หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1175-1184

 บทที่ 1175 ศึกอาวุธมหสวรรค์

เมื่อป้ายหินสีดำปรากฏในมือจาโหลหลัว


คลื่นสาดซัดก็สะท้อนออกมาพร้อมกับน้ำสีดำที่กวาดออกไปไม่สิ้นสุด เปลี่ยนพื้นที่แห่งนี้ให้กลายเป็นมหาสมุทรสีดำ


จาโหลหลัวยืนอยู่เหนือมหาสมุทรมองไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชา


“ไม่คิดว่าต้องนำป้ายขวางสมุทรออกมาเพื่อจัดการแก มู่เฉิน… แกนี่สุดยอดจริงๆ!” จาโหลหลัวพูดขึ้นด้วยเสียงน่ากลัว ป้ายขวางสมุทรเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นต่ำที่ประมุขตำหนักเทพปีศาจจ่ายราคาไปมากกว่าจะได้มาและที่มอบให้เขาก็เพื่อสนับสนุนการทำภารกิจให้สำเร็จ


ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของจาโหลหลัวบวกกับความช่วยเหลือจากป้ายขวางสมุทร แม้ว่าจะยังไม่สามารถต่อกรกับระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นได้ แต่ก็ทำให้เขาสามารถฆ่าจอมยุทธ์ทุกคนที่อยู่ต่ำกว่าระดับตี้จื้อจุนได้ อย่างง่ายดาย


เพราะพลังของอาวุธมหสวรรค์ไม่ใช่สิ่งที่อาวุธพบสวรรค์และเสมือนมหสวรรค์จะสามารถเทียบเคียงได้


แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นบางคนยังไม่มีอาวุธมหสวรรค์ขั้นต่ำแบบนี้ครอบครอง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหายากเพียงใด


“อาวุธมหสวรรค์ขั้นต่ำเรอะ”


มู่เฉินยกสายตามองไปที่มหาสมุทรสีดำด้วยความประหลาดใจ เนื่องจากพลังนั่นทำให้แม้แต่เขายังกริ่งเกรงอยู่เล็กน้อย


ดูเหมือนครั้งนี้จาโหลหลัวจะเตรียมตัวมาพร้อม แต่น่าเสียดายที่อาวุธมหสวรรค์ขั้นต่ำไม่เพียงพอที่จะควบคุมสถานการณ์ปัจจุบัน


เนื่องจากมู่เฉินก็มีด้วยเหมือนกัน!


มู่เฉินยิ้ม จากนั้นก็ถือพัดขนนกสีเขียวพร้อมกับจุดจื้อจุนไห่ปรากฏขึ้นอย่างคลุมเครือ ดันคลื่นยกสูงขึ้นหมื่นจั้ง คลื่นหลิงหลั่งไหลออกมาอย่างต่อเนื่องพุ่งเข้าใส่พัด


ฮึ่ม ฮึ่ม


ขณะที่พลังงานพุ่งเข้ามา พัดขนนกก็ส่งเสียงครางกระหึ่ง เริ่มขยายตัวและกลายเป็นพัดใบลาน


บนตัวพัดปกคลุมไปด้วยลวดลายโบราณลึกซึ้ง ทุกเส้นสายบรรจุด้วยคลื่นหลิงทรงพลัง


“พัดเทพสายลม!”


ทันใดนั้นมู่เฉินก็โบกพัด พายุสีฟ้าอมเขียวกวนตัวขึ้นมาในบริเวณนี้ก่อนที่จะแยกออกเป็นทอร์นาโดนับไม่ถ้วนล้อมรัศมีหมื่นจั้งรอบมู่เฉินไว้


พายุทอร์นาโดทำให้มิติบิดเบี้ยวจนแตกออก ใครก็ตามที่เข้ามาในระยะก็จะได้รับการโจมตีรุนแรง


ซึ่งสามารถบดจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าให้กลายเป็นเนื้อสับได้เลยทีเดียว


พายุทอร์นาโดปรากฏขึ้นใต้ฝ่าเท้าที่มู่เฉินยืนอยู่ก่อนจะยกตัวขึ้นพุ่งไปหาจาโหลหลัวในที่สูง จากนั้นเขาก็ยิ้มขณะโบกพัดในมือ “บังเอิญจริงๆ ข้าก็มีอาวุธมหสวรรค์เหมือนกัน”


ใบหน้าของจาโหลหลัวเปลี่ยนไปอย่างเคร่งขรึม สายตาจับจ้องไปที่พัดขนนกของมู่เฉิน เขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะอาวุธมหสวรรค์ขั้นต่ำเช่นกัน


จำนวนไพ่ตายของมู่เฉินเกินความคาดหมายของจาโหลหลัวไปไกล


“ถ้างั้นก็มาดูกันว่าอาวุธมหสวรรค์ของใครเจ๋งกว่ากัน!” จาโหลหลัวเค้นเสียงเย็น ตอนนี้ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว หนึ่งในพวกเขาต้องตาย เนื่องจากทั้งสองไม่มีโอกาสรับร่างเทพสุริยะนิรันดร์ไปพร้อมกัน!


ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาจะใช้ศพของมู่เฉินเป็นหินรองเท้าสร้างร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของเขาขึ้น!


“กระแสเทพสังหาร!”


ตราประทับในมือของจาโหลหลัวระเบิดแสงสีดำขณะที่เขาส่งเสียงคำราม มหาสมุทรสีดำหมุนคว้างรุนแรงตามด้วยคลื่นขนาดใหญ่โอบล้อมมู่เฉิน


คลื่นสีดำปกคลุมดวงอาทิตย์ทำให้เกิดเงายาวนับไม่ถ้วนดูน่าสะพรึงกลัวนัก


การยืมพลังอาวุธมหสวรรค์ ทำให้กระบวนท่าการโจมตีของจาโหลหลัวเกินขอบเขตระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มไปแล้ว


คลื่นสีดำถูกระงับ แต่มู่เฉินก็ไม่ตื่นตระหนก เขาโบกพัดในมือ “ทอร์นาโดเทพสายลม!”


ฟู่ ฟู่!


มวลลมเข้าครอบงำทั่วบริเวณนี้และรวมตัวเป็นพายุทอร์นาโดสีฟ้าอมเขียวราวกับมังกรหยกขนาดมหึมา


ครืน!


พายุทอร์นาโดสีฟ้าอมเขียวกวาดผ่าน จากนั้นก็ปะทะกับคลื่นสีดำจนทั่วฟ้าดินสั่นสะเทือนไปหมด


ซ่า ซ่า!


คลื่นมหึมาถล่มลงมาเป็นเม็ดฝนและพายุทอร์นาโดสีฟ้าอมเขียวก็กระจายออกไปราวกับใบมีดเฉือนไปทั่ว


เม็ดฝนปกคลุมพื้นที่ของมู่เฉิน ขณะที่พายุปกคลุมพื้นที่ของจาโหลหลัว


ฝนสีดำสร้างหลุมอุกกาบาตบนพื้นดินอย่างรวดเร็ว ความสามารถในการกัดกร่อนเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าก็ไม่สามารถต้านทานได้ หากโดนตัวเข้าศพก็คงไม่มีเหลือไว้


ส่วนพายุสีฟ้าอมเขียวก็คมกริบจนทิ้งรอยไว้ในพื้นที่โดยรอบ


พลังทำลายล้างในการโจมตีที่ปลดปล่อยโดยอาวุธมหสวรรค์เกินความคาดหมาย ดังนั้นทั้งคู่จึงไม่กล้าที่จะดูถูกกันเลย


มู่เฉินใช้พายุรุนแรงห่อหุ้มตัว ส่วนจาโหลหลัวมีมหาสมุทรสีดำก่อตัวเป็นกำแพงกั้น


พวกเขามองกันและกันระยะไกลพร้อมกับไอสังหารหนาแน่นในดวงตา


ทั้งคู่รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ธรรมดาและในเมื่อพวกเขาเป็นศัตรูคู่อาฆาต พวกเขาก็ต้องกำจัดอีกฝ่ายไม่ให้เติบโตเป็นภัยพิบัติได้


ตู้ม!


ดังนั้นทั้งสองจึงได้กระตุ้นอาวุธเทพทันที เทพลังงานเข้าไป ทั้งภูมิภาคกลายเป็นดินแดนของพายุสีฟ้าอมเขียวและน้ำสีดำ


ครืนๆๆๆ!


น้ำสีดำพวยพุ่งออกมาในรูปลักษณ์ของมังกรวารี ก่อนที่จะถูกพายุสีฟ้าอมเขียวฉีกออกจากกัน


การปะทะกันระหว่างทั้งสองดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ขนาดของการโจมตีเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นก็ยังต้องเผชิญอย่างจริงจัง


ครืน!


คลื่นกระแทกทรงพลังอีกระลอกเข้าครอบงำ ทั่วทั้งภูมิภาคเต็มไปด้วยเม็ดฝนสีดำและพายุรุนแรง ร่างมู่เฉินและจาโหลหลัวกระตุกจากคลื่นกระแทก ก่อนที่จะถูกผลักให้ถอยห่างออกไป


ใบหน้าของทั้งสองซีดขาวลง เนื่องจากการเร้าใช้อาวุธมหสวรรค์ ต้องใช้พลังงานหลิงมหาศาล ก่อนหน้านี้ทั้งคู่ต่างได้ใช้ของเหลวจื้อจุนช่วย


นั่นก็หมายความว่าในเวลาเพียงสิบนาทีสั้นๆ พวกเขาก็เผาผลาญของเหลวจื้อจุนไปหลายล้านหยดแล้ว


ทั้งสองไม่มีทางเลือกเนื่องจากไม่ใช่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน พวกเขาไม่สามารถใช้พลังงานหลิงรอบตัวเพื่อสนับสนุนการใช้งานอาวุธมหสวรรค์ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องพึ่งพาของเหลวจื้อจุนเท่านั้น


แน่นอนว่าพวกเขาสามารถพึ่งพาคลื่นหลิงของตนได้เช่นกัน แต่ในการต่อสู้ระดับนี้คลื่นหลิงมีค่าอย่างยิ่งเนื่องจากพวกเขารู้ว่าคนแรกที่แสดงสัญญาณความเหนื่อยล้าจะตกอยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบ


พลังอำนาจของอาวุธมหสวรรค์น่ากลัวอย่างแท้จริง แต่ราคาที่ต้องจ่ายก็น่ากลัวยิ่งสำหรับพวกเขา หากเป็นเช่นนี้ต่อไปทั้งคู่จะถูกดูดพลังจนแห้งกรอบ


ดวงตาทั้งสองต่างกะพริบวูบไหวในเวลานี้


จาโหลหลัวรู้สึกจำนนเล็กน้อยเนื่องจากในตอนแรกที่เขานำตราประทับออกมาก็ด้วยความตั้งใจที่จะฆ่ามู่เฉินในทันที แต่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่ามู่เฉินจะมีอาวุธมหสวรรค์ที่อยู่ในระดับเดียวกัน ซึ่งทำให้การต่อสู้ยกนี้เข้าสู่ทางตัน


ทว่าการสู้ต่อไปเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง ถ้าเกิดคลื่นหลิงหมดลงจะทำอย่างไรดี?


แม้ว่ามู่เฉินจะมีความเป็นไปได้สูงกว่าที่จะตกอยู่ในสถานการณ์นั้นเช่นกัน แต่จาโหลหลัวก็ไม่เต็มใจที่จะเสี่ยงโชคในการต่อสู้ยกนี้


ดังนั้นเขาต้องยุติการต่อสู้ยกนี้ก่อนที่จะหมดแรงลง


จาโหลหลัวเป็นคนเด็ดขาด เมื่อเขาตัดสินใจได้ก็โบกมือ ตราประทับในมือหายไปทันที


ขณะเดียวกันมู่เฉินก็เก็บพัดเทพสายลมไปด้วยเช่นกัน


ในที่สุดฝนเกรี้ยวกราดและลมพายุโกรธคลั่งในมิตินี้ก็สงบลงอย่างช้าๆ


ทั้งสองคนยืนอยู่บนเสาสีทองคนละต้นพร้อมกับไอสังหารหนาแน่นปะทะกันเปรี้ยงปร้างในเส้นทางของสายตา


ทว่าทันใดนั้นทั้งสองก็หลับตาลงพร้อมกัน


เกลียวแสงสีดำเชี่ยวกรากถูกปลดปล่อยออกมาจากจาโหลหลัวค่อยๆ ก่อตัวเป็นร่างเงาขนาดใหญ่


ร่างเงาใหญ่นั่งอยู่เบื้องหลังเขาโดยมีดวงตะวันทรงกลดหมุนคว้างอยู่ด้านหลังศีรษะ


เมื่อร่างเงาสีดำปรากฏขึ้น ร่างเงาสีทองก็พลุ่งพล่านออกมาจากทิศทางของฝ่ายตรงข้าม ร่างสีทองก่อตัวขึ้นที่ด้านหลังมู่เฉิน


ร่างเงาทั้งสองคล้ายคลึงกัน แต่แค่มีสีแตกต่างกัน


ร่างเงาสีดำราวกับหลุมดำ ขณะที่ร่างเงาสีทองราวกับดวงอาทิตย์ส่องแสงจ้า


พวกเขาลืมตาขึ้นพร้อมกันอย่างกะทันหัน วาดกระบวนท่าคล้ายกันพร้อมกับเสียงคำรามดังก้องไปทั่วมิตินี้


“ร่างเทพสุริยะ!”


ร่างเทพสุริยะยิ่งใหญ่ทั้งสองยืนเผชิญหน้ากันด้วยเจตนาสังหาร!


บทที่ 1176 ศึกร่างเทพสุริยะ

บนจัตุรัสสีทอง


ร่างขนาดใหญ่สองร่างพร้อมกับความผันผวนของคลื่นหลิงน่าเกรงขามกวนตัว ทำให้มิติสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น


สำหรับการต่อสู้ยกตัดสินชะตามู่เฉินและจาโหลหลัวเลือกใช้ร่างเทพสุริยะแล้ว


พวกเขามีลางสังหรณ์ว่าหากต้องการเอาชนะอีกฝ่าย พวกเขาก็ต้องใช้ร่างเทพสุริยะเท่านั้น


จาโหลหลัวยืนอยู่บนไหล่ของร่างเทพสุริยะสีดำทะมึนพร้อมภาพร่างเงาสีทองสะท้อนในดวงตาพูดว่า “มู่เฉิน ถ้าแกยอมทำลายร่างเทพสุริยะตอนนี้ ข้าจะปล่อยแกไป”


ทว่ามู่เฉินเพิกเฉยต่อคำพูดของจาโหลหลัวเป็นการตอบสนอง


จาโหลหลัวไม่ได้แปลกใจกับปฏิกิริยานั่น ทว่าไอสังหารกลับยิ่งเข้มข้นในดวงตา “ในเมื่อแกเรียกร้องหาความตาย ข้าก็จะสนองความปรารถนานั่นให้เอง”


พูดจบเขาก็กระทืบฝ่าเท้า ดวงตะวันสีดำลุกโชนขึ้นจากร่างเทพสุริยะก่อนจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ


ฟู่ ฟู่!


กระแสสีดำพัดออกมาจากร่างเทพสุริยะก่อนที่จะรวมตัวกันใต้ฝ่ามือของมัน


ช่างดูเหมือนอสรพิษที่เปล่งพลังการกลืนกินที่น่ากลัวอย่างคลุมเครือ ราวกับว่าพวกมันสามารถกลืนกินกระทั่งแสงที่ส่องลงมา


“ทักษะเทห์สวรรค์ เปิดแปดตะวัน อสรพิษปีศาจ!”


จาโหลหลัวคำราม อสรพิษก็กระโจนออกมา การเคลื่อนไหวช่างผิดแผกมาก พวกมันสามารถรวมเข้ากับมิติได้


ดังนั้นเพียงอึดใจเดียวมู่เฉินก็รู้สึกได้ว่าความมืดปกคลุมไปในพื้นที่แห่งนี้ ซึ่งทำให้เขาสัมผัสถึงการคุกคาม หากการโจมตีซัดมาแม้แต่คลื่นหลิงของเขาก็จะถูกกลืนกิน


“นี่คือทักษะเทห์สวรรค์ที่เขาสร้างจากกการเปิดแปดตะวันเรอะ?”


มู่เฉินพึมพำในใจ ร่างเทพสุริยะสามารถเปิดได้ถึงเก้าตะวัน แต่จะใช้และสร้างทักษะอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับผู้ฝึกแต่ละคน เห็นได้ชัดว่าทักษะของจาโหลหลัวที่เผยออกมาแตกต่างกับเขาอย่างสิ้นเชิง


ทว่ามู่เฉินก็ยังคงฉายสีหน้าสงบนิ่งขณะที่วาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว ทันใดนั้นแสงสีทองไร้ขอบเขตก็ผลิบานออกมาจากร่างเทพสุริยะ ดวงตะวันเคลื่อนