีย์สีขาวนี้
เจดีย์โบราณก็เหมือนถูกกระตุ้น ปลดปล่อยรัศมีล้ำค่าออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดช่วยมู่เฉินในการปรับแต่งเจดีย์สีขาวของเขา
ภายใต้เพลิงสีดำเจดีย์สีขาวมีความโปร่งใสและบริสุทธิ์มากขึ้น ด้วยความเร็วนี้อีกไม่นานเจดีย์ก็จะกำจัดสิ่งสกปรกทั้งหมดออกไป
เผ่าฝูถู
ร่างสูงวัยสองร่างนั่งอยู่บนแท่นบูชา กำจายรัศมีสูงวัย
ทว่ามิติรอบด้านก็ถึงกับแตกเป็นเสี่ยงๆ จากลมหายใจของทั้งสอง แสดงให้เห็นว่าร่างสูงวัยทั้งสองน่ากลัวเพียงใด
ดวงตาพวกเขาปิดลงราวกับว่ากำลังนอนหลับอยู่
แต่ทันใดนั้นเมื่อทั้งสองรู้สึกอะไรบางอย่าง ดวงตาก็เบิกโพลงพร้อมกับริ้วความสงสัยกระจายเต็มใบหน้า นั่นเป็นเพราะในขณะนี้พวกเขารู้สึกถึงความผันผวนที่แปลกประหลาดที่มาจากดินแดนโบราณ
“เกิดอะไรขึ้น?”
ทั้งสองแลกเปลี่ยนสายตากัน จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อคลื่นหลิงรวมตัวที่เบื้องหน้าก่อร่างเป็นกระจกฉายภาพในดินแดนโบราณ
กระจกกะพริบวูบวาบ ฉากพุ่งไปที่เจดีย์โบราณ
พวกเขากวาดสายตาก็เห็นเจดีย์โปร่งใสราวกับว่าสร้างจากแก้วผลึกลอยอยู่นอกเจดีย์โบราณ
เมื่อเห็นเจดีย์โปร่งใสที่มีความผันผวนของไอศักดิ์สิทธิ์ ทั้งสองคนก็อึ้งไปก่อนที่จะร้องอุทาน “นี่…นี่คือเจดีย์พุทธะหรือ? เรามีสมาชิกที่สามารถปรับแต่งเจดีย์พุทธะได้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? ไม่ธรรมดาจริงๆ”
ทว่าทันใดนั้นพวกเขาก็นึกถึงบางสิ่งใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปรุนแรง
นั่นเป็นเพราะพวกเขาเป็นผู้พิทักษ์ดินแดนโบราณ ดังนั้นหากใครต้องการเข้าไปในดินแดนโบราณเพื่อกลั่นรัศมีตกทอดปรับปรุงเจดีย์ก็จะต้องทำการเปิดโดยพวกเขา
แต่…พวกเขาไม่ได้เปิดทางเข้าสู่ดินแดนโบราณ แล้วเขาคนนั้นเข้าไปได้ยังไง?!
เผชิญกับสถานการณ์นี้ กระทั่งคนสูงวัยอย่างพวกเขาก็ยังสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก พวกเขาคำรามขึ้นทันที “เร็วเข้า เปิดดินแดนโบราณ!”
ความสนใจของมู่เฉินจมจ่อมอยู่ในเจดีย์ใส
ขณะนี้กระบวนการกำลังค่อยๆ มาถึงความสมบูรณ์แบบโดยรัศมีตกทอด
ตอนนี้มันช่างโปร่งใสราวกับเพชร ในเวลาเดียวกันก็ส่งผลให้เกิดความลึกซึ้งอย่างไม่อาจบรรยายได้
มู่เฉินมีความรู้สึกว่าเจดีย์ผลึกใสนี้ไม่ธรรมดา เจดีย์ที่เขาเคยชำระไว้ก่อนหน้าไม่สามารถเทียบได้กับสิ่งนี้เลย
ทว่าขณะที่มู่เฉินกำลังยินดีปรีดาในหัวใจ พายุรุนแรงก็พัดเข้ามาในดินแดนแห่งนี้ จากนั้นเขาก็เห็นกรงเล็บทอดยาวมาในทิศทางของเขา
ในเวลาเดียวกันเสียงกรี้ยวกราดก็ดังก้องทั่วมิติ
“ใครบังอาจเข้ามาขโมยรัศมีรัศมีตกทอดในดินแดนโบราณของเผ่าฝูถู!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น