หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1211-1218
บทที่ 1211 องครักษ์ของเจ้า
“ค่ายกลแม่น้ำลั่ว!”
เมื่อลั่วเทียนเสินคำราม แม่น้ำก็ล้นทะลัก คลื่นน้ำไม่มีที่สิ้นสุดกวาดกระจายออกไปทั่วสารทิศ ก่อตัวเป็นปราการน้ำขวางกั้น ราวกับชามกว้างใหญ่ครอบคลุมตระกูลลั่วเสินทั้งหมดเอาไว้
ปราการน้ำสั่นไหว รัศมีโบราณเอิบอาบออกมาคลุมเครือ
แม้ว่าปราการนี้จะดูอ่อนแอ แต่คลื่นหลิงทรงพลังที่เล็ดลอดออกมาก็ทำให้ม่านตาของเสี่ยหลิงจื่อหดลง ดูเหมือนว่าตระกูลลั่วเสินเตรียมการมาเป็นอย่างดี
“หึ ดูท่าตระกูลลั่วเสินของเจ้าไม่คิดที่จะยอมรับสันติสุขที่ตระกูลเสี่ยเสินมอบให้!”
เสี่ยหลิงจื่อพูดเสียงเย็นเยือก จากนั้นก็ยื่นมือกดมิติตรงหน้า ทันใดนั้นเมฆโลหิตก็เริ่มรวมตัวก่อร่างเป็นมือขนาดใหญ่ซัดลงมากระแทกกับปราการน้ำ
ปัง!
ความผันผวนป่าเถื่อนเกิดขึ้นจากปราการ แผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว ราวกับกำลังจะแตกสลาย
หัวใจทุกคนโลดขึ้นเมื่อมองดูปราการที่ผันผวน ใบหน้าของพวกเขาซีดลง เนื่องจากเมื่อไรที่ปราการนี้พังทลาย ตระกูลเสี่ยเสินก็จะเริ่มการสังหารหมู่
ฮึ่ม ฮึ่ม
ทว่าปราการก็ทนรับแรงระเบิดภายใต้สายตาที่จ้องมองด้วยความหวาดกลัว การโจมตีของเสี่ยหลิงจื่อ ค่อยๆ หายไป ปราการได้รับการฟื้นฟูจนสงบและปกป้องเมืองลั่วเสินอย่างเงียบๆ
ใบหน้าของเสี่ยหลิงจื่อเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าปราการยังคงยืนหยัด พลังของค่ายกลแม่น้ำลั่วเกินความคาดหมายของเขาไปไกล
“เสี่ยหลิงจื่ออย่ากัดมากกว่าจะเคี้ยวได้ ค่ายกลนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยพลังของแม่น้ำลั่ว ตราบใดที่แม่น้ำลั่ว ยังยืนยงก็จะไม่ถูกทำลาย” ลั่วเทียนเสินรู้สึกโล่งใจกับภาพดังกล่าว จากนั้นก็เอ่ยเยาะเย้ย
ถึงแม้ว่าตระกูลลั่วเสินจะตกต่ำ แต่ศักดิ์ศรีของพยัคฆ์ก็ยังคงมี รากฐานของตระกูลลั่วเสินเกินกว่าตระกูลเสี่ยเสินมาก ไม่ต้องพูดถึงระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายอย่างเสี่ยหลิงจื่อ แม้แต่ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ไม่สามารถทำลายค่ายกลนี้ลงได้
นี่เป็นความเชื่อมั่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขาในการปกป้องพิธีเทพธิดาลั่ว!
“ฮึ่ม ข้าไม่เชื่อว่ากระดองเต่านี้จะปกป้องแกได้ตลอดไป!”
สายตาของเสี่ยหลิงจื่อมืดมนลงแฝงความดุร้ายขณะที่คำราม “ซัดไปที่จุดเดียว ทำลายมันให้ได้!”
ผู้อาวุโสทั้งห้าของตระกูลเสี่ยเสินรับคำสั่งด้วยท่าทางน่ากลัว คลื่นหลิงขนาดมหึมาแผ่ซ่านไปทั่ว ทำให้ทั่วทั้งภูมิภาคแดงฉาน กลิ่นเหม็นเลือดคละคลุ้งขึ้นสู่ท้องฟ้า
ตู้ม ตู้ม!
การโจมตีของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายหนึ่งคนและขั้นต้นห้าคน สิ่งนี้แทบจะทำลายโลกแตกสลาย การโจมตีที่น่าสะพรึงกลัวพุ่งลงมาจากท้องฟ้า ซัดโจมตีจุดเดียวบนปราการน้ำ
เผชิญหน้ากับการโจมตีรุนแรง ปราการก็ผันผวนรุนแรง ระลอกคลื่นแผ่กระจายไปทั่ว
ทุกคนในเมืองลั่วเสินมองไปที่ปราการที่สั่นสะเทือนด้วยความกลัวในสายตา
ทว่าลั่วเทียนเสินดูสงบนิ่งมาก เขามีความมั่นใจในค่ายกลแม่น้ำลั่วนี้ ตราบใดที่พวกเขายังยืนหยัดอยู่ได้ ตระกูลเสี่ยเสินก็จะไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้
“ลั่วหลีใช้เวลานี้ทำให้สำเร็จ” ลั่วเทียนเสินพึมพำเมื่อมองไปที่ลั่วหลีซึ่งถูกห่อหุ้มด้วยเปลวไฟ
ตราบใดที่ลั่วหลีประสบความสำเร็จในการพัฒนาดังกล่าว ตระกูลลั่วเสินก็จะเป็นปึกแผ่นอย่างแท้จริง ในเวลานั้นพวกเขาสามารถต่อสู้กับตระกูลเสี่ยเสิน เขาไม่เชื่อว่าตระกูลเสี่ยเสินจะยอมจ่ายราคามหาศาลเพื่อต่อกรกับตระกูลลั่วเสินของพวกเขา เพราะแบบนั้นจะทำให้ตระกูลลี่เสินและตระกูลกู่เสินได้รับประโยชน์จากการต่อสู้ครั้งนี้แทน
ด้วยความเข้าใจของลั่วเทียนเสินที่มีต่อตระกูลเสี่ยเสิน พวกเขาไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแน่นอน
ฟู่ ฟู่!
ราวกับลั่วหลีได้ยินเสียงของลั่วเทียนเสิน เปลวไฟบนร่างนางก็ลุกโชนเป็นพายุไซโคลนเพลิง
ในพายุหมุนนี้ดอกไม้เพลิงที่เย้ายวนบินฉวัดเฉวียนไปมา
“ท่านบรรพบุรุษโปรดปกปักตระกูลของเราด้วย!”
ลั่วหลีกำมือแน่น เลือดสีแดงเข้มหยดลงจากปลายนิ้ว นางพึมพำราวกับกำลังขอพร
แปะ!
หยดเลือดทิ้งตัวลงสู่แม่น้ำลั่วจมลึกลงไป
ตู้ม!
ทันใดนั้นแม่น้ำลั่วก็เดือดพล่าน ดอกไม้เทพธิดาบินออกไปรวมตัวกันอยู่ด้านหลังลั่วหลี ก่อตัวเป็นเงาแสง
ภาพเงาช่างบอบบาง แม้จะเลือนรางแต่ก็ยังงดงามจนใจสั่น
รัศมีโบราณเปล่งออกมาจากร่างเงานั้น
เมื่อภาพเงาปรากฏขึ้นทุกคนในเมืองลั่วเสินก็เปลี่ยนสีหน้า นั่นเป็นเพราะขณะนี้พวกเขารู้สึกถึงจุดกำเนิดของสายเลือด
“นั่นคือ…ท่านบรรพบุรุษลั่วเสินเรอะ?!”
เสียงที่น่าตกใจของลั่วเทียนเสินดังขึ้น เขามองดูเงาด้านหลังของลั่วหลีโดยไม่อยากจะเชื่อ จากนั้นใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยน้ำตา ใครจะคิดได้ว่าบรรพบุรุษของพวกเขาจะปรากฏเมื่อตระกูลลั่วเสินกำลังจะถึงกัลปาวสาน
ภาพเงามองมาที่ลั่วหลีแล้วคลี่ยิ้ม เสียงหัวเราะเบานั้นทำให้ทุกสรรพสิ่งเงียบลง
ภาพเงาแตะนิ้วที่กึ่งกลางคิ้วของลั่วหลี
คลื่นหลิงที่ไม่มีที่สิ้นสุดก็พุ่งเข้าสู่ห้วงแห่งจิตของลั่วหลี
“นั่นคือ…มรดกของลั่วเสิน?!”
ผู้อาวุโสทั้งสามของตระกูลสาขามองดูเหตุการณ์นี้ด้วยความอิจฉา พวกเขาไม่คิดว่าพิธีของลั่วหลีจะแตะถึงระดับสูงสุดนี้!
แค่ดอกไม้เทพธิดาก็ยังรับได้ แต่ทำไมกระทั่งท่านบรรพบุรุษยังปรากฏตัวและมอบมรดกให้ลั่วหลี!
“บรรพบุรุษผู้เป็นหนึ่ง! ทุกคนถวายบังคมองค์จักรพรรดินี!”
ชาวเมืองทุกคนรู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่ง พวกเขาคุกเข่าหมอบคลานพร้อมกับเสียงดังแสบแก้วหู
เมื่อเสี่ยหลิงจื่อเห็นสิ่งนี้ใบหน้าก็มืดมนพร้อมกับร่องรอยความกลัวผุดขึ้นในส่วนลึกของดวงตา
ลั่วหลีตรงหน้าทำให้เขารู้สึกถึงภัยคุกคามแล้ว
เขามองไปที่ปราการที่ยังตั้งมั่นภายใต้การโจมตีดุร้าย ใบหน้าก็กลายเป็นอุบาทว์คำรามลั่น “พวกแกยังไม่ขยับอีกเรอะ?”
เสียงคำรามของเขาดังก้อง ทำให้ดวงตาของลั่วเทียนเสินสั่นไหว มันกำลังเรียกตระกูลลี่เสินกับกู่เสินรึ?
ขณะที่ลั่วเทียนเสินเฝ้าระวังการแทรกแซงของอีกสองตระกูล เขาก็ไม่ได้สังเกตเห็นผู้อาวุโสสามคนจากตระกูลสาขากัดฟันกรอด
ทันใดนั้นคนหนึ่งก็เคลื่อนตัวไปทางแม่น้ำลั่ว
“แกจะทำอะไร?!” ลั่วเทียนหลงที่จับตามองทั้งสามตลอดก็คำรามกร้าว
วาบ!
อีกสองคนจากตระกูลสาขาก็ขยับเข้ามาอย่างรวดเร็วเพื่อสกัดลั่วเทียนหลงไว้
ตอนนั้นเองผู้อาวุโสที่เคลื่อนตัวเข้าใกล้แม่น้ำลั่วก็หยิบขวดของเหลวสีดำออกมาแล้วโยนลงไปในแม่น้ำลั่ว
ปัง!
ขวดระเบิดของเหลวสีดำพวยพุ่งออกมาพร้อมกับความผันผวนที่น่าขนพองสยองเกล้า บริเวณที่มันไหลผ่านก็ทำให้แม่น้ำลั่วแข็งค้างขึ้นทันที
เมื่อแม่น้ำถูกแช่แข็งก็เกิดช่องโหวบนค่ายกล ปราการเกิดความผันผวน รอยร้าวปรากฏขึ้นในปราการ
“รนหาที่ตาย!” ลั่วเทียนเสินคำรามกับภาพเบื้องหน้า เขาไม่คิดว่าคนตระกูลสาขาจะไร้ยางอายขนาดนี้
เห็นได้ชัดว่าพวกมันร่วมมือกับตระกูลเสี่ยเสินมานานแล้ว!
ปัง!
คลื่นหลิงที่น่ากลัวระเบิดออกมาจากร่างลั่วเทียนเสิน สายตาจ้องมองผู้ทรยศทั้งสามแล้วพุ่งเข้าใส่
วาบ!
แต่ขณะที่เขาเคลื่อนไหว คลื่นโลหิตก็ซัดเข้ามา เสี่ยหลิงจื่อพุ่งเข้ามาในเมืองลั่วเสินสกัดกั้นลั่วเทียนเสินเอาไว้
“จุ๊ๆ ลั่วเทียนเสินแกดีใจเร็วเกินไป!”
เสี่ยหลิงจื่อขวางทางลั่วเทียนเสินไว้ จากนั้นก็แสยะยิ้มพลางตะโกน “ทำลายพิธีเทพธิดาลั่ว!”
ชัดว่าเขากำลังพูดกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นทั้งห้าของตระกูลเสี่ยเสิน
วาบ! วาบ!
เมื่อสิ้นเสียง ทั้งห้าที่กำลังพยายามขยายรอยร้าวก็แบ่งสามคนพุ่งเข้ามาด้วยรัศมีโลหิต
“ใครคิดขัดขวางองค์จักรพรรดินีต้องตาย!”
ขณะที่พวกเขาพุ่งไปหาลั่วหลีi เสียงคำรามนับไม่ถ้วนดังก็กึกก้องเบื้องหน้า ลั่วชิงหยาและลั่วซิวพุ่งเข้ามาพร้อมกับกองทัพ ทะยานเข้าใส่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นทั้งสาม
“ฮึ่ม ช่างเป็นความพยายามที่ไร้ประโยชน์!”
หนึ่งในนั้นเค้นเสียงเย็น คลื่นหลิงสีแดงเข้มที่น่าสะพรึงกลัวระเบิดออกมาจากร่างเขา เขาสามารถสกัดลั่วชิงหยาและลั่วซิวด้วยตัวคนเดียว!
อีกสองคนพุ่งเข้าหาลั่วหลีโดยไม่ลังเล
“ปกป้องจักรพรรดินี!”
เงานับไม่ถ้วนพุ่งออกไปก่อตัวเป็นแนวป้องกันเบื้องหน้าลั่วหลี พวกเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าของตระกูลลั่วเสิน
“ไอ้พวกมด!”
ทว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทั้งสองไม่สนใจสิ่งนี้เลย คนหนึ่งแหวกคลื่นมนุษย์ออกไปแล้วกระทืบเท้าเรียกร่างเวทสวรรค์ออกมา ร่างใหญ่โตเปิดปากดูดดึงคลื่นหลิงในฟ้าดินเข้าไป
โฮก!
อึดใจร่างใหญ่โตก็เปิดปากส่งเสียงคลื่นที่น่ากลัวออกมา จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าเหล่านั้นถูกเป่ากระเด็นออกไป
จอมยุทธ์อีกคนอาศัยช่วงเวลานี้พุ่งผ่านแนวป้องกัน จากนั้นก็สะบัดนิ้ว แสงหลิงยิงไปในทิศทางของแท่นพิธีสีขาว
แท่นสีขาวแตกตกลงไปในแม่น้ำลั่วลอยอยู่บนผิวน้ำ
บนแท่นสีขาว ลั่วหลียังคงนั่งหลับตาอยู่
“ฮ่าๆ ตระกูลลั่วเสินยังมีใครสกัดข้าได้อีก?”
พอเห็นลั่วหลีตกอยู่ในสถานการณ์นี้ จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นที่พุ่งเข้ามาก็ระเบิดเสียงหัวเราะ ตอนนี้ตระกูลลั่วเสินได้งัดไพ่ตายออกมาทั้งหมดแล้ว งานพิธีเทพธิดาลั่วครั้งนี้ถือว่าล้มเหลวไม่มีชิ้นดี
จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนกำกำปั้นหอกโลหิตก็ปรากฏขึ้น ปลายหอกชี้ไปทางลั่วหลี เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ลังเลที่จะทำลายนางให้สิ้นซาก
ประชาชนที่เฝ้ามองสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปฉับพลันก็ร้องโศกเศร้าเสียใจ หรือว่าตระกูลลั่วเสินจะถึงกัลปาวสานอย่างแท้จริง?
ความโศกเศร้ากระจายทั่วเมืองส่งผลให้ลั่วหลีต้องลืมตาขึ้น ทว่านางได้แต่มองจอมยุทธ์ตระกูลเสี่ยเสินที่เข้าใกล้เรื่อยๆ นางกำหมัดแน่น เล็บจิกลงบนฝ่ามือ กัดริมฝีปากจนเลือดซึมออกมา
พิธีเทพธิดาของนางจะล้มเหลวแล้วจริงหรือ?
นางต้องการเวลาอีกเล็กน้อย…อีกเล็กน้อยเท่านั้นก็จะสามารถสำเร็จแล้ว!
จอมยุทธ์ตระกูลเสี่ยเสินมองลั่วหลีด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “น่าเสียใจเนอะ จอมยุทธ์อัจฉริยะหญิงแห่งตระกูลลั่วเสินต้องมาตายด้วยน้ำมือข้าหรือเนี่ย?”
“ตายซะ นังเวร!”
สายตาเขาเย็นยะเยือก หอกโลหิตพุ่งออกมาโดยไม่ลังเล พุ่งทะลุมิติเล็งไปที่กลางหว่างคิ้วของลั่วหลี
เมื่อหอกเสือกแทงออกมาทั่วเมืองก็เงียบกริบ ประชาชนมากมายล้มลงด้วยความสิ้นหวัง
ลั่วชิงหยาและลั่วซิวคำรามลั่น ขณะที่เรียกใช้รัศมีจั้นยี่พยายามที่จะทำลายการกีดขวางของศัตรูเบื้องหน้า
ลั่วเทียนเสินที่ถูกเสี่ยหลิงจื่อขัดขวางเอาไว้ก็ครางเสียงเศร้าหมอง
ลั่วเทียนหลงถูกบีบจากจอมยุทธ์สองคนจนขยับไม่ได้
ลั่วหลีกัดริมฝีปาก รอยเลือดไหลออกมาจากมุมปาก
ฮึ่ม!
หอกสีแดงฉีกผ่านมิติ
ตู้ม ตู้ม!
ทว่าจังหวะนั้นเมื่อหอกมาปรากฏต่อหน้าลั่วหลี ทุกคนก็ได้ยินเสียงระเบิดแสบแก้วหูดังขึ้นฉับพลัน
จอมยุทธ์ตระกูลเสี่ยเสินก็เหมือนสัมผัสได้ สีหน้าเปลี่ยนไป
ปัง!
วินาทีที่เขาสัมผัสได้ มิติเบื้องบนเขาก็ระเบิด สายฟ้าสีดำพุ่งลงมาอย่างรวดเร็ว
เร็วมากจนเขาไม่สามารถหลบได้ อึดใจต่อมาแสงสีดำก็กระแทกลงบนร่างเขาอย่างรุนแรงท่ามกลางใบหน้าที่อัดแน่นด้วยความตกใขหวาดผวา
ตู้ม!
เสียงระเบิดดังกึกก้อง จากนั้นทุกคนก็ตะลึงไปเมื่อเห็นพื้นผิวแม่น้ำลั่วยุบลง คลื่นสูงหมื่นจั้งพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วโปรยปรายลงมาราวกับพายุฝน
“นั่น…นั่นมันอะไร?”
ทุกคนตกใจกลัวกับฉากนี้
จอมยุทธ์ตระกูลลั่วเสินและเสี่ยเสินก็หยุดการปะทะทันทีและมองไปทิศทางนั้นด้วยสายตาตะลึงงัน
เมื่อพายุฝนโปรยปรายลงมาจนหมด พวกเขาก็เห็นได้อย่างชัดเจน
จอมยุทธ์ตระกูลเสี่ยเสินหายใจพะงาบๆ บนพื้นผิวของแม่น้ำมีร่างเงาหนึ่งยืนอยู่บนแผ่นหลังเขา มือข้างหนึ่งตะปบบนศีรษะ ขณะที่หัวเข่าข้างหนึ่งกดลงบนหลัง
เบื้องหน้าพวกเขาคือแท่นพิธีสีขาวที่ลอยอยู่บนแม่น้ำ
ฉากนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึง!
“ใคร…นั่นใครกัน?”
เสียงตื่นตกใจดังขึ้น จอมยุทธ์ชุดดำที่ปรากฏขึ้นฉับพลันทำให้พวกเขาตกตะลึงไป
พายุยังคงโหมกระหน่ำ ท่ามกลางเสียงตกตะลึงนับไม่ถ้วน ลั่วหลีก็อึ้งไปเมื่อมองร่างเงาที่พลิ้วตัวลงมาจากท้องฟ้า
ในไม่ช้านางก็หายจากอาการตกตะลึง ดวงตาเบิกกว้างขึ้นอย่างช้าๆ
ความไม่เชื่อสายตากระจายบนใบหน้าของนาง
พายุฝนโปรยปรายลงมาตรงหน้า ร่างเงาชุดดำที่ตึงร่างจอมยุทธ์ตระกูลเสี่ยเสินไว้ก็เงยหน้าขึ้นในเวลานี้ เขามองความงดงามเบื้องหน้า รอยยิ้มอ่อนโยนก็ผุดขึ้นบนใบหน้าของเขา
เขาเอามือข้างหนึ่งแตะบนหน้าอกก้มศีรษะลงเล็กน้อยแล้วยิ้ม
“จักรพรรดินีที่รักของข้า… องครักษ์ของเจ้า…มาถึงแล้ว!”
บทที่ 1212 พบกัน
หยาดฝนโปรยปรายทั่วบริเวณ
ลั่วหลีจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความไม่อยากเชื่อ
นางโหยหาใบหน้าคุ้นเคยนี้มาหลายปี แต่เมื่อเขาปรากฏตัวต่อหน้านางจริงๆ ก็รู้สึกว่าราวกับภาพฝัน
นางกลัวว่าทั้งหมดนี้จะเป็นเพียงภาพลวงตา ถ้าเป็นเช่นนั้นก็โหดร้ายเกินไป
ดังนั้นหลังจากจ้องมองชายหนุ่มครู่หนึ่ง เสียงสั่นพร่าของนางก็ดังขึ้น “ใช่เจ้าจริงๆ หรือ…มู่เฉิน?”
ขณะที่พูดนางก็เอื้อมมือออกไปช้าๆ นางต้องการสัมผัสใบหน้าเขา แต่มือของนางกลับชะงักลงเมื่อกำลังจะเคลื่อนเข้าไป
เมื่อมองด้านอ่อนแอที่นางไม่ค่อยแสดงให้เห็น มู่เฉินก็รู้สึกว่าหัวใจฉีกขาดเป็นริ้วๆ เขารู้ว่านี่เป็นความปรารถนาที่ลึกที่สุดในใจ มิฉะนั้นด้วยนิสัยนางไม่มีทางทำตัวอ่อนไหวเช่นนี้
ดังนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าเขายิ่งอุ่นมากขึ้น ขณะที่ใบหน้าโน้มออกมาให้มือสั่นเทาของลั่วหลีได้สัมผัส
“ลั่วหลี ข้าเอง”
เขายิ้มพูดต่อด้วยเสียงหนักแน่น “ข้ามาหาเจ้าแล้ว”
สัมผัสความอบอุ่นที่ซ่านในมือตนเองก็สามารถยืนยันได้ว่านี่คือมู่เฉินจริงๆ ลั่วหลีกัดริมฝีปากขณะที่น้ำตาคลอคลองหน่วยตา
ตั้งแต่กลับมาที่ตระกูล ไม่ว่านางจะเผชิญสถานการณ์แบบไหน นางก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งเสมอ แต่เมื่อนางได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยในวันนี้หัวใจของนางก็อ่อนยวบลง
เขาเติบโตขึ้นมากจากรูปลักษณ์เดิมที่เคยเห็น เมื่อคิดถึงสถานการณ์ความเป็นตายที่เขาต้องเผชิญเพื่อฝึกตนเองในวิถียอดยุทธ์ น้ำตาของลั่วหลีก็เริ่มร่วงหล่น
เขายังคงมีสายตาที่สดใสและมั่นใจ แต่ถึงจะซ่อนบางอย่างแนบเนียน ลั่วหลีก็เห็นความเหนื่อยล้าที่ซ่อนอยู่
สำหรับคนที่ฉลาดแบบนางก็คิดได้ในทันที เห็นได้ชัดว่าหลังจากมู่เฉินทราบสถานการณ์ของนางแล้ว เขาก็เร่งรุดเดินทางเพื่อมาปรากฏตัวช่วยเหลือนางในตอนนี้
“มู่เฉิน”
ลั่วหลียิ้มบางเรียกชื่อของเขา ในเวลานี้การรอคอยที่ยากลำบากตลอดหลายปีได้กลายเป็นความหวานซึ้งที่ตราตรึงอยู่ในส่วนลึกของหัวใจนาง เป็นสิ่งที่นางไม่อาจจะลืมเลือนแม้ว่าความตายมาพรากจาก
รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้านางที่เปื้อนน้ำตา ทำให้แม้แต่พายุฝนยังดูไม่โดดเด่น มู่เฉินที่เบื้องหน้านางก็ไม่อาจรอดจากความงดงามนี้ เขาอึ้งไปเมื่อมองนาง
ยามนี้ทุกสายตามารวมกันที่ร่างหนุ่มสาวทั้งสอง…
“เขาคือใคร?”
ผู้คนกระซิบด้วยความตกตะลึงในสายตา มู่เฉินแสดงพลังตั้งแต่มาถึงโดยการซัดจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนของตระกูลเสี่ยเสินจนหมอบราบ แม้จะมีส่วนตรงอีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความไม่ธรรมดาของเขา
คนที่ไม่รู้ข้อมูลตระกูลลั่วเสินดีก็เดาว่าชายหนุ่มคนนี้น่าจะเป็นจอมยุทธ์เงาของตระกูลลั่วเสิน
มีเพียงลั่วเทียนเสินและลั่วเทียนหลงเท่านั้นที่เกิดความสงสัยในหัวใจ พวกเขารู้ดีว่าตระกูลลั่วเสินนอกเหนือจากพวกเขาสองคนและตระกูลสาขาก็ไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนคนไหนอีก
ลั่วเทียนเสินจ้องมองแผ่นหลังร่างเงานั้น จากนั้นก็เห็นสีหน้าของลั่วหลี เขาดูเหมือนจะจำบางสิ่งได้ ก่อนที่ความไม่เชื่อและตกตะลึงจะกระจายในดวงตา
“ไม่หรอกมั้ง? ไม่…ไม่…เป็นไปไม่ได้!” ลั่วเทียนเสินพึมพำ จากนั้นก็ปฏิเสธการคาดเดาของตนเอง
เขาส่ายหัว ทันใดนั้นก็เห็นจอมยุทธ์ขุมพลังที่ตี้จุนที่ถูกเหยียบ สายตาหดลงพลางคำราม “ระวัง!”
ตู้ม!
ทันทีที่สิ้นเสียงลั่วเทียนเสิน คลื่นหลิงสีแดงเข้มทรงพลังก็ระเบิดออกมาจากร่างจอมยุทธ์ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของมู่เฉิน ร่างบิดตัวเหมือนงูและหลุดไปได้ พริบตาก็มาปรากฏขึ้นที่เบื้องหลังมู่เฉินพร้อมกับซัดฝ่ามือออกมา แสงสีแดงเข้มรวมอยู่ในฝ่ามือ กลิ่นคาวเลือดเข้มข้น รัศมีที่มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงแผ่ซ่าน
“ข้าจะฉีกแกเป็นชิ้นๆ!”
จอมยุทธ์ตระกูลเสี่ยเสินคำรามอย่างดุเดือด การโจมตีก่อนหน้าทำให้เขาอับอายขายขี้หน้าอย่างที่สุด ดังนั้นเขาจะต้องฆ่าชายคนนี้เพื่อระบายความโกรธในใจ
เขาถึงกับสลบเหมือดทันทีที่ถูกมู่เฉินโจมตี แต่ด้วยพลังยิ่งใหญ่ของระตับตี้จื้อจุน เขาจึงไม่ถูกฆ่าตายง่ายๆ
เขาไม่คิดว่าตนเองจะสู้กับมู่เฉินไม่ได้ เขาพลาดบาดเจ็บหนักไปเพราะการแอบโจมตีของมู่เฉินเท่านั้น
ตู้ม!
ฝ่ามือพุ่งมาถึงด้านหลังของมู่เฉิน ทว่าเมื่อเข้าใกล้มือเรียวข้างหนึ่งก็พุ่งออกมาจากที่ไหนไม่รู้คว้าจับมือเขาไว้
มือนั้นทำให้ฝ่ามือเขาที่มีพลังทำลายล้างขยับไม่ได้เลยสักนิดเดียว
“เป็นไปได้ยังไง?!” จอมยุทธ์ตระกูลเสี่ยเสินตกตะลึงด้วยความหวาดผวา
ปัง!
ทว่าก่อนที่เขาจะฟื้นคืนสติ ร่างนั้นก็เหวี่ยงขาโจมตี เงาซับซ้อนและคลื่นหลิงที่น่ากลัวที่อยู่เบื้องหลังถึงกับทำให้มิติแตกเป็นเสี่ยงๆ เศษชิ้นส่วนมิตินับไม่ถ้วนบินว่อนพุ่งไปที่หน้าอกของจอมยุทธ์ตระกูลเสี่ยเสิน
อ็อก!
เลือดสดพุ่งออกมาจากปากหน้าอกยุบลง หมอกเลือดระเบิดออกมาจากร่างขณะที่เขาปลิวออกไปราวกับกระสุนหลายหมื่นจั้งบนแม่น้ำลั่วก่อนที่จะหยุดลง จังหวะนั้นเลือดก็พ่นเต็มปากอีกครั้ง ใบหน้าของเขาซีดขาว เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บร้ายแรง
เสียงอุทานดังก้องในฟ้าดิน
ครั้งนี้แม้แต่เสี่ยหลิงจื่อก็หดตาลง ถ้าก่อนหน้านี้จอมยุทธ์ตระกูลเสี่ยเสินเสียเปรียบเพราะตั้งตัวไม่ทัน งั้นครั้งนี้เขาก็เป็นคนออกกระบวนท่าก่อน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงถูกร่างในชุดดำนั้นจัดการอย่างสิ้นซาก
ชายคนนี้คือใคร?
ภายใต้สายตาตื่นตะลึง มู่เฉินก็มองลั่วหลีพลางเช็ดคราบน้ำตาบนดวงหน้าสะคราญโฉม “เจ้าทำพิธีเทพธิดาลั่วให้เสร็จก่อนเถอะ”
เมื่อพูดจบเขากก็หันกลับมาอย่างช้าๆ ภายใต้สายตานับไม่ถ้วน
ซี้ด!
เมื่อทุกคนเห็นรูปลักษณ์ของเขาก็ต้องสูดหายใจเย็นเข้าปอด เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครคิดว่าคนที่สามารถซัดจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนกระเด็นเป็นถ้วยบินจะอายุน้อยเพียงนี้
มีเพียงใบหน้าของลั่วเทียนเสินที่แข็งทื่อทันที เมื่อเห็นใบหน้าอ่อนเยาว์นี้ แม้ว่าจะไม่ใช่ใบหน้าที่อ่อนเยาว์เหมือนในอดีตอีกต่อไป แต่เขาก็จำได้ทันที จอมยุทธ์ลึกลับคนนี้ก็คือเจ้าหนูอ่อนแอที่เขาพบในสำนักศึกษาเป่ยชาง
“ใช่…เขาจริงๆ!”
ลั่วเทียนเสินมองด้วยความไม่เชื่อ นี่ผ่านไปแค่กี่ปี? มู่เฉินในตอนนั้นยังไม่บรรลุขุมพลังจื้อจุนด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้กลับพัฒนาจนก้าวเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนแล้ว!
ต้องรู้ว่าแม้แต่ลั่วหลีที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศบวกกับทรัพยากรมหาศาลที่ตระกูลทุ่มเทให้ถึงสะสมได้จนจุดนี้และเริ่มการพัฒนา!
ทว่ามู่เฉินที่ไม่ได้มีภูมิหลังยิ่งใหญ่กลับสามารถพัฒนาได้ถึงขั้นนี้ในเวลาเพียงไม่กี่ปี เขาน่ากลัวขนาดไหนกัน?
ทันใดนั้นลั่วเทียนเสินก็จำได้ว่าตอนที่อยู่สำนักศึกษาเป่ยชาง มู่เฉินเคยพูดเมื่อตนเองพยายามข่มขู่เขาด้วยความโดดเด่นของลั่วซิวและลั่วชิงหยา เมื่อไรที่เขามีอายุเท่ากับพวกเขาก็จะแซงหน้าไปแบบไม่เห็นฝุ่นไปเลย
ตอนนั้นเขาเพียงสบประมาทคำพูดของเด็กน้อย โดยคิดว่าช่างเป็นเด็กที่ไม่รู้จักขีดจำกัดของตนเอง แต่ตอนนี้…ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าเป็นตนเองที่ทำเรื่องตลก
ลั่วเทียนเสินมองชายหนุ่มด้วยสายตาซับซ้อนก่อนจะส่ายหัวด้วยรอยยิ้มขมขื่น ลั่วหลีดูเหมือนว่าสายตาของหลานจะดีกว่าปู่จริงๆ ทุกคนคิดว่าเขาเป็นเพียงหินกรวดธรรมดา มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่เชื่อมั่นเสมอว่าเขาคือเพชรแท้
ลั่วซิวและลั่วชิงหยาก็อึ้งไปเช่นกันเมื่อจ้องมองไปที่มู่เฉิน พวกเขาจำอีกฝ่ายได้ ย้อนกลับไปเมื่อพวกเขาติดตามลั่วเทียนเสินไปที่สำนักศึกษาเป่ยชาง ตอนนั้นมู่เฉินยังอ่อนแอและธรรมดาสามัญมาก
ใครจะคิดว่าเยาวชนที่พวกเขาเคยดูถูกจะแซงหน้าไปแบบไม่เห็นฝุ่น ทั้งคู่มีความรู้สึกที่ดีต่อลั่วหลี จึงมองมู่เฉินเป็นคู่แข่ง แต่ในเวลานี้พวกเขาเข้าใจแล้วว่าการแข่งขันนั้นดูตลกเพียงใด
ทั้งสองแลกเปลี่ยนสายตากันและยิ้มอย่างขมขื่น เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้สึกแห้วไปไม่น้อย
“ไอ้เด็กเวร แกเป็นใคร?!”
ขณะที่ผู้คนกำลังตกตะลึงกับความอ่อนวัยของมู่เฉิน เสียงคำรามก็ดังขึ้น เสี่ยหลิงจื่อมองมู่เฉินด้วยสายตาโกรธเกลียด หากไม่ใช่มู่เฉิน พวกเขาคงหยุดพิธีเทพธิดาลั่วในตอนนี้ได้แล้ว
ทว่ามู่เฉินไม่สนใจอีกฝ่ายสักนิด เขามองไปที่ลั่วเทียนเสินประสานมือให้ “คารวะท่านประมุขลั่ว”
เสียงสดใสดังก้องขณะที่เขายืนนิ่ง ความแวววาวเบื้องหลังดวงตา ทำให้ทุกคนรู้สึกถึงความเป็นอัจฉริยะที่อยู่ภายใน
ลั่วเทียนเสินมองไปที่มู่เฉินก็ยิ้มฝืด ใบหน้าของเขาดูเคอะเขิน เพราะไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับคนเบื้องหน้าอย่างไรดี เพราะเมื่อก่อนเขาเป็นปู่ที่ใจร้ายที่แยกคู่รักคู่นี้ไปหลายปี
เมื่อเสี่ยหลิงจื่อเห็นว่าตนเองถูกเพิกเฉย ไอสังหารในดวงตาก็เพิ่มขึ้น ริ้วเลือดกระจายออกมาจากร่าง
เขามองมู่เฉินอย่างเฉยเมย แต่ทุกคนรู้สึกได้ถึงความตั้งใจฆ่าหนาแน่นในสายตาเขา
“ไอ้หนู แกกล้าบอกชื่อตัวเองไหม?!”
แรงสั่นสะเทือนที่น่ากลัวของระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายหลั่งออกมาพร้อมกับพื้นดินโยกคลอน
ทว่าภายใต้แรงกดดันอันน่าสะพรึง ชายหนุ่มกลับยิ้มบางขณะก้าวออกไปปกป้องลั่วหลีไว้เบื้องหลัง
ภายใต้รัศมีเลือดเดือดดาลคำรามลั่น เสียงที่สาดไอสังหารก็กระจายไปทั่วบริเวณนี้
“ทวีปเทียนหลัว ภูมิภาคทางเหนือ ประมุขตำหนักมู่…มู่เฉิน”
บทที่ 1213 ฆ่าให้เจ้าดู
“ทวีปเทียนหลัว ภูมิภาคทางเหนือ ประมุขตำหนักมู่?”
เมื่อมู่เฉินพูดคำเหล่านั้นออกมา สมาชิกตระกูลลั่วเสินและเสี่ยหลิงจื่อก็ขมวดคิ้วเบาๆ ในฐานะหนึ่งในมหาทวีปพวกเขาเคยได้ยินชื่อนี้มาอยู่แล้ว ทว่าไม่คุ้นเคยกับภูมิภาคทางเหนือเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตำหนักมู่…
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้เสี่ยหลิงจื่อก็ค่อยๆ คลายความกังวลในใจ ตอนแรกเขาคิดว่ามู่เฉินมาจากเผ่าโบราณ แต่เมื่อมองดูแล้วภูมิหลังของเจ้าหนูนี่ก็ไม่น่ากลัวอะไรเลย
จอมยุทธ์หนุ่มขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นน่าตกตะลึงโดยธรรมชาติ แต่ในสายตาของเขามู่เฉินเป็นเพียงคู่ต่อสู้ที่สร้างความปวดหัวในการสังหารเล็กน้อยเท่านั้น
ในฐานะประมุขตระกูลเสี่ยเสิน เสี่ยหลงจื่อมีประสบการณ์มาก ดังนั้นเขาจึงมีนิสัยร้ายกาจยิ่ง
“ตำหนักมู่… ไม่เคยได้ยินมาก่อน”
สายตามืดมนของเสี่ยหลิงจื่อมองไปที่มู่เฉินพลางพูดต่อย่างไม่แยแส “ไอ้หนูเห็นว่าไม่ง่ายสำหรับเจ้าที่ฝึกฝนมาได้ไกลขนาดนี้ ข้าจะทำเป็นว่าไม่เคยเห็นถ้าเจ้าจะจากไปตอนนี้ มิฉะนั้นข้าจะให้เจ้ารู้ว่าโง่แค่ไหนที่ทำให้ตระกูลเสี่ยเสินขุ่นเคือง”
เขารู้สึกว่าตนเองให้หน้ามู่เฉินมากพอ หากชายหนุ่มมองเห็นสถานการณ์ทะลุปรุโปร่งก็จะรู้ว่าในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำได้เพื่อเปลี่ยนแปลงสถานการณ์นี้ได้
ทว่าขณะที่เขาคิดเช่นนี้กลับเห็นมู่เฉินยิ้มบางก่อนจะยกนิ้วชี้ไปในระยะไกล
“ไอ้แก่ที่ทำตัวอาวุโส…ไสหัวไป!”
ใบหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนเป็นเย็นเยือก น้ำเสียงอัดแน่นด้วยจิตสังหารเยือกเย็นดังก้องไปทั่ว
ทุกคนมีสีหน้าแข็งทื่อเมื่อมองไปที่มู่เฉินอย่างตกตะลึง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาตกใจมากกับคำพูดนี้
เสี่ยหลิงจื่อเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายตัวจริงนะ!
มิหนำซ้ำยังมีตระกูลทรงพลังเป็นภูมิหลัง!
การเผชิญหน้ากับบุคคลยิ่งใหญ่อย่างนี้ ถึงแม้ว่ามู่เฉินจะไม่ธรรมดาด้วยขุมพลังที่มี แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะท้าทายกับตระกูลเสี่ยเสินเพียงผู้เดียว
ภายใต้ความเงียบใบหน้าของเสี่ยหลิงจื่อก็เปลี่ยนเป็นมืดสนิท เขาจ้องเขม็งไปที่มู่เฉิน ครู่ต่อมารอยยิ้มก็ค่อยๆ โค้งขึ้นที่มุมปาก
“ไอ้เด็กไม่กลัวตาย!”
เสี่ยหลิงจื่อยิ้มน่าขนพองสยองเกล้า อึดใจก็โบกมือ “ในเมื่อแกหยิ่งนัก… เสี่ยถง เสี่ยโส่ว เสี่ยยี ฆ่ามันให้ตายที่นี่ซะ”
ในตอนท้ายน้ำเสียงก็เย็นเยือกถึงขีดสุด กระทั่งอากาศรอบด้านเขายังถูกแช่แข็ง
วาบ!
เกลียวแสงสีแดงเลือดสามสายปรากฏขึ้นที่ด้านหลังเสี่ยหลิงจื่อ ก่อนที่ร่างจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสามคนของตระกูลเสี่ยเสินจะยืนอยู่ข้างหลัง ทุกคนจ้องมองไปที่มู่เฉินด้วยแววเยาะเย้ยราวกับว่ากำลังดูแกะเตรียมตัวถูกบูชายัญ
โห่
เมื่อเห็นว่าตระกูลเสี่ยเสินส่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสามคนเพื่อจัดการกับมู่เฉิน ความปั่นป่วนแผ่ซ่าน ทุกคนรู้สึกว่าตระกูลเสี่ยเสินไร้ยางอายนัก ทว่าพวกเขาก็พูดอะไรไม่ได้ เพราะนี่ไม่ใช่การประลองแบบมีกติกา แต่เป็นสงครามที่เกี่ยวข้องกับความเป็นตายของเผ่าพันธุ์
เรื่องบาดหมางและความชั่วร้ายที่อยู่ในนั้น ทำให้ไม่มีใครประหลาดใจกับทุกวิธีที่ใช้
ดังนั้นเหล่าจอมยุทธ์ในดินแดนซีเทียนเล็กที่เฝ้ามองก็ได้แต่ส่ายหัว พวกเขารู้สึกสงสารมู่เฉินจับใจ ด้วยความสามารถของเขาอนาคตต้องไม่ธรรมดาแน่นอน แต่น่าเสียดายที่จะต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่คิดว่าจอมยุทธ์หนุ่มคนนี้จะสามารถหลบหนีจากมือฝ่ายตรงข้ามสามคนไปได้
“เสี่ยหลิงจื่อถามตาแก่คนนี้ก่อนที่จะทำอะไรป่าเถื่อนในเขตแดนของตระกูลลั่วเสิน!”
ท่ามกลางสายตาเสียดายของผู้คน ลั่วเทียนเสินก็คำรามขณะมองไปที่เสี่ยหลิงจื่อ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตระเบิดออกมาจากร่างเขา ร่างเวทสวรรค์ก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นที่ด้านหลัง
มู่เฉินเร่งรุดมาจากแดนไกลเพื่อลั่วหลี ดังนั้นไม่ว่าจะทำอย่างเขาก็ต้องปกป้องชายหนุ่มคนนี้ ไม่เช่นนั้นเขาจะเผชิญหน้ากับหลานสาวได้อย่างไร? หากทำไม่สำเร็จก็สู้ตายแบบสมเกียรติดีกว่า
“จุ๊ๆ ไม้ผุๆ อย่างแกที่ถูกวางยาพิษคำสาปเลือดปีศาจของข้าจนตอนนี้ยังไม่หายดี มีสิทธิ์อะไรมาพูดเช่นนี้?”
ทว่าเผชิญกับลั่วเทียนเสินที่เปล่งรัศมีเกรี้ยวกราด เสี่ยหลิงจื่อก็หัวเราะด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยอาการเยาะเย้ย
เขาก้าวออกไปมหาสมุทรเชี่ยวกรากที่เต็มไปด้วยเลือดก็ก่อตัวข้างหลัง ควบแน่นเป็นร่างเวทสวรรค์ขนาดใหญ่โต เมื่อร่างนี้หายใจออกก็เกิดละอองเลือดพร้อมกับพิษที่กัดกร่อน
“พวกเจ้ายังไม่ลงมืออีก?”
หลังจากเสี่ยหลิงจื่อเรียกคลื่นหลิงเพื่อคุมเชิงลั่วเทียนเสิน เขาก็มองไปที่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสามคนอย่างเย็นชา ตะโกนเสียงเข้ม
“รับทราบ!”
จอมยุทธ์ทั้งสามของตระกูลเสี่ยเสินไม่ลังเลอีกต่อไป ร่างกลายเป็นลำแสงพุ่งผ่านขอบฟ้ามุ่งหน้าไปหามู่เฉิน
“สกัดพวกมัน!”
ใบหน้าของลั่วเทียนเสินเขียวคล้ำขณะที่ตะโกน
ลั่วชิงหยาและลั่วซิวพุ่งออกไปอย่างไม่เกรงกลัว รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตกวาดเข้าหาทั้งสาม จอมยุทธ์คนอื่นๆ ของตระกูลลั่วเสินก็พุ่งเข้าสู้รบ
ทว่าการกีดขวางของพวกเขาไม่มีผลกระทบต่อจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทั้งสาม ลำแสงเลือดพุ่งออกมาสามสาย แนวป้องกันถูกทำลายทันที
เวลานี้ตระกูลลั่วเสินพ่ายแพ้หมดท่า
ความหวังในใจพลเมืองตระกูลลั่วที่เพิ่มขึ้นจากการปรากฏตัวของมู่เฉินก็เหี่ยวเฉาลง ใบหน้าของพวกเขากลายเป็นซีดเผือด แม้ว่ามู่เฉินจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ของตระกูลลั่วเสิน
ตราบใดที่มู่เฉินถูกฆ่าใครจะสามารถช่วยเหลือตระกูลลั่วเสินได้อีก?
ลั่วเทียนหลงก็พยายามจะเข้าไปช่วยมู่เฉิน แต่ถูกผู้อาวุโสสาขาทั้งสามขัดขวางไว้ ถ้าไม่ใช่ว่าทั้งสามคนไม่ได้คิดสู้เสี่ยงชีวิต แม้แต่เขาก็คงตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังแล้ว
“ลั่วเทียนหลงอย่าขัดขืน แกไม่สามารถเปลี่ยนผลลัพธ์ได้แล้ว พวกข้าทำสิ่งนี้เพื่อรักษาตระกูลลั่วเสิน ไม่งั้นการทำลายล้างกวักมือเรียกเราแน่!” ทั้งสามคนพูดด้วยเสียงเข้ม พวกเขาไม่ต้องการเห็นลั่วเทียนหลงตายที่นี่ หากพวกเขาได้อีกฝ่ายมาเป็นพวกก็จะเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
“ไอ้เด็กนั่นสมควรต้องตายสำหรับการท้าทายตระกูลเสี่ยเสิน ทำไมตระกูลลั่วเสินต้องสูญเสียเพื่อมันด้วย?”
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับความพยายามในการชักแม่น้ำทั้งห้า ลั่วเทียนหลงก็มองพวกเขาอย่างรังเกียจ เขาไม่คิดจะพูดให้มากความ พยายามมองหาหนทางเป็นอิสระ ทำให้ทั้งสามต้องสร้างปราการให้แข็งแกร่งขึ้น เขาราวกับพยัคฆ์ในกรงดิ้นรนเพื่อหลุดพ้นจนบาดแผลกระจายทั่วร่าง
ทั่วทั้งพื้นที่ตกสู่ความโกลาหลอีกครั้ง
ขณะนี้บนตึกสูงในเมืองลั่วเสิน ร่างหลายร่างกำลังมองมาที่ฉากน่าสลดใจนี้
“เรายังไม่ลงมือตอนนี้เหรอ?” หลิ่วเทียนเต้ามองจอมยุทธ์สามคนที่พุ่งเข้าหามู่เฉินก็ถามเสียงต่ำ
มั่นถัวหลัวหลับตาตอบเสียงแผ่วเบา “พวกเจ้ารีบฟื้นตัว”
เนื่องจากทั้งสี่คนหมดแรงในการเดินทาง ดังนั้นสภาพของพวกเขาจึงไม่ค่อยดี ความสามารถในการกู้คืนพลังของพวกเขาไม่ได้เหมือนมู่เฉิน ดังนั้นพวกเขาจึงยังไม่ฟื้นตัวจากความเหนื่อยล้า
โยวมิ่งลังเล “แต่นั่นเป็นระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นสามคนเชียวนะ”
เขาเตือนมั่นถัวหลัว แม้ว่ามู่เฉินจะไม่อ่อนแอ แต่ก็อาจเป็นอันตรายสำหรับเขาที่จะต้องเผชิญกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสามคน
มุมปากของมั่นถัวหลัวโค้งขึ้นขณะที่มองโยวมิ่ง “งั้นพวกเจ้าก็รอดูความสามารถของประมุขตัวเองเลย”
“ตอนนี้รีบคืนพลังไปเงียบๆ เรื่องในวันนี้ไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก”
พูดจบนางก็มองไปที่ระยะไกล
บนแม่น้ำลั่ว
มู่เฉินยืนนิ่งขณะมองจอมยุทธ์สามคนที่กำลังพุ่งเข้าหา ทว่าไม่มีความตื่นตระหนกใดๆ บนใบหน้าของเขา ในทางตรงกันข้ามใบหน้ากลับเต็มไปด้วยจิตสังหารเย็นเยือก
“มู่เฉิน”
เสียงของลั่วหลีดังขึ้นเมื่อนางเห็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทั้งสามมุ่งหน้ามายังทิศทางนี้ ดวงตาของนางเปล่งแสงกังวลพลางเอ่ยเสียงเบา “ให้ข้าช่วยไหม?”
มู่เฉินยิ้มบาง “ภัยพิบัติของเจ้ากำลังจะมา”
ตอนนี้ชั้นเมฆซ้อนทับอยู่เหนือร่างนางซึ่งเป็นสัญญาณแห่งภัยพิบัติหลิง ยามนี้นางไม่มีเวลามาต่อสู้ได้
ลั่วหลีกัดริมฝีปาก
ฮา
มู่เฉินสูดหายใจเข้าลึกแล้วหันไปยิ้มกับคนรัก “ลั่วหลี เจ้าเชื่อในตัวข้าไหม?”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขาลั่วหลีก็ยิ้ม “เจ้าคิดอย่างไรล่ะ?”
มู่เฉินยิ้ม จากนั้นก็ก้าวย่างบนผิวน้ำอย่างช้าๆ ระลอกคลื่นกระเพื่อมไหวอยู่ใต้ฝ่าเท้า
“งั้นเจ้าก็มุ่งเน้นไปที่ภัยพิบัติหลิงซะ… สำหรับสุนัขสามตัวนี่ข้าจะฆ่าพวกมันให้เจ้าดูเอง”
บทที่ 1214 ความน่าสะพรึงกลัว
ตู้ม!
ลำแสงสีเลือดสามสายทะยานผ่านสายตาสมาชิกชั้นสูงตระกูลลั่วเสินไป พวกเขาจ้องมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาโหดเหี้ยม
เบื้องล่างมีร่องสามร่องบนแม่น้ำลั่วเกิดขึ้นภายใต้ความเร็วสูงนั่น
พวกเขาทั้งสามเข้าใกล้มู่เฉินในพริบตา
สายตาทุกคู่พุ่งความสนใจไป แม้พวกเขารู้สึกว่ามู่เฉินชะตาขาดแล้ว ทว่าพวกเขาก็รู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นการแสดงออกที่สงบนั่น หรือว่าชายหนุ่มคนนี้จะมีไพ่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ?
วาบ!
ขณะที่ผู้คนเกิดความคิด ในที่สุดมู่เฉินก็เคลื่อนไหว แต่เขาไม่ได้ไปเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ทั้งสาม กลับพุ่งไปทางขวามือ
“ฮ่าๆ ไอ้เวร เมื่อครู่โอหังนักไม่ใช่รึ? วิ่งหนีตอนนี้ทำไม?” เมื่อเห็นมู่เฉินทะยานไปอีกทิศทางหนึ่งผู้อาวุโสตระกูลเสี่ยเสินก็ระเบิดเสียงหัวเราะเยาะเย้ย
การกระทำของมู่เฉินไม่แตกต่างไปจากการยอมรับความอ่อนแอในสายตาของพวกเขา
คนตระกูลลั่วเสินอดรู้สึกผิดหวังกับฉากนี้ไม่ได้ จากนั้นก็เยาะเย้ยตัวเอง เพราะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นทุกคนที่ต้องเผชิญหน้ากับจอมุยทธ์สามคนก็คงต้องหนีไปอยู่แล้ว
ทว่ามู่เฉินยังคงมีท่าทีสงบเมื่อเผชิญกับการเยาะเย้ยของผู้อาวุโสและสายตาผิดหวังของผู้คน เขาพุ่งออกไปด้วยความเร็วสูง ทำให้ระยะห่างระหว่างเขากับตาเฒ่าสามคนนี้ยืดออกไปเรื่อยๆ
เสี่ยยีเคลื่อนไหวเร็วสุด ช้ากว่ามู่เฉินเพียงเล็กน้อย โดยมีเสี่ยถงและเสี่ยโส่วติดตามอยู่ข้างหลังตามลำดับ
“ไอ้เวร ถ้าขืนแกยังวิ่งต่อไป พวกข้าย้อนไปจัดการนังลั่วหลีแน่” เสี่ยยีรู้สึกหงุดหงิดขณะที่คำรามเมื่อเห็นไม่ว่าพวกเขาจะพยายามอย่างไร ก็ไม่สามารถเข้าใกล้มู่เฉินได้
คำพูดนั่นดูมีประสิทธิภาพเนื่องจากมู่เฉินหยุดยืนเหนือแม่น้ำแล้วหันกลับมา ทว่าเสี่ยยีก็ต้องตกใจเมื่อเห็นการเยาะเย้ยบนใบหน้าของมู่เฉิน
“พวกแกคิดว่าข้ากำลังหนีจริงๆ หรือ?” มู่เฉินยิ้ม
ก่อนที่เสี่ยยีจะตอบกลับ ทุกคนก็เห็นฝ่ามือของมู่เฉินประสานกันสร้างตราประทับที่ลึกซึ้งขึ้น
“ตู้ม!”
ทันทีที่มู่เฉินวาดกระบวนท่า เสี่ยยีก็ได้เห็นแสงแวววาวไร้ขอบเขตระเบิดจากแม่น้ำลั่วพร้อมกับเสียงคำรามของมังกรดังก้อง
เสี่ยยีหันกลับไปทันที ดวงตาก็ต้องหดลงเมื่อเห็นแม่น้ำลั่วถูกแยกออกจากกันโดยสัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนที่รวมเข้าด้วยกัน สายผนึกถักทอกลายเป็นค่ายกล
ค่ายกลประกอบด้วยมังกรเจ็ดตัวถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับคลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัวเอิบอาบออกมา ขณะนี้เสี่ยถงที่อยู่ข้างหลังเขาถูกขังไว้โดยค่ายกลเรียบร้อย
โห!
การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันทำให้เกิดเสียงอุทานดังลั่น ทุกคนตกตะลึง พวกเขาสามารถรู้สึกถึงความผันผวนของคลื่นพลังที่แข็งแกร่งอย่างมากที่มาจากค่ายกล
“นี่คือค่ายกลระดับจงซือ!”
“สวรรค์ มู่เฉินเป็นหลิงเจิ้นจงซือด้วยเหรอนี่?!”
ทุกคนเบิกตากว้าง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่คิดว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นคนนี้จะเป็นหลิงเจิ้นจงซือด้วย!
“ที่แท้เขาก็ไม่ได้วิ่งหนี เขาตั้งใจสร้างระยะห่างระหว่างตัวเขากับสามคนนั่นและใช้แม่น้ำลั่วช่วยปกปิดการจัดวางค่ายกล มิหนำซ้ำยังกระตุ้นค่ายกลขังเสี่ยถงให้ติดอยู่ในนั้นด้วย!”
ในที่สุดก็มีคนเข้าใจแรงจูงใจเบื้องหลังการกระทำของมู่เฉิน เสียงอุทานด้วยความตกใจกระจายเต็มใบหน้า ชายหนุ่มผู้นี้ช่างน่าสะพรึงเกินไปแล้ว เขาวางกับดักตั้งแต่ตาเฒ่าทั้งสามเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว
เขาฉลาดแกมโกงจริงๆ!
เสี่ยหลิงจื่อที่ใช้ร่างเวทสวรรค์ปราบปรามลั่วเทียนเสินก็มีสีหน้าก็ดิ่งลงกับฉากนี้ แต่ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกหวาดกลัว เพราะแม้แต่เขาก็ยังไม่สามารถค้นพบได้ว่ามู่เฉินจัดตั้งค่ายกลระดับจงซือขึ้นมาได้อย่างไร ถึงส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะแม่น้ำลั่วช่วยปกปิดไว้ แต่นี่ก็พิสูจน์ให้เห็นถึงความสำเร็จสูงส่งของมู่เฉินในศาสตร์ค่ายกล
“ไอ้เด็กปีศาจนี่มาจากไหน? ทำไมเขาถึงสำเร็จศาสตร์ค่ายกลระดับสูงแบบนี้ได้ด้วย?” เสี่ยหลิงจื่อตกตะลึงและโกรธแค้นในใจ คนธรรมดาในวัยเดียวกับมู่เฉินถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะหากพวกเขาไปถึงระดับของมู่เฉินในศาสตร์ด้านใดด้านหนึ่ง ทว่ามู่เฉินประสบความสำเร็จทั้งสองอย่าง นี่ต้องการพรสวรรค์และโอกาสที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหนกัน?
ถ้ามู่เฉินมีเวลามากขึ้นก็จะเติบโตเป็นยอดยุทธ์สูงสุดในอนาคตอย่างแน่นอน
เมื่อไรที่เขาไปถึงจุดนั้นตระกูลเสี่ยเสินก็จะถูกชำระแค้นและล้างบางแน่นอน
พอคิดได้ดังนี้ สายตาของเสี่ยหลิงจื่อก็น่าขนพองสยองเกล้ายิ่งขึ้น ด้วยสถานการณ์ดำเนินไปไกลถึงขนาดนี้ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะหยุดยั้ง ในเมื่อเป็นแบบนี้เขาก็ต้องฆ่าจอมยุทธ์หนุ่มอนาคตไกลคนนี้ซะ!
“เสี่ยยี เสี่ยโส่ว ฆ่ามัน!”
เสียงคำรามของเสี่ยหลิงจื่อดังก้อง
เมื่อเสี่ยยีได้ยินคำสั่งของเสี่ยหลิงจื่อ แววตาก็มืดมนลง “ต่อให้แกจะขังเสี่ยถงไว้ แต่ก็ยังง่ายสำหรับพวกข้าสองคนที่จะฆ่าแก!”
มู่เฉินมองไปที่เสี่ยโส่วที่ทะยานเข้ามาอย่างรวดเร็วก็ยิ้มอ่อน “มันไม่สามารถมาที่นี่ได้หรอก”
ม่านตาของเสี่ยยีหดลง จากนั้นเขาก็คลี่ยิ้มน่ากลัว “โอ้? แกจะบอกว่าได้สร้างค่ายกลสองค่ายกลในระดับนี้ด้วยเวลาสั้นๆ นี้รึ?”
“ไม่ใช่ค่ายกล”
มู่เฉินส่ายหัวเบาๆ ขณะที่ดีดนิ้ว แม่น้ำก็เดือดปุด วินาทีต่อมาร่างเงานับพันร่างก็พุ่งออกจากก้มแม่น้ำ ยืนเบื้องหน้าเสี่ยโส่วปิดกั้นไม่ให้สามารถร่วมพลังกับเสี่ยยีได้
ตู้ม!
เมื่อเงานับพันปรากฏขึ้น รัศมีจั้นยี่ที่น่าสะพรึงกลัวก็ระเบิดออกจากพวกเขา ก่อนที่พวกเขาจะกวาดตัวเหมือนพายุทอร์นาโดปิดกั้นเสี่ยโส่วเอาไว้
เมื่อรัศมีจั้นยี่ครอบครองท้องฟ้า ทั่วทั้งเมืองก็เงียบกริบ
ทุกคนตะลึงเมื่อมองไปที่ร่างเงานับพัน พวกเขาสามารถบอกได้ว่านี่เป็นกองทัพชั้นยอด ทว่ากองทัพนี้ไม่มีพลังชีวิตใดๆ ดังนั้นนี่คือร่างได้รับการเก็บรักษาหลังจากการเสียชีวิตลง
กองทัพนี้ทรงพลังจนสามารถขัดขวางจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นได้ แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุของความตกใจ เพราะถ้าต้องการควบคุมกองทัพชั้นยอดก็หมายความว่ามู่เฉิน…เป็นจั้นเจิ้นซือด้วย!
นอกจากนี้ยังเป็นไป่วั่นเหวินจั้นเจิ้นซืออีกด้วย!
ซื้ด!
