หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1193-1202
บทที่ 1193 โอกาสที่มอบให้จากจักรพรรดิฟ้า
สุสานจักรพรรดิฟ้า
เมื่อเห็นมู่เฉินคำนับในท่าทางของศิษย์ จักรพรรดิฟ้าก็คลี่ยิ้มไม่ได้ขยับหลบไป หากวังสวรรค์บรรพกาลยังยืนยง ไม่รู้ว่าจะมีศิษย์เท่าไรที่ฝันจะได้สิ่งนี้ แต่ทว่ากลับไม่มีโอกาสที่ดี ดังนั้นกล่าวได้ว่าโชคชะตานี้เป็นโอกาสสำหรับมู่เฉินแท้จริง
“ตามข้ามา”
จักรพรรดิฟ้าโบกมือ มิติรอบตัวก็บิดเบี้ยว เมื่อพวกมู่เฉินตั้งสติได้ก็ถูกนำตัวไปยังมหาสมุทรอันกว้างใหญ่พร้อมกับเสียงน้ำสาดกระเซ็นดังมาจากเบื้องล่าง ขณะเดียวกันก็มีหมอกหลิงลอยวนก่อเป็นรูปสัตว์อสูรต่างๆ
นี่คือทะเลสาบสวรรค์ที่เขาเคยเข้ามาก่อน
ทว่าหลังจากที่พวกเขาจากไป ทะเลสาบสวรรค์ก็ปิดตัวลง ไม่คิดว่าจักรพรรดิฟ้าจะสามารถเปิดขึ้นได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
คลื่นหลิงที่นี่มีมากมายมหาศาล นี่เป็นดินแดนขุมทรัพย์แท้จริงสำหรับการเพาะบ่มพลัง การได้ฝึกฝนที่นี่จะทำให้เกิดผลลัพธ์เป็นสองเท่า
“เจ้าสามารถฝึกฝนที่นี่ได้ในช่วงเวลานี้” จักรพรรดิฟ้ามองไปที่จิ่วโยวที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็ม อีกเพียงก้าวเดียวก็จะบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนแล้ว ทว่าจักรพรรดิฟ้าสามารถถ่ายทอดทักษะที่มีให้ได้คนดียว ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถช่วยเหลือจิ่วโยวในการพัฒนา ได้แต่ให้นางฝึกฝนที่นี่เพื่อจะได้บรรลุผลอย่างรวดเร็ว
“ขอบคุณท่านจักรพรรดิฟ้าเจ้าค่ะ” จิ่วโยวดีใจมากเพราะประโยชน์ในการเพาะบ่มที่นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะพรรณนาออกมาได้
“สำหรับดอกแมนดาลาน้อย เจ้าอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว สถานที่แห่งนี้ไม่มีผลกับเจ้ามากนัก หากเจ้าเบื่อก็ไปดูที่หอคัมภีร์เทพซ่อนได้” จักรพรรดิฟ้ายิ้มให้มั่นถัวหลัว
มั่นถัวหลัวส่ายหัว ร่างดวงจิตนี้เป็นสิ่งสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ของจักรพรรดิฟ้าบนโลกใบนี้ หากสลายหายไปเมื่อไร จักรพรรดิฟ้าก็จะจากไปสู่นิรันดร์ ดังนั้นนางอยากอยู่กับเขาให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
“เฮ้อ เจ้าเด็กอ่อนไหว”
เมื่อเห็นท่าทางของมั่นถัวหลัว จักรพรรดิฟ้าก็ถอนหายใจ เขาเลี้ยงดูฟูมฟักดอกแมนดาลามาหลายปี นางคล้ายกับบุตรสาวในอุทรของเขา ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาลึกซึ้งมาก มิฉะนั้นเขาคงไม่ปิดผนึกดอกแมนดาลาเมื่อเผ่าปีศาจต่างมิติโจมตีหรอก
หลังจากปลอบมั่นถัวหลัว จักรพรรดิฟ้าก็หันไปมองมู่เฉินด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เตรียมตัวเริ่มกันเถอะ”
ร่างดวงจิตนี้มีเวลาจำกัด ดังนั้นเขาไม่อยากเสียเวลาไปสักวินาที
มู่เฉินพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
จักรพรรดิฟ้าพลิกนิ้ว ทะเลสาบสวรรค์ก็ส่งเสียงกระหึ่ม ก่อนที่ดอกบัวจะควบแน่นบนพื้นผิวโดยมีมู่เฉินนั่งลงไปบนนั้น
จักรพรรดิฟ้ายืนที่เบื้องหน้ามู่เฉินด้วยสีหน้าเคร่งเครียด นิ้วทั้งสองแตะลงไป ปลายนิ้วส่องประกายแวววาวเต็มไปด้วยจิตวิญญาณและความมีชีวิตชีวา
ชี่!
ดัชนีนั้นราวกับว่าไม่สนใจระยะห่างของมิติ เลื่อนไปแตะเบาๆ ที่กลางหว่างคิ้วของมู่เฉิน
ฮึ่ม
แสงหลิงกระจายออกจากกึ่งกลางคิ้วของมู่เฉิน อึดใจก็เข้าโอบล้อมร่างทั้งหมด แสงนั้นราวกับว่าเจาะผ่านหน้าผากเข้าไปในสมอง
ร่างกายมู่เฉินสั่นเทิ้มรุนแรง เขารู้สึกได้ว่ามีข้อมูลจำนวนมหาศาลกำลังไหลทะลักเข้าสู่หัวสมอง
ข้อมูลมหาศาลแทบจะทำให้สมองระเบิด แต่ดีที่เขาสามารถอดทนรับไว้ได้ ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น เส้นเลือดดำก็เต้นระริกบนใบหน้าทำให้ดูป่าเถื่อนมาก
ภายใต้ความเจ็บปวดแรงกล้า แสงหลิงก็รวมตัวกันในส่วนลึกของสมอง ก่อตัวขึ้นเป็นคำโบราณ
“สามพิสุทธิ์!”
คำโบราณควบรวมและจางหายไป จากนั้นข้อมูลลึกซึ้งก็ไหลเวียนอยู่ในใจ ซึ่งอัดแน่นด้วยประสบการณ์และความเข้าใจอย่างถ่องแท้ของจักรพรรดิฟ้า
มู่เฉินดำดิ่งในความเข้าใจลึกซึ้งทันที
นี่คือความวิทยายุทธระดับเสินทงอันน่าอัศจรรย์ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดแบบนี้ต้องใช้พรสวรรค์เข้มข้นมาก โชคดีที่มู่เฉินโดดเด่นอยู่แล้วบวกกับจักรพรรดิฟ้ามอบความรู้แจ้งในการเรียนรู้ให้ ไม่เช่นนั้นคงเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะตีความได้ลึกซึ้ง
ด้วยการสรุปความจากจักรพรรดิฟ้า เขาราวกับได้รับแนวทางที่ดีที่สุด ความลึกซึ้งที่ไม่อาจอธิบายได้เข้าใจขึ้นมาทันที
เขารู้สึกโชคดีที่จักรพรรดิฟ้าส่งมอบสิ่งนี้ให้เขาผ่านกระบวนการนี้พร้อมกัน จากความสามารถของเขา แม้ว่าจะได้รับวิธีการฝึกฝนวิชาสามพิสุทธิ์ก็ต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะบรรลุผลใดๆ
เขาลืมเรื่องเวลาเมื่อทำความเข้าใจสิ่งนี้ พริบตาก็เหมือนผ่านไปแล้วหลายเดือนหลายปี
“พลังในปัจจุบันของเจ้าได้แต่เข้าใจความลึกซึ้งของวิชาสามพิสุทธิ์ แต่ยังไม่สามารถฝึกฝนได้ ดังนั้นอย่าเพิ่งเสียแรงกับเรื่องนี้มาก ทุกอย่างรอให้เจ้าบรรลุขุมพลังก่อน”
ขณะที่มู่เฉินกำลังดำดิ่งลงไปในความรู้แจ้งนั้น เสียงก็ดังกึกก้องในสมองทำให้เขาตื่นขึ้น
สมองของมู่เฉินปลอดโปร่งอย่างรวดเร็วขณะที่รับข้อมูลในใจ เขาตกตะลึงกับวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานว่าวิเศษจริงๆ แค่หยั่งเข้าไปสั้นๆ เขาเกือบจะสูญเสียการควบคุมจิตใจไป ถ้าไม่ใช่จักรพรรดิฟ้าอยู่ด้วย ใครจะรู้ว่าเขาจะจมอยู่ใต้นั้นนานแค่ไหน
“เอาล่ะ เตรียมตัวให้พร้อม”
จักรพรรดิฟ้าเตือน ก่อนที่จะค่อยๆ วาดกระบี่เกล็ดจักรพรรดิในมือ เขาจ้องมองด้วยความทะนุถนอม กระบี่เล่มนี้ติดตามเขามาตลอดชีวิต เป็นประจักษ์พยานตั้งแต่เขาไร้ชื่อเสียงจนก้าวมาถึงจักรพรรดิฟ้าที่โด่งดังในมหาพันภพ
“สหาย หวังว่าเจ้าจะช่วยในการเดินทางครั้งสุดท้ายของข้านะ” จักรพรรดิฟ้ากล่าวอย่างอ่อนโยน
ฮึ่ม
กระบี่เกล็ดจักรพรรดิส่งเสียงคร่ำครวญออกมาอย่างชัดเจน แสงหลิงอ่อนโยนเปล่งประกายออกมา ไม่ได้แหลมคมเหมือนในอดีต
จักรพรรดิสฟ้ายิ้มพลางชูมือขึ้น กระบี่ก็พุ่งทะยานขึ้นไปบนฟ้า กลายเป็นเสาแสงขนาดใหญ่แผ่พลังอันน่าสะพรึงกลัว
จักรพรรดิฟ้าขยับนิ้วควบคุม เส้นแสงมันวาวที่ไม่มีที่สิ้นสุดพุ่งลงมาปกคลุมร่างมู่เฉิน
ปัง! ปัง!
เมื่อพลังงานมหาศาลเชื่อมโยงกับร่างของมู่เฉินก็คล้ายกับน้ำตกไหลบ่าลงมาที่ตัวแทรกซึมเข้าไปในรูขุมขน สำหรับมู่เฉินในปัจจุบันพลังงานมหาศาลเพียงนี้คำว่าครอบงำยังไม่เพียงพอที่จะอธิบาย ดังนั้นทั่วร่างจึงระเบิดออกเป็นหมอกเลือด บาดแผลกรีดผ่านไปทั่วสรรพางค์กาย
แต่โชคดีที่ร่างกายของเขาทรงพลัง แสงสีทองแล่นแปลบปลาบไปทั่วร่างจิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงพยายามฟื้นฟูร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว
จักรพรรดิฟ้าประหลาดใจกับฉากนี้ ตอนแรกเขาคิดว่าจะต้องเคลื่อนไหวเพื่อช่วยปกป้องร่างกายของมู่เฉินเอาไว้ คิดไม่ถึงเลยว่ามู่เฉินจะทำได้ด้วยตัวเอง แม้ว่าจะฝืนไปหน่อย มิหนำซ้ำยังต้องทนกับความเจ็บปวดที่ยิ่งใหญ่ระหว่างกระบวนการ
ทว่าจักรพรรดิฟ้าก็ไม่เคลื่อนไหวเพราะความเจ็บปวดครั้งนี้มู่เฉินต้องทนแบกรับให้ได้ เพราะแม้จะมีความช่วยเหลือจากเขา แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะบรรลุระดับตี้จื้อจุน
ไม่มีอะไรสามารถเก็บเกี่ยวได้โดยไม่ต้องหว่านเมล็ดพันธุ์
เมื่อตนได้ให้โอกาสที่ยิ่งใหญ่แก่มู่เฉินแล้ว แต่จะคว้าไว้ได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเขาเอง หากต้องแผ้วทางทุกเส้นให้ ผู้สืบทอดมรดกเช่นนี้ไม่เอาซะจะดีกว่า ต่อให้จะสามารถฝึกฝนวิชาสามพิสุทธิ์ได้ ก็คงเป็นแค่คนธรรมดา
ขณะที่แสงกระบี่ไหลบ่าลงมา ร่างกายของมู่เฉินก็เต็มไปด้วยบาดแผลอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายสภาพก็ย่ำแย่จนทนดูไม่ได้
ทว่ามู่เฉินก็เริ่มรู้สึกถึงร่องรอยของพลังงานพิเศษที่เข้าสู่ร่างกาย พลังงานนี้เป็นสิ่งแปลกประหลาดอย่างยิ่งเนื่องจากสามารถสร้างความแข็งแกร่งและปรับแต่งร่างกายได้อย่างมาก
มู่เฉินรู้ดีว่านี่เป็นเพราะกระบี่เกล็ดจักรพรรดิ เนื่องจากจักรพรรดิฟ้าได้จ่ายราคาแพงระยับเพื่อเสริมสร้างรากฐานและการสะสมเพื่อพัฒนาการ
นอกจากนี้ขณะที่ร่างของมู่เฉินแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงรัศมีกระบี่ที่เข้ามาทุกที่ แม้แต่จุดจื้อจุนไห่ก็ไม่เว้น
นี่ทำให้เขาแอบหวาดผวา หากรัศมีกระบี่แสดงให้เห็นถึงความเป็นศัตรูน้อยนิด จุดจื้อจุนไห่ของเขาก็จะถูกกรีดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทันที แต่โชคดีที่รัศมีกระบี่อ่อนโยนมากภายใต้การควบคุมของจักรพรรดิฟ้าเมื่อเข้าสู่จุดจื้อจุนไห่ของเขา ทุกริ้วพลังงานราวกับมังกรเข้ากลืนกินคลื่นหลิงของมู่เฉิน เมื่อมันกลั่นออกมา คลื่นหลิงที่กลับไปยังจุดจื้อจุนไห่ก็บริสุทธิ์และบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น
ภายใต้การบำรุงของกระบี่เกล็ดจักรพรรดิ มู่เฉินสามารถสัมผัสได้ชัดเจนถึงคลื่นหลิงในจุดจื้อจุนไห่ขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว
กระบวนการนี้ไม่สามารถทำได้แม้ว่าเขาจะใช้ของเหลวจื้อจุนไปหลายร้อยล้านหยดก็ตาม ทว่ากระบี่เกล็ดจักรพรรดิสามารถทำให้สำเร็จได้ในพริบตา
การรับรู้ถึงพลังที่เพิ่มขึ้นในร่างกายก็ทำให้ใจเขาสงบนิ่งลง เขาดำดิ่งสู่สมาธิเริ่มรู้สึกถึงขอบเขตสุดท้ายของระดับจื้อจุนแล้ว
ทว่าถึงแม้จะจ่ายด้วยราคาของกระบี่เกล็ดจักรพรรดิก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะประสบความสำเร็จในทันที ดังนั้นครึ่งเดือนจึงผ่านไปในทะเลสาบสวรรค์
บทที่ 1194 นี่คือ…ระดับตี้จื้อจุน
ทะเลสาบสวรรค์โหมกระหน่ำด้วยคลื่นเชี่ยวกราก
เสียงดังกึกก้อง ขณะเดียวกันยังมีหมอกหลิงหนาแน่นปกคลุมไปทั่วจนปิดกั้นแสงอาทิตย์
ขณะที่คลื่นหลิงหนาแน่นปกคลุมฟ้าดิน เสาแสงขนาดใหญ่ก็ตั้งตะหง่าน สามารถมองเห็นภาพเงานั่งอยู่ข้างใต้ได้
ร่างนั้นถูกเจาะด้วยรัศมีกระบี่คมกริบที่มีอำนาจครอบงำอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้เขามีบาดแผลทั่วตัว
นี่ก็คือมู่เฉิน
เขานั่งอยู่ที่นั่นมากกว่าครึ่งเดือนแล้ว ทนทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา
ภายใต้การชำระ เนื้อกระดูกแต่ละชิ้นถูกเจาะทะลุหลายหมื่นครั้ง แต่หลังจากถูกทำลาย เขาก็ฟื้นฟูบาดแผลด้วยความช่วยเหลือของกายามังกรหงส์ จากนั้นก็วนซ้ำไปครั้งแล้วครั้งเล่า
ทุกข์ทรมานเช่นนี้ถ้าเป็นคนที่มิจิตใจไม่มั่นคง คงอดทนไม่ไหวไปนานแล้ว นอกจากนี้จิตใจก็จะพังทลายจนเสียโอกาสยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิฟ้าไป
โชคดีที่มู่เฉินฝึกฝนอย่างมุ่งมั่นมายาวนานตลอดเส้นทางที่ผ่านมา เขามีประสบการณ์เป็นตายเดินผ่านปากประตูนรกมาหลายครั้ง
ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่คนอย่างมู่เฉินจะยอมแพ้
นอกจากนี้มู่เฉินยังปรับตัวให้เข้ากับความเจ็บปวดอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากร่างกายของเขาจะแข็งแกร่งขึ้นทุกครั้งที่ได้รับบาดเจ็บ
ตอนนี้พื้นผิวหนังของมู่เฉินไม่ได้ปะทุขึ้นอีกต่อไป มีเพียงบาดแผลลึกจากกระบี่ที่ถูกทิ้งไว้ ซึ่งนี่แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของเขา
ตามการประเมินความแข็งแกร่งของมู่เฉิน พลังกายของเขาเพิ่มขึ้นหลายเท่ามากกว่าเมื่อครึ่งเดือนก่อน
เขารู้สึกยินดีอย่างมากเพราะไม่ง่ายที่จะฝึกพลังกาย การฝึกฝนจะต้องรุนแรงและต้องหยุดพักเป็นช่วง ถ้ารุนแรงเกินไปก็จะเป็นอันตรายแทนได้
แต่การชำระล้างนี้สมบูรณ์แบบและสมดุลในการเสริมสร้างร่างกาย มันอยู่ในระดับที่สามารถชำระร่างให้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้รุนแรงจนจะทำลายให้สิ้นซาก
ดังนั้นแม้ว่ามู่เฉินจะต้องแบกรับความเจ็บปวด แต่ก็ยังยึดมั่นกัดฟันทน หลังจากได้ชิมรสหวานหอมของมัน
นอกจากนี้การเสริมสร้างพลังกายของเขายังไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เขามีความสุขที่สุด แต่เป็นคลื่นหลิง
ยามนี้จุดจื้อจุนไห่ขยายขนาดไปจนถึงระดับน่าอัศจรรย์ บางครั้งจะมีคลื่นใหญ่หมื่นจั้งซัดเป็นครั้งคราว ซึ่งภายในอัดแน่นด้วยคลื่นหลิงทรงพลัง
นอกจากนี้เหนือจุดจื้อจุนไห่ รัศมีกระบี่ก็กวาดเข้ามาหล่อเลี้ยงคลื่นหลิงของเขาอย่างต่อเนื่อง
ยามนี้คลื่นหลิงในจุดจื้อจุนไห่เติบโตขึ้นมากเมื่อเทียบกับครึ่งเดือนที่ผ่านมา จากการประเมินถ้าเขาต้องต่อสู้กับตัวเองเมื่อครึ่งเดือนก่อน เขาคงสามารถใช้คลื่นหลิงทำให้ตัวเองหมดแรงได้เลย
หากเขาต้องพึ่งพาตัวเองให้ถึงระดับนั้น อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสะสมหนึ่งปีเต็มๆ
แต่ตอนนี้กลับสามารถทำได้สำเร็จได้ในครึ่งเดือน
“แต่คลื่นหลิงหนาแน่นเกินไป หากยังดำเนินต่อไปจุดจื้อจุนไห่ของข้าจะไม่สามารถรับไหว” มู่เฉินเริ่มกังวลเนื่องจากจุดจื้อจุนไห่ของเขาใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว หากยังขยายตัวต่ออาจแตกเป็นเสี่ยงๆ ก็ได้
“หรือว่าข้าต้องเติมจุดจื้อจุนจนเต็มถึงจะเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนได้?”
