หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1203-1208
บทที่ 1203 อำนาจค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร
ฮึ่ม!
เมื่อมู่เฉินวาดตราประทับวาดขึ้นค่ายกลก็ครางกระหึ่มพร้อมกับผนึกเส้นสายที่มองเห็นด้วยตาเปล่ากระจายออกไปเชื่อมโยงกัน
เมื่อผนึกเชื่อมโยงกัน ทุกคนก็รู้สึกได้ว่าช่องโหว่ของค่ายกลสมบูรณ์ขึ้นอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันความผันผวนที่ทรงพลังก็รวมตัวกันอยู่ภายใน
หลิ่วเทียนเต้ารับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ ดวงตาหรี่แคบลงโดยไม่กล้าประมาท เขารวบรวมคลื่นหลิงทรงพลังสร้างเป็นชุดเกราะสวมรอบตัว
สิ่งนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยคลื่นหลิงล้วนๆ ซึ่งไม่เพียงแต่ทนทาน ยังสามารถหลอมรวมได้ด้วย การโจมตีใดๆ จะถูกดูดซับคลื่นหลิงบางส่วนจนลดพลังลง ซึ่งมีประโยชน์อย่างมาก
“โฮก!”
ทว่ามู่เฉินไม่ได้ใส่ใจการกระทำของอีกฝ่าย ตราประทับเปลี่ยนเร็วรี่ มังกรในค่ายกลก็คำรามลั่น
คลื่นหลิงควบแน่นอย่างรวดเร็ว มังกรอีกตัวก็ปรากฏขึ้นในค่ายกล
เวลานี้มีมังกรทั้งหมดสี่ตัวในค่ายกล แต่ละตัวจ้องหลิ่วเทียนเต้าเขม็งขณะที่ปล่อยแรงกดดันอันยิ่งใหญ่
หลิ่วเทียนเต้ามองมังกรสี่ตัวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เนื่องจากเขาสัมผัสได้ถึงความรุนแรงของแรงกดดันเมื่อมังกรทั้งสี่ตัวถูกสร้างขึ้น
หากเขามีความมั่นใจในการรับมือก่อนหน้า ตอนนี้ความมั่นใจของเขาลดลงครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
“มู่เฉินมีวิธียอดเยี่ยมจริงๆ”
หลิ่วเทียนเต้าพึมพำในใจ แต่ขณะนี้เขาก็เห็นมู่เฉินยิ้มและสร้างตราประทับด้วยมือข้างเดียวอีกครั้ง ซึ่งฉากนี้ทำให้ม่านตาเขาหดเกร็ง
นี่ยังไม่เสร็จอีกเหรอ?!
โฮก!
ขณะที่ความคิดนี้พล่านในหัวใจ เสียงคำรามสะเทือนเลื่อนลั่นก็สะท้อนออกมาจากค่ายกล คลื่นหลิงควบแน่นมังกรอีกตัวก่อตัวขึ้น
ตอนนี้ในค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร มีมังกรทั้งหมดห้าตัว!
ยามนี้สีหน้าของหลิ่วเทียนเต้าน่าเกลียนจนดูไม่ได้ กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนคนอื่นๆ ก็ยังมีสีหน้าเคร่งขรึมลงหลายส่วนกับฉากนี้
ชัดว่าพวกเขารู้สึกถึงไอคุกคามจากมังกรทั้งห้า!
มุมปากของหลิ่วเทียนเต้ากระตุก ถ้านี่เป็นการต่อสู้มรณะกับมู่เฉินแล้วละก็ เขาคงเคลื่อนไหวไปเพื่อขัดขวางมู่เฉินไม่ให้สร้างค่ายกลได้สำเร็จ
แต่น่าเสียดายที่การเดิมพันของเขากับมู่เฉิน ที่ตั้งกฎไว้ว่าเขาจะต้องทนต้านค่ายกลให้ได้สองชั่วโมง ในเมื่อเป็นแบบนี้ที่เขาทำได้ก็คือเฝ้ามองมู่เฉินสร้างค่ายกลจนเสร็จสมบูรณ์
“นี่น่าจะเป็นขีดจำกัดของเขาแล้วแหละ” หลิ่วเทียนเต้าปลอบตัวเองในใจ จากการคาดเดาของเขาถ้ามู่เฉินเพิ่มมังกรเข้าไปอีก เขาคงติดอยู่ในกับดักนี้ไม่ต้องออกไปไหนแล้ว
เหมือนจะสัมผัสได้ว่าหลิ่วเทียนเต้ากำลังปลอบใจตัวเอง มู่เฉินก็เงยหน้ามองไปด้วยรอยยิ้ม เมื่อรู้สึกถึงรอยยิ้มนั่นหลิ่วเทียนเต้าก็หนาวสั่นไปถึงกระดูกสันหลัง ใบหน้าเขาเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำเมื่อเห็นมู่เฉินวาดตราประทับอีกครั้ง
ฮึ่ม ฮึ่ม!
ลวดลายพลังงานเริ่มเชื่อมโยงเข้าด้วยกันถักทอปิดช่องโหว่แบบช้าๆ
ตู้ม!
คลื่นหลิงทั่วบริเวณนี้เดือดพล่าน ขณะที่มารวมตัวกันในค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารราวกับถูกอะไรบางอย่างดึงดูด
ด้วยการรวมตัวของคลื่นหลิงมหาศาลในค่ายกลมากขึ้นก็ทำเอาเปลือกตาของทุกคนกระตุก เมื่อเห็นมังกรอีกตัวขึ้นรูปร่าง
“นั่นตัวที่หกแล้ว”
เหล่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนกลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่ขณะแลกเปลี่ยนสายตากัน หยดเหงื่อปกคลุมหน้าผากไปหมด พวกเขารู้สึกชัดเจนถึงความผันผวนที่น่ากลัวจากพลังงานที่เบื้องหน้า
ค่ายกลระดับนี้แม้แต่พวกเขาก็ไม่กล้าเฉียดเข้าใกล้!
ประมุขทั้งสี่เหลือบไปมองใบหน้าหลิ่วเทียนเต้าที่เปลี่ยนเป็นเขียวมืด ความยินดีในใจก็พวยพุ่ง โชคดีที่ตนไม่ได้ออกหน้าทำอะไร มิฉะนั้นพวกเขาคงอยู่ในจุดเดียวกันกับหลิ่วเทียนเต้าแล้ว
“ไม่คิดว่าเจ้าจะประสบความสำเร็จในด้านค่ายกลถึงระดับนี้! น่าประทับใจมาก งั้นขอข้าลิ้มรสหน่อยว่ามันมีพลังแค่ไหนเชียว!”
ดวงตาของหลิ่วเทียนเต้าวูบไหวขณะที่มองดูค่ายกล อึดใจก็คำรามเสียงกร้าว เขาก้าวเท้าออกมาพลางกำหมัดแน่น คลื่นหลิงจำนวนมหาศาลรวมอยู่ในมือก่อร่างเป็นแส้ขนาดใหญ่หมื่นจั้ง เขาตวัดออกไปฉีกขาดมิติพุ่งเข้าใส่มังกรทั้งหกตัว
หลิ่วเทียนเต้าเคลื่อนไหวกะทันหันมาก ทำให้ความโกรธเพิ่มขึ้นในหัวใจของจิ่วโยวและคนอื่นๆ จิ้งจอกเฒ่าคนนี้ฉลาดแกมโกงนัก เมื่อเห็นว่าค่ายกลขอมู่เฉินขยายขึ้นอย่างแข็งแกร่ง เขาก็ไม่คิดที่จะรออะไร ตัดสินใจเคลื่อนไหวจัดการทันที
เมื่อเห็นการกระทำของหลิ่วเทียนเต้า มู่เฉินก็ยิ้มบาง ถ้าจิ้งจอกเฒ่าคนนี้คิดว่าแบบนี้สามารถขัดขวางเขาในการเร้าค่ายกลต่อก็ดูถูกกันเกินไปแล้ว
มู่เฉินดีดนิ้ว ค่ายกลก็ระเบิดแสงหลิงหมื่นจั้งพลางหมุนคว้าง มังกรทั้งหกพ่มลมหายใจมังกรใส่หลิ่วเทียนเต้าสกัดกั้นการโจมตีเอาไว้
ปัง ปัง!
ทั้งสองเผชิญหน้ากัน คลื่นหลิงที่ป่าเถื่อนก็กวาดออกฉีกมิติกระจุยกระจาย ถ้าไม่ใช่เพราะมั่นถัวหลัว ห้องโถงทั้งหมดคงจะกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้วในตอนนี้
ในค่ายกลมหึมา แสงหลิงส่องกระจายอย่างต่อเนื่อง ไม่กี่สิบลมหายใจ หลิ่วเทียนเต้าก็ปะทะกับมังกรหกตัวไปหลายร้อยกระบวนท่าแล้ว แม้ว่าเขาจะพยายามอย่างเต็มที่ในการโจมตี เขาก็ยังไม่สามารถเอาชนะมังกรทั้งหกได้ ทำได้เพียงไม่ตกเป็นฝ่ายแพ้
“ค่ายกลนี้ทรงพลังขนาดนี้เชียว?!”
หัวใจของหลิ่วเทียนเต้าสั่นระรัว เนื่องจากเขาพบว่าต่อให้เร้าพลังออกมาทั้งหมด เขาก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากมังกรทั้งหกตัวได้
นั่นหมายความว่าค่ายกลนี้มีพลังอำนาจในการดักจับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น!
เขารู้ว่าเว้นแต่จะเทหมดหน้าตัก มิฉะนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะหลุดพ้นจากค่ายกลนี้
เมื่อเกิดความคิดนี้ เขาก็ล้มเลิกความตั้งใจที่จะหนีออกไป เปลี่ยนมาเป็นป้องกันเต็มกำลัง เพราะข้อตกลงระหว่างเขากับมู่เฉินคืออยู่ในค่ายกลให้ครบสองชั่วโมง
แม้ว่าหลิ่วเทียนเต้าจะไม่สามารถทำสิ่งใดกับค่ายกลได้ แต่ค่ายกลก็ไม่สามารถทำลายแนวป้องกันของเขาได้ หากสิ่งนี้ยังคงดำเนินต่อไปเขาจะสามารถลากเวลาจนครบสองชั่วโมง
วิธีนี้ดูไม่ดีสักเท่าไร แต่ในเมื่อมู่เฉินมั่นใจเกินตัว เขาก็ต้องให้บทเรียนกับอีกฝ่ายบ้าง
เมื่อเกิดความคิดนี้ หลิ่วเทียนเต้าก็ไม่สนใจอะไรอีก คลื่นหลิงมหาศาลพวยพุ่งขึ้นพร้อมกับแสงหลิงนับไม่ถ้วนก่อตัวเป็นแนวป้องกันที่แข็งแกร่งรอบตัวเขา ปล่อยให้มังกรทั้งหกโจมตีได้ตามที่ต้องการ
“ตาแก่นั้นหน้าด้านไปแล้ว!”
จิ่วโยวและคนอื่นๆ ส่ายหัวขณะที่สบถด่าในใจ
ประมุขคนอื่นๆ เบ้ปาก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะถ้าหลิ่วเทียนเต้าชนะ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องยอมรับมู่เฉินในฐานะผู้นำ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่การปริปากกับการที่หลิ่วเทียนเต้าเป็นคนไร้ยางอาย
ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็รู้สึกดีใจในใจ โชคดีที่พวกเขาไม่ได้ทำตัวเด่น ไม่อย่างนั้นคนที่อยู่ในตำแหน่งกระอักกระอ่วนของหลิ่วเทียนเต้าก็จะเป็นพวกเขา
ในห้องโถงทุกคนมีความคิดที่แตกต่างกันไป ส่วนมู่เฉินก็ยิ้มขณะที่มองหลิ่วเทียนเต้า ริ้วเยาะเย้ยโค้งขึ้นมุมปาก
ในเวลาเดียวกันเขาก็ยกมือขึ้น วาดตราประทับโบราณ
ทันใดนั้นค่ายกลก็เปล่งประกายด้วยความมันวาวอีกครั้ง ค่อยๆ ก่อร่างเป็นมังกรอีกตัว
ความปั่นป่วนนี้ดึงดูดความสนใจของทุกคน แต่ละคนมีท่าทางเปลี่ยนไปเนื่องจากไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินจะดำเนินการสร้างค่ายกลต่อให้สมบูรณ์ ขณะจัดการกับหลิ่วเทียนเต้าในเวลาเดียวกัน
นอกจากนี้ค่ายกลยังไม่ถึงขีดจำกัดอีกเหรอ? ค่ายกลนี้อยู่ในระดับใดกันแน่?!
ขณะที่ทุกคนตกตะลึง หลิ่วเทียนเต้าก็เห็นมังกรตัวที่เจ็ดกำลังก่อตัว ใบหน้าของเขาน่าเกลียดอย่างรุนแรง เขาสามารถสัมผัสได้คลุมเครือว่าการจัดเรียงน่ากลัวขึ้นเมื่อมังกรตัวที่เจ็ดเผยออกมา
เขามีลางสังหรณ์ว่าถ้ามังกรตัวที่เจ็ดเข้ามาละก็ เขาจะไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้แน่นอน
ตู้ม ตู้ม!
หลิ่วเทียนเต้าไม่คิดหยุด ปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมา ร่างเวทสวรรค์มหึมาถูกสร้างขึ้นที่เบื้องหลัง ขณะที่มันพ่นลมหายใจก็ก่อร่างเป็นมหาสมุทรขนาดใหญ่ ซัดมังกรทั้งหกออกไป
โฮก!
แต่ในเวลาเดียวกันเสียงคำรามมังกรรุนแรงก็ดังกังวาน
ริ้วแสงไม่มีที่สิ้นสุดพุ่งออกมา มังกรตัวที่เจ็ดก็กลายเป็นลำแสงพุ่งออกไป
ฟิ้ว ฟิ้ว!
มังกรหกตัวก่อนหน้าก็กลายเป็นลำแสงพุ่งออกมาหลอมรวมเข้าด้วยกัน มังกรทั้งเจ็ดรวมกันเป็นวงล้อมังกรทะลุผ่านมิติพุ่งเข้าใส่หลิ่วเทียนเต้า ภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน
เมื่อมองการโจมตีทำลายล้างนี้ ใบหน้าของหลิ่วเทียนเต้าก็เปลี่ยนเป็นซีดเผือด ความกลัวปีนขึ้นไปบนใบหน้า
ในที่สุดเขาก็ทนแรงกดดันไม่ไหวต้องฟันกรอดตะเบ็งเสียงออกมา
“ข้ายอมแพ้!”
บทที่ 1204 ตำหนักมู่
“ข้ายอมแพ้”
เมื่อได้ยินเสียงคำรามของหลิ่วเทียนเต้า วงล้อเกล็ดมังกรที่พุ่งเข้าใส่เขาก็หยุดลงห่างจากใบหน้าไปเพียงไม่กี่จั้งก่อนที่จะแตกสลายไป
จุดแสงคลื่นหลิงกระจายออก แต่ร่างกายหลิ่วเทียนเต้าก็กระเด็นออกไปอย่างน่าอนาถ ชุดเกราะพลังหลิงสั่นสะเทือนเช่นกัน
ตัวเขากระเด็นออกไปหลายพันจั้งก่อนที่จะสามารถควบคุมร่างกายได้ เขายืนอยู่ในอากาศด้วยสีหน้าแปรเปลี่ยนไป สุดท้ายก็ทะยานกลับเข้ามาในโถงด้วยอาการหดหู่
ทั้งโถงเงียบสนิทเมื่อประมุขคนอื่นเห็นภาพนี้ดวงตาของพวกเขาวูบไหวด้วยแววตกตะลึงที่ไม่สามารถปกปิดได้ ฉากนี้เกินความคาดหมายไปไกลนัก
พวกเขาไม่เคยประเมินมู่เฉินต่ำ พวกเขารู้ว่าชายหนุ่มคนนี้มีความสามารถแท้จริงและก็ไม่คิดว่าหลิ่วเทียนเต้าจะเอาชนะได้ พวกเขาแค่ต้องการให้หลิ่วเทียนเต้าแสดงพลังเพื่อลดความโดดเด่นของมู่เฉินลงบ้าง เพื่อให้เขาได้รับความอับอายไม่กล้าที่จะขึ้นเป็นผู้นำ
ทว่าพวกเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะไม่มีความคิดในการปะทะด้วยตนเอง เขาเลือกสร้างค่ายกลและจัดการจนหลิ่วเทียนเต้ายอมแพ้
“มู่เฉิน…ทรงพลังขนาดนี้เชียวรึ?”
พวกเขาพึมพำในใจ แต่ละคนรู้สึกสะอึกในใจ ไม่กี่ปีก่อนมู่เฉินยังเป็นเพียงเบี้ยตัวน้อยของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่พวกเขาไม่คิดจะชายตามอง แต่เพียงไม่กี่ปีมู่เฉินก็เติบโตจนถึงจุดที่สามารถปราบปรามพวกเขาได้
พวกเขาตกตะลึงอย่างแท้จริงกับการเติบโตของชายหนุ่มคนนี้ยากที่จะจินตนาการว่าเขาจะไปให้ไกลแค่ไหน ถ้ามีเวลามากขึ้นกว่านี้
มู่เฉินยิ้มเมื่อมองหลิ่วเทียนเต้าพลางพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ผู้อาวุโสหลิ่วอย่าเคืองกันเลยนะ ข้าชนะเนื่องจากใช้กลยุทธ์บางอย่าง ถ้านี่คือศึกมรณะคงไม่มีใครนั่งนิ่งๆ มองค่ายกลสร้างขึ้นอย่างสมบูรณ์หรอก”
เมื่อหลิ่วเทียนเต้าเห็นมู่เฉินไม่มีความเย่อหยิ่งหรือเย้ยหยัน มิหนำซ้ำยังไว้หน้าเขาให้พ้นจากความอับอาย ท่าทางของเขาก็อ่อนโยนลง เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกชื่นชมมู่เฉินจากใจ
ชายหนุ่มคนนี้ที่เบื้องหน้าเขาเป็นอัจฉริยะของแท้ที่ไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยสามัญสำนึก ไม่แปลกที่เขาจะพ่ายแพ้ให้กับมู่เฉิน
หลิ่วเทียนเต้าถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “คลื่นลูกใหม่แซงหน้าคลื่นลูกเก่าแล้ว ข้าประเมินตนเองสูงไป เจ้ามีความสามารถและพลังที่มีก็โน้มน้าวข้าได้”
เมื่อเห็นว่าหลิ่วเทียนเต้ายอมรับความพ่ายแพ้ คนอื่นๆ ก็แลกเปลี่ยนสายตาพลางถอนหายใจในใจ พวกเขารู้ว่าเป็นไปไม่ได้อีกแล้วที่จะขัดขวางไม่ให้มู่เฉินขึ้นเป็นผู้นำคนใหม่
ทว่าพวกเขาก็ต้องตกใจกับการแสดงศักยภาพของมู่เฉินมาก เพราะพลังของพวกเขาคล้ายคลึงกับหลิ่วเทียนเต้า ในเมื่อมู่เฉินสามารถบีบหลิ่วเทียนเต้าให้ยอมแพ้ได้ ผลลัพธ์คงไม่เปลี่ยนแปลงแม้ว่าพวกเขาจะเคลื่อนไหวก็ตาม
โลกนี้พลังคือทุกสิ่ง ในเมื่อมู่เฉินสามารถเอาชนะพวกเขาได้ นี่ก็พิสูจน์คุณสมบัติของเขาแล้ว
มั่นถัวหลัวที่ไม่ได้พูดมาตลอดก็ยิ้มถามว่า “ในเมื่อเป็นแบบนี้มีใครคัดค้านข้อเสนอของข้าอีกไหม?”
ทุกคนนิ่งเงียบพลางส่ายหัว ตอนนี้คัดค้านอีกก็เท่ากับเพิ่มความอับอาย
แปะ
มั่นถัวหลัวปรบมือด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าขอประกาศให้มู่เฉินเป็นผู้นำสำนักที่จัดตั้งขึ้นใหม่ ทุกคนจงปฏิบัติตามคำสั่งของเขาในอนาคต!”
คนอื่นๆ มองมู่เฉินพยักหน้าด้วยความเคารพ แสดงให้เห็นว่าจะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
หลิ่วเทียนเต้ามองที่มู่เฉินและมั่นถัวหลัวถามว่า “ในเมื่อเราจะสร้างสำนักใหม่ แล้วจะให้ชื่อว่าอะไรดีหรือ?”
ในเมื่อมั่นถัวหลัวต้องการสลายพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือก็ไม่สามารถใช้ชื่อเก่าได้ นั่นจะเป็นการทำให้คนอื่นระลึกถึงอดีตเกินไป
ดังนั้นหากพวกเขาต้องการเปลี่ยนแปลง ก็จะต้องก้าวไปข้างหน้าแทนที่จะก้าวไปข้างหลัง
มู่เฉินมองมั่นถัวหลัวกระซิบว่า “ในเมื่อเราจะใช้ประโยชน์จากฐานรากของวังสวรรค์บรรพกาล งั้นใช้ชื่อนี้ดีไหม”
เหตุผลที่เขามีความคิดเช่นนั้นเพราะต้องการทิ้งบางอย่างไว้เบื้องหลังเพื่อพิสูจน์การมีอยู่ของจักรพรรดิฟ้า เพราะเขาได้รับโอกาสที่ดีจากจักรพรรดิฟ้า
ทว่ามั่นถัวหลัวกลับส่ายหน้าเบาๆ “จักรพรรดิฟ้าบอกไว้แล้วว่าวังสวรรค์บรรพกาลกลายเป็นอดีตที่ไม่หวนคืน ดังนั้นไม่จำเป็นต้องดำเนินการใดๆ ต่อ ให้ชื่อเสียงจางหายไปพร้อมกับมันเถอะ”
มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะพยักหน้า มั่นถัวหลัวมีความรู้สึกอย่างมากต่อวังสวรรค์บรรพกาล ดังนั้นหากสำนักใหม่ยังคงชื่อนี้ไว้ก็จะเปิดบาดแผลขึ้นมาเท่านั้น
“งั้น…” มู่เฉินไม่ได้มีความคิดในเรื่องนี้ เขาได้แต่เกาหัวแกรกกราก
มั่นถัวหลัวเท้าคางขณะที่ดวงตากวาดไปรอบๆ ก่อนที่นางจะตบมือฉาดแล้วยิ้ม “ได้ล่ะ! ในเมื่อเจ้าเป็นผู้นำคนใหม่ เราก็จะเรียกว่าตำหนักมู่! ช่างเรียบง่ายและใช้งานได้จริง!”
หน้าผากของมู่เฉินถึงกับเหงื่อซึม ชื่อนี้ช่างเรียบง่ายและไร้ความคิดนัก!
คนอื่นๆ แลกเปลี่ยนสายตา พวกเขาดูลังเลก่อนจะถามเสียงอ้อมแอ้ม “มันจะดูไม่ค่อยดีรึเปล่า?”
ชื่อนี้ช่างเป็นที่สังเกตมากเกินไป ทันทีที่ก่อตั้งขึ้นพวกเขาจะถูกเหน็บไว้ด้วยชื่อของมู่เฉินห้อยต่อท้าย
พวกเขาที่ภาคภูมิใจและสูงส่งมาตลอดยังไม่สามารถยอมรับได้ในเวลาสั้นๆ
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ท่าทางนางพญาเย็นชาก็ก่อตัวขึ้น “พวกเจ้ามีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับเรื่องนี้รึ? หากไม่เต็มใจก็ออกไป ในอนาคตอย่าเสียใจที่จากไปก็แล้วกัน!”
เมื่อได้ยินเสียงที่เย็นชาของมั่นถัวหลัว จิตใจของพวกเขาก็สั่นไหวก่อนจะกัดฟันส่ายหน้าหวือ “ตกลง งั้นเราจะตั้งชื่อว่าตำหนักมู่!”
สำหรับระดับของพวกเขาจะต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมหาศาลเพื่อพัฒนาตนเอง แม้ว่าพวกเขาจะเป็นจอมยุทธ์ชั้นนำในภูมิภาคทางเหนือ พวกเขาก็ได้แต่อยู่ในเขตแดนของตัวเองเท่านั้น เมื่อไรที่ต้องออกไปจากภูมิภาคทางเหนือ พวกเขาก็ต้องระมัดระวังอย่างมากเพื่อไม่ให้ไปเหยียบเท้าขั้วอำนาจทรงอิทธิพลอื่นๆ
พวกเขาต้องการภูมิหลังสนับสนุนเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในเส้นทางการเพาะบ่ม แม้ว่าตำหนักมู่จะเพิ่งก่อตั้งขึ้นใหม่ แต่ก็มีศักยภาพ มิหนำซ้ำมั่นถัวหลัวก็ยังเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มแท้จริง นางสามารถได้รับการพิจารณาจัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของทวีปเทียนหลัว ดังนั้นนางจะต้องปกปักตำหนักมู่เพื่อให้เติบโตขึ้นไปอีกแน่
นอกจากนี้ยังมีมู่เฉิน… ชายหนุ่มผู้โดดเด่นคนนี้ถึงจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นในตอนนี้ แต่เขามีพรสวรรค์ล้ำเลิศ ตราบใดที่เขายังมีชีวิตอยู่ก็จะเติบโตเป็นจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงในมหาพันภพแน่นอน
ในเวลานั้นตำหนักมู่จะเติบโตขึ้นเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจสูงสุดของมหาพันภพ ซึ่งอาจเทียบเคียงกับความโดดเด่นของแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูก็เป็นได้
ดังนั้นเมื่อพิจารณาคร่าวๆ พวกเขาก็ทิ้งความรู้สึกไม่ดีในใจลง พวกเขาบอกได้ว่ามั่นถัวหลัวกำลังวางแผนที่จะสร้างฐานที่มั่นให้กับมู่เฉิน ดังนั้นนางจะต้องไม่ปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนเป็นหินรองเท้าอย่างในอดีต
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็เข้าร่วมตำหนักมู่อย่างจริงใจและรอดูการเติบโตไปพร้อมกันเถอะ
เมื่อเห็นการยอมรับของคนอื่นมั่นถัวหลัวก็พยักหน้าพึงพอใจ “ในเมื่อตัดสินใจเรียบร้อย สามวันนับจากนี้จะเป็นวันก่อตั้งของตำหนักมู่!”
“พวกเจ้าทุกคนจะได้เป็นผู้อาวุโสของที่นี่ ไม่ว่าตำหนักมู่จะเติบโตไปไกลแค่ไหน ในอนาคตตำแหน่งของเจ้าจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง!”
คำพูดของมั่นถัวหลัวคล้ายยากล่อมประสาท ซึ่งเป็นการรับประกันตำแหน่งของพวกเขาซึ่งจะไม่เปลี่ยนแปลงไม่ว่าตำหนักมู่จะเติบโตแค่ไหนก็ตาม
หลิ่วเทียนเต้าและคนอื่นๆ ยืนขึ้นโค้งคำนับต่อมู่เฉิน ซึ่งเป็นการทักทายของคนตำแหน่งรองลงมา
มู่เฉินก็ไม่กล้าชักช้า เขาประสานมือพร้อมกับท่าทางแสดงออกจริงจัง
เมื่อเรื่องนี้จัดกการเรียบร้อย หลิ่วเทียนเต้าและคนอื่นๆ ก็กล่าวอำลา เนื่องจากพวกเขายังต้องประกาศให้สำนักของตนทราบ แน่นอนว่านี่คงจะทำให้เกิดความโกลาหลใหญ่ แต่พวกเขามั่นใจว่าจะปรามเสียงนกเสียงกาเหล่านั้นได้
มองดูการจากไปของพวกเขา มู่เฉินก็รู้สึกโล่งใจขึ้นก่อนที่จะยิ้มให้มั่นถัวหลัวอย่างช่วยไม่ได้ “เจ้าเหมาะสมสำหรับตำแหน่งนี้กว่านะ”
มั่นถัวหลัวยืดเอวพูดอย่างไม่แยแส “จะต้องมีสักวันหนึ่งที่เจ้าจะก้าวข้ามข้าไป เมื่อถึงเวลานั้นตำหนักมู่จะยืนหยัดอยู่ในมหาพันภพด้วยความสามารถของเจ้า”
มู่เฉินยิ้มอย่างขมขื่น “บางทีข้าอาจยุ่งตายก่อนวันนั้นจะมาถึง”
แค่เรื่องในวันนี้ก็ทำให้เขาปวดหัวพอแล้ว ยากที่จะจินตนาการว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นในอนาคตเมื่อมีการตั้งขั้วอำนาจนี้ขึ้น
“เจ้าพูดราวกับว่าเคยจัดการหอวิหคโลกันตร์ด้วยตัวเอง สุดท้ายหอวิหคโลกันตร์ก็แข็งแกร่งขึ้นทุกวันไม่ใช่เหรอ” มั่นถัวหลัวกลอกตาเยาะเย้ย
มู่เฉินฉายสีหน้าแปลกพิลึก หอวิหคโลกันตร์ปล่อยให้ถังปิงจัดการทุกอย่าง ซึ่งเขาไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรเลย ทว่าเขาเข้าใจว่ามั่นถัวหลัวหมายถึงอะไร เขาเพียงแค่มอบหมายหน้าที่ให้ถูกคนเท่านั้น
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เขารู้สึกโล่งใจมากขึ้น แต่ไม่นานใบหน้าก็กลายเป็นเคร่งเครียดและเร่งด่วน เขาหันไปมองมั่นถัวหลัวสูดหายใจเข้าลึกก่อนที่จะพูดด้วยเสียงสั่น
“ตอนนี้บอกข่าวลั่วหลีให้ข้าฟังได้หรือยัง?”
บทที่ 1205 ลั่วเสิน
มู่เฉินมองไปที่มั่นถัวหลัวด้วยสองมือสั่นเทา
เผยให้เห็นความวิตกกังวลในหัวใจของเขา
เขาจะไม่มีวันลืมความรู้สึกอ่อนแอตอนที่ภาพเงาแข็งแกร่งแก่ชราพาลั่วหลีไปจากเขาจากสำนักศึกษาเป่ยชาง
เขาไม่มีวันลืมน้ำตาแห่งความเสียใจที่เอ่อล่นในดวงตาของนาง เมื่อตอนที่จากลา
ตอนนั้นเขาไม่มีพลังอำนาจใด ได้แต่มองดูลั่วหลีหายไปจากครรลองสายตา
เขารู้ว่าการจากลาของเราสองคนต้องกินเวลาเนิ่นนานหลายปี
“ครั้งต่อไปที่เราพบกัน ข้าจะไม่ยอมให้ใครพาเจ้าไปอีกแล้ว!”
เสียงมั่นคงของชายหนุ่มยังคงชัดเจนแม้ผ่านไปหลายปี หลังจากนั้นเขาก็ออกจากสำนักศึกษาเป่ยชางท่องยุทธภพไปทั่วมหาพันภพ
ผ่านไปหลายปี เขาก็เติบโตขึ้นผ่านศึกเป็นตายมามากมาย ทำให้ความอ่อนโยนบนใบหน้าลดลงไม่น้อย อย่างไรก็ตามดวงตาของเขายังคงแน่วแน่เช่นเคย
เขาเปลี่ยนแปลงจากลูกเจี๊ยบตัวน้อยจนกางปีกหงส์ฟ้าได้อย่างสมบูรณ์
ตอนนี้เขาไม่อ่อนแอเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป แม้ว่าลั่วเทียนเสินจะยืนอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง เขาก็ไม่กลัวแม้แต่น้อย
ตอนนี้ถ้าเขาเปิดไพ่ตายทั้งหมด ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนแท้จริงก็ต้องหน้าเปลี่ยนสี!
ประสบการณ์หลายปีที่ผ่านมาทำให้เขามีคุณสมบัติที่จะยืนต่อหน้าชายชราคนนั้นด้วยความภาคภูมิ
แต่มู่เฉินรู้ว่าการเติบโตของตนเองนั้นไม่ได้เพื่อต่อต้านชายชราคนนั้นที่คิดแทนลั่วหลี ตนแค่อยากจะบอกตาแก่คนนั้นว่าชายหนุ่มที่หลานสาวเขาเลือกไม่ใช่กรวดหิน แต่เป็นเพชรเม็ดงามเมื่อได้รับการเจียระไน!
เขาทำงานหนักมาตลอดเพื่อให้ถึงวันนั้น
มู่เฉินสูดหายใจลึกๆ สงบอารมณ์ในใจลง ม่านตาสีดำก็กลับมาเป็นประกายเรืองรอง
มั่นถัวหลัวมองรัศมีคมชัดที่มาจากมู่เฉินก็ยกคิ้วขึ้น ใบหน้านางฉาบด้วยรอยยิ้ม “ดูเหมือนว่าคนรักของเจ้าจะเป็นคนสำคัญมาก”
หลังจากรู้จักมู่เฉินมานานนี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นเขาเกิดอารมณ์รุนแรงต่อหญิงสาวคนหนึ่ง
มู่เฉินยิ้มเขินแต่ดวงตายังจับจ้องอยู่ที่มั่นถัวหลัว
เมื่อถูกจ้องมองมั่นถัวหลัวก็หุบยิ้ม นางเอามือแตะคางถามกลับว่า “เจ้ารู้เกี่ยวกับตระกูลลั่วเสินมากแค่ไหน?”
มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะส่ายหัว ในอดีตตระกูลลั่วเสินเป็นดินแดนสวรรค์ที่ไกลเกินเอื้อมมือ แต่ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับเมื่อก่อน จากการประเมินรากฐานพลังของตระกูลลั่วเสินน่าจะเทียบเท่าขั้วอำนาจระดับสูงสุดของทวีปเทียนหลัว
“ปัจจุบันตระกูลลั่วเสินเสื่อมโทรมลงไปมาก ตอนที่อยู่ในจุดสุดยอดไม่ใช่สิ่งที่เจ้าสามารถจินตนาการได้เลย” มั่นถัวหลัวอธิบาย
“สมัยโบราณมีความงามล้ำหาที่เปรียบไม่ได้อยู่บนยอดคทาของตระกูลลั่วเสิน ในแง่ของความแข็งแกร่งและชื่อเสียงแม้แต่จักรพรรดิฟ้าก็ยังด้อยกว่านาง”
ความตกตะลึงฉาบบนใบหน้าของมู่เฉินตามคำพูดนี้ ตระกูลลั่วเสินมีอัจฉริยะทรงพลังที่แม้แต่จักรพรรดิฟ้าก็ยังด้อยกว่ารึ?
มั่นถัวหลัวเบ้ปากพลางถอนหายใจ “นางรู้จักกันในนามลั่วเสิน ไม่เพียงแต่เป็นหนึ่งในยอดยุทธ์แห่งมหาพันภพ แต่ยังเป็นที่รู้จักในฉายาเทพธิดาแห่งมหาพันภพ จุ๊ๆ ว่ากันว่าเทพเซียนเท่านั้นที่รู้ว่ามีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนกี่คนตกหลุมรักความงามของนาง”
มู่เฉินตกตะลึง ไม่คิดว่าบรรพบุรุษของตระกูลลั่วเสินจะเป็นเทพธิดาแห่งมหาพันภพ
“ตระกูลลั่วเสินมีมรดกตกทอดมายาวนาน ถ้าไม่ใช่เพราะจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ ตระกูลลั่วเสินคงเป็นหนึ่งในเผ่าโบราณไปแล้ว” มั่นถัวหลัวถอนหายใจอย่างเสียดาย
มู่เฉินพูดไม่ออก เฉพาะเผ่าที่เก่าแก่ที่สุดเท่านั้นถึงจะเป็นที่รู้จักในฐานะเผ่าโบราณแห่งมหาพันภพ เช่นเผ่าหมัวเฮอและเผ่าฝูถู ไม่คิดว่าตระกูลลั่วเสินจะมีรากฐานเช่นนี้เหมือนกัน
“ลั่วเสินเสียชีวิตหรือ?” มู่เฉินถามเสียงต่ำ
ใบหน้าเคร่งขรึมของมั่นถัวหลัวพยักเบาๆ “เล่ากันว่าลั่วเสินขัดขวางจอมปีศาจขั้นเทียนสองคนที่อยู่ในอันดับที่แปดและเก้า”
มู่เฉินหดดวงตาจากการจำแนกตำแหน่งของจอมปีศาจขั้นเทียน ทั้งสองจะต้องเป็นราชันปีศาจที่ไม่ธรรมดาในจักรวรรดิปีศาจต่างมิติแน่นอน
เพราะเขาเคยได้เห็นพลังของจอมปีศาจทุนเทียน ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าราชันปีศาจน่ากลัวมากเพียงใด
ทว่าลั่วเสินกลับเผชิญหน้าสิ่งมีชีวิตไร้เทียมทานสองคน ดังนั้นสามารถบอกได้ว่านางกล้าหาญเพียงใดรวมถึงตำแหน่งอันตรายของนางด้วย
“หลังมหาสงครามจบ ลั่วเสินเสียชีวิต แต่สำหรับจอมปีศาจขั้นเทียนทั้งสอง คนหนึ่งตายอีกคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บ” มั่นถัวหลัวถอนหายใจ ในคำพูดแสดงความชื่นชมต่อเทพธิดาแห่งมหาพันภพ
มู่เฉินตกตะลึงอย่างที่สุดกับความสำเร็จของลั่วเสิน เพราะแม้แต่จักรพรรดิฟ้าทำได้ดีที่สุดก็เพียงผนึกจอมปีศาจทุนเทียนเอาไว้ สำหรับลั่วเสินนางสามารถฆ่าได้คนหนึ่งและซัดอีกคนจนบาดเจ็บ ดังนั้นจึงพิสูจน์ได้ว่าพลังของลั่วเสินแข็งแกร่งกว่าจักรพรรดิฟ้า
“ตอนที่นางเสียชีวิต ร่างทอดเป็นแม่น้ำขนาดใหญ่ที่รู้จักกันในชื่อแม่น้ำลั่ว ซึ่งตระกูลลั่วเสินปกปักเอาไว้ มีข่าวลือว่าลั่วเสินได้ทิ้งมรดกไว้ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือร่างเทพวารี หนึ่งในร่างเทห์สวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่สั่นสะเทือนผู้คนมากมายในมหาพันภพ”
“ลำดับที่สิบเอ็ด—ร่างเทพวารี?!” ท่าทางของมู่เฉินเปลี่ยนไปรุนแรง เขาไม่เคยคิดเลยว่าร่างลึกลับนี้จะเป็นของตระกูลลั่วเสิน!
เมื่อเทียบกับร่างเทพวารีแล้วร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของเขาก็อาจไม่ได้เปรียบอะไรมากมาย
ขณะนี้เขาตระหนักได้ว่าตนเองประเมินตระกูลลั่วเสินต่ำเกินไป
“แต่…” มั่นถัวหลัวส่ายหน้าเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ “ตลอดหลายปีไม่มีสมาชิกตระกูลสามารถฝึกร่างเทพวารีนี้ได้ ดังนั้นจึงไม่มีใครได้รับมรดก นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมตระกูลลั่วเสินถึงตกต่ำจนถึงจุดนี้”
มู่เฉินจนคำพูดไปเลย ดูเหมือนว่าจะไม่ง่ายที่จะฝึกฝนร่างเทพวารี ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเขาไม่เคยได้ยินใครที่ครอบครองร่างเทห์สวรรค์นี้ในอดีต
“พวกเขามีสมบัติล้ำค่า แต่อยู่ในตำแหน่งต่ำลง ดังนั้นจึงดึงดูดความสนใจเป็นเรื่องปกติ” มั่นถัวหลัวพูดต่อไปว่า “ในดินแดนซีเทียนมีตระกูลเทพสี่ตระกูลได้แก่ ตระกูลลั่วเสิน ตระกูลเสี่ยเสิน ตระกูลลี่เสินและตระกูลกู่เสิน อดีตถึงแม้ว่าตระกูลลั่วเสินจะเสื่อมโทรมไปแล้ว แต่อูฐที่หิวโหยก็ยังคงมีขนาดใหญ่กว่าม้าดังนั้นพวกเขาจึงยังสามารถครองตำแหน่งผู้นำหนึ่งในสี่ตระกูลเทพเอาไว้ได้”
“แต่หลังจากที่สามตระกูลเทพขยายอิทธิพลขึ้นเรื่อยๆ บารมีของตระกูลลั่วเสินก็ถดถอยลงไป วันนี้ตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนซีเทียนกลายเป็นตระกูลเสี่ยเสินไปแล้ว”
“มิหนำซ้ำตระกูลเสี่ยเสินยังมีความแค้นอย่างยิ่งกับตระกูลลั่วเสิน เกิดการปะทะกันระหว่างสองตระกูลมาหลายร้อยหลายพันปีแล้ว ทำให้เกิดความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างกัน ช่วงหลายปีที่ผ่านมาตระกูลเสี่ยเสินกดดันหนักมาก ส่งผลให้ตระกูลลั่วเสินตกอยู่ในสภาพย่ำแย่”
“ส่วนภายในตระกูลลั่วเสินเองก็ย่ำแย่นัก ภายใต้ภัยคุกคามนี้กลับไม่สามัคคีกัน ต่างฝ่ายปกครองกันเอง เห็นได้เลยว่ากำลังจะล่มสลาย”
พูดถึงจุดนี้มั่นถัวหลัวก็ยิ้มมองมู่เฉิน “แต่คนรักของเจ้านั่นเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมแท้จริง นางพึ่งพาพลังของตนเองทำให้ตระกูลมั่นคงขึ้นและเป็นผู้นำทัพตระกูลลั่วเสินเข้าห้ำหั่นกับตระกูลเสี่ยเสินเอง”
มู่เฉินไม่รู้สึกดีใจเลย เขากลับกำหมัดแน่นสาดสีหน้าเย็นชา แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ข้างกายลั่วหลี แต่เขาก็สามารถรับรู้ได้ว่านางต้องทนทุกข์ทรมานมากแค่ไหน
“ตอนนี้นางเป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าบอกว่าสภาพของนางไม่ดีใช่ไหม?” มู่เฉินสูดหายใจลึกๆ ขณะที่ถามเสียงเบา
ใบหน้าของมั่นถัวหลัวเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขณะที่พยักหน้าเบาๆ “จากข้อมูลที่ได้รับตระกูลลั่วเสิน วางแผนที่จะให้นางเข้าพิธีเทพธิดาลั่ว เพื่อดูว่านางจะได้รับมรดกหรือไม่”
“หากลั่วหลีสามารถรับมรดกของลั่วเสินและฝึกร่างเทพวารีได้สำเร็จ ด้วยพรสวรรค์นางก็จะกลายเป็นลั่วเสินคนที่สองในอนาคต ซึ่งนี่ไม่ใช่สิ่งที่ตระกูลเทพอีกสามตระกูลอยากที่จะเห็น ดังนั้นข้ากลัวว่าจะมีปัญหาในพิธีเทพธิดาลั่วครั้งนี้”
“นอกจากนี้ข้ายังได้ยินมาว่ามีคลื่นใต้น้ำในตระกูล ไม่ใช่ทุกคนที่สนับสนุนคนรักของเจ้า สายของนางอ่อนแอและถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับลั่วเทียนเสินละก็…”
“พิธีเทพธิดาลั่วครั้งนี้ไม่เกิดขึ้นง่ายๆ แน่”
ฮา
แสงเย็นเยือกวาววับในดวงตาของมู่เฉิน จากนั้นเขาก็สูดหายใจลึกระงับอารมณ์ “พิธีเทพธิดาลั่วจะเริ่มเมื่อไร?”
“หนึ่งเดือนนับจากนี้”
มู่เฉินมองมั่นถัวหลัวถามว่า “ข้าใช้พลังตำหนักมู่ได้ไหม?”
ตระกูลลั่วเสินเส้นสายโยงใยซับซ้อนมากเกินไป แม้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถจัดการได้ด้วยตัวเอง
มั่นถัวหลัวยิ้มบางขณะที่ยืนขึ้น
“ตอนนี้เจ้าเป็นประมุขตำหนักมู่แล้ว เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ?”
มู่เฉินพูดเสียงเบา “ขอบคุณ”
เขารู้ดีว่าตนเองเป็นเหตุผลว่าทำไมมั่นถัวหลัวจึงตั้งใจสลายพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือเพื่อจัดตั้งตำหนักมู่
มั่นถัวหลัวเหยียดเอวพูดอย่างทรงอำนาจ
“ใครให้เจ้าเป็นศิษย์น้องของข้าล่ะ ในเมื่อมีใครกล้ามารังแกน้องสะใภ้ก็ซัดให้มันตายไปเลย!”
มู่เฉินยิ้มกว้าง ทว่ากลับมีแสงเหี้ยมเกรียมวูบไหวในดวงตา
ลั่วหลี รอข้า!
บทที่ 1206 จัดตั้งตำหนักมู่
เมื่อข่าวเกี่ยวกับวังสวรรค์บรรพกาลสงบลง
ภูมิภาคทางเหนือก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นแหล่งที่มาก็คือข่าวการจัดตั้งตำหนักมู่
ไม่มีใครคิดว่าพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือจะสลายตัวอย่างรวดเร็วและแทนที่ด้วยการรวมตัวจัดตั้งตำหนักมู่
สิ่งที่ทำให้ผู้อื่นตกใจยิ่งกว่าอะไรก็คือผู้นำของตำหนักมู่ไม่ใช่มั่นถัวหลัวแต่เป็นมู่เฉิน!
มู่เฉินเป็นที่รู้จักกันดีในภูมิภาคนี้เนื่องจากความสำเร็จที่ผ่านมาหลายปีของเขา ทำให้เขากลายเป็นอันดับหนึ่งในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ ยิ่งเมื่อผ่านเหตุการณ์ในวังสวรรค์บรรพกาล เขาก็มีแววจะอยู่เหนือจอมยุทธ์รุ่นใหม่ทุกคนในทวีปเทียนหลัว
ทุกคนยกย่องกับความสำเร็จของเขา
ทว่าเขาอ่อนอาวุโสมากในสายตาของหลายคน แม้จะประสบความสำเร็จรุ่งโรจน์ แต่ก็ยังไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้นำขั้วอำนาจใหญ่
ดังนั้นจึงไม่มีใครมองในแง่ดีเกี่ยวกับอนาคตของตำหนักมู่
ทว่าขณะที่พวกเขากำลังรอดูการแสดง เรื่องที่เกิดขึ้นต่อมาก็ทำให้พวกเขาตะลึงงันไปอีกครั้ง เนื่องจากขั้วอำนาจชั้นสูงของภูมิภาคทางเหนืออย่างตำหนักสุดนภา ยอดเขาหมื่นเทพ จวนยมโลกและสำนักอื่นๆ ต่างออกมาประกาศว่าพวกเขาจะเข้าร่วมกับตำหนักมู่ ยอมเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของมู่เฉิน
เมื่อข่าวกระจายออกไป ไม่เพียงแต่สั่นสะเทือนทั่วภูมิภาคทางเหนือ แต่ยังทำให้ขั้วอำนาจทรงพลังบางส่วนในทวีปเทียนหลัวตกใจ เพราะนั่นหมายความว่าตำหนักมู่ที่จัดตั้งขึ้นใหม่จะมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นหกคนและขั้นเต็มหนึ่งคน!
ไม่ต้องพูดถึงในภูมิภาคทางเหนือ แม้แต่ในทวีปเทียนหลัวก็สามารถได้รับการจัดอันดับเป็นหนึ่งในยอดสำนัก!
ในอดีตสำนักเหล่านั้นไม่ได้ใส่ใจกับภูมิภาคทางเหนือเลย เพราะที่นี่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและไม่มีขั้วอำนาจชั้นนำ หากไม่ใช่ว่าภูมิภาคทางเหนือปฏิเสธคนนอกอย่างหนัก พวกยอดสำนักต่างๆ คงยื่นมือเข้ามาครองนานแล้ว
แต่ตอนนี้ในที่สุดขั้วอำนาจโดดเด่นก็ปรากฏขึ้นในภูมิภาคทางเหนือพร้อมกับสำนักชั้นนำอีกหลายแห่งที่ประกาศสวามิภักดิ์ จินตนาการได้ว่าตำหนักมู่จะกลายเป็นเจ้าเหนือหัวของที่นี่แน่นอน
ด้วยเหตุนี้ตำหนักมู่จึงก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจชั้นยอดของทวีปเทียนหลัว ซึ่งมีคุณสมบัติที่จะแผ่ขยายอิทธิพลออกไป ดังนั้นในอนาคตตำหนักมู่จะต้องกลายเป็นยักษ์ใหญ่ในทวีปเทียนหลัวอย่างแท้จริง เมื่อไรที่พวกเขามีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน พวกเขาก็จะสามารถปกครองทวีปเทียนหลัวทั้งหมดได้ กลายเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจที่ทรงอิทธิพลอีกแห่งในมหาพันภพ ปกครองผู้คนนับพันล้านชีวิตและเพลิดเพลินกับทรัพยากรที่ไม่มีที่สิ้นสุด
ภายใต้คลื่นน่าตื่นตะลึงก็มีข่าวประกาศว่าตำหนักมู่จะจัดตั้งในสามวันข้างหน้า!
กองบัญชาการใหญ่ตำหนักมู่ เขตต้าหลัวเทียน
วันนี้ผู้นำทั้งหมดของภูมิภาคทางเหนือมารวมตัว กระทั่งขั้วอำนาจรอบๆ ภูมิภาคทางเหนือยังมีมาบ้าง
นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้ว่าเมื่อจัดตั้งตำหนักมู่ขึ้น ภูมิภาคเหนือก็จะเป็นพื้นที่ของพวกเขา อดีตสำนักพวกเขายังอยู่รอดได้เพราะความขัดแย้งภายในภูมิภาค แต่ในอนาคตพวกเขาจะมีเพียงเส้นทางหนึ่งเดียวที่จะอยู่รอดได้ ซึ่งก็คือสวามิภักดิ์ตำหนักมู่!
เบื้องหน้าโถงใหญ่
มู่เฉินยืนมือไพล่หลังมองที่จัตุรัสขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยผู้คน
ทว่าพื้นที่ก็ถูกแยกออกเป็นสัดส่วนชัดเจนของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ จวนยมโลก ยอดเขาหมื่นเทพ และสำนักอื่น ๆ
อนาคตพวกเขาทั้งหมดก็คือสมาชิกตำหนักมู่!
สายตาของพวกเขารวมกันที่มู่เฉินด้วยความเคารพ เพราะพวกเขารู้ว่าตั้งแต่นี่ไปชายหนุ่มคนนี้จะเป็นผู้นำคนใหม่ของพวกเขา
สายลมพัดผ่าน ทั่วจัตุรัสเงียบสงบ ผู้นำสำนักอื่นๆ นิ่งเงียบด้วยความกลัว เนื่องจากถูกข่มโดยฉากเบื้องหน้านี้
พวกเขารู้ว่าในอนาคตตำหนักมู่จะปกครองทั่วทั้งภูมิภาคทางเหนือทั้งหมด
มู่เฉินถอนหายใจขณะที่รู้สึกถึงสายตาเคารพนับถือที่จ้องมองมา หลายปีก่อนที่เขามาถึงที่นี่ เขาเป็นเพียงเบี้ยตัวเล็กๆ ใครจะคิดว่าชายหนุ่มไร้ชื่อจะกลายเป็นผู้ปกครองภูมิภาคทางเหนือ
การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ต่อให้มู่เฉินไม่สนใจในการควบคุมขุมกำลัง แต่เขาก็ไม่สามารถกักเก็บความตื่นเต้นไว้ในใจได้ เนื่องจากสิ่งนี้ได้พิสูจน์การเติบโตขึ้นของเขาแล้ว
ลูกเจี๊ยบตัวจ้อยในสมัยก่อนได้เติบโตเป็นอินทรีที่กล้าแกร่งทะยานขึ้นในสวรรค์ทั้งเก้า
มู่เฉินหันไปมองจิ่วโยว วันนี้นางสวมชุดสีดำที่ขับเน้นความสง่างามที่มี เมื่อนางเห็นสายตามู่เฉินก็เผยรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์บนใบหน้า
ย้อนกลับไปตอนนั้นที่นางพามู่เฉินมาที่ภูมิภาคทางเหนือ เขาเพิ่งจะบรรลุขุมพลังจื้อจุนและต้องการการปกป้องจากนาง แม้แต่ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์นางก็กางปีกปกป้องน้องชายคนนี้ ทว่าเขาไม่เคยทำให้นางผิดหวัง เขาเติบโตอย่างรวดเร็วในเวลาเพียงไม่กี่ปี
ตอนนี้เขาได้บรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนก่อนหน้าและกำลังจะเป็นประมุขตำหนักมู่!
เมื่อก่อนนางรู้ว่ามู่เฉินเป็นมังกรซ่อนเขี้ยวเล็บ แต่นางไม่คิดว่ามู่เฉินจะทะยานและเติบโตรวดเร็วขนาดนี้
เด็กหนุ่มที่ติดตามนางเริ่มปล่งรัศมีของยอดยุทธ์แล้ว
ในอนาคตเขาจะยืนอยู่บนจุดสูงสุดของมหาพันภพเทียบเคียงกับเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม
ตึง!
ทันใดนั้นเสียงระฆังโบราณก็ดังขึ้นขณะที่จิ่วโยวกำลังอยู่ในภวังค์
เมื่อได้ยินเสียงระฆัง มู่เฉินก็ก้าวออกมาพลางกำมือ ทุกคนเห็นห้วงมิติบิดเบี้ยวบนท้องฟ้า รอยร้าวถูกฉีกออกเป็นริ้ว มองเห็นภูมิทัศน์ภายในได้เลือนราง
ตู้ม!
ยิ่งกว่านั้นเมื่อรอยร้าวปรากฏขึ้น คลื่นหลิงมากมายมหาศาลที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงก็หลั่งไหลออกมา
คลื่นหลิงในเขตต้าหลัวเทียนหนาแน่นอยู่แล้ว ถือได้ว่าเป็นดินแดนที่เหมาะสมในการเพาะบ่มพลัง แต่เมื่อรอยร้าวเปิดออกระดับพลังงานทั่วบริเวณนี้ก็เพิ่มระดับขึ้นอีก
คลื่นหลิงจำนวนมหาศาลทำให้ทุกคนตกตะลึง จากนั้นก็มองไปที่รอยแตกด้วยดวงตาลุกโชติช่วง ความโกลาหลตลบอบอวลไปทั่ว
“นั่นคือวังสวรรค์บรรพกาลรึ?”
“ไม่คิดว่าสมบัตินี้จะเป็นรากฐานของตำหนักมู่ การเติบโตของตำหนักมู่เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น!”
“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทั้งหลายถึงเลือกที่นำพาสำนักเข้าร่วมกับตำหนักมู่”
“…”
ผู้คนที่เข้าร่วมเผยความสุขบนใบหน้า เนื่องจากพวกเขาได้รับแจ้งแล้วว่ามู่เฉินสามารถควบคุมวังสวรรค์บรรพกาลและจะควบรวมเข้ากับตำหนักมู่ ในอนาคตพวกเขาจะได้เพลิดเพลินกับการเพาะบ่มพลังในวังสวรรค์บรรพกาล!
นี่เป็นข่าวที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา เพราะนี่เป็นดินแดนขุมทรัพย์เดียวของทวีปเทียนหลัว!
“ในอนาคตสมาชิกตำหนักมู่จะสามารถเข้าไปในวังโบราณเพื่อฝึกฝน คนที่โดดเด่นที่สามารถได้รับการยอมรับจากหอคัมภีร์เทพซ่อนยังสามารถได้รับร่างเทห์สวรรค์และคัมภีร์เทพทรงพลังอีกด้วย!” เสียงสดใสของมู่เฉินดังก้อง
“ขอบพระคุณท่านประมุขมู่!”
เสียงพร้อมเพรียงดังกึกก้องชวนหูดับ ทุกคนที่เบื้องล่างกระทั่งเหล่าขั้วอำนาจอื่นๆ ก็คุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น ขณะที่พวกเขามองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาลุกโชติช่วง
ภายใต้การล่อลวงนี้ แม้แต่สำนักอื่นๆ ที่มาชมดูพิธีก็มีดวงตาแดงก่ำ มีกระทั่งคัมภีร์เทพทรงพลัง ซึ่งแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนยังน้ำลายสอ
หากมีคนอื่นพูดถึงเรื่องนี้ พวกเขาอาจจะเย้ยหยันคำเหล่านั้น แต่ทุกคนรู้ว่าวังโบราณอยู่ภายใต้การควบคุมของตำหนักมู่ ดังนั้นมู่เฉินจึงมีความสามารถทำเช่นนั้นโดยธรรมชาติ
มู่เฉินเบ้ปากเมื่อเห็นทุกคนตื่นตะลึง คัมภีร์ระดับเสินทงทรงพลังเป็นสิ่งที่แม้เขาก็ยังสนใจ แต่เขาก็ไม่ได้รับอะไรมา เป็นเรื่องน่าเสียดายที่คัมภีร์เทพของวังโบราณถูกซ่อนไว้ที่หอคัมภีร์เทพซ่อน ดังนั้นแม้กระทั่งเขายังหยิบมาตามใจชอบไม่ได้
มู่เฉินโบกมือลำแสงพุ่งออกจากวังโบราณก่อนที่จะตกลงบนภูเขา ก่อร่างเป็นประตูขนาดใหญ่
“นี่คือประตูมังกรทะยานสวรรค์ ในอนาคตใครที่ต้องการเข้าร่วมตำหนักมู่จะต้องผ่านประตูนี้ เฉพาะผู้ที่ผ่านมาได้เท่านั้นที่สามารถเป็นสมาชิกของตำหนักมู่!”
ในอนาคตอาจมีจอมยุทธ์ชั้นสูงมากมายอยากได้ชื่อเสียงของตำหนักมู่ ทว่ามู่เฉินไม่ต้องการที่จะยอมรับคนทั้งหมด เพราะจะก่อให้เกิดอันตรายมากกว่าการได้รับประโยชน์
ด้วยการทดสอบของประตูมังกรทะยานสวรรค์ ผู้ด้อยโอกาสจะถูกปฏิเสธ เฉพาะผู้ที่ผ่านการทดสอบเท่านั้นที่จะได้รับการยอมรับในฐานะสมาชิก
ด้วยวิธีการต่างๆ เหล่านี้มู่เฉินมั่นใจว่าตำหนักมู่จะสามารถเติบโตในทวีปเทียนหลัวราวกับดาวฤกษ์!
“ท่านประมุขหลักแหลมนัก!”
ผู้ที่ได้รับการพิจารณาว่าเป็นสมาชิกแล้วก็สนับสนุนเรื่องนี้ ตอนแรกพวกเขายังมีข้อกังขาต่อการถูกรวมเข้ากับตำหนักมู่ แต่พวกเขาทั้งหมดก็สบายใจเมื่อเห็นวิธีการต่างๆ ของมู่เฉิน ในอนาคตหากใครต้องการเข้าร่วมก็จะต้องผ่านการทดสอบ ดังนั้นพวกเขารู้สึกเหนือกว่าคนอื่นๆ โดยธรรมชาติ ดูท่าตำหนักมู่ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนสามารถเข้าร่วมได้ตามที่ต้องการ พวกเขาโชคดีได้รับโอกาสถึงไม่ต้องเจอกับปัญหาดังกล่าว
มู่เฉินมองผู้คนที่คุกเข่าก็ถอนหายใจลึก ก่อนที่จะมองขึ้นไปบนท้องฟ้าพลางเม้มริมฝีปาก
ในเมื่อตำหนักมู่จัดตั้งเสร็จเรียบร้อย
งั้นต่อไป…
ถึงเวลาที่เขาจะเคลื่อนไหวแล้ว!
บทที่ 1207 ทวีปซีเทียน ดินแดนซีเทียนเล็ก
หลังจากการจัดตั้งตำหนักมู่
คลื่นความตกตะลึงที่กวาดไปในทวีปเทียนหลัวและภูมิภาคทางเหนือก็ค่อยๆ สงบลง เนื่องจากทางตำหนักมู่ยังไม่ได้มีการเคลื่อนไหวอะไรมากมาย พวกเขาอยู่อย่างสงบเงียบ ไม่ได้แสดงความตั้งใจที่จะครองภูมิภาคทั้งหมด ซึ่งนี่ทำให้ขั้วอำนาจอื่นๆ รู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง
ทว่าก็ไม่มีใครรู้ว่าจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของตำหนักมู่รวมถึงมู่เฉินและมั่นถัวหลัวได้ออกจากกองบัญชาการไปยังดินแดนซีเทียนเล็กแล้ว
ทวีปเทียนหลัว ภาคกลาง เมืองเทียนหยาง
ค่ายกลเคลื่อนย้ายมวลสารขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง นี่เป็นค่ายกลเคลื่อนย้ายไกลที่สุดของทวีปเทียนหลัว หากใครต้องการจะออกจากทวีปนี้ก็จะต้องผ่านที่แห่งนี้ไป
นอกค่ายกลร่างเงานับไม่ถ้วนเคลื่อนผ่านไปมา ทำให้สถานที่แห่งนี้คึกคักยิ่งนัก คลื่นหลิงจำนวนมหาศาลย้อมท้องฟ้าจนเป็นแสงระยิบนะยับ
ขณะนี้มีคนหกคนยืนอยู่ด้านนอกค่ายกล คนที่เป็นผู้นำดูอ่อนเยาว์ขณะกำลังมองค่ายกลด้วยความสนใจ
“ค่ายกลนี้ไม่ธรรมดา ความซับซ้อนไม่ได้ด้อยไปกว่าค่ายกลระดับจงซือเลย” ร่างอ่อนเยาว์เป็นใครไม่ได้นอกจากมู่เฉิน พวกเขาออกจากภูมิภาคทางเหนือเมื่อหลายวันก่อน โดยจุดหมายก็คืออค่ายกลเคลื่อนย้ายที่สามารถเดินทางได้ไกลที่สุดของทวีปเทียนหลัว
“ลือกันว่าค่ายกลนี้ถูกสร้างขึ้นโดยหลิงเจิ้นจงซือชั้นสูง ราคาเรียกว่าต้องใช้ของเหลวจื้อจุนหลายร้อยล้านหยดเป็นอย่างน้อยเลยทีเดียว” มั่นถัวหลัวถอนหายใจ
ค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ใช้ในการเดินทางไกลขึ้นต้องใช้วัสดุที่มีมูลค่ามากขึ้น ดังนั้นความยากลำบากในการสร้างก็สูงขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ราคาที่จะจ้างหลิงเจิ้นต้าจงซือก็ไม่ได้ถูกเลย
มู่เฉินถอนหายใจชื่นชม ด้วยราคาสูงลิบลิ่วขนาดนี้มิน่าล่ะภูมิภาคทางเหนือถึงไม่มี
“ฮ่าๆ ด้วยความสำเร็จของท่านประมุขในด้านค่ายกล ข้าเชื่อว่าอีกไม่นานภูมิภาคทางเหนือของเราก็จะมีสิ่งนี้” หลิ่วเทียนเต้ายิ้ม
หลังจากผ่านระยะเวลาในการปรับตัว พวกเขาก็ยอมรับฐานะประมุขของมู่เฉินได้แล้ว ดังนั้นจึงไม่มีความอึดอัดในการเรียกประมุขเลย
มู่เฉินอดยิ้มไม่ได้ขณะที่เอ่ยล้อเล่น “ตราบใดที่ผู้อาวุโสหลิ่วยอมจ่ายของเหลวจื้อจุนสองร้อยล้านหยด ข้าก็สามารถสร้างขึ้นมาสำหรับภูมิภาคทางเหนือของเราได้ทุกเมื่อ”
หลิ่วเทียนเต้ายิ้มค้างขณะส่ายหน้าหวือ เว้นแต่เขาไปขายตัว มิฉะนั้นต่อให้รื้อทั้งตำหนักสุดนภาก็ไม่สามารถจ่ายในราคานี้ได้ ราคานี้สามารถซื้ออาวุธมหสวรรค์ขั้นกลางได้เลยนะ
ทุกคนมองไปที่หลิ่วเทียนเต้าขณะหัวเราะเบาๆ
มู่เฉินมองไปที่พรรคพวก มีคนไม่มากที่เดินทางมากับเขาครั้งนี้ นอกเหนือจากมั่นถัวหลัว ก็มีหลิ่วเทียนเต้า โยวมิ่ง เยาตี้และวั้นตู๋เสอ ส่วนวั้นเซิ่งที่มีนิสัยมั่นคงตั้งระวังได้รับมอบหมายคอยดูแลตำหนักมู่ เนื่องจากสำนักเพิ่งก่อตั้งใหม่ การมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนเฝ้าบ้านไว้สักคนจะดีกว่า
ครั้งนี้กระทั่งจิ่วโยวก็ไม่ได้ตามมาด้วย เนื่องจากการเดินทางไปที่ตระกูลลั่วเสินครั้งนี้ ถ้าไม่ใช่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็ไม่มีประโยชน์ ด้วยความภาคภูมิใจในตัวเอง นางไม่ยอมให้ตัวเองเป็นภาระเด็ดขาด ดังนั้นนางจึงตัดสินใจอยู่ที่ตำหนักมู่เพื่อพยายามบรรลุระดับตี้จื้อจุนด้วยความช่วยเหลือของทะเลสาบสวรรค์ให้จงได้
แต่ถึงกระนั้นการรวมตัวของพวกมู่เฉินก็หรูหราน่าดู ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มหนึ่งคนและขั้นต้นห้าคน พวกเขาสามารถเดินเชิดหน้าไปทั่วทวีปเทียนหลัวได้เลยทีเดียว
“เราจะต้องเดินทางผ่านหลายสิบทวีปใช้เวลาประมาณยี่สิบวันเพื่อไปถึงทวีปซีเทียน” มั่นถัวหลัวมองไปที่มู่เฉิน
“เวลากระชั้นชิดมาก”
มู่เฉินนับเวลาและถอนหายใจ “เตรียมตัวให้พร้อมเถอะ”
ทุกคนพยักหน้าเดินเข้าสู่ค่ายกล มู่เฉินสะบัดมือของเหลวจื้อจุนหลายหมื่นหยดก็ลงไปในจุดรับของค่ายกล
มั่นถัวหลัวใส่รหัสพิกัด จากนั้นค่ายกลก็ระเบิดแสงออกมา พื้นที่บิดเบี้ยวอึดใจกลายเป็นสายธารห้วงมิติกลืนเงาร่างของทั้งหกไป
เมื่อลำแสงจางหายไป ร่างทั้งหกก็วับหายไปแล้ว
มหาพันภพกว้างใหญ่ไพศาล
ทวีปซีเทียนตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก ที่นี่เป็นทวีปโบราณ แต่ในแง่ของขนาดก็ด้อยกว่าทวีปเทียนหลัวที่เป็นหนึ่งในมหาทวีปของมหาพันภพ ทว่าในแง่ของจำนวนจอมยุทธ์คุณภาพทวีปซีเทียนถือว่าค่อนข้างสูงมาก
ทุกคนบอกได้ว่าอดีตทวีปซีเทียนเคยมีสัญลักษณ์สองอย่างที่โดดเด่นมาก
อดีตที่ว่าก็คือสมัยโบราณ ในสมัยนั้นลั่วเสินจากทวีปซีเทียนได้รับฉายาเทพธิดาแห่งมหาพันภพ ชื่อเสียงของนางดังก้องไปทั่วสุริยะจักรวาลมากจนแม้แต่เผ่าปีศาจต่างมิติยังรู้จักชื่อนาง ยอดยุทธ์มากมายล้วนตกหลุมรักนาง
นอกจากนี้ที่น่าสะพรึงกว่าก็คือเทพธิดาคนนี้ยังเป็นหนึ่งในยอดยุทธ์ของมหาพันภพอีกด้วย
เรื่องราวเกี่ยวกับความงามและพลังของนางยังเล่าสืบต่อกันมาแม้กระทั่งผ่านมาหมื่นปี
ทว่าตอนนี้ขั้วอำนาจที่ทรงอิทธิพลที่สุดในทวีปซีเทียนกลับเป็น…ตำหนักซีเทียน!