ทั้งเมืองเงียบกริบ สายตาตกตะลึงจ้องมองไปที่ร่างเงาเหนือแม่น้ำลั่ว พวกเขาถึงกับสูดลมหายใจเย็น
ตอนนี้พวกเขารู้สึกได้เลือนรางว่ามู่เฉินน่าสะพรึงอย่างไร
จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นที่อายุน้อยเช่นนี้หายาก แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาเหลือเชื่อ แต่ถ้าในขณะเดียวกันเขายังเป็นทั้งหลิงเจิ้นจงซือและไป่วั่นเหวินจั้นเจิ้นซืออีก ข้อมูลนี้ทำให้จิตใจของพวกเขาพังพินาศไปเลยทันที
ลั่วซิวและลั่วชิงหยาก็ตะลึงกับภาพนี้ พวกเขาพึ่งพาทรัพยากรจำนวนมากของตระกูลลั่วเสินกว่าจะสำเร็จในเส้นทางจั้นเจิ้นซือ ทว่าพวกเขาก็อยู่ในขั้นสือวั่นเหวินจั้นเจิ้นซือเท่านั้น แต่มู่เฉินกลับไปถึงขั้นไป่วั่นเหวินจั้นเจิ้นซือแล้ว
ยามนี้พวกเขาไม่มีความคิดที่จะแข่งขันกับมู่เฉินอีกแม้แต่น้อย
พวกเขาแลกสายตาพลางยิ้มอย่างขมขื่นก่อนที่จะรู้สึกโล่งใจ บางทีคนโดดเด่นเช่นนี้เท่านั้นที่คู่ควรกับลั่วหลี
“จั้นเจิ้นซือ”
ดวงตาของเสี่ยหลิงจื่อแดงก่ำจ้องเขม็งไปยังฉากนี้ ขณะที่พูดคำเหล่านี้ เขาก็กัดฟันแน่นระงับความพลุ่งพล่านในหัวใจ ยามนี้เปลือกตาของเขากระตุกอย่างรุนแรงด้วยจิตสังหารที่ไหลในหัวใจของเขา
ลั่วเทียนเสินก็อึ้งไปเช่นกัน ครู่ต่อมาเขาก็หายใจลึกเพื่อระงับอารมณ์ในหัวใจ ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมมู่เฉินถึงกล้ามาที่ตระกูลลั่วเสิน ตอนนี้มู่เฉินเติบโตกลายเป็นยอดยุทธ์ภายในเวลาแค่ไม่กี่ปี
เผชิญหน้ากับมู่เฉิน แม้แต่คนที่ทรงอำนาจอย่างลั่วเทียนเสินก็รู้สึกถึงร่องรอยแห่งความกลัว
ยามนี้เขานึกย้อนถึงคำพูดที่มู่เฉินพูดกับเขาตอนที่พาลั่วหลีกลับมา ‘ครั้งหน้าข้าจะไม่ปล่อยให้ใครหน้าไหนพานางไปจากข้าได้อีก’
เวลานั้นลั่วเทียนเสินไม่ได้สนใจคำพูดเหล่านั้นมาก แต่มู่เฉินทำงานหนักเพื่อเป้าหมาย ลั่วเทียนเสินนึกไม่ออกเลยว่ามู่เฉินฝึกฝนมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร แต่เขาเดาได้ว่ามู่เฉินต้องท้าความเป็นตายมามากมายนับไม่ถ้วน
เจ้าหนูคนนี้มีความยึดมั่นที่น่ากลัวและเหนียวแน่น
ท่ามกลางสายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน มู่เฉินประจันหน้ากับเสี่ยยีซึ่งมองฉากนี้ด้วยความไม่เชื่อ เสี่ยถงโดนขังอยู่ในค่ายกลระดับจงซือ ส่วนเสี่ยโส่วก็ตกในวงล้อมกองทัพน่าสะพรึง
ความได้เปรียบของพวกเขาหายวับไปกับตาเนื่องจากชายหนุ่มที่เบื้องหน้านี้
เมื่อมองไปที่มู่เฉินที่ยิ้มแย้ม แม้แต่เสี่ยยีก็รู้สึกกลัวขึ้นมาในใจ
ทว่าเผชิญกับเสี่ยยีที่สีหน้าเปลี่ยนไป มู่เฉินก็ยืดเอวก่อนที่จะเหยียดมือออกแตะลงเบาๆ
ฮึ่ม ฮึ่ม!
ริ้วสีทองไร้ขอบเขตพุ่งออกมา เปลี่ยนเป็นร่างยักษ์สีม่วงทองที่อยู่ด้านหลังเปล่งรัศมีลึกลับและอมตะ
ภายใต้การปกป้องของรัศมีสีม่วงทองมู่เฉินก็ส่งรอยยิ้มให้เสี่ยยี ก่อนที่เสียงของเขาจะทำให้หน้าผากของเสี่ยยีชุ่มโชกด้วยเหงื่อ
“ตอนนี้เราน่าจะสู้กันแบบตัวต่อตัวได้แล้วมั้ง?”
บทที่ 1215 มหาสมุทรนรกโลหิต
ระลอกคลื่นรุนแรงดันตัวขึ้นในแม่น้ำลั่ว
ก่อนที่ทั่วบริเวณจะโยกคลอน
สำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทั้งสามของตระกูลเสี่ยเสิน หนึ่งคนถูกขังในค่ายกล หนึ่งคนอยู่ในวงล้อมกองทัพชั้นยอด ส่วนเสี่ยยีเป็นคนเดียวที่ยืนประจันหน้ากับมู่เฉิน
แต่ในตอนนี้เสี่ยยีกลับไม่อยากเป็นคนที่ยืนอยู่ตรงนี้เลย
เงาสีม่วงทองยืนอยู่ด้านหลังมู่เฉิน ไม่ใช่ร่างเวทสวรรค์ที่ดูใหญ่โตอะไร แต่กลับเปล่งรัศมีลึกลับเป็นอมตะออกมา
นี่ก็คือร่างเทพสุริยะนิรันดร์
มู่เฉินยืนอยู่เบื้องหน้าร่างเทพสุริยะนิรันดร์โดยไม่มีการแสดงออกใดๆ เขามองไปที่เสี่ยยี “เจ้าเป็นคนบอกให้ข้าหยุดวิ่งไม่ใช่หรือ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉินใบหน้าของเสี่ยยีก็สลับไปมาระหว่างขาวกับเขียว เขาโมโหจนเกือบคลั่งกับการล้อเลียนของมู่เฉิน แต่เขาก็ตกใจอย่างมากกับการที่มู่เฉินเป็นทั้งหลิงเจิ้นซือและจั้นเจิ้นซือ ไม่กี่อึดใจเสี่ยยีก็ถูกระงับโดยแรงกดดันจากมู่เฉิน
“ไอ้โง่จับมันไว้สิ! เมื่อไรเสี่ยถงกับเสี่ยโส่วเป็นอิสระก็จะเป็นเวลาตายของมัน!”
ขณะที่เสี่ยยีโมโห เสียงคำรามก็ดังขึ้นจากเสี่ยหลิงจื่อ
เมื่อได้ยินเสียงคำรามของเสี่ยหลิงจื่อ เสี่ยยีก็ฟื้นจากอาการตกตะลึง เขาหลุดจากแรงกดดันของมู่เฉินไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนที่มีประสบการณ์มาก แม้ว่าจะอึ้งกับทักษะของมู่เฉินแค่ไหน แต่ก็กลับมาเป็นปกติได้อย่างรวดเร็วจากการเตือนของประมุข
มู่เฉินเป็นคนที่ไม่สามารถมองข้ามได้ มากจนเขาสามารถควบคุมรัศมีจั้นยี่และค่ายกลพร้อมกัน แต่ไม่ว่าอย่างไรมู่เฉินก็ตัวคนเดียว!
หากเขาสามารถมุ่งเน้นไปที่การควบคุม ค่ายกลและกองทัพชั้นยอดจะสามารถระงับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น ทำให้ได้รับประโยชน์มาก
แต่น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถมุ่งเน้นไปที่การควบคุมอย่างเต็มที่ในขณะนี้ได้
ดังนั้นเมื่อไม่มีการควบคุมก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจับตัวจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนสองคนไว้ได้นาน
การเผชิญหน้ากับพลังทั้งหมดของเสี่ยถงและเสี่ยโส่ว ค่ายกลและกองทัพคงจะอยู่ไม่นานอย่างแน่นอน… เมื่อไรที่ทั้งสองหลุดเป็นอิสระ พวกเขาสามคนก็สามารถร่วมมือกัน เวลานั้นไม่ว่ามู่เฉินจะมีกลยุทธ์มากเท่าไรก็ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่แน่นอน
เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้ที่มู่เฉินจะจัดการกับจอมยุทธ์สามคนที่มีขุมพลังเดียวกัน ดังนั้นเขาจึงหันไปใช้ค่ายกลและกองทัพชั้นยอดเพื่อลดความได้เปรียบของพวกเขา
นั่นหมายความว่าตราบใดที่เขาสามารถรั้งมู่เฉินไว้ได้จนเสี่ยถงและเสี่ยโส่วหลุดพ้นจากกับดัก พวกเขาก็จะสามารถเอาชนะมู่เฉินได้
เมื่อคิดได้ในเรื่องนี้ ท่าทางของเสี่ยยีก็ดูเย็นเยือกลง ความตื่นตระหนกก่อนหน้าหายไปอย่างสิ้นเชิง เขาเงยหน้าขึ้นมองดูมู่เฉินอย่างเย็นชา “ดูเหมือนแผนการของแกจะไม่สมบูรณ์แบบที่คิดนะ”
“แกแน่ใจนะว่าจะยืนหยัดอยู่ได้จนถึงตอนนั้น”
มู่เฉินมองเสี่ยยีที่มีความมั่นใจ รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าพลางเอ่ยเสียงเบา
ท่าทางของเสี่ยยีดิ่งลงขณะที่เย้ยหยัน “ค่ายกลและกองทัพทำให้ข้าขนพองสยองเกล้าอย่างแท้จริง ตอนนี้ข้าไม่มีความคิดที่จะเอาชนะแก แต่ถ้าจะรั้งไว้ ข้ากลัวว่าแกประเมินตัวเองสูงเกินไป”
ฮึ่ม!
คลื่นหลิงสีแดงเข้มเชี่ยวกรากระเบิดออกมาจากร่างเสี่ยยี ก่อตัวเป็นเงาขนาดใหญ่หลายหมื่นจั้งอยู่ข้างหลัง
ร่างนี้ดูเหมือนกำลังสวมไตรจีวรสีแดงเข้ม ห่อหุ้มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด รัศมีที่มีฤทธิ์กัดกร่อนทำให้เกิดรอยแตกปรากฏขึ้นในมิติโดยรอบ
นี่คือร่างเทห์สวรรค์ที่เสี่ยยีฝึกฝน ร่างกาสายะโลหิตเป็นหนึ่งในร่างเทห์สวรรค์ที่ดีที่สุดของตระกูลเสี่ยเสิน ซึ่งอยู่ในอันดับห้าสิบเอ็ดของทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง
เห็นได้ชัดว่าความมั่นใจของเสี่ยยีได้รับการสนับสนุนจากความแข็งแกร่ง
ร่างเวทสวรรค์ยืนตระหง่านพร้อมกับรัศมีโลหิตดุเดือดพลุ่งพล่าน ย้อมท้องฟ้าจนเป็นสีแดงเข้ม เมื่อเปรียบเทียบกับร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของมู่เฉินก็ดูเล็กจ้อยไปเลยทีเดียว
เมื่อทุกคนเห็นฉากนี้ก็อดพึมพำไม่ได้ เพราะร่างเวทสวรรค์ขึ้นอยู่กับพลังงานหลิง โดยทั่วไปแล้วยิ่งร่างที่ทรงพลังก็จะมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น เนื่องจากจะกินพลังงานหลิงได้มากขึ้น
เสี่ยยีขยับไปยืนบนไหล่ของร่างกาสายะโลหิตมองอย่างเย็นชาไปที่ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของมู่เฉิน “ดูเหมือนว่าแกจะหมดแรงไปมากจากค่ายกลและการควบคุมกองทัพ”
ร่างเทพสุริยะนิรันดร์มีน้อยยิ่ง ดังนั้นเขาจึงคิดว่าเป็นเพราะความเหนื่อยล้าของคลื่นหลิงในร่างมู่เฉิน ทำให้ร่างเวทสวรรค์มีขนาดเล็กลง
มู่เฉินยิ้มตอบเพราะไม่ได้คิดจะเตือนศัตรู เขาเคาะเท้าพลิ้วลงบนไหล่ของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ ยิ้มตาหยี “รีบๆ หน่อยเถอะ”
อากัปกิริยาของเขาทำให้เสี่ยยีโกรธแค้น นานมากแล้วที่เขาถูกประเมินค่าต่ำ
“ถ้างั้นให้ข้าดูว่าแกจะรักษาความเย่อหยิ่งหลังจากพวกข้าหลุดเป็นอิสระได้ไหม”
เสี่ยยีแผดเสียงหัวเราะ จากนั้นมือก็วาดตราประทับ เขาเปิดปากทันใดนั้นกระแสเลือดที่ไหลเชี่ยวก็ไหลออกมาจากปากเขาก่อตัวเป็นมหาสมุทรสีแดงเข้ม
มหาสมุทรสีแดงเข้มเกลื่อนไปด้วยกระดูกสีขาว ราวกับว่ามีวิญญาณนับไม่ถ้วนร้องโหยหวนออกมา ขณะที่ปล่อยรัศมีน่าขนลุก
“มหาสมุทรนรกโลหิต!”
เสี่ยยี่มองไปที่มู่เฉินอย่างโหดร้ายขณะที่โบกมือ มหาสมุทรโลหิตทะลักออกมา เขาไม่กล้าประมาทมู่เฉินแม้แต่น้อย งัดไพ่ตายออกมาทันทีที่เริ่มปะทะกระบวนท่าแรกเลยทีเดียว
มหาสมุทรนรกโลหิตมีชื่อเสียงมากในตระกูลเสี่ยเสิน เนื่องจากจะต้องทำการสังหารหมู่เพื่อฝึกฝนทักษะนี้โดยสร้างมหาสมุทรด้วยเลือดของผู้อื่นก่อนที่จะกลั่นออกมา ซึ่งมีความสามารถในการกัดกร่อนที่ทรงพลังอย่างยิ่ง เป็นอันตรายต่อร่างเวทสวรรค์มาก
เสี่ยยีอาศัยกระบวนท่านี้เพื่อกัดกร่อนร่างเวทสวรรค์ของคู่ต่อสู้มานักต่อนัก
เมื่อมองเห็นมหาสมุทรสีแดงเข้มก็ทำเอาเปลือกตาของหลายคนกระตุก เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้เกี่ยวกับวิทยายุทธเทพของตระกูลเสี่ยเสินดี
มหาสมุทรเคลื่อนลงมาห่อหุ้มร่างมู่เฉินอย่างสมบูรณ์
สีหน้าของทุกคนตึงแน่นกับภาพนี้ คนที่รู้เกี่ยวกับพลังของวิชานี้ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงในสีหน้า เนื่องจากมีจอมยุทธ์จำนวนมากที่ได้รับความทุกข์ทรมานจากกระบวนท่าโหดเหี้ยมนี้ของตระกูลเสี่ยเสิน
“ฮ่าๆ โอหังนัก!”
หลังจากที่เห็นมู่เฉินและร่างเวทสวรรค์ของเขาถูกห่อหุ้มด้วยมหาสมุทรโลหิต เสี่ยยีก็ระเบิดเสียงหัวเราะ เขาพึ่งพากระบวนท่านี้คว้าความได้เปรียบในหมู่จอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันมามาก คนที่ประเมินกระบวนท่านี้ต่ำไปสุดท้ายต่างได้รับความเสียหายหนักหนาสาหัส
ดูเหมือนว่ามู่เฉินจะมีความมั่นใจเกี่ยวกับวิธีการของตนเอง ดังนั้นเขาจึงไม่แม้แต่จะพยายามหลีกเลี่ยงจนถูกจับไว้ในมหาสมุทรโลหิต ไอ้โง่นี่จะต้องเสียใจในความเย่อหยิ่งของตน
ซ่า ซ่า!
ขณะที่เสี่ยยีหัวเราะ มหาสมุทรก็แผดเสียงดัง ความสามารถในการกัดกร่อนเพิ่มขึ้นจนถึงขีดสุด ทำให้แม้แต่ท้องฟ้าบริเวณนี้ยังแตกเป็นเสี่ยงๆ
มหาสมุทรพลุ่งพล่าน แต่รอยยิ้มของเสี่ยยีก็เปลี่ยนไปเป็นแข็งค้าง เนื่องจากรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ มหาสมุทรโลหิตหดตัวลงอย่างรวดเร็วด้วยความเร็วที่มองเห็นได้
“หืม? เกิดอะไรขึ้น?”