คำตอบนี้เป็นสิ่งที่ตัวเขาไม่สามารถยืนยันได้
แม้ว่าเขาจะไม่แน่ใจ แต่ก็ไม่หยุด นอกจากนี้เขาก็ไม่สามารถหยุดได้เพราะทุกสิ่งถูกควบคุมโดยจักรพรรดิฟ้า ดังนั้นหากจักรพรรดิฟ้าไม่หยุด เขาก็ต้องรับไว้ เว้นแต่จะล้มลงก่อน
มู่เฉินเก็บงำความคิดระงับความกังวลในใจ รับรู้ถึงพัฒนาการร่างกายและคลื่นหลิง
การชำระยังดำเนินผ่านไปอีกสิบวัน
ในที่สุดคลื่นหลิงในจุดจื้อจุนไห่ของเขาก็มาถึงขีดสุด
คลื่นหลิงในจุดจื้อจุนไห่ผันผวนรุนแรง ความรู้สึกอัดแน่นที่เหมือนกำลังจะระเบิดถูกส่งออกมา นี่ทำให้หัวใจของมู่เฉินเต้นระรัว
เขาไม่สงสัยเลยว่าหากยังดำเนินต่อไป จุดจื้อจุนไห่ของเขาก็จะแตกได้จากกระบวนการนี้
ทว่าจักรพรรดิฟ้าก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
“หรือว่าจะต้องทำลายจุดจื้อจุนไห่จริงๆ?”
ความคิดบ้าคลั่งพุ่งผ่านหัวใจ แต่สุดท้ายเขาก็ระงับเอาไว้
จักรพรรดิฟ้าไม่มีเหตุผลที่จะทำร้ายกัน เขาไม่จำเป็นต้องทำ ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นมหาอำนาจสูงสุดของมหาพันภพ แม้ว่าเขาจะสิ้นชีพไปแล้วก็ยังเป็นเรื่องง่ายที่จะฆ่ามู่เฉินเหมือนกับจัดการลู่หยวน
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ดังนั้นจักรพรรดิฟ้าต้องมีเหตุผลเรื่องนี้
มู่เฉินเลือกที่จะเชื่อมั่นในตัวอาจารย์หลังจากลังเลชั่วครู่
เขาหายใจลึกๆ รวบรวมสมาธิปล่อยให้รัศมีกระบี่หลั่งไหลไปในสู่จุดจื้อจุนไห่จนกระทั่งถึงขีดเต็ม
เมื่อช่องว่างสุดท้ายของจุดจื้อจุนไห่เติมเต็ม มู่เฉินก็รู้สึกว่าทั่วฟ้าดินเงียบลงกะทันหัน
แกร็ก
รอยแตกเริ่มปรากฏในจุดจื้อจุนไห่แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ดังที่มู่เฉินคาดไว้จุดจื้อจุนไห่ของเขาเริ่มปริแตกหลังจากมาถึงขีดจำกัด
สำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนทุกคนฉากนี้อาจทำให้กลัวจนบ้าตาย เพราะทุกคนรู้ดีว่าจุดจื้อจุนไห่สำคัญเพียงใด เมื่อไรที่จุดจื้อจุนไห่แตกออก ความพยายามที่ทำมาทั้งหมดชั่วชีวิตก็จะสลายหายไปกลายเป็นอากาศธาตุ
เม็ดเหงื่อท่วมหน้าผากของมู่เฉิน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาหวั่นไหว
“ตั้งใจให้มั่นคง ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามวิถีธรรมชาติ”
ขณะที่มู่เฉินรู้สึกกระสับกระส่ายในใจ เสียงของจักรพรรดิฟ้าก็ดังก้องในใจ
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น มู่เฉินก็โล่งใจขึ้นมา เขาตั้งสมาธิปกป้องจิตใจ ปล่อยให้จุดจื้อจุนไห่เปลี่ยนแปลงไปตามวิถีทางแห่งยุทธ์
ปัง!
รอยแตกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดจุดจื้อจุนไห่ก็ไม่สามารถบรรจุคลื่นหลิงไร้ขอบเขตลงไปได้อีกแล้วเกิดการแตกออกในที่สุด
แสงกำจายออกมาจากหน้าอกของมู่เฉิน ซึ่งเป็นที่ตั้งของจุดจื้อจุนไห่ ยามนี้แสงขยายออกไปพร้อมกับการแตกร้าวของจุดจื้อจุนไห่ ห่อหุ้มเขาไว้
ปัง! ปัง !ปัง!
คลื่นหลิงเหนือคำบรรยายกวาดออกจากร่าง ฉีกร่างออกเป็นชิ้นๆ ทีละนิ้ว…ละนิ้ว
การพังทลายนี้เริ่มจากภายในสู่ภายนอก ดังนั้นเพียงอึดใจร่างเขาก็ระเบิดกลายเป็นหมอกเลือด
แสงสีทองกะพริบเบื้องหน้าละอองเลือดก็ควบแน่นเป็นร่างหนึ่งอย่างรวดเร็ว มู่เฉินกำลังควบคุมกายามังกรหงส์อย่างบ้าคลั่ง เพื่อซ่อมแซมร่างกายทั้งหมด
ปัง! ปัง!
แต่เมื่อการซ่อมแซมเพิ่งจะก่อตัว คลื่นความรุนแรงอีกระลอกก็ระเบิดทำลายร่างกายอีกครั้ง กลายเป็นหมอกเลือดฟุ้งกระจาย
มู่เฉินเร้าเต็มพลังพยายามซ่อมแซมร่างกายต่อ!
ปัง!
ซ่อมแซม!
ปัง!
กระบวนการนี้ดำเนินเป็นวงจร ซึ่งทำให้มู่เฉินรู้สึกดีใจเล็กน้อย โชคดีที่พลังกายของเขาแข็งแกร่ง ไม่เช่นนั้นการซ่อมแซมจะไม่สามารถติดตามความเร็วของการทำลายได้
มู่เฉินค่อยๆ รู้สึกถึงความแปลกประหลาดเล็ดลอดออกมาจากร่างกาย หลังจากการซ่อมแซมทุกครั้ง
นั่นเป็นความรู้สึกของการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง
หากในอดีตพลังกายของมู่เฉินได้รับความแข็งแกร่งเพียงแค่พื้นผิว ถ้างั้นครั้งนี้การเปลี่ยนแปลงก็สมบูรณ์แบบโดยเริ่มตั้งแต่ภายในร่างกายจนสู่ภายนอก!
หมอกเลือดฟุ้งไปทั่ว ร่างมู่เฉินยังคงถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง
ทว่ายามนี้ความตื่นตระหนกและความกลัวจางหายไป แทนที่ด้วยความรู้แจ้งที่เบาบาง เขารู้สึกได้ว่าถึงแม้จุดจื้อจุนไห่จะถูกทำลาย เขาก็ไม่ได้รู้สึกอ่อนแอลงเลยแต่กลับทรงพลังมากกว่าเดิม
ความรู้สึกนั้นราวกับว่าสามารถฆ่าตนเองก่อนหน้านี้ด้วยหมัดเดียว
จุดจื้อจุนไห่เดิมหายไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้หายไปอย่างแท้จริง มันอยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่ง
หากมู่เฉินมีเพียงจุดจื้อจุนไห่เดียวในอดีต งั้นเขาก็รู้สึกได้ว่าร่างกายตอนนี้เต็มไปด้วยทะเลพลัง ราวกับว่าทุกตารางนิ้วบนร่างกายถูกเปลี่ยนเป็นทะเลพลังทั้งหมดแล้ว
“จากหนึ่งกลายเป็นทุกหนทุกแห่ง นี่คือระดับตี้จื้อจุน!”
บทที่ 1195 ภัยพิบัติหลิง
หนึ่งเดือน ณ ทะเลสาบสวรรค์
ในที่สุดมู่เฉินก็ลืมตาขึ้น
ตู้ม!
เมื่อดวงตาหรี่ปรือขึ้นสายฟ้าก็แล่นแปลบปลาบผ่านม่านตาพร้อมกับเสียงคำรามดังก้อง แรงกดดันที่ไม่อาจบรรยายได้รวมตัวบนร่างมู่เฉินก่อนจะแผ่การครอบงำออกไป
ซ่า ซ่า!
คลื่นถูกยกขึ้นในทะเลสาบสวรรค์จากแรงกดดันก่อนจะแยกออกจากกันในท้องฟ้า ฝนโปรยปรายลงมา
น้ำถูกผลักออกจากใต้ร่างมู่เฉิน ก่อตัวเป็นปากปล่องที่มีความกว้างหลายหมื่นจั้ง ขณะที่เขายืนอยู่เหนือกระแสน้ำวน ฝนจางหายไปเมื่ออยู่ห่างจากเขาเพียงไม่กี่จั้ง ไม่มีสิ่งใดที่สามารถแตะต้องร่างกายของเขาได้
เขายืนอยู่ท่ามกลางพายุฝน ร่างกายเปล่งประกายด้วยแสง บางทีอาจเป็นเพราะการชำระจากกระบี่เกล็ดจักรพรรดิ ทำให้มีรัศมีคมชัดเอิบอาบออกมาจากร่างเขาราวกับเป็นกระบี่ที่สามารถแทงทะลุผ่านสวรรค์และโลกได้
บางครั้งรังสีหลิงจะสั่นไหวบนสรรพางค์กายเป็นระลอกก่อนที่จะจางหายไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งนั่นเกิดจากคลื่นกระแทกรุนแรงของคลื่นหลิงในร่างกายเขา แต่ด้วยการสร้างร่างกายใหม่นับไม่ถ้วน ทำให้ตอนนี้ร่างกายเขาสามารถรับคลื่นกระแทกจากการแตกสลายของทะเลจื้อจุนได้
จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงบินฉวัดเฉวียนอยู่บนร่างเขาอย่างเลือนราง เนื่องจากร่างกายของเขามีพลังมากเกินไป ทำให้จิตวิญญาณทั้งสองหวาดกลัว ไม่กล้าที่จะเตร็ดเตร่บนร่างของเขาอย่างชัดเจนอีกต่อไป
พายุฝนบดบังวิวทิวทัศน์ สายตามู่เฉินค่อยๆ กลับมามีสติเมื่อฟื้นจากอาการตื่นตะลึง เขาก้มหัวลงมองร่างกายด้วยความเหม่อลอย
เขาสามารถสัมผัสพลังที่มีอยู่ ซึ่งทำให้รู้สึกไม่อยากจะเชื่อเพราะนี่คือพลังที่เขาแสวงหามาหลายปี
ทว่าเมื่อเขาได้ครอบครองพลังระดับนี้ ถึงจะเป็นคนนิ่งสงบอย่างเขาก็ทำตัวไม่ถูก
เขาลังเลครู่หนึ่งก่อนที่จะเหยียดมือออกแล้วกำมือแน่น แม้ว่าจะยังไม่ได้ใช้คลื่นหลิงสักเส้นสาย แต่มิติตรงใจกลางฝ่ามือก็แตกร้าว
ปัง!
มู่เฉินลองชกหมัดออกไปเบาๆ มิติก็แตกออกราวกับกระจก สะเก็ดมิติปลิวว่อน
เขามองดูฉากนี้อย่างตะลึงงัน หนึ่งเดือนที่แล้วเขาต้องงัดกองทัพสังหารวิญญาณออกมาเพื่อเผชิญหน้ากับพลังระดับนี้ ไม่เช่นนั้นเขาจะบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิต
นี่เป็นพลังที่แท้จริง!
“นะ…นี่คือพลังของระดับตี้จื้อจุนเหรอ?”
มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง ตอนนี้เขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน ถ้าเขาปะทะกับตาเฒ่าจั่วที่มีพลังในจุดสูงสุด เขาอาจไม่สามารถหลบหนีได้แม้จะมีกองทัพสังหารวิญญาณก็ตาม
อย่างไรก็ตามความกลัวนี้กินเวลาชั่วครู่ ก่อนที่มุมปากจะยกขึ้นจากนั้นไม่นาน เนื่องจากเขาก็ได้ครอบครองพลังดังกล่าวแล้วด้วยเช่นกัน!
แม้ว่าตาเฒ่าจั่วจะมาปรากฏตัวต่อหน้าในสภาพสมบูรณ์แบบเวลานี้ เขาก็ไม่กลัวอีกต่อไป
จิ่วโยวและมั่นถัวหลัวยืนอยู่บนพื้นผิวของทะเลสาบสวรรค์ไกลออกไป สายตามองร่างเงาบนท้องฟ้าพร้อมความสุขกระจายบนใบหน้าพวกนาง
“มู่เฉินทำสำเร็จหรือยัง?” จิ่งโยวถามด้วยความดีใจ นางรู้สึกถึงแรงกดดันที่ทำให้หายใจไม่ออกที่มาจากมู่เฉิน ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ระดับจื้อจุนขั้นเก้ามีเลย
“ครึ่งหนึ่ง” มั่นถัวหลัวเผยรอยยิ้มขณะที่พยักหน้า ในเวลานี้มู่เฉินได้เริ่มครอบครองพลังของระดับตี้จื้อจุนแล้ว
จิ่วโยวรู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยิน นางมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาซับซ้อน ครั้งแรกที่พบกันเขายังเป็นเด็กชายที่อ่อนแอ ตอนนั้นนางไม่คิดว่าสักวันเด็กชายคนนั้นจะก้าวเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนก่อนนาง!
นางเคยเป็นคนที่ปกป้องเขา เป็นไพ่ตายของเขา ทว่าตอนนี้ทุกอย่างกลับตาลปัตรแล้ว
จิ่วโยวจะไม่รู้สึกใจหายได้อย่างไร
“ทำไมแค่ครึ่งหนึ่ง?” แต่จากนั้นครู่หนึ่งจิ่วโยวก็ทวนคำพูดของมั่นถัวหลัวพลางเอ่ยถาม
มั่นถัวหลัวเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “ยังมีขั้นตอนสำคัญอีกอย่างหนึ่งในการก้าวสู่ระดับตี้จื้อจุน ไม่รู้ว่ามีอัจฉริยะเท่าไรที่ต้องมาล้มเหลวสิ้นชีพในขั้นตอนนี้”
จิ่วโยวตกใจ จากนั้นก็เข้าใจสิ่งที่มั่นถัวหลัวพูดอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของนางเปลี่ยนแปลงรุนแรง “ภัยพิบัติหลิง?”
จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทุกคนจะดึงดูดความระแวงจากสวรรค์ ดังนั้นภัยพิบัติที่รู้จักกันในชื่อภัยพิบัติหลิงจะกระหน่ำลงมา
ภัยพิบัติหลิงเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวมาก สังหารอัจฉริยมากมายที่พยายามบรรลุเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุน ในขณะเดียวกันจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มก็ถูกข่มขู่ไว้ด้วยเช่นกัน
“หากการทำลายล้างจุดจื้อจุนไห่คือการสร้างร่างกายขึ้นใหม่ ภัยพิบัติหลิงก็จะกำหนดเป้าหมายไปยังร่างเทห์สวรรค์ จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนจะไม่ใช้ร่างเทห์สวรรค์ แต่จะมีร่างเวทสวรรค์ที่ทรงพลังยิ่งกว่า”
มั่นถัวหลัวพยักหน้า “มีเพียงร่างเทห์สวรรค์ที่ได้รับประสบการณ์ภัยพิบัติหลิงเท่านั้นจึงจะสามารถเปลี่ยนเป็นร่างเวทสวรรค์ได้ สามารถเชื่อมต่อระหว่างสวรรค์กับโลกในระดับที่ลึกซึ้งกว่า”
“ตอนนี้เขาผ่านอุปสรรคแรกไปแล้ว ต่อไปก็เป็นภัยพิบัติหลิง”
นัยน์ตาของจิ่วโยวสั่นไหวด้วยความกังวล ชื่อเสียงของภัยพิบัติหลิงน่าสะพรึงเกินไป ไม่รู้มีอัจฉริยะมากเท่าไรที่ตายไปเพราะมัน
ฮึ่ม ฮึ่ม
ไม่นานหลังจากที่จิ่วโยวและมั่นถัวหลัวหยุดการสนทนา เสียงดังก้องก็แผดออกบนท้องฟ้า ทุกเสียงคำรามทำให้ฟ้าดินมืดลง ขณะที่คลื่นหลิงผันผวนรุนแรงราวกับหม้อเดือด
มู่เฉินรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงนี้เช่นกัน เขาเงยหัวขึ้นมองไปที่ท้องฟ้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก็เห็นการบิดเบี้ยวของมิติและคลื่นหลิงไม่มีที่สิ้นสุดเริ่มรวมตัวกัน ก่อตัวเป็นเมฆฝนฟ้าคะนองคลุมเครือ
แรงกดดันน่ากลัวพล่านออกมา
“นี่คือภัยพิบัติหลิงในตำนานหรือ?”
มู่เฉินพึมพำพลางกำหมัด นี่เป็นก้าวแรกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของระดับตี้จื้อจุน หากเขาประสบความสำเร็จก็จะสามารถเข้าสู่การเพาะบ่มขุมพลังที่ใฝ่ฝันมาเนิ่นนาน
“ภัยพิบัติหลิงพุ่งเป้าหมายไปที่ร่างเทห์สวรรค์ ถ้าถูกทำลายเจ้าก็จะก้าวเข้าสู่เหวนรกทันที” เสียงจักรพรรดิฟ้าดังกังวาน
“ภัยพิบัตินี้ไม่มีใครสามารถช่วยเจ้าได้ เจ้าต้องพึ่งพาตัวเองเพื่อผ่านไปให้ได้”
มู่เฉินสูดหายใจลึกพลางพยักหน้า
เขาพลิกฝ่ามือ คลื่นสูงนับไม่ถ้วนดันตัวขึ้นจากทะเลสาบสวรรค์ จากนั้นเขาก็เริ่มกลืนคลื่นหลิงเข้าไป
หากเป็นเมื่อก่อนเขาอาจต้องใช้เวลาครึ่งวันในการกลั่น แต่เนื่องจากเขาก้าวเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนมาครึ่งตัวแล้ว เขาจึงสามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงที่ถูกกลืนกินอย่างสมบูรณ์ทันทีที่เข้าสู่ร่างกาย
เมื่อก้าวสู่ระดับตี้จื้อจุนมาครึ่งก้าว จุดจื้อจุนไห่ในอดีตของเขาได้แตกสลายไปแล้ว แต่ในบางแง่มุมจุดจื้อจุนไห่ของเขาก็ไม่ได้หายไป เพียงแค่รวมเข้ากันและหล่อหลอมไปกับกล้ามเนื้อและอณูของเขา
ขณะนี้ทุกส่วนของร่างกายก็คือทะเลพลัง ดังนั้นปริมาณของคลื่นหลิงที่เขาสามารถรองรับได้ จึงสูงจนถึงระดับที่ไม่สามารถจินตนาการได้
“มิน่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนถึงดูถูกจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนนัก”
เมื่อรู้สึกถึงคลื่นหลิงที่พลุ่งพล่านในร่างกาย มู่เฉินก็ถอนหายใจ ภายใต้ระดับตี้จื้อจุนผู้ฝึกพึ่งพาทะเลพลังน้อยนิด ในทางกลับกันร่างกายของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนคือทะเลพลังทั้งหมด ดังนั้นใครก็สามารถจินตนาการถึงพลังที่มีได้
ความแตกต่างเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่มีวันเติมเต็มได้ ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม
ซ่า ซ่า!
