หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1185-1192
บทที่ 1185 ราชันปีศาจ? จักรพรรดิฟ้า?
เงียบ!
ทุกคนตกตะลึงไปแม้แต่จอมยุทธ์ชั้นสูงของทวีปเทียนหลัวก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
นั่นไม่ใช่จักรพรรดิฟ้าเหรอ? แต่ทำไมถึงกินเลือดเนื้อคน? นั่นไม่ใช่สิ่งที่จักรพรรดิฟ้าสมควรทำเลย!
“ฮ่าๆๆๆ !”
เมื่อเห็นสายตาหวาดผวานับไม่ถ้วน ลู่หยวนก็อดหัวเราะดังลั่นออกมาไม่ได้ ใบหน้าดูเหี้ยมเกรียมในขณะนี้ซึ่งทำให้คนอื่นรู้สึกหวาดกลัว
“ลู่หยวน แกทำอะไรลงไป?!” มีคนแผดเสียงคำรามลั่น สถานการณ์นี้ชัดว่าจักรพรรดิฟ้ากลืนกินเลือดเข้าไปก็เพราะลู่หยวน
ลู่หยวนเผยรอยยิ้มประหลาดตอบว่า “ข้าทำอะไรลงไปเหรอ? ข้าก็กำลังช่วยพวกแกชุบชีวิต ‘จักรพรรดิฟ้า’ ไง”
“ชุบชีวิตจักรพรรดิฟ้า?” ทุกคนอึ้งไป หรือว่าจักรพรรดิฟ้ายังไม่ตาย?
“นั่นไม่ใช่จักรพรรดิฟ้า!” ขณะที่ทุกคนกำลังงุนงง เสียงคำรามก็ดังขึ้น มั่นถัวหลัวก้าวออกมาพลางจ้องมองจักรพรรดิฟ้าเขม็ง
คนอื่นอาจไม่รู้สึกแต่นางบอกได้ว่านั่นไม่ใช่จักรพรรดิฟ้า แม้จะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันราวกับแกะก็ตาม!
“โอ้? เขาไม่ใช่จักรพรรดิฟ้า แล้วเขาคือใคร?” ลู่หยวนถาม
ใบหน้ามั่นถัวหลัวดูน่ากลัวลงเล็กน้อย นางจ้อมเขม็งไปที่ลู่หยวนพูดย้ำทีละคำ “ลู่หยวน ที่แท้แกก็อยู่ภายใต้การควบคุมของราชันปีศาจ”
“ราชันปีศาจ?!”
คำพูดของนางก่อให้เกิดคลื่นในหัวใจของผู้คน ทุกคนมีสีหน้าเปลี่ยนไป ก่อนที่จะมองลู่หยวนด้วยความหวาดผวา ราชันปีศาจที่รุกรานทวีปเทียนหลัวยังไม่ตายเรอะ?
ลู่หยวนอึ้งไปก่อนที่จะปรบมือพลางคลี่ยิ้ม “ไม่คิดว่าเจ้าจะเดาได้”
เผชิญหน้ากับบางสิ่งที่ตราหน้าเขาว่าเป็นคนทรยศแห่งมหาพันภพ เขากลับยอมรับอย่างง่ายดาย
“ลู่หยวน แกรนหาที่ตายแล้ว!” จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายคนหนึ่งคำรามลั่น
“ลู่หยวน เมื่อไรที่ข่าวนี้แพร่งพรายออกไป แกและตำหนักเทพปีศาจจะกลายเป็นเถ้าถ่านทันที!”
ลู่หยวนยิ้มอ่อนตอบ “งั้นพวกแกก็ต้องส่งข่าวออกไปให้ได้ก่อนน่ะสิ”
สายตาของจอมยุทธ์ทั้งหลายมืดมนลง พวกเขานำวัตถุส่งสัญญาณต่างๆ ออกมาบดขยี้ วัตถุเหล่านี้สามารถส่งข้อมูลผ่านช่องมิติกลับไปสู่สำนักของตนเองได้
ทว่าใบหน้าของพวกเขาก็ต้องเปลี่ยนไปเมื่อขยี้ป้ายส่งสัญญาณ เนื่องจากพวกเขาสัมผัสได้ว่าข้อมูลสลายหายไป ราวกับว่าไม่สามารถเล็ดลอดออกมาจากพื้นที่แห่งนี้ได้
พวกเขาเงยหน้าขึ้นทันควันและก็ต้องตกใจเมื่อเห็นม่านสีดำปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเหนือสุสานจักรพรรดิฟ้า คล้ายกับปราการปิดสนิทบริเวณนี้ทั้งหมด
ปราการดังกล่าวดูบอบบาง แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายก็ไม่สามารถสั่นไหวได้ ช่างชั่วร้ายอย่างยิ่ง มันกำลังกลืนกินคลื่นหลิงในสุสานจักรพรรดิฟ้าอย่างต่อเนื่อง
เผชิญกับสถานการณ์นี้ความโกลาหลก็พล่านไปในหมู่จอมยุทธ์
“รวมพลังช่วยกันฆ่าไอ้คนทรยศ!”
ทว่าจอมยุทธ์ชั้นแนวหน้าเหล่านี้ล้วนไม่ใช่คนธรรมดา ทันทีที่พวกเขาเห็นว่าสถานการณ์เริ่มบานปลาย พวกเขาก็คำรามลั่น ร่างแสงแปดสายทะยานไปใส่ลู่หยวน
พวกเขาบอกได้เลยว่าทุกอย่างเกิดขึ้นจากฝีมือลู่หยวน ดังนั้นหากพวกเขาฆ่าลู่หยวนได้ก็จะสามารถออกจากสถานการณ์นี้ได้
การเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายหนึ่งคนและขั้นต้นเจ็ดคน ต่อให้เป็นลู่หยวนก็ต้องตกอยู่ในอันตราย
ทว่าท่าทางของเขาไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อยกับสถานการณ์นี้ รอยยิ้มเย้ยหยันกลับปรากฏบนใบหน้าเขาแทน
“ระวัง!”
มั่นถัวหลัวรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ นางรีบตะโกนเตือนทันที
ทว่าขณะที่เสียงของนางดังก้อง ร่างแสงทั้งแปดก็เข้าใกล้ลู่หยวนแล้ว ‘จักรพรรดิฟ้า’ ที่กลืนกินจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสามคนเข้าไปก็ปรือตาขึ้น
นิ้วเคลื่อนไหว ทันใดนั้นเส้นแสงสีดำก็เหมือนรวมเข้าในมิติ
ฮึ่ม ฮึ่ม!
ในเวลาเดียวกันมิติก็ฉีกออกเป็นริ้วๆ หมอกสีดำน่ากลัวปะทุออกมา จากนั้นก็กลายเป็นปากแปดปากที่น่ากลัว พุ่งกัดไปทางร่างแสงทั้งแปด
ปากเคลื่อนไหววูบวาบ มองดูราวกับว่าร่างแสงทั้งแปดพุ่งเข้าไปในปากเอง
กร๊อบ!
ปากขยับเคี้ยว เสียงแหลมและเลือดก็สาดกระเซ็นออกมา ก่อนที่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นจะได้ตอบสนองร่างก็กลายเป็นชิ้นเนื้อและเลือด แม้แต่วิญญาณก็ถูกทำลายอย่างสมบูรณ์
มีเฉพาะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายที่มีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเขาก็ระเบิดแขนตัวเองเปลี่ยนให้กลายเป็นเลือดเนื้อพุ่งเข้าไปในปาก ขณะที่ร่างหลักถอยหนีออกมา
กร๊อบ กร๊อบ
จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นเจ็ดคนถูกฆ่าตายทันทีจากฝีมือของ ‘จักรพรรดิฟ้า’ จากนั้นปากก็เปิดออก เลือดเนื้อพุ่งออกมา ก่อนที่จะถูกเขมือบเข้าไป
ขณะที่เขากินเลือดเนื้อทั้งหมดเข้าไปนั้น ร่างกายจักรพรรดิฟ้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงทีละเล็กละน้อย ริ้วพลังชีวิตเริ่มปรากฏบนร่างกาย
เห็นได้ชัดว่าเขากำลังค่อยๆ ฟื้นตัว!
“ทุกคนทำไมต้องพยายามอย่างไร้ประโยชน์ด้วยล่ะ? วันนี้พวกเจ้าจะกลายเป็นอาหาร ผลลัพธ์นี้ถูกกำหนดตั้งแต่ที่พวกเจ้าเดินทางเข้ามาที่นี่แล้ว” ลู่หยวนยิ้มบางเมื่อมองไปยังทุกคนที่ฉายสีหน้าหวาดผวา
ใบหน้าของมั่นถัวหลัวเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด นางมองไปที่ ‘จักรพรรดิฟ้า’ พลางเอ่ยอย่างช้าๆ “มันคือราชันปีศาจนั่นใช่ไหม?”
ลู่หยวนพยักหน้ายิ้ม
“ข้าต้องขอบคุณพวกมันที่นำนายท่านออกจากการผนึกของกระบี่เกล็ดจักรพรรดิ ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่กล้าเข้าไปแตะต้อง เนื่องจากกระบี่จะสามารถสัมผัสพลังงานปีศาจในร่างข้าได้” ลู่หยวนยกมือขึ้น หมอกสีดำปรากฏบนฝ่ามือตามด้วยเสียงคำรามโหยหวน
“ที่แท้แกก็ติดเชื้อจากรัศมีปีศาจแล้วสินะ” มั่นถัวหลัวพยักหน้าพูดต่ออย่างเฉยเมย “มิน่าล่ะแกถึงลอบโจมตีข้า แกคงติดเชื้อตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว”
ลู่หยวนยิ้มตาหยี “ไม่ถือว่าติดเชื้อหรอกมั้ง เพราะข้ายินยอมเอง พลังของนายท่านเกินกว่าจินตนาการของแก แม้แต่จักรพรรดิฟ้ายังต่ำต้อยกว่านายท่าน ไม่เช่นนั้นมันคงไม่ต้องสละทุกอย่างเพื่อผนึกนายท่านหรอก”
“แต่ถ้าผนึกยังคงอยู่ต่อ แม้แต่นายท่านก็จะถูกฆ่าตายจริงๆ ดังนั้นจึงต้องเกิดการเปิดวังสวรรค์บรรพกาลในครั้งนี้”
ดวงตาทุกคู่หดลง การเปิดวังโบราณในครั้งนี้เกิดจากลู่หยวนหรือ? วัตถุประสงค์ก็คือล่อลวงทุกคนให้มาเป็นอาหารของราชันปีศาจเพื่อให้หลุดพ้นจากผนึกและชุบชีวิต?
มั่นถัวหลัวเค้นเสียง “หยุดพูดให้ดูดีเถอะ ที่แกติดเชื้อก็คงเป็นเพราะมีจิตใจไม่ตั้งมั่น ทำให้ราชันปีศาจจับจุดอ่อนในใจได้ การตัดสินใจทั้งหมดในตอนนี้ของแกไม่ใช่ความต้องการของแกอีกต่อไป แต่ถูกควบคุมโดยผู้อื่นเหมือนเป็นหุ่นเชิด”
มุมปากของลู่หยวนกระตุก รอยยิ้มบนใบหน้าหุบลง สายตาจ้องมั่นถัวหลัวอย่างโหดเหี้ยม ริ้วรัศมีปีศาจพล่านในดวงตา
ทว่าเขาก็ไม่ได้เคลื่อนไหว เพียงแค่ยิ้มน่าขนลุกออกมา “แกก็พล่ามไปเถอะ เมื่อไรที่นายท่านฟื้นขึ้นมา ข้าจะให้แกสัมผัสกับความตายที่ดีกว่าอยู่!”
“กลัวว่าแกรอถึงเวลานั้นไม่ได้หรอก!”
มั่นถัวหลัวเย้ยหยัน จากนั้นม่านตาก็เหลือบมองมู่เฉิน ริมฝีปากนางขยับส่งเสียงเข้าไปในโสตประสาทของมู่เฉิน “ข้าจะสกัดมัน เจ้าไปแย่งกระบี่เกล็ดจักรพรรดิมาให้ได้ มีเพียงกระบี่เกล็ดจักรพรรดิที่สามารถหยุดยั้งราชันปีศาจไม่ให้ฟื้นขึ้นมาได้”
มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะกัดฟันพลางพยักหน้า
ฟิ้ว!
ทันใดนั้นมั่นถัวหลัวก็ทะยานออกไป พุ่งไปหาจักรพรรดิฟ้า
“การต่อสู้ที่ไร้จุดหมาย” ลู่หยวนล้อเลียน
ฮึ่ม
มิติสั่นสะเทือน ปากปีศาจฉีกเปิดออกพยายามกัดกินมั่นถัวหลัว ท่าทางเรียบง่ายแต่ช่างโหดร้ายเหลือเกิน เพราะได้เห็นตัวอย่างจากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นทั้งเจ็ดคนไปแล้ว
ทว่ามั่นถัวหลัวแข็งแกร่งกว่าจอมยุทธ์เหล่านั้นหลายขุม นางไม่ได้ตื่นตระหนก ตบฝ่ามือออกไป แสงสีดำพุ่งออกมาก่อตัวเป็นลวดลายดอกแมนดาลาขนาดใหญ่ตรงหน้า พันรอบปากปีศาจขัดขวางไม่ให้เปิด
“มู่เฉิน!”
จังหวะนั้นมั่นถัวหลัวก็คำรามออกมา
วาบ!
มู่เฉินเตรียมพร้อมอยู่แล้ว ร่างเปลี่ยนเป็นลำแสง เป้าหมายของเขาไม่ใช่จักรพรรดิฟ้าหรือลู่หยวน แต่เป็นกระบี่เกล็ดจักรพรรดิ!
เขาเร่งความเร็วจนถึงขีดสุด ปรากฏตัวต่อหน้ากระบี่เกล็จักรพรรดิในพริบตา
เมื่อมองฉากนี้ลู่หยวนก็เยาะเย้ย “มั่นถัวหลัว แกติดตามจักรพรรดิฟ้ามานานกว่าข้า แกลืมไปหรือไงว่ามีเพียงจักรพรรดิฟ้าเท่านั้นที่สามารถใช้กระบี่เกล็ดจักรพรรดิได้?”
พอมู่เฉินได้ยินคำพูดนั่นก็อึ้งไปวูบหนึ่ง แต่เวลานี้ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว เขากัดฟันมือคว้ากระบี่แน่น แม้ว่าจะไม่ได้ผลก็ต้องลองสักตั้ง
มั่นถัวหลัวมองไปที่มู่เฉินก่อนที่จะเหลือบมาหาลู่หยวนด้วยรอยยิ้มแปลกประหลาด “ก็เป็นเพราะข้าติดตามจักรพรรดิฟ้ามานานกว่าแกไง ข้าถึงรู้เงื่อนไขในการดึงกระบี่เกล็ดจักรพรรดิว่าคืออะไร”
เมื่อได้ยินคำพูดของนาง ดวงตาของลู่หยวนก็หดลงหันขวับไปมองมู่เฉิน
เวลานี้มู่เฉินคว้าด้ามกระบี่เกล็ดจักรพรรดิไว้แน่นพลางแผดเสียงคำรามลั่น ทันใดนั้นแสงสีทองมลังเมลืองไม่มีที่สิ้นสุดก็กวาดออกมา ก่อตัวเป็นเงาร่างสีม่วงทองสูงร้อยจั้งพร้อมกับรัศมีอมตะเอิบอาบออกมา
เมื่อภาพเงามหึมาปรากฏขึ้น แขนทั้งสองของมู่เฉินก็ใช้แรงถึงขีดสุด
เคร้ง!
เสียงกระบี่โบราณเปล่งก้องระหว่างสวรรค์และโลก ลำแสงกระบี่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
บทที่ 1186 การฟื้นตัวของราชันปีศาจ
เคร้ง!
เสียงกระบี่ดังก้องระหว่างสวรรค์และโลก ทำให้เกิดคลื่นความผันผวนที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากระจายออกไป
ขณะเดียวกันแสงกระบี่แก้วใสก็กระจายออก ช่างดูอ่อนโยนและเหมือนจะไม่มีความสามารถในการทำลายล้างใดๆ ทว่าเมื่อแสงกระบี่เอิบอาบ จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทุกคนก็สามารถรู้สึกถึงความกลัวที่เพิ่มขึ้นจากส่วนลึกของหัวใจ
พวกเขาไม่สงสัยเลยว่าถ้าตัวเองถูกแสงกระบี่กวาดเข้าใส่ก็จะถูกทำลายทันที
วัตถุชิ้นนี้ทรงพลังอะไรเพียงนี้
“ปะ…เป็นไปได้ยังไง?!”
ภาพนี้ทำเอาลู่หยวนตกตะลึงและอดพึมพำออกมาไม่ได้ ไม่ใช่กระบี่เกล็ดจักรพรรดิเป็นวัตถุที่มีเพียงจักรพรรดิฟ้าเท่านั้นที่สามารถดึงออกมาได้เรอะ? แล้วจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มทำได้อย่างไร?
แววตาของลู่หยวนเปลี่ยนไปเมื่อสังเกตเห็นเงาสีม่วงทองที่อยู่ด้านหลังมู่เฉิน ซึ่งน่าจะเป็นร่างเทห์สวรรค์ที่มู่เฉินฝึกฝน เขารู้สึกถึงรัศมีอันเป็นเอกลักษณ์ที่เปล่งออกมา
นั่นเป็นรัศมีอมตะ
ให้ความรู้สึกว่ากระทั่งมู่เฉินตาย แต่ร่างเทห์สวรรค์ก็ยังคงดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์
“นั่นคือร่างเทพสุริยะนิรันดร์รึ?!” ม่านตาของลู่หยวนแคบลง ในที่สุดก็จดจำร่างเทห์สวรรค์นั่นได้ นั่นเป็นเพราะสิ่งนี้คือความหวังของเขาที่มีต่อจาโหลหลัว แต่น่าเสียดายที่จาโหลหลัวพ่ายแพ้ในมือมู่เฉิน
ส่วนมู่เฉินก็ได้บรรลุเป้าหมายสำเร็จ
“ณ วังสวรรค์บรรพกาล จักรพรรดิฟ้าเคยกล่าวไว้ว่าผู้สืบทอดต้องครอบครองร่างเทพสุริยะนิรันดร์” มั่นถัวหลัวมองสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงรุนแรงของลู่หยวนก็พูดขึ้นอย่างเฉยเมย “นอกเหนือจากการยอมรับจากจักรพรรดิฟ้า เงื่อนไขในการดึงกระบี่เกล็ดจักรพรรดิออกมาอีกหนึ่งประการก็คือการได้รับการยอมรับจากอาวุธ ซึ่งก็คือร่างเทพสุริยะนิรันดร์”
“เนื่องจากไม่มีใครคนไหนในวังสวรรค์บรรพกาลสามารถฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์ได้ สิ่งนี้จึงค่อยๆ ถูกลืมเลือน คนที่เข้าร่วมกลางคันอย่างแกไม่ทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็เป็นปกติ”
พูดถึงจุดนี้ มั่นถัวหลัวก็หัวเราะเยาะ นางยื่นมือออกมาจับบนอากาศ ลวดลายมืดมนก็พันรอบปากชั่วร้ายจนมันไม่สามารถแบ่งพลังออกมาโจมตี
“มู่เฉินลงมือ!”
ขณะเดียวกันเสียงคำรามของนางก็ดังขึ้นในโสตประสาทของมู่เฉิน
เมื่อได้ยินเสียงของมั่นถัวหลัว มู่เฉินก็จับกระบี่เกล็ดจักรพรรดิแน่น เขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานที่น่ากลัวในนั้น ทำให้แม้แต่พัดเทพสายลมก็ราวกับหิ่งห้อยโผบินเบื้องหน้าดวงจันทร์
แน่นอนว่าเขารู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะดึงพลังออกมาทั้งหมดโดยขุมพลังที่มีปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะจุดชนวนในร่างก็ตาม
แต่โชคดี…กระบี่เกล็ดจักรพรรดิก็เหมือนจะสัมผัสได้ถึงการตื่นขึ้นของราชันปีศาจ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องให้มู่เฉินควบคุม กระบี่สั่นสะเทือนแผดเสียงพุ่งสูงเสียดฟ้า
ฮึ่ม!
ลำแสงขนาดหมื่นจั้งนำพามู่เฉินทะยานออกไปด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นก็สัมผัสได้เพียงประกายแสงวูบไหวไปเท่านั้น พวกเขาไม่สามารถมองตามวิถีของมันได้เลย
กระบี่เกล็ดจักรพรรดิปรากฏขึ้นเบื้องหน้าร่าง ‘จักรพรรดิฟ้า’ ในพริบตา จากนั้นก็เสือกแทงเข้าไปในร่าง ตั้งใจจะผนึกอีกครั้ง
ชี่!
ทว่าทันทีที่กระบี่แทงเข้าไป ใบหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนไป เนื่องจากเขาพบว่าคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ ‘จักรพรรดิฟ้า’ แต่เป็นลู่หยวน!
กระบี่แทงเข้าไปที่ในร่างลู่หยวน รัศมีกระบี่น่าสะพรึงพล่านออกมาทำให้ร่างลู่หยวนถูกปกคลุมไปด้วยรอยแตกร้าว
แต่ที่ทำให้มู่เฉินตะลึงใจหวาดผวาก็คือใบหน้าของลู่หยวนที่แต่เดิมควรอยู่อีกทิศทางหนึ่งเต็มไปด้วยความไม่เชื่อและเจ็บปวด
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ทำสิ่งนี้ด้วยความเต็มใจ
ถ้าไม่ใช่เขา หรือว่าจะเป็นราชันปีศาจรึ?!
ม่านตาของมู่เฉินหดลง จากนั้นเขาก็เห็นใบหน้าของมั่นถัวหลัวและคนอื่นๆ เต็มไปด้วยความหวาดผวาในเวลานี้
ท่าทางราวกับว่าพวกเขาเห็นบางสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว
แปะ
ขณะที่ในใจมู่เฉินตีวนไม่หยุด ทันใดนั้นมือสีขาวซีดก็เอื้อมมาจากด้านหลังลู่หยวนแล้ววางลงบนไหล่
“ฮ่าๆ เจ้าทำได้ดีมาก” เสียงอ่อนโยนดังก้องจากด้านหลังลู่หยวน ร่าง ‘จักรพรรดิฟ้า’ ในชุดเขียวอมฟ้าก็ก้าวย่างออกมา!
ในขณะนี้ดวงตาเขาเปิดออกอย่างสมบูรณ์แล้ว รัศมีปีศาจสีดำที่ชั่วร้ายที่สุดในฟ้าดินแผ่ซ่านในดวงตา
ราชันปีศาจฟื้นคืนชีพแล้ว!
ลู่หยวนเอี้ยวคอกลับมามอง ‘จักรพรรดิฟ้า’ ด้วยความยากลำบาก ริมฝีปากขยับราวกับว่ากำลังร้องขอให้ช่วย รัศมีกระบี่ในร่างกำลังจะทำลายเขาออกจากโลกตลอดกาล
“วางใจเถอะ ข้าจะปล่อยให้ทาสที่บริการถึงใจต้องมาตายง่ายๆ แบบนี้ได้อย่างไร” ร่างจักรพรรดิฟ้ายิ้ม ก่อนที่จะตบมือ รัศมีปีศาจไม่มีที่สิ้นสุดพุ่งออกมาจากมือเข้าสู่ร่างลู่หยวน กระจายรัศมีกระบี่ในร่างลู่หยวนจนหมดสิ้น
ทว่าแม้เขาจะช่วยลู่หยวนขับรัศมีกระบี่ออกไป แต่ร่างกายของลู่หยวนก็ถูกปีศาจครอบงำอย่างสมบูรณ์ ทั่วร่างถูกปกคลุมไปด้วยลวดลายปีศาจชั่วร้าย รัศมีปีศาจที่เชี่ยวกรากทำให้ร่างทั้งหมดเปลี่ยนไป นอกจากนี้ลู่หยวนยังสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงในร่างกำลังเปลี่ยนไปเป็นรัศมีปีศาจที่ชั่วร้ายอย่างรวดเร็ว
ยามนี้ตัวเขาเกิดการถูกปฏิเสธจากฟ้าดิน ทำให้เขาไม่สามารถดูดกลืนคลื่นหลิงได้อีกต่อไป
เขาถูกพิจารณาว่าเป็นสิ่งมีชีวิตนอกมหาพันภพแล้ว
เมื่อรับรู้การเปลี่ยนแปลงในร่างกาย แววตาของลู่หยวนก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ก้มหัวคำนับให้อีกฝ่าย “ขอบคุณนายท่ายที่ทำให้ข้าเกิดใหม่!”
มู่เฉินถอนกระบี่ถอยกลับทันทีพร้อมกับใบหน้ามืดมนลง ไม่คิดว่าสุดท้ายราชันปีศาจก็ยังสามารถฟื้นคืนชีพได้ สถานการณ์ปัจจุบันเกินการควบคุมแล้ว
ใบหน้าของมั่นถัวหลัวก็ตึงเกร็ง จอมยุทธ์คนอื่นๆ ถึงกับฉายแววตื่นตระหนกบนใบหน้า คนตรงหน้าคือราชันปีศาจแห่งเผ่าปีศาจต่างมิตินะ!
กระทั่งจักรพรรดิฟ้าที่เป็นหนึ่งในยอดยุทธ์แห่งมหาพันภพในตอนนั้นยังทำได้เพียงผนึกอีกฝ่ายไว้ ตอนนี้เมื่อมันถูกปล่อยออกมา ทุกคนที่นี่ยังไม่พอที่จะแงะขี้ฟันเลย
หลังจากที่เปลี่ยนร่างลู่หยวนให้กลายเป็นร่างปีศาจ ราชันปีศาจก็ยืดเอวพลางยิ้ม “จักรพรรดิฟ้าเป็นจอมยุทธ์พิเศษจริงๆ วิชาสามพิสุทธิ์น่าเกรงขามอย่างแท้จริง หากไม่ใช่โชคช่วย ข้าคงถูกมันฆ่าตายแล้ว”
ขณะพูดสายตาก็เบนไปยังฝูงชนอย่างพอใจ “แต่การเห็นอาหารสดมากมายตั้งแต่ฟื้นคืนชีพนี่มันมีความสุขจริงๆ”
“วิ่งเร็ว!”
จอมยุทธ์แต่ละคนสีหน้าเปลี่ยนไปรุนแรง ก่อนที่จะเร้าคลื่นหลิงเต็มพิกัดเร่งความเร็วจนถึงขีดสุด พยายามที่จะหลบหนีออกจากสุสานจักรพรรดิฟ้า
ทว่าราชันปีศาจก็เพียงยิ้มเยาะเย้ยพลางเปิดปาก รัศมีปีศาจครอบงำกวาดไปยังจอมยุทธ์ที่หลบหนี เปลี่ยนพวกเขาเป็นหมอกเลือดเนื้อ ก่อนที่จะสูบกินเข้าไป
“ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ข้าจะคืนชีพได้ ดังนั้นขอข้ากินให้อิ่มก่อน” ราชันปีศาจหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็เหยียดฝ่ามือออก ทันใดนั้นกระแสรัศมีปีศาจรุนแรงก็พวยพุ่งออกมาราวกับมังกรปีศาจ เริ่มกลืนกินจอมยุทธ์ที่หนีกันจ้าละหวั่น
ช่วงเวลานี้เต็มไปด้วยความโกลาหลโดยสิ้นเชิง
กระทั่งมั่นถัวหลัวยังถูกพัวพันด้วยมังกรปีศาจหลายสิบตัว ต่อให้นางมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็สามารถป้องกันตัวเองได้เท่านั้น
ตู้ม!
มู่เฉินกวัดแกว่งกระบี่เกล็ดจักรพรรดิ แม้ว่าเขาจะไม่สามารถดึงพลังกระบี่ออกมาได้ แต่ก็ยังพึ่งพาเพื่อปกป้องตัวเองได้ ทว่าเขาก็ยังคงดูอยู่ในสภาพน่าสมเพช
ในความโกลาหลวุ่นวาย ราชันปีศาจก็ยิ้มตาหยีพลางโบกมือเป็นครั้งคราว ทุกครั้งที่โบกมือก็จะมีร่างจอมยุทธ์ฉีกขาดและถูกกลืนกิน
หลังจากกินจอมยุทธ์ตี้จื้อจุนขั้นต้นไปหลายคน เขาก็หันไปเห็นเซียวเซียว หลินจิ้งและจิ่วโยว ทันใดนั้นก็ยิ้มออกมา “สาวน้อยให้ข้าชิมหน่อยว่าเลือดเนื้อของเจ้าสดแค่ไหน”
เขายิ้มบางชี้นิ้วออกไป ทันใดนั้นรัศมีปีศาจก็แผ่ออกมาปกคลุมหญิงสาวทั้งสามคนเอาไว้
เผชิญหน้ากับการจู่โจมกะทันหัน หญิงสาวทั้งสามคนก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปรุนแรง พบกับสิ่งมีชีวิตประเภทนี้ พวกนางไม่มีกระทั่งโอกาสในการหลบหนี
วาบ!
แต่ทันใดนั้นร่างของมู่เฉินก็ทะยานเข้ามาพร้อมกับกระบี่เกล็ดจักรพรรดิกำแน่นในมือ บนกระบี่กระจายด้วยแสงสีทอง เขายืนจังก้าเบื้องหน้าหญิงสาวทั้งสามคน
ปัง!
รัศมีปีศาจกวาดเข้ามา เสื้อท่อนบนมู่เฉินกลายเป็นฝุ่นผงทันที มันยังทิ้งรอยลึกไว้บนร่างเขาราวกับใบมีดแหลมคม ถ้าไม่ได้เป็นเพราะแสงกระบี่ละก็ เขาถูกทำลายไม่เหลือหลอแล้ว
แต่กระนั้นร่างของเขาก็ยังสั่นเทิ้มรุนแรง ทำท่าจะล้มลงทุกขณะ ถ้าล้มลงเมื่อไรเขาจะต้องตายแน่นอน
ที่ข้างหลังเมื่อหญิงสาวสามคนเห็นสภาพของมู่เฉินก็สีหน้าเปลี่ยนไปรุนแรง
“มู่เฉิน!”
เสียงของพวกนางเต็มไปด้วยความกังวล
“ไป!”
