หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1223-1226
บทที่ 1223 การมาถึงของจักรพรรดิสัประยุทธ์
เสียงทรงอำนาจราวกับเทพยาตรามาจากสวรรค์ทั้งเก้า
ทำให้โลกสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น หลายคนมีเหงื่อผุดออกจากร่างกาย พวกเขารู้สึกราวกับว่าความโกรธของเทพตกใส่
ร่างเงาสีทองยืนอยู่บนท้องฟ้าสองมือไพล่หลังพร้อมกับรัศมีผู้ปกครองกำจายออกมา
ภายใต้แรงกดดันจอมยุทธ์สามัญได้แต่คุกเข่าลง มากจนถึงจุดที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนหลายคนยังอยู่ถูกข่มด้วยแรงกดดันมหาศาล ไม่กล้าที่จะแหงนเงยขึ้นมอง
ไม่มีใครคาดคิด… จักรพรรดิสัประยุทธ์จะมาด้วยตนเอง!
ภายใต้แรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัว ลั่วหลีก็มองร่างน่าเกรงขาม แม้ว่านางจะตัวสั่นเทาจากแรงกดดัน แต่ก็ไม่มีความกลัวบนใบหน้าเลย
นางมองไปที่ร่างเงาสีทอง เสียงดังก้องขึ้น “ขอบคุณสำหรับความโปรดปรานของจักรพรรดิสัประยุทธ์ แต่ข้าไม่คิดจะเป็นธิดาเทพ โปรดเลือกคนอื่นเถิด”
เสียงของนางทำให้หลายคนกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอด้วยความไม่อยากจะเชื่อ พวกเขาไม่คิดเลยว่าลั่วหลีจะกล้าหาญขนาดนี้
ขณะเดียวกันเสี่ยหลิงจื่อกลับมีริ้วความสุขกะพริบในดวงตา ตอนแรกเขาคิดว่าตระกูลลั่วเสินจะมีอำนาจเพิ่มขึ้น แต่ใครจะไปคิดได้ว่าลั่วหลีไม่สนใจที่จะรับการอวยยศของตำหนักซีเทียน นอกจากนี้เหมือนจะยังต่อต้านด้วยซ้ำ
หากจักรพรรดิสัประยุทธ์โกรธเพียงเล็กน้อย ตระกูลลั่วเสินถึงกัลปาวสานแน่
“บังอาจ!”
เมื่อได้ยินที่ลั่วหลีพูด หลิงตงก็คำราม “ลั่วหลี เจ้ารู้ถึงราคาที่ต้องจ่ายในการปฏิเสธจักรพรรดิหรือไม่? แล้วเจ้ารู้ไหมว่าตระกูลลั่วเสินจะต้องจ่ายราคาประเภทใดสำหรับการกระทำนี้?”
ทันใดนั้นสายตาลั่วหลีก็เปลี่ยนเป็นคมกริบ นางจ้องมองหลิงตงพูดว่า “ก็แค่ตาย สำหรับตระกูลลั่วเสินถ้าข้าต้องทนรับความอัปยศเพื่อปกป้องตระกูลในฐานะจักรพรรดินีตระกูลยอมถูกทำลายล้างมากกว่าจะขายชื่อเสียงของบรรพบุรุษ…เทพธิดาลั่วเสิน!”
เสียงแน่วแน่ของนางดังไปทั่วชั้นฟ้า สมาชิกตระกูลลั่วเสินถึงกับเลือดเดือดพล่าน บรรพบุรุษของพวกเขาเป็นยอดยุทธ์แห่งมหาพันภพ ไม่ว่าจะด้านชื่อเสียงหรือพลังจักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียนก็ด้อยกว่าเมื่อเทียบกัน ดังนั้นพวกเขาจึงมีความภาคภูมิใจซึมลึกถึงแกนกระดูก พวกเขาเชื่อมั่นในตัวลั่วหลี หากตระกูลลั่วเสินเลือกให้ลั่วหลีต้องทนรับความอัปยศอดสูเพื่อความอยู่รอด พวกเขายอมถูกล้างบางแทนดีกว่า!
พวกเขาไม่ขออยู่รอดด้วยความอัปยศอดสู!
สมาชิกของตระกูลลั่วเสินเงยหน้าขึ้นโดยไม่มีความกลัวใด พวกเขาจ้องมองหลิงตงด้วยความเกรี้ยวกราด
หลายคนตกใจขณะมองไปที่ลั่วหลี แม้ว่านางจะเป็นหญิง แต่ความกล้านี้ก็ทำให้พวกเขารู้สึกละอายใจนัก
สีหน้าของหลิงตงเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด เขาไม่คิดเลยว่าการข่มขู่ของเขาจะไปกระตุ้นความภาคภูมิใจของตระกูลลั่วเสินเข้า ดูเหมือนว่าเขาประเมินความกล้าหาญและความดึงดูดใจของลั่วหลีต่ำไป
“ฮ่าๆ สมกับเป็นคนที่ได้รับการยอมรับจากลั่วเสิน…”
จักรพรรดิสัประยุทธ์ปรบมือเบาๆ คำพูดของลั่วหลีไม่ได้ทำให้เขาโกรธ ในทางตรงกันข้ามเขามองไปที่นางด้วยความชื่นชมอีกหลายส่วน
จากนั้นเขาก็หันไปหาหลิงตง “ความรักเป็นเรื่องของความเต็มใจ ข้าคนนี้เคยบังคับใครด้วยหรือ?”
หลิงตงโน้มตัวรับผิดทันที
เมื่อเห็นการยอมลงให้ของจักรพรรดิสัประยุทธ์ ผู้คนมากมายก็พยักหน้าด้วยความรู้สึกชื่นชมด้วยจิตใจเช่นนี้ สมกับเป็นเป็นผู้ปกครองของทวีปซีเทียน
มู่เฉินหรี่ตาแคบลงกับภาพตรงหน้า เขาไม่คิดว่าผู้นำตำหนักซีเทียนจะยอมปล่อยเรื่องนี้ลงได้อย่างง่ายดาย
หลังจากตำหนิหลิงตงแล้ว จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็มองที่ลั่วหลี “ในเมื่อเจ้าไม่เต็มใจ ข้าก็จะไม่บังคับ แต่ข้าจะเก็บตำแหน่งธิดาเทพไว้ห้ ถ้าเจ้าเปลี่ยนใจสามารถมาหาได้ทุกเมื่อ”
ลั่วหลีตอบอย่างใจเย็น “บางทีท่านจักรพรรดิสัประยุทธ์คงต้องผิดหวัง”
จักรพรรดิสัประยุทธ์ยิ้มจากนั้นก็หันไปทางมั่นถัวหลัว “ปล่อยเรื่องธิดาเทพของเจ้าไปก่อน แต่ดอกแมนดาลาโบราณกล้าท้าทายศักดิ์ศรีของตำหนักซีเทียน สมควรได้รับการลงโทษ”
ทุกคนตกใจกับคำพูดของเขา ก่อนที่จะหันไปมองมั่นถัวหลัว ไม่มีใครคิดว่าร่างจริงของนางจะเป็นดอกแมนดาลาโบราณ
หัวใจของมู่เฉินและลั่วหลีดิ่งลง แม้ว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์บอกว่าจะพักเรื่องธิดาเทพไว้ก่อน แต่การที่เขาหาเรื่องมั่นถัวหลัวก็เห็นได้ว่าไม่พอใจในใจ
“ท่านจักรพรรดิสัประยุทธ์ ด้วยสถานะของท่าน ถ้าทะเลาะกับเรื่องแค่นี้ มันไม่ดูไม่สมควรไปหน่อยหรือ?” ลั่วหลีพูดออกมา
จักรพรรดิสัประยุทธ์ยิ้ม “ถ้าข้าปล่อยเรื่องนี้ไปโดยง่าย คนอื่นจะไม่คิดว่าตำหนักซีเทียนอ่อนแอรึ? วางใจเถอะข้าจะพาสองคนนี้กลับไปที่ตำหนักซีเทียน จองจำพวกเขาสักหลายปีแล้วจะปล่อยไป ข้าสัญญาว่าจะไม่สังหารพวกเขา”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ใบหน้าของลั่วหลีก็เย็นชาลง จักรพรรดิสัประยุทธ์ไม่เพียงตั้งใจจะพามั่นถัวหลัวไป แต่ยังวางแผนที่จะทำเช่นเดียวกันกับมู่เฉินด้วย
“ตู้ม!”
ก่อนที่ลั่วหลีจะพูดอะไรได้อีก จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ แสงสีทองกวาดออกมา ก่อตัวขึ้นเป็นมือขนาดใหญ่พุ่งไปโอบล้อมมู่เฉินและมั่นถัวหลัว
“ทวีปซีเทียนของข้า ไม่ใช่ที่ที่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มสามารถหยิ่งผยองได้!” เสียงที่ไม่แยแสดังก้อง ภายใต้การห่อหุ้มของมือสีทองแม้แต่คลื่นหลิงก็หยุดเคลื่อนไหว
เมื่อทุกคนมองไปที่จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่เคลื่อนไหว พวกเขาก็รู้สึกเห็นใจมั่นถัวหลัวและมู่เฉิน การเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ไม่ว่ามู่เฉินจะมีไพ่ตายมากเท่าไรก็ยากที่จะหนีไปได้
“ไอ้หนู ขอข้าดูสิว่าแกยังสามารถกระโดดโลดเต้นไปได้ไหม!” ดวงตาของเสี่ยหลิงจื่อเปลี่ยนเป็นสีแดงขณะที่กัดฟัน แววตาวูบไหวด้วยความสะใจ ตระกูลเสี่ยเสินได้เตรียมไพ่ตายมากมายเพื่อจัดการกับตระกูลลั่วเสิน แต่ทั้งหมดก็ถูกมู่เฉินทำลาย ทว่าตอนนี้กระทั่งจักรพรรดิสัประยุทธ์ยังเคลื่อนไหว เขาไม่เชื่อว่ามู่เฉินจะหลุดรอดไปได้
“ผู้อาวุโสช่วยพามู่เฉินหนีไปตอนนี้เลย!” ลั่วหลีกัดฟันขณะที่มองมั่นถัวหลัว ยามนี้มีเพียงมั่นถัวหลัวเท่านั้นที่สามารถพามู่เฉินหนีไปได้ เพราะจักรพรรดิสัประยุทธ์ที่มาเป็นเพียงร่างดวงจิต
ทว่าเผชิญหน้ากับคำขอของลั่วหลี มั่นถัวหลัวก็ส่ายหัวพลางหันไปหามู่เฉิน
ช่วงเวลานี้ลั่วหลีก็ตระหนักได้ว่ามู่เฉินยังคงสงบไม่มีร่องรอยของความสิ้นหวังใดเลย
เมื่อเห็นสายตาของลั่วหลี มู่เฉินก็เผยรอยยิ้มพลางพลิกมือ ตะเกียงโบราณปรากฏขึ้น
มู่เฉินแตะตะเกียงถอนหายใจด้วยความเสียดาย “ไม่คิดว่าจะต้องใช้ความช่วยเหลือเร็วขนาดนี้ เฮ้อ…”
เขาสะบัดมือคลื่นหลิงก็พุ่งเข้าไปในตะเกียงจุดไฟขึ้นอย่างรวดเร็ว
มือทองคำบีบลงมา ภายใต้สายตาของทุกคนก็ห่อหุ้มมั่นถัวหลัวและมู่เฉินเอาไว้ นี่ทำให้หลายคนถึงกับส่ายหัวเลยทีเดียว
ยามนี้แม้แต่มั่นถัวหลัวก็ไม่สามารถหลบหนีได้แล้ว
จักรพรรดิสัประยุทธ์มองภาพนี้แบบไม่แยแส ถ้าเขาสามารถพามั่นถัวหลัวและมู่เฉินไปได้ ลั่วหลีก็ต้องไปที่ตำหนักซีเทียนอย่างแน่นอนและยอมรับตำแหน่งธิดาเทพ เวลานั้นเขาจะมีโอกาสสร้างปฏิสัมพันธ์กับนาง เขาเชื่อว่าเมื่อเวลาผ่านไปลั่วหลีจะต้องหลงเสน่ห์ของเขา ถึงตอนนั้นนางก็จะเต็มใจ
ดังนั้นนี่จึงไม่ขัดกับกฎของเขา
ที่จริงเมื่อถึงระดับเขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องความงามมากนัก แต่ลั่วหลีแตกต่างออกไป เนื่องจากนางได้รับการสืบทอดร่างเทพวารีของลั่วเสิน หากเขาได้เสพสังวาสผ่านคัมภีร์กับนางละก็ เขาจะได้รับประโยชน์มหาศาลแน่นอน
ตอนแรกเขาคิดว่าแค่เผยใบหน้าให้เห็นถึงเสน่ห์ก็ไม่ยากที่จะได้รับความประทับใจจากนาง ทว่าเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะเข้ามาในแผนนี้ มิหนำซ้ำยังมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับนาง ทำให้นางปฏิเสธคำพูดเขาทั้งหมด
ดังนั้นในเวลานี้เขาต้องใช้วิธีแยบยลมาช่วย
‘ลั่วหลี เจ้าจะเข้าใจว่าข้ามีความโดดเด่นแค่ไหนในอนาคต มีเพียงข้าที่เทียบเคียงเจ้าได้ ส่วนมู่เฉินเป็นเพียงสายลมพัดผ่านเข้ามาในชีวิตของเจ้า เขาไม่คู่ควร… ข้าทำสิ่งเหล่านี้ก็เพื่อประโยชน์ของเจ้า’
จักรพรรดิสัประยุทธ์คิดสิ่งนี้ในใจ จากนั้นก็เหลือบมองมือสีทองที่ไม่มีการขัดขืนใดๆ ดูเหมือนว่ามั่นถัวหลัวจะยอมแพ้ไปแล้วเหมือนกัน
“ฉลาด” เขายิ้มขณะที่โบกมือเตรียมเก็บมู่เฉินและมั่นถัวหลัวไป
ทว่าควันกลับลุกโชนในฝ่ามือทองคำ เปลวไฟพร่างพราวพวยพุ่งออกมาละลายฝ่ามือทองคำไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นฉากที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้ใบหน้าของจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็เปลี่ยนไปรุนแรง ร้องอุทานว่า “เป็นไปได้ยังไง?!”
กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ไม่สามารถต้านทานกระบวนท่านี้ได้ แล้วจะถูกทำลายด้วยเปลวไฟได้ยังไงกัน?
ทุกคนตกตะลึงกับภาพนี้เช่นกัน
ขณะที่เปลวไฟงดงามลุกโชน ไม่กี่ลมหายใจก็ละลายมือทองคำอย่างสมบูรณ์ ทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็ฉายแววตกใจขณะมองไป
มู่เฉินและมั่นถัวหลัวยืนอยู่บนท้องฟ้าโดยไม่มีอันตรายใดๆ ทว่าม่านตาของทุกคนก็หดแคบลง เมื่อพวกเขาเห็นผู้มาใหม่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้ามู่เฉิน
ชายผู้นี้มีรูปร่างสูงตระหง่านยืนเอามือไพล่หลัง รอยยิ้มเกียจคร้านแขวนอยู่บนใบหน้า แม้เขาจะไม่ได้ดูแข็งแกร่ง แต่ก็สามารถรู้สึกได้ถึงความกดดันที่เป็นของจักรพรรดิสัประยุทธ์ผงะถอยกลับอย่างรวดเร็ว ขณะที่เขายืนอยู่ที่นั่น
เมื่อรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ ทุกคนก็รู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด นั่นเป็นเพราะกระทั่งคนโง่ก็ยังรู้ว่ามีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจุนเท่านั้นที่สามารถเผชิญหน้ากับแรงกดดันแบบนี้ได้
นั่นหมายความว่ามู่เฉินเชิญจอมยุทธ์ระดับเทียนจื้อจุนมาด้วย!
ท่ามกลางสายตาหวาดผวามากมาย ชายที่ยืนอยู่เบื้องหน้ามู่เฉินก็ยิ้ม “จักรพรรดิสัประยุทธ์แกล้งเด็กแบบนี้ ไม่ลดสถานะของตัวเองไปหน่อยรึ?”
บนท้องฟ้าจักรพรรดิสัประยุทธ์จำชายที่ยืนอยู่ตรงหน้ามู่เฉินได้ ม่านตาเขาหดแคบลง สีหน้าเปลี่ยนไปพลางอุทานออกมา
“เทพจักรพรรดิอัคคี—เซียวเหยียน?!”
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกวิงเวียน มู่เฉินไม่เพียงแต่เชิญจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนมาเท่านั้น… เขายังเชิญเทพจักรพรรดิอัคคีผู้ยิ่งใหญ่มาด้วย!
จากผู้แปล ขออธิบาย
เซียวเหยียน—เทพจักพรรดิอัคคีแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว
กับ…
หลินเหยียน-น้องสามของหลินต้งหรือเสี่ยวเหยียนผู้เคร่งขรึม
>>> เป็นคนละคนกัน
บทที่ 1224 เทพจักรพรรดิอัคคีปรากฏตัว
“เทพจักรพรรดิอัคคี—เซียวเหยียน?!”
เมื่อเสียงตกตะลึงของจักรพรรดิสัประยุทธ์ดังก้อง ในดวงตาทุกคนก็เผยความหวาดผวาขณะมองชายที่ยืนอยู่เบื้องหน้ามู่เฉินด้วยความไม่เชื่อสายตา
นั่นเป็นเพราะทุกคนในมหาพันภพรู้จักชื่อนี้เป็นอย่างดี
นี่คือตำนานมีชีวิตที่แท้จริง
ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่งหรือความสามารถในสร้างแคว้นหวู่จิ้งฮั่วในเวลาเพียงไม่กี่ร้อยปีด้วยรากฐานที่เหนือกว่าเผ่าโบราณบางเผ่า แคว้นหวู่จิ้งฮั่วกลายเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจสูงสุดของมหาพันภพที่แม้แต่ชนเผ่าโบราณก็ไม่กล้าดูถูก
แม้ว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์จะมีชื่อเสียง แต่ทุกคนก็รู้ว่ามีช่องว่างระหว่างเขากับเทพจักรพรรดิอัคคีผู้นี้
ก็คล้ายกับยอดยุทธ์และตำนานในหมู่ยอดยุทธ์สุดยอด
บุคคลเช่นนี้ไม่ใช่สามารถพบเจอได้บ่อยครั้ง แต่ตอนนี้…มู่เฉินกลับเชิญเทพจักรพรรดิอัคคีในตำนานมาได้
ทันใดนั้นสายตาทุกคู่ที่จ้องมู่เฉินก็เปลี่ยนไป ซึ่งเป็นความหวาดกลัวรุนแรงยิ่งกว่าเมื่อมองมั่นถัวหลัว
เสี่ยหลิงจื่อที่ก่อนหน้ากำลังดีอกดีใจกับสถานการณ์นี้ก็มีใบหน้าพิลึกจนน่าตลก ไม่เพียงแต่เขา แม้แต่จอมยุทธ์ตระกูลเสี่ยเสินก็มีใบหน้าซีดเผือด เหงื่อกาฬแตกพลั่ก
พวกเขาตัวสั่นขณะที่มองมู่เฉินด้วยความกลัว
เสี่ยหลิงจื่อเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ขณะที่รู้สึกวิงเวียนกับอารมณ์กลับตาลปัตรในใจ เขาไม่คิดว่าแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ไม่สามารถจัดการกับมู่เฉินได้ ไอ้หนูปีศาจนี่เชิญตำนานของมหาพันภพมาเลยทีเดียว
“มู่เฉิน…ภูมิหลังเขาเป็นมายังไงกันแน่?!”
เสี่ยหลิงจื่อคำรามในใจ หากเขารู้ว่ามู่เฉินจะเชิญเทพจักรพรรดิอัคคีมา เขาก็ไม่กล้าหยิ่งผยองแม้ว่าจะเก่งกาจกว่านี้ถึงร้อยเท่า
แต่ตามความเป็นจริงก็เป็นไปไม่ได้ที่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นจะเชิญจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนมา แม้ว่าจะใช้ทรัพย์สมบัติทั้งหมดก็ตาม!
ก็เหมือนกับว่ามดไม่สามารถเรียกช้างได้!
ขณะที่เสี่ยหลิงจื่อและคนอื่นๆ สั่นไหวด้วยความตกใจ สายตาของสมาชิกตระกูลลั่วเสินก็จรัสแสง
พวกเขามองมู่เฉินด้วยสายตานับถือ หากก่อนหน้านี้พวกเขารู้สึกอิจฉาความสัมพันธ์ของมู่เฉินกับลั่วหลี ตอนนี้พวกเขาเชื่อมั่นอย่างเปี่ยมล้นแล้ว
มู่เฉินไม่เพียงแต่โดดเด่นเท่านั้น เขายังมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นที่สามารถเชิญจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนมาได้
บางทีต้องผู้ชายคนแบบนี้ถึงคู่ควรกับจักรพรรดินีของพวกเขา
เซียวเหยียนยืนเอามือไพล่หลัง ไม่มีรัศมีครอบงำใดที่แผ่ออกมาจากร่าง แต่ทุกคนก็รู้สึกว่าแรงกดดันที่มาจากจักรพรรดิสัประยุทธ์สลายไปอย่างรวดเร็วจากการดำรงอยู่ของเขา
ในเวลาไม่กี่อึดใจทุกคนก็รู้สึกว่าแรงกดดันที่น่ากลัวหายไปหมดสิ้น
เซียวเหยียนที่ปรากฏตัวไม่ได้สนใจกับสายตาตกตะลึงที่พุ่งเข้าใส่ เขามองไปรอบๆ เมืองลั่วเสินด้วยรอยยิ้มรำลึกถึง “ไม่คิดว่าจะกลับมาที่เมืองลั่วเสินหลังจากผ่านมาหลายปี”
“ผู้อาวุโสเซียวเคยมาที่ตระกูลลั่วเสินในอดีตด้วยหรือขอรับ?” มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะถามด้วยความประหลาดใจ
“ฮ่าๆ ข้ามีความสัมพันธ์เก่าแก่กับตระกูลลั่วเสินน่ะ” เซียวเหยียนหัวเราะก่อนที่จะมองไปที่ลั่วเทียนเสินด้วยรอยยิ้ม “ผู้อาวุโสลั่วไม่เจอกันนานหลายปีแล้วนะขอรับ”
ลั่วเทียนเสินตกตะลึงขณะที่มองดูเซียวเหยียน เขาถอนหายใจด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อนพลางยิ้มอย่างขมขื่น “เจ้าไม่ใช่เด็กหลงทางอีกต่อไปแล้ว”
นานมาแล้วตอนที่เซียวเหยียนเพิ่งเข้ามาในมหาพันภพ เขามาอยู่ในตระกูลลั่วเสิน ช่วงเวลานั้นเซียวเหยียนเพาะบ่มขุมพลังโดยใช้คลื่นโต้วชี่ที่ยังไม่ได้หลอมรวมเป็นคลื่นหลิง ดังนั้นเขาจึงอ่อนแอมาก ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาไม่คุ้นเคยกับมหาพันโลก เขาจึงได้แต่หลงทางอยู่ในเมืองลั่วเสินแห่งนี้
ตอนนั้นลั่วเทียนเสินเป็นประมุขตระกูลลั่วเสิน ด้วยความบังเอิญเขาได้พบกับเซียวเหยียน กระทั่งให้ความช่วยเหลือ แต่เซียวเหยียนก็ต้องจากไปอย่างรวดเร็ว เพราะต้องตามหาฮูหยินและสหาย
หลังจากนั้นลั่วเทียนเสินก็ได้ยินข่าวบางอย่างเกี่ยวกับเซียวเหยียน รู้ว่าเขาได้สถาปนาแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว บรรลุระดับเทียนจื้อจุนของมหาพันภพ
เขาเคยมีความคิดที่จะขอความช่วยเหลือจากแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว แต่ก็ละความคิดนั้นไป เพราะเขาไม่แน่ใจว่าจะสามารถเชิญเซียวเหยียนได้จากบุญคุณเล็กน้อยนั่นไหม
เพราะตอนนี้เซียวเหยียนเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ในมหาพันภพแล้ว
ในระดับความสูงนั้น บางทีเซียวเหยียนอาจลืมตระกูลลั่วเสินไปนานแล้ว นอกจากนี้ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือตอนนั้นลั่วเทียนเสินก็แค่ช่วยเหลือนิดๆ หน่อยๆ ตามความสามารถที่มี ซึ่งเป็นเรื่องเพ้อฝันที่คิดจะเชิญจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจากเรื่องเล็กน้อยนั่น
ท้ายที่สุดจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็อยู่ห่างไกลจากพวกเขาเหลือเกิน
ทว่าเมื่อเซียวเหยียนได้ยินคำพูดก็มาปรากฏตัวตรงหน้าด้วยใบหน้าที่จริงจัง เขายื่นมาคว้าฝ่ามือของลั่วเทียนเสินไว้พลางเอ่ยเสียงขรึม “คำพูดของผู้อาวุโสลั่วกำลังจะทำให้ข้าเซียวเหยียนเนรคุณนะ ตอนนั้นถ้าไม่ใช่ท่านที่ช่วยให้ข้าเปลี่ยนคลื่นโต้วชี่กลายเป็นคลื่นหลิง ใครจะรู้ว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนในการทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ หากเป็นเช่นนั้นเมื่อถึงคราวตามหาฮูหยินและสหายข้าคงต้องทนทุกข์มหาศาล”
จากที่เซียวเหยียนพูดก็รู้ได้ว่าตอนนั้นฮูหยินและสหายของเขาคงจะตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายแน่ หากเขาไปไม่ทันเวลาผลที่ตามมาก็คงไม่ใช่ภาพที่น่าเห็น
ลั่วเทียนเสินไม่คิดว่าความช่วยเหลือที่เคยให้ต่อเซียวเหยียนจะยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้จึงอึ้งไปทันที จากนั้นรอยยิ้มปลื้มใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า เขาลังเลสั้นๆ ก่อนที่จะถอนหายใจตบมือเซียวเหยียนเบาๆ
“ผู้อาวุโสลั่วบาดเจ็บรึ?” เซียวเหยียนสังเกตเห็นใบหน้าหมองคล้ำของลั่วเทียนเสินก็รู้สึกถึงความผิดปกติของร่างกายอีกฝ่ายทันที
ลั่วเทียนเสินยิ้ม “ก็แค่พิษโลหิตปีศาจ”
พิษนี่เกิดจากเสี่ยหลิงจื่อ ตอนที่พวกเขาสู้กันในอดีต ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ร่างกายเขาอ่อนกำลังลง หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเขาคงจะถูกพิษเข้าแทรกเส้นลมปราณธาตุไฟแตกตายแน่นอน
แต่พิษนี้ก็ครอบงำมาก บวกกับสะสมอยู่ในร่างกายของเขาเป็นเวลานาน ดังนั้นแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ยังต้องใช้เวลามากที่จะกำจัดพิษให้เขา
เซี่วเหยียนยิ้ม “ไม่ใช่ปัญหา”
เขาตบแขนลั่วเทียนเสินเบาๆ เกลียวไฟหลายสายก็ถูกฝังเข้าไปในร่างของอีกฝ่าย อึดใจใบหน้าของลั่วเทียนเสินก็เปลี่ยนเป็นสีแดง เลือดเหม็นคาวหยดออกมาจากรูขุมขนและระเหยออกไป
ไม่กี่อึดใจใบหน้าของลั่วเทียนเสินก็เปลี่ยนกลับมาน่าดู คลื่นหลิงก็สะอาดหมดจด นี่ทำให้มุมปากของเขาอดไม่ได้ที่จะกระตุก เขาไม่คิดว่าพิษโลหิตปีศาจที่รบกวนเขามาเป็นเวลานานจะถูกกำจัดออกไปอย่างง่ายดายขนาดนี้
ขณะที่เซียวเหยียนกำจัดพิษให้ลั่วเทียนเสิน เสี่ยหลิงจื่อก็เหงื่อแตกพลั่กใบหน้าซีดเซียวลง เขาไม่คิดว่าไม่เพียงมู่เฉินจะสามารถเชิญเทพจักรพรรดิอัคคีมาได้ แต่จอมยุทธ์ในตำนานผู้นี้ยังมีความสัมพันธ์อันดีกับลั่วเทียนเสินด้วย!
สถานการณ์ที่พัฒนาไปอย่างฉับพลันนี้ ทำให้แขนขาของเขาสั่นพั่บๆ หากเขารู้ว่าตระกูลลั่วเสินมีความสัมพันธ์กับเทพจักรพรรดิอัคคี เขาจะกล้ามาแหย่เสือหลับได้อย่างไร?
“ผู้อาวุโสลั่วเกิดอะไรขึ้นกับตระกูลลั่วเสินรึ?” หลังจากกำจัดพิษให้ลั่วเทียนเสินแล้ว เซียวเหยียนก็มองเห็นถึงสถานการณ์ เขาถามด้วยรอยยิ้มพร้อมกับดวงตาหรี่แคบลง
ลั่วเทียนเสินลังเลในเวลาสั้นๆ ก่อนที่จะอธิบายรายละเอียด
“แค่ไม่คิดว่ามู่เฉินจะเชิญเจ้ามาที่นี่…” ลั่วเทียนเสินยิ้มอย่างขมขื่น
เซียวเหยียนพยักหน้าขณะที่หันไปหามู่เฉินและยิ้มให้ “โชคดีที่มู่เฉินเชิญข้ามา มิเช่นนั้นข้าคงจะเป็นคนอกตัญญูแล้ว”
มู่เฉินเกาหัว ตัวเขาอยู่ในสถานการณ์จนตรอก ดังนั้นจึงหันไปขอความช่วยเหลือจากเซียวเหยียน แต่ไม่คิดว่าจะได้รับการขอบคุณจากเซียวเหยียนในเรื่องนี้
“ปล่อยเรื่องนี้ให้ข้าจัดการเอง”
เซียวเหยียนยิ้มให้ลั่วเทียนเสิน ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองไปที่จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่กำลังปลดปล่อยแรงกดดันน่าสยดสยองอยู่บนท้องฟ้าด้วยรอยยิ้ม “ข้าเคยได้ยินชื่อเสียงของจักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียนมานานแล้ว ไม่คิดว่าจะได้พบเจ้าที่นี่วันนี้”
จักรพรรดิสัประยุทธ์มองไปที่เซียวเหยียนอย่างเคร่งขรึมก่อนจะพูดช้าๆ “ข้าก็เคยได้ยินชื่อเสียงของเจ้ามาเช่นกัน”
“เดิมทีข้าไม่ควรแทรกแซงเรื่องในทวีปซีเทียน แต่ตระกูลลั่วเสินมีความสัมพันธ์อันดีกับข้า ดังนั้นจะสะดวกไหมถ้าข้าขอความอนุเคราะห์เจ้าที่จะไม่ทำให้เรื่องนี้ต้องยุ่งยากสำหรับตระกูลลั่วเสินและมู่เฉิน” เซียวเหยียนยิ้มบาง
จักรพรรดิสัประยุทธ์ยิ้มด้วยดวงตาที่หรี่แคบลง ชื่อเสียงของเทพจักรพรรดิอัคคีเลื่องลือไปทั่วมหาพันภพ มิหนำซ้ำแคว้นหวู่จิ้งฮั่วก็ไม่ใช่ที่จะยั่วยุได้ แต่ในฐานะจักรพรรดิสัประยุทธ์ที่รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งตั้งแต่เมื่อใดที่เขากลัวผู้อื่น?
ตระกูลลั่วเสินเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ แต่ถ้าข่าวลือกระจายไปว่าเขาจักรพรรดิสัประยุทธ์กลัวเทพจักรพรรดิอัคคี ชื่อเสียงของเขาจะต้องเสียหายใหญ่หลวง
ดังนั้นจักรพรรดิสัประยุทธ์จึงเม้มปาก ลังเลครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมา ทว่าคำพูดกลับทำให้ผู้คนใจสั่นเลยทีเดียว
“ถ้าข้าบอกว่า…ไม่อยากให้ความสะดวกกับเรื่องนี้ล่ะ?”
บทที่ 1225 เทพจักรพรรดิอัคคีปะทะจักรพรรดิสัประยุทธ์
เมื่อเสียงของจักรพรรดิสัประยุทธ์ดังก้อง
หลายคนก็รู้สึกว่าแผ่นหลังชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ หนังหัวก็ชาหนึบไปหมด แต่ละคนตั้งท่าพร้อมที่จะหนีตลอดเวลา
จักรพรรดิสัประยุทธ์คือยอดยุทธ์แห่งมหาพันภพ ส่วนเทพจักรพรรดิอัคคีเป็นยอดยุทธ์ในตำนาน พวกเขาทั้งสองคนอยู่ในระดับเทียนจื้อจุน ดังนั้นการต่อสู้คงเรียกว่าสะเทือนฟ้าสะท้านปฐพีแท้จริง เวลานั้นดินแดนซีเทียนเล็กได้รับผลกระทบกันถ้วนทั่วแน่นอน
การปะทะในระดับนั้นมาพร้อมพลังทำลายล้างอยู่แล้ว
เมื่อเซียวเหยียนได้ยินคำตอบของอีกฝ่ายก็ยิ้มด้วยดวงตาหรี่ลง “บางครั้งเรื่องแบบนี้ไม่ให้ก็ต้องให้”
แม้ว่าเทพจักรพรรดิอัคคีจะให้ความรู้สึกอ่อนโยนและเป็นอิสระ แต่ช่วงเวลาที่เขาปลดปล่อยอำนาจก็สามารถปราบปรามจักรพรรดิสัประยุทธ์ได้
“โอ้?”
คิ้วของจักรพรรดิสัประยุทธ์เลิกขึ้น ขณะที่แววตาคมชัดจดจ้องที่เซียวเหยียน “ข้าได้ยินมานานแล้วว่าเทพจักรพรรดิอัคคีได้รวบรวมเปลวไปนานาชนิดในใต้หล้าสร้างเพลิงจักรพรรดิ ซึ่งครอบงำอย่างยิ่ง วันนี้อยากจะขอคำชี้แนะซะหน่อย”
ทำไมเขาจะไม่รู้ชื่อเสียงของเทพจักรพรรดิอัคคีได้? บางทีในสายตาของคนอื่นตัวเขาด้อยกว่าเทพจักรพรรดิอัคคี ซึ่งนี่ทำให้เขาไม่สุขใจ เขามีความมั่นใจในตัวเอง ดังนั้นเขาไม่คิดว่าตนเองจะอ่อนแอกว่าอีกฝ่าย
ถ้าเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนคนอื่น บางทีจักรพรรดิสัประยุทธ์คงยอมลงให้บ้าง แต่เนื่องจากนี่เป็นเทพจักรพรรดิอัคคี ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่สามารถปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ
มิฉะนั้นคนอื่นจะบอกว่าเขากลัวชายคนนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาทนไม่ได้
“ข้าก็ได้ยินมานานเกี่ยวกับความสำเร็จของจักรพรรดิสัประยุทธ์ในมหาพันภพ คลื่นหลิงที่สามารถหลอมรวมกับรัศมีจั้นยี่ ไหนๆ วันนี้ก็ได้พบกันแล้ว ข้าขอคำชี้แนะด้วยละกัน” เผชิญหน้ากับคำพูดจักรพรรดิสัประยุทธ์ที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นในการต่อสู้และการท้าทาย เซียวเหยียนก็ยิ้มบาง เขาไม่ได้ปฏิเสธ ตรงกันข้ามกลับยอมรับคำท้าทาย
นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าจากนิสัยของอีกฝ่ายเป็นไปไม่ได้ที่จัดการเรื่องนี้ด้วยวาจา
เมื่อเสียงสิ้นสุดลง เซียวเหยียนก็ยกมือขึ้น เปลวเพลิงงดงามพวยพุ่งออกมาก่อนที่จะรวมตัวบนฝ่ามือ
นี่เป็นเปลวเพลิงที่บรรจุสีสันหลายพันสีที่มีคลื่นพลังน่ากลัว
ทุกคนตกใจเมื่อเห็นเปลวไฟงดงามนี้ พวกเขารู้สึกได้ว่าหากเปลวไฟเหล่านี้ตกใส่ รัศมีหลายแสนลี้จะกลายเป็นมหาสมุทรเพลิง สิ่งมีชีวิตทุกอย่างจะถูกทำลายจนราพณาสูร
เปลวไฟพลุ่งพล่านขึ้น มิติก็พังทลายทีละชิ้น…ละชั้น
เปลวไฟย่อขนาดลงอย่างรวดเร็ว ก่อร่างเป็นดอกบัวอยู่ในมือ
ดอกบัวพร่างพราวมากจนทุกคนที่จ้องมองก็รู้สึกว่าไม่สามารถดึงสายตาออกมาได้
“อย่ามองมาก มิฉะนั้นคลื่นหลิงของพวกเจ้าจะถูกเผาได้” ทันใดนั้นเสียงหัวเราะของเซียวเหยียนก็ดังกึกก้อง ปลุกทุกคนให้ตื่นจากการถูกไฟครอบงำ
เมื่อผู้ชมตื่นขึ้นก็รู้สึกถึงคลื่นความร้อนภายในร่างกาย ใบหน้าแต่ละคนเปลี่ยนไปทันที พลังงานหลิงเดือดปุดแสดงสัญญาณถูกเผาไหม้เป็นไอ
ทุกคนหวาดผวาไม่กล้าที่จะจ้องมองที่ดอกบัวนั่นอีกต่อไป พวกเขาเบนสายตาทันควัน คลื่นหลิงในร่างกายก็เริ่มสงบลง
ทุกคนสูดหายใจเย็นเข้าลึกสุดปอดกับฉากนี้ เทพจักรพรรดิอัคคีทรงพลังแท้จริง แค่เพียงมองพลังงานของเขาก็เกือบจะทำให้คลื่นหลิงของทุกคนถูกแผดเผาไปแล้ว หากไม่ใช่การเตือนของเขา ร่างพวกเขาคงจะลุกเป็นมนุษย์เพลิงไปแล้ว
เซียวเหยียนยิ้มให้จักรพรรดิสัประยุทธ์ จากนั้นก็สะบัดนิ้ว ดอกบัวลอยขึ้นบินไปหาอีกฝ่าย
การเคลื่อนที่ของดอกบัวเอื่อยเฉื่อยมาก แต่ก็ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าไม่สามารถหนีพ้นไปได้ ราวกับว่าเพลิงนี้จะติดตามพวกเขาไป ไม่ว่าจะวิ่งไปที่ใดหรือจะเคลื่อนทะลุผ่านมิติก็ตาม
เมื่อมองไปที่ดอกบัว ใบหน้าของจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ฉายแววความเคร่งขรึม เขารู้สึกถึงการคุกคามจากเปลวไฟ
“ชื่อเสียงของเทพจักรพรรดิอัคคีสมฐานะอย่างแท้จริง!”