ขณะที่มู่เฉินสัมผัสได้ถึงพลังของระดับตี้จื้อจุน เขาก็ยังคงสูบคลื่นหลิงจากทะเลสาบสวรรค์อย่างต่อเนื่อง เขาต้องการเติมพลังงานเพื่อนำตัวเองสู่สภาวะสูงสุด
ครืนๆๆๆ!
ขณะที่มู่เฉินยังคงสูบพลังงาน คลื่นหลิงบนท้องฟ้าก็มารวมตัวกันในระดับที่น่ากลัว เมฆหนาฟ้าผ่าแล่นแปลบปลาบไปทั่วทุกหนแห่งแล้ว
เสียงคำรามดังก้องไปมาระหว่างสวรรค์และโลก ทำให้ทุกสรรพสิ่งตกลงสู่ความเงียบจากพลังอำนาจนี้
ฮา
มู่เฉินสูดหายใจลึก มือประสานกัน ทันใดนั้นแสงสีม่วงทองก็พุ่งออกมาทางด้านหลังก่อเป็นร่างยักษ์สีม่วงทองหลายร้อยจั้ง
ร่างเทพสุริยะนิรันดร์!
เมื่อร่างเทพสุริยะนิรันดร์ปรากฏขึ้น ดวงตาของมู่เฉินก็ลุกโชนด้วยไฟในการต่อสู้ หลังจากรับรู้ได้ว่าตนเองเข้าถึงจุดสูงสุดแล้ว เขามองไปที่เมฆหนาพลางเลียริมฝีปาก
วันนี้ไม่มีใครขัดขวางความมุ่งมั่นของเขาในการบรรลุระดับตี้จื้อจุน หากภัยพิบัติหลิงต้องการหยุดยั้งเขา งานนี้ข้าทุบแหลกแน่!
บทที่ 1196 ทุกวิธีการเผชิญหน้าภัยพิบัติหลิง
ตู้ม! ตู้ม!
เมฆหลิงหนาแน่นรวมตัวกันบนท้องฟ้า เผยให้เห็นสายฟ้าในบางครั้งคราวพร้อมกับเสียงฟ้าผ่าดังก้อง ทำให้ผู้คนใจสั่นได้เลยทีเดียว
คลื่นผันผวนในทะเลสาบสวรรค์ก็สงบลง ราวกับถูกกดขี่จากฟ้าดิน
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองกลุ่มเมฆหนา สายฟ้าสว่างวาบก่อตัวขึ้นจากคลื่นหลิงที่ถูกบีบอัด ทุกเกลียวสายฟ้าบรรจุด้วยพลังที่ไม่สามารถจินตนาการได้ แม้แต่ระดับตี้จื้อจุนแท้จริงยังไม่กล้าดูถูกเลย
เผชิญหน้ากับสายฟ้าเช่นนี้ แม้แต่มู่เฉินที่มีพลังกายแข็งแกร่งขึ้นมากยังรู้สึกสั่นสะท้านไปถึงกระดูกสันหลัง หากเขาประมาทแม้แต่น้อยกระทั่งพลังกายของตนก็ไม่สามารถทนต่อสายฟ้าทรงพลังนี้ได้
ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ยืนอยู่ด้านหลังมู่เฉิน แสงพราวพราวสีม่วงทองและรัศมีอมตะแผ่ซ่านออกมาทำให้มู่เฉินรู้สึกสบายใจมากขึ้น
นี่ถือเป็นการต่อสู้ครั้งแรกของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ มู่เฉินก็อยากรู้ว่าร่างเทพสุริยะนิรันดร์ที่เขาโหยหามานานหลายปีจะทรงพลังแค่ไหน
ครืนๆๆๆ
ทั่วบริเวณเงียบสงบ มีเพียงเสียงฟ้าผ่าดังก้อง ไม่กี่นาทีต่อมาเมฆก็เริ่มกลิ้งตัวแล้วแตกออกก่อนที่ลำสายฟ้าจะฟาดลงมา
ตู้ม!
สายฟ้าเส้นนี้มีขนาดประมาณหนึ่งร้อยจั้งราวกับมังกรสีรุ้งขณะที่คำราม กระทั่งมิติก็ไม่สามารถทนรับได้เริ่มบิดเบือนไป
สายฟ้าพุ่งลงมาทันที ก่อนจะปรากฏตัวเหนือร่างมู่เฉิน จากนั้นก็กระหน่ำลงบนร่างสีม่วงทองอย่างไม่เกรงใจ
มู่เฉินไม่กล้าชักช้า ร่างสีม่วงทองคำรามลั่นพร้อมกับแสงสีม่วงทองเปล่งประกายวูบวาบไปทั่วร่างกาย
เสาแสงสีม่วงทองขนาดมหึมายิงออกจากปากร่างเทพสุริยะนิรันดร์ซึ่งบรรจุด้วยคลื่นหลิงไร้ขอบเขต
ตู้ม!
พลังสองสายปะทะกันราวกับอุกกาบาตพุ่งชน มิติบริเวณนั้นก็ทรุดตัวลง คลื่นกระแทกที่มองเห็นได้กวาดออกเป็นเกลียวคลื่น
พื้นผิวของทะเลสาบสวรรค์ถูกระงับจากแรงกดดัน คลื่นใหญ่หมื่นจั้งดันตัวขึ้น ดูอลังการอย่างยิ่ง
พลังอันยิ่งใหญ่กินเวลานานหลายนาที ก่อนที่เสาสีม่วงทองจะอ่อนกำลังจากนั้นก็แตกออกภายใต้พลังสายฟ้า
ทว่าสายฟ้าก็ถูกทำให้อ่อนลงอย่างมีนัย พลังที่เหลืออยู่จึงทำให้ร่างเทพสุริยะนิรันดร์เพียงสั่นสะเทือนโดยไม่เกิดความเสียหายใดๆ
ทว่ามู่เฉินก็ยังไม่กล้าที่จะผ่อนคลาย สายฟ้าสายแรกอ่อนแอที่สุด แต่เขาก็ไม่สามารถต้านได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นหลังจากนี้อันตรายก็จะเพิ่มมากขึ้น
“เขาสกัดได้!” ใบหน้าจิ่วโยวเผยความสุข
“มีกระแสสายฟ้าเก้าคลื่นในภัยพิบัติหลิง คลื่นต่อไปจะยิ่งแรงกว่านี้ นี่เป็นคลื่นแรกและต่อจากนี้สิจะรุนแรงขึ้นไปอีก” มั่นถัวหลัวส่ายหัว ในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มสายตาของนางดีกว่าจิ่วโยวมาก นางสามารถบอกได้ว่าถึงมู่เฉินจะยืนหยัดกับสายฟ้าคลื่นแรกได้แต่ก็เรียกว่าฉิวเฉียด หากสถานการณ์นี้ดำเนินต่อไปคงไม่เป็นการดีสำหรับเขา
ครืน!
ขณะที่พวกนางคุยกัน ลำสายฟ้าขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นคล้ายกับมังกรมหึมาซ่อนอยู่หลังเมฆ
ตู้ม!
กลุ่มเมฆฉีกขาดอีกครั้ง สายฟ้าลำหนาขึ้นก็ฟาดใส่ร่างเทพสุริยะนิรันดร์
สีหน้ามู่เฉินเคร่งเครียดลงหลายส่วน การเผชิญหน้าครั้งแรกเขาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่ชัดว่าผ่านไปแบบเส้นยาแดงผ่าแปด ตอนนี้จึงไม่กล้าที่จะประมาท แค่คิดแสงสีม่วงทองก็พรั่งพรูออกมา ถักทอเป็นปราการขนาดใหญ่
ครั้งนี้เขาเลือกที่จะป้องกัน
ปัง!
สายฟ้าฟาดรอยแตกพล่านบนปราการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปหมด
แกร๊ก แกร๊ก!
ปราการคงอยู่ได้ไม่นานก่อนจะแตกสลาย จากนั้นสายฟ้าก็พุ่งเข้าชนร่างเทพสุริยะนิรันดร์จังใหญ่
ครั้งนี้แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นทำให้ร่างเทพสุริยะนิรันดร์สลัวลงเล็กน้อย เนื่องจากร่างเทพสุริยะนิรันดร์เชื่อมต่อกับมู่เฉิน เขาจึงได้รับผลกระทบอย่างมากกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง
ดวงตาของเขาวูบไหวด้วยความหวาดผวา เนื่องจากเขาไม่คิดว่าภัยพิบัติหลิงจะน่ากลัวปานนี้
“ดูเหมือนว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะต้านทานภัยพิบัติหลิงโดยอาศัยร่างเทห์สวรรค์เพียงอย่างเดียว”
มู่เฉินเช็ดรอยเลือด สีหน้าเคร่งขรึมลง เขาทะยานขึ้นไปที่ไหล่ของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ พัดขนนกสีเขียวปรากฏขึ้นในมือ
ตอนนี้ถึงเวลาที่จะนำไพ่ตายใบแรกมาใช้แล้ว
ตู้ม!
ขณะที่มู่เฉินจับพัดเทพสายลม กระแสสายฟ้าคลื่นที่สามก็ฟาดลงมา ซึ่งหนากว่าสองเส้นก่อนหน้าหลายเท่า
“ทอร์นาโดเทพสายลม!”
มู่เฉินสะบัดพัดเทพสายลมโดยไม่ลังเล ทันใดนั้นพายุไซโคลนขนาดมหึมาก็ก่อตัวขึ้นปะทะกับสายฟ้า
ตู้ม ตู้ม!
เสียงลมพายุดังกระหึ่ม แต่คราวนี้ที่ทำให้เขาโล่งใจก็คือด้วยพัดเทพสายลมและร่างเทพสุริยะนิรันดร์ในที่สุดเขาก็สามารถต้านทานกระแสสายฟ้าคลื่นที่สามได้
คลื่นกระแทกที่เหลืออยู่กวาดหายนะอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่พายุไซโคลนและฟ้าผ่าจะจางลง
ฮา
มู่เฉินมองสายฟ้าที่สลายไปก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นหัวใจเขาก็กระตุก เนื่องจากเขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานแปลกประหลาดซึ่งมาจากพลังงานที่หลงเหลือ หลอมรวมเข้ากับร่างเทพสุริยะนิรันดร์
พลังงานนี้ไม่สามารถเสริมสร้างร่างเทพสุริยะนิรันดร์ได้ แต่วินาทีนั้นมู่เฉินรู้สึกได้ว่าการเชื่อมโยงระหว่างร่างเทพสุริยะนิรันดร์กับฟ้าดินใกล้ชิดยิ่งขึ้น
“แบบนี้นี่เอง ภัยพิบัติหลิงสามารถทำให้ร่างเทห์สวรรค์มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับฟ้าดิน ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นถึงใช้วาจาฟ้าดินเป็นประกาศิตได้” มู่เฉินเข้าใจขึ้นมา ที่แท้พลังนั้นก็มาจากภัยพิบัติหลิงนี่เอง
ภัยพิบัตินี้เป็นการทดสอบและโอกาสในเวลาเดียวกัน
“หากเป็นเช่นนั้นให้ก็ขอแบบแข็งๆ เลย!”
มู่เฉินโบกพัดในมือขณะจ้องมองกลุ่มเมฆด้วยสายตาร้อนแรง
ตู้ม! ตู้ม!
กลุ่มเมฆราวกับสัมผัสได้ถึงสายตามู่เฉิน พวกมันเริ่มกลิ้งตัวรุนแรง จากนั้นเกลียวสายฟ้าสองสายก็พุ่งลงมาในเวลาเดียวกัน
มู่เฉินมองดูสายฟ้าแฝด สีหน้าก็ตึงเครียดไม่กล้าชักช้า พัดเทพสายลมเริ่มขยายตัว คลื่นหลิงมหาศาลเทเข้าไป
ฮวบ!
พัดเทพสายลมสั่นสะเทือน ก่อนที่พายุไซโคลนขนาดใหญ่หลายลูกจะหมุนออกไป ยามนี้เขาเร้าพลังสูงสุดแล้ว พายุทุกลูกสามารถทำให้เขาใจสั่นเลยทีเดียว
ตู้ม ตู้ม!
พายุไซโคลนปะทะกับสายฟ้า เมื่อพายุถูกทำลายไปทีละลูกสายฟ้าสองสายก็ค่อยๆ ลดขนาดลงเช่นกัน
ฮา
มู่เฉินโล่งใจเมื่อเห็นเกลียวสายฟ้าสองสายที่กำลังจะสลายหายไป
ตู้ม!
ทว่าทันทีที่มู่เฉินรู้สึกโล่งใจ จู่ๆ สายฟ้าสองสายก็ระเบิดออก กระแสสายฟ้าอีกสายก่อตัวขึ้นซัดลงมาอย่างรวดเร็ว!
นี่มันลงมาทีเดียวสามสาย!
การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันทำให้จิ่วโยวตกใจจนอุทานลั่น
ในพริบตาเดียวเกลียวสายฟ้าที่สามก็มาอยู่เหนือร่างเขา แต่เมื่อกำลังจะจู่โจม มู่เฉินก็โยนป้ายขวางสมุทรออกไป มหาสมุทรสีดำทะลักออกมาปะทะกับเกลียวสายฟ้าที่สาม เพื่อสลายพลังลง
“เจ้าเล่ห์เหลือเกิน”
มู่เฉินมองการกระทำนี้ด้วยเหงื่อเย็นท่วมตัว โชคดีที่เขาระมัดระวังและเตรียมป้ายขวางสมุทรเอาไว้ ไม่เช่นนั้นเขาต้องทนทุกข์จากกระแสสายฟ้าคลื่นที่สามอย่างแน่นอน
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็เหลืออีกเพียงสี่คลื่น”
ป้ายขวางมหาสมุทรส่งเสียงหวือลอยอยู่เบื้องหน้า ในมือเขาถือพัดเทพสายลมไว้ ริ้วแสงสีทองแห่งความเป็นอมตะกำจายจากร่างเทพสุริยะนิรันดร์ที่อยู่ข้างใต้ห่อหุ้มเขาไว้ ยามนี้เขางัดไพ่ตายทั้งหมดออกมาแล้ว ด้วยการป้องกันนี้เขาน่าจะทนคลื่นที่เหลือได้ล่ะมั้ง?
ดังนั้นในเวลาต่อมา เมฆหลิงบนท้องฟ้าก็ผันผวน กระแสสายฟ้าซัดลงมาอีกครั้ง
แต่หลังจากผ่านประสบการณ์กระแสสายฟ้าห้าระลอกก่อนหน้า มู่เฉินก็เริ่มจับการทำงานของมันได้ แม้จะมีอันตรายรอบตัว แต่เขาก็สามารถสกัดคลื่นไว้ได้ด้วยอาวุธมหสวรรค์ทั้งสองชิ้น
เมื่อหนึ่งชั่วโมงผ่านไป มู่เฉินก็ทนกระแสสายฟ้าจนถึงคลื่นที่แปดได้แล้ว
ทว่าเขาไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีนัก ประกายไฟแลบแปลบปลาบบนร่างซึ่งเกิดจากภัยพิบัติหลิงนั่นเอง
นี่เป็นรูปแบบหนึ่งของคลื่นพลังที่คล้ายกับสารพิษ เมื่อเข้าสู่ร่างกายก็จะกัดกร่อนคลื่นหลิง ทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส
ดังนั้นมู่เฉินจึงทำได้เพียงหมุนเวียนคลื่นหลิงเพื่อต่อต้านและชำระล้าง
ขณะเดียวกันร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็จางลงไปมาก ชัดว่าได้ใช้พลังงานจำนวนมากในการต้านทานภัยพิบัติหลิง
“คลื่นที่แปดจบแล้ว เหลือคลื่นสุดท้าย”
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองกลุ่มเมฆที่สลายหายไปเยอะ แม้ว่าจะมีกระแสสายฟ้าคลื่นสุดท้ายเหลืออยู่เท่านั้น แต่เขาก็ไม่สามารถผ่อนคลายได้ ตรงกันข้ามเขารู้สึกไม่สบายใจมากขึ้น
เพราะคลื่นที่เก้าใช้เวลาในการชงตัวนานมาก ความกดดันที่ถูกปล่อยออกมาจากมันก็ไกลเกินกว่าคลื่นใดๆ
มู่เฉินพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปรับสภาพขณะรอคลื่นลูกสุดท้าย ตราบใดที่เขาสามารถผ่านไปได้ เขาก็จะบรรลุระดับตี้จื้อจุนแท้จริง!
จิ่วโยวรู้สึกถึงแรงกดดันที่น่ากลัว แม้ว่านางจะไม่ได้อยู่ในนั้น แต่ก็สามารถบอกได้ถึงแรงกดดันมหาศาลที่มู่เฉินกำลังแบกไว้
แต่นางไม่ได้พูดอะไรเพราะไร้ประโยชน์ นางทำได้เพียงสวดมนต์เพื่อหวังว่ามู่เฉินจะผ่านไปได้
นอกจากนี้ในที่สุดนางก็รู้แล้วว่าทำไมถึงมีจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มจำนวนมากกลัวภัยพิบัติหลิง แม้แต่คนอย่างมู่เฉินก็ยังอยู่ในสภาพน่าสมเพชแล้วจอมยุทธ์ธรรมดาล่ะ?
ฮึ่ม ฮึ่ม!
ความเงียบดำเนินไปเป็นเวลานาน ก่อนที่เมฆจะเริ่มเปล่งเสียงดังก้องอีกครั้ง ลำแสงจำนวนมากส่องกระจาย ภายใต้แสงนี้ทั่วทั้งฟ้าดินยังบิดเบี้ยว
เมฆหลิงหดตัวรวมกันอย่างรวดเร็ว ก่อร่างเป็นมังกรยักษ์ที่ปกคลุมไปด้วยสายฟ้า
มังกรบินฉวัดเฉวียนอยู่ในท้องฟ้าจ้องมาที่มู่เฉิน แรงกดดันที่น่ากลัวครอบคลุมทั้งมิตินี้
เมื่อมั่นถัวหลัวเห็นเมฆรูปมังกร ใบหน้าของนางก็เปลี่ยนไป นางพูดออกมาอย่างตกใจว่า “กระแสสายฟ้าคลื่นที่เก้าของภัยพิบัติหลิงนี้ก่อตัวเป็นรูปร่างเรอะ?”
“หมายความว่าอย่างไร?” จิ่วโยวสอบถามอย่างรวดเร็ว
“ภัยพิบัติหลิงมักอยู่ในรูปแบบสายฟ้า แต่จะมีบางภัยพิบัติพิเศษที่ก่อตัวขึ้นเป็นรูปทรงได้ แต่โดยทั่วไปแล้วเจอได้ยากมาก…ใช่แล้ว ความแข็งแกร่งของภัยพิบัติยังเชื่อมโยงกับความแข็งแกร่งของร่างเทห์สวรรค์ของผู้ฝึก ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของมู่เฉินเป็นวิวัฒนาการระยะต่อมา ในแง่ของการจัดอันดับน่าจะสามารถเป็นหนึ่งในสิบห้าอันดับแรกได้ ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมคลื่นที่เก้าจึงก่อตัวเป็นรูปทรงขึ้นได้… ” พูดถึงตอนท้าย มั่นถัวหลัวก็เข้าใจขึ้นมา
จิ่วโยวพูดไม่ออก นางไม่คิดเลยว่าร่างเทพสุริยะนิรันดร์ที่มู่เฉินไล่ล่ามาตลอดจะทำให้ต้องเจอกับภัยพิบัติครั้งใหญ่
มั่นถัวหลัวถอนหายใจยิ้มอย่างขมขื่น “แม้ว่าภัยพิบัตินี้จะทรงพลัง แต่เขาก็จะได้รับประโยชน์มากขึ้นถ้าสามารถต้านทานได้ ไม่รู้ว่าจะนับเป็นโชคลาภหรือหายนะดี”
จิ่วโยวถอนหายใจเช่นกัน โดยทั่วไปแล้วคนส่วนใหญ่ไม่ต้องการที่จะเจอภัยพิบัติชนิดก่อตัวขึ้นได้ เพราะจะทำให้มีความเสี่ยงสูงที่จะตายได้
แต่ในเมื่อมันก่อตัวขึ้นแล้วก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ พวกนางได้แต่หวังว่ามู่เฉินจะสามารถต้านทานได้
ขณะที่พวกนางกำลังพูดกัน มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นมองภัยพิบัติที่ก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างมังกร สีหน้าเขาน่าเกลียดและยิ้มอย่างขมขื่น “นี่เป็นปัญหาแล้ว”
แม้ว่ามันยังไม่ซัดลงมา เขาก็รู้สึกถึงความผันผวนที่น่ากลัว
“นี่ไม่ใช่สิ่งที่พัดเทพสายลมและป้ายขวางสมุทรจะสามารถต้านทานได้แล้ว”
มู่เฉินเหลือบอาวุธทั้งสอง คิ้วก็ขมวดเป็นปม เผชิญกับภัยพิบัตินี้เขาคงต้องหันไปใช้วิธีอื่นจะดีกว่า
แต่ตัวเขางัดไพ่ตายออกมาแล้ว จะทำอะไรได้อีก?
ทันใดนั้นความคิดมู่เฉินก็แล่นพล่านก่อนที่จะหันไปมองร่างเทพสุริยะนิรันดร์ ย้อนกลับไปที่ร่างนี้ครอบครองทักษะเทห์สวรรค์คลื่นเก้าตะวัน ดังนั้นแน่นอนว่าเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงก็น่าจะพัฒนาไปพร้อมกันด้วยเช่นกัน เพียงแต่ว่าเขายังไม่ได้นำศักยภาพของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ออกมา
แต่เขาก็ไม่ตำหนิตัวเอง เพราะนับตั้งแต่เขาชำระร่างเทพสุริยะนิรันดร์ได้ เขาก็ไม่ได้มีเวลามากมายที่จะรู้สึกถึงอะไรได้
แต่ไม่ว่ายังไงเขาจะต้องลองแล้ว
คิดถึงจุดนี้มู่เฉินก็หลับตา คลื่นหลิงปล่อยออกมาจากร่างค่อยๆ เชื่อมโยงเขาเข้ากับร่างเทพสุริยะนิรันดร์
เมื่อจักรพรรดิฟ้าเห็นสิ่งนี้คิ้วก็ค่อยๆ ยกขึ้นพลางยิ้ม “ในที่สุดก็คิดถึงร่างเทพสุริยะนิรันดร์แล้วเหรอ”
โฮก!
ขณะนี้ในที่สุดภัยพิบัติหลิงรูปมังกรก็ได้เพิ่มพลังจนถึงขีดสุด มันคำรามลั่น
อึดใจก็กวาดหางพุ่งลงมาในทิศทางของมู่เฉิน
เมื่อภัยพิบัติคลื่นสุดท้ายซัดลงมา ฟ้าดินก็เหมือนจะพังทลายอย่างสิ้นเชิง ทะเลสาบสวรรค์ถูกผลักออกจากคลื่นหลิงที่น่ากลัว ราวกับว่าจะถูกแยกออกเป็นสองฝั่ง
ตู้ม!
ขณะที่กระแสสายฟ้าซัดลงมา มู่เฉินก็ขยับนิ้ว พัดเทพสายลมเคลื่อนไหวทำให้เกิดพายุไซโคลนขนาดมหึมามากมาย
ป้ายขวางก็สร้างมหาสมุทรสีดำที่บรรจุพลังที่สามารถทำลายภูเขาได้
ปัง! ปัง!
พลังของอาวุธมหสวรรค์ทั้งสองถูกผลักไปถึงขีดสุดแล้ว ทว่าเมื่อมหาสมุทรและพายุไซโคลนพุ่งเข้าไปปะทะกับภัยพิบัติหลิง พวกมันก็ถูกทำลายทันที!
ไม่มีการหยุดยั้ง ภัยพิบัติหลิงซัดผ่านแนวป้องกันของอาวุธทั้งสองทันที!
ใบหน้าของจิ่วโยวเปลี่ยนไปกับภาพนี้ ก่อนหน้ามู่เฉินพึ่งพาอาวุธมหสวรรค์ทั้งสองเพื่อต้านทานกระแสสายฟ้าส่วนใหญ่ของภัยพิบัติหลิง แต่เมื่อมาถึงคลื่นที่เก้ากลับไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง!
ตู้ม!
อาวุธทั้งสองชิ้นกระเด็นออกไปด้วยคลื่นที่เก้า เผยให้เห็นร่างเงาของมู่เฉิน
ตู้ม! ตู้ม!
เสียงคำรามของมังกรแผดลั่นโสตประสาท ทว่ามู่เฉินยังคงนิ่งเป็นก้อนหิน ขณะนี้จิตของเขาได้หลอมรวมกับร่างเทพสุริยะนิรันดร์สมบูรณ์แล้ว
เขาต้องหลอมรวมสมบูรณ์ถึงจะค้นหาทักษะที่มีอยู่ในนั้นได้
มังกรเคลื่อนเข้ามาจากด้านบน ทำให้เลือดปรากฏบนผิวหนังมู่เฉินปกคลุมทั่วร่างทันที
ทว่าเขาก็ยังคงไม่ขยับราวกับว่าละทิ้งการต่อต้านทั้งหมด
เมื่อเห็นฉากนี้ จิ่วโยวก็กัดริมฝีปาก เล็บจิกเนื้อในฝ่ามือ
หนึ่งร้อยจั้ง… ห้าสิบจั้ง… สิบจั้ง…
เมื่อมังกรอยู่ห่างจากมู่เฉินเพียงสิบจั้ง จู่ๆ เขาก็ลืมตาโพลง ตอนนี้ม่านตาของเขาถูกย้อมด้วยสีม่วงทอง
เขาวาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ใต้ฝ่าเท้าก็ทำเช่นเดียวกัน
ฟิ้ว!
แสงสีม่วงทองเปล่งประกายระยิบระยับจากร่างเทพสุริยะนิรันดร์ ก่อตัวขึ้นเป็นลวดลายขนาดใหญ่สองลวดลายอย่างรวดเร็ว
ลวดลายทั้งสองเต็มไปด้วยความเก่าแก่ที่ไม่อาจบรรยายได้และลึกซึ้งนัก
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองมังกรก่อนที่เสียงจะดังกึกก้องออกมา “ต่อให้สวรรค์และโลกล่มสลาย ข้าก็เป็นอมตะ”
“รหัสเทพอมตะ!” มู่เฉินยกมือขึ้นกำแน่น ขณะนั้นลวดลายทั้งสองก็พุ่งออกมารวมกันเป็นโล่บาง
ตู้ม!
ทันทีที่โล่ก่อตัวขึ้น มังกรก็พุ่งชนในท่าทางทำลายล้าง
ราวกับดวงอาทิตย์โชติช่วงติดตามมาด้วยคลื่นกระแทกที่ไม่อาจพรรณนาก่อเกิดหายนะรุนแรง
มิติแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หลุมเหวมหึมาปรากฏขึ้นในทะเลสาบสวรรค์เบื้องล่าง
มั่นถัวหลัวโบกมือสร้างปราการที่เบื้องหน้านางกับจิ่วโยวปิดกั้นคลื่นกระแทกรุนแรง
จักรพรรดิฟ้ายืนสองมือไพล่หลัง คลื่นกระแทกใดๆ ที่เข้ามาก็กระจายไปกับสายลม
การทำลายล้างกินเวลาสิบกว่านาทีก่อนที่จะสงบลง
จิ่วโยวจ้องไปในทิศทางของมู่เฉินเขม็ง มือของนางกำแน่น นางอยากรู้ว่ามู่เฉินประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวกับภัยพิบัติหลิงล้างโลกนี้?
บทที่ 1197 บรรลุระดับตี้จื้อจุน
คลื่นกระแทกกินเวลานานก่อนที่จะสลายไป
ขณะที่จิ่วโยวและมั่นถัวหลัวจดจ้องไปที่ต้นกำเนิดของผลกระทบทันที
มิติบิดเบี้ยวค่อยๆ คืนสภาพเดิม ก่อนที่แสงสีม่วงทองจะระเบิดออกกะทันหัน เสาแสงหมื่นจั้งพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
ร่างยักษ์สีม่วงทองยืนตระหง่านอยู่ในใจกลางเสาแสงห่อหุ้มด้วยรัศมีอมตะ ทำให้ดูราวกับว่าไม่มีวันตาย
จิ่วโยวมองร่างยักษ์ซึ่งไม่ได้แตกต่างจากเดิมมากนัก แต่ถ้าสัมผัสละเอียดจะรู้สึกได้ว่ายักษ์ตัวนี้หลอมรวมเข้ากับธรรมชาติ เรียกลมสั่งสายฟ้าพรูออกมาลมหายใจได้เลยทีเดียว
ขณะนี้ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ประหนึ่งเชื่อมโยงกับคลื่นหลิงในฟ้าดิน สามารถรวมเจตจำนงเข้ากับสวรรค์และโลกควบคุมทั่วบริเวณนี้
สำหรับคนที่มีพลังน้อยกว่ามู่เฉิน การเข้ามาที่นี่เหมือนกับการก้าวเข้าสู่โลกของมู่เฉิน การฆ่าพวกเขาก็แค่พึ่งพาเพียงความคิดวูบเดียว
จิ่วโยวมองไปที่ใบหน้าของร่างสีม่วงทอง ก่อนหน้านี้ดูเลือนรางมากแต่เวลานี้ดูคล้ายกับมู่เฉิน มองจากระยะไกลเหมือนมู่เฉินที่ขยายขนาดใหญ่ขึ้น
เป็นเพราะความสัมพันธ์ลึกล้ำยิ่งขึ้นระหว่างมู่เฉินกับร่างเทพสุริยะนิรันดร์หลอมรวมกันอย่างลงตัว จึงสามารถรวมกันเพื่อรับพลังเพิ่มเติม
คล้ายคลึงกับผู้อาวุโสจั่วที่กลืนกินร่างเวทสวรรค์ของตนเอง พลังที่แพร่กระจายตอนนั้นทำให้มู่เฉินที่สั่งการกองทัพสังหารทางวิญญาณยังรู้สึกหวาดกลัว
มู่เฉินนั่งอยู่บนไหล่ของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ แสงสีม่วงทองพรั่งพรูออกมาบนผิวกายของเขา ประกายไฟบนร่างเขาได้ละลายหายไปหมดในเวลานี้
ตรงส่วนที่เหลืออยู่ ความผันผวนสีม่วงทองขนาดใหญ่ก็แผ่กระจายออกไปจากเขาซึ่งบรรจุด้วยคลื่นหลิงที่น่ากลัว
ยามนี้จิ่วโยวรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลที่มาจากมู่เฉิน แม้ว่าเขาจะไม่เคลื่อนไหวใดๆ ก็ตาม นี่เป็นสิ่งที่นางเคยรู้สึกได้จากจอมยุทธ์ระดับตี้จื้อจุนเท่านั้น
ฮึ่ม
ขณะที่จิ่วโยวจ้องมองมา มู่เฉินก็ลืมตาขึ้น แสงสีม่วงอมทองเปล่งออกมาจากดวงตา ทำให้มิติถูกฉีกออกทันที
แสงแวววาวกินเวลาสั้นๆ ก่อนที่จะสลายไป มู่เฉินเงยหน้าขึ้นสัมผัสถึงความรู้สึกแปลกประหลาดในบริเวณนี้ ซึ่งราวกับว่าตราบใดที่เขาต้องการก็จะสามารถควบคุมคลื่นหลิงยิ่งใหญ่ในพื้นที่นี้ได้
เขาเหยียดมือออก คลื่นหลิงก็รวมตัวกันก่อตัวเป็นภูเขาสูงหนึ่งร้อยจั้ง
ภูเขานี้เป็นประกายและดูงดงามราวกับอัญมณี ทว่านี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากพลังงานบริสุทธิ์ในพื้นที่นี้ ซึ่งไม่สามารถทำลายได้
“กลยุทธ์รูปแบบฟ้าดิน”
มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง นี่คือหนึ่งในสัญลักษณ์ของระดับตี้จื้อจุน สามารถควบแน่นคลื่นหลิงรอบตัวให้อยู่ในรูปแบบแตะต้องได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถทำได้ในอดีต
นี่เป็นการแสดงให้เห็นถึงการควบคุมคลื่นหลิงที่เหนือจินตนาการของจอมยุทธ์ระดับตี้จื้อจุน
มู่เฉินก้มศีรษะลง รู้สึกว่าทุกครั้งที่หายใจเข้าก็จะทำการกลั่นคลื่นหลิงมหาศาลไปด้วย
ความเร็วในการดูดซับนี้ทำให้มู่เฉินตกตะลึง ร่างกายของเขาคล้ายกับเหวที่ไม่เคยอิ่มหนำ ไม่ว่าเขาจะดูดซับมากแค่ไหน
เมื่อก่อนมีเพียงจุดจื้อจุนไห่ ตอนนี้ทุกอณูในร่างกายบรรจุด้วยทะเลพลังที่กลืนกินอย่างตะกละตะกลาม
ความรู้สึกถึงพลังแบบนี้มึนเมาเหลือเกิน ตอนนี้ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมต้องเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนเท่านั้นถึงจะสามารถได้รับพิจารณาเป็นผู้ปกครอง
เนื่องจากความแข็งแกร่งนี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าจะสามารถแข่งขันได้
มู่เฉินเหยียดมือออกมากำเบาๆ ภูเขาเบื้องหน้าสลายลง มุมปากของเขาโค้งขึ้น
“ระดับตี้จื้อจุน…ในที่สุดข้าก็บรรลุเป้าหมายแล้ว”
ประสบความสำเร็จกับภัยพิบัติหลิงนี้ ในที่สุดมู่เฉินก็ถือได้ว่าก้าวขึ้นเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนที่แท้จริงแล้ว!
หลังจากมู่เฉินสัมผัสถึงพลังที่ครอบครอง ทันใดนั้นแสงก็รวมตัวกันกึ่งกลางคิ้ว ข้อมูลจำนวนมากถูกปลดปล่อยออกมา
นี่เป็นข้อมูลเกี่ยวกับคัมภีร์ระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานวิชาสามพิสุทธิ์ที่จักรพรรดิฟ้ามอบให้เขา!
ก่อนหน้านี้พลังของมู่เฉินมีจำกัด ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ แต่ด้วยความก้าวหน้าของเขา ชิ้นส่วนที่ปิดตัวก็เปิดออกในที่สุด
ขณะนี้เขาสามารถรู้แจ้งและรับรู้ถึงประสบการณ์ของจักรพรรดิฟ้าได้
“อย่างนี้นี่เอง”
มู่เฉินไขความลึกซึ้งหลายอย่างเกี่ยวกับวิชาสามพิสุทธิ์ ทันใดนั้นเสียงเข้าใจก็ดังสะท้อนในหัวใจของเขา วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดซึ่งก่อนหน้าเขาไม่สามารถเข้าใจได้ เริ่มมีเค้าโครงขึ้นในสมองของเขาแล้ว
แน่นอนว่านี่เป็นเพราะภายในประกอบด้วยความเข้าใจของจักรพรรดิฟ้า มิฉะนั้นแม้ว่ามู่เฉินจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนก็ยังต้องใช้เวลาหลายปีก่อนที่จะเข้าใจถ่องแท้
แต่ด้วยความช่วยเหลือของจักรพรรดิฟ้า ก็ช่วยเขาย่นความพยายามหลายปี สามารถบรรลุผลสำเร็จในก้าวเดียว!
ประกายแสงวูบไหวในดวงตาของมู่เฉิน เขานั่งนิ่งไปครึ่งวันเต็มๆ ก่อนที่จะเบิกตากว้างในช่วงเวลาหนึ่ง
เขายกมือขึ้นช้าๆ จากนั้นก็สร้างตราประทับโบราณ
ฮึ่ม!
เมื่อตราประทับถูกสร้างขึ้น เสียงแปลกประหลาดก็ราวกับดังก้องในมิติแล้วกระจายออกไป
“วิชาสามพิสุทธิ์ แยก!”
“ใบมีดแยก!”
เสียงมีเสน่ห์ดังก้องจากปากมู่เฉิน จากนั้นแสงหลิงสว่างไสวสีขาวก็พวยพุ่งออกจากหัว ม้วนตัวอย่างต่อเนื่องที่เบื้องหน้าเขา ก่อร่างเป็นภาพกระบี่ลวงตา
กระบี่นี้ดูแปลกประหลาด แม้จะมองเห็นได้ แต่ก็ให้ความรู้สึกลวงตา ราวกับว่าเป็นเพียงภาพทับซ้อน
“เขากำลังทำอะไร?” จิ่วโยวอึ้งไปกับภาพนี้
มั่นถัวหลัวครุ่นคิดสั้นๆ “ถ้าข้าเดาได้ถูก เขาน่าจะลองฝึกวิชาสามพิสุทธิ์อยู่น่ะ!”
ขณะที่พูดแม้แต่คนอย่างนางก็ไม่สามารถปกปิดความตกใจในดวงตาได้ ชื่อเสียงของวิชาสามพิสุทธิ์เป็นที่โจษขานเนื่องจากจักรพรรดิฟ้าอาศัยวิชานี้ครอบครองบัลลังก์ในมหาพันภพ
และตอนนี้มู่เฉินกำลังจะประสบความสำเร็จวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดแล้วเรอะ?
กระทั่งนางยังเริ่มที่จะอิจฉาโอกาสของมู่เฉิน
“แยก!”
ขณะที่พวกนางสนทนา มู่เฉินก็ยืนขึ้นมองไปที่กระบี่ลวงตาที่เบื้องหน้า เขาสร้างตราประทับด้วยมือเดียวแผดเสียงคำราม
ฮึ่ม!
ใบมีดเบาบางสั่นไหวก่อนที่จะพุ่งลงมาเฉือนหัวของมู่เฉินในแนวตั้ง
มู่เฉินยืนอยู่โดยไม่มีการเคลื่อนไหว
วาบ!
ใบมีดกรีดผ่านศีรษะเขาไป ทว่าวินาทีต่อมาก็กรีดต่อไปไม่ได้หยุดลง
ใบมีดกรีดทะลุร่างมู่เฉิน
เมื่อใบมีดผ่านไปก็ทำให้เกิดประกายไฟสีแดงเข้มลอยออกมาทางด้านขวามือของมู่เฉิน มันขยับเขยื้อนไม่หยุดพลางเปล่งความผันผวนแปลกประหลาดออกมา
จากการเฉือนนี้มู่เฉินสามารถสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ถูกแยกออก เหมือนเป็นทั้งเลือดเนื้อและวิญญาณ
ทว่าการแยกนี้ไม่ได้ทำให้เกิดอันตรายใดๆ กับเขา
“อีกครั้ง!”
เขาคำรามขึ้น
วาบ!
ใบมีดพุ่งลงมาอีกครั้งผ่านร่างเขาไป เมื่อเคลื่อนออกไปก็นำพาก้อนแสงสีแดงเข้มอีกก้อนแยกออกมา
หลังจากเคลื่อนไหวสองครั้ง ใบมีดลวงตาก็แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย มู่เฉินหันกลับไปมองกลุ่มแสงสีแดงเข้มสองดวง
แสงสีแดงเข้มค่อยๆ ก่อเป็นรูปเป็นร่าง
ร่างสองร่าง หนึ่งในชุดดำและหนึ่งในชุดขาว ทั้งคู่มีม่านตาสีดำและรูปร่างหน้าตาคล้ายกันราวกับแกะ รัศมีทรงพลังแบบเดียวกับมู่เฉินถูกเปล่งออกมา
ทั้งสองเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน!
มู่เฉินมองดูร่างทั้งสองพร้อมรอยยิ้มจากนั้นก็ยกมือขึ้น “ข้าคือมู่เฉิน”
ร่างในชุดสีดำและสีขาวก็ยิ้มเช่นกัน ขณะที่ยกมือขึ้นคำนับ
“ข้าคือมู่เฉิน”
“ข้าคือมู่เฉิน”
บทที่ 1198 การชี้แนะจากจักรพรรดิฟ้า
ทั้งสามจ้องมองกันจากนั้นก็โค้งคำนับ
ช่างเป็นฉากที่แปลกประหลาดนัก แต่เมื่อตกอยู่ในสายตาของจิ่วโยวและมั่นถัวหลัวกลับเป็นภาพที่น่าตกตะลึงยิ่งนัก
เนื่องจากพวกนางสามารถบอกได้ว่าทั้งสามคนนั้นมีรัศมีและพลังเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่สีเสื้อที่ต่างกัน พวกนางคงไม่สามารถแยกร่างหลักของมู่เฉินออกมาได้เลย
“นี่เท่ากับสามจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นเลย” จิ่วโยวพึมพำด้วยความตกตะลึง ด้วยวิชาสามพิสุทธิ์การต่อสู้กับมู่เฉินก็เหมือนกับการปะทะกับมู่เฉินคูณสาม!
ยิ่งกว่านั้นเมื่อทั้งสามรวมพลังกันก็ไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสามคนจะสามารถต่อกรได้ เพราะความสามัคคีของพวกเขาไม่สามารถเทียบเคียงกับพวกมู่เฉินได้ ทั้งสามมีความคิดร่วมกัน ดังนั้นความร่วมมือกันจึงสมบูรณ์แบบ
“วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดทรงพลังสมคำร่ำลือจริงๆ” จิ่วโยวถอนหายใจด้วยความอิจฉา
มู่เฉินก็อึ้งไปเมื่อมองร่างเสมือนของตนเอง นี่ไม่เหมือนร่างรองโดยทั่วไป เพราะร่างรองทั้งสองของเขามีชีวิตอยู่และมีศักยภาพเท่าเทียมกับเขา!
แต่ทั้งสามก็มีการแบ่งลำดับชั้น มู่เฉินเป็นร่างหลัก แม้ว่าร่างรองอาจมีเอกเทศ แต่วัตถุประสงค์ก็คือเพื่อช่วงเหลือและปกป้องร่างหลัก
เนื่องจากร่างรองถูกทำลายได้ แต่ถ้าร่างหลักถูกสังหาร ร่างรองทั้งสองก็จะหายไป
ขณะที่มู่เฉินอึ้งไปกับร่างรองทั้งสอง จักรพรรดิฟ้าก็ปรากฏขึ้นทันที เขาจ้องมองร่างเสมือนมู่เฉินก็ส่ายหัว “แม้ว่าเจ้าจะประสบความสำเร็จในการสร้างร่างรองได้ แต่พวกเขาก็ยังอ่อนแออยู่ ดูท่าเจ้าคงต้องใช้เวลาเลี้ยงดูอีกสักพัก”
มู่เฉินพยักหน้า เหตุผลที่เขาสามารถประสบความสำเร็จได้ก็เนื่องมาจากจักรพรรดิฟ้าทั้งสิ้น แม้ว่าจะทำให้กระบวนการของเขาเร็วขึ้น แต่ร่างรองก็ยังไม่เสถียร
“เจ้าให้ร่างรองทั้งสองอยู่ที่ก้นทะเลสาบสวรรค์เพื่อฝึกฝนและสร้างรากฐานที่มั่นคง” จักรพรรดิฟ้ากล่าวขณะชี้ไปที่ก้นทะเลสาบ
มู่เฉินอึ้งไปเมื่อได้ยิน ทะเลสาบสวรรค์อยู่ในวังสวรรค์บรรพกาลมิหนำซ้ำมิติที่นี่ก็ไม่มั่นคง ดังนั้นถ้าเขาออกไปข้างนอกการจะหาทางกลับเข้ามาจะเป็นเรื่องยากยิ่ง
ราวกับรู้ความคิดของมู่เฉิน จักรพรรดิฟ้ายิ้มพลางส่งกระบี่เกล็ดจักรพรรดิไปให้ “ตราบใดที่เจ้ามีกระบี่เล่มนี้ เจ้าสามารถเข้ามาที่วังสวรรค์บรรพกาลได้ทุกเมื่อและยังสามารถควบคุมมิตินี้ได้”
มู่เฉินตกใจ เขาไม่คิดว่าจักรพรรดิฟ้าจะมอบวังโบราณให้กับเขา แม้ว่าตอนนี้วังสวรรค์บรรพกาลจะไม่มีใครแล้วก็ตาม แต่รากฐานก็ยังคงน่ากลัวอยู่ดี
ไม่ต้องพูดถึงสมบัติอื่น เพียงแค่ทะเลสาบสวรรค์ก็เป็นที่ปรารถนาของผู้คนมากมาย นอกจากนี้…ยังมีสิ่งวิเศษอีกอย่างในวังโบราณ
นั่นก็คือหอคัมภีร์เทพซ่อน!
ซึ่งเป็นรากฐานที่แท้จริงของวังแห่งนี้!
หากขั้วอำนาจใดได้รับวังสวรรค์บรรพกาล ตราบใดที่ไม่ถูกกองกำลังอื่นทำลายล้าง พวกเขาก็จะเติบโตยิ่งใหญ่ขึ้นในอนาคต
วังสวรรค์บรรพกาลมีค่าสูงเพราะสิ่งนี้ ดังนั้นมู่เฉินจึงตกใจกับการกระทำของจักรพรรดิฟ้า ทำให้เขาไม่กล้ารับทันที ขณะเดียวกันก็ไตร่ตรองอยู่ในใจ จักรพรรดิฟ้าทำเช่นนี้เพราะต้องการให้เขาสร้างวังสวรรค์ขึ้นมาใหม่หรือ? หากเป็นเช่นนั้นเขาก็เต็มใจที่จะทำ เนื่องจากโอกาสที่จักรพรรดิฟ้ามอบให้ยิ่งใหญ่เกินไป
บุญคุณเช่นนี้ เขาต้องตอบแทนให้ได้
ทว่าขณะที่มู่เฉินคิดเช่นนี้ จักรพรรดิฟ้าก็ยิ้ม “วังสวรรค์บรรพกาลเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว ภารกิจก็สำเร็จลุล่วงจึงไม่จำเป็นต้องดำเนินต่อ ข้าแค่ไม่อยากเห็นสถานที่นี้ถูกทำลายด้วยกาลเวลาในมิติว่างเปล่า ให้มันได้ทำประโยชน์สักหน่อยยังดีกว่า”
“ทว่าแม้เจ้าจะสามารถควบคุมวังได้ แต่เจ้าต้องพึ่งพาความสามารถของตัวเองในการเข้าสู่หอคัมภีร์เทพซ่อน สหายคนนั้นดื้อรั้นมาก” จักรพรรดิฟ้ายิ้ม
ตอนนั้นเองมั่นถัวหลัวและจิ่วโยวก็พุ่งเข้ามา พวกนางตกใจเมื่อได้ยินคำพูดของจักรพรรดิฟ้า แต่จากนั้นก็พยักหน้า สายตาวูบไหวไม่รู้คิดอะไรอยู่
“รับไปซะ หากเจ้ากตัญญูต่อข้าจงสัญญาว่าจะมีส่วนรวมในการปกป้องมหาพันภพเมื่อจักรวรรดิปีศาจต่างมิติบุกเข้ามา” จักรพรรดิฟ้ายิ้มมองมู่เฉิน
ไม่มีเหตุผลใดที่มู่เฉินจะปฏิเสธ เขารับกระบี่ก่อนที่จะคำนับด้วยมารยาทสูงสุด “ถ้าวันนั้นมาถึงศิษย์มู่เฉินจะขอใช้ชีวิตนี้ปกป้องเอง!”
จักรวรรดิปีศาจต่างมิติเป็นศัตรูของมหาพันภพ ถ้าวันนั้นมาถึงแม้จะไม่มีสัญญาที่ทำให้ไว้กับจักรพรรดิฟ้า มู่เฉินก็จะเข้าสู้สุดชีวิต เพราะหากมหาพันภพถูกยึดครอง พวกเขาก็จะถูกสังหารเช่นกัน
จักรพรรดิฟ้าพยักหน้า “กระบี่เกล็ดจักรพรรดิติดตามข้ามานานหลายปี แต่เนื่องจากกระบวนการนี้พลังจึงหมดลงไปมาก พลังงานที่เหลืออยู่เจ้าสามารถใช้งานได้อีกสองสามครั้งเท่านั้น ดังนั้นขอให้ใช้ในช่วงเวลาวิฤกตที่สุด แต่เมื่อถึงวันที่เจ้าก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนได้ บางทีเจ้าอาจจะสามารถกู้พลังคืนมาได้”
มู่เฉินพยักหน้า
กระบี่เกล็ดจักรพรรดิเป็นอาวุธที่สูงเกินกว่าอาวุธมหสวรรค์ขั้นสูง แม้ว่าจะถูกใช้พลังจนเกือบหมด แต่พลังงานที่เหลืออยู่ก็สามารถเป็นภัยคุกคามจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นได้
“เจ้าเพิ่งก้าวเข้าสู่ขั้นแรกของวิชาสามพิสุทธิ์ ซึ่งวิชานี้มีทั้งหมดสามขั้นได้แก่ สามแยก-สามรวม-สามพิสุทธิ์”
“ตอนนี้เจ้าอยู่ในขั้นสามแยก หากวันที่เจ้าสามารถหลอมรวมร่างรองทั้งสองกลับเข้าไปในร่างหลักได้ เจ้าก็จะเข้าสู่ขั้นสามรวมเป็นการรวมพลังของสามเป็นหนึ่ง… สำหรับขั้นสุดท้ายเป็นสิ่งที่ข้าทำได้เพียงพิเคราะห์ ดังนั้นเจ้าจะต้องพึ่งพาตัวเอง”
มู่เฉินแอบเดาะลิ้น วิชาสามพิสุทธิ์สมกับเป็นวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอด สามารถแยกและรวมกันได้ ความลึกซึ้งนี้เป็นสิ่งเหนือจินตนาการ ไม่รู้ว่าขั้นสามพิสุทธิ์จะทรงพลังเพียงใด
“ฮ่าๆ แม้วิชาสามพิสุทธิ์ลึกซึ้ง แต่เจ้าต้องไม่ลืมว่าร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็มีความพิเศษเช่นกัน เพียงแค่ความเข้าใจของเจ้าในปัจจุบันยังน้อยเกินไป”
จักรพรรดิฟ้ามองร่างสีม่วงทองที่อยู่ด้านหลังมู่เฉินก็ยิ้มพูดว่า “ร่างเทพสุริยะนิรันดร์มีทักษะติดตัวสามกระบวนท่า รหัสเทพอมตะคือกระบวนท่าแรกที่เจ้าเข้าถึงได้แล้ว สามารถใช้คลื่นอมตะเพื่อสร้างลวดลายเทพที่สามารถเปลี่ยนรูปทรงซึ่งเทียบเคียงกับอาวุธมหสวรรค์ได้”
“แต่ตอนนี้เจ้าเพียงเริ่มควบคุมเท่านั้น ดังนั้นเจ้าจึงสามารถปรับแต่งรหัสเทพอมตะได้สองลวดลาย ในอดีตข้าสามารถปรับแต่งรหัสเทพอมตะได้เก้าร้อยเก้าสิบลวดลาย ซึ่งเทียบชั้นได้กับอาวุธมหสวรรค์ขั้นสูงเลยทีเดียว”
เมื่อมู่เฉินได้ยินก็ตกตะลึง ก่อนหน้าแค่การปรับแต่งรหัสเทพอมตะสองลวดลายเขาก็ต้องใช้ความพยายามมากแล้ว ไม่คิดว่าจักรพรรดิฟ้าจะสามารถปรับแต่งได้มากมายขนาดนี้
“กระบวนท่าที่สองเรียกว่าดอกบัวอมตะ ส่วนกระบวนท่าที่สามเรียกว่าแปรเป็นตายอมตะ”
“แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจของเจ้าเองในการค้นหาออกมา เรื่องนี้ข้าไม่สามารถช่วยอะไรเจ้าได้”
“ดอกบัวอมตะ… แปรเป็นตายอมตะ…”
มู่เฉินพึมพำกับตัวเองพลางยิ้ม หากเขาต้องการความช่วยเหลือจากจักรพรรดิฟ้าทุกอย่าง เขาคงเป็นผู้สืบทอดมรดกที่ล้มเหลวแล้ว เขาเชื่อว่าจะต้องมีสักวันที่จะสามารถเข้าใจกระบวนท่าทั้งหลายและปลดปล่อยพลังออกมาได้อย่างสมบูรณ์
ทว่าเมื่อคิดถึงร่างเทพสุริยะนิรันดร์มู่เฉินก็ลังเลครู่หนึ่งก่อนที่จะถาม “ไม่ทราบว่าต้องทำอย่างไรถึงจะวิวัฒนาการร่างสุดท้ายได้หรือขอรับ?”
วิวัฒนาการร่างปลายของร่างเทพสุริยะนิรันดร์เป็นหนึ่งในห้าร่างมหาเทพปฐมกาล—ร่างมหาเทพนิรันดร์!
จักรพรรดิฟ้านิ่งไปชั่วครู่ก่อนที่สายตาจะลึกซึ้งขึ้น เขาคิดเงียบๆ ก่อนที่จะพูดช้าๆ “ถ้ามีวันหนึ่งที่เจ้าไปถึงขีดสุดของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ หากเจ้ายังมีความทะเยอทะยานเพียงพอก็มุ่งหน้าไปยังเผ่าหมัวเฮอ… พวกเขาเป็นผู้พิทักษ์ร่างมหาเทพปฐมกาลเอาไว้”
“แต่ในฐานะที่หนึ่งในเผ่าที่เก่าแก่ที่สุดของมหาพันภพ เทียบเคียงได้กับเผ่าฝูถู ดังนั้นหากเจ้าต้องการได้รับมา เจ้าจะต้องอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนเป็นอย่างน้อย!”
“เผ่าหมัวเฮอ”
หัวใจของมู่เฉินเฉินโลดขึ้น แต่เมื่อได้ยินอีกชื่อ หัวใจเขาก็สั่นสะเทือนด้วยความรู้สึกที่แปลกไป
“เผ่าฝูถู?”
มู่เฉินยื่นมือแตะหน้าอก เขาจำได้ว่าวิชาที่มารดาทิ้งไว้ให้มีชื่อว่าคัมภีร์ต้าฝูถู—วิชามหาเจดีย์!
บทที่ 1199 เผ่าฝูถู
“เผ่าฝูถู”
ชื่อนี้สั่นสะเทือนหัวใจของมู่เฉิน สายตาของเขาเปลี่ยนไป เนื่องจากเขารู้สึกได้ว่าวิชามหาเจดีย์น่าจะเกี่ยวข้องกับเผ่าฝูถู
หากเขาเดาได้ถูกต้องละก็ พวกที่ขังมารดาของเขาไว้ก็น่าจะเป็นเผ่าฝูถู!
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมมารดาที่เป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือที่มีพลังคล้ายกับระดับเทียนจื้อจุนถึงต้องจากไปเพื่อปกป้องเขาและบิดา
แม้เขาจะไม่มีความรู้เกี่ยวกับเผ่าฝูถู แต่เขาก็รู้ว่าหนึ่งในเผ่าโบราณของมหาพันภพน่ากลัวเพียงใด
แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนธรรมดายังต้องระวังเมื่อเผชิญกับอำนาจเช่นนี้
“มิน่าท่านแม่ถึงไม่ต้องการให้ข้าเผยวิชามหาเจดีย์บ่อยครั้งเกินไป นางกลัวว่าข้าจะถูกตรวจพบโดยเผ่าฝูถูนี่เอง ด้วยพลังของพวกเขาจะเป็นภัยคุกคามยิ่งใหญ่สำหรับข้าหากพวกเขาค้นพบ”
มู่เฉินเม้มริมฝีปาก นี่คือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงละวิชามหาเจดีย์เอาไว้ มิหนำซ้ำยังซ่อนไว้ด้วยความกลัวว่าคนอื่นจะจับได้
เขายังมีพลังไม่เพียงพอที่จะช่วยเหลือมารดาและเขาไม่ต้องการที่จะนำปัญหาที่ไม่จำเป็นไปให้มารดาเพราะความประมาท
เมื่อจักรพรรดิฟ้าเห็นสีหน้าของมู่เฉินก็คิดว่าอีกฝ่ายรู้สึกประหม่าเพราะต้องไปที่เผ่าโบราณเพื่อคว้าร่างมหาเทพนิรันดร์ เขายิ้ม “เจ้าไม่ต้องกังวลเกินไป แม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้พิทักษ์ แต่ก็ไม่สามารถควบคุมได้ ร่างมหาเทพปฐมกาลจะเลือกผู้ฝึกด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่แม้แต่เผ่าหมัวเฮอก็ทำอะไรไม่ได้ หากเจ้ามั่นใจเพียงพอก็เดินทางไปที่นั่นได้”
“แน่นอนว่าเจ้าจะต้องมีพลังมากพอก่อน! มิฉะนั้นอย่าไปเยี่ยมเผ่าหมัวเฮอโบราณนั่นเลย” ขณะที่พูดท่าทางของจักรพรรดิฟ้าก็กลายเป็นเคร่งเครียด
มู่เฉินพยักหน้าอย่างเงียบๆ เขาไม่ใช่คนโง่ ร่างมหาเทพนิรันดร์เป็นสิ่งที่แม้แต่เผ่าหมัวเฮอยังมองว่าเป็นสมบัติล้ำค่า แม้จะเป็นผู้พิทักษ์ แต่พวกเขาก็คงปรารถนาครอบครองแน่นอน ดังนั้นถ้าเป็นใครบางคนในเผ่าของพวกเขาได้รับก็ดีไป แต่ถ้ามีคนอื่นต้องการรับก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะได้รับผลกระทบ
ดังนั้นเขาจะต้องแข็งแกร่งเพียงพอที่จะรับมือกับปัญหาเหล่านี้
“ทำไมตอนนั้นอาจารย์ไม่ไปรับร่างมหาเทพนิรันดร์ล่ะขอรับ?” มู่เฉินนึกขึ้นได้ก็ถามออกมา จักรพรรดิฟ้าฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์เช่นกัน ดังนั้นเขาน่าจะมีคุณสมบัติที่จะได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์ด้วย
รากฐานของเผ่าหมัวเฮอทรงพลังก็จริง แต่จักรพรรดิฟ้าและวังสวรรค์บรรพกาลก็ไม่ธรรมดา ดังนั้นถ้าเป็นจักรพรรดิฟ้าก็มีคุณสมบัติที่จะลองรับร่างมหาเทพนิรันดร์
จักรพรรดิฟ้าส่ายหัวด้วยความเสียดาย “ข้าก็คิดเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่ร่างมหาเทพนิรันดร์มีเจ้าของแล้วในยุคข้า ดังนั้นไม่มีอะไรที่ข้าจะสามารถทำได้เกี่ยวกับเรื่องนี้”
“โอ้?”
มู่เฉินสั่นไหว แม้แต่คนอย่างจักรพรรดิฟ้าก็ไม่สามารถรับร่างมหาเทพนิรันดร์ได้รึ? แล้วใครคือเจ้าของคนก่อนที่ขนาดจักรพรรดิฟ้ายังต้องยอมแพ้ให้?
“ฮ่าๆ เขาเป็นจอมยุทธ์ทรงอำนาจ ย้อนกลับไปตอนนั้นเขาเป็นหนึ่งในจุดสุดยอดของมหาพันภพ แม้กระทั่งข้ายังต้องยอมรับกับความด้อยของตัวเอง ไม่งั้นข้าก็อยากจะลองรับร่างมหาเทพนิรันดร์สักครั้ง ถ้าข้าสามารถได้รับมา แม้แต่ไอ้เก้าซากก็ไม่สามารถทำให้อะไรกับข้าได้” จักรพรรดิฟ้ายิ้มด้วยความชื่นชมนับถือฉายบนใบหน้า
คนที่มีคุณสมบัติพอที่จะได้รับความนับถือจากจักรพรรดิฟ้าต้องดำรงอยู่อย่างไม่ธรรมดาแน่นอน มู่เฉินเริ่มชักจะอยากรู้ “ผู้อาวุโสคนนั้นคือใครขอรับ?”
“ในสมัยโบราณเขาเป็นที่รู้จักกันในฉายาเทพจักรพรรดินิรันดร์ เขาได้รับการพิจารณาว่าเป็นหนึ่งในผู้นำของยุคนั้น เขาพึ่งพาพลังของตัวเองเผชิญหน้ากับจอมปีศาจระดับเทียนหลายคนซึ่งจัดอยู่ในสิบอันดับแรกของจักรวรรดิปีศาจ” จักรพรรดิฟ้าอธิบาย
“เทพจักรพรรดินิรันดร์”
มู่เฉินพึมพำชื่อซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายโบราณ เห็นได้ชัดว่าฉายานี้มาจากร่างมหาเทพนิรันดร์ที่เขาครอบครอง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของจอมยุทธ์ผู้นี้
เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ มู่เฉินก็ยิ่งคาดหวังกับร่างมหาเทพนิรันดร์มากยิ่งขึ้น
“หนทางนี้ยังห่างไกล เจ้าควรมุ่งเน้นการฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์ให้ถึงขีดสุดซะก่อน” จักรพรรดิฟ้าสอนสั่งเมื่อเห็นความปรารถนาร้อนแรงในแววตาของมู่เฉิน
มู่เฉินพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง เขาไม่ใช่คนที่กัดมากกว่าจะเคี้ยวได้ แม้ว่าในใจเขาจะคาดหวังกับร่างมหาเทพนิรันดร์ แต่ก็รู้ว่าต้องเดินไปทีละก้าว ตอนนี้ต่อให้ร่างนี้จะถูกวางไว้ตรงหน้า เขาก็ไม่สามารถฝึกฝนได้
หลังจากพูดคุยกันมากมาย มู่เฉินก็เห็นร่างจักรพรรดิฟ้าเริ่มจางหายไปมากขึ้น นี่ทำให้แววตาของมู่เฉินมืดครึ้ม เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิฟ้าถึงขีดจำกัดแล้ว
เศษเสี้ยวสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ในโลกนี้กำลังจะหายไปตลอดกาล
มั่นถัวหลัวที่อยู่ข้างๆ ได้แต่นิ่งเงียบ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
เมื่อเห็นท่าทางของพวกเด็กๆ จักรพรรดิฟ้าก็ยิ้มขณะที่ลูบหัวมั่นถัวหลัวอย่างรักใคร่ “มู่เฉินมีศักยภาพมหาศาล หากเขาต้องการความคุ้มครองจากเจ้าในอนาคต โปรดทำให้ดีที่สุดเพื่อช่วยเขา”
มั่นถัวหลัวพยักหน้าเบาๆ
จักรพรรดิฟ้ามองมู่เฉินนิ่ง “ข้าฟูมฟักดอกแมนดาลาน้อยคล้ายกับบุตรสาวอันเป็นที่รัก ในเมื่อเจ้าเป็นทายาทของข้า นางก็ถือว่าเป็นพี่สาวของเจ้าด้วยเช่นกัน”
มู่เฉินรู้สึกอึกอักไปบ้าง นี่เป็นเรื่องยากที่เขาจะเปิดปากเรียกเมื่อมองไปที่รูปร่างกระจ้อยร่อยของมั่นถัวหลัว แต่เขารู้ว่าที่จักรพรรดิฟ้าทำเช่นนั้นก็เพื่อฝากลูกสาว มู่เฉินผงกศีรษะพลางยิ้ม “ศิษย์พี่หญิง ข้าฝากตัวด้วย”
เมื่อมั่นถัวหลัวที่อยู่ในความโศกเศร้าได้ยินตำแหน่งที่มู่เฉินเรียก นางก็ยิ้มพลางกลอกตาใส่อีกฝ่าย ความเศร้าดูลดลงไประดับหนึ่ง
จักรพรรดิฟ้าพยักหน้าขอบคุณกับภาพนี้ เขารู้ว่ามั่นถัวหลัวมีนิสัยโดดเดี่ยวและยากสำหรับนางที่จะมีสหายสนิท แต่เขาสังเกตเห็นความไว้วางใจระหว่างมู่เฉินกับนาง ยามนี้มู่เฉินยังอ่อนแอ แต่เขาเชื่อว่าชายหนุ่มคนนี้จะเติบโตเป็นยอดยุทธ์ในอนาคตที่สามารถปกป้องมั่นถัวหลัวได้
“มหาพันภพอาจดูสงบสุขในขณะนี้ แต่จักรวรรดิปีศาจต่างมิติกำลังจับตามองพวกเราอยู่เสมอ พวกมันเหล่านั้นลึกลับมาก ไม่มีใครรู้ว่ามาจากไหน จากความรู้สึกข้า แม้การรุกรานครั้งก่อนจะดูยิ่งใหญ่ แต่ก็เหมือนยังซ่อนพลังไว้ ดังนั้นถ้าพวกมันบุกเข้ามาอีกเป็นครั้งที่สองจะยิ่งใหญ่เกินคณนา จากนี้ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าที่จะปกป้องจักรวาลนี้แล้ว” จักรพรรดิฟ้าถอนหายใจ
มู่เฉิน มั่นถัวหลัวและจิ่วโยวพยักหน้าเบาๆ
จักรพรรดิฟ้าไม่ได้พูดอะไรอีก ร่างค่อยๆ จางลง สุดท้ายกลายเป็นจุดแสงมหาศาลกระจายออกร่วงลงในทะเลสาบสวรรค์และหายไปในที่สุด
มองดูการลาจากของจักรพรรดิฟ้า ทั้งสามก็ยังคงนิ่งเงียบเป็นเวลานานบรรยากาศหดหู่อบอวลรอบตัว
ในที่สุดมั่นถัวหลัวก็ควบคุมความเศร้าขณะที่หันมองไปทางมู่เฉิน “ไปกันเถอะ”
มู่เฉินพยักหน้า “เราควรทำยังไงกับวังโบราณนี้ดี?”
วังสวรรค์บรรพกาลเป็นดินแดนที่จักรพรรดิฟ้าสร้างขึ้นมาหลายปี ด้วยสภาพการเพาะบ่มที่อุดมสมบูรณ์ ถ้าสามารถใช้ประโยชน์ได้ก็จะดีต่อขั้วอำนาจมาก
มั่นถัวหลัวครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเอ่ยปาก “เดี๋ยวเราย้ายไปไว้ที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์เถอะ แต่นั่นต้องจัดระเบียบพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือใหม่ซะก่อน”
มู่เฉินพยักหน้าเงียบๆ พันธมิตรภูมิภาคทางเหนือปัจจุบันหละหลวมมาก หากคนเหล่านั้นมีส่วนร่วมในวังโบราณก็ย่อมหลีกเลี่ยงปัญหาไม่ได้ ดังนั้นพวกเขาจะต้องจัดการจัดระเบียบเรื่องนี้อย่างเร่งด่วนก่อน
เมื่อก่อนมั่นถัวหลัวเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ดังนั้นจะมีคลื่นใต้น้ำหากนางต้องการจัดเรียงการกระจายอำนาจใหม่ แต่ตอนนี้พลังของนางเพิ่มขึ้น มิหนำซ้ำมู่เฉินก็บรรลุขุมพลังตี้จื้อจุน ซึ่งเมื่อบวกกับวิชาสามพิสุทธิ์ก็จะได้รับการพิจารณาว่าเป็นจอมยุทธ์อันดับสองในภูมิภาคทางเหนือรองจากมั่นถัวหลัว
ด้วยไพ่ตายเหล่านี้แม้ว่าขั้วอำนาจอื่นๆ ในภูมิภาคทางเหนือต้องการที่จะต่อต้าน ทั้งสองก็สามารถปราบจนราบคาบได้
เมื่อตัดสินใจได้มู่เฉินก็พยักหน้าเบาๆ ให้ร่างรองทั้งสอง พวกเขายิ้มพุ่งลงไปในทะเลสาบสวรรค์เริ่มการเพาะบ่มเสริมกำลังทันที
มู่เฉินยังคงรู้สึกถึงความเชื่อมโยงระหว่างพวกเขา เพียงแค่คิดเขาก็จะสามารถเรียกร่างรองทั้งสองกลับมาได้ในพริบตา ไม่ว่าจะอยู่ห่างไกลกันเท่าไรก็ตาม
หลังจากให้ร่างรองทั้งสองเข้าไปในทะเลสาบสวรรค์เขาก็พยักหน้าให้มั่นถัวหลัว นางสะบัดมือ อุโมงค์มิติปรากฏขึ้นเบื้องหน้าพวกเขา
มู่เฉินพุ่งเข้าไปพร้อมกับจิ่วโยว มั่นถัวหลัวอยู่รั้งท้าย สายตานางมองไปที่ทะเลสาบสวรรค์ หยาดน้ำตาหยดหนึ่งไหลมาจากหางตา ก่อนที่นางจะหันหลังก้าวออกไป
อุโมงค์ค่อยๆ หายไป ความสงบสุขกลับคืนสู่มิตินี้อีกครั้ง มีเพียงเสียงคลื่นที่ดังสะท้อนในมิติ
บทที่ 1200 จัดตั้งขุมกำลังใหม่
เมื่อทุกคนกลับจากวังสวรรค์บรรพกาล
เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็แพร่กระจายไปทั่วทุกหนแห่ง ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วทวีปเทียนหลัว ทั้งเรื่องการฟื้นคืนของจอมปีศาจทุนเทียนหรือการปรากฏตัวของเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม ข่าวทั้งหมดนี้น่าตกใจอย่างยิ่ง
ไม่มีใครคิดว่าวังสวรรค์บรรพกาลจะเกิดหายนะ หากไม่ได้เป็นเพราะเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม ทวีปเทียนหลัวคงเป็นสถานที่แรกที่ต้องทนทุกข์ทรมานเมื่อจอมปีศาจหนีไปได้
หากการดำรงอยู่นั้นที่เทียบได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนต้องการเริ่มต้นการสังหารหมู่ ทวีปเทียนหลัวจะกลายเป็นนรกในทันที
แต่โชคดีที่สิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้น
เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามจัดการปีศาจได้สิ้นซาก ทำให้ทวีปเทียนหลัวรอดพ้นจากภัยพิบัติซึ่งทำให้ชื่อเสียงของพวกเขายิ่งสูงส่งขึ้นไปอีก
แน่นอนว่าขณะที่พวกเขารู้สึกขอบคุณต่อเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม สำหรับตำหนักเทพปีศาจกลับกลายเป็นเป้าหมายโดนรุมทึ้ง สมาชิกของที่นี่ต้องซ่อนตัว ไม่มีใครกล้าพูดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่พวกเขามีต่อสำนักที่เคยยิ่งใหญ่อีกแล้ว
การสมรู้ร่วมคิดกับเผ่าปีศาจต่างมิติเป็นมหันตภัยร้ายที่ทุกคนในมหาพันภพรับไม่ได้ ไม่เพียงแต่ลู่หยวนทรยศ เขายังพยายามที่จะชุบชีวิตจอมปีศาจด้วย
ดังนั้นตำหนักเทพปีศาจถูกลบออกในเวลาไม่กี่วัน ขั้วอำนาจใกล้เคียงทั้งหมดแสดงให้เห็นถึงเขี้ยวเล็บของพวกเขา จากนั้นก็ตัดแบ่งทรัพยากรและดินแดนกันอย่างรวดเร็ว ทำให้สำนักที่อยู่จุดบนสุดเลือนหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์
ดังนั้นตอนที่มู่เฉิน มั่นถัวหลัวและจิ่วโยวออกมาจากวัง ตำหนักเทพปีศาจก็ถูกกลืนกินไปอย่างสมบูรณ์ พวกเขารู้สึกเสียดายอยู่บ้าง เนื่องจากหากพวกเขาสามารถกลืนกินรากฐานทั้งหมดของตำหนักเทพปีศาจได้ก็จะเป็นการเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่สำหรับพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือเลยทีเดียว
ทว่าความคิดนี้ก็คงอยู่ในใจชั่วครู่เท่านั้น เพราะตอนนี้พวกเขาได้รับวังโบราณ ซึ่งเป็นสมบัติแท้จริงที่จะเสริมอำนาจให้กับอาณาเขตกงเวทสวรรค์
เมื่อกลับมาถึง มั่นถัวหลัวก็ไม่ได้ให้มู่เฉินจัดการสิ่งอื่น นางให้เขาไปที่สงบเงียบเพื่อเข้าสมาธิทันที เพราะแม้ว่าครั้งนี้เขาจะบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุน แต่เวลายังน้อยไป ทำให้ไม่สามารถควบคุมพลังตี้จื้อจุนได้อย่างแท้จริง เขาจึงต้องคงพลังให้เสถียรก่อนเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต
มู่เฉินไม่ได้คัดค้านอะไร เนื่องจากเขารู้ว่าต่อให้โอกาสครั้งนี้จะยิ่งใหญ่ แต่ก็ทำให้พัฒนาเร็วไป หากไม่ใช่ว่าเขาสร้างรากฐานที่มั่นคงไว้ในอดีต ความก้าวหน้าของเขาอาจเป็นอันตรายในระยะยาวแทน
ดังนั้นสิ่งแรกต้องทำคือสร้างความมั่นคงให้กับพลังและควบคุมให้สมบูรณ์
ในหนึ่งเดือนต่อมา มู่เฉินจึงใช้เวลาทั้งหมดอยู่ในสมาธิ
ทว่านอกจากฝึกสมาธิมู่เฉินยังได้ยืมพลังกระบี่เกล็ดจักรพรรดิเพื่อเข้าสู่วังสวรรค์บรรพกาลหลายครั้ง ยามนี้เขามีตำแหน่งเทียบเท่ากับเจ้าวัง ดังนั้นค่ายกลที่เหลือจึงไม่เป็นอันตรายกับเขาอีกต่อไป เขาสามารถเดินทางไปมาได้ทุกครั้งที่ต้องการ
ในการเดินทางเข้าวังก็ทำให้เขาได้ค้นพบสมบัติที่ไม่คาดคิดหลายอย่าง
อย่างแรกก็คือเขาพบชิ้นส่วนม้วนคัมภีร์ค่ายกล ซึ่งมีชื่อว่าค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร
มู่เฉินเคยฝึกฝนค่ายกลนี้มาแล้ว ทว่าแต่ก่อนเขาได้รับเพียงส่วนหนึ่งของม้วนคัมภีร์ ซึ่งทำให้เขาพอสร้างค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารได้ แต่พลังยังจำกัดอยู่เพียงมังกรสามตัว ซึ่งเป็นพลังหนึ่งในสามส่วนของทั้งหมดเท่านั้น
อย่างไรก็ตามนี่ก็เพียงพอที่จะเผชิญหน้ากับจอมยุมธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นได้ เนื่องจากค่ายกลนี้อยู่ในจุดสุดยอดของค่ายกลระดับจงซือ ถ้าเป็นค่ายกลฉบับสมบูรณ์กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายก็ยังไม่สามารถหนีหากถูกคุมขัง
ช่างเป็นเรื่องยินดีอย่างคาดไม่ถึง เพราะเขาคาดหวังกับภาพค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารเต็มรูปแบบมานานแล้ว เพียงแต่ว่ายังไม่สามารถหาภาพที่สมบูรณ์ได้ ดังนั้นเขาจึงได้แต่เสียใจ ค่ายกลระดับดังกล่าวไม่ใช่สิ่งที่สามารถพบได้ตามท้องถนน แม้จะได้รับความช่วยเหลือจากมั่นถัวหลัวก็ตาม
แต่สมบัติดังกล่าวกลับถูกค้นพบโดยมู่เฉิน ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงดีใจ ดังนั้นระหว่างสมาธิเขาก็ได้แบ่งเวลาศึกษาภาพด้วยความหวังว่าจะเข้าใจอย่างเต็มที่
แน่นอนว่าด้วยพลังของเขาในตอนนี้ยังต้องฝึกฝนอีกช่วงหนึ่งก่อนจะสร้างแบบสมบูรณ์ได้ แต่อย่างน้อยเมื่อมีภาพเต็มรูปแบบพลังค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารก็มีพลังขึ้นมากกว่าในอดีต
หลังจากชิมรางวัลที่ได้มา มู่เฉินก็ไม่เต็มอิ่ม ดังนั้นเขาจึงสำรวจวังโบราณอย่างถี่ถ้วน ค้นพบกับสิ่งที่คาดไม่ถึงอีก
พูดตรงประเด็นก็คือเขาพบกองทัพชั้นยอด
กองทัพนี้อยู่ภายใต้คำสั่งของจอมพลหนึ่ง กองทัพดับปีศาจที่เหนือยิ่งกว่ากองทัพสังหารวิญญาณ
ว่ากันว่าตอนที่จักรวรรดิปีศาจต่างมิติโจมตีวังสวรรค์บรรพกาลก็ถูกจู่โจมไม่ยั้งจากกองทัพนี้
แน่นอนว่ากองทัพนี้ถูกทำลายจนหมดสิ้น แต่ก็มีนักรบบางส่วนใช้วิธีพิเศษตอนเสียชีวิตทำให้ร่างคนกลายเป็นหุ่นเงา
มู่เฉินพบนักรบเหล่านี้ในมหาสมุทรที่จอมพลหนึ่งอาศัยอยู่ จากนั้นเขาก็นำรูปปั้นสีดำเกือบพันตัวออกมา
โดยทั่วไปจะต้องใช้ป้ายบัญชาการเพื่อควบคุมกองทัพนี้ แต่สิ่งนั้นถูกทำลายไปแล้ว จึงไม่อาจหามาได้
แต่โชคดีที่เขามีบางสิ่งที่ดียิ่งกว่า นั่นก็คือกระบี่เกล็ดจักรพรรดิ
แม้ว่ากองทัพดับปีศาจจะอยู่ภายใต้คำสั่งของจอมพลหนึ่ง แต่จักรพรรดิฟ้าเป็นผู้นำสูงสุด ดังนั้นเมื่อมู่เฉินหยิบกระบี่ออกมา แรงต้านทานของกองทัพดับปีศาจก็หายวับไป ถูกเขาเก็บไปโดยดี
ในการเก็บกวาดครั้งนี้ไม่เพียงแต่เขาจะพบภาพที่สมบูรณ์ของค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร เขายังได้รับกองทัพดับปีศาจซึ่งแข็งแกร่งยิ่งกว่ากองทัพสังหารวิญญาณ ดังนั้นแม้แต่คนอย่างมู่เฉินก็รู้สึกวิงเวียนด้วยความสุข
ทว่าในไม่ช้าเขาก็ตระหนักว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญมากเกินไปที่เขาหาพบ แต่ละอย่างถูกปกปิดไว้ลึกลับ ดังนั้นไม่น่าจะง่ายสำหรับเขาที่จะค้นพบ ราวกับว่ามีบางสิ่งจัดการการค้นพบเหล่านี้
ตอนนี้ไม่มีใครในวังสวรรค์บรรพกาลนอกเหนือจากมู่เฉิน แต่ยังมีผู้มองเหตุการณ์อยู่
นั่นก็คือหอคัมภีร์เทพซ่อน!
หอคัมภีร์เทพซ่อนมีความลึกซึ้งจนน่าเหลือเชื่อ ต่อให้มู่เฉินบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นแล้วก็ไม่สามารถค้นพบร่องรอยของมันได้ เห็นได้ชัดว่ามันมีสติปัญญาสูง บางทีการกระทำนี้อาจแสดงถึงความปรารถนาดีสำหรับเจ้าวังคนใหม่ก็ได้
แต่ไม่ว่าอย่างไรมู่เฉินก็ยังคำนับไปบนท้องฟ้า ถือเป็นการขอบคุณหอคัมภีร์เทพซ่อน
ทว่าขณะที่มู่เฉินมัวเมาอยู่กับความสุข เขาก็ได้รับข่าวหนึ่งจากมั่นถัวหลัว ซึ่งบอกให้เขาออกจากสมาธิมุ่งหน้ามายังเขตต้าหลัวเทียน
เขตต้าหลัวเทียน
ตอนที่มู่เฉินมาถึง เขาก็ตระหนักว่าแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นทั้งห้าของภูมิภาคทางเหนือก็อยู่ที่นี่
ทั้งห้าคนพยักหน้าให้มู่เฉิน ซึ่งถือเป็นการทักทายที่ดีของพวกเขาแล้ว ถ้าเป็นมู่เฉินในอดีตพวกเขาคงไม่แม้แต่ชายตามอง แต่หลังจากออกจากวังสวรรค์บรรพกาล เขาก็บรรลุระดับตี้จื้อจุน ซึ่งกลายเป็นจอมยุทธ์ในระดับกับพวกเขา
ตอนนี้มู่เฉินมีคุณสมบัติในระดับเดียวกัน ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาไม่กล้าแสดงอาการเย่อหยิ่ง
มู่เฉินพยักหน้าตอบก่อนที่จะนั่งลงถัดจากมั่นถัวหลัว ถัดจากเขาเป็นเหล่าจอมพลทั้งสามซึ่งตอนนี้ได้แต่อยู่หลังมู่เฉิน
เมื่อมู่เฉินมาถึงมั่นถัวหลัวก็พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็มองแขกทั้งห้าคน “ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าทุกคนรู้เหตุผลที่ข้าเชิญมาพบ ยามนี้ข้าควบคุมวังสวรรค์บรรพกาลได้แล้วและจะเชื่อมต่อในอนาคตเพื่อเป็นรากฐาน”
ชัดว่าประมุขทั้งห้าได้รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ขณะที่มู่เฉินเข้าสมาธิ ดังนั้นแม้จะยังตกใจเล็กน้อย แต่ท่าทางก็สงบนิ่งอยู่ แน่นอนว่าต้องมีความสุขพลุ่งพล่านภายในใจ เพราะพวกเขารู้ว่าวังโบราณเป็นขุมทรัพย์ที่ยิ่งใหญ่เพียงใด ถ้าสามารถเชื่อมโยงได้ ความเร็วในการฝึกฝนของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นแน่นอน
“แม้ว่าเราจะมีกลุ่มพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือ แต่ระบบก็หละหลวมเกินไป ทุกคนต่างปกครองตัวเอง ดังนั้นข้าคิดจะจัดตั้งขุมกำลังใหม่ หากพวกเจ้าต้องการเข้าร่วมก็ให้ปลดปล่อยกองกำลังของตนเอง รวมสมาชิกเข้าเป็นหนึ่งเดียว” มั่นถัวหลัวมองไปรอบๆ ขณะที่พูดช้าๆ
เมื่อประมุขทั้งห้าได้ยินคำพูดนั่นใบหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปด้วยความลังเล สิ่งที่มั่นถัวหลัวหมายถึงก็คือนางต้องการรวบภูมิภาคทางเหนือทั้งหมด พวกเขาจะไม่เป็นประมุขอีกต่อไป หากพวกเขาเข้าร่วมก็จะมีคนที่ยืนอยู่เหนือพวกเขา
ดังนั้นพวกเขารู้สึกไม่สบายใจ เพราะในอดีตพวกเขาต่างเป็นผู้นำ เมื่อต้องการมีใครอยู่เหนือ พวกเขาก็ไม่ค่อยชินเท่าไร
ถ้าเป็นในอดีตพวกเขาคงจะคัดค้านคำพูดของมั่นถัวหลัวหัวชนฝา แต่นางในตอนนี้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ความแข็งแกร่งเหนือกว่ามาก ยิ่งไปกว่านั้นอาณาเขตกงเวทสวรรค์ยังมีมู่เฉินที่เพิ่งบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นเข้ามาเสริม
พวกเขาต้องยอมรับว่าแม้จะรวมพลังกัน พวกเขาก็จะไม่สามารถเผชิญหน้ากับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ได้
“ถ้าไม่เต็มใจก็ถอนตัวจากภูมิภาคทางเหนือซะ”
มั่นถัวหลัวพูดด้วยน้ำเสียงสงบแต่แฝงความเผด็จการ ทว่าทั้งห้าไม่ได้โกรธต่อคำพูดของนางเลย เพราะพวกเขารู้ว่านางมีคุณสมบัติที่จะพูดคำดังกล่าว
ดังนั้นหลังจากพวกเขาครุ่นคิดสั้นๆ ก็ต่างพยักหน้าตอบรับ “พวกเรายินดีที่จะเข้าร่วม!”
ตอนนี้มั่นถัวหลัวเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม เป็นหนึ่งในยอดยุทธ์ไม่กี่คนในทวีปเทียนหลัว ด้วยการปกป้องของนางพวกเขาจะมีที่พักพิงและสถานะของพวกเขาในทวีปก็จะเพิ่มขึ้นตาม พวกเขาจะไม่ใช่ผู้นำขั้วอำนาจเล็กๆ ในภูมิภาคทางเหนืออีกต่อไป
ยิ่งไปกว่านั้นมั่นถัวหลัวยังครอบครองวังสวรรค์บรรพกาล ดังนั้นอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจินตนาการได้เลย บางทีไม่ไกลจากนี้พวกเขาอาจจะก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจสูงสุดในมหาพันภพก็ได้
ในเวลานั้นพวกเขาก็จะมีฐานะผู้อาวุโส ซึ่งนั่นเป็นสถานะที่ตอนนี้ไม่อาจเทียบได้
ดังนั้นทั้งห้าคนจึงชั่งน้ำหนักแบบรวบรัดและเลือกที่จะเข้าร่วม
มั่นถัวหลัวยังคงสงบราวกับว่าคาดหวังทุกอย่างไว้แล้ว แต่นั่นไม่ใช่เรื่องเดียวที่นางต้องการทำในวันนี้ นางยิ้มบาง “ในเมื่อไม่มีใครคัดค้าน ข้าก็ขอประกาศอีกเรื่อง ขุมกำลังใหม่นี้จะอยู่ภายใต้การควบคุมของมู่เฉิน”
ฉับพลันโถงทั้งหมดก็เงียบกริบ
แม้แต่มู่เฉินก็เบิกตาเมื่อมองไปที่มั่นถัวหลัวอย่างตกตะลึง
นี่เล่นละครฉากไหนกันเนี่ย?
บทที่ 1201 ใครคือประมุข?
โถงใหญ่ตกอยู่ในความเงียบงัน
ใบหน้าประมุขทั้งห้าฉายอาการตื่นตะลึง สิ่งนี้เกินความคาดหมายของพวกเขา เนื่องจากไม่มีใครคาดว่ามู่เฉินจะเป็นผู้นำคนใหม่
พวกเขาไม่คัดค้านถ้ามั่นถัวหลัวเป็นผู้นำ เนื่องจากมั่นใจในพลังของนาง
แต่มู่เฉินมีคุณสมบัติอะไร?
แม้ว่ามู่เฉินจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่พวกเขาทั้งห้าก็ยังรู้สึกเหนือกว่านิดๆ เนื่องจากการความอาวุโสกว่า
สองเดือนก่อนพวกเขามองข้ามมู่เฉินเนื่องจากไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน
แม้ว่าพวกเขาจะระงับความคิดนี้เมื่อมู่เฉินบรรลุขุมพลังใหม่ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะละเลยในทันที ดังนั้นเมื่อพวกเขาเห็นว่ามั่นถัวหลัวต้องการให้มู่เฉินยืนอยู่เหนือพวกเขา ใบหน้าของแต่ละคนก็ดูน่าเกลียดลงหลายส่วน
พวกเขาคงถูกล้อเลียนแน่หากเรื่องนี้กระจายออกไป คนอื่นๆ จะล้อเลียนพวกเขาในฐานะผู้อาวุโสที่กลายเป็นผู้ใต้บัญชาของเด็กวัยกระเตาะ
นี่น่าอายเกินไปแล้ว
ดังนั้นเมื่อสิ้นเสียงมั่นถัวหลัวโถงก็ตกอยู่ในความเงียบ บรรยากาศเริ่มอึดอัด ไม่มีใครกล้าที่จะลบล้างคำพูดของมั่นถัวหลัว แต่เลือกที่จะใช้วิธีนี้ในการคัดค้าน
มู่เฉินก็อึดอัดเช่นกัน เพราะสิ่งนี้ก็ทำให้เขาคาดไม่ถึงเพราะทุกคนรวมถึงเขาด้วยต่างรู้สึกว่ามั่นถัวหลัวเป็นผู้เดียวที่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้นำ
ดังนั้นมู่เฉินได้แต่มองมั่นถัวหลัวอย่างช่วยไม่ได้ หวังว่านางจะเปลี่ยนใจ
ทว่ามั่นถัวหลัวไม่ได้ตอบสนองต่อเขา นางห่อเสียงไว้คลื่นหลิงส่งมายังมู่เฉิน
“เจ้าต้องรับไว้”
คิ้วของมู่เฉินกระตุกก่อนที่จะตอบไปในลักษณะเดียวกัน “ทำไม?”
สายตามั่นถัวหลัวเป็นประกายวาบ “เจ้าคิดจะไปที่ตระกูลลั่วเสินด้วยตัวคนเดียวเหรอ?”
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นอย่างตกตะลึง เขาไม่คิดว่ามั่นถัวหลัวจะรู้เกี่ยวกับความตั้งใจของเขาที่จะมุ่งหน้าไปยังตระกูลลั่วเสิน นอกจากนี้ดูท่านางอาจรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเขากับลั่วหลีเช่นกัน
มู่เฉินเหลือบมองจิ่วโยว อีกฝ่ายก็พยักหน้ายอมรับฝืดเฝื่อนว่าเป็นคนที่เปิดเผยให้มั่วถัวหลัวรู้
เมื่อทราบถึงสาเหตุเขาก็ยิ้มอย่างขมขื่น แต่ในใจก็ซาบซึ้ง ที่แท้มั่นถัวหลัวทำสิ่งนี้เพื่อเขา
“ข้าได้รับข้อมูลเกี่ยวกับดินแดนซีเทียน รวมถึงสถานการณ์ของคนรักเจ้าในตระกูลลั่วเสิน ข้าจะเล่ารายละเอียดให้ฟังภายหลัง แต่ข้าบอกได้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะเปลี่ยนสถานการณ์ด้วยพลังของตัวเองที่มีเพียงอย่างเดียว แม้ว่าเจ้าจะบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนแล้วก็ตาม”
“คนรักของเจ้ากำลังเผชิญกับชะตากรรมที่เจ้าไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง”
หัวใจของมู่เฉินบีบรัด ประกายบาดลึกกะพริบในดวงตาเขาด้วยความปวดร้าว แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีข้อมูลมากนักเกี่ยวกับสถานการณ์ในดินแดนซีเทียน แต่เขาก็เดาได้ว่าตระกูลลั่วเสินจะต้องรับแรงกดดันมหาศาล
นั่นเป็นอะไรที่แม้แต่บุรุษก็ยังต้องเหนื่อยล้า ไม่ต้องพูดถึงลั่วหลีที่เป็นสตรีเลย!
แม้หลายปีที่ผ่านมาตัวเขาจะเผชิญหน้ากับความเป็นตายหลายครั้ง แต่ลั่วหลีก็ไม่ได้มีช่วงเวลาที่ดีในตระกูลลั่วเสิน ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินคำพูดของมั่นถัวหลัว เขาก็อยากจะบินไปหาลั่วหลีทันที สังหารทุกคนที่กล้ารังแกนาง!
ไอสังหารผุดขึ้นในดวงตาของมู่เฉินขณะที่กำหมัดลั่นเปรียะ
มั่นถัวหลัวมองไปที่เขาพูดว่า “ดังนั้นหากเจ้าต้องการที่จะช่วยเหลือคนรัก เจ้าไม่สามารถไปตามลำพังได้ เจ้าต้องการพลังภายใต้คำสั่ง”
มู่เฉินตกอยู่ในความเงียบ ไม่ได้คัดค้านอีก แม้เขาจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนแต่ก็ไม่ได้อยู่ยงคงกระพัน ระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นถือได้ว่าเป็นยอดยุทธ์ แต่ที่ดินแดนซีเทียนมีตระกูลเทพสี่ตระกูลที่มีรากฐานทรงพลัง เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะช่วยลั่วหลีกับประชากรของนางด้วยตัวคนเดียว
แต่ถ้าเขาทำตามที่มั่นถัวหลัวพูด เขาก็จะมีพลังที่สามารถสั่งการได้ พลังที่เกินกว่าตัวเขาเอง ถ้าใครต้องการเข้าใกล้ลั่วหลี พวกเขาก็ต้องชั่งน้ำหนักตัวเลือกให้ดีก่อน
“ตอนนี้เจ้ายังคิดจะปฏิเสธอยู่ไหม?” มั่นถัวหลัวถาม
มู่เฉินเม้มปากเป็นเวลานานก่อนที่จะพูดว่า “แต่… แต่อาณาเขตกงเวทสวรรค์เป็นสิ่งที่เจ้าก่อตั้งขึ้น พันธมิตรภูมิภาคทางเหนือก็เช่นกัน…”
การจัดตั้งขุมกำลังใหม่จะต้องมีการรวมกลุ่มพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือ นอกจากนี้มั่นถัวหลัวก็อยู่ในนี้เช่นกัน ซึ่งตอนแรกทั้งหมดควรเป็นของนาง
แต่นางกลับจะมอบทุกอย่างให้กับมู่เฉิน เขาจะรู้สึกสบายใจที่ได้รับเหรอ?
“เจ้าเป็นผู้สืบทอดของจักรพรรดิฟ้า ถือซะว่าข้าทำสิ่งนี้เพื่อไม่ต้องการให้วังสวรรค์บรรพกาลจบสิ้นลง” มั่นถัวหลัวไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้เลย นางไม่ได้สนใจเป็นผู้นำตั้งแต่ต้น เหตุผลที่นางก่อตั้งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็เพื่อที่จะมีสถานที่ที่ปลอดภัยในการรักษาอาการบาดเจ็บของตนเองและล้างแค้นลู่หยวนเท่านั้น
ตอนนี้ทั้งลู่หยวนและจักรพรรดิฟ้าจากไปหมดแล้ว นางยิ่งไม่สนใจเรื่องนี้อีกต่อไป ถ้าไม่ได้เป็นเพราะจักรพรรดิฟ้าฝากฝังให้นางดูแลมู่เฉิน นางก็คงละทิ้งทุกอย่างไปแล้ว
ดังนั้นขุมกำลังไม่ได้สำคัญสำหรับนางเลย ทั้งหมดอาจมีความสำคัญต่อนางน้อยกว่าการมีอยู่ของมู่เฉินด้วยซ้ำ เพราะเขาเป็นสหายเพียงคนเดียวที่นางไว้ใจในตลอดหลายปีที่ผ่านมา
มู่เฉินรับรู้ถึงอารมณ์ของมั่นถัวหลัว สีหน้าของเขาก็ซับซ้อนขึ้น หากไม่ใช่ลั่วหลี เขาคงค้านหัวชนฝาเช่นกัน แต่คำพูดของมั่นถัวหลัวตรงประเด็นในใจเขาพอดี ทำให้เขาไม่อาจปฏิเสธสิ่งนี้ได้
“ขอบคุณมาก!”
มู่เฉินหลับตาลงอย่างช้าๆ เอ่ยกับมั่นถัวหลัว เขารู้ว่าตัวเองเป็นหนี้บุญคุณมั่นถัวหลัวมากมายจนยากจะตอบแทน แต่เขาก็อยากจะแสดงความขอบคุณนาง
เมื่อนางเห็นว่ามู่เฉินยอมรับในที่สุด รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าของมั่นถัวหลัว จากนั้นก็พูดกับเขาด้วยเสียงติดเหน็บแนม “ในเมื่อเจ้าเห็นด้วยแล้ว เจ้าก็ต้องรับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาที่เหลือเอง”
มู่เฉินอึ้งไป “ปัญหาอะไร?”
มั่นถัวหลัวเท้าคางขณะที่ยิ้มตาหยี “เจ้าคิดว่าคนเหล่านั้นจะยอมรับรึ? หากเจ้าไม่ต้องการให้ขุมกำลังแตกสลายก็จงทำให้พวกเขายอมสวามิภักดิ์ นี่คือสิ่งที่ข้าไม่สามารถช่วยได้และคงสร้างรอยขุ่นเคืองใจถ้าข้าบังคับพวกเขา”
“ดังนั้นเจ้าต้องปราบพวกเขาด้วยตัวเอง”
มู่เฉินลืมตาขึ้นพลางยิ้มแล้วพยักหน้า เขารู้ว่ามั่นถัวหลัวช่วยเขาโดยการดันออกไปสุดพลัง ดังนั้นเขาจะต้องพึ่งพาตัวเองเพื่อข่มขวัญคนเหล่านั้น
ถ้าเป็นสองเดือนก่อนมู่เฉินอาจจะต้องถอย เพราะไม่ว่าเขาจะมีแข็งแกร่งแค่ไหนการเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนแท้จริงไม่ใช่สิ่งที่เขาทำได้
แต่ตอนนี้สถานการณ์แตกต่างไปแล้ว เขาบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นแท้จริง บางทีเขาอาจเป็นน้องใหม่ในขุมพลังนี้ ทว่าถ้าคนพวกนี้คิดว่าพวกเขาปราบปรามเขาได้ก็ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว
ก่อนที่เขาจะบรรลุระดับตี้จื้อจุน เขาก็จัดการผู้อาวุโสจั่วจนหมอบราบคาบแก้วไปแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนนี้เลย!
คิดถึงจุดนี้ มู่เฉินก็ยืดร่างความลังเลจางหายทั้งหมด ความคมชัดกระจายออกจากหว่างคิ้ว รัศมีที่มองไม่เห็นเริ่มห่อหุ้มโถงทั้งหมดไว้
จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นห้าคนแล้วไง? ทุกคนอาวุโสกว่าแล้วไง? เขาเองไม่เหมือนกับในอดีตอีกต่อไป ถ้าแพะแก่เหล่านี้คิดว่าพวกเขาสามารถดูถูกเขาได้ พวกเขาก็ตาบอดแล้ว!
ประมุขทั้งห้าตรวจพบการเปลี่ยนแปลงฉับพลันของมู่เฉิน ทันใดนั้นคิ้วของพวกเขาก็ยกขึ้น แต่ละคนแลกเปลี่ยนสายตากัน ดูจากลักษณะแล้วมู่เฉินมีความทะเยอทะยานที่จะเหยียบหัวพวกเขาเรอะ?
“ชักจะไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำซะแล้ว!”
ทั้งห้าคนเค้นเสียงเย็นเยือกในหัวใจ พวกเขายอมจำนนเมื่อเผชิญหน้ากับมั่นถัวหลัว แต่ไม่ใช่กับมู่เฉิน
กึก!
เสียงถ้วยชากระแทกบนโต๊ะดังลั่น เหล่าจอมพลอาณาเขตกงเวทสวรรค์หันมองไปในทิศทางของต้นเสียงก็เห็นหลิ่วเทียนเต้าวางถ้วยชาลงขณะเผยสีหน้าไม่แยแส
ในบรรดาประมุขทั้งห้า หลิ่วเทียนเต้าประมุขตำหนักสุดนภาเคยมีปมบาดหมางกับมู่เฉินมาก่อน แม้ว่าจะจางลงไปบ้าง แต่เขาก็ไม่สามารถยอมรับให้มู่เฉินยืนค้ำคอเขาได้
ดังนั้นหลิ่วเทียนเต้าจึงมองไปที่มั่นถัวหลัวพูดว่า “ข้าเห็นด้วยกับข้อเสนอของผู้นำพันธมิตร ถ้าเจ้าเป็นผู้นำขุมกำลังใหม่ที่จัดตั้งขึ้นข้าก็จะไม่คัดค้านอะไรเลย แต่ถ้าเจ้าต้องการให้เรายอมรับมู่เฉินเป็นประมุข…”
หลิ่วเทียนเต้าเหลือบตาขึ้นมองมู่เฉิน น้ำเสียงเย็นชาลงหลายส่วน
“พูดแบบไม่เกรงใจ เขายังไม่มีคุณสมบัติ!”
บทที่ 1202 คุณสมบัติในการเป็นประมุข
โถงใหญ่เงียบสนิท
หลังจากหลิ่วเทียนเต้าเปิดปากขึ้น ขณะที่จิ่วโยวและคนอื่นๆ จ้องมองเขาอย่างเกรี้ยวกราด หากไม่ใช่เพราะฐานะของหลิ่วเทียนเต้าละก็ พวกเขาคงจะเริ่มแซะอีกฝ่ายเพื่อปกป้องมู่เฉินแล้ว
ทว่าเปรียบเทียบกับพรรคพวกแล้ว มู่เฉินยังคงมีสีหน้าสงบไม่มีริ้วอารมณ์ใดๆ เลย ตามสิ่งที่เขาคาดหมายไว้หลิ่วเทียนเต้าต้องปฏิเสธแน่ เนื่องจากพวกเขามีเรื่องบาดหมางเมื่อในอดีต แน่นอนว่าสาเหตุที่อีกฝ่ายโกรธเคืองขนาดนี้ อาจเป็นเพราะความไม่สมดุลในใจ
ประมุขอีกสี่คนไม่ได้พูดอะไร แต่พวกเขาน่าจะมีความคิดเช่นเดียวกับหลิ่วเทียนเต้า เพียงแค่พวกเขาอดทนมากกว่า ไม่ต้องการโดดเด่นมากไปเท่านั้น
แต่ไม่ว่าอย่างไรทั้งห้าคนก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินไม่มีคุณสมบัติที่จะยืนเหนือพวกเขา
ดังนั้นถ้ามู่เฉินต้องการนั่งในตำแหน่งนี้ นอกเหนือจากการสนับสนุนของมั่นถัวหลัว เขาจะต้องข่มขวัญจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นทั้งห้าด้วยพลังของตนเองคนเดียวด้วย มิฉะนั้นขั้วอำนาจที่จะก่อตั้งใหม่จะไม่มั่นคงและสั่นคลอน
ดังนั้นเมื่อมั่นถัวหลัวได้ยินคำพูดของหลิ่วเทียนเต้า นางก็นิ่งเงียบ นางต้องการให้มู่เฉินจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
เมื่อประมุขทั้งห้าเห็นท่าทางของนาง พวกเขาก็รู้สึกโล่งใจ
มู่เฉินยิ้มบางเงยหน้าขึ้นมองหลิ่วเทียนเต้าพูดด้วยเสียงนุ่มนวล “ผู้อาวุโสหลิ่วบอกว่าข้าไม่มีคุณสมบัติ งั้นไม่รู้ว่าคุณสมบัติที่ว่าจะได้รับอย่างไร?”
หลิ่วเทียนเต้ากระตุกเปลือกตาขึ้น “หากเจ้าต้องการอยู่เหนือพวกข้าก็แสดงพลังให้ประจักษ์”
“แม้ว่าเจ้าจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นแล้ว แต่ก็ยังตื้นเขินเกินไป ดังนั้นหากเจ้าต้องการก้าวข้ามพวกข้า ต่อให้พวกข้ายอม ผู้ใต้บังคับบัญชาของพวกเราก็จะไม่พอใจและเรียกร้อง ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งได้”
หลิ่วเทียนเต้าเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ เมื่อเอ่ยปากก็ลากกระทั่งผู้ใต้บังคับบัญชาตามมาด้วยเป็นพรวน
มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้มขณะที่มองอีกสี่คน “ผู้อาวุโสทั้งสี่ก็คงมีความคิดเหมือนกันใช่ไหม?”
ทั้งสี่ตอบแบบไม่ยี่หระ “ถึงแม้พี่ชายน้อยมู่จะก้าวเข้ามาอยู่จุดเดียวกัน แต่เจ้ายังขาดประสบการณ์ ดังนั้นยากที่จะโน้มน้าวใจมวลชนได้”
แม้ว่าพวกเขาจะแสดงการคัดค้าน แต่ก็ไม่ต้องการที่จะสร้างความขุ่นเคืองให้กับจอมยุทธ์อัจฉริยะที่อายุน้อยแบบนี้ ในอนาคตมู่เฉินไปไกลกว่าพวกเขาแน่นอน ดังนั้นพวกเขาจึงให้ความสุภาพอยู่บ้างเมื่อพูดกับเขา
มู่เฉินยิ้ม “สุดท้ายคุณสมบัติที่พูดถึง… ก็คือใครกำปั้นใหญ่กว่าสินะ”
คำพูดของมู่เฉินตรงไปตรงมามาก ทั้งห้าคนยิ้มแต่ไม่ได้ลบล้างคำพูดของมู่เฉิน
มือของมู่เฉินลูบโต๊ะขณะยิ้ม ความคมชัดพล่านมารวมกันในนัยน์ตา เขาพูดช้าๆ “งั้นไม่รู้ว่ามีใครคิดจะมาทดสอบกำปั้นดูไหมว่าใครใหญ่กว่ากัน?”
เมื่อมู่เฉินพูด พายุใหญ่ก็โหมกระหน่ำในห้องโถง แรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวเข้าครอบงำไปทั่ว มิติโดยรอบก็บิดเบี้ยวราวกับคลื่นน้ำ
ที่เบื้องหลังมู่เฉินท่าทางของจิ่วโยวและเหล่าจอมพลเปลี่ยนไป พวกเขารู้สึกอึดอัดจากแรงกดดันที่มาจากมู่เฉินจนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
นี่ทำให้พวกเขาถอนหายใจ ความแตกต่างระหว่างระดับจื้อจุนขั้นเก้ากับระดับตี้จื้อจุนกว้างใหญ่จริงๆ
ประมุขทั้งห้าหดตาลง เสื้อผ้าเผยิบผยาบ แสงหลิงส่องประกายรอบตัวขณะที่ต้านทานแรงกดดันที่มาจากมู่เฉิน
“ฮ่าๆ พี่ชายน้อยมู่คมราวกับกระบี่จริงๆ”
หลิ่วเทียนเต้ายิ้ม จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อพลางพูดต่อว่า “งั้นข้าขอเป็นคนทดสอบเจ้าเอง”
เขารู้ว่ามู่เฉินเคี้ยวไม่ง่าย แต่เขาก็มั่นใจเพราะว่าอยู่ในระดับตี้จื้อจุนมานานหลายปี มู่เฉินยังสดใหม่เกินไป ดังนั้นเขาจึงมีความมั่นใจว่าสามารถปราบปรามอีกฝ่ายได้
แน่นอนว่าเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะขัดมู่เฉินมาก พวกเขาเพียงแค่ต้องการลบความเฉียบคมของมู่เฉินลงบ้าง สอนให้รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเผชิญหน้ากับพวกเขาทั้งห้าตามลำพัง
“ไม่รู้ว่าเจ้าจะพิสูจน์ให้เห็นยังไง? ต่อให้ต้องการประลองซึ่งหน้า ข้าก็ยินดีนะ” หลิ่วเทียนเต้ากล่าวเสียงกร้าวราวกับว่าต้องการต่อสู้กับมู่เฉิน หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้เขาจะสามารถระงับความคมของมู่เฉินได้ ในเวลาเดียวกันตำแหน่งของเขาในพันธมิตรก็จะเพิ่มขึ้น
เมื่อเห็นหลิ่วเทียนเต้าแข็งขันขนาดนี้ มู่เฉินก็พลิกนิ้วนุ่มนวลพลางยิ้มอย่างอ่อนโยน “แม้ว่าการประลองจะปฏิบัติได้จริง แต่ก็ไม่เป็นที่น่าเพียงพอ”
ทั้งคู่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น ดังนั้นพวกเขาจะต้องเดิมพันด้วยความเป็นตายหากต้องการจะรู้ผลแพ้ชนะ นั่นเป็นภาพที่มู่เฉินไม่ต้องการเห็น เพราะถ้าเขาได้เป็นประมุขขึ้นมา ก็ไม่ต้องการสูญเสียกำลังพลไป
คนอย่างหลิ่วเทียนเต้าไม่ใช่หัวผักกาดที่พบได้ทุกที่
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน หลิ่วเทียนเต้าก็คิดว่าอีกฝ่ายไม่มั่นใจที่จะต่อสู้ “ข้าว่าตามเจ้า ไม่ว่าเจ้าต้องการต่อสู้ด้วยวิธีใดก็ตาม”
มู่เฉินยิ้มบางก่อนจะยื่นมือออกมาแสงหลิงรวมตัวกันอยู่ภายใน “ในเมื่อผู้อาวุโสหลิ่วมีความมั่นใจมาก งั้นข้าจะสร้างค่ายกล ตราบเท่าที่ท่านสามารถทนอยู่ได้ถึงสองชั่วโมง ข้าจะยอมรับความพ่ายแพ้และจะยอมรับท่านในฐานะหัวหน้า”
โห่
เสียงปั่นป่วนดังขึ้นในโถง ทุกคนมองมู่เฉินด้วยความไม่อยากจะเชื่อ พวกเขารู้ว่ามู่เฉินเชี่ยวชาญด้านค่ายกล แต่เขามีความสามารถในการสร้างค่ายกลระดับจงซือหรือ?
นอกจากนี้ต่อให้เป็นค่ายกลระดับจงซือก็ได้แต่ขังหลิ่วเทียนเต้าไว้เท่านั้น เรื่องที่ทนอยู่สองชั่วโมงช่างน่าตลกเหลือเกิน
นั่นเป็นเพราะหากมู่เฉินต้องการเอาชนะหลิ่วเทียนเต้า เขาก็ต้องสร้างค่ายกลระดับจงซือขั้นกลางที่สร้างปัญหาให้กับจอมยุทธ์ระดับเทียนจื้อจุนขั้นปลายได้!
มู่เฉินโอหังเกินไปหน่อยรึเปล่า?
“ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ”
หลิ่วเทียนเต้าหัวเราะร่วน ไม่คิดว่ามู่เฉินจะโอหังเพียงนี้ ทว่าเขาก็ยินดีกับคำพูดของมู่เฉิน นั่นเป็นเพราะถ้ามู่เฉินแพ้ก็จะเสียโอกาสที่จะขึ้นไปสู่จุดสูงสุด
ความตั้งใจที่มั่นถัวหลัวต้องการส่งเขาเป็นประมุขก็จะจบสิ้น ในทางตรงกันข้ามเขาอาจสามารถใช้สิ่งนี้ในการกลายเป็นผู้นำคนใหม่ เพราะดูท่ามั่นถัวหลัวไม่ได้สนใจตำแหน่งเท่าไร
“ในเมื่อพี่ชายน้อยมู่มั่นใจซะขนาดนี้ งั้นให้ข้าลิ้มรสหน่อยว่าค่ายกลของเจ้ามีความสามารถมากแค่ไหน!” หลิ่วเทียนเต้ายิ้มเยาะขณะที่ไพล่มือไว้ด้านหลัง
มู่เฉินยิ้มบาง ไม่ได้พูดอีก เขาสะบัดแขนเสื้อ ทันใดนั้นสัญลักษณ์หลิงยิ่งก็พวยพุ่งออกไปเป็นผนึกสาย
ผนึกเหล่านั้นรวมเข้ากับอากาศ มิติผันผวน เส้นหลิงจำนวนมากเชื่อมโยงกันเป็นค่ายกลที่ลึกซึ้ง
ในชั่วไม่กี่สิบลมหายใจค่ายกลก็ถูกสร้างขึ้น รวบรวมคลื่นหลิงในบริเวณนี้เอาไว้ทั้งหมด
โฮก!
เสียงคำรามของมังกรดังออกมาจากค่ายกลคลุมเครือพร้อมกับแรงกดดันแปลกประหลาด
เมื่อมองเข้าไปที่ค่ายกลขนาดมหึมาบนท้องฟ้า จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นทั้งห้าก็หดตาลง ขณะที่เกิดความชื่นชมในหัวใจ ค่ายกลนี้อยู่ในระดับจงซือแท้จริงแล้ว
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมมู่เฉินถึงมั่นใจมาก ที่แท้มีพลังเช่นนี้ ช่างผิดคาดจริงๆ
โฮก!
คลื่นหลิงทรงพลังม้วนตัวอยู่ในผนึกเส้นสายค่ายกลยิ่งใหญ่ก่อเป็นมังกรสามตัว ซึ่งปล่อยแรงกดดันมหาศาล
ด้วยพลังในปัจจุบันของเขา ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารทรงพลังยิ่งกว่าในอดีตหลายเท่า
“ค่ายกลนี้ ใช้ได้เลยทีเดียว”
หลิ่วเทียนเต้ามองค่ายกลด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปเผชิญหน้ากับมู่เฉิน “แต่ถ้านี่คือทั้งหมดที่เจ้ามี ข้าสามารถทำลายได้ทุกเมื่อ”
เขาบอกได้ว่าค่ายกลนี้ค่อนข้างลึกซึ้ง แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะคุกคาม
“นอกจากนี้นี่ยังเป็นค่ายกลที่ไม่สมบูรณ์ที่มีช่องโหว่มากมาย หากเจ้าคิดว่าสามารถใช้ค่ายกลไม่สมบูรณ์ในการเอาชนะข้าได้ เจ้าก็ไร้เดียงสาเกินไป” หลิ่วเทียนเต้าเหน็บมู่เฉินอย่างไม่สนใจ
มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม สายตาของหลิ่วเทียนเต้าเฉียบคมจริง เขาสามารถบอกได้ว่าค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารนี้ยังไม่สมบูรณ์
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้”
มู่เฉินยิ้มวาดตราประทับด้วยมือเดียว
“งั้นก็ขอให้ผู้อาวุโสหลิ่วลิ้นรสฉบับเต็มของค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารหน่อยละกัน”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น