สีหน้าของเสี่ยยีเปลี่ยนไป ในสายตาเต็มไปด้วยความสงสัย เขาลังเลครู่หนึ่งก่อนที่จะกัดฟันพยายามเรียกมหาสมุทรนรกกลับเข้าร่าง เขาทำงานอย่างหนักเพื่อหล่อเลี้ยงจนมาถึงระดับนี้ ถ้ามันเสียหายไปเขาจะต้องเจ็บปวดแน่
ทว่าขณะที่เสี่ยยีใช้ทักษะลับเพื่อเรียกคืน ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงพลังดูดดึงมหาศาลจากมหาสมุทร
ภายใต้แรงดูดมหาสมุทรนรกก็ถูกดึงออกไปอย่างรวดเร็ว
ในเวลาไม่กี่อึดใจมหาสมุทรก็ลดขนาดลง จนสุดท้ายมู่เฉินและร่างสีม่วงทองค่อยๆ ปรากฏในครรลองสายตาทุกคนอีกครั้ง
ยามนี้มู่เฉินยังคงยืนอยู่บนไหล่ของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ด้วยรอยยิ้ม
ร่างสีม่วงทองที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขาเปิดปากอยู่ ซึ่งเป็นที่มาของแรงดูดนั้น เวลานี้มหาสมุทรขนาดใหญ่กำลังถูกกลืนกินโดยมัน
โห!
เมื่อมองฉากนี้ผู้คนก็แทบตาถลนออกจากเบ้า
ไม่มีใครคิดว่าไม่เพียงแต่มหาสมุทรนรกจะไม่สามารถทำลายร่างเวทสวรรค์ของมู่เฉินได้ แต่กลับถูกกลืนกินเข้าไปแทนด้วย
ใบหน้าของเสี่ยยีซีดเผือดไปกับภาพนี้
เสี่ยหลิงจื่อก็มองด้วยสายตาตกตะลึงไม่แพ้กัน เห็นได้ชัดว่าเขาตกใจไม่น้อย
หลังจากร่างเทพสุริยะนิรันดร์กลืนกินมหาสมุทรนรกโลหิต มันก็คายลูกแก้วโลหิตที่ห่อหุ้มแสงสีทองออกมา มู่เฉินรับเอาไว้ในมือ
มู่เฉินหยิบลูกแก้วที่บรรจุมหาสมุทรสีแดงก่ำ ก่อนจะมองเสี่ยยีที่มีใบหน้าซีดเซียวแล้วเหวี่ยงมันออกไป
“สิ่งนี้สำคัญกับแกมากใช่ไหม? งั้นก็เอาคืนไป”
ทว่าเมื่อเสี่ยยีมองเห็นลูกแก้วโลหิตที่ถูกขว้างเข้ามา สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปรุนแรง เส้นผมของเขาลุกชันทุกเส้นเสียงกรีดร้องดังโหยหวน จากนั้นทุกคนก็ตะลึงเมื่อเห็นเสี่ยยีวิ่งหนีอย่างบ้าคลั่ง
นั่นเป็นเพราะเสี่ยยีรู้สึกว่าการเชื่อมต่อของเขากับมหาสมุทรนรกโลหิตขาดออกจากกันแล้ว!
บทที่ 1216 ถึงเวลาที่จะสิ้นหวังแล้ว
ฟิ้ว!
ลูกแก้วโลหิตพุ่งทะลุขอบฟ้าบินไปหาเสี่ยยี ขณะที่อีกฝ่ายสีหน้าเปลี่ยนไปและถอยหนีออกไปอย่างบ้าคลั่ง เนื่องจากเขารู้สึกถึงความเชื่อมโยงที่ถูกตัดขาด
ดังนั้นแม้ว่าในลูกแก้วจะมีมหาสมุทรนรกโลหิตของเขาอยู่ เขาก็ไม่สามารถควบคุมมันได้ ขณะนี้มันคงจดจำเขาไม่ได้ว่าเป็นเจ้าของอย่างแน่นนอน
นั่นคือระเบิดที่อันตรายอย่างยิ่ง การสัมผัสเพียงเล็กน้อยก็นำไปสู่ความตาย
เสี่ยยีรู้ดีว่ากระบวนท่านี้มีความสามารถในการกัดกร่อนที่ยอดเยี่ยมสำหรับร่างเวทสวรรค์ เมื่ออยู่ในมือตนเองก็จะเป็นอาวุธยอดเยี่ยม แต่เมื่อไปอยู่ในมือคนอื่นก็น่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง
ตัวอย่างเช่นตอนนี้…
เผชิญกับลูกแก้วโลหิต เขาได้แต่ทำตัวราวกับกำลังห้ำหั่นกับศัตรูที่ยิ่งใหญ่ หลบหนีภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน ไม่กล้าที่จะปะทะกับมัน
ฝั่งมู่เฉินกลับมองไปที่ภาพนี้อย่างสงบ เขารู้ว่ามหาสมุทรนรกโลหิตน่าหวาดกลัวเช่นไร สิ่งนี้สามารถสร้างความเสียหายอย่างมากต่อร่างเวทสวรรค์อย่างมีนัย จากการประเมินของเขาถ้าร่างเทห์สวรรค์ยังเป็นเพียงร่างเทพสุริยะอยู่ละก็ คงจะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแน่นอน
แต่เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย…ว่าร่างเทห์สวรรค์ของเขาพัฒนาสู่ร่างเทพสุริยะนิรันดร์แล้ว!
ร่างนี้สามารถเผชิญหน้ากับสิบอันดับแรกของทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่างได้เลยทีเดียว!
ดังนั้นพลังของมันชัดเจนมาก
ร่างเทพสุริยะนิรันดร์มีรัศมีอมตะของแท้ ซึ่งสามารถต้านทานการกัดกร่อนทั้งหมดได้ ดังนั้นกล่าวอีกทางก็เป็นภูมิคุ้มกันต่อพลังการกัดกร่อน
เช่นมหาสมุทรนรกโลหิต…
มันสามารถกลืนกินมหาสมุทรโลหิตได้โดยไม่ทำร้ายตัวเอง นอกจากนี้ยังสามารถบีบอัดจนเป็นลูกแก้วและตัดการเชื่อมโยงกับเจ้าของได้อีกด้วย
ตอนนี้มู่เฉินก็สัมผัสถึงพลังของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ได้อย่างลึกซึ้งแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ร่างเทห์สวรรค์อันดับหลังๆ ไม่สามารถจินตนาการได้
“ข้าจะให้เจ้าเป็นคนแรกที่สละชีวิตเพื่อร่างเทพสุริยะนิรันดร์…”
มู่เฉินพึมพำ นับตั้งแต่เขาฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้ในการประจันหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังระดับเดียวกัน ซึ่งเขาพอใจกับผลลัพธ์มาก
เขามองเสี่ยยีที่ถอยหนีก็ดีดนิ้วมือเบาๆ
ปัง!
เมื่อเสียงดีดนิ้วดังกึกก้อง ทันใดนั้นเสี่ยยีก็หดดวงตาแคบลง ลูกแก้วโลหิตบินเข้าด้วยความเร็วที่มากขึ้น อึดใจก็มาถึงด้านหลังเขาแล้วระเบิดออก
ในช่วงเวลานั้นมหาสมุทรโลหิตไหลเชี่ยวกวาดเข้าใส่ร่างเสี่ยยีและร่างเวทสวรรค์ของเขา
เสี่ยยีคำรามกระบวนท่าในมือเปลี่ยนแปลงเร็วรี่ ร่างกาสายะโลหิตระเบิดด้วยลำแสงเลือดนับไม่ถ้วน ก่อตัวเป็นกำแพงอย่างรวดเร็ว
ปัง! ปัง!
มหาสมุทรโลหิตปะทะกับม่านพลังอย่างรวดเร็ว ทำลายม่านพลังจนมองเห็นความบางลงได้อย่างชัดเจน จากนั้นก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ก่อนที่มหาสมุทรโลหิตจะพุ่งชนกับร่างกาสายะโลหิตจังใหญ่
ชี่ ชี่!
พลังสองสายปะทะกัน หมอกเลือดก็ถั่งโถมพร้อมกับเสียงกรีดร้องของเสี่ยยี
ฮึ่ม!
คลื่นหลิงมหาศาลพรวดพราดออกมาจากร่างกาสายะโลหิต ในที่สุดก็หนีออกจากบริเวณมหาสมุทรโลหิต จากนั้นเสี่ยยีรีบหยิบขวดสีแดงเข้มออกมาอย่างเร่งร้อน ดึงส่วนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งของมหาสมุทรนรกโลหิตกลับไป
เมื่อมหาสมุทรนรกโลหิตระเบิดออก รัศมีอมตะที่ห่อหุ้มมันอยู่ก็จางหาย นี่คือเหตุผลว่าทำไมเสี่ยยีจึงสามารถเรียกคืนมหาสมุทรกลับไปได้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็อยู่ในสภาพที่ย่ำแย่มาก
ร่างกาสายะโลหิตจางลงพร้อมกับบาดแผลบนร่าง ถ้าไม่ใช่คุณลักษณะคลื่นหลิงของเสี่ยยีที่ใกล้เคียงกับมหาสมุทรนรกโลหิตละก็ เขาคงต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมาก
แต่กระนั้นร่างเวทสวรรค์ของเขาก็อ่อนแอลง ความแวววาวสุกใสจางหายไป
ทุกคนแลกเปลี่ยนสายตาเมื่อเห็นสิ่งนี้…
ไม่มีใครคิดเลยว่าวิทยายุทธเทพของเสี่ยยีนอกจากจะไร้ประโยชน์กับมู่เฉิน กลับยังโดนศัตรูใช้สิ่งนี้โต้กลับมาได้จนทำให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพน่าอนาถ
ทว่าเหล่าจอมยุทธ์ทรงพลังบางส่วนกลับพากันมองไปที่ร่างเวทสวรรค์ของมู่เฉินด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ยามนี้หากใครยังคิดว่าร่างลึกลับนี้มีขนาดเล็กเพราะคลื่นหลิงไม่พอก็โง่เกินไปแล้ว
แต่ที่ทำให้พวกเขาสับสนงงงวยก็คือไม่สามารถจดจำร่างเวทสวรรค์ลึกลับของมู่เฉินได้…
พวกเขามองไปที่มู่เฉินที่ยังคงสงบนิ่งบนไหล่ของร่างสีม่วงทองก็รู้สึกว่าชายหนุ่มคนนี้ลึกซึ้งจนไม่อาจหยั่งรู้ได้…
เสี่ยยีมองมู่เฉินด้วยใบหน้าซีดขาวและมืดมน จากนั้นปลายหางตาก็มองไปทางเสี่ยถงกับเสี่ยโส่ว ขณะนี้ทั้งสองได้ปลดปล่อยพลังทั้งหมดเพื่อทำลายค่ายกลและกองทัพ พยายามที่จะสลัดตัวให้พ้นอย่างรวดเร็ว
ตัดสินจากความก้าวหน้าของทั้งสองนั่น พวกเขาอยู่ในตำแหน่งได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด… ดูเหมือนว่าการเดาของเขาจะถูกต้องแล้ว โดยไม่มีการควบคุมค่ายกลระดับจงซือและกองทัพทหารชั้นยอดไม่สามารถดักจับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนไว้ได้นาน
เสี่ยยีรู้สึกโล่งใจกับความคิดนี้ จากนั้นก็หันมามองมู่เฉินอย่างเยือกเย็นพลางขบฟัน ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องขัดขวางมู่เฉินเอาไว้ที่นี่!
ด้วยการตัดสินใจในใจ เสี่ยยีก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เขานั่งบนไหล่ร่างกาสายะโลหิต ก่อนที่จะสร้างตราประทับอย่างรวดเร็วพร้อมกับร่างเวทสวรรค์
ฮึ่ม ฮึ่ม!
ลำแสงสีแดงเข้มนับไม่ถ้วนยิงออกมาจากร่างกาสายะโลหิตพร้อมกับเสียงสวดมนต์ภาษาสันสกฤต ซึ่งเป็นท่วงทำนองที่กระตุ้นเจตนาการฆ่าและความกระหายเลือดของมนุษย์
ดวงตาของเสี่ยยีเปลี่ยนเป็นสีแดง จากนั้นเลือดก็ซึมออกจากร่างกาย ภายใต้เสียงคำราม ฉากที่น่าตกใจก็ปรากฏขึ้น ชั้นผิวหนังของเขาลอกออก
ฮึ่ม!
เมื่อผิวหนังลอกออก ร่างกาสายะโลหิตก็คำราม ก่อนที่ผ้าจีวรจะพุ่งเข้ามาห่มลงบนผิวของเสี่ยยี ก่อตัวขึ้นเป็นผิวหนังขนาดใหญ่สีแดงเลือด…
มีใบหน้าที่น่ากลัวมากมายฝังอยู่บนผ้าจีวรนี้…
รัศมีโลหิตหลั่งไหลออกไปทั่วบริเวณ
“ทักษะเทห์สวรรค์ กาสายะโลหิตปีศาจ!”
เสี่ยยีที่ถูกปกคลุมไปด้วยเลือดมองเฉินอย่างน่ากลัว เสียงคำรามหยาบกระด้างของเขาดังกึกก้อง
ฟิ้ว!
ผิวผ้าจีวรปลิวออกไป ราวกับมีม่านสีแดงเข้มห่อมู่เฉินและร่างเทพสุริยะนิรันดร์เอาไว้ เมื่อผ้าจีวรปิดลงก็กลายเป็นถุงขนาดใหญ่ใส่มู่เฉินเอาไว้ภายใน
ผู้คนที่รู้เกี่ยวกับสิ่งนี้ต่างแอบเดาะลิ้น กาสายะโลหิตปีศาจเป็นกระบวนท่าไม้ตายของเสี่ยยี การห่อด้วยถุงนี้จะสร้างปีศาจโลหิตไม่สิ้นสุด ทำให้คนติดต้องว่ายวนอยู่ในแอ่งเลือด
แต่เสี่ยยีจะอ่อนแอลงอย่างมากทุกครั้งที่ใช้ทักษะนี้ ดังนั้นโดยปกติเขาจะไม่ใช้โดยง่ายดาย แต่ตอนนี้เพื่อจะขัดขวางมู่เฉิน เขาก็ไม่อาจสนใจเรื่องพวกนี้ได้แล้ว
“ครั้งนี้ข้าจะดูสิว่าแกจะทำลายกาสายะโลหิตยังไง!”
เงาสีแดงเข้มปิดบังสายตาของมู่เฉิน เขาเงยหน้าขึ้นมองถุงเลือด ขณะนี้เลือดจำนวนมหาศาลหลั่งไหลออกมาจากในถุงก่อร่างเป็นปีศาจ ปีศาจเหล่านั้นไม่มีตัวตนแท้จริง สามารถบุกทะลวงการป้องกันได้ แม้แต่คลื่นหลิงก็อาจหมดลงได้
“ไม่เลว… แต่ตอนนี้ตาข้าบ้างล่ะ”
มู่เฉินยิ้มตาหยี จากนั้นก็นั่งลงบนไหล่ของร่างม่วงทอง ตราประทับวาดขึ้นวูบไหว ริ้วแสงสีม่วงทองรวมตัวกันเป็นอักขระขณะที่บิดตัวเบื้องหน้าร่างเทพสุริยะนิรันดร์
นี่คือหนึ่งในทักษะของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ รหัสเทพอมตะ!
มู่เฉินมองรหัสเทพอมตะพลางเปลี่ยนแปลงตราประทับอีกครั้ง คลื่นหลิงในร่างกายพุ่งทะลักเข้าสู่ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ไม่มีที่สิ้นสุด
เห็นได้ชัดว่ารหัสเทพนี้ยังไม่เพียงพอที่จะจัดการกับเสี่ยยีแบบเด็ดขาด
เมื่อมู่เฉินเทคลื่นหลิงลงในร่างมากขึ้น แสงม่วงทองก็เปล่งแสงสว่างยิ่งขึ้น ไม่นานรหัสเทพอีกหลายลวดลายก็ถูกก่อขึ้น
ย้อนกลับไปตอนที่อยู่ในวังสวรรค์บรรพกาล มู่เฉินสามารถสร้างรหัสอมตะได้สองลวดลายเท่านั้น แต่หลังจากฝึกปรือร่วมกับร่างเทพสุริยะนิรันดร์ในช่วงหลายเดือน เขาก็มีความเข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับทักษะเทห์สวรรค์นี้มากขึ้น…
รหัสเทพก่อขึ้นเรื่อยๆ…
ขณะที่มู่เฉินมุ่งเน้นไปที่การสร้างรหัสเทพ ปีศาจโลหิตก็ทะยานเข้าใส่ ทว่าร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็ระเบิดแสงเจิดจ้าพร้อมกับรัศมีอมตะที่ทำให้ปีศาจโลหิตกระเด็นกลับไป
สิบกว่าลมหายใจต่อมามู่เฉินก็ลืมตาขึ้น พร้อมกับรหัสเทพอมตะหกลวดลายอยู่เบื้องหน้าเขา!
“รหัสเทพอมตะ แปรเปลี่ยน!”
มู่เฉินพลิกนิ้วด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ลวดลายทั้งหกก็รวมตัวกัน แสงแวววาวสีม่วงทองปะทุออก อึดใจรหัสเทพทั้งหกก็ก่อร่างเป็น…หมุดอมตะยักษ์!
เมื่อมองไปที่หมุดอมตะมู่เฉินก็โบกมือ หมุดกลายเป็นลำแสงพุ่งเข้าใส่ถุงเลือด
มู่เฉินจ้องมองหมุด จากนั้นก็เอามือไพล่ไว้ด้านหลังเผยรอยยิ้มบาง
“ข้าเล่นกับแกมาตั้งนาน ตอนนี้ถึงเวลาที่จะสิ้นหวังแล้ว…”
บทที่ 1217 ร่วงตาย
ทุกคนมองกาสายะสีแดงก่ำที่ห่อหุ้มมู่เฉินด้วยท่าทางเคร่งเครียด
แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็ยังมีปัญหาหลังจากถูกขังไว้ภายใน แม้ว่ามู่เฉินจะไม่ธรรมดา เขาก็คงต้องใช้เวลาไม่น้อยในการหลุดพ้น
พวกเขามองไปที่เสี่ยถงและเสี่ยโส่วที่กำลังระเบิดคลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัว เผชิญกับการโจมตีบ้าคลั่งนั้น ค่ายกลและกองทัพก็เหมือนจะอ่อนกำลังลง
หากสถานการณ์ยังคงดำเนินต่อไปแบบนี้ มู่เฉินอาจจะต้องเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนสามคนโดยไม่เว้นช่องว่าง
ในเวลานั้นทั้งสามที่เคยเสียเปรียบมาแล้วจะไม่ให้โอกาสมู่เฉินได้จัดการทีละคนอีกแน่นอน เผชิญกับการทั้งสามในเวลาเดียวมู่เฉินยากที่จะต่อกรแน่
บางคนถึงกับถอนหายใจ ดูเหมือนว่าตระกูลเสี่ยเสินจะพลิกสถานการณ์กลับมาแล้ว
สิ่งนี้สังเกตเห็นโดยจอมยุทธ์ตระกูลลั่วเสินเช่นกัน พวกเขาแสดงความกังวลออกมาในแววตา
ในทางตรงข้ามเสี่ยหลิงจื่อกลับรู้สึกโล่งใจ แต่ก็ต้องกัดฟันกรอด เขาไม่คิดว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นจะทำให้ตระกูลเสี่ยเสินตกอยู่ในสถานการณ์น่าอนาถเช่นนี้ แม้ว่าพวกเขาจะชนะในวันนี้ก็จะถูกเหยียดหยามจากคนอื่นอย่างแน่นอน เพราะการสู้แบบสามต่อหนึ่งกลับได้ผลลัพธ์แย่แบบนี้
แต่โชคดีที่ไอ้หนูที่รังเกียจจะต้องตายในวันนี้!
ฮา
เสี่ยยีที่ยืนอยู่บนร่างกาสายะโลหิตก็รู้สึกโล่งใจ เขามองไปที่ผ้าจีวรสีแดงเข้มด้วยสายตาน่ากลัว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาตกอยู่ในสภาพน่าสมเพช โดยจอมยุทธ์ที่มีขุมพลังเดียวกัน
“หึ แต่ไม่ว่าแกจะผยองขนาดไหน อย่าคิดว่าจะมีช่วงเวลาดีๆ ตอนที่ติดอยู่ในกาสายะโลหิตปีศาจ!” เสี่ยยีเค้นเสียงเยาะ แต่เขารู้ว่าแม้จะมีสิ่งนี้การสังหารหมู่เฉินก็คงเป็นเรื่องยากมาก โชคดีที่เขาต้องการเพียงซื้อเวลา ตอนที่มู่เฉินได้รับอิสระก็จะได้เผชิญหน้ากับการโจมตีของจอมยุทธ์สามคน
เมื่อคิดถึงผลลัพธ์นี้ เสี่ยยีก็รู้สึกสบายใจ แต่ขณะที่เขากำลังรอเวลาที่จะมาถึง สีหน้าก็ต้องเปลี่ยนไป
“หืม?”
เสี่ยยีขมวดคิ้ว มองไปที่กาสายะโลหิตปีศาจ เขาเหมือนจะรู้สึกถึงความผันผวนของพลังงานหลิงที่แปลกประหลาด แต่ก่อนที่เขาจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง เขาก็เห็นปลายแหลมคมกรีดออกมาอย่างช้าๆ
แสงสีม่วงทองระเบิดออกมาพร้อมกับรัศมีคมชัดเหลือเชื่อกวาดออก แม้แต่มิติโดยรอบยังถูกเจาะเป็นรู
ความคมชัดนั้นราวกับว่าสามารถทะลุผ่านทุกสิ่งได้!
กีด กีด!
ยามนี้กาสายะโลหิตปีศาจปล่อยเสียงกรีดร้องโหยหวน
แคว๊ก!
ใบหน้าของเสี่ยยีเปลี่ยนไปรุนแรง ความสยองขวัญเพิ่มขึ้นบนใบหน้าเขา นั่นเป็นเพราะตอนนี้เขาได้ยินเสียงแสบแก้วหูที่ทำให้ใบหน้าของเขาซีดเผือดไป
ภายใต้สายตาตกตะลึงจำนวนมาก แสงสีม่วงทองก็เจาะทะลุกาสายะโลหิต ฉีกมันออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“เป็นไปได้ยังไง” สายตาของเสี่ยยีเต็มไปด้วยความกลัวและไม่เชื่อขณะที่พึมพำ
หลายคนอ้าปากค้างเพราะไม่มีใครคิดว่ากาสายะโลหิตที่สร้างปัญหาให้กับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนมามากมายหลายคนจะถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ ในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที
“นั่นคืออะไร?”
ทุกคนมองดูแสงสีม่วงทองก็รู้สึกตะลึงงัน เนื่องจากพบว่าแสงสีม่วงทองนี้เป็นหมุดขนาดใหญ่!
ทว่าความคมกริบของหมุดนี้ส่งอาการหนาวสะท้านลงมาตามสันหลัง ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นรู้สึกหวาดกลัว พวกเขารู้สึกว่าหากหมุดนี้ตอกใส่เข้าละก็ เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะสามารถทนได้ด้วยพลังกายที่มี
ฟิ้ว!
หมุดเจาะทะลุกาสายะโลหิตเพิ่มความเร็ว พุ่งไปในทิศทางของเสี่ยยี
ยามนี้เสี่ยยีรู้สึกถึงแสงสีม่วงทองพุ่งทะลุท้องฟ้า ทันใดนั้นเขาก็ราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่างพลางแผดเสียงลั่น ร่างกาสายะโลหิตใต้เท้าระเบิดแสงโชติช่วงสร้างเป็นชั้นตาข่ายเลือด ทว่าตอนนี้การป้องกันของเขาลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อใช้วิชากาสายะโลหิตปีศาจไป
ชี่ ชี่!
หมุดเจาะทะลุตาข่ายเลือดไปชั้นๆ แต่ตาข่ายพวกนี้ก็มีลักษณะพิเศษ เมื่อแตกสลายก็จะมีโลหิตเหนียวหนืดพุ่งออกไปเพิ่มความทนทานให้กับตาข่ายชั้นหลังๆ
ไม่กี่อึดใจเมื่อหมุดเจาะถึงตาข่ายชั้นสุดท้าย ซึ่งเหนียวจนกระทั่งเหมือนปราการเลือดข้น แม้แต่หมุดที่คิมกริบก็เจาะทะลุได้ช้าลง
เสี่ยยีมองหมุดที่ยังสามารถเจาะทะลวงเข้ามา แม้เขาจะใส่พลังทั้งหมดที่มีเข้าไปในการป้องกัน เขาก็ต้องกัดฟันกรอดก่อนจะเปิดปากปล่อยลำแสงสีแดงเข้มออกไป
“ธงโลหิตปีศาจ!”
ลำแสงขยายอย่างรวดเร็วภายในธงรวมเข้ากับตาข่ายเลือด ฉับพลันหมุดก็ติดขัดไม่สามารถขยับได้อีกต่อไป
เห็นได้ชัดว่าธงโลหิตปีศาจเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นต่ำ!
ในที่สุดก็หยุดหมุดได้ด้วยความช่วยเหลือของธงโลหิต เสี่ยยีรู้สึกโล่งใจมากยามนี้แผ่นหลังเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อหมดแล้ว
วาบ!
ทว่าขณะที่เขากำลังรู้สึกโล่งใจ แสงก็วูบไหวที่เบื้องหน้า มู่เฉินทะยานเข้ามามองเสี่ยยีด้วยยิ้มตาหยี พัดขนนกสีเขียวปรากฏขึ้นในมือ
ฮึ่ม!
เมื่อพัดโบกลมพายุขนาดใหญ่ก็กวาดไปทั่วบริเวณ พายุไซโคลนสีฟ้าอมเขียวพุ่งออกมา ตาข่ายเลือดและธงโลหิตก็ปลิวออกไป
ทันใดนั้นรูม่านตาของเสี่ยยีก็หดแคบลง ขณะที่รู้สึกว่าหนังหัวกำลังกรีดร้องด้วยอันตราย เขาถอยหนีจ้าละหวั่น
หลังจากเป่าแนวป้องกันออกไปได้ มู่เฉินก็กำมือเข็มปรากฏขึ้น แสงสีม่วงทองเปล่งประกายกลายเป็นของเหลวบินวนรอบปลายนิ้วของมู่เฉิน
ส่วนร่างเขาก็หายวาบไป
วาบ!
วินาทีต่อมาร่างมู่เฉินก็ปรากฏตัวเบื้องหน้าเสี่ยยีด้วยความเร็วที่น่ากลัว ทำให้ความขนพองสยองเกล้าปรากฏบนใบหน้าของเสี่ยยี
เวลานี้เขารู้สึกถึงปากเหวนรกแล้ว
“เราเสียเวลามามาก คงพอได้แล้วมั้ง?”
มู่เฉินมองเสี่ยยีด้วยท่าทางเย็นชา ชายคนนี้เกือบทำให้ลั่วหลีต้องจบชีวิตลง มิหนำซ้ำความต้องการสังหารในใจเขาก็มาถึงขีดสุดแล้ว
ทว่าไม่ง่ายที่จะฆ่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน ดังนั้นเขาก็ต้องรอโอกาส…เช่นตอนนี้
มู่เฉินฉายสายตาไม่แยแส นิ้วราวกับเคลื่อนผ่านมิติกระแทกบนหน้าอกของเสี่ยยี เจาะทะลุเป็นรูเลือด
ปัง!
แต่ขณะที่ดัชนีของมู่เฉินเจาะทะลุหน้าอกไป เสี่ยยีก็กัดฟันระเบิดแขนตัวเอง เส้นใยเลือดแวววาว ร่างเขาหายไปอย่างลึกลับ ห่างออกไปหลายหมื่นจั้งในพริบตา
เขาใช้วิธีทำร้ายตัวเองเพื่อใช้โอกาสช่วงสั้นๆ ในการถ่ายโอนมิติและหลบหนีการสังหารของมู่เฉินไป
ใบหน้าของเสี่ยยีซีดลงเมื่อมองไปที่มู่เฉิน สายตาน่ากลัวฟันขบกันกรอด “ไอ้เวร แกไร้เดียงสาไปแล้ว ที่คิดจะฆ่าข้า!”
ชีวิตของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนคงกระพัน เว้นแต่จะเป็นสถานการณ์การปราบปรามที่สมบูรณ์ ไม่เช่นนั้นก็เป็นเรื่องยากที่จะถูกฆ่า
เมื่อมองเสี่ยยีที่หลบหนีไป รอยยิ้มเย้ยหยันบางจางก็ปรากฏบนใบหน้าเฉยเมยของมู่เฉิน
เมื่อเห็นรอยยิ้มนั่น เสี่ยยี่ก็รู้สึกถึงไอเย็นยะเยือกสะท้อนในใจ จากนั้นเมื่อก้มหน้าลง ก็เห็นแผลบนหน้าอกมีของเหลวสีม่วงทองฝังอยู่ในเนื้อ
ของเหลวสีม่วงทองนั้นคล้ายกับปรอทแพร่กระจายไปทั่วร่างในพริบตา
เสี่ยยีหวาดกลัวอย่างมากกับภาพที่เห็น เนื่องจากตระหนักได้ว่าของเหลวได้ปิดผนึกคลื่นหลิงเอาไว้ ทำให้คลื่นหลิงในส่วนที่ปนเปื้อนของร่างกายถูกระงับ
“ไม่!”
รัศมีแห่งความตายโอบล้อมขณะที่เสี่ยยีแผดเสียงออกมา
“รหัสเทพอมตะ แปรเปลี่ยน”
มู่เฉินจ้องมองด้วยสายตาเฉยเมยพลางสะบัดนิ้วเบาๆ
ชี่ ชี่!
ทันทีที่เสียงมู่เฉินดังออกมา ร่างกายของเสี่ยยีก็ถูกเจาะออกมาด้วยหมุดสีม่วงทองจำนวนมากราวกับเป็นตัวเม่น เสียงร้องดังก้องไปทั่วขอบฟ้า
“ไอ้เวร แกช่างกล้า!” เสี่ยหลิงจื่อตกใจกับภาพนี้เช่นกัน เมื่อเขาฟื้นคืนสติก็เห็นสภาพที่น่าสังเวชของเสี่ยยี ทันใดนั้นก็คำรามลั่น
ทว่าตอบโต้ต่อเสียงคำรามมู่เฉินก็มองอย่างเฉยเมยไปที่เสี่ยหลิงจื่อก่อนที่จะดีดนิ้วเบาๆ
ปัง!
ทันใดนั้นร่างของเสี่ยยีก็ระเบิดออกมา แสงสีม่วงทองครอบงำทั่วสรรพางค์กาย พลังทำลายล้างทำลายทุกอณูของเสี่ยยี
นี่เป็นการทำลายให้สิ้นซากจากภายในสู่ภายนอกอย่างแท้จริง
บนท้องฟ้า ละอองเลือดกระจายไปทั่ว ทุกคนมองไปที่ละอองเลือดด้วยความหวาดผวา พวกเขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพลังชีวิตของเสี่ยยีถูกลบอย่างสมบูรณ์แล้ว
นี่หมายความว่า…
จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นคนนี้ของตระกูลเสี่ยเสินถูกสอยร่วงแล้ว!
ไม่ว่าจะเป็นจอมยุทธ์ขั้วอำนาจอื่นหรือตระกูลลั่วเสิน แม้แต่พวกหลิ่วเทียนเต้าที่มองจากที่ไกลก็ตะลึงกับฉากนี้ จากนั้นพวกเขาค่อยๆ เบนสายตามองไปที่มู่เฉิน ความเย็นเยือกห่อหุ้มร่างกายของพวกเขา
ในที่สุดพวกเขาก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าชายหนุ่มคนนี้…
น่าสะพรึงกลัวอะไรขนาดนี้!
บทที่ 1218 ความสำเร็จ
เหนือแม่น้ำลั่ว
หมอกเลือดลอยเคว้างคว้าง ทั้งเมืองตกอยู่ในความเงียบ ราวกับว่าถูกความกลัวที่มองไม่เห็นปกคลุมไปทั่ว
ทุกคนงุนงงเมื่อมองหมอกเลือด หากพวกเขาไม่ได้เห็นกับตาแน่นอนว่าไม่มีทางจะเชื่อว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนจะถูกฆ่าต่อหน้าเช่นนี้…
นั่นคือจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนนะ!
ยอดยุทธ์ของมหาพันภพที่สามารถเป็นชนชั้นสูงแม้แต่ในชนเผ่าโบราณ!
ในบางพื้นที่พวกเขาสามารถเป็นชนชั้นปกครองครอบครองทั้งดินแดนในฐานะผู้ปกครองได้เลย
ทุกคนรู้ว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทรงพลัง เพราะพลังชีวิตถูกยกขึ้นสู่ระดับที่สูงขึ้น เมื่อถึงระดับนั้นจุดจื้อจุนไห่จะแตกสลายและวิวัฒนาการหลอมรวมเข้ากับร่างกายอย่างสมบูรณ์
ดังนั้นแม้ว่าร่างกายส่วนใหญ่ของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนจะถูกทำลาย ตราบใดที่ยังมีพลังเหลืออยู่เพียงน้อยนิด พวกเขาก็จะสามารถฟื้นฟูร่างกายกลับมาได้
ถ้าต้องการฆ่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน ก็ต้องลบพลังที่มีอยู่ในทุกอณูทิ้งออกไป!
นี่เป็นเรื่องยากที่จะบรรลุความสำเร็จนี้ เว้นแต่ว่าเป็นการปราบปรามสมบูรณ์
สำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นที่จะสังหารจอมยุทธ์ในระดับเดียวกันก็ยิ่งยากขึ้นไปใหญ่
ทว่าภาพนี้ก็เกิดขึ้นที่เบื้องหน้าสายตาพวกเขา…
เอื๊อก
หลายคนกลืนน้ำลายอึกใหญ่ แม้แต่จอมยุทธ์ตี้จื้อจุนคนอื่นที่แอบสังเกตตระกูลลั่วเสินอยู่ก็รู้สึกหวาดผวาในใจ
บนเจดีย์ที่อยู่ห่างไกลพวกหลิ่วเทียนเต้ามองหน้ากันก็เห็นความกลัวในดวงตาแต่ละคน ไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินจะมีความสามารถในการสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นแบบไม่เหลือซากได้
เมื่อหลิ่วเทียนเต้านึกย้อนถึงการดวลของตนกับมู่เฉิน เขาก็รู้สึกว่าเหงื่อไหลโชกมาจากแผ่นหลัง โชคดีที่มู่เฉินไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าเขา ไม่งั้นผลลัพธ์ของเขาคงไม่ดีไปกว่าจออมยุทธ์ตระกูลเสี่ยเสินคนนี้แล้ว
ตั้งแต่ต้นจนจบพวกเขาประเมินประมุขตำหนักมู่ต่ำไป…เนื่องจากชายหนุ่มที่เคยถูกมองว่าเป็นมดในอดีตได้ก้าวข้ามพวกเขาไปแล้วอย่างแท้จริง
ดวงตาของพวกเขาสั่นไหวขณะถอนหายใจ พวกเขาเริ่มแก้ไขจุดยืนของมู่เฉินในใจ อย่างน้อยพวกเขาก็รู้สึกเคารพต่อผู้นำหนุ่มคนนี้เพิ่มอีกหลายส่วน
มั่นถัวหลัวไม่ได้พูดอะไร นางทำเพียงเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของพวกเขาอย่างใจเย็น ครั้งนี้ไม่เพียงแต่มู่เฉินจะข่มขู่ตระกูลเสี่ยเสินได้เท่านั้น แต่เขายังทำให้พวกหัวสูงตื่นจากฝันด้วย
ขณะนี้บางทีพวกเขาก็เข้าใจแล้วว่าถึงมู่เฉินจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากนาง เขาก็สามารถดำรงตำแหน่งผู้นำตำหนักมู่ได้อย่างมั่นคง
นอกจากนี้ในฐานะคนเข้าใจที่ดีที่สุด มั่นถัวหลัวรู้ว่ามู่เฉินยังไม่ได้หงายไพ่ทั้งหมด เพราะเขายังมีวิชาสามพิสุทธิ์ไพ่ตายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอยู่อีกด้วย…
ไม่เช่นนั้นไม่ต้องพูดถึงเสี่ยยี ต่อให้จอมยุมธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นของตระกูลเสี่ยเสินทั้งสามคนโจมตีพร้อมกันก็ไม่มีทางได้เปรียบใดๆ จากวิชาสามพิสุทธิ์ของมู่เฉิน
แต่เห็นชัดว่ามู่เฉินยังไม่ต้องการเปิดเผย ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงเล่นกับเสี่ยยีนานแบบนี้…
“ไอ้เด็กเหลือขอ! ข้าจะฉีกแกเป็นชิ้นๆ!”
ขณะที่ทั่วบริเวณเงียบกริบ ไม่นานเสียงคำรามโกรธแค้นก็ดังกึกก้องพร้อมกับจิตสังหารรุนแรง
ดวงตาของเสี่ยหลิงจื่อเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ คลื่นหลิงน่าสยดสยองก่อตัวเป็นมหาสมุทรโลหิตกระจายไปทั่ว
เขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะเหี้ยมขนาดฆ่าเสี่ยยีโดยไม่ลังเล!
นี่เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่สำหรับตระกูลเสี่ยเสิน แค่คิดก็ทำให้เสี่ยหลิงจื่อคั่งแค้นในหัวใจนัก
ตู้ม!
ภายใต้ความโกรธ เสี่ยหลิงจื่อเกือบจะสูญเสียการควบคุมตนเองขณะที่เคลื่อนไหว นิ้วเหยียดออก สายธารเลือดพุ่งออกมา ซึ่งอัดแน่นด้วยใบหน้าที่น่ากลัวนับไม่ถ้วน
ปัง!
ทว่าคลื่นหลิงขนาดใหญ่อีกสายหนึ่งก็เข้าครอบงำสายธารเลือดออกไป นี่คือการสกัดจากลั่วเทียนเสิน
ลั่วเทียนเสินหันมามองมู่เฉินอย่างซับซ้อน ก่อนจะหันไปที่เสี่ยหลิงจื่อพูดจาเยาะเย้ยว่า “แกคิดว่าข้าเป็นแจกันดอกไม้เท่านั้นหรือ?”
“ลั่วเทียนเสิน ตราบใดที่แกส่งไอ้เด็กบ้านี่มา ข้ารับประกันว่าจะไม่ยุ่งกับตระกูลลั่วเสินอีกต่อไป!” เสี่ยหลิงจื่อกัดฟัน ขณะนี้ความเกลียดชังที่มีต่อมู่เฉินพวยพุ่งขึ้นถึงขีดสุด
แต่เผชิญกับข้อเสนอนี้ ลั่วเทียนเสินกลับยิ้มเย้ยหยัน จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ ร่างเวทสวรรค์เบื้องหลังระเบิดคลื่นหลิงน่ากลัวออกมา ปิดกั้นเสี่ยหลิงจื่อไม่ให้โจมตีมู่เฉินได้
“ดี! ดี! ลั่วเทียนเสิน แกจะต้องเสียใจกับสิ่งนี้!”
เมื่อเห็นคำตอบของลั่วเทียนเสิน ท่าทางของเสี่ยหลิงจื่อก็น่ากลัวขึ้นอีกหลายส่วนขณะที่ขู่ฟ่อ สายตาเย็นชาไม่สิ้นสุดมองมู่เฉินจากระยะไกล ราวกับว่าเขากำลังกดดันอีกฝ่ายอยู่
ทว่ามู่เฉินไม่ใส่ใจสายตาที่จ้องมองอย่างเย็นชา เขาปัดมือเบาๆ พลางมองเสี่ยถงที่ถูกขังอยู่ในค่ายกล
ยามนี้ภายใต้การโจมตีของเสี่ยถง ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารใกล้จะล่มสลายลงแล้ว มังกรเจ็ดตัวลดลงเหลือสามตัวเท่านั้น
ชัดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะจัดการกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นด้วยค่ายกลระดับจงซือที่ไร้ผู้ควบคุม
แต่ถึงเวลาจบเรื่องนี้แล้ว
มู่เฉินยิ้มอ่อนให้กับเสี่ยถงที่อยู่ในค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร ร่างเงาของเขาเคลื่อนไปปรากฏอย่างรวดเร็วภายในค่ายกลแล้วนั่งลง
เมื่อเห็นว่ามู่เฉินพลิ้วตัวลงมานั่งในค่ายกล ใบหน้าของเสี่ยถงก็เปลี่ยนไปรุนแรง เนื่องจากเขารู้ชัดเจนว่าตราบใดที่หลิงเจิ้นซือเข้าควบคุมค่ายกลด้วยตนเอง พลังอำนาจก็จะเปลี่ยนอย่างมีนัยสำคัญ
“ไม่เลวเลย ที่สามารถทำลายค่ายกลจนอยู่ในลักษณะนี้ได้…”
มู่เฉินมองค่ายกลที่เกือบจะแตกสลายก็ยิ้มบาง ดวงตาส่องประกายเย็นชาพลางโบกมือ สัญลักษณ์หลิงยิ่งพวยพุ่งออกมาจากมือรวมเข้ากับค่ายกลเบื้องหน้า
ฮึ่ม ฮึ่ม!
เมื่อมู่เฉินเริ่มเคลื่อนไหว ค่ายกลที่กำลังจะแตกสลายก็ได้รับการกู้คืนอย่างสมบูรณ์ในเวลาไม่กี่สิบลมหายใจ!
เสี่ยถงกัดฟันกรอดกับภาพนี้ เขาใช้ความพยายามมากในการสร้างความเสียหายให้กับค่ายกล แต่มู่เฉินเรียกคืนค่าได้ในทันที
“ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารก่อนหน้าเป็นเพียงการป้องกัน ตอนนี้เจ้ามาลองอีกสักหน่อยไหม?”
มู่เฉินมองไปที่เสี่ยถงด้วยรอยยิ้ม ดวงตาของเขาหรี่แคบลงขณะที่มือสร้างตราประทับ
โฮก!
เสียงคำรามของมังกรดังออกมาจากค่ายกล จากนั้นทุกคนก็เห็นมังกรทีละตัว…ละตัวถูกสร้างขึ้นภายในอีกครั้ง
ไม่กี่อึดใจจำนวนมังกรก็กลับมาเป็นเจ็ดตัวอีกครั้ง!
นอกจากนี้เมื่อมังกรทั้งเจ็ดก่อตัวขึ้น แรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวก็ระเบิดแรงกล้ากว่าเดิมหลายเท่า!
ค่ายกลที่มีจำนวนมังกรเหมือนกัน แต่ภายใต้การควบคุมของมู่เฉินพลังที่แท้จริงก็ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างสมบูรณ์
เมื่อรับรู้ถึงแรงกดดัน ใบหน้าของเสี่ยถงก็บิดเบี้ยวไม่น่าดู ความกลัววูบไหวในส่วนลึกของดวงตา
เนื่องจากในเวลานี้เขารู้สึกถูกคุกคามโดยค่ายกลจริงๆ แล้ว
ถ้าค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารก่อนหน้าสามารถดักจับเขาได้เท่านั้น คราวนี้ถ้าเขาไม่ระวังก็มีโอกาสที่จะถูกฆ่าเหมือนเสี่ยยีแน่!
“ข้าไม่มีเวลามากพอที่จะจัดการกับเจ้าเพราะยังมีลูกหมาอีกตัวต้องไปจัดการ ถ้าเจ้าสามารถรอดไปได้ ก็ถือว่ามีความสามารถ”
มู่เฉินมองเสี่ยถงอย่างเย็นชา โดยไม่ลังเลตราประทับก็วาดวูบไหว มังกรทั้งเจ็ดตัวแผดเสียงกึกก้องฟ้าดินพลางพุ่งเข้าหาเสี่ยถงพร้อมเพรียงกัน
เสาแสงระเบิดออกมาจำนวนมหาศาลจากร่างมังกรทั้งเจ็ด จากนั้นพวกมันก็หลอมรวมกันกลายเป็นมังกรขนาดแสนจั้ง ปลดปล่อยความผันผวนขณะที่พุ่งเข้าหาเสี่ยถง
เผชิญหน้ากับการโจมตีน่ากลัวนี้ ใบหน้าของเสี่ยถงก็เปลี่ยนไปรุนแรง เขาเร้าร่างเวทสวรรค์โดยไม่ลังเล กางไพ่ตายทั้งหมดออกมาทันที
ตู้ม ตู้ม!
อึดใจมังกรก็พุ่งตัวลงมาอย่างรุนแรง คลื่นหลิงระเบิดออก คลื่นกระแทกที่มองเห็นกระจายออกไปทำให้มิติโดยรอบถูกฉีกออกจากกัน
แม้แต่ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารก็ยังไม่สามารถรองรับพลังทั้งหมดได้ สายผนึกแตกหักเป็นเสี่ยงๆ…
ทว่าเมื่อค่ายกลแตกสลาย ร่างเวทสวรรค์ขนาดใหญ่ก็ปริแตกออกจากกัน เงาที่ดูน่าเวทนากระเด็นออกไปหลายหมื่นจั้ง ถลาข้ามแม่น้ำลั่วไปเลยทีเดียว
มู่เฉินไม่ได้สนใจค่ายกลที่ล่มสลายลง เขาเพียงแต่มองไปที่เสี่ยถงอย่างเสียดาย นั่นเป็นเพราะเขารู้สึกว่าแม้ว่าเสี่ยถงจะได้รับบาดเจ็บหนัก แต่ก็ไม่ตาย
ยกที่สองจบลงด้วยเสี่ยถงบาดเจ็บสาหัส!
มู่เฉินไม่สนใจเสียงหายใจเข้าเย็นเยือกของผู้คน แต่หันกลับพุ่งเข้าไปในกองทัพสังหารวิญญาณ
เขาจะต้องจัดการจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนคนที่สาม ขณะที่กองทัพสังหารวิญญาณยังอยู่ในสภาพสูงสุด
จังหวะที่มู่เฉินเข้ามาในกองทัพสังหารวิญญาณ รัศมีจั้นยี่เชี่ยวกรากก็ครางกระหึ่ม ทำให้ผู้คนที่มองหนังหัวลุกชันเลยทีเดียว
หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป
รัศมีจั้นยี่ดุเดือดระเบิดขึ้น ก่อนที่มู่เฉินจะโบกมือเก็บกองทัพสังหารวิญญาณ สายตาเย็นชามองไปที่หลุมในแม่น้ำลั่วที่มีเสี่ยโส่วนอนพังพาบอยู่ภายใน
ยกที่สามจบลงด้วยเสี่ยโส่วบาดเจ็บสาหัส!
เวลานี้ทั่วทั้งเมืองถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น