จักรพรรดิสัประยุทธ์พึมพำ จากนั้นก็ไม่รอช้ามือประสานกันสร้างตราประทับ แสงสีทองแวววาวก่อร่างเป็นดวงอาทิตย์สีทองลุกโชน ท่ามกลางดวงอาทิตย์เหมือนจะมีร่างเงาคนอยู่
ฮึ่ม!
ดวงอาทิตย์สีทองผันผวนด้วยคลื่นพลังงานหลิงขนาดใหญ่ ทำให้ชั้นฟ้าและชั้นดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น
มู่เฉินจ้องมองดวงอาทิตย์สีทอง สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความแปรปรวนของรัศมีจั้นยี่จากคลื่นหลิงสีทองนั่น
จักรพรรดิสัประยุทธ์สามารถหลอมรวมคลื่นหลิงเข้ากับรัศมีจั้นยี่!
นี่เป็นความสำเร็จที่ไม่น่าเชื่อจริงๆ เนื่องจากรัศมีจั้นยี่มีต้นกำเนิดจากเจตจำนงทรงพลังแตกต่างจากคลื่นหลิงโดยพื้นฐาน แม้ว่ามู่เฉินจะเป็นจั้นเจิ้นซือ แต่เขาก็ไม่สามารถหลอมรวมคลื่นหลิงและรัศมีจั้นยี่เข้าด้วยกันได้อย่างสมบูรณ์แบบเช่นนี้
นั่นเป็นเพราะไม่ว่ารัศมีจั้นยี่จะทรงพลังแค่ไหน แต่ก็ไม่ใช่พลังของเขา
แต่ในตอนนี้จักรพรรดิสัประยุทธ์กลับทำสำเร็จ ดังนั้นมู่เฉินจะไม่ตกใจได้อย่างไร?
ขณะที่มู่เฉินตกตะลึง ดวงอาทิตย์สีทองก็ถักทอเป็นหม้อกลั่นขนาดใหญ่ เงาจำนวนนับไม่ถ้วนสลักอยู่บนนั้น ราวกับว่าเป็นกองทัพหนึ่งเลยทีเดียว
“หม้อกลั่นสงครามไร้พ่าย!”
จักรพรรดิสัประยุทธ์แผดเสียง หม้อสีทองก็พุ่งลงมากลืนกินดอกบัวเพลิงงดงาม
หม้อกลั่นลอยอยู่บนท้องฟ้าพร้อมกับเสียงคำรามนับไม่ถ้วนดังก้องออกมา
“หม้อกลั่นของข้ามีกองทหารนับล้าน ยิ่งเมื่อรวมเข้ากับพลังงานหลิง แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็จะติดอยู่ข้างใน” เสียงของจักรพรรดิสัประยุทธ์ดังขึ้นอย่างภาคภูมิ
“ไม่ธรรมดาจริงๆ” เซียวเหยียนพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะยิ้ม “แต่แม้ว่าหม้อใหญ่นั่นจะทรงพลัง แต่ก็ไม่สามารถทนความร้อนจากเพลิงได้…”
ทันใดนั้นทุกคนก็แหงนมองเงาบนหม้อกลั่นที่เริ่มหายไปด้วยเพลิงที่คืบคลานเข้าไปอย่างรวดเร็ว แสงสีทองไร้ขอบเขตราวกับหิมะที่ถูกไฟละลาย
จักรพรรดิสัประยุทธ์หดตาแคบลงกับภาพนี้
ฟู่ ฟู่!
เพลิงพวยพุ่งอย่างต่อเนื่อง อึดใจถัดมาของเหลวสีทองในหม้อกลั่นก็รั่วไหล
โห่
ความโกลาหลแผ่กระจายขณะที่ทุกคนตกใจ ไม่มีใครคิดว่าการต่อสู้ระหว่างจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสองคนจะแสดงผลลัพธ์รวดเร็วขนาดนี้
ยามนี้กระทั่งพวกเขาก็บอกได้ว่าเพลิงจักรพรรดิของเทพจักรพรรดิอัคคีครอบงำมากกว่า
จักรพรรดิสัประยุทธ์อึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะมองเทพจักรพรรดิอัคคีด้วยสายตาที่ซับซ้อน “ที่แท้เจ้าไปถึงระดับนั้นแล้ว…”
การปะทะระหว่างทั้งสองไม่มีฉากทำลายล้างเหมือนที่ทุกคนคิด แต่ทันทีที่ผลการต่อสู้เผยออกมา จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็รู้ว่าตนเองไม่สามารถเอาชนะเทพจักรพรรดิอัคคีได้
“ทรงพลังอย่างแท้จริง…ไม่น่าแปลกใจแม้แต่หมัวเฮอเทียนเผ่าหมัวเฮอก็ไม่สามารถทำอะไรเจ้าได้”
“ก็แค่ชนะแบบเส้นยาแดงผ่าแปดน่ะ” เซียวเหยียนไม่แสดงอาการเย่อหยิ่งขณะที่ยิ้มบาง
จักรพรรดิสัประยุทธ์โบกแขนเสื้อ “แพ้ก็คือแพ้ ข้าจะไม่เอาเรื่องกับตระกูลลั่วเสินอีก”
เซียวเหยียนมองไปที่จักรพรรดิสัประยุทธ์พลางยิ้มให้ “เจ้าลืมมู่เฉินไปรึเปล่า”
เซียวเหยียนเป็นใคร จะไม่รู้ความหมายเบื้องหลังคำพูดจักรพรรดิสัประยุทธ์ได้อย่างไร เขาพูดเพียงว่าไม่เอาเรื่องกับตระกูลลั่วเสิน แต่เขาไม่ได้รวมกลุ่มมู่เฉินไปด้วย
จักรพรรดิสัประยุทธ์ขมวดคิ้ว “เจ้าหนุ่มนั่นพาสมาชิกตำหนักมู่เข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องของทวีปซีเทียน ไม่เคารพต่อตำหนักซีเทียน ข้าจะไม่ลงโทษเขาได้ยังไง?”
เซียวเหยียนไม่โกรธกลับยิ้ม “หยุดทำเรื่องยุ่งยากซะ มู่เฉินไว้หน้าเจ้าโดยการแค่เชิญข้ามา”
ตอนที่เขาพูด ไม่เพียงแต่จักรพรรดิสัประยุทธ์จะขมวดคิ้ว แม้แต่คนอื่นก็งงไปตามกัน
“ฮ่าๆ เป็นเกียรติที่เทพจักรพรรดิอัคคีมาที่ทวีปซีเทียนของข้า” จักรพรรดิสัประยุทธ์เค้นเสียงเย็น เห็นชัดว่าคิดว่าเซียวเหยียนกำลังโอ้อวดตนเอง
เซียวเหยียนส่ายหัวด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะชี้ไปที่มู่เฉิน “มู่เฉินมีวัตถุอีกชิ้นที่สามารถเชิญผู้ช่วยคนอื่นได้ คนที่มีแค้นฝังลึกกับเจ้า ข้าเชื่อว่าเจ้าคงไม่ต้องการเห็นคนคนนั้น”
“โอ้?” จักรพรรดิสัประยุทธ์ยิ้มด้วยดวงตาหรี่ลง “งั้นข้าคนนี้ขอทราบหน่อยว่าใครในมหาพันภพที่ข้าไม่อยากเห็นหน้า?”
