หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1219-1222
บทที่ 1219 ไม่เป็น?
ปากหลุมขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นในแม่น้ำลั่ว
ซึ่งตัดการไหลผ่านของน้ำไป เสื้อผ้าของเสี่ยโส่วขาดรุ่งริ่ง ขณะที่นอนพะงาบในหลุม คลื่นหลิงดิ่งลง เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส
ส่วนเสี่ยถงก็ยังนอนพังพาบอยู่อีกมุมหนึ่งของแม่น้ำ ซึ่งดูน่าสมเพชพอกัน
ขณะนี้หมอกเลือดที่เกิดจากร่างเสี่ยยีก็จางหายไปหมดแล้ว…
ทั้งเมืองเงียบกริบ ทุกคนอ้าปากตาค้างกับฉากนี้ ขณะนี้ไม่ว่าตระกูลเสี่ยเสินหรือตระกูลลั่วเสิน แม้กระทั่งจอมยุทธ์คนอื่นๆ ที่เฝ้าดูการต่อสู้ ทุกคนต่างสูดหายใจเข้าลึกในใจด้วยความหวาดกลัว
นั่นเป็นเพราะความสำเร็จนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว
ด้วยตัวคนเดียวมู่เฉินสามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนสามคน ฆ่าไปคนหนึ่งและบาดเจ็บหนักสองคน!
ยามนี้พวกเขายอมที่จะเชื่อว่ามู่เฉินเป็นระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายที่ซ่อนความแข็งแกร่งไว้ แต่ความจริงก็ย่อมโหดร้าย ถ้ามู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายตัวจริง พวกจอมยุทธ์ตระกูลเสี่ยทั้งสามคงไม่กล้าท้าทาย แม้จะให้ความกล้ากับพวกเขาเพิ่มขึ้นก็ตาม…
ดังนั้นความจริงคือมู่เฉินผู้สร้างผลงานชิ้นโบแดงสำเร็จเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นเหมือนกับทั้งสามคนนั่น!
ทุกคนมองไปที่มู่เฉินด้วยดวงตาที่เริ่มฉายแววเคารพยำเกรง
มู่เฉินแสดงสีหน้านิ่งสงบ เขาไม่ได้รู้สึกดีใจมากแม้จะประสบความสำเร็จ ราวกับว่าควรจะเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว
ถ้าเป็นในอดีตหลายคนอาจรู้สึกว่าเขาอวดเก่ง แต่หลังจากบรรลุผลดังกล่าวทุกคนรู้สึกว่าความสงบของเขาลึกซึ้งและไม่อาจหยั่งรู้ได้
ท่ามกลางความเงียบสงบในทั่วฟ้าดิน แม้แต่จอมยุทธ์ตระกูลลั่วเสินยังมองร่างเงานั้นด้วยความสุขในส่วนลึกของดวงตา
เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์นี้เกินความคาดหมายพวกเขาไปมาก
ตอนแรกพวกเขาคิดว่ามู่เฉินจะถูกสังหารโดยจอมยุทธ์ตระกูลเสี่ยเสินทั้งสาม แต่สุดท้ายกลับเป็นตระกูลเสี่ยเสินที่พ่ายแพ้ นี่เป็นแสงความหวังสำหรับพวกเขาที่สิ้นหวังไปก่อนหน้า
บางทีชายหนุ่มที่มีความสัมพันธ์พิเศษกับจักรพรรดินี อาจสามารถกอบกู้ตระกูลลั่วเสินได้จริงๆ
ลั่วซิวและลั่วชิงหยาแลกเปลี่ยนสายตากัน ยามนี้พวกเขาหมดแรงจูงใจในการแข่งขัน พวกเขาหวังอย่างแท้จริงว่ามู่เฉินจะช่วยลั่วหลีพาตระกูลลั่วเสินออกจากสถานการณ์สิ้นหวังนี้ได้
บางทีพวกเขาอาจมีข้อสงสัยก่อนหน้านี้ แต่ในเวลานี้พวกเขาเชื่อว่ามู่เฉินสามารถทำได้…
บนเจดีย์ ลูกกระเดือกของเหล่าผู้อาวุโสตำหนักมู่ก็ขยับขึ้นลงอย่างไม่สามารถควบคุมได้ เมื่อพวกเขามองไปที่เสี่ยถงและเสี่ยโส่วซึ่งบาดเจ็บหนัก
จากนั้นก็มองมู่เฉินอีกครั้งด้วยความเคารพที่มีในระดับเดียวกับมั่นถัวหลัว ขณะนี้พวกเขามั่นใจในความแข็งแกร่งของมู่เฉินแล้ว
นั่นเป็นเพราะพลังที่มู่เฉินแสดงออกมาทำให้พวกเขายำเกรง ยิ่งกว่านั้นมู่เฉินยังอ่อนเยาว์มากซึ่งหมายความว่าเขามีศักยภาพในการเติบโตขึ้นไปอีก
ดังนั้นพวกเขาจึงเชื่อว่าในอนาคต มู่เฉินจะไปได้ไกลกว่ามั่นถัวหลัว ในเวลานั้นตำหนักมู่ก็จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากเจ้าตำหนักอย่างมู่เฉิน
และพวกเขาก็สามารถพึ่งพามู่เฉินเพื่อให้ได้ตำแหน่งและทรัพยากรอย่างคาดไม่ถึง
“ประมุขมู่เป็นอัจฉริยะที่ได้รับพรจากสวรรค์มีศักยภาพเหลือล้น ในอนาคตเราทุกคนจะต้องดีใจสำหรับการเลือกนี้” หลิ่วเทียนเต้าถอนหายใจด้วยความเคารพ
ครั้งนี้เขาเรียกมู่เฉินว่าประมุขจากส่วนลึกของหัวใจ
เมื่อคนอื่นๆ เห็นว่าหลิ่วเทียนเต้ายอมแพ้กับความกินแหนงแคลงใจที่มีต่อมู่เฉิน กระทั่งเอ่ยประจบสอพอขึ้น แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกไม่ชอบใจ แต่ถึงจะมีความคิดนี้ในใจพวกเขาก็ยังพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของหลิ่วเทียนเต้า
พอเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นริมฝีปากของมั่นถัวหลัวก็โค้งขึ้น เนื่องจากนางรู้ว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ตาเฒ่าเหล่านี้จะยอมรับมู่เฉินได้อย่างแท้จริง
นั่นหมายความว่าจากนี้พวกเขาจะสละความเย่อหยิ่งและเคารพมู่เฉินในฐานะผู้นำ จนยอมสวามิภักดิ์ทั้งใจกาย…
“เจ้าหนูนี่…”
ภายใต้สายตาตกใจมากมาย ลั่วเทียนเสินก็อึ้งไปขณะมองแม่น้ำลั่วที่มีสภาพวุ่นวายก่อนที่จะหันไปมองมู่เฉินด้วยสายตาซับซ้อน
เขาตกตะลึงมากกับความสำเร็จนี้เช่นกัน
ด้วยขุมพลังที่เหมือนกัน มู่เฉินสามารถสังหารไปคนหนึ่ง อีกสองคนก็บาดเจ็บหนัก ผลลัพธ์ดังกล่าวเพียงพอที่จะทำให้ทุกคนพูดไม่ออก
เกี่ยวกับเรื่องนี้ลั่วเทียนเสินรู้สึกถึงความซับซ้อนที่สุดในหัวใจ เพราะเขาเคยได้เห็นว่ามู่เฉินอ่อนแอและไร้ประโยชน์แค่ไหนเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา
แต่ในเวลานั้นลั่วเทียนเสินก็สามารถบอกได้ถึงความดื้อรั้นและความเพียรที่ชายหนุ่มมี
ตอนนั้นเขารู้สึกได้เลือนรางว่ามู่เฉินน่าจะเติบโตอย่างทรงพลัง…
และเป็นอย่างที่คาดไว้มู่เฉินเติบโตอย่างแกร่งกล้า แต่ที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงคือมู่เฉินจะสามารถบรรลุผลได้รวดเร็วเพียงนี้…
เขาใช้เวลาไปเพียงสี่ปี!