ดวงตาของมู่เฉินแดงก่ำพลางส่งเสียงคำราม ยามนี้เขาไม่มีพลังงานมากพอ ได้แต่ให้หญิงสาวทั้งสามพยายามหนีไปขณะที่เขายังทนรับรัศมีปีศาจเอาไว้ได้
แม้เขาจะรู้ว่าไร้ประโยชน์ที่ทำ แต่ด้วยนิสัยเขาไม่มีทางมองหญิงทั้งสามต้องจบชีวิตต่อหน้าต่อตา ถึงพวกนางจะต้องตายก็ต้องหลังจากเขาจบชีวิตลงแล้ว
“ฮ่าๆ ช่างเป็นฉากที่น่าประทับใจ… ในเมื่อแกต้องการตายก่อน งั้นข้าสนองความต้องการให้เอง” ราชันปีศาจหัวเราะเบาๆ กับภาพเบื้องหน้าแล้วสะบัดนิ้ว ทันใดนั้นรัศมีปีศาจไร้ขอบเขตก็พวยพุ่งออกมาตั้งใจจะฆ่ามู่เฉินให้สิ้นซาก
เผชิญหน้ากับรัศมีปีศาจนี้แม้แต่มู่เฉินก็เผยความสิ้นหวังบนใบหน้า หากสิ่งมีชีวิตระดับนี้สนใจเขาขึ้นมาเพียงเล็กน้อย เขาก็ต้องตายคาที่ทันที
ตู้ม ตู้ม!
รัศมีปีศาจล้นทะลักออกมา เปลี่ยนวิสัยทัศน์เขาจนมืดดำ
จะจบแบบนี้แล้วเหรอ?
ตู้ม ตู้ม!
ดวงตาของมู่เฉินหลุบลงจากรัศมีปีศาจ แต่ก่อนที่วิสัยทัศน์จะถูกแทนที่ด้วยความมืดตลอดกาล เปลวไฟเหนือล้ำก็ล้นทะลักออกมาจากมิติว่างเปล่า แผดเผารัศมีปีศาจ
ฟิ้ว!
เหมือนจะเป็นอุกกาบาตที่ห่อหุ้มไปด้วยเปลวไฟเจาะผ่านมิติตกลงมาที่เบื้องหน้ามู่เฉิน
เพลิงลุกโชติช่วง ในที่สุดมู่เฉินที่หลุบตาลงก็เห็นวัตถุเบื้องหน้าได้ชัดเจน นี่เป็นไม้บรรทัดสีดำขนาดใหญ่ปักลงบนพื้นดินซึ่งกำลังลุกไหม้ด้วยเปลวไฟ เผาผลาญรัศมีปีศาจทั้งหมดที่อยู่รอบตัวเขา
ในเวลาเดียวกันเสียงหัวเราะอย่างเกียจคร้านก็ดังขึ้น
“เฮ้ แม้ว่าแกจะเป็นราชันปีศาจ แต่ก็มากลั่นแกล้งลูกสาวสุดที่รักของข้าแบบนี้ไม่ดีมั้ง?”
บทที่ 1187 เทพจักรพรรดิอัคคี-เซียวเหยียน!
เสียงหัวเราะเกียจคร้านดังออกมาจากความว่างเปล่า
ขณะที่เปลวเพลิงพวยพุ่งออกมาปกคลุมสุสานจักรพรรดิฟ้า
อุณหภูมิที่น่าสะพรึงกลัวเผาไหม้รัศมีปีศาจที่อยู่ภายในอย่างรวดเร็ว มังกรปีศาจทุกตัวที่แม้แต่จอมยุทธ์ตี้จื้อจุนยังปวดหัวในการจัดการก็ต่างส่งเสียงร้องโหยหวนขณะถูกเผาเป็นเถ้าธุลี
การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันทำให้ทุกคนตกตะลึง ก่อนที่พวกเขาจะเงยหน้าขึ้นมองไปที่ความว่างเปล่าที่ถูกฉีกออกจากกันพร้อมกับเปลวไฟที่พวยพุ่งออกมา ช่างดูงดงามตระการตาและเป็นภัยคุกคามยิ่งนัก
ร่างเงาหนึ่งเยื้องย่างออกมาจากทะเลเพลิงอย่างช้าๆ มิติยังสั่นสะเทือนจากฝีเท้าราวกับว่าไม่อาจทนรับการมาถึงของเขา
เขาเป็นชายร่างสูงโปร่งสวมชุดดำ เผยรอยยิ้มขี้เกียจบนใบหน้า ทั่วร่างถูกปกคลุมไปด้วยเปลวไฟงดงาม ฉายภาพเขาราวกับเทพอัคคีที่ทรงพลังจนไม่อาจบรรยายได้
ก่อนที่เขาจะปรากฏตัวพื้นที่ทั้งหมดกำลังสั่นสะเทือนด้วยรัศมีปีศาจ แต่เมื่อเขาเผยตัวออกมาทุกคนก็รู้สึกได้ว่ารัศมีปีศาจกำลังสลายไปอย่างรวดเร็ว
ทุกคนมองไปที่ชายฉกรรจ์ผู้นั้นด้วยความตกใจ เขาเป็นใครกันถึงสามารถระงับการดำรงอยู่ที่น่ากลัวอย่างราชันปีศาจได้?
ต้องรู้ว่าราชันปีศาจนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน ในเวลานั้นแม้แต่จักรพรรดิฟ้ายังต้องสละชีวิตลง ดังนั้นคนคนนี้จะต้องอยู่ในอันดับต้นๆ แม้แต่ในหมู่ระดับนักรบราชันปีศาจด้วยกัน ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะเพิ่งหลุดออกมาจากผนึก แต่กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนธรรมดาก็ยังต้องหวาดกลัว
ทว่าชายคนนี้สามารถสกัดกระบวนท่าของราชันปีศาจได้ ซึ่งก็หมายความว่าเขาจะต้องเป็นยอดยุทธ์ไม่ธรรมดาในมหาพันภพแน่นอน
“เขาคือ…”
จอมยุทธ์หลายคนมองที่ชายที่มีเปลวเพลิงล้อมรอบตัวด้วยความตกใจ เมื่อความคิดตกตะกอนประกายแสงก็วูบไหว ดวงตาของพวกเขาเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ขะ…เขาคือเทพจักรพรรดิอัคคีแห่งแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว!”
ในที่สุดก็มีบางคนจดจำชายผู้นี้ได้ ต่างอุทานด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเคารพยำเกรง
“เทพจักรพรรดิอัคคี?!”
คลื่นความปั่นป่วนกวนตัวไปทั่ว ทุกคนตะลึง ใครๆ ก็รู้ว่าเทพจักรพรรดิอัคคีเป็นตำนานมีชีวิต หนึ่งในยอดยุทธ์แห่งมหาพันภพ!
นอกจากนี้แคว้นหวู่จิ้งฮั่วที่เขาสถาปนายังขึ้นเป็นขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในมหาพันภพภายในเวลาไม่กี่ร้อยปี ซึ่งไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเผ่าโบราณเลยสักนิด
ในมหาพันภพมีเพียงเทพจักรพรรดิสงครามแห่งแคว้นหวูและจอมยุทธ์อีกไม่กี่คนที่สามารถเทียบเคียงกับเทพจักรพรรดิอัคคีได้!
แม้จอมยุทธ์ที่นี่ล้วนแต่กุมอำนาจในทวีปเทียนหลัว แต่ก็ไม่มีอะไรเลยเมื่อเทียบกับแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว
ด้วยความแข็งแกร่งและรากฐานของแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว ต่อให้เทพจักรพรรดิอัคคีไม่เคลื่อนไหวเองก็สามารถเอาชนะขั้วอำนาจทั้งหมดในทวีปเทียนหลัวได้
จอมยุทธ์ในตำนานเช่นนี้ปกติไม่อาจเจอตัวได้เลย ต่อให้พวกเขาขอเข้าพบก็ไม่มีประตูให้เข้า แต่ตอนนี้เขากลับปรากฏตัวต่อหน้า นี่ไม่ทำให้ผู้คนตะลึงพรึงเพริดได้อย่างไร
มิหนำซ้ำยังปรากฏตัวในช่วงเวลาวิกฤตที่สุดเช่นนี้
ขณะที่ทุกคนตกตะลึง มู่เฉินก็มองไปที่ร่างเงานั้นด้วยความตกใจ เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเทพจักรพรรดิอัคคีในตำนานจะมาที่นี่ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้
“เขาคือเทพจักรพรรดิอัคคีเหรอ?”
มู่เฉินพึมพำกับตัวเองขณะที่มองชายฉกรรจ์ในชุดดำ อีกฝ่ายดูขี้เกียจแต่กลับมีรัศมีที่ทำให้ผู้อื่นเคารพยำเกรง ความกดขี่สุดพรรณนาทำให้มิติยุบตัว ราวกับว่าต่อให้สวรรค์จะถล่ม เขาก็สามารถพลิกสถานการณ์ได้ด้วยตัวคนเดียว
นั่นคือความแข็งแกร่งที่แท้จริง
ยอดยุทธ์แท้จริงควรเป็นแบบเขา!
ที่ด้านหลังมู่เฉิน เมื่อเซียวเซียวเห็นร่างเงานั้น นางก็เบ้ปากอย่างไม่ชอบใจ ทว่าร่างกายซึ่งเกร็งเครียดก็ได้คลายตัวลง
“กรี๊ด นั่นคือท่านพ่อของพี่เซียวเซียว เทพจักรพรรดิอัคคีเหรอ? ว้าว ในที่สุดข้าก็ได้เห็นตัวจริงแล้ว!” หลินจิ้งจ้องมองด้วยดวงตาเบิกกว้าง
เซียวเซียวจือปากอย่างหมั่นไส้ “ใช่สิ พ่อจอมเก๊กที่ชอบโผล่หัวมาในช่วงเวลาสำคัญเสมอ เดี๋ยวกลับไปข้าจะต้องฟ้องซะหน่อยแล้ว!”
“อะแฮ่ม…ลูกสาวที่รัก เจ้าชักไม่มีเหตุผลแล้ว ข้าไม่ได้ตั้งใจมาสายนะ มันต้องใช้เวลาเพื่อหาตำแหน่งมิตินี้!” จู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้น มิติเบื้องหน้าหญิงสาวสามคนบิดเบือนก่อนที่เทพจักรพรรดิอัคคีจะปรากฏตัว ทว่าตอนนี้เขายักไหล่ไม่สนใจศักดิ์ศรีแห่งการเป็นยอดยุทธ์เอาเสียเลย
เซียวเซียวส่งเสียงขึ้นจมูกเมินหน้าหนี
เทพจักรพรรดิอัคคีลูบหัวนาง ก่อนจะทักทายจิ่วโยวและหลินจิ้ง ท่าทางอ่อนโยนนั้นทำให้เอาหญิงสาวสองคนอึ้งไปเลยทีเดียว
“ข้าจัดการเรื่องนี้ก่อน ครั้งนี้พวกเจ้าเล่นเอาซะใหญ่เลย”
เทพจักรพรรดิอัคคียิ้มก่อนที่จะหันเดินไปหามู่เฉิน เขามองพลางตบไหล่มู่เฉินด้วยรอยยิ้ม “เจ้าทำดีมาก เจ้าหนูสมกับเป็นลูกผู้ชาย”
มู่เฉินไม่คิดว่าจอมยุทธ์ทรงอิทธิพลเช่นนี้จะพูดกับเขาโดยไม่ถือตัว ทำเอาเขาทำตัวไม่ถูกจนต้องเกาหัวแกรกกราก “ไม่ว่าอย่างไรจะให้ตายหลังผู้หญิงก็ไม่ได้หรอกขอรับ”
เมื่อเทพจักรพรรดิอัคคีได้ยินคำพูดของมู่เฉิน เขาก็จ้องมองอีกฝ่ายด้วยความชื่นชมพลางพยักหน้า “แต่ข้าต้องขอขอบคุณสำหรับช่วยเหลือเซียวเซียว ข้าจะจดจำบุญคุณนี้ไว้”
ก่อนที่มู่เฉินจะทันได้ตอบ เขาก็ยิ้มพูดว่า “เอาล่ะ จากนี้ให้ข้ารับมือกับสถานการณ์นี้เอง”
มู่เฉินพยักหน้าถอยฉากหลบไปทันที การเผชิญหน้าในระดับนี้ไม่ใช่เรื่องที่เขาสามารถมีส่วนร่วมได้ด้วยขุมพลังในปัจจุบัน
ขณะที่มู่เฉินถอย เทพจักรพรรดิอัคคีก็ก้าวออกมา แรงกดดันที่มองเห็นได้ปกคลุมไปทั่วภูมิภาคนี้
การมาถึงของเทพจักรพรรดิอัคี ทำให้สีหน้าเย้ยหยันของนักรบราชันปีศาจจางหายไปอย่างสิ้นเชิงแทนที่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ชัดว่าเขารู้สึกได้ถึงอันตรายที่เล็ดลอดออกมาจากอีกฝ่ายซึ่งน่าตกตะลึงนัก ชายคนนี้ให้ความรู้สึกคุกคามยิ่งกว่าจักรพรรดิฟ้าเสียอีก
เขารู้สึกไม่เชื่อในหัวใจ ไม่คิดว่าปัจจุบันจะมีจอมยุทธ์เช่นนี้ในมหาพันภพและนี่ไม่ใช่ข่าวดีสำหรับจักรวรรดิปีศาจต่างมิติเลย
“ไม่คิดเลยว่ามหาพันภพในตอนนั้นที่ต้องสูญเสียยอดยุทธ์ส่วนใหญ่ถึงจะอยู่รอดได้ ตอนนี้กลับมีคนอย่างเจ้าปรากฏ ช่างน่าเสียดายจริงๆ” ราชันปีศาจเอ่ยขึ้น ถ้าคนที่มาวันนี้เป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนธรรมดา เขาก็มั่นใจว่าจะหนีรอดไปได้ แต่ตอนนี้เขาไม่มีความมั่นใจเนื่องจากไม่ได้อยู่ในจุดสูงสุดของสภาพพร้อมรบ
เทพจักรพรรดิอัคคียิ้ม “ไม่รู้ว่าในหมู่นักรบราชันปีศาจเทียน-เฉวียน-โยวแกอยู่ระดับไหน”
นี่คือการจำแนกระดับของราชันในเผ่าปีศาจซึ่งคนธรรมดาในมหาพันภพไม่รู้
“ไม่คิดว่าแกจะรู้ข้อมูลเผ่าปีศาจต่างมิติมากพอสมควร” ราชันปีศาจแปลกใจไปเช่นกัน
เทพจักรพรรดิอัคคีสะบัดนิ้วทั้งสิบ เปลวไฟวูบไหวที่ปลายนิ้ว “ปีที่ผ่านๆ มานักรบราชันปีศาจไม่น้อยกว่าสิบคนที่ตายด้วยน้ำมือข้า แล้วข้าจะไม่รู้ได้ยังไง?”
คำพูดนี่ทำให้ทุกคนตกตะลึงพลางมองเขาด้วยความเคารพ ต้องรู้ว่านักรบราชันปีศาจทุกคนมีพลังเทียบเท่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน มิหนำซ้ำยังมีไม่น้อยกว่าสิบคนที่ตายด้วยน้ำมือของเทพจักรพรรดิอัคคี? ความสำเร็จนี้น่ากลัวแค่ไหนกัน
ราชันปีศาจหดม่านตาลง ขณะนี้เขารู้ว่าชายเบื้องหน้าเป็นศัตรูตัวฉกาจของเผ่าปีศาจต่างมิติ อันตรายยิ่งกว่าจักรพรรดิฟ้า
เขาหายใจเข้าลึกๆ ดวงตาเปลี่ยนเป็นดำมืด “ข้าคือจอมปีศาจทุนเทียน”
สายตาเทพจักรพรรดิอัคคีวูบไหว จากนั้นก็ถอนหายใจ “อา ที่แท้ก็เป็นนักรบราชันปีศาจระดับเทียนสินะ มิน่าล่ะถึงสามารถสู้กับจักรพรรดิฟ้าได้”
แม้แต่ในหมู่นักรบราชันปีศาจ ระดับเทียนก็ถือเป็นสุดยอด
“แกล่ะเป็นใคร?” จอมปีศาจทุนเทียนพูดด้วยเสียงดุดันพร้อมกับรัศมีปีศาจเชี่ยวกรากพลุ่งพล่านฉีกขาดมิติ พลังอันน่ากลัวแผ่ขยายออกไป
เทพจักรพรรดิอัคคียกมือขึ้น เปลวไฟงดงามควบแน่นเป็นรูปดอกบัวในมือ
เขาส่งยิ้มให้จอมปีศาจทุนเทียน ก่อนที่เสียงเรียบเฉยจะดังก้องไปทั่วฟ้าดิน
“เทพจักรพรรดิอัคคี—เซียวเหยียน”
บทที่ 1188 ดอกบัวเพลิงพุทธะ
“เทพจักรพรรดิอัคคี—เซียวเหยียน”
เมื่อคำพูดนี้ดังขึ้นในสุสานจักรพรรดิฟ้า ทุกคนก็รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ขณะที่มหาสมุทรเปลวเพลิงเริงระบำขานรับคำเจ้านาย
ทุกคนเกิดความรู้สึกที่แปลกประหลาดว่าพวกเขาจะถูกเผาเหลือเพียงเถ้าถ่าน หากคิดมุ่งร้ายต่อเทพจักรพรรดิอัคคีผู้นี้
จอมปีศาจทุนเทียนมองไปที่ฉากนี้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาจดจ้องเซียวเหยียนที่กำลังเยื้องย่างบนมหาสมุทรเพลิงด้วยความกลัวและตั้งระวังในสายตา
ยามนี้เขาชักจะรู้สึกเสียใจ ถ้าเขาหลบออกไปในช่วงเวลาที่หลุดพ้นก็สามารถซ่อนตัวจากการรับรู้ของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนในมหาพันโลกได้และย่องกลับไปที่เผ่าปีศาจต่างมิติได้
แต่ตอนนี้ความปั่นป่วนที่เขาสร้างดึงดูดศัตรูที่น่าเกรงขามเข้ามา ซึ่งทำให้สถานการณ์ของเขาไม่เอื้ออำนวย
บางทีเขาอาจจะสามารถต่อสู้ได้ถ้ามีพลังเต็มหน่วย แต่ตอนนี้เห็นอยู่ว่ายังขาดอีกมาก
แต่เขาก็ไม่ใช่นักรบธรรมดาทั่วไปจึงสงบจิตใจได้อย่างรวดเร็ว ในเมื่อเขาสามารถชิงไหวชิงพริบกับจักรพรรดิฟ้าได้ก็พิสูจน์ให้เห็นถึงความเหนือล้ำของตนเองแล้ว
ดังนั้นแม้จะเผชิญกับเทพจักรพรรดิอัคคี เขาก็ไม่ได้ตื่นตระหนก
“ขอข้าลิ้มลองหน่อยว่าจอมยุทธ์ขุมพลังทียนจื้อจุนของมหาพันภพในปัจจุบันดีขึ้นหรือถอยลง?!”
จอมปีศาจทุนเทียนก้าวออกไป คลื่นสีดำก็พวยพุ่งออกจากใต้ฝ่าเท้า
“ฟ้าดินวิบัติ!”
เขาคำราม พื้นดินก็แปรเปลี่ยนเป็นสีดำอย่างรวดเร็วพร้อมกับรัศมีปีศาจลุกฮือ ในเวลาไม่กี่อึดใจพื้นดินที่อยู่ในรัศมีหลายแสนลี้ก็กลายเป็นพื้นดินปีศาจ
ทุกคนสามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงในวงรัศมีที่ไม่บริสุทธิ์ หากพวกเขาซึมซับเข้าไปในร่างกายละก็ คลื่นหลิงก็จะถูกกัดกร่อนจนค่อยๆ กลายเป็นร่างปีศาจ
หากไม่ใช่เพราะมีเทพจักรพรรดิอัคคีอยู่ที่นี้ ทุกคนก็จะถูกรัศมีปีศาจซึมซับเข้าร่างจนกลายเป็นร่างปีศาจและไม่มีทางจะหนี
เซียวเหยียนยิ้มกับภาพนี้ ก่อนที่จะเหยียดนิ้วเคาะลงไป
ฟู่ ฟู่!
เมื่อเขาแตะลงมหาสมุทรเพลิงก็ลุกโชติช่วงด้วยเปลวไฟงดงาม พวกมู่เฉินไม่เคยเห็นเปลวไฟเช่นนี้มาก่อน ทว่ากลับรู้สึกได้ว่าสิ่งนี้น่ากลัวขนาดไหน
ต่อให้เป็นจอมยุท์ขุมพลังเทียนจื้อจุนระดับเดียวกันก็ไม่กล้าสัมผัสเปลวไฟงดงามนั้น
ชี่ ชี่!
เปลวไฟงดงามกวาดออก แผดเผาพื้นดินสีดำได้ยินเสียงกรีดร้อง พื้นดินไหม้เกรียมทันที
ในเวลาเพียงสิบกว่าลมหายใจพื้นดินที่ถูกทำลายโดยจอมปีศาจทุนเทียนส่วนใหญ่ก็เผาผลาญโดยฝีมือของเซียวเหยียน
เมื่อจอมปีศาจทุนเทียนมองเห็นฉากนี้เปลือกตาก็กระตุกไม่หยุด เขาเคยต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนหลายครั้งในอดีตที่ควบคุมเปลวเพลิงได้ ทว่าทุกคนก็ด้อยกว่าเทพจักรพรรดิอัคคีที่ยืนอยู่เบื้องหน้านี้
แม้พื้นดินปีศาจจะถูกทำลายไปเกินครึ่ง แต่ถึงกระนั้นจอมปีศาจทุนเทียนก็ไม่ได้ตื่นตระหนก เขาหายใจเข้าลึกๆ กระทืบเท้าอีกครั้ง
“คัมภีร์ปีศาจ หัตถ์เขมือบสวรรค์!”
ตู้ม!
พื้นดินรัศมีแสนลี้ที่ปนเปื้อนสั่นเทิ้มแตกสลาย รัศมีปีศาจนับหมื่นจั้งพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อนที่มือใหญ่โตจะยื่นออกมาจากส่วนลึกพื้นดิน
มือเป็นสีดำสนิทเอิบอาบด้วยความชั่วร้ายไม่รู้จบปกคลุมไปทั่วขอบฟ้า ซึ่งใหญ่โตมโหฬาร กระทั่งแคว้นทั้งแคว้นก็ถูกทำลายได้ภายใต้ฝ่ามือนี้
แม้แต่ร่างเทห์สวรรค์ที่สูงหลายหมื่นจั้งก็มีขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับมือนี้ ดังนั้นขนาดจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนยังมีท่าทางเปลี่ยนแปลงรุนแรงเมื่อเห็นมือห่อลงมา
พวกเขามักจะถือตัวว่าเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงในมหาพันภพ แต่ในเวลานี้พวกเขาตระหนักถึงช่องว่างระหว่างตนเองกับระดับเทียนจื้อจุนแล้ว
บริเวณที่มือใหญ่กวาดผ่านมิติแตกกระจาย กลายเป็นแถบมืดมน ทุกคนสังเกตเห็นปากยักษ์อยู่ในฝ่ามือ
ปากนั้นคล้ายกับหลุมดำที่กลืนกินทุกสรรพสิ่ง หากพวกเขาตกอยู่ในนั้นแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ยังตายคาที่
ความรู้สึกนั้นราวกับว่ามันสามารถกลืนกินทวีปเทียนหลัวทั้งหมดได้
จอมปีศาจทุนเทียนรู้ว่าตนเองไม่สามารถจัดการกับเทพจักรพรรดิอัคคีได้ด้วยวิธีการปกติ ดังนั้นโดยไม่คิดออมมือ เขาก็ซัดกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา
ต้องรู้ว่าตอนที่เขาบุกเข้ามาในมหาพันภพเมื่อในอดีต ไม่รู้ว่ามีจอมยุทธ์จำนวนมากเท่าไรที่กลายเป็นเถ้าถ่านภายใต้กระบวนท่านี้
“พลังน่ากลัวอะไรอย่างนี้”
มู่เฉินสูดหายใจลึกๆ ขณะมองมือใหญ่โต เขารู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด พลังนี้เกินความเข้าใจของเขาจริงๆ
“จอมปีศาจทุนเทียนคนนี้เคี้ยวไม่ง่ายเลย ในอดีตมันจะต้องมีสถานะสูงส่งแม้แต่ในเผ่าปีศาจแน่นอน” มั่นถัวหลัวมาปรากฏตัวอยู่ข้างๆ มู่เฉินขณะที่อธิบายด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“เทพจักรพรรดิอัคคีไหวใช่ไหม?” จิ่วโยวยื่นหน้าเข้ามากระซิบ ตอนนี้เทพจักรพรรดิอัคคีเป็นที่พึ่งของทุกคน ถ้าเขาล้มเหลวทุกคนที่นี่จะต้องตายกันหมด
มั่นถัวหลัวยังคงท่าทางสงบ นางเข้าใจถึงพลังของเทพจักรพรรดิอัคคีลึกซึ้งกว่ามู่เฉินและจิ่วโยว นางจึงส่ายหัว “จอมปีศาจทุนเทียนอาจต่อสู้กับเทพจักรพรรดิอัคคีได้หากอยู่จุดสุดยอดของตน แต่ตอนนี้เขาเทียบเคียงได้กับระดับเทียนจื้อจุนธรรมดาเท่านั้น”
มู่เฉินพยักหน้า จอมปีศาจทุนเทียนจะต้องน่ากลัวอย่างยิ่งยวดในจุดสูงสุด มิฉะนั้นคงไม่สามารถสู้กับจักรพรรดิฟ้าได้ เพราะถึงอย่างไรจักรพรรดิฟ้าก็ครอบครองวิชาสามพิสุทธิ์ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นสามร่างซึ่งเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสามคน แต่กระนั้นก็พ่ายแพ้ให้กับจอมปีศาจทุนเทียน ดังนั้นบอกได้เลยว่าจอมปีศาจทุนเทียนไม่ธรรมดาเลย
ขณะที่พวกเขาคุยกัน เซียวเหยียนก็เงยหน้าขึ้นมองมือใหญ่ การโจมตีที่อาจทำให้เกิดความหวาดกลัวกับกระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มกลับไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาเลย
“แม้ว่าแกจะไม่ได้อยู่ในจุดสุดยอดที่มี แต่ความแข็งแกร่งที่แสดงออกมาก็ทำให้ข้าประหลาดใจ ตอนนี้ข้ามองเห็นแล้วว่าแกสามารถเอาชนะจักรพรรดิฟ้าได้อย่างไร” เซียวเหยียนยิ้มขณะยื่นมือออกไปพร้อมกับบัวเพลิงหมุนคว้างอยู่ในฝ่ามือ
ดอกบัวงดงามและประณีตมากคล้ายกับชิ้นงานศิลปะ มีหลากหลายสีสัน ถ้าใครดูอย่างใกล้ชิดก็จะรู้ว่ากลีบแต่ละกลีบมีสีต่างกัน
สีเหล่านั้นไม่ใช่สีธรรมดา เฉพาะผู้ที่ทรงพลังเท่านั้นถึงจะสามารถสัมผัสได้ว่ากลีบแต่ละกลีบก่อจากเปลวไฟที่แตกต่างกัน
เปลวไฟเหล่านี้ล้วนไม่ใช่เปลวไฟธรรมดา พวกมันมีพลังทำลายล้างสูงเป็นพิเศษ แต่เมื่ออยู่ในมือของเซียวเหยียนเพลิงเหล่านั้นก็เชื่องผิดปกติ
เซียวเหยียนสะบัดนิ้ว ดอกบัวงดงามก็เคลื่อนออกมา มันไม่ได้ดูเคลื่อนไหวเร็ว แต่กลับเหมือนสามารถมองข้ามระยะห่าง พริบตาเดียวก็ไปปรากฏตรงหน้ามือปีศาจขนาดใหญ่แล้ว
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วดอกบัวดูเล็กกระจ้อยร่อยนัก
ทว่าดอกบัวนี้กลับทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรุนแรงบนใบหน้าจอมปีศาจทุนเทียนพร้อมกับความตกตะลึงพล่านในดวงตา หลังจากนั้นเขาก็ถอยกลับไปโดยไม่ลังเลใดๆ รัศมีปีศาจก่อตัวเป็นปราการหลายล้านปราการเบื้องหน้าเขา
ตู้ม!
ดอกบัวปะทะกับมือ ประกายไฟที่ไร้ขอบเขตก็แล่นแปลบปลาบ ทำให้รัศมีปีศาจระเหยเป็นไอขณะที่มิติบิดเบือนในเวลาเดียวกัน ภายใต้การโจมตีที่น่าสะพรึงกลัวของเปลวเพลิงมือปีศาจก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ฉากนี้ทำให้ทุกคนตะลึง เซียวเหยียนสลายการโจมตีที่น่าสะพรึงกลัวของจอมปีศาจทุนเทียนได้อย่างง่ายดายขนาดนี้เชียวรึ?
ตู้ม ตู้ม!
มหาสมุทรเพลิงงดงามกวาดออกทำลายปราการจำนวนมากอย่างรวดเร็ว ก่อนจะห่อหุ้มร่างจอมปีศาจทุนเทียนที่กำลังถอยหนีจ้าละหวั่น
ตู้ม!
ทันใดนั้นสวรรค์และโลกก็สั่นสะเทือน มิติที่จอมปีศาจทุนเทียนอยู่แตกละเอียดเป็นนับหมื่นนับแสนชิ้น ลบล้างรัศมีปีศาจเชี่ยวกรากออกไปอย่างสมบูรณ์
เซียวเหยียนมองไปที่มิติแตกสลายก็คลี่ยิ้มบาง “กระบวนท่านี้ของข้าเรียกว่า…ดอกบัวเพลิงพุทธะ”
บทที่ 1189 การเผชิญหน้าของราชัน
ดอกบัวปะทุขึ้นพร้อมกับคลื่นเพลิงครอบงำตระการตาไร้ขอบเขต
พลังอันน่าสะพรึงกลัวเล็ดลอดออกมา ทำให้ทั้งมิติสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นอย่างรุนแรงเลยทีเดียว
มิติบริเวณที่ดอกบัวปะทุอยู่ในสภาพพังทลายยุบตัวลง รัศมีหลายหมื่นลี้กลายเป็นสีดำ ราวกับว่าสิ่งมีชีวิตทุกอย่างจะถูกทำลายภายใต้การปะทุนั้น
เมื่อเหล่าจอมยุทธ์เห็นภาพนี้ พวกเขาก็ได้แต่กลืนน้ำลายลงคอด้วยความหวาดผวาในดวงตา
ชัดว่าพวกเขาหวาดผวากับการเคลื่อนไหวของเทพจักรพรรดิอัคคี พวกเขาไม่สงสัยเลยว่าถ้าดอกบัวพุ่งตรงมาหา พวกเขาทั้งหมดคงจะสลายกลายเป็นอากาศธาตุในพริบตา
“นี่คือพลังของเทพจักรพรรดิอัคคีหรือ… ช่างน่ากลัวจริงๆ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงสามารถเป็นยอดยุทธ์แห่งมหาพันภพได้” ผู้คนถึงกับถอนหายใจ แม้ในสงครามโบราณจะมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนมากมายสละชีพ แต่ก็โชคดีที่มีจอมยุทธ์อย่างเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามถือกำเนิดในอีกหมื่นปีต่อมา
“จอมปีศาจทุนเทียนน่าจะตายแล้วมั้ง?” มู่เฉินมองไปที่มิติยุบลง เผชิญหน้ากับการโจมตีที่น่ากลัวดังกล่าว แม้กระทั่งจอมปีศาจทุนเทียนก็คงต้องได้รับความเสียหายร้ายแรงสินะ
มั่นถัวหลัวพยักหน้า กระบวนท่าจากเซียวเหยียนน่าสะพรึงอย่างแท้จริง ไม่มีใครคาดว่าเขาจะเป็นคนตรงขนาดนี้เปิดโจมตีก็ซัดทักษะยอดเยี่ยมแบบไม่ไว้หน้าจอมปีศาจทุนเทียนเลย
การโจมตีครั้งนั้นเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนยังทนไม่ได้
สายตาทุกคนจ้องมองอย่างกังวลใจไปตรงมิติที่ยุบลง ทันใดนั้นดวงตาก็ต้องหดลงเมื่อเห็นร่างเงาหนึ่ง
นี่ก็คือจอมปีศาจทุนเทียน แต่ในเวลานี้ทั่วสรรพางค์กายเต็มไปด้วยรอยร้าวราวกับตุ๊กตาเครื่องปั้นดินเผา
ดวงตาก็เป็นสีแดงก่ำ ชัดว่าโกรธเกรี้ยวมาก
“หนังเหนียวชะมัด” เซียวเหยียนไม่แปลกใจที่จอมปีศาจทุนเทียนยังไม่ตาย เพราะแม้แต่จักรพรรดิฟ้าก็ยังไม่สามารถฆ่ามันได้เมื่อในอดีต
ทว่าแม้จอมปีศาจทุนเทียนจะยังมีชีวิตอยู่ แต่ใครๆ ก็สามารถบอกได้ว่าเขาบาดเจ็บสาหัสเลยทีเดียว
“ในเมื่อแกบีบบังคับข้านัก งั้นวันนี้ก็ตายด้วยกันเลย!”
จอมปีศาจทุนเทียนคำรามขณะที่พุ่งไปยังทิศทางของเซียวเหยียน
เขาเคลื่อนไหวด้วยความเร็วเต็มพิกัด พริบตาก็เข้ามาใกล้ จากนั้นทุกคนก็เห็นเงาปีศาจพุ่งออกมาจากร่างกายปริร้าว พลังงานป่าเถื่อนถูกกลั่นอยู่ในร่างกาย
“มันคิดจะระเบิดตัวเอง!” ใบหน้าของมั่นถัวหลัวเปลี่ยนไป ดูเหมือนจอมปีศาจทุนเทียนจะรู้ซึ้งว่าไม่มีทางที่จะหลบหนี จึงตัดสินใจที่จะระเบิดตัวตายไปด้วยกัน
ตู้ม!
ทันทีที่มั่นถัวหลัวพูดจบร่างจอมปีศาจทุนเทียนก็ระเบิดออกพร้อมกับรัศมีปีศาจป่าเถื่อนกวาดหายนะไปทั่ว
คนแรกที่โดนก็คือเซียวเหยียน
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับการทำลายชีวิตนั่น เซียวเหยียนก็ไม่ได้ตื่นตระหนกกลับส่ายหน้า “ถ้าคนอย่างข้าตายง่ายขนาดนั้นก็คงตายไปนานแล้วแหละ”
เขากางมือออกเปลวไฟงดงามพวยพุ่งขึ้นถักทอเป็นปราการขนาดใหญ่หลายแสนจั้ง
ปราการนี้ถูกปกคลุมไปด้วยลวดลายนับไม่ถ้วน แต่ละลายล้วนเป็นตัวแทนของแก่นเพลิงประเภทต่างๆ
ปราการปกคลุมรัศมีปีศาจด้วยอุณหภูมิสูงที่น่ากลัว ทำให้เกิดรอยแตกในมิติ รัศมีปีศาจก็คล้ายกับหิมะต้องลาวาละลายอย่างรวดเร็ว
เวลาเพียงไม่กี่สิบลมหายใจ รัศมีปีศาจก็ถูกลบล้างโดยสมบูรณ์ไม่มีร่องรอยความชั่วร้ายหลงเหลืออยู่แม้แต่น้อย
“จัดการเรียบร้อยแล้วเรอะ?”
เซียวเหยียนพึมพำกับตัวเอง จากนั้นก็โบกมือ เปลวไฟงดงามที่ถาโถมออกมาก็ถูกดึงกลับเข้าไปในร่างกายของเขา
“หืม?”
แต่เมื่อเปลวไฟเข้าสู่ร่างกาย สายตาของเซียวเหยียนก็เปลี่ยนไปทันที
ตู้ม!
กลิ่นอายปีศาจปรากฏในมิติที่ยุบลง กำลังมุดหนีออกไปจากสุสานจักรพรรดิฟ้าอย่างรวดเร็ว
“จอมปีศาจทุนเทียนยังไม่ตายรึเนี่ย?!”
ใบหน้าของผู้คนเปลี่ยนไปรุนแรง พวกเขาตกใจกับพลังชีวิตทรงประสิทธิภาพของนักรบราชันปีศาจมาก ซึ่งยังสามารถรอดไปได้หลังจากได้รับกระบวนท่าหนักหน่วงจากการโจมตีหนักหนาของเทพจักรพรรดิอัคคีถึงสองครั้ง?
“ไอ้เจ้าเล่ห์นั่นตั้งใจระเบิดตัวเองโดยมีจุดมุ่งหมายซ่อนตัวและหลีกเลี่ยงการรับรู้ของเทพจักรพรรดิอัคคี เพื่อหาโอกาสหลบหนี!” ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งเครียดลงเช่นกัน เขาไม่คิดว่าจอมปีศาจทุนเทียนจะฉลาดแกมโกงเป็นกรดแบบนี้
“หัวใจปีศาจถูกทำลายไปแล้ว ทำไมมันถึงยังมีชีวิตอยู่ได้?” เซียวเหยียนก็อึ้งไปกับภาพนี้เช่นกัน หัวใจปีศาจเป็นจุดอ่อนของพวกปีศาจต่างมิติ แต่สำหรับพวกราชันปีศาจหัวใจปีศาจไม่สามารถทำลายได้แบบทั่วไป แต่ตอนที่จอมปีศาจทุนเทียนระเบิดตัวเอง เขารู้สึกได้ชัดเจนว่าหัวใจปีศาจดวงหนึ่งแตกสลายไปอย่างชัดเจน
โดยปกติราชันปีศาจก็ต้องตายเมื่อหัวใจปีศาจถูกทำลาย แต่ไม่คิดว่าจอมปีศาจทุนเทียนจะยังหนีรอดไปได้
“มิน่าล่ะตอนนั้นถึงชนะจักรพรรดิฟ้าได้ ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างแปลกพิกลจริงๆ”
“เฮ้ ตาแก่ทำไมไม่ขยับล่ะ? มันจะหนีไปแล้วนะ!” เสียงของเซียวเซียวเปล่งออกมาอย่างรีบร้อน หากจอมปีศาจทุนเทียนสามารถหลบหนีไปได้ก็เท่ากลับปล่อยเสือกลับเข้าป่า อนาคตไม่รู้จะมีสิ่งมีชีวิตในมหาพันภพเท่าไรที่ต้องตายด้วยน้ำมือพวกมัน
หากราชันปีศาจที่สามารถต่อสู้กับจักรพรรดิฟ้าฟื้นฟูพลังขึ้นมาได้ แม้เทพจักรพรรดิอัคคีจะเผชิญหน้าก็เป็นไปไม่ได้ที่จะต่อกรได้ง่ายขนาดนี้
เมื่อได้ยินคำเรียกของเซียวเซียวมุมหางตาของเซียวเหยียนก็กระตุกก่อนจะเหลือบมองบุตรสาว “ไอ้ปีศาจนั่นใช้ชีวิตเดิมพันในการหลบหนี จะขัดขวางง่ายๆ ขนาดนี้ได้ยังไง?”
เมื่อทุกคนได้ยินประโยคดังกล่าวก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ หรือว่าวันนี้จอมปีศาจทุนเทียนจะหนีรอดไปได้? หากเป็นเช่นนั้นผนึกที่จักรพรรดิฟ้าซึ่งใช้ชีวิตเดิมพันไว้ก็จะไร้ผลแล้วไม่ใช่หรือ?
ทว่าเมื่อเห็นท่าทางเสียดายของผู้คน เซียวเหยียนก็ยิ้มพลางมองไปทิศทางนั้น “แต่ยังไงมันก็ไม่สามารถหลบหนีได้ในวันนี้”
ทุกคนอึ้งไป หรือว่าเทพจักรพรรดิอัคคียังมีไพ่ตายอยู่ในแขนเสื้ออีก?
เซียวเหยียนมองหลินจิ้งพลางยิ้ม “ข้าไม่ใช่คนเดียวที่สัมผัสได้ถึงศัตรูทรงพลังที่เข้าใกล้ลูกสาว”
หลินจิ้งอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่ความสุขจะกระจายบนใบหน้า “อา? ท่านพ่อก็มาด้วยหรือ?”
ทุกคนถึงกับงงงวย ในขณะที่หัวใจมู่เฉินเต้นไม่เป็นส่ำ บิดาของหลินจิ้ง? นั่นคือประมุขแคว้นหวูซึ่งมีพลังอยู่ในระดับเดียวกับเทพจักรพรรดิอัคคี เทพจักรพรรดิสงครามไม่ใช่เหรอ?!
เขาก็มาที่นี่เหมือนกันเหรอ?
ขณะที่หัวใจของมู่เฉินสั่นระรัว รัศมีปีศาจยังคงส่งผ่านมิติซึ่งกำลังจะหายไป
ฮึ่ม!
แต่ทันใดนั้นมิติก็สั่นสะท้านรุนแรงแล้วแตกเป็นเสี่ยงๆ ก่อนที่ทุกคนจะเห็นมือขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น
มือนั้นแปลกมาก ถูกปกคลุมด้วยเกล็ดมังกรสีเขียวมรกตพร้อมกับพลังที่ไม่อาจพรรณนาล้อมรอบทั่วพื้นที่แห่งนี้ทั้งหมดไว้ ภายใต้รัศมีมู่เฉินสามารถสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณมังกรแท้จริงของตนเองสั่นไหวราวกับว่าได้เจอผู้ยิ่งใหญ่
มู่เฉินตกตะลึงในใจ ต้องรู้ว่าจิตวิญญาณมังกรแท้จริงครอบครองสายเลือดบริสุทธิ์ ซึ่งนับว่าเป็นจักรพรรดิของเผ่ามังกรเลยทีเดียว!
แต่ตอนนี้จิตวิญญาณมังกรแท้จริงกลับรู้สึกถูกคุกคามจากรัศมีที่มาจากมือนั่น!
ครืน!
ขณะที่มู่เฉินกำลังตกตะลึงสงสัย มือก็สาวรัศมีปีศาจออกมาจากนั้นก็บีบไว้ในกำมือ ใบหน้าปีศาจชั่วร้ายปรากฏขึ้น เสียงคำรามเต็มไปด้วยความต่อต้านรุนแรง
เขากำลังหนีได้แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะได้พบกับศัตรูทรงพลังอีกคนหนึ่งซึ่งไม่ได้อ่อนแอกว่าเทพจักรพรรดิอัคคี!
เขาทำลายร่างไปแล้ว ดังนั้นจึงอ่อนแอลงอย่างมาก ตัวเขาจะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์เช่นนี้ได้อย่างไร?
ดังนั้นเมื่อมือบีบกดลงมา ประกายสีฟ้าอมเขียวก็ก่อร่างเป็นผนึกห่อหุ้มจอมปีศาจเอาไว้ภายใน
การเปลี่ยนแปลงฉับพลันทำให้สีหน้าของทุกคนผันแปรไปรุนแรง พวกเขาจ้องมองไปในความว่างเปล่า ขณะนี้ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจว่าที่แท้ยังมียอดยุทธ์ทรงพลังอีกคนซ่อนอยู่ในบริเวณนี้ รอเวลาให้จอมปีศาจทุนเทียนตกหลุมพราง
แต่พวกเขาต่างสงสัยว่าบุคคลผู้นี้เป็นใคร?
ท่ามกลางสายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วนมิติก็ฉีกขาดก่อนที่ร่างเงาหนึ่งจะเยื้องย่างออกมา เขามีรัศมีที่น่าเกรงขาม คลื่นหลิงเชี่ยวกรากหมุนวนรอบตัว พลังงานของเขามีคุณสมบัติที่แตกต่างไป มีทั้งน้ำแข็ง-เพลิง-สายฟ้า-ความมืด… ช่างดูลึกลับมาก
เมื่อทุกคนมองไปที่ร่างเงานั้น ม่านตาก็หดลงก่อนที่จะสูดลมหายใจอัดอากาศเย็นเข้าไป
“นะ…นั่นคือเทพจักรพรรดิสงคราม?!”
บทที่ 1190 เทพจักรพรรดิสงคราม-หลินต้ง
มิติพังทลายลง
ก่อนที่สะเก็ดมิติจะก่อตัวเป็นกระแสล้นทะลักออกมา ร่างเงาหนึ่งย่างเท้าออกมา ทางที่เดินผ่านกระแสก็เคลื่อนหลบหลีกไป ราวกับว่าไม่กล้าแตะต้องตัวเขาเลย
ทุกคนต่างตะลึงกับร่างที่มีคลื่นพลังลึกลับอยู่รอบตัว ในฐานะหนึ่งในมหาทวีป ทวีปเทียนหลัวมีเครือข่ายข้อมูลที่ทรงประสิทธิภาพ ดังนั้นหลายคนจึงจำเขาผู้นี้ได้ทันที
มีจอมยุทธ์เพียงหนึ่งเดียวในมหาพันภพที่คลื่นหลิงลึกลับสามารถเปลี่ยนไปเป็น น้ำแข็ง-เพลิง-สายฟ้า-ความมืด… ที่ผสานอย่างสมบูรณ์แบบระหว่างองค์ประกอบนี้
เขาก็คือประมุขแคว้นหวู—เทพจักรพรรดิสงคราม!
ในมหาพันภพระดับเทียนจื้อจุนถือว่าเป็นยอดยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แต่ในเวลาเดียวกันก็แยกขั้นกันอย่างเห็นได้ชัด ในบรรดาจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามอยู่ในอันดับต้นๆ จริงแท้แน่นอน!
พวกเขาถือกำเนิดในพิภพเขตล่าง แต่ต่างมีพรสวรรค์ที่โดดเด่น เทพจักรพรรดิอัคคีสถาปนาแคว้นหวู่จิ้งฮั่วขึ้นภายในเวลาไม่กี่ร้อยปีด้วยทักษะการจัดการเพลิงแบบสุดยอดบวกกับทักษะการกลั่นเม็ดยาที่ไม่มีใครเทียบ แม้กระทั่งขั้วอำนาจที่กลั่นเม็ดยาโดยเฉพาะในมหาพันภพก็สู้เขาไม่ได้ ทุกคนรู้ว่าแคว้นหวู่จิ้งฮั่วเป็นหนึ่งในสถานที่ที่เชื่อถือได้ในเรื่องยาเม็ดมากที่สุด
เทียบกับเทพจักรพรรดิอัคคี เทพจักรพรรดิสงครามเป็นอะไรที่เก็บเนื้อเก็บตัว แต่ถึงกระนั้นเขาก็พุ่งชนเผ่าเทพน้ำแข็งเพื่อช่วยเหลือฮูหยิน เผชิญหน้ากับทั้งเผ่าด้วยพลังของตนเองเพียงผู้เดียว ต้องรู้ว่าเผ่าเทพน้ำแข็งเป็นเผ่าโบราณ แม้ว่าจะอ่อนกำลังลงมาบ้างแต่รากฐานก็ยังน่ากลัวอย่างยิ่ง แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ต้องทนทรมานถ้าคิดจะพุ่งเข้าใส่เผ่าเทพน้ำแข็ง
ยิ่งกว่านั้นเผ่าโบราณเช่นนี้ยังมีสายสัมพันธ์ที่กว้างขวาง ตราบใดที่ขอความช่วยเหลือก็จะมีจอมยุทธ์ทรงพลังจำนวนมากเข้ามา ซึ่งในตอนนั้นเผ่าเทพน้ำแข็งก็ได้ทำเช่นนี้ พวกเขาเชิญยอดยุทธ์ในมหาพันภพมาเพื่อบีบให้เทพจักรพรรดิสงครามถอยกลับไป
ว่ากันว่าตอนนั้นมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสามคนในเผ่าเทพน้ำแข็ง!
การรวมตัวนี้สามารถทำลายล้างเผ่าโบราณได้เลยทีเดียว ไม่ต้องพูดถึงแค่คนคนเดียว!
ในเวลานั้นการต่อสู้สั่นสะเทือนไปทั่วมหาพันภพ
ทว่าที่ผิดคาดและตกตะลึงก็คือเผชิญหน้ากับการกดขี่ของเผ่าเทพน้ำแข็ง เทพจักรพรรดิสงครามก็ไม่ได้ถอยกลับ มีข่าวลือว่าเขาสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนสามคนด้วยพลังของตัวเองเพียงผู้เดียว ซึ่งนี่สร้างชื่อเสียงให้เขามากนัก
ผลลัพธ์สุดท้ายแม้จะไม่มีใครพูดถึง แต่ชัดว่าเทพจักรพรรดิสงครามได้รับสิ่งที่ต้องการจากเผ่าเทพน้ำแข็ง มิหนำซ้ำชื่อเสียงยังขจรขจายไปทั่วมหาพันภพ จากนั้นเขาก็สถาปนาแคว้นหวูขึ้นมา
แคว้นหวูก้าวขึ้นเป็นขุมกำลังสูงสุดในมหาพันภพ ในเวลานั้นประมุขเผ่าเทพน้ำแข็งก็สละตำแหน่ง ส่งให้สมาชิกในเผ่า ซึ่งก็คือนายหญิงแห่งแคว้นหวู
หลังจากเหตุการณ์นั้นเผ่าเทพน้ำแข็งและแคว้นหวูก็กลายเป็นทองแผ่นเดียวกัน ด้วยพลังของแคว้นหวูทำให้เผ่าเทพน้ำแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จนก้าวขึ้นสู่อันดับต้นๆ ของเผ่าโบราณเลยทีเดียว
ทั้งหมดนี้เกิดจากฝีมือของเทพจักรพรรดิสงคราม!
ด้วยสาเหตุเหล่านี้ทำให้ชื่อเสียงของเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามโด่งดังเสมอกันไปทั่ว ทว่าแคว้นหวู่จิ้งฮั่วกับแคว้นหวูมีชัยภูมิทางอยู่ตรงขอบชายแดนของมหาพันภพ หนึ่งอยู่ทิศใต้อีกหนึ่งอยู่ทิศเหนือ ซึ่งคอยเป็นปราการหน้าด่านจากจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะปรากฏตัวในที่เดียวกัน แต่วันนี้จอมยุทธ์ในทวีปเทียนหลัวมีโอกาสได้เห็นยอดยุทธ์ทั้งคู่กับตา แล้วทำไมทุกคนจะไม่ตะลึงงันล่ะ?
“นั่นเทพจักรพรรดิสงครามเหรอ?”
ท่ามกลางสายตาตกตะลึง มู่เฉินก็มองไปที่ร่างเงานั้นด้วยความอยากรู้ อีกฝ่ายดูสุขุมนุ่มลึกนัก เทียบกับเทพจักรพรรดิอัคคีที่ดูสบายอิสระ เทพจักรพรรดิสงครามผู้นี้มั่นคงราวกับขุนเขาเลยทีเดียว
แต่ในทำนองเดียวกันแรงกดดันจากเทพจักรพรรดิสงครามก็ทำให้มิติสั่นสะเทือนเช่นเดียวกับเทพจักรพรรดิอัคคี
“พ่อ! พ่อ!”
หลินจิ้งโบกมืออย่างร่าเริงขณะที่ยิ้มตาหยีพลางตะโกนเรียก
เทพจักรพรรดิสงครามเบนสายตามาเมื่อเห็นบุตรสาว สีหน้าก็อ่อนโยนลงอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะเคลื่อนไปปรากฏตัวต่อหน้าหลินจิ้ง
“แอบหนีออกจากบ้านมาซนอีกแล้วนะ ดูท่าคงต้องขังไว้สักหน่อยแล้ว!” เขาพูดด้วยท่าทางที่เข้มงวด
แต่เผชิญหน้ากับท่าทางของบิดา หลินจิ้งกลับหัวเราะเบาๆ สวมกอดแขนเขาราวกับว่าไม่สนใจคำขู่ การแสดงออกที่เข้มงวดของเทพจักรพรรดิสงครามดำเนินต่อไปชั่วครู่ก็เปลี่ยนเป็นช่วยไม่ได้ เขารู้ว่าภาพลักษณ์บิดาที่เข้มงวดไม่มีประโยชน์กับบุตรสาวคนนี้เลย
จากนั้นเทพจักรพรรดิสงครามก็หันมามองมู่เฉินพลางยิ้ม “สหายน้อย ขอบคุณที่ช่วยปกป้องลูกสาวข้า”
มู่เฉินรู้สึกเคอะเขินทันที หากเขารู้ว่าบิดาของพวกนางอยู่ที่นี่ เขาก็ไม่ต้องทำตัวเป็นวีรบุรุษหรอก
เมื่อเห็นท่าทางอึกอักใจของมู่เฉิน เทพจักรพรรดิสงครามก็รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไร เขาส่ายหัว “ความพยายามของเจ้าไม่ได้ไร้ประโยชน์ ในเวลานั้นกระทั่งเราก็ไม่สามารถหยุดยั้งได้ทันและด้วยขุมพลังของพวกนางตอนนี้ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะต่อกรกับนักรบราชันปีศาจ ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ข้าจะต้องขอบคุณ”
“จริงเหรอขอรับ?” มู่เฉินยิ้มพลางเกาหัว
“ฮ่าๆ ที่พี่หลินพูดถูกต้อง” เซียวเหยียนปรากฏตัวขึ้นก่อนที่จะตบไหล่มู่เฉินเบาๆ จากนั้นก็หันไปทางหลินต้งพูดว่า “ไม่ได้เจอกันนานเลยพี่หลิน สบายดีใช่ไหม”
ในมหาพันภพมีไม่กี่คนที่เซียวเหยียนจะยกตำแหน่งสูงให้ในใจ แต่หลินต้งก็ยังนับเป็นหนึ่งในไม่กี่คนนั้น พวกเขาสองคนคอยคานอำนาจกับเผ่าปีศาจต่างมิติ ดังนั้นจึงไม่ค่อยได้พบกัน แต่ทั้งสองชัดว่ามีความรู้สึกชื่นชมต่อกัน
“พี่เซียว”
รับฟังน้ำเสียงสุภาพอ่อนโยนจากเซียวเหยียน หลินต้งก็ประสานมือให้ จากนั้นยื่นมือออกมาใบหน้าปีศาจในลูกทรงกลมสีฟ้าอมเขียวก็เผยออกมา
“เจ้านี่แปลกอยู่นิดๆ” เซียวเหยียนมองไปที่จอมปีศาจทุนเทียน พูดขึ้นขณะดวงตาหดเกร็ง
“ฮ่าๆ จอมปีศาจทุนเทียนไม่ธรรมดาเลย” หลินต้งยิ้มขณะที่พูดต่อ “ในอดีตมันคงจะติดอันดับหนึ่งในสิบของเผ่าปีศาจต่างมิติเลยทีเดียว”
เซียวเหยียนรู้สึกประหลาดใจกับเรื่องนี้ ราชันปีศาจที่ติดอันดับหนึ่งในสิบสูงสุดของเผ่าปีศาจต่างมิติเป็นภัยคุกคามแม้แต่กับพวกเขา แต่ด้วยพลังที่แสดงออกมาโดยจอมปีศาจทุนเทียนตอนนี้ ดูเหมือนจะไม่ได้มีความแข็งแกร่งอะไรที่ว่าเลย
“สมัยก่อนจอมปีศาจทุนเทียนมีอีกฉายาหนึ่งนะ” หลินต้งหยุดพูดชั่วครู่ก่อนจะตอบว่า “ราชันเก้าซาก”
“ราชันเก้าซาก?” พวกมู่เฉินอึ้งไปพลางพึมพำ แต่ก็ต่างงุนงง มีเพียงเซียวเหยียนที่ครุ่นคิด
“ในบางแง่มุมราชันเก้าซากไม่ใช่คนเดียวแต่เป็นเก้าคน! นอกจากนี้ทั้งหมดยังเป็นราชันปีศาจอีกด้วย!” หลินต้งจ้องมองไปที่ลูกทรงกลมสีฟ้าอมเขียว “จอมปีศาจทุนเทียนมาจากเผ่าปีศาจทุนหมัว ย้อนกลับไปตอนนั้นพวกมันทั้งเก้าได้รวมร่างเข้าด้วยกันเพื่อแสงหาความแข็งแกร่ง”
ข้อมูลนี้ทำให้มู่เฉินตกใจไป นั่นหมายความว่าจักรพรรดิฟ้าไม่ได้เผชิญหน้ากับราชันปีศาจคนเดียว แต่ปะทะกับเก้าคน?!
“ไม่งั้นจอมปีศาจทุนเทียนจะต่อสู้กับจักรพรรดิฟ้าที่ใช้วิชาสามพิสุทธ์ได้อย่างไร?” หลินต้งยิ้ม
“ย้อนกลับไปตอนนั้นจักรพรรดิฟ้าใช้วิชาสามพิสุทธิ์สังหารจอมปีศาจทุนเทียนทั้งเจ็ดคนก่อนที่จะหมดแรง เขาจึงทำได้แค่ผนึกปีศาจที่เหลือสองคนเอาไว้ เมื่อครู่เซียวเหยียนสัมผัสได้ถึงการแตกสลายของหัวใจปีศาจ แต่นั่นแค่เป็นของจอมปีศาจคนที่แปด ดังนั้นมันจึงยังสามารถหลบหนีได้”
พวกมู่เฉินตกตะลึง ในเวลานี้พวกเขาตระหนักได้ว่าเผ่าปีศาจน่ากลัวแค่ไหน พวกมันสามารถใช้วิธีการดังกล่าวเพื่อสร้างสิ่งมีชีวิตที่แม้แต่จักรพรรดิฟ้าก็ยังทำอะไรไม่ได้นอกจากปิดผนึกไว้
ดังนั้นสามารถบอกได้ว่าจักรพรรดิฟ้าทรงพลังเพียงใด เผชิญหน้ากับจอมปีศาจเก้าคนที่ประสานพลังกัน ไม่เพียงแต่สามารถสังหารเจ็ดคนได้ ยังผนึกอีกสองคนไว้ได้
“เป็นแบบนี้นี่เอง” เซียวเหยียนพยักหน้าด้วยการแสดงออกเคร่งเครียดลงมาก เขารู้ว่ากระทั่งตนเองที่เผชิญกับจอมปีศาจทรงพลัง เขาก็ยังต้องสู้แบบจริงจัง ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมราชันเก้าซากจึงสามารถเข้าสู่หนึ่งในอันดับสิบได้
“เราจะปล่อยให้มันกลับไปยังจักรวรรดิปีศาจต่างมิติไม่ได้”
หลินต้งพยักหน้าพลางยิ้ม “แต่มันไม่เหลือซากแล้ว ด้วยพวกเราสองคน มันไม่มีทางหนีพ้นไปได้แน่นอน”
น้ำเสียงของหลินต้งสงบกระนั้นก็ยังแสดงให้เห็นถึงความครอบงำ
ทว่ามู่เฉินและคนอื่นๆ รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่ต้องพูดถึงสภาพน่าสมเพชในปัจจุบันของจอมปีศาจทุนเทียน ต่อให้กลับไปรวมกันจนครบเก้าคน มันก็ต้องตายเมื่อเผชิญหน้ากับเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม
“แต่เป็นเพราะความพยายามของจักรพรรดิฟ้า ทำให้ปีศาจตัวนี้ถูกสังหาร ดังนั้นจักรพรรดิฟ้าก็ควรที่จะอยู่ในเหตุการณ์ด้วย” เซียวเหยียนยิ้มบาง
หลินต้งพยักหน้ายอมรับเช่นกัน
เมื่อมู่เฉินและมั่นถัวหลัวได้ยินคำพูดนี่หัวใจก็สั่นไหว ตัดสินจากความหมายเบื้องหลังคำพูดของพวกเขา…หรือว่าจักรพรรดิฟ้ายังไม่ได้สิ้นชีพอย่างแท้จริง?!
บทที่ 1191 จัดการ
“จักรพรรดิฟ้าสิ้นชีพแล้วไม่ใช่เหรอ?”
เมื่อสิ้นเสียงเซียวเหยียน หัวใจของมู่เฉินและมั่นถัวหลัวก็สั่นไหว โดยเฉพาะมั่นถัวหลัวถึงกับไม่สามารถระงับอารมณ์เอ่ยถามออกมา
เซียวเหยียนกับหลินต้งแลกเปลี่ยนสายตากันแวบหนึ่งตอบว่า “จักรพรรดิฟ้าสิ้นชีพแล้ว แต่เขาทิ้งรอยประทับไว้เบื้องหลังเพื่อเฝ้ามองผนึก”
ใบหน้าของมั่นถัวหลัวมืดมนลงด้วยความปวดใจ นั่นเพราะจักรพรรดิฟ้าเปรียบเสมือนบิดาของนาง
เมื่อเซียวเหยียนเห็นการแสดงออกของมั่นถัวหลัว เขาก็รู้ว่านางมีความสัมพันธ์บางอย่างกับจักรพรรดิฟ้า แต่กระนั้นก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ เขาจึงหันไปที่กะโหลกศีรษะสีดำขนาดใหญ่ในจัตุรัส
“นั่นคือจักรพรรดิฟ้าเหรอ?” มู่เฉินตะลึงใจ ตอนแรกพวกเขาคิดว่ากะโหลกศีรษะสีดำนั่นเป็นราชันปีศาจ สุดท้ายไม่คิดว่ากลับเป็นร่างจักรพรรดิฟ้าที่เป็นราชันปีศาจ
เซียวเหยียนพยักหน้า “จอมปีศาจทุนเทียนฉลาดแกมโกง ไม่เพียงแต่จะปรากฏตัวในรูปลักษณ์จักรพรรดิฟ้าเท่านั้น มันยังเปลี่ยนศพของจักรพรรดิฟ้าให้เป็นอย่างนี้หวังให้คนอื่นทำลาย”
พูดจบเปลวไฟแวววาวก็กวาดออกมาจากแขนเสื้อเผากะโหลกศีรษะสีดำ รัศมีปีศาจก็ค่อยๆ ระเหยหายไป
เมื่อกะโหลกละลายหายไป แสงประกายไฟระยิบระยับก็รวมตัวกันกลายเป็นร่างเงานึง
ร่างเงานี้สวมชุดสีขาวดูสบายเป็นอิสระ ทว่าก็มีแรงกดดันที่ไม่อาจอธิบายอยู่เลือนรางราวกับจักรพรรดิที่ผู้คนต้องเคารพยำเกรง
ทุกคนมองร่างเงานั้นด้วยความเคารพและใคร่รู้ นั่นคือเจ้าวังสวรรค์บรรพกาล—จักรพรรดิฟ้าเหรอ?
“ไม่คิดว่าต่อให้สละชีพปิดผนึกก็ยังไม่สามารถฆ่ามันได้ มิหนำซ้ำหลังจากผ่านมาหมื่นปียังต้องให้คนรุ่นหลังช่วยจัดการ ข้ารู้สึกละอายใจอย่างยิ่ง” เมื่อร่างเงาสีขาวปรากฏขึ้นก็มองไปที่ลูกทรงกลมสีฟ้าอมเขียวในมือของหลินต้งพลางถอนหายใจ
“ท่านผู้อาวุโสทำดีที่สุดแล้ว เราได้รับความกรุณาจาท่าน ดังนั้นก็เป็นเรื่องปกติที่จะต้องช่วยเหลือ” พบปะกับยอดยุทธ์แห่งยุคโบราณผู้นี้ แม้แต่เซียวเหยียนกับหลินต้งก็ยังประสานมือด้วยความเคารพอย่างสูงให้
พวกเขาเป็นจอมยุทธ์ที่มีความภาคภูมิใจ ในมหาพันภพต่อให้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนระดับเดียวกันยังไม่อาจได้รับความเคารพนี้ แต่สำหรับจักรพรรดิฟ้าที่ใช้ชีวิตผนึกจอมปีศาจเพื่อปกป้องโลก เจตจำนงนี้คือสิ่งที่สมควรได้รับความเคารพอย่างสูงสุด
มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็โค้งคำนับแสดงความขอบคุณบรรพบุรุษซึ่งครั้งหนึ่งเคยปกป้องโลกไว้
จักรพรรดิฟ้ากวาดมองทุกคนด้วยความยินดี ก่อนที่จะมองเซียวเหยียนและหลินต้ง “ตอนที่มหาพันภพพยายามต่อสู้กับเผ่าปีศาจต่างมิติ จอมยุทธ์ชั้นยอดหลายคนจบชีวิตลง ส่งผลให้เกิดการสูญเสียรุนแรง ไม่คิดเลยว่าหมื่นปีต่อมาจะมีจอมยุทธ์ที่โดดเด่นเช่นนี้ในมหาพันภพปรากฏขึ้นอีก ดูเหมือนว่าจักรวาลนี้ยังไม่หมดโชค”
แม้ว่าจักรพรรดิฟ้าปัจจุบันจะเป็นเพียงร่างดวงจิต แต่ก็เคยเป็นมหาอำนาจสูงสุดในมหาพันภพ ดังนั้นสายตาจึงแหลมคมนักและสามารถบอกได้ว่าชายทั้งสองคนทรงพลังแค่ไหน
ตามการคาดการณ์กระทั่งตัวเขาก็ยังไม่อาจเอาชนะทั้งสองแม้จะอยู่ในจุดสูงสุด ซึ่งทำให้เขารู้สึกซาบซึ้งและพอใจในเวลาเดียวกัน ดูเหมือนว่าหลังจากสงครามครั้งนั้นมหาพันภพก็ไม่ได้เสื่อมถอย กลับยังต้อนรับยุคใหม่แห่งความรุ่งโรจน์
เซียวเหยียนและหลินต้งถ่อมตน ก่อนจะส่งมอบจอมปีศาจทุนเทียนโดยตั้งใจจะให้จักรพรรดิฟ้าจัดการกับศัตรูคู่แค้นด้วยตนเอง
จักรพรรดิฟ้ารับลูกทรงกลมมา ใบหน้าชั่วร้ายในนั้นก็จับจ้องมาอย่างอาฆาตแค้น ก่อนที่จะคำรามลั่น “ไอ้จักรพรรดิฟ้า ศึกระหว่างเราถ้าไม่มีคนอื่นเข้ามายุ่งเกี่ยว สุดท้ายแกก็แพ้!”
เมื่อจักรพรรดิฟ้าได้ยินคำพูดนั่นก็ยิ้ม “ไม่หรอก เผ่าปีศาจทุนหมัวรวมพลังทั้งหมดถึงได้สร้างคนระดับแกขึ้นมา ตอนแรกแกเป็นถึงหนึ่งในสิบอันดับแรกของจักรวรรดิปีศาจ หากแกหนีไปตอนนั้น มหาพันภพก็จะได้รับแรงกดดันมหาศาล ในเมื่อข้าสามารถผนึกแกไว้ได้เนิ่นนาน ตัวข้าก็บรรลุวัตถุประสงค์แล้ว”
“ดูสิ มหาพันภพของข้ายังยืนหยัดสร้างจอมยุทธ์ทรงพลังจากรุ่นสู่รุ่น ดังนั้นข้าไม่ใช่คนที่แพ้”
เมื่อจอมปีศาจทุนเทียนได้ยินคำพูดนั่นก็โกรธพร้อมกับโหมกระหน่ำรัศมีปีศาจเดือดพล่าน ทว่าก็ติดอยู่บนแสงสีฟ้าอมเขียวที่ห้อมล้อมไว้
เซียวเหยียนและหลินต้งแลกเปลี่ยนสายตากัน แต่ทั้งสองก็ยังนิ่งเงียบ จักรพรรดิฟ้าไม่ทราบว่าแม้มหาพันภพจะหยุดยั้งการล้างผลาญจากจักรวรรดิปีศาจต่างมิติได้ แต่ก็ยังถูกยึดครองแผ่นดินไปเกือบครึ่งหนึ่ง ในช่วงหมื่นปีที่ผ่านมาเผ่าปีศาจต่างๆ ยังคงมองมหาพันภพอย่างหิวกระหาย
สงครามในตอนนั้นมหาพันภพไม่ถือว่าชนะ พูดได้แค่ว่าจ่ายราคามหาศาลถึงหยุดเผ่าปีศาจต่างมิติไว้ได้ นอกจากนี้พวกเขารู้ว่าเผ่าปีศาจไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆ ถ้าพวกมันบุกโจมตีอีกครั้ง หายนะมาเยือนแน่นอน
แต่เมื่อคิดถึงจุดนี้เซียวเหยียนและหลินต้งก็ยิ้มบาง พวกเขาไม่ได้อยู่ในสงครามครั้งก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงอยากเห็นว่าจักรวรรดิปีศาจต่างมิติมีความสามารถเพียงใดเมื่อสงครามเริ่มต้นอีกครั้ง
จักรพรรดิฟ้ามองไปที่เซียวเหยียนและหลินต้งด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหันไปมองร่างเล็กกะทัดรัดด้วยดวงตาพรั่งพรูไปด้วยความยินดี
“มั่นถัวหลัว ดีจริงที่เจ้าปลอดภัย”
มั่นถัวหลัวมองจักรพรรดิฟ้าอย่างเหม่อลอย ดวงตาเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ หัวใจพลุ่งพล่านด้วยอารมณ์ห่วงหาอาทร นางก้าวย่างออกไปพร้อมกับยื่นมือเล็กกุมมือจักรพรรดิฟ้าเอาไว้
จักรพรรดิฟ้าลูบศีรษะนางเบาๆ ราวกับว่ากำลังแตะต้องดอกไม้น้อยในอดีต
จักรพรรดิฟ้ายิ้มให้มั่นถัวหลัวก่อนที่จะมองไปที่มู่เฉิน “ย้อนกลับไปในอดีตถึงแม้จะมีจอมยุทธ์โดดเด่นมากมายในวังของข้า แต่ก็ไม่มีใครที่สามารถสร้างร่างเทพสุริยะนิรันดร์ได้ สวรรค์ไม่ได้รังแกข้านัก ทำให้ข้าได้อยู่จนเห็นวันนี้”
“ข้าโชคดีที่ได้รับสิ่งที่ท่านทิ้งไว้เพื่อสร้างร่างเทพสุริยะนิรันดร์ ข้าจะไม่มีวันลืมพระคุณอันยิ่งใหญ่นี้!” มู่เฉินคำนับจักรพรรดิฟ้า ถ้าไม่ใช่จักรพรรดิฟ้าทิ้งวิธีการชำระร่างเทพสุริยะนิรันดร์ไว้เบื้องหลัง เขาก็ไม่รู้ว่าต้องหาอีกนานแค่ไหน
จักรพรรดิฟ้ายิ้มพยักหน้ายื่นมือออกมา “เจ้าหนุ่ม ขอยืมกระบี่เกล็ดจักรพรรดิหน่อย”
มู่เฉินส่งกระบี่คืนให้อย่างรวดเร็ว
จักรพรรดิฟ้ารับกระบี่มา สร้างตราประทับด้วยมือข้างเดียวขณะที่จ้องมองจอมปีศาจทุนเทียนอย่างไม่แยแส
เมื่อรู้สึกถึงความตาย จอมปีศาจทุนเทียนแผดร้องอย่างตื่นตระหนก ทว่าจักรพรรดิฟ้าก็ไม่ได้ให้ความสนใจอีกฝ่ายเลยสักนิด กระบี่เกล็ดจักรพรรดิเฉือนลงไป ดวงดาวนับไม่ถ้วนก่อตัวขึ้นพร้อมกับพลังงานน่าสะพรึงบรรจุอยู่ในดาวทุกดวง
จักรพรรดิฟ้ามีเพียงร่างดวงจิตที่เหลืออยู่เท่านั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำลายจอมปีศาจทุนเทียนโดยธรรมชาติ ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องยืมพลังกระบี่เกล็ดจักรพรรดิ
ชี่ ชี่!
ดวงดาวพร่างพราวนับไม่ถ้วนเจาะเข้าในรูปทรงกลม กรีดตัดร่างปีศาจภายในทันที เสียงคำรามดังสะท้อนขณะที่ร่างจางหายไป
“อย่าได้ผยอง! ครั้งก่อนกองทัพจักรวรรดิปีศาจยังไม่ได้เคลื่อนพลเต็มกำลัง ครั้งต่อไปที่บุกเข้ามาจะเป็นวันโลกาพินาศของพวกแก!”
เสียงคำรามดังสะท้อน จอมปีศาจทุนเทียนที่อยู่ภายในได้ถูกทำลายสิ้นซาก ไม่เหลือแม้แต่เถ้าถ่านสลายกลายเป็นว่างเปล่า
ฮึ่ม!
ขณะที่จอมปีศาจทุนเทียนถูกสังหาร ทันใดนั้นร่างเงาที่ชายขอบสุสานจักรพรรดิฟ้าก็ทะยานออกไปตั้งใจที่จะหนี
ทว่าเสียงคุ้นเคยและไม่แยแสก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้าขณะที่ร่างนั้นกำลังจะหนีไป
“เจ้าขาดเขลานัก ถ้าเจ้าแค่ซ่อนตัวและหลบหนีจากการต่อสู้ยังให้อภัยได้ แต่เจ้ากลับถูกล่อลวงโดยปีศาจ พยายามทำให้มันเป็นอิสระ โทษทัณฑ์เจ้าหนักหนานัก”
เสียงเรียบเฉยทำให้ลู่หยวนหวาดผวาทันที เขาไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น รัศมีปีศาจพวยพุ่งออกมาจากร่างกลายเป็นเจียว ร่างกายเดิมของลู่หยวนคือเจียวโลหิตโบราณ แต่เนื่องจากเขาถูกปีศาจครอบงำจึงกลายเป็นเจียวปีศาจไปแล้ว
เมื่อกลับไปเป็นร่างเดิม ลู่หยวนก็กวาดหางเพื่อสลายมิติพยายามที่จะหลบหนี
ฟิ้ว!
แต่ทันใดนั้นแสงผลึกอัญมณีใสก็พุ่งลงมาจากฟากฟ้า รัศมีกระบี่คมฉีกผ่านสวรรค์และโลก ราวกับกระบี่โบราณทอดลงมาแทงทะลุศีรษะของลู่หยวนตอกร่างเขาลงไปกับพื้น
รัศมีกระบี่ระเบิดออกมา ก่อนที่ลู่หย่วยจะทันได้ร้องขอชีวิต เขาก็ถูกสังหารกระทั่งวิญญาณก็สลายหมดสิ้น
จักรพรรดิฟ้าโกรธแค้นกับการทรยศของลู่หยวนมาก ดังนั้นเขาจึงไม่ระงับใจ แม้ว่าจะเป็นปัญหาเล็กน้อยสำหรับเขาในการจัดการกับจอมปีศาจทุนเทียน แต่ก็ง่ายเหมือนปอกกล้วยที่จะทำลายล้างจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ดังนั้นลู่หยวนจึงได้แต่รับความตายไปโดยไม่ได้ต่อต้านใดๆ
หลังจากจัดการเรื่องภายในเรียบร้อย จักรพรรดิฟ้าก็เงยหน้าขึ้นมองทุกคน “เรื่องในวันนี้จบลงแล้ว ขอให้ทุกคนกลับไปเถอะ”
เมื่อเขาพูดจบ มิติก็เกิดความผันผวน กลายเป็นอุโมงค์มิติที่ข้างจอมยุทธ์ทั้งหลาย
แต่ละคนแลกเปลี่ยนสายตากัน เหตุผลที่พวกเขาอยู่ที่นี่ก็เพราะวิชาสามพิสุทธิ์ ทว่าเนื่องจากจักรพรรดิฟ้าเอ่ยปากไล่กลายๆ แล้ว พวกเขาจึงได้แต่หันหน้ากลับไป ยิ่งไปกว่านั้นเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามก็อยู่ที่นี่เช่นกัน คงยังไม่ถึงตาของพวกเขาสำหรับสมบัติเช่นนี้ ดังนั้นผู้คนได้แต่ถอนหายใจด้วยความเสียดาย จากนั้นก็พากันออกไป
เมื่อผู้คนจากไปแล้ว มิติสุสานจักรพรรดิฟ้าก็กลับมาเงียบสงบดังเดิม
จักรพรรดิฟ้ามองไปที่เซียวเหยียนและหลินต้งด้วยรอยยิ้ม “ไม่รู้ว่าเจ้าสองคนสนใจวิชาสามพิสุทธิ์ของข้าหรือไม่?”
บทที่ 1192 ผู้ได้รับ
“ไม่รู้ว่าเจ้าสองคนสนใจวิชาสามพิสุทธิ์ของข้าหรือไม่?”
เมื่อเซียวเหยียนและหลินต้งได้ยินคำพูดของจักรพรรดิฟ้าก็ชะงักชั่วครู่ก่อนจะแลกเปลี่ยนสายตากันพลางคลี่ยิ้ม แม้ว่าจักรพรรดิฟ้าจะเป็นจอมยุทธ์น่าเกรงขามในยุคโบราณและวิชาสามพิสุทธิ์ก็ยังเป็นวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนวนสามสิบหกกระบวนท่า แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั่วไปก็ยังได้ถูกดึงดูดไว้เหนียวแน่น
ทว่าแม้วิชาสามพิสุทธิ์จะทรงพลัง ก็ยังไม่เพียงพอที่พวกเขาจะถูกล่อลวง พวกเขามั่นใจว่าทักษะที่คิดค้นขึ้นเองไม่ได้ด้อยไปกว่าวิชาสามพิสุทธิ์
นอกจากนี้หากพวกเขาเรียนรู้วิชาสามพิสุทธิ์ นั่นก็หมายความว่าพวกเขาได้รับมรดกและการถ่ายทอดจากจักรพรรดิฟ้า ซึ่งนี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะยอมรับได้ง่ายๆ
พวกเขาให้ความเคารพจักรพรรดิฟ้าเนื่องจากเป็นจอมยุทธ์ทรงคุณธรรม แต่พวกเขาไม่ต้องการรับมรดก นอกจากนี้ยังมีเด็กรุ่นหลังอยู่ที่นี่ด้วย ดังนั้นคงจะเป็นเรื่องตลกถ้าพวกเขาแข่งขันกับลูกหลานเพื่อรับมรดก
ทั้งสองอมยิ้ม “โอกาสดีเช่นนี้เก็บไว้ให้คนที่ชะตาต้องกันเถอะ”
จักรพรรดิฟ้ายิ้มดูไม่ได้แปลกใจ เขาบอกได้เลยว่าทั้งสองคนนี้ไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา กระทั่งตัวเขาในจุดสูงสุดก็ยังไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้ ดังนั้นทั้งสองจึงไม่อยากได้วิชาสามพิสุทธิ์ไป ยิ่งกว่านั้นที่เขาถามก็แค่ลองใจ เนื่องจากเขามีตัวเลือกที่ดีกว่าที่จะเป็นผู้สืบทอดอยู่ในใจแล้ว
จักรพรรดิฟ้าหันมามองมู่เฉินพลางยิ้มให้ “แล้วเจ้าล่ะ?”
มู่เฉินอึ้งไปที่จู่ๆ จักรพรรดิฟ้าก็จ้องมองมาที่เขา พิจารณาคำพูดก่อนหน้า เขาคิดว่าวิชาสามพิสุทธิ์คงจะตกอยู่ในมือเซียวเหยียนหรือไม่ก็หลินต้ง แม้ว่าเขาจะรู้สึกเสียดาย แต่ก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากมายนัก เป้าหมายของตัวเขาสำเร็จลุล่วงได้รับร่างเทพสุริยะนิรันดร์แล้ว ดังนั้นเขาจึงพอใจอย่างมาก
แต่ใครจะไปคิดว่าเซียวเหยียนกับหลินต้งจะปฏิเสธ ตามมาด้วยจักรพรรดิฟ้าถามเขา นอกจากนี้จักรพรรดิฟ้ายังมองดูเขาด้วยความชื่นชม ความจริงที่เขาสามารถสร้างร่างเทพสุริยะนิรันดร์ได้ดึงดูดความสนใจของจักรพรรดิฟ้ามากเลยทีเดียว
จิ่วโยวผลักมู่เฉินออกมาจากด้านข้างอย่างรวดเร็ว นี่เป็นโอกาสที่ดี หากมู่เฉินได้รับวิชาสามพิสุทธิ์ก็จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเขาอย่างแน่นอน
ภายใต้สายตาของทุกคนมู่เฉินก็พยักหน้าอย่างจริงจัง “ข้าได้ยินชื่อเสียงของวิชาสามพิสุทธิ์มานาน ข้าอยากได้ แต่กลัวว่าตัวเองจะไม่มีพรสวรรค์และโชคมากพอ”
เซียวเหยียนและหลินต้งพยักหน้าเบาๆ ไม่ผิดสำหรับพวกเขาที่จะปฏิเสธวิชาสามพิสุทธิ์ ในเมื่อพวกเขามีคุณสมบัติที่จะทำเช่นนั้น แต่ถ้าเป็นมู่เฉินทำก็เท่ากับเสแสร้ง วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดเป็นอะไรที่แม้แต่จอมยุทธ์ทรงพลังคนอื่นๆ ก็ถูกดึงดูด ไม่ต้องพูดถึงมู่เฉินเลย ดังนั้นเมื่อมู่เฉินยอมรับอย่างเต็มภาคภูมิก็แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนตรงไปตรงมายิ่งนัก
“ฮ่าๆ เยี่ยม! เจ้าตรงดีจริงๆ” จักรพรรดิฟ้ายิ้มพลางพยักหน้า เห็นได้ชัดว่าพอใจกับคำตอบของมู่เฉิน
“โชคชะตาของเจ้าเชื่อมโยงกับข้า ในเมื่อเจ้าสามารถสร้างร่างเทพสุริยะนิรันดร์ได้ เพื่อไม่ให้คัมภีร์ระดับเสินทงขั้นสุดยอดสูญหาย ข้าจะถ่ายทอดวิชานี้ให้เจ้าเอง”
มู่เฉินรู้สึกตื่นเต้นในใจเมื่อได้ยินคำพูดของจักรพรรดิฟ้า เขาประสานมือคำนับทันที
“ฮ่าๆ เป็นเรื่องน่าดีใจที่ท่านจักรพรรดิฟ้าจะได้ผู้สืบทอด” เมื่อเซียวเหยียนเห็นจักรพรรดิฟ้าคิดจะถ่ายทอดวิชาสามพิสุทธิ์ให้มู่เฉิน เขาก็ยิ้ม เขาค่อนข้างพอใจกับชายหนุ่มคนนี้ ดูเหมือนว่าสายตาของบุตรสาวเขาจะดีเลยทีเดียว
“จอมปีศาจทุนเทียนถูกทำลายสิ้นซากแล้ว ดังนั้นพวกข้าคงไม่อยู่ต่อ”
เซียวเหยียนและหลินต้งพูดขึ้นในเวลาเดียวกัน จักรพรรดิฟ้ากำลังจะถ่ายทอดวิทยายุทธขั้นสุดยอดให้มู่เฉิน ดังนั้นจึงไม่เหมาะสำหรับพวกเขาที่จะอยู่ที่นี่
จักรพรรดิฟ้าประสานมือให้ทั้งสอง “จักรวรรดิปีศาจไม่เคยคิดยอมแพ้ พวกมันตั้งใจจะทำลายมหาพันภพ อนาคตข้าขอฝากไว้ในมือพวกเจ้าทั้งสอง”
เซียวเหยียนและหลินต้งพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม จักรวรรดิปีศาจต่างมิติเป็นศัตรูคู่อาฆาตของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงให้ความสนใจกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ
เซียวเหยียนหันไปหามู่เฉินสะบัดมือพร้อมรอยยิ้ม ตะเกียงเก่าพุ่งไปทางมู่เฉิน เขาก็คว้ารับไว้อย่างรวดเร็ว
“มู่เฉินขอบใจมากที่ช่วยชีวิตลูกสาวข้าไว้ หากเจ้าเผชิญกับอันตรายใดในอนาคตต้องการขุมกำลังแคว้นหวู่จิ้งฮั่วของข้าสนับสนุน ก็จุดตะเกียงนี้ซะ ข้าจะมาช่วยด้วยตัวเองทันที” เซียวเหยียนยิ้ม
เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดนี่ก็ตกใจ นี่ไม่ใช่ของขวัญธรรมดา เทียบเท่ากับโอกาสในการเรียกยอดยุทธ์ทรงพลังแห่งมหาพันภพ นี่คือตัวช่วยชีวิตอันล้ำค่าที่แท้จริง
ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนมากเท่าไรที่ทำทุกวิถีทางเพื่อจะได้รับสิ่งที่สามารถเชิญจอมยุทธ์อย่างเทพจักรพรรดิอัคคีมาช่วย
ขณะที่มู่เฉินกำลังตกตะลึง หลินต้งก็ยิ้มบาง “ในเมื่อพี่เซียวให้สิ่งนี้ ข้าคงต้องทำอะไรบางอย่างเช่นกัน ไม่งั้นยัยหนูของข้าคงบ่นไม่เลิก”
เขาสะบัดนิ้วหินสลักอักขระพุ่งไปหามู่เฉิน “สิ่งนี้คล้ายกับตะเกียงนั่น ขยี้มันแล้วข้าก็จะสัมผัสได้ทันที”
มู่เฉินครุ่นคิดสั้นๆ หลังจากได้รับของมาก่อนที่จะประสานมือคารวะหลินต้งและเซียวเหยียน “ข้าจะไม่ลืมพระคุณนี้จากผู้อาวุโสทั้งสองอย่างแน่นอน”
ด้วยความเฉลียวฉลาดของตนเอง เขาบอกได้ว่าทั้งสองคนกำลังให้ความคุ้มครองกับเขาอยู่ เส้นทางของยอดยุทธ์ที่โดดเด่นจำเป็นต้องฝ่าฟันอุปสรรคนานัปการ ผู้คนจำนวนมากล้มหายตายจากไปก่อนที่จะก้าวขึ้นสู่ความยิ่งใหญ่ ดังนั้นพวกเขาจึงมอบวัตถุนี้ให้เขาเพื่อที่จะได้ให้ความคุ้มครองแก่เขา
หลินต้งและเซียวเหยียนต่างตกใจเพราะไม่คิดว่ามู่เฉินจะเข้าใจความตั้งใจได้ถึงขนาดนี้ พวกเขาแลกเปลี่ยนสายตากันพลางยิ้ม ชายหนุ่มคนนี้ฉลาดมาก ดูเหมือนว่าในอนาคตความสำเร็จของเขาจะไม่ธรรมดา
พวกเขาสองคนพบเจอความยากลำบากมาพอสมควร ดังนั้นจึงไม่คิดดูหมิ่นชายหนุ่ม แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะยืนบนจุดสูงของมหาพันภพ แต่เนื่องจากศักยภาพของชายหนุ่มคนนี้ พวกเขาก็เต็มใจที่จะสร้างความสัมพันธ์อันดีด้วย
“มู่เฉินไปหาข้าที่แคว้นหวูถ้ามีโอกาสนะ” หลินจิ้งกล่าวด้วยความไม่อยากจากไป แต่ในเมื่อบิดามาแล้ว นางก็ทำได้แค่กลับไปเท่านั้น
“แล้วก็เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องหนี้ของแคว้นเซี่ยนะ ข้าจะไปทวงให้เอง เดี๋ยวจะเอามาแบ่งให้เจ้าเอง” แม้กระทั่งเวลานี้ นางก็ไม่ลืมหนี้ที่แคว้นเซี่ยค้างไว้
“กลับไปครั้งนี้ข้าจะพยายามบรรลุระดับตี้จื้อจุน หวังว่าครั้งหน้าเจ้าจะไม่ถูกข้าแซงหน้าไปนะ” เซียวเซียวก็ยิ้มทรงเสน่ห์
มู่เฉินยิ้มพยักหน้าร่ำลากับสหายทั้งสองคน
หลังจากการกล่าวคำอำลาเทพจักรพรรดิทั้งสองก็พาบุตรสาวไปจากสุสานจักรพรรดิฟ้า
มู่เฉินมองเทพจักรพรรดิทั้งสองที่จากไปก็ฝันที่จะก้าวไปถึงระดับนั้น นั่นคือการเป็นหนึ่งในใต้หล้า พวกเขาสามารถแบกรับท้องฟ้าที่ถล่มลงได้เลย
“เมื่อมหาพันภพมีบุคคลเช่นนี้ค่อยปกป้องอยู่ ต่อให้จักรวรรดิปีศาจจะบุกเข้ามาอีกครั้ง เราก็คงสามารถต้านรับเอาไว้ได้” จักรพรรดิฟ้าถอนหายใจก่อนที่จะหันมามองมู่เฉิน “วิชาสามพิสุทธิ์ถูกส่งผ่านทางจิตวิญญาณ ด้วยวิธีนี้เจ้าจะสามารถรับวิธีการเพาะบ่มและประสบการณ์ทั้งหมดของข้าด้วย ซึ่งจะช่วยให้เจ้าประสบความสำเร็จในระยะเวลาอันสั้น”
การให้ความรู้แบบนี้มีประโยชน์อย่างมากต่อมู่เฉิน แต่คนที่ทำจะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมาก ทว่าจักรพรรดิฟ้าสิ้นชีพไปแล้ว ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่สนใจการเจ็บปวดดังกล่าว
ดังนั้นเมื่อได้ยินมู่เฉินจึงพยักหน้าด้วยความขอบคุณ
“แต่เมื่อเจ้าประสบความสำเร็จวิชาสามพิสุทธิ์ ร่างรองจะมีความแข็งแกร่งคล้ายกับร่างหลัก นอกจากนี้ยังมีศักยภาพในการพัฒนา ดังนั้นข้าขอแนะนำให้เจ้าฝึกฝนหลังจากบรรลุระดับตี้จื้อจุน ด้วยวิธีนี้ร่างรองจะมีความแข็งแกร่งในระดับตี้จื้อจุนด้วย”
มู่เฉินอึ้งไปกับข้อมูลนี้ เมื่อพูดถึงระดับหนึ่งวิชาสามพิสุทธ์ก็คล้ายคลึงกับการสร้างฝาแฝด เพียงว่าวิชานี้ลึกซึ้งยิ่งกว่า ไม่เพียงแต่จะมีความแข็งแกร่งอย่างเต็มรูปแบบของร่างหลัก แต่ยังมีศักยภาพในการฝึกฝนและพัฒนาให้แข็งแรงขึ้นเองอีกด้วย
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมจักรพรรดิฟ้าถึงสามารถต่อสู้กับจอมปีศาจทุนเทียนทั้งเก้าได้
แต่…ตัวเขายังมีระยะห่างจากระดับตี้จื้อจุนพอสมควร ซึ่งจุดนี้หยุดความก้าวหน้าของอัจฉริยะหลายคนมานักต่อนักแล้ว
แม้ว่าเขาจะมีความมั่นใจในความสามารถของตัวเอง แต่ก็ประเมินได้ว่าถ้าพึ่งพาพลังตนเองก็ยังต้องใช้เวลาสักระยะถึงจะสัมฤทธิ์ผล
เมื่อจักรพรรดิฟ้าเห็นท่าทางของมู่เฉินก็รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เขายิ้มมองไปที่กระบี่เกล็ดจักรพรรดิในมือ “ในเมื่อเจ้าเป็นผู้สืบมรดกของข้า ข้าก็ต้องให้โอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแก่เจ้า”
“พรสวรรค์ของเจ้าช่างโดดเด่นด้วยรากฐานที่ลึกและคลื่นหลิงที่มั่นคง ข้าสามารถใช้กระบี่เกล็ดจักรพรรดิช่วยเจ้าในการพัฒนาเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุน”
“แต่ถ้าทำอย่างนั้นกระบี่เกล็ดจักรพรรดิก็จะหมดพลัง” ขณะที่พูดจักรพรรดิฟ้าก็รู้สึกถึงความเสียดาย
หัวใจของมู่เฉินเต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน พลังของกระบี่เกล็ดจักรพรรดิเป็นอะไรที่ยากพูดถึง วัตถุนี่เป็นวัตถุที่แม้แต่อาวุธมหสวรรค์ขั้นสูงก็ยังไม่สามารถเทียบเคียงได้ ขนาดจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนยังน้ำลายสอด้วยความอยากได้ แต่ตอนนี้กลับจะถูกใช้เป็นราคาเพื่อช่วยเขาในการพัฒนา บุญคุณนี้มากเกินไปแล้ว
“อย่าปฏิเสธ หากเจ้าสามารถก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนในอนาคต เจ้าก็จะสามารถกู้คืนสภาพมันได้ เมื่อไรที่จักรวรรดิปีศาจต่างมิติบุกเข้ามาก็จงใช้กระบี่นี้ฟาดฟันพวกมันให้สิ้นซาก” จักรพรรดิฟ้ายิ้มเมื่อเห็นอารมณ์ที่ซับซ้อนของมู่เฉิน
เมื่อมองไปที่รอยยิ้มของจักรพรรดิฟ้า มู่เฉินก็ไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว เขาได้แต่ประสานมือคำนับ ซึ่งนั่นเป็นท่าคำนับในฐานะศิษย์แล้ว
“ศิษย์รับทราบ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น