เซียวเหยียนจ้องไปที่จักรพรรดิสัประยุทธ์ด้วยรอยยิ้มที่ลึกล้ำตอบอย่างช้าๆ ว่า “เทพจักรพรรดิสงคราม—หลินต้ง”
เมื่อเขาพูดจบทุกคนก็เห็นใบหน้าของจักรพรรดิสัประยุทธ์มืดครึ้มลงทันที
บทที่ 1226 ความแค้น
“เทพจักรพรรดิสงคราม—หลินต้ง”
ทุกคนเห็นใบหน้าของจักรพรรดิสัประยุทธ์เปลี่ยนเป็นดำมืด เมื่อเทพจักรพรรดิอัคคีพูดชื่อนั้นออกมา ก่อนที่พวกเขาจะแลกสายตากันด้วยความสงสัย
โดยธรรมชาติพวกเขารู้เรื่องเกี่ยวกับเทพจักรพรรดิสงคราม เนื่องจากเขาเป็นหนึ่งในจอมยุทธ์ไม่กี่คนในมหาพันภพที่ถือได้ว่าเทียบเท่ากับเทพจักรพรรดิอัคคี
ตำนานประวัติของเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเทพจักรพรรดิอัคคี
เทพจักรพรรดิสงครามหลินต้งมีต้นกำเนิดมาจากพิภพเขตล่าง แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงก็คือเขาเป็นผู้นำกองทัพจอมยุทธ์ของโลกใบนั้นขับไล่การรุกรานของเผ่าปีศาจยี่หมัว ซึ่งเป็นหนึ่งเผ่าของจักรวรรดิปีศาจ
แม้ว่าเผ่าปีศาจเผ่านั้นจะไม่ถือว่ายิ่งใหญ่ แต่ก็ทรงพลังพอที่จะกวาดล้างพิภพเขตล่าง ทว่าสุดท้ายทั้งหมดกลับตายด้วยฝีมือของหลินต้ง ดังนั้นทุกคนจะไม่ตกใจกับข้อมูลที่รู้มานี่ได้ยังไง?
หลังจากนั้นที่มาถึงมหาพันภพ หลินต้งก็ท้าทายเผ่าเทพน้ำแข็งและสถาปนาแคว้นหวูซึ่งกลายเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจสูงสุดในมหาพันภพ เรื่องราวของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าเทพจักรพรรดิอัคคีเลย
ทว่าแม้เทพจักรพรรดิสงครามจะเป็นตำนานเช่นกัน แต่เขาก็น่าจะอยู่ในระดับเดียวกันกับเทพจักรพรรดิอัคคี ทุกคนจึงได้แต่งงว่าทำไมเทพจักรพรรดิอัคคีถึงบอกว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด ถ้าเทพจักรพรรดิสงครามมาที่นี่แทนเขา
มู่เฉินและลั่วหลี่ก็แลกเปลี่ยนสายตากันชั่วแวบหนึ่ง
“ย้อนกลับไปตอนที่หลินต้งมุ่งหน้าไปยังเผ่าเทพน้ำแข็ง เขาต้องการยืมรูปปั้นเทพน้ำแข็งเพื่อชุบชีวิตฮูหยินของเขา ทว่าเผ่าเทพน้ำแข็งปฏิเสธอย่างไม่ไยดี ซ้ำยังเชิญจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนถึงสามคนไปช่วย หนึ่งในนั้นก็คือจักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียน”
เสียงเบาหวิวของเซียวเหยียนสะท้อนขึ้นในโสตประสาทของมู่เฉินและลั่วหลี
“จักรพรรดิสัประยุทธ์มีชื่อเสียงเรื่องหลงใหลความงาม ดังนั้นเมื่อเขาเห็นจิตวิญญาณของฮูหยินหลินต้ง เขาจึงขอนางกับเผ่าเทพน้ำแข็ง…”
“แต่เขามั่นใจในตัวเองเกินไป ซ้ำยังดูถูกหลินต้งที่มาจากพิภพเขตล่าง ดังนั้นเขาจึงบอกเรื่องนี้กับหลินต้งด้วยและให้อีกฝ่ายยอมถอยกลับไป”
เมื่อมู่เฉินได้ยินเรื่องนี้หางตาก็กระตุก เนื่องจากเคยได้พบกับหลินต้งมาก่อน จึงรู้ว่าเขาเป็นคนประเภทที่น่าเกรงขามขนาดไหน ดังนั้นเขาจะยอมปล่อยเรื่องนี้ไปได้อย่างไรในเมื่อจักรพรรดิสัประยุทธ์กล้าพูดคำเหล่านั้นต่อหน้าเขา?
ตามคาดเสียงของเซียวเหยียนยังคงเล่าต่อไป “ฮ่าๆ หลินต้งถึงกับเลือดเดือด จากนั้นก็พุ่งชนค่ายกลของเผ่าเทพน้ำแข็ง ทำให้ผู้อาวุโสของเผ่าได้รับบาดเจ็บหนัก จากนั้นเขาก็เข้าต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสามคนด้วยตัวเองเป็นเวลาสามวันสามคืน บีบให้สองในสามต้องหลบหนี ขณะไล่ล่าจักรพรรดิสัประยุทธ์ตลอดทั้งเดือน…”
“จากนั้นเป็นต้นมาจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็จะหลบเลี่ยงทุกที่ที่เทพจักรพรรดิสงครามไป กระทั่งตำหนักซีเทียนก็ตั้งออกมาไกลจากแคว้นหวู ถ้าคนที่เจ้าเชิญมาเป็นเทพจักรพรรดิสงครามละก็ คงเป็นเรื่องยากสำหรับจักรพรรดิสัประยุทธ์ที่จะอยู่อย่างสันติสุขอีกต่อไป”
มู่เฉินอ้าปากค้าง ที่แท้นี่ก็คือความแค้นที่เซียวเหยียนกล่าวถึง…
ในที่สุดมู่เฉินก็เข้าใจว่าเหตุใดใบหน้าของจักรพรรดิสัประยุทธ์จึงบิดเบี้ยวไม่น่าดูเมื่อได้ยินชื่อของเทพจักรพรรดิสงคราม สำหรับประโยคสุดท้ายที่เซียวเหยียนกล่าวมานั้น เขาเห็นด้วยอย่างยิ่ง
ท้ายที่สุดเทพจักรพรรดิอัคคีและจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ไม่ได้มีความขุ่นเคืองใดๆ แก่กัน ดังนั้นตราบใดที่เรื่องราวไม่ได้ใหญ่โต พวกเขาก็ไม่คิดต่อสู้กันจริงจัง อย่างมากก็พยายามทำให้อีกฝ่ายถอยกลับ
หากเขาเชิญเทพจักรพรรดิสงครามมา สถานการณ์ก็จะแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง ด้วยนิสัยของหลินต้งที่ถือว่าบุญคุณต้องทดแทนแค้นต้องชำระ คงม้วนแขนเสื้อแล้วพุ่งเข้าใส่จักรพรรดิสัประยุทธ์ไม่ยั้งตั้งแต่เจอหน้า
ในเวลานั้นจักรพรรดิสัประยุทธ์คงไม่ได้เผชิญหน้ากับวิธีอ่อนโยนของเทพจักรพรรดิอัคคี ต่อให้จักรพรรดิสัประยุทธ์ต้องการถอย เทพจักรพรรดิสงครามก็ไม่ให้ถอยไปแน่นอน…
คงหลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับการต่อสู้ครั้งใหญ่
นอกจากนี้ผลลัพธ์สุดท้ายน่าจะจบลงด้วยจักรพรรดิสัประยุทธ์ถูกตอกจนหน้าหงาย เพราะขนาดในอดีตเทพจักรพรรดิสงครามยังสามารถไล่ล่าจักรพรรดิสัประยุทธ์ตลอดทั้งเดือน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนนี้ที่พลังล้ำลึกยิ่งกว่าเดิม
มู่เฉินกับลั่วหลีแลกเปลี่ยนสายตาก็เห็นแววดีใจของอีกฝ่าย ถ้าสิ่งนั้นเกิดขึ้นจริงตระกูลลั่วเสินอาจติดร่างแห เว้นแต่ว่าเทพจักรพรรดิสงครามจะสังหารจักรพรรดิสัประยุทธ์ซะ
ขณะที่เซียวเหยียนอธิบายให้พวกเขาฟัง ใบหน้าที่ดำคล้ำของจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ดีขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนที่จะพูดเสียงเหี้ยมว่า “ต่อให้ไอ้เด็กนั่นจะเชิญเทพจักรพรรดิมาได้ แต่ข้าคนนี้ก็ไม่กลัวเขา!”
ทว่าแม้เขาจะพูดอย่างแข็งขัน แต่ทุกคนก็ได้ยินเสียงแปลกๆ แฝงในน้ำเสียง กระทั่งเสียงที่เคยหนักแน่นก็ไม่หนักเมื่อเทียบกับก่อนหน้า
ครั้งนี้เซียวเหยียนให้หน้ากับเขา เนื่องจากพวกเขาไม่ได้มีความแค้นต่อกัน แต่ถ้าเป็นหลินต้งมาถึงอาจจะไม่มีการพูดคุยอะไรสักคำ จากนั้นก็พับแขนเสื้อเข้าโรมรันพันตูกันทันที หากไม่ได้รับการจัดการที่ถูกต้อง อาจทำให้เกิดสงครามระหว่างแคว้นหวูกับตำหนักซีเทียน ซึ่งจะเป็นเรื่องใหญ่เลยทีเดียว
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มู่เฉิน เจ้าช่วยเชิญเทพจักรพรรดิสงครามมาหน่อยเถอะ ข้าเชื่อว่าเมื่อเขามา เขาจะชดเชยบุญคุณให้เจ้าทันทีแน่นอน” เซียวเหยียนยิ้ม
มู่เฉินกำกำปั้นทันที หินสลักอักขระปรากฏขึ้น เขาทำท่าตั้งใจที่จะบดขยี้ลง
“เดี๋ยวก่อน!”
แต่ขณะที่มู่เฉินกำลังจะบดขยี้ลงไป เสียงคำรามก็ดังขึ้น ทำเอามู่เฉินรู้สึกหนังหัวชาไป เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นใบหน้าของจักรพรรดิสัประยุทธ์สลับสีเขียวกับขาวก่อนที่จะกัดฟันพูด “ได้ ครั้งนี้ข้าเห็นแก่เทพจักรพรรดิอัคคี ไม่เอาเรื่องที่เจ้าเด็กนี่ไร้มารยาทก็ได้!”
ทุกคนรู้สึกโล่งใจกับคำพูดของจักรพรรดิสัประยุทธ์ แม้เป็นเรื่องยากที่จะเกิดการต่อสู้ระหว่างระดับเทียนจื้อจุน แต่พวกเขาไม่ต้องการเป็นพยาน เพราะนั่นเท่ากับจะได้รับผลกระทบจากการต่อสู้แน่นอน
ทว่าตอนนี้ก็มีหลายคนที่มองมู่เฉินด้วยสายตาหวาดผวา จากการสนทนานี้พวกเขารู้ว่าไม่เพียงแต่มู่เฉินจะสามารถเชิญเทพจักรพรรดิอัคคีมาได้ เขายังสามารถเชิญเทพจักรพรรดิสงครามมาได้ด้วย…
ตำนานมีชีวิตทั้งสองของมหาพันภพมีความสัมพันธ์กับเขา!
ความสัมพันธ์ที่มีน่ากลัวอะไรเพียงนี้?!
เสี่ยหลิงจื่อและพรรคพวกหน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดใหญ่ ขณะนี้เมื่อพวกเขามองดูมู่เฉิน พวกเขาก็รู้สึกว่าชายหนุ่มคนนี้ทั้งลึกล้ำและไม่อาจหยั่งรู้ได้ ไม่ควรที่จะไปแตะต้องและยั่วยุ
กลุ่มอื่นๆ ที่มองตระกูลลั่วเสินก็สงบความประสงค์ร้ายในใจลง พวกเขารู้ว่าหลังจากวันนี้คงไม่มีใครกล้ามาแหยมตระกูลลั่วเสิน แม้กระทั่งตำหนักซีเทียน
เพราะเซียวเหยียนได้บอกอย่างชัดเจนแล้วว่าเขามีความสัมพันธ์อันดีต่อตระกูลลั่วเสิน ถ้าใครหน้าไหนกล้าที่จะแตะต้องตระกูลลั่วเสินก็หมายถึงการไม่ไว้หน้าเทพจักรพรรดิอัคคี ในเวลานั้นบางทีแคว้นหวู่จิ้งฮั่วอาจจะแสดงความหมายของคำว่าหวาดกลัวให้ได้ดู
ไม่ต้องพูดถึงที่มู่เฉินมีความสัมพันธ์กับลั่วหลี ด้วยการมีพันธมิตรเหนียวแน่นเช่นนี้ ตระกูลลั่วเสินจะปลอดภัยจากความล่มสลาย ยิ่งเมื่อลั่วหลีได้รับมรดกของเทพธิดาลั่วเสิน ศักยภาพของตระกูลลั่วเสินก็ไม่สามารถหยุดยั้งได้
“จักรพรรดิสัประยุทธ์ใจกว้างมาก”
เซียวเหยียนชื่นชมก่อนที่จะพูดบางอย่างขึ้น “แต่ข้ามีเรื่องอื่นอีก”
จักรพรรดิสัประยุทธ์ขมวดคิ้ว ท่าทางมืดครึ้มลงก่อนที่จะถามว่า “เรื่องอะไร?”
เซียวเหยียนยิ้ม “จากสายข่าวของข้า เวลาของนักรบทวีปกำลังจะมาถึงในไม่ช้าใช่ไหม?”
ใบหน้าของจักรพรรดิสัประยุทธ์เปลี่ยนไปทันที เขามองไปที่เซียวเหยียนด้วยความระมัดระวัง “นี่เกี่ยวอะไรกับเจ้า?”
นักรบทวีปเป็นชื่อฉายาที่ได้รับจากมหาพันภพ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของผู้ที่จะไปถึงระดับเทียนจื้อจุน ตามการประเมินปกติจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนส่วนใหญ่ในมหาพันภพเคยได้รับตำแหน่งนี้ในอดีต
ว่ากันว่าทวีปที่ทรงพลังมีพลังงานอันเป็นเอกลักษณ์ นั่นก็คือพลังงานทวีป ซึ่งเป็นพลังมหัศจรรย์ที่ไม่เพียงแต่สามารถเปลี่ยนแปลงร่างกาย ยังสามารถสร้างรากฐานให้สมบูรณ์แบบ ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือยอมให้ผู้แข่งขันเปรียบได้กับสวรรค์มากขึ้น ให้โอกาสสูงกว่าในการเข้าถึงระดับเทียนจื้อจุน
ซึ่งเป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของจอมยุทธ์ทุกคนในระดับตี้จื้อจุน
แต่พลังงานทวีปสามารถใช้งานได้โดยจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้น ดังนั้นนักรบทวีปส่วนใหญ่จะปรากฏตัวเฉพาะในทวีปที่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน สำหรับทวีปเทียนหลัวแม้จะเป็นหนึ่งในมหาทวีป แต่ก็ไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ดังนั้นหลายปีที่ผ่านมาจึงไม่มีนักรบทวีปปรากฏขึ้น
แต่ทวีปซีเทียนต่างออกไป เนื่องจากการดำรงอยู่ของจักรพรรดิสัประยุทธ์ จอมยุทธ์ทุกคนที่เป็นสมาชิกตำหนักซีเทียนล้วนมีคุณสมบัติที่จะต่อสู้ เพื่อชิงสิทธิ์ของการเป็นนักรบทวีป
นักรบทวีปทุกคนจะมีศักยภาพและสามารถก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนในอนาคต ดังนั้นจึงเป็นทรัพยากรที่มีค่าสำหรับขั้วอำนาจต่างๆ นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมจักรพรรดิสัประยุทธ์จึงตั้งระวังเมื่อเขาได้ยินเซียวเหยียนถามถึงนักรบทวีปนี้
เมื่อเซียวเหยียนเห็นใบหน้าตื่นตัวของอีกฝ่ายก็ยิ้มพลางชี้ไปที่มู่เฉิน
“ข้าต้องการตำแหน่งสำหรับมู่เฉินเพื่อลงชิงชัยในการแข่งขันนี้สำหรับทวีปซีเทียน…”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น