ชายหนุ่มที่ไม่แม้แต่จะก้าวเข้าสู่ระดับจื้อจุนในตอนนั้นกลับพุ่งแรงยิ่งกว่าดาวฤกษ์ก้าวเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุน นอกจากนี้ยังมีทักษะและความแข็งแกร่งที่ทรงพลังเช่นนี้อีกด้วย!
เมื่อมองไปทางมู่เฉิน แม้แต่คนอย่างลั่วเทียนสินยังผวาหน่อยๆ เขารู้สึกโชคดีที่ไม่ได้ขัดขาหรือรังแกชายหนุ่มคนนี้มากเมื่อตอนที่อ่อนแอ มิฉะนั้นเขาจะถูกวางให้อยู่ในตำแหน่งที่น่าอึดอัดใจ
“ยอมมีเรื่องกับตาแก่ ดีกว่ามีเรื่องกับเด็กหนุ่ม” ลั่วเทียนเสินถอนหายใจด้วยอารมณ์หนักหน่วง
เนื่องจากความสำเร็จของมู่เฉิน จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทั้งสามคนของตระกูลสาขาก็หยุดชะงักไปเช่นกัน พวกเขาต่างเห็นความกลัวบนใบหน้าของกันและกัน เมื่อมองดูสภาพของเสี่ยถงและเสี่ยโส่ว
“ฮ่าๆ น่าเกรงขามอะไรอย่างนี้!”
ดวงตาของลั่วเทียนหลงแจ่มใส เขาระเบิดเสียงหัวเราะร่วน “ไม่น่าแปลกใจเลยที่ลั่วหลีรักอย่างมั่นคง สายตาของนางไม่ธรรมดาเหมือนกับพรสวรรค์เลย!”
ในขณะที่พูดก็มองไปที่ผู้อาวุโสทั้งสามพลางเย้ยหยันอย่างเยือกเย็น “ดูเหมือนต้นขาของตระกูลเสี่ยเสินไม่ได้หนาอย่างที่แกคิดไว้นะ”
ทั้งสามคนนั้นแสดงออกด้วยท่าทางน่าเกลียด แต่ก็ยังพูดอย่างไม่ยอมแพ้ “ต่อให้เด็กเหลือขอนั่นจะทรงพลัง แต่ตอนนี้ก็คงถึงขีดสุดแล้ว”
ลั่วเทียนหลงล้อเลียนด้วยรอยยิ้ม ไม่ใส่ใจพวกเขาอีก สายตามองไปที่มู่เฉินด้วยความพอใจอย่างยิ่ง วิธีการของชายหนุ่มถูกใจเขามากเลยทีเดียว
ทุกคนต่างตกตะลึงชื่นชมไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะหันมองไปที่เสี่ยหลิงจื่อที่ตอนนี้ใบหน้ามืดมนลงหลายส่วนพร้อมกับรังสีสังหารวาบขึ้นในดวงตาขณะจ้องเขม็งไปที่มู่เฉิน
ร่างกายของเขาสั่นเทิ้ม ทุกคนสามารถจินตนาการได้ถึงความโกรธในใจเขา
“ไอ้ขี้กลาก! ขยะสามชิ้น! ถูกเด็กเหลือขอซัดจนถึงจุดนี้ พลังที่พวกแกฝึกฝนไปอยู่ในร่างสุนัขหมดเลยเรอะ?!”
เสี่ยหลงจื่อขบฟันขณะที่คำราม ความโกรธแค้นถูกระบายไปที่เสี่ยถงและเสี่ยโส่ว ซึ่งทำให้ทั้งสองละอายใจนัก
ทั้งสองคนตัวสั่นสะท้าน พวกเขารู้ว่าคงมีแต่เสียงหัวเราะเยาะเย้ยในอนาคตหากมีข่าวว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนสามคนพุ่งชนมู่เฉินแต่สุดท้ายกลับล้มเหลว ตายหนึ่งคน บาดเจ็บสองคน
“พวกเจ้าลงมือให้หมดฆ่าไอ้เด็กเหลือขอนั่น!”
สายตาของเสี่ยหลิงจื่อมืดมน เขาไม่เพียงแต่มองไปที่เสี่ยถงและเสี่ยโส่งเท่านั้น ยังหมายรวมไปที่จอมยุทธ์อีกสองคนของตระกูลเสี่ยเสินด้วย
ถึงแม้ใบหน้าจะซีดเซียว เสี่ยถงและเสี่ยโส่วก็ยังตะเกียกตะกายยืนขึ้นอย่างช้าๆ
“และพวกแกด้วย สามคนยังจัดการคนเดียวไม่ได้ หากไม่ต้องการมีชีวิตแล้ว ข้าจะช่วยสนองให้!” เสี่ยหลิงจื่อหันกลับมาอย่างเย็นชาขณะที่มองผู้อาวุโสทั้งสามของตระกูลลั่วเสินสาขา
“ไปจัดการพร้อมกัน หากไอ้เด็กเหลือขอนั่นไม่ตาย วันนี้พวกแกลงนรกแทนแน่!”
เมื่อได้ยินคำพูดนั่น ทั้งสามคนก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นไม่น่าดูอย่างยิ่ง พวกเขารู้สึกถึงไอสังหารในสายตาของเสี่ยหลิงจื่อ ทว่าพวกเขาก็ไม่กล้าที่จะลบล้างคำพูดเหล่านั้น ทำได้เพียงขบฟัน ก่อนสองคนจะแยกไปปรากฏข้างๆ เสี่ยถงและเสี่ยโส่ว
จอมยุทธ์อีกสองคนของตระกูลเสี่ยเสินก็มาถึงเช่นกัน ทีนี้ก็มีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นเตรียมประจัญบานกับมู่เฉินถึงหกคน
แม้ว่าเกือบครึ่งหนึ่งของพวกเขาจะได้รับบาดเจ็บ การรวมตัวนี้ก็ยังคงน่ากลัว
โห!
เผชิญหน้ากับวิธีไร้ยางอายของตระกูลเสี่ยเสิน ความวุ่นวายก็เกิดขึ้นในเมืองลั่วเสิน บางขั้วอำนาจที่เฝ้าดูสิ่งนี้ก็ได้แต่สาปแช่ง ตระกูลเสี่ยเสินละทิ้งใบหน้าของพวกเขาอย่างสมบูรณ์แล้ว…
จอมยุทธ์ตระกูลลั่วเสินกัดฟันกรอด แต่ก็ไม่มีอะไรที่พวกเขาสามารถทำได้
“ผู้ชนะคือกฎ หากมัวใส่ใจกับมุมมองของคนอื่น ตระกูลเสี่ยเสินก็จะไม่มีโอกาสลุกขึ้นแล้ว”
ทว่าเสี่ยหลิงจื่อไม่ได้ใส่ใจกับสายตามากมายขณะที่เอ่ยเยาะเย้ย เขามองมู่เฉินอย่างโหดเหี้ยม “ไอ้หนู แกมีไพ่ตายเยอะไม่ใช่เรอะ? มาลองใหม่อีกสิ หากสามารถเอาชนะพวกเขาทั้งหมดตระกูลเสี่ยเสินจะยอมจำนนต่อตระกูลลั่วเสินเลย!”
มู่เฉินยิ้มอ่อน “หมาในเหมือนแกฆ่าให้ตายเลยจะดีกว่า ไม่ต้องมาจำนนอะไรหรอก”
“ดื้อด้าน รนหาที่ตาย!” สายตาของเสี่ยหลิงจื่อเย็นชาลง
มู่เฉินยักไหล่ก่อนที่จะมองไปที่จอมยุทธ์ทั้งหกคนพลางแย้มยิ้ม “แกแน่ใจหรือว่าวันนี้ข้าจะเป็นคนตาย?”
“โอ้?” มุมโค้งเย้ยหยันผุดขึ้นที่มุมปากของเสี่ยหลิงจื่อ “แกสามารถรับมือกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนหกคนได้เชียวรึ?”
มู่เฉินยิ้มด้วยดวงตาที่หรี่ลงขณะมองคนทั้งหกพูดขึ้นว่า “ดูเหมือนแกจะลืมสิ่งที่ข้าพูดไปแล้ว”
เสี่ยหลิงจื่อขมวดคิ้ว เค้นเสียงเย็น “อะไร? แกยังแกล้งทำอยู่เหรอ?”
มู่เฉินหลุบตาลงตอบเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าชื่อมู่เฉินเป็นประมุขตำหนักมู่”
เสี่ยหลิงจื่อหัวเราะเสียงเย็นเยือก “ตำหนักมู่อะไร ไม่เคยได้ยินมาก่อน”
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นยิ้มกว้าง เมื่อเห็นท่าทางอีกฝ่ายเสี่ยหลิงจื่อก็รู้สึกไม่สบายใจทันที
“ในเมื่อข้าเป็นประมุข แกคิดว่าทั้งสำนักมีข้าคนเดียวรึ?”
“กำลังเสริม แกคิดว่าข้าเรียกไม่เป็นรึไง?”
พูดจบมู่เฉินก็ยกมือขึ้นแล้วกวาดลงเบาๆ
เมื่อมือของเขากวาดลง ทุกคนก็เห็นห้วงมิติบิดเบือนรอบตัวมู่เฉิน ร่างเงาจำนวนหนึ่งที่มาพร้อมกับความผันผวนของพลังงานที่ไร้ขอบเขตก้าวออกมาปรากฏอยู่ด้านหลัง ภายใต้สายตาตื่นตะลึงงันนับไม่ถ้วน
ใบหน้าของเสี่ยหลิงจื่อเปลี่ยนไปรุนแรง เขาหายใจเข้าลึกด้วยความไม่เชื่อ ความกลัวพวยพุ่งจากหัวใจไปยังหัวทำเอาหนังหัวลุกชันเลยทีเดียว…
บทที่ 1220 ผู้เฒ่าตง
มู่เฉินยืนเอามือไพล่หลัง
ที่เบื้องหลังคลื่นหลิงมหึมาระเบิดออก ก่อนที่มิติจะบิดเบี้ยว ร่างเงากลุ่มหนึ่งเยื้องย่างออกมายืนอยู่ด้านหลังมู่เฉินภายใต้สายตาเบิกกว้าง
นั่นคือร่างเงาห้าคน
ทั้งห้าปลดปล่อยคลื่นหลิงทรงพลังพร้อมกับความกดดันที่น่าสะพรึงกลัวกระจายออกไปฉีกเมฆบนท้องฟ้า
พวกเขาทั้งหมดเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น!
เมื่อการปรากฏตัวนี้เกิดขึ้น แรงกดดันจากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นหกคนก็ถูกระงับทันที ในทางตรงข้ามพวกเขาเริ่มรู้สึกถึงแรงกดดันที่น่ากลัวที่ห่อหุ้มมาจากท้องฟ้าฝ่ายตรงข้าม
ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดทันที ความกลัวที่ไม่อาจคาดการณ์ได้เพิ่มขึ้นในสายตา
“จะ…จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นห้าคน?! พวกเขามาจากตำหนักมู่หมดเลยรึ? ความแข็งแกร่งของตำหนักมู่ทรงพลังขนาดนี้เชียว?”
มีบางคนหายจากอาการตกตะลึง พวกเขามองฉากนี้แบบไม่อยากเชื่อ แม้แต่ในดินแดนซีเทียนเล็กทั้งหมด อาจมีเพียงตระกูลเสี่ยเสินเท่านั้นที่มีจำนวนขนาดนี้ แต่ตำหนักมู่ที่พวกเขาไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนมีพลังเช่นนี้เหมือนกันรึ?
นอกจากนี้พวกเขายังสามารถบอกได้ว่าจอมยุทธ์ทั้งห้าที่ยืนอยู่ด้านหลังมู่เฉินมีสายตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความเคารพ นั่นก็หมายความว่าคนเหล่านี้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของมู่เฉินจริงๆ
ตอนนี้พวกเขาเข้าใจแล้วว่าทำไมมู่เฉินจึงไม่กลัวเมื่อเผชิญหน้ากับตระกูลเสี่ยเสิน เป็นเพราะเขามีพลังและคุณสมบัติที่จะต่อสู้ แม้แต่เสี่ยหลิงจื่อก็ยังต้องถอยเมื่อเผชิญหน้ากับการรวมตัวดังกล่าว
หากเขาต้องการที่จะสู้ แม้ว่าเขาจะมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ก็รังแต่ส่งผลให้ทั้งสองฝ่ายต้องทนทุกข์ทรมาน
“เจ้าหนูนี่…”
ลั่วเทียนเสินก็ตกใจกับฉากนี้เช่นกัน ครู่ต่อมาเขายิ้มอย่างขมขื่นและส่ายหัวไปมา การแสดงศักยภาพของมู่เฉินกินขาดเลยจริงๆ แต่เขาไม่เคยคาดหวังว่าชายหนุ่มจะซ่อนมือไว้ในแขนเสื้ออีกด้วย
ไม่เพียงแต่เขาจะเป็นจอมยุทธ์ทรงพลัง เขายังรวบรวมจอมยุทธ์ทรงพลังที่มีเช่นนี้ได้อีกด้วย
จากการประเมินของลั่วเทียนเสิน ด้วยพลังปัจจุบันของมู่เฉิน เขาไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลลั่วเสินเลย…
เมื่อเทียบกับสิ่งนี้สายตาลั่วเทียนเสินยิ่งลุกโชนเมื่อมองไปที่มู่เฉิน ชายหนุ่มคนนี้เป็นปาฏิหาริย์แท้จริง บางทีถ้าเขาและลั่วหลีตกร่องปล่องชิ้นกัน ก็อาจนำสิ่งมหัศจรรย์มาสู่ตระกูลลั่วเสินได้…
“คารวะท่านประมุข!”
ภายใต้สายตาตกละลึงนับไม่ถ้วน ทั้งห้าคนก็ไม่ได้ใส่ใจ พวกเขาประสานมือแสดงมารยาทต่อมู่เฉิน
มองท่าทางของพวกเขาคิ้วของมู่เฉินก็เลิกขึ้น ในอดีตแม้ว่าพวกเขาจะเอ่ยถึงเขาในฐานะเจ้าตำหนัก เขาก็บอกได้ถึงความอึดอัดใจที่พวกเขามีให้ แต่ครั้งนี้มู่เฉินสัมผัสได้ว่าพวกเขาพูดจากส่วนลึกของหัวใจ
เขามองไปที่ทั้งห้าด้วยสายตาลึกซึ้งและเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ดูเหมือนว่าความสำเร็จของเขาไม่เพียงแต่ข่มขู่ตระกูลเสี่ยเสินได้เท่านั้น แต่ยังทำให้คนเหล่านี้ยำเกรงขึ้นด้วย
นี่เป็นผลที่คาดไม่ถึง มู่เฉินยิ้มบาง เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะทำให้จอมยุทธ์ที่เคยเป็นผู้ปกครองภูมิภาคทางเหนือยอมรับเขาได้
“ท่านประมุขจัดการไปแล้ว ที่เหลือก็ทิ้งไว้ให้กับพวกเราเถอะ” โยวมิ่งยิ้ม เขาเป็นคนแน่วแน่ ในเมื่อยอมรับตำแหน่งของมู่เฉินแล้ว เขาก็จะวางตัวเองให้ดีทำหน้าที่ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา
คนอื่นๆ ก็พยักหน้าพลางมองไปที่ฝั่งศัตรู
เผชิญหน้ากับทั้งห้าคน พวกเสี่ยถงก็รู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด แม้ว่าพวกเขาจะได้เปรียบจากจำนวน แต่มู่เฉินก็ทำให้บาดเจ็บไปเกือบครึ่ง หากพวกเขาต้องสู้ งานนี้ประสบความสูญเสียครั้งใหญ่แน่
ผู้อาวุโสทั้งสามของสาขาตระกูลลั่วเสินก็รู้สึกขมขื่นในใจ พวกเขาไม่คิดเลยว่าไม่เพียงแต่ชายหนุ่มคนนี้มีพลังที่ทรงศักยภาพ สำนักที่เรียกว่าตำหนักมู่ก็ยิ่งน่ากลัวไปกว่าเนื่องจากมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นถึงห้าคน!
การรวมตัวทรงพลังนี้ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าตระกูลเสี่ยเสินเลย!
เนื่องจากการปรากฏตัวของชายหนุ่มคนนี้ ทำให้สถานการณ์ของตระกูลลั่วเสินเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ภายใต้การคุ้มครองของเขา ลั่วหลีจะสามารถรับมรดกได้สำเร็จ ตำแหน่งของนางในตระกูลไม่มีทางสั่นคลอนในอนาคตอีกเลย
ความล้มเหลวของพวกเขาราวกับถูกกำหนดแล้ว
พวกเขามองไปที่เสี่ยหลิงจื่อด้วยความตื่นตระหนก ขณะนี้เขามีสีหน้าเคร่งเครียดลงหลายส่วน การปรากฏตัวของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นห้าคนทำให้เขาตกใจอย่างมาก แต่เขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ดังนั้นจึงสามารถระงับอารมณ์เอาไว้
เขามองไปที่มู่เฉินด้วยสายตามืดมนพูดช้าๆ ว่า “ข้าเสี่ยหลิงจื่อได้พบกับผู้คนมามากมาย ไม่คิดว่าจะมามองพลาดที่แก”
น้ำเสียงของเขาไม่มีการดูถูกเหยียดหยามอีกต่อไป เขาเริ่มมองมู่เฉินเป็นคนในระดับเดียวกัน สถานะของมู่เฉินในฐานะผู้นำตำหนักมู่เป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
มู่เฉินยิ้มให้กับคำพูดนี่
เสี่ยหลิงจื่อครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนที่จะพูดว่า “ข้าจะปล่อยเรื่องที่เจ้าฆ่าผู้อาวุโสตระกูลเสี่ยเสินและจะมอบของเหลวจื้อจุนให้เจ้าสามร้อยล้านหยด ที่ข้าขอคือให้เจ้าจากไปโดยสามารถพาลั่วหลีไปกับเจ้าได้!”
คำพูดของเขาทำให้เกิดความปั่นป่วนในทันที เนื่องจากไม่มีใครคิดว่าเสี่ยหลิงจื่อจะเด็ดขาดเช่นนี้ ไม่เพียงแต่เขาจะไม่ไล่ล่ามู่เฉิน เขายังเต็มใจที่จะจ่ายค่าชดเชยและปล่อยลั่วหลีไป
แต่ถ้าสิ่งนั้นเกิดขึ้นตระกูลลั่วเสินพินาศแน่นอน
สายตาทุกคนมองไปที่มู่เฉิน เพราะจำนวนสามร้อยล้านหยดไม่น้อยเลย แม้แต่ตระกูลเสี่ยเสินยังต้องเทคลังทั้งหมดเพื่อสิ่งนั้น พลเมืองตระกูลลั่วเสินมองไปที่มู่เฉินพร้อมกับตัวสั่นงันงก สำหรับพวกเขาจำนวนนั่นไม่อาจจินตนาการได้เลย กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายยังหวั่นไหว
ไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขาทราบดีถ้ามู่เฉินปฏิเสธ เขาก็จะต้องเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ข้อดีข้อเสียเห็นได้อย่างชัดเจน
“ฮ่าๆ เป็นข้อเสนอที่ดึงดูดนัก” มู่เฉินทึ่งกับความกล้าได้กล้าเสียของเสี่ยหลิงจื่อ เขาหัวเราะเบาๆ มองไปที่ลั่วเทียนเสิน “ท่านประมุขลั่วคิดเห็นว่าอย่างไร?”
ลั่วเทียนเสินนิ่งเฉยหลังจากได้ยินคำถามโดยไม่มีความกังวล ไม่ใช่เพราะเขาเชื่อในมู่เฉิน ลั่วหลีต่างหากที่เป็นคนที่เขาเชื่อ สายตาของนางไม่เลือกคู่ครองที่ถูกดึงดูดด้วยเงินหรอก…
เมื่อเห็นท่าทางลั่วเทียนเสิน มู่เฉินก็เบ้ปากยิ้มให้เสี่ยหลิงจื่อ “ยังมีวิธีอะไรอีกก็ใช้มาซะ”
ประโยคนี้บอกคำตอบของเขาแล้ว
เมื่อเสี่ยหลิงจื่อได้ยิน เขาก็ไม่ได้มีสีหน้าเปลี่ยนแปลงอะไรมากมาย ชัดว่าคาดไว้แล้ว แต่สายตากลับเย็นเยือกลง อึดใจก็พูดอย่างใจเย็นว่า “ในเมื่อให้ทางแล้วพวกแกไม่ไป งั้นก็โทษข้าไม่ได้แล้ว”
ทันใดนั้นเขาก็หันกลับมาตะโกนด้วยความเคารพว่า “ผู้เฒ่าตงโปรดแสดงตัว!”
พร้อมกับเสียงของเสี่ยหลิงจื่อ ท้องฟ้าที่ไกลออกไปก็เปลี่ยนเป็นเย็นเยือกด้วยเกล็ดหิมะโปรยปราย แช่แข็งดินแดนเอาไว้ทันที
เกล็ดหิมะลอยล่องมารวมกันเบื้องหน้าเสี่ยหลิงจื่อ เผยร่างชายชราสวมเสื้อคลุมสีขาว คิ้วและเคราขาวโพลน รูปร่างผอมบาง บนใบหน้าที่ไม่มีการแสดงออกใดๆ ปรากฏลวดลายเกล็ดหิมะคลุมเครือ
เมื่อทุกคนมองไปที่ชายชรา สีหน้าบางคนก็เปลี่ยนไปรุนแรง เสียงอุทานดังก้องออกมา
“นั่น…นั่นผู้เฒ่าหลิงตง?!”
“สวรรค์ทำไมเขามาที่นี่!”
ทุกคนฉายสีหน้าหวาดผวาบนใบหน้า สมาชิกตระกูลลั่วเสินใบหน้าซีดเป็นขี้เถ้าทันที แม้แต่ลั่วเทียนเสินก็มีเหงื่อหยดลงจากหัวเมื่อมองดูชายชราคนนี้
นั่นเป็นเพราะชายชราคนนี้เป็นคนมีชื่อเสียงในทวีปซีเทียนและเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม!
แน่นอนว่าสิ่งที่น่ากลัวมากกว่านี้คือ เขามาจากตำหนักซีเทียน!
“กะ…แกเชิญคนจากตำหนักซีเทียนมาเรอะ?!” ลั่วเทียนเสินมองเสี่ยหลิงจื่อด้วยดวงตาเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดว่าเสี่ยหลิงจื่อจะวางแผนขนาดนี้เพื่อจัดการกับตระกูลลั่วเสิน!
เสี่ยหลิงจื่อยิ้ม เขาจ่ายราคามหาศาลเพื่อเชิญจอมยุทธ์ผู้นี้มา ครั้งนี้ไม่ว่ามู่เฉินจะกระโดดโลดเต้นยังไง ก็ต้องตายแน่นอน!
“ก่อนหน้านี้ข้าให้ทางลงแล้ว แต่แกปฏิเสธ ตอนนี้สายไปแล้ว!” เสี่ยหลิงจื่อมองมู่เฉินอย่างเย็นชา รังสีสังหารพล่านในดวงตาของเขา
นั่นเป็นเพราะหากผู้เฒ่าหลิงตงเผยตัวตระกูลเสี่ยเสินจะต้องจ่ายราคามหาศาล ตอนแรกเสี่ยหลิงจื่อไม่ได้ต้องการให้อีกฝ่ายเผยตัวด้วยซ้ำ…
เสี่ยหลิงจื่อหันมาทางหลิงตงกล่าวเสียงเคารพ “ท่านผู้เฒ่าช่วยลงมือกำจัดไอ้หนูจอมหยิ่งนั่นด้วย”
หลิงตงมองไปที่มู่เฉินโดยไม่มีการแสดงออกใดๆ เกล็ดหิมะรอบตัวเขากวนตัวยิ่งขึ้น แม้แต่มิติยังถูกฉีกขาดออกจากกัน
ทว่าขณะที่ทุกคนรู้สึกว่ามู่เฉินจะต้องตาย หลิงตงก็ส่ายหัวตอบด้วยความเฉยเมยว่า “ข้าไม่สามารถฆ่าเขาได้”
เสี่ยหลิงจื่ออึ้งไปกับคำพูดนี่ คิดว่าได้ยินผิด ทันใดนั้นเขาก็ยิ้ม “ท่านผู้เฒ่าตงล้อเล่นแน่ๆ ท่านเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แค่พลิกมือก็สามารถฆ่าเขาได้ง่ายๆ ไม่ใช่เหรอ?”
ทุกคนแลกเปลี่ยนสายตากัน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ลั่วเทียนเสินและคนอื่นๆ ก็มองไปที่มู่เฉินด้วยความประหลาดใจ
“ฮ่าๆ เขาพูดถูก เมื่อมีข้าอยู่ด้วย เขาก็ไม่สามารถทำอะไรกับมู่เฉินได้…”
ขณะที่ทุกคนสับสน เสียงหัวเราะพลิ้วหวานนุ่มนวลก็ดังขึ้น ก่อนที่ทุกคนจะเห็นร่างเงาเล็กปรากฏอยู่ข้างมู่เฉิน
เมื่อร่างเล็กปรากฏขึ้นดินแดนที่ถูกแช่แข็งก็กลับมาเป็นปกติ…
ลั่วเทียนเสิน เสี่ยหลิงจื่อและคนอื่นๆ ม่านตาหดเกร็ง ขณะที่พวกเขาจ้องมองไปที่เงาละเอียดอ่อนด้วยความหวาดผวา เสียงตกใจหวาดกลัวดังก้องจากริมฝีปากของพวกเขา
“จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม?”
บทที่ 1221 เทพธิดาแห่งมหาพันภพ
“จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม?”
เสียงหวาดกลัวของลั่วเทียนเสินและเสี่ยหลิงจื่อดังก้อง ทำให้เกิดความปั่นป่วนทั่วบริเวณอย่างมาก หลังจากนั้นทุกคนก็มองไปที่ร่างเงาข้างมู่เฉินด้วยความตกใจหวาดผวา
มิติด้านข้างมู่เฉินยังคงผันผวน โดยมีร่างเงาเล็กๆ ยืนท้าทุกสายตา นั่นทำให้ทุกคนถึงกับตะลึงงันไป
“สาวน้อยตัวเล็กคนนั้น… เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มเหรอ?” มีคนอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา
“ไอ้โง่ จอมยุทธ์ในระดับนี้จะเป็นสาวน้อยจริงๆ ได้ยังไง?” ทว่ายังมีคนที่ตั้งสติได้ ไม่ได้สับสนกับรูปลักษณ์ของมั่นถัวหลัว
“มู่เฉินเป็นใคร? เขาเก่งขนาดนี้เลยเหรอ สามารถเชิญจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มมาด้วย!” มีคนอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา นั่นเป็นเพราะแม้แต่ในทวีปซีเทียน จอมยุทธ์ระดับนี้ก็ได้รับการพิจารณาว่าเป็นเพชรยอดพีระมิด ถ้าต้องการเชิญอีกฝ่ายมาไม่เพียงแต่สายสัมพันธ์เชื่อมโยงที่มี พวกเขายังต้องจ่ายราคามหาศาลอีกด้วย
แม้แต่ตระกูลเสี่ยเสินยังจ่ายเงินแพงระยับเพื่อเชิญหลิงตงมา แต่ไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินจะเชิญจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มมาด้วย
นี่เป็นสิ่งที่เสี่ยหลิงจื่อและลั่วเทียนเสินไม่เคยคาดคิดมาก่อน
โดยเฉพาะเสี่ยหลิงจื่อ ใบหน้าเขาบิดเบี้ยวไปหมดเมื่อมองดูร่างเงาเล็กข้างมู่เฉิน ความรู้สึกวิงเวียนตีขึ้น
เขาไม่เคยคิดว่าไพ่ตายที่อุตส่าห์เตรียมไว้ ไม่เป็นผลอะไรกับมู่เฉินเลย
“มู่เฉินเป็นใครกันแน่?!”
คำถามนี้เกิดขึ้นในใจของเสี่ยหลิงจื่อ การเชิญจอมยุทธ์ระดับนี้ไม่ใช่สิ่งที่ขั้วอำนาจใดๆ ก็สามารถทำได้
ตอนนี้ในที่สุดเขาก็รู้ว่าเพราะเหตุใดหลิงตงถึงบอกว่าไม่สามารถฆ่ามู่เฉินได้
“ผู้เฒ่าตง…” เสี่ยหลิงจื่อตัวสั่นขณะมองหลิงตง เขาจ่ายเงินมากมายเพื่อเชิญอีกฝ่ายมา ถ้าไม่สามารถทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ พวกเขาก็สูญเสียจนต้องร้องไห้แล้วจริงๆ
ทว่าเผชิญกับสายตาที่จ้องมองมา หลิงตงก็ไม่แยแสก่อนที่จะมองมั่นถัวหลัวพูดด้วยเสียงแหบพร่าว่า “เจ้าเป็นคนนอกทวีปซีเทียนใช่ไหม? การมายุ่งเกี่ยวสงครามภายในทวีปถือว่าละเมิดกฎของตำหนักซีเทียนนะ”
หลิงตงขยายเสียงโดยเฉพาะตรงคำว่าตำหนักซีเทียน เขารู้ว่ามั่นถัวหลัวน่าจะรู้ความหมายนี้ ตำหนักซีเทียนเป็นผู้ปกครองทวีปซีเทียน ซึ่งเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจสูงสุดในมหาพันภพ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มอย่างมั่นถัวหลัวยังไม่กล้าที่จะแหยม
นั่นเป็นเพราะผู้นำของตำหนักซีเทียนก็คือจักรพรรดิสัประยุทธ์ซึ่งเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน!
มั่นถัวหลัวเข้าใจคำเตือนโดยธรรมชาติ ทว่านางก็เบะปากออก “มู่เฉินเป็นเขยขวัญของตระกูลลั่วเสิน ดังนั้นเขาจึงมีสิทธิ์สู้ในสงครามนี้ ในเวลาเดียวกันเขาก็เป็นผู้นำตำหนักมู่ ในฐานะสมาชิกตำหนัก จะให้เรายืนมองพวกเจ้าทำร้ายเขาหรือ?”
ความโกลาหลระเบิดออก แม้แต่หลิงตงก็มองมู่เฉินด้วยความตกตะลึง
คำพูดของมั่นถัวหลัวกำลังบอกว่านางเป็นหนึ่งในสมาชิกของตำหนักมู่และเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของมู่เฉินรึ?
สิ่งนี้ทำให้หลายคนรู้สึกไม่เชื่อ นั่นเพราะในความเข้าใจของพวกเขามีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้นที่มีคุณสมบัติพอจะออกคำสั่งกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา!
มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้นที่สามารถอยู่เหนือจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มและควบคุมอีกฝ่าย
ทว่ามั่นถัวหลัวบอกว่านางเป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของมู่เฉินที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น? นั่นไม่น่าเชื่อเลย!
แต่ในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม นางไม่มีทางพูดเล่นตลกแน่นอน ไม่เช่นนั้นจะเป็นการทำลายชื่อเสียงของตัวเอง ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้สึกว่านางล้อเล่นแน่นอน
เสี่ยหลิงจื่อเขียนคำว่าไม่เชื่อบนใบหน้า แม้แต่รากฐานของตระกูลเสี่ยเสิน ยังไม่สามารถรับสมัครจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่มู่เฉินดันทำได้เรอะ?
“ไอ้เด็กนี่ ทำไมโชคดีขนาดนี้?!” ยามนี้เสี่ยหลิงจื่อรู้สึกอิจฉามาก หากตระกูลเสี่ยเสินมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มใต้บัญชาละก็ พวกเขาคงครอบครองดินแดนซีเทียนเล็กนี้ไปนานแล้ว
เผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น มู่เฉินก็แค่ยักไหล่ ที่จริงเขาอยากบอกว่าตำแหน่งนี้มั่นถัวหลัวเป็นคนยัดมือเขา เนื่องจากนางไม่สนใจ
แต่ในเมื่อมั่นถัวหลัวให้หน้าเขา มู่เฉินจึงได้แต่ยิ้มแย้มอย่างเป็นธรรมชาติเพื่อสร้างภาพลักษณ์ไม่อาจหยั่งรู้
หลิงตงจ้องมองมู่เฉินอย่างลึกซึ้ง ถ้านั่นเป็นเรื่องจริงภูมิหลังของชายหนุ่มคนนี้ก็ต้องยิ่งใหญ่เลยทีเดียว
เขาเข้าใจถึงความเย่อหยิ่งของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้ดี เพราะตัวเขาก็อยู่ในระดับนี้ ในมุมมองของเขาหากมู่เฉินไม่ได้มีภูมิหลังที่ยอดเยี่ยม ก็เป็นไปไม่ได้ที่มั่นถัวหลัวจะยอมเชื่อฟังคำสั่ง
“วันนี้พวกข้ามาเพื่อช่วยเหลือตระกูลลั่วเสิน หากเจ้าต้องการช่วยตระกูลเสี่ยเสินก็ประลองกันเลย” มั่นถัวหลัวไม่ได้ใส่ใจกับความคิดของพวกเขา นางพูดขึ้นอย่างเกียจคร้าน
หลิงตงยิ้มก่อนที่จะตอบช้าๆ “ราคาที่ตระกูลเสี่ยเสินจ้างมา ไม่เพียงพอที่จะสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มหรอก”
เมื่อได้ยินคำพูดนั่นใบหน้าของเสี่ยหลิงจื่อก็เปลี่ยนเป็นซีดเผือดทันที
ลั่วเทียนเสินและคนอื่นๆ โล่งใจอย่างมาก แม้ว่ามู่เฉินจะมีผู้ช่วยเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่พวกเขาก็ยังหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะไม่สู้กัน ถึงยังไงหลิงตงก็เป็นผู้อาวุโสของตำหนักซีเทียน
และในทวีปซีเทียนก็ไม่มีใครที่กล้าข่มผู้อาวุโสของตำหนักซีเทียนหรอก
มู่เฉินมองไปที่หลิงตงด้วยความสงสัย เขาไม่เชื่อว่าชายชราจะพักเรื่องนี้ไปอย่างง่ายดาย…
“ฮ่าๆ แต่ชายชราคนนี้มีภารกิจอื่น การเชิญจากท่านเสี่ยหลิงจื่อก็แค่เรื่องติดมือเท่านั้น” รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของหลิงตง
พอได้ยินคำพูดนั่น ใบหน้าของเสี่ยหลิงจื่อก็กระตุก ตระกูลเสี่ยเสินจ่ายราคาแพงระยับเพื่อเชิญหลิงตงมา แต่อีกฝ่ายมาเพราะมีภารกิจอยู่แล้ว เมื่อเห็นว่าราคาที่ตระกูลเสี่ยเสินจ่ายใช้ได้จึงรับงานนี้มาด้วย
มู่เฉินหรี่ตาลงมองหลิงตงพูดช้าๆ ว่า “ไม่ทราบว่าท่านผู้เฒ่ายังมีเรื่องอะไรอีก?”
ทว่าหลิงตงไม่ได้ตอบ เพียงแต่หรี่ตามองลั่วหลีที่กำลังประสบภัยพิบัติหลิงด้วยรอยยิ้ม “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับนาง ดังนั้นข้าต้องรอคำตอบของนาง”
แววตามู่เฉินดิ่งลง รู้สึกถึงความไม่สบายใจ ขณะที่กำลังจะพูดเขาก็เห็นมั่นถัวหลัวส่ายหน้า ดังนั้นเขาจึงนิ่งเงียบก่อนที่จะหันหลังกลับมองไปที่ลั่วหลี
ตู้ม ตู้ม!
ตอนนี้ลั่วหลีก็ยังคงนั่งอยู่บนแท่นอย่างเงียบๆ ทว่าความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังที่รายล้อมรอบตัวนางไปไกลเกินกว่าระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มแล้ว
เมฆรวมตัวกันบนขอบฟ้าพร้อมด้วยสายฟ้าพุ่งเข้าหาลั่วหลี
อย่างไรก็ตามสายฟ้าเหล่านี้ถูกปิดกั้นจากม่านขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นจากแม่น้ำลั่วเมื่อเข้าใกล้ระยะร้อยจั้ง
แม่น้ำลั่วปกป้องลั่วหลีไว้
ภายใต้การคุ้มครองนั้นภัยพิบัติหลิงที่โหดร้ายก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ในที่สุดก็ค่อยๆ สลายหายไป
ทันทีที่ภัยพิบัติหายไป คลื่นหลิงทรงพลังก็ระเบิดออกจากร่างลั่วหลี ดันระลอกคลื่นหมื่นจั้งในแม่น้ำลั่วขึ้น
สายตาอิจฉานับไม่ถ้วนมองมาที่ลั่วหลี เนื่องจากพวกเขารู้ว่าในเวลานี้ลั่วหลีผ่านภัยพิบัติก้าวเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นที่แท้จริงแล้ว!
ดวงตาที่ปิดสนิทของลั่วหลีเปิดขึ้นพร้อมกับดวงดาวรวมตัวกันในดวงตาของนาง ในเวลาเดียวกันนางก็วาดตราประทับขึ้น แม่น้ำลั่วไร้ขอบเขตก็พลุ่งพล่านอยู่ข้างหลัง
เมื่อแม่น้ำรวมตัว ทุกคนก็เห็นร่างเงาขนาดใหญ่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นที่ด้านหลังของนาง
ร่างอรชรเปล่งแสงราวกับหยก รูปลักษณ์ที่ปรากฏค่อยๆ เปลี่ยนเป็นร่างลั่วหลี โดยมีอักขระแม่น้ำสีเงินประทับบนหน้าผากมน ช่างเป็นแม่น้ำที่ลึกล้ำซับซ้อนยิ่งนัก
เมื่ออักขระถูกสร้างขึ้น ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงความงามอันน่าทึ่งที่เปล่งออกมาจากร่างเงานั้น
อักขระยังปรากฏบนหน้าผากของลั่วหลี นางเปลี่ยนแปลงโดยมีความงามที่ทำให้ผู้คนมึนเมา
ความงามนั้นราวกับว่านางคือเทพธิดาลงมาจากสวรรค์
“นี่คือเทพธิดาลั่วแห่งมหาพันภพ!” ทุกคนได้แต่มึนเมากับความงามล้ำนี้
เปรียบเทียบกับพวกเขา ลั่วเทียนเสินและผู้อาวุโสของตระกูลลั่วเสินที่มองดูร่างเงานี้ก็อุทานด้วยความไม่เชื่อว่า “นะ…นั่นคือร่างเทพวารี!”
เล่าลือกันว่าร่างเทพวารีเป็นร่างเทห์สวรรค์ที่งดงามที่สุดในมหาพันภพ เมื่อฝึกฝนสำเร็จก็จะเชื่อมโยงกับเจ้าของ บรรพบุรุษของพวกเขา—ลั่วเสินในตอนนั้นได้ฉายาเทพธิดาแห่งมหาพันภพก็เพราะเหตุนี้
ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่าลั่วหลีจะเป็นคนที่สองที่ฝึกฝนร่างเทพวารีสำเร็จ!
“ว่ากันว่าเงื่อนไขในการฝึกฝนเข้มงวดมาก ผู้ฝึกไม่เพียงแต่ต้องมีความงามที่สมบูรณ์แบบ แต่ยังต้องมีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม…ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาในตระกูลลั่วเสินคงมีแต่ลั่วหลีที่ตรงตามเงื่อนไขนี้” ลั่วเทียนเสินค่อยๆ คืนสติก่อนที่จะรู้สึกดีใจมาก เขารู้ว่าลั่วหลีได้รับมรดกของลั่วเสินแล้ว ในอนาคตตระกูลลั่วเสินอาจได้กลับมาผงาดอีกครั้ง
ร่างเบื้องหลังลั่วหลีค่อยๆ จางหายไป จากนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นยิ้มไปให้มู่เฉิน
สายตาอิจฉานับไม่ถ้วนจ้องเขม็งมาที่มู่เฉินทันที ถ้าไม่ได้เป็นพลังที่เขาแสดงให้เห็น อาจมีใครบางคนในที่นี่ขอท้าประลองกับเขาแล้ว
สัมผัสกับความเป็นศัตรูจากสายตาเหล่านี้ มุมปากของมู่เฉินก็กระตุก ตอนนี้เขาเชื่อแล้วว่าความงามล่มเมืองเป็นหายนะ
หลิงตงกวาดมองมู่เฉินกับลั่วหลี่ก็ยิ้มบาง “สมกับเป็นทายาทตระกูลลั่วเสิน ฉายาเทพธิดาแห่งมหาพันภพได้เจ้าของอีกครั้งแล้ว”
ลั่วหลีหันมาหาหลิงตง คำนับด้วยท่าทางนุ่มนวลกล่าวเสียงเรียบว่า “ไม่ทราบว่าท่านผู้เฒ่ามาที่ตระกูลลั่วเสินของข้าเพื่อเรื่องใด”
หลิงตงยิ้มก่อนที่จะหยิบของออกจากแขนเสื้อ นี่เป็นม้วนผ้าสีทองที่บรรจุด้วยรัศมีเลิศล้ำ ทำให้ทั่วบริเวณเงียบกริบลง
หลิงตงเปิดม้วนผ้าเสียงแหบแห้งก็ดังก้อง
“ราชโองการจากจักรพรรดิสัประยุทธ์ ขออวยยศดำรงตำแหน่งธิดาเทพแห่งตำหนักซีเทียนให้จักรพรรดินีตระกูลลั่วเสิน”
ทันใดนั้นใบหน้าของลั่วเทียนเสินก็เปลี่ยนไปรุนแรงจากคำพูดของหลิงตง
บทที่ 1222 ธิดาเทพ?
เมืองลั่วเสิน
เมื่อเสียงประกาศของหลิงตงดังก้อง ความวุ่นวายก็ระเบิดขึ้นทั่วเมือง สายตาอิจฉาพุ่งไปหาลั่วหลี
ไม่มีใครคิดว่าจักรพรรดิสุประยุทธ์จะมีราชโองการเป็นการส่วนตัว การดำรงอยู่ของตำหนักซีเทียนเป็นความยืนยง แม้กระทั่งบรรดาผู้อาวุโสอย่างหลิงตงก็ต้องให้ความเคารพ
ทว่าใบหน้าของลั่วเทียนเสินกลับไม่น่าดู เนื่องจากทุกคนรู้ว่าจักรพรรดิแห่งตำหนักซีเทียนมีฝ่ายในขนาดใหญ่ ซึ่งเต็มไปด้วยสตรีงดงาม ทักษะการฝึกฝนของเขาเรียกว่าคัมภีร์ต้าตี้เน่ยซึ่งเป็นการฝึกฝนแบบเสพสังวาส ดังนั้นจักรพรรดิสัประยุทธ์จึงมีชื่อเสียงด้านนี้ฉาวโฉ่นัก
ที่ผ่านมาลั่วเทียนเสินพอได้ข่าวมาว่าตำหนักซีเทียนกำลังให้ความสนใจกับลั่วหลี ทว่าตอนนั้นลั่วหลีไม่เป็นที่รู้จักมาก แต่ด้วยชื่อเสียงของนางที่เพิ่มพูนขึ้นในหลายปีนี้ก็คงจะไปเข้าหูตำหนักซีเทียนเข้า
ยิ่งตอนนี้ลั่วหลีปลูกฝังร่างเทพวารี ซึ่งเป็นเรื่องของเวลาก่อนที่นางจะดึงดูดความสนใจของตำหนักซีเทียน แต่เขาก็ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะมาถึงเร็วนัก
ในทวีปซีเทียนและเขตแดนที่ตำหนักซีเทียนปกครอง ไม่รู้มีหญิงสาวเท่าไรที่ใฝ่ฝันเป็นที่จับตาของจักรพรรดิสัประยุทธ์เพื่อจะได้รับน้ำทิพย์เข้าสู่ร่าง เพราะด้วยพลังและรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายก็เพียงพอที่จะทำให้หญิงสาวตกหลุมรัก
ฝ่ายในของจักรพรรดิสัประยุทธ์ ไม่มีใครที่ถูกบังคับ พวกนางต่างเต็มใจ แต่ลั่วเทียนเสินรู้ว่าหลานสาวของเขาไม่ได้เป็นหนึ่งในนั้น…
ด้วยความภาคภูมิใจ นางจะไม่ชายตามองใครเลย นอกจากคนที่ชอบ ไม่ใช่แม้แต่จักรพรรดิสัประยุทธ์
ดังนั้นลั่วหลีอาจไม่เห็นด้วยที่จะเป็นธิดาเทพ นั่นจะทำให้เกิดปัญหาอื่นตามมา ราชโองการของจักรพรรดิสัประยุทธ์เป็นสิ่งที่สามารถปฏิเสธได้เรอะ?
เขาเป็นผู้ปกครองของทวีปซีเทียนนะ!
เขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจุนที่มีชื่อดังก้องไปทั่วมหาพันภพ!
ลั่วเทียนเสินยิ้มขมขื่น มู่เฉินก็ขมวดคิ้ว แม้ว่าเขาจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับจักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียน เขาก็สามารถคาดเดาได้จากการแสดงออกของลั่วเทียนเสิน
“ฮ่าๆ ขอแสดงความยินดีกับธิดาเทพคนใหม่ ในอนาคตเจ้าก็เป็นธิดาเทพของตำหนักซีเทียนแล้ว” หลิงตงยิ้มบาง จากนั้นก็ส่งราชโองการไปทางลั่วหลี “รับราชโองการเถอะ”
ทว่าลั่วหลีไม่ได้รับ นางชายตามองหลิงตงอยู่นานก่อนที่จะตอบ “ข้าขอปฏิเสธ”
เสียงของนางดังก้อง ทั่วเมืองก็เงียบกริบลง หลายคนเบิกตากว้างขณะที่มองลั่วหลีด้วยความไม่เชื่อ
นางปฏิเสธคำสั่งของผู้ปกครองของทวีปซีเทียน!
นั่นคือราชโองการของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนนะ!
ตรงกันข้ามเสี่ยหลิงจื่อซึ่งกำลังหวาดผวากับสิ่งนี้ก็เกิดความปีติยินดีเมื่อได้ยินคำตอบของลั่วหลี
เขาไม่คิดเลยว่าหญิงสาวจะกล้าหาญชาญชัยขนาดนี้!
หลิงตงอึ้งไปก่อนจะขมวดคิ้ว “นี่เป็นราชโองการขององค์จักรพรรดิ เจ้ารู้หรือไม่ว่าผลที่ตามมาของการปฏิเสธเป็นเช่นไร?”
แม้แต่ลั่วหลียังรู้สึกกดดันจากคำพูดของหลิงตง แต่สุดท้ายนางก็เงยหน้าขึ้น ความแวววาวแล่นในส่วนลึกของดวงตา
ขณะที่นางเผชิญหน้า เงาร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นข้างกาย เขาจับมือนางภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน
นี่คือมู่เฉิน เขามองไปที่ลั่วหลี นางก็มองมาด้วยรอยยิ้ม
โห่
การกระทำระหว่างทั้งสองทำให้เกิดความปั่นป่วนทันที ขณะนี้ทุกคนรู้แล้วว่ามู่เฉินและลั่วหลีเป็นคู่รักกัน!
เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะมู่เฉิน ลั่วหลีถึงปฏิเสธตำแหน่งธิดาเทพของตำหนักซีเทียน
มู่เฉินจับมือลั่วหลีเงยหน้าขึ้นมองหลิงตงโดยไม่มีการแสดงออกใดๆ “ตั้งแต่เมื่อไรที่ตำหนักซีเทียนต้องมาบังคับให้คนอื่นเป็นธิดาเทพ?”
“ไอ้หนู บางอย่างไม่ใช่สิ่งที่จะพูดเล่นๆ แบบนี้นะ!” หลิงตงกล่าวเคร่งขรึม ขณะเดียวกันแรงกดดันก็แผ่ออกมาจากร่างเขาพุ่งเข้าหามู่เฉิน
ทันใดนั้นมั่นถัวหลัวก็ปรากฏตัวตรงหน้ามู่เฉิน แสงสีดำเปล่งประกายบนร่างนาง คล้ายกับหลุมดำกลืนกินแรงกดเย็นเยือกเข้าไปหมด
นางมองหลิงตงกล่าวอย่างไม่แยแสปนเย้ยหยัน “พูดหน่อยก็ไม่ได้เรอะ? ตำหนักซีเทียนเผด็จการขนาดนี้เชียวหรือ?”
คำพูดนางยิ่งไม่เกรงใจเข้าไปใหญ่ แม้ว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียนจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน แต่นางเคยติดตามจักรพรรดิฟ้ามาหลายปี ดังนั้นนางไม่มีความกลัวต่อตำหนักแค่นี้แน่นอน
ใบหน้าของหลิงตงเปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม เขาจ้องมองมั่นถัวหลัว “ดูเหมือนเจ้าตัดสินใจยืนคนละฝั่งกับตำหนักซีเทียนแล้วสินะ?”
“แล้วจะทำไม?” มั่นถัวหลัวหัวเราะเย้ยหยันอย่างหาญกล้า
“สามหาว!” หลิงตงเกรี้ยวกราดขณะที่คำราม เขาโบกมือผลึกดาวก็ปรากฏขึ้น เหมือนจะดูดอุณหภูมิในพื้นที่นี้ทั้งหมด อากาศเริ่มแช่แข็งอย่างรวดเร็ว
“ฮึ่ม!”
ดาวกลายเป็นกระแสคลื่นเย็นพุ่งออกไป พริบตาก็ขยายตัวกลายเป็นดาวน้ำแข็งขนาดใหญ่พุ่งไปหามั่นถัวหลัว
นี่คือพลังทำลายล้าง
“หึ!”
มั่นถัวหลัวเค้นเสียงเย็นชาก่อนที่จะอ้าปาก ลำแสงมหาศาลบินว่อนออกมาก่อตัวเป็นพีระมิด นี่คือพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจที่มู่เฉินมอบให้นาง
ฟิ้ว!
พีระมิดระเบิดด้วยแสงดาวจำนวนนับไม่ถ้วน ขณะที่พุ่งออกไปปะทะกับดาวน้ำแข็งจังใหญ่และบดขยี้กัน
ดาวน้ำแข็งถูกทำลาย หลิงตงก็กระอักเดินถอยหลังไปหลายก้าวด้วยสีหน้าที่ไม่น่าดู เห็นได้ชัดว่าเขาเสียเปรียบในการปะทะยกนี้
“ดี! ดี!”
หลิงตงสูดหายใจลึก จากนั้นก็ยกราชโองการทองคำขึ้น เขากัดลิ้นพ่นเลือดคำหนึ่งบนม้วนคำสั่ง
ฮึ่ม ฮึ่ม
เมื่อเลือดหยดลง ม้วนคำสั่งก็ระเบิดออกมาด้วยแสงสีทอง แรงกดดันที่น่ากลัวราวกับกษัตริย์กระจายออกมา
ภายใต้แรงกดดันที่น่าหวาดกลัว ทุกคนที่อยู่ภายใต้ระดับตี้จื้อจุนก็ทรุดเข่าลงทันที พวกเขาไม่สามารถเงยหัวขึ้น ร่างกายสั่นสะท้าน
นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้ว่ารัศมีนี้หมายถึงอะไร… ในทวีปซีเทียนมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีแรงกดดันนี้
ประมุขแห่งตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ผู้เป็นตำนาน!
ใบหน้าของมั่นถัวหลัวเคร่งเครียดลงหลายส่วน ม้วนราชโองการน่าจะสามารถเรียกร่างดวงจิตของอีกฝ่ายได้ แต่ถึงจะเป็นเพียงร่างดวงจิตก็กดดันอย่างมาก
มู่เฉินรู้สึกได้ว่าลั่วหลีจับมือตัวเองแน่นขึ้น
“ไม่ต้องกลัว” มู่เฉินพูดกับนางเบาๆ
ลั่วหลีหันกลับมาก็รู้สึกประหลาดใจ แม้ว่าสายตาของมู่เฉินจะเคร่งเครียด แต่เขาก็ไม่ได้ตื่นตกใจ นางยิ้มอย่างขมขื่นก่อนที่จะตอบว่า “หากมีโอกาสเจ้ารีบหนีไปนะ”
“แล้วเจ้าล่ะ?”
ลั่วหลียิ้มตอบ “ไม่ว่ายังไงข้าก็จะไม่เป็นธิดาเทพ”
มู่เฉินมองรอยยิ้มนั่นก็เห็นความแน่วแน่บางอย่าง นางไม่มีวันเป็นธิดาเทพเนื่องจากนางที่ภาคภูมิใจจะขู่ด้วยชีวิต
“ลั่วหลี…”
มู่เฉินจ้องที่คนรักพูดเบาๆ “จำที่ข้าบอกเจ้าได้ไหม?”
“ข้าบอกแล้วว่าครั้งต่อไปที่เราพบกัน ข้าจะไม่ปล่อยให้ใครพาเจ้าไปจากข้าอีก” เขาจ้องมองม่านตาแก้วใสพูดต่อว่า “รวมถึงจักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียนด้วย”
แม้ว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์จะทรงพลัง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามู่เฉินจะไม่มีวิธีจัดการกับอีกฝ่าย
ลั่วหลีตกใจ นางไม่รู้ว่าเขาเอาความมั่นใจมาจากไหน แต่ในเมื่อนางเข้าใจมู่เฉิน นางจึงรู้ว่าเขาไม่ใช่คนโอ้อวด เมื่อเขากล้าพูดก็ต้องมั่นใจ
สิ่งนี้ทำให้หัวใจที่ตึงเครียดของนางคลายลง
“ดูเหมือนเจ้าจะผ่านประสบการณ์มากมายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา” ลั่วหลียิ้ม รอยยิ้มนี้ทำให้ดวงตาของมู่เฉินสว่างไสว เขาอยากโอบกอดนางไว้
แต่สุดท้ายเขาก็ระงับแรงปรารถนาเงยหน้าขึ้นมองม้วนทองคำ ร่างเงาสีทองค่อยๆ ปรากฏเบื้องหน้าสายตาพวกเขา
“ถวายบังคมองค์จักรพรรดิ”
หลิงตงมองร่างเงานั่นพลางคุกเข่า
บนท้องฟ้า ร่างเงาสีทองนั่นมีผมสีทองอร่าม รูปลักษณ์ราวกับแกะสลัก ดวงตาทรงเสน่ห์เปี่ยมอำนาจ โดยไม่มีผู้ใดสามารถลบลืมได้
ทว่าแรงกดดันสง่างามที่กระจายออกมาจากเขาถึงเป็นสิ่งดึงดูดความสนใจมากที่สุด
ทุกคนสั่นสะเทือนภายใต้แรงกดดันนี้
เมื่อร่างเงานั้นปรากฏขึ้นก็มองไปที่ลั่วหลี ก่อนที่เสียงก้องกังวานจะดังขึ้น
“ลั่วหลี เจ้าจะปฏิเสธจริงๆ เหรอ?”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น