และประมุขของตำหนักซีเทียนก็คือ…จักรพรรดิสัประยุทธ์!
เขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนแท้จริง!
จักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียน รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง!
คำกล่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วมหาพันภพ อาจจะดูเกินความจริงไปบ้าง แต่ก็พูดได้ว่าเป็นความสำเร็จที่โดดเด่นของจักรพรรดิสัประยุทธ์เลยทีเดียว
ด้วยการดำรงอยู่เช่นนี้ ตำหนักซีเทียนจึงเป็นหนึ่งในมหาอำนาจสูงสุดของมหาพันภพ แม้แต่ทวีปรอบๆ ก็กลายเป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของเขา
กล่าวอีกนัยหนึ่งจักรพรรดิสัประยุทธ์เป็นผู้ปกครองเด็ดขาดในดินแดนฝั่งตะวันตก โดยมีกลุ่มชนจำนวนมากยอมสวามิภักดิ์ให้
ทว่าในเวลาส่วนใหญ่ตำหนักซีเทียนจะไม่ได้สนใจการรบพุ่งของแว่นแคว้นต่างๆ คล้ายกับยักษ์ที่ไม่ใส่ใจกับการตายของมด
ดังนั้นแม้จะมีขั้วอำนาจยิ่งใหญ่นี้ แต่ทวีปซีเทียนและทวีปโดยรอบก็ยังอยู่ในสภาพวุ่นวาย สงครามระหว่างขุมกำลังเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ในบางแง่มุมวุ่นวายอาบเลือดไปกว่าทวีปเทียนหลัวที่ไม่มีมหาอำนาจปกครองซะอีก
แต่ไม่ว่าอย่างไรจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็เป็นยอดยุทธ์แห่งมหาพันภพ ตราบใดที่มีการดำรงอยู่ของจักรพรรดิสัประยุทธ์ กฎเกณฑ์ที่นี้ก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
ทวีปเทียนหลัวและทวีปซีเทียนถูกแยกออกจากกันด้วยระยะทางที่กว้างไกล โดยมีหลายสิบทวีปคั่นเอาไว้ แม้จะมีค่ายกลเคลื่อนย้ายทางไกล แต่กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็ยังมีปัญหาในการเดินทางข้ามทวีปด้วยระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือน
แม้จะรู้เรื่องเหล่านี้ แต่ด้วยเวลากระชั้นชิด มู่เฉินก็ไม่คิดที่จะผ่อน เขาเดินทางด้วยความเร็วเต็มพิกัดหลังจากออกจากทวีปเทียนหลัว
โชคดีที่ทุกคนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทั้งสิ้น ไม่งั้นกระทั่งจิ่วโยวก็คงต้องหมดแรงจากการเดินทางรีบเร่งเช่นนี้
นอกจากนี้ต่อให้คนอื่นๆ ตามทันได้ด้วยขุมพลังที่แข็งแกร่ง แต่ก็ยังต้องร้องอย่างขมขื่น ทว่ามู่เฉินกลับทำเหมือนไม่รับรู้ ตอนนี้เขาจะต้องมุ่งหน้าไปถึงตระกูลลั่วเลิ่นก่อนที่พิธีจะเริ่ม มิฉะนั้นถ้าเกิดอะไรกับลั่วหลีขึ้นมาเขาไม่มีทางให้อภัยตัวเอง
ดังนั้นแม้เขาจะเหนื่อยล้าแต่ก็ต้องกัดฟันเดินทางต่อไป เมื่อเห็นท่าทางของเขา คนอื่นๆ ก็ยิ้มเฝื่อนกัดฟันแน่น ตอนนี้พวกเขาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของมู่เฉิน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถโยนกลองทำให้มู่เฉินไม่พอใจ
ภายใต้การเร่งเดินทางเช่นนี้ ยี่สิบวันต่อมาในที่สุดพวกเขาก็มาถึงทวีปซีเทียน…
ทวีปซีหลิงเป็นทวีปที่อยู่ใกล้กับทวีปซีเทียนมากที่สุด กลุ่มมู่เฉินปรากฏตัวในเมืองยิ่งใหญ่แห่งหนึ่ง
เบื้องหน้าพวกเขาเป็นค่ายกลเคลื่อนย้ายทางไกลอีกค่ายกล
มู่เฉินมองค่ายกลเบื้องหน้า ใบหน้าที่เหนื่อยล้าก็ฉายความตื่นเต้น เพราะเมื่อไรที่เขาผ่านค่ายกลนี้ไปก็จะถึงดินแดนซีเทียนเล็ก!
“ทุกคนขอบคุณสำหรับความอดทนนี้!”
มู่เฉินหันกลับมาเห็นความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของผู้อาวุโสคนอื่นๆ ก็ประสานมือขอบคุณอย่างจริงใจ
พวกเขายิ้มอย่างขมขื่น ก่อนที่จะส่ายหัวเห็นได้ชัดว่าไม่มีแรงที่จะเปิดปากพูดแล้ว
มู่เฉินก้าวเข้าสู่ค่ายกล เหวี่ยงของเหลวจื้อจุนออกไป เขารู้สึกถึงความผันผวนของห้วงมิติรอบตัว สายธารน้ำวนค่อยๆ ก่อตัวและกลืนกินร่างเขาไป
ดวงตาของมู่เฉินหลับลงอย่างช้าๆ มือที่อยู่ในแขนเสื้อสั่นไหว
นี่เกิดจากความตื่นเต้น
ฮา
มู่เฉินหายใจเข้าลึก
เขาเหมือนเห็นฉากที่เขากอดหญิงสาวไว้ก่อนที่นางจะจากไป ใจเขาสั่นเทาไปหมด
ตั้งแต่วันนั้น เขาก็รอวันนี้มาตลอด การรอคอยกินเวลานานหลายปี
ลั่วหลี ข้ามาหาแล้ว… เจ้าสบายดีไหม?
บทที่ 1208 ผู้หญิงคนนั้น
ทวีปซีเทียน ดินแดนซีเทียนเล็ก ตระกูลลั่วเสิน
ใจกลางเขตแดนตระกูลลั่วเสินเมืองสูงส่งเปล่งรัศมีโบราณยืนตระหง่านพิสูจน์ประวัติศาสตร์ที่ครั้งหนึ่งเคยครอบครองความยิ่งใหญ่
เมืองถูกคั่นด้วยแม่น้ำที่ไหลผ่านรอบเมืองเป็นวงกลม
แม่น้ำนี้ผิดแผกมากเนื่องจากมีสีสันราวกับดวงดาว บางครั้งงดงามยิ่งกว่าดวงดาวบนท้องฟ้าด้วยซ้ำ สายน้ำหล่อเลี้ยงคนทั้งเมือง
นอกจากนี้ยังมองไม่เห็นความลึก ราวกับไม่เคยมีใครสามารถสำรวจจุดลึกสุดได้ ครั้งหนึ่งเคยมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนเข้าไป แต่ก็ไม่สามารถไปถึงปลายทางได้หลังจากใช้เวลาถึงครึ่งเดือน จนสุดท้ายกลับเป็นจอมยุทธ์คนนั้นหมดพลังจนเกือบกลายเป็นส่วนหนึ่งของแม่น้ำแทน
นี่คือความลึกซึ้งที่ไม่อาจหยั่งรู้อย่างแท้จริง
แม่น้ำลึกลับแห่งนี้คือแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลลั่วเสิน ตระกูลลั่วเสินจะทำพิธีที่นี่ในวันที่ดูฤกษ์ยามตามกำหนดเอาไว้ ชื่อของแม่น้ำสายนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อแม่น้ำลั่ว
เมืองที่โอบล้อมก็ชื่อว่าเมืองลั่วเสิน ซึ่งเป็นเมืองหลักและเมืองสำคัญที่สุดของตระกูลลั่วเสิน ที่นี่เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจล่วงล้ำได้ในหัวใจของราษฎรทุกคน
ช่วงเวลานี้เมืองลั่วเสินยิ่งกลายเป็นจุดสนใจของประชาชน คนจำนวนมากเดินทางมาจากที่ไกลด้วยความคาดหวังล้นปรี่ในหัวใจ
เนื่องจากประมุขตระกูลลั่ว-ลั่วเทียนเสินกำลังจะทำพิธีเทพธิดาลั่วให้กับจักรพรรดินี
ตระกูลลั่วเสินเคยเจริญรุ่งเรืองมาก่อน แต่ตอนนี้กลับค่อยๆ เสื่อมถอย ปีก่อนๆ ประชากรนับไม่ถ้วนถูกสังหารหรือไม่ก็ถูกจับตัวไปเป็นทาส
เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ประชากรสิ้นหวัง จนกระทั่งไม่กี่ปีที่ผ่านมาทุกอย่างก็เกิดการเปลี่ยนแปลง…
องค์หญิงน้อยเดินทางกลับมา หลังจากนั้นนางก็แสดงแสนยานุภาพ รักษาเสถียรภาพที่สั่นคลอนภายในราชวงศ์เอาไว้ได้
หลังจากนั้นนางก็นำทัพเข้าต่อสู้แนวหน้ากับตระกูลเสี่ยเสินที่ทรงพลัง บังคับให้พวกเขาล่าถอย ดังนั้นพลเมืองของตระกูลลั่วเสินจึงพบกับความสงบสุขในเวลาหลายปีมานี้
ขณะที่หญิงสาวพยายามปกป้องตระกูลลั่วเสิน น้ำหนักเสียงของนางในตระกูลก็เพิ่มขึ้นทุกวันและเสน่ห์ของนางก็ฟื้นคนที่สิ้นหวังขึ้นมาได้ ผู้คนมากมายมายืนอยู่ข้างหลังนาง แต่ส่วนใหญ่เป็นจอมยุทธ์รุ่นใหม่ทั้งสิ้น
ดังนั้นตระกูลลั่วเสินที่จะล้มสลายในตอนแรกกลับได้แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีความเหนียวแน่นต่อศัตรูอย่างไร นอกจากนี้ยังราวกับว่ามีสัญญาณว่าจะออกจากสภาพตกต่ำนี้…
ดังนั้นไม่นานทั่วดินแดนซีเทียนเล็กทั้งหมดก็รู้ดีว่ากำลังจะมีจักรพรรดินีตระกูลลั่วเสินคนใหม่ที่สามารถรวมเผ่าพันธุ์ทั้งหมดไว้เป็นหนึ่งเดียว…
ชื่อเสียงของนางเกินกว่าลั่วเทียนเสินผู้เป็นปู่ ดังนั้นหลายปีที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นประชาชนหรือสมาชิกในราชวงศ์ต่างก็มีเสียงร้องขอให้จักรพรรดินีขึ้นปกครองมากขึ้น
ดังนั้นพิธีเทพธิดาลั่วนี้จึงเป็นพิธีสำคัญก่อนขึ้นครองราชย์!
ถ้าพิธีนี้สำเร็จลง นางจะได้รับมงกุฎสืบทอดบัลลังก์ ในเวลานั้นคลื่นใต้น้ำที่เหลืออยู่ในราชวงศ์ก็จะหายไป
ภายใต้ความสามัคคีจากทุกคน ต่อให้ตระกูลลั่วเสินจะไม่สามารถกลับไปถึงจุดสูงสุด แต่ก็จะกลายเป็นแผ่นเหล็กทนทานที่แม้แต่ตระกูลเทพทั้งสามตระกูลก็ไม่สามารถกลืนกินตระกูลลั่วเสินได้อีกต่อไป
ดังนั้นพิธีเทพธิดาลั่วจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ทำให้ประชาชนจำนวนมากมารวมตัวกันที่นี่ พวกเขาต้องการเห็นภาพของจักรพรรดินีที่ก้าวขึ้นสู่บัลลังก์
สิ่งนี้จะเป็นตัวตัดสินความรุ่งเรืองหรือล่มสลายของตระกูลลั่วเสิน
เมืองลั่วเสิน
วังสง่างามตั้งอยู่ในใจกลางเมืองช่างดูสูงส่งนัก นี่คือวังลั่วเสินซึ่งเป็นสถานที่ที่ราชวงศ์อาศัยอยู่
ร่างอรชรบนแท่นสูงของวังสวมชุดสีขาวที่มีลวดลายสีม่วงทองบนแขนเสื้อ ปล่อยรัศมีสูงส่งออกมา
รูปร่างของนางสมบูรณ์แบบ เรียวขาขาวราวหยกสลัก ลำคอระเหิดระหง
ทุกอย่างดูสมบูรณ์แบบอย่างยิ่ง แต่เมื่อใบหน้าปรากฏ สิ่งอื่นก็หม่นหมอง…
นี่เป็นใบหน้าที่งดงามทรงเสน่ห์ ผิวขาวราวกับหิมะ คิ้วดังวาดไว้ โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นดูงามจนหาใดเปรียบ ขณะที่นางมองท้องฟ้า แม้แต่ดวงดาวยังสะท้อนผ่านรูม่านตา ทำให้ท้องฟ้าดูหม่นหมองลง
นี่เป็นความงามที่ทำให้หายใจไม่ได้
ผมยาวสีเงินยวงระแผ่นหลังทำให้หญิงสาวยิ่งดูราวกับเดินออกมาจากภาพวาด…
ขณะนี้หญิงสาวที่งามจนทำให้หายใจไม่ได้กำลังมองไกลออกไปด้วยสายตาโหยหาพร้อมกับคิ้วที่ขมวดขึ้น
“มู่เฉิน… เจ้าสบายดีไหม?”
นางพึมพำกับตัวเอง เบื้องหน้าเหล่าพลเมืองนางจะแกร่งกร้าวเสมอ แต่เวลาอยู่คนเดียวนางกลับแสดงความนุ่มนวลและปรารถนาที่ไม่ค่อยได้เห็นนัก
“ยังคิดถึงเจ้าหนุ่มนั่นอยู่อีกหรือ” เสียงสูงวัยดังขึ้นที่เบื้องหลังนาง
เมื่อได้ยินเสียงนั่น อารมณ์ในดวงตานางก็หายวับไป คิ้วที่มุ่นเข้าหากันคลายออก ทันใดนั้นความสูงศักดิ์และไว้ตัวที่ไม่อาจบรรยายได้ก็แผ่ซ่านออกมาจากนาง
นางหันหลังกลับมองไปที่ชายชรา “ท่านปู่จะห้ามกระทั่งสิทธิ์แค่นี้ของข้ารึ?”
ชายชราที่อยู่เบื้องหลังยิ้มอย่างขมขื่นปลอบโยนอย่างช่วยไม่ได้ “ข้าไม่กล้าหรอก ตอนนี้สถานะของเจ้าสูงกว่าข้าซะอีก”
“แต่ลั่วหลี… นี่ก็หลายปีแล้วไม่มีข่าวเกี่ยวกับเขาเลย เจ้ายังจะรอเขาต่อไปรึ?”
นี่ก็คือลั่วหลี เพียงแต่ว่านางเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ความงามตอนนี้สุกปลั่งเต็มที่แล้ว
รัศมีก็เปลี่ยนไปเช่นกัน นางไม่ใช่หญิงสาวสง่างามและเงียบเฉยยืนอยู่ข้างกายมู่เฉินอีกต่อไป ยามนี้นางเริ่มมีรัศมีแห่งจักรพรรดินีที่ทรงเกียรติและสูงส่ง
ชายชราที่อยู่ข้างหลังนางเป็นใครไม่ได้นอกจากประมุขตระกูลลั่วเสิน—ลั่วเทียนเสิน
ลั่วหลียิ้มไม่ตอบ ทว่าความหมายที่อยู่เบื้องหลังชัดเจนนัก นางกำลังบอกลั่วเทียนเสินว่าไม่ต้องถามถึงสิ่งที่ไร้ความหมายเช่นนี้อีก
เมื่อเห็นการตอบสนอง ลั่วเทียนเสินก็ร้อนใจ “หลายปีแล้วบางทีเจ้าหนุ่มนั่นอาจจะ…”
ทันทีที่สิ้นเสียง คิ้วของลั่วหลีก็มุ่นเข้าหากัน หันมาจ้องมองด้วยสายตากรุ่นโกรธ ทำให้ลั่วเทียนเสินต้องกลืนคำพูดลงไปในท้อง ตลอดหลายปีที่ผ่านมานางมีแรงกดดันที่บางครั้งทำให้ลั่วเทียนเสินยังไม่กล้าทำให้นางโกรธ
ลั่วเทียนเสินส่ายหัวยิ้มอย่างขมขื่น ขณะที่ลั่วหลีค่อยๆ รักษาเสถียรภาพของตระกูลลั่วเสิน ข่าวความงามของนางก็กระจายออกไปพร้อมกับชื่อเสียง ไม่ต้องพูดถึงดินแดนซีเทียนเล็ก แม้แต่ทวีปซีเทียนทั้งหมดก็รู้จักชื่อของนาง
นอกจากนี้ยังมีจอมยุทธ์ชั้นสูงที่โดดเด่นหลายคนแวะเวียนมาเยี่ยม พยายามสร้างความประทับใจให้กับนาง นอกจากนี้ยังมีขั้วอำนาจที่ไม่อ่อนแอกว่าตระกูลลั่วเสินที่พยายามสร้างสัมพันธ์ผ่านการแต่งงาน หากพวกเขาได้รวมเป็นทองแผ่นเดียวกัน ตระกูลลั่วเสินก็จะได้รับความช่วยเหลืออย่างมากในการข่มขู่ตระกูลเสี่ยเสิน
มากจนแม้แต่ตระกูลเสี่ยเสินยังแสดงเจตจำนงในการแต่งงานเพื่อสลายความขุ่นเคืองระหว่างสองตระกูล ทว่าข้อเสนอทั้งหมดถูกลั่วหลีปฏิเสธ
นางบอกว่าต้องพึ่งพาตัวเองในการแข็งแกร่งขึ้น ถ้าตระกูลลั่วเสินไม่สามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง การปกป้องโดยการแต่งงานก็ไม่มีทางอยู่ได้นาน…
เหตุผลของนางได้รับการยอมรับจากคนส่วนใหญ่ในตระกูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งจอมยุทธ์รุ่นใหม่ พวกเขาแสดงให้เห็นถึงการสนับสนุน แต่มีเพียงลั่วเทียนเสินที่รู้ว่าเหตุผลนี้เป็นเพียงข้อแก้ตัว นั่นเป็นเพราะหัวใจของนางถูกครอบครองแล้ว… ซึ่งจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปตามนิสัยของนาง
“ไอ้เด็กบ้านั่น!”
ลั่วเทียนเสินกัดฟัน เมื่อก่อนเขาคิดว่าถ้าพาลั่วหลีออกห่างจากมู่เฉิน ชายหนุ่มคนนั้นก็จะค่อยๆ กลายเป็นแค่คนที่ผ่านมาในหัวใจนาง เพราะเขาคิดไม่ได้ว่าชายหนุ่มที่แค่ได้รับการฝึกฝนจากสำนักศึกษาเป่ยชางจะมีคุณสมบัติในการท่องยุทธภพในมหาพันภพและมาแสดงตัวต่อหน้าลั่วหลี่ได้อย่างไร
ทว่าเป็นตัวเขาเองที่ประเมินความอดทนและการรอคอยของหลานสาวต่ำเกินไป…
“เฮ้อ”
แม้จะไม่พอใจ แต่สุดท้ายลั่วเทียนเสินก็ไม่ได้พูดอะไรได้แต่ถอนหายใจ สายตาของเขามืดครึ้มลงขณะเลื่อนไปมองที่ลั่วหลี “ลั่วหลีหากพิธีเทพธิดาลั่วประสบความสำเร็จ เจ้าจะก้าวเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนกลายเป็นจักรพรรดินีของแว่นแคว้นอย่างแท้จริง…”
“แต่เจ้าต้องรู้ว่าศัตรูของเรา ไม่ว่าจะเป็นคนในหรือคนนอก พวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะมองดูสิ่งที่เกิดขึ้น”
“ดังนั้นพิธีเทพธิดาลั่วครั้งนี้คงไม่ราบรื่นแน่นอน”
“ครั้งนี้… แม้แต่ปู่…ก็ไม่มั่นใจ”
ลั่วหลีมองไปที่ใบหน้าแก่ชราของลั่วเทียนเสิน ความเปรี้ยวก็พุ่งขึ้นมาในนาสิกประสาท นางเอื้อมมือออกจับมือเหี่ยวย่นเอาไว้เบาๆ “ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร ข้าจะอยู่และพินาศไปพร้อมกับตระกูลลั่วเสิน!”
เมื่อได้ยินคำพูดของนางลั่วเทียนเสินก็พยักหน้าอย่างเคร่งขรึมพร้อมกับความร้ายกาจวูบไหวบนใบหน้าเขา “วางใจเถอะ ตราบใดที่ปู่คนนี้ยังมีชีวิตอยู่ ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกสวะเหล่านั้นมารบกวนเจ้าได้!”
“ไปกันเถอะ พิธีเทพธิดาลั่วกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว!”
ลั่วหลีพยักหน้าหันกลับไปมองเข้าในท้องฟ้าห่างไกล ราวกับมองทะลุผ่านมิติเห็นร่างเงาของชายหนุ่มคนรักที่ไม่รู้อยู่ที่ใด
จากนั้นนางก็หันกลับพร้อมกับเสียงหนักแน่นในใจ
‘มู่เฉินไม่ว่าอย่างไร… ข้าก็จะรอเจ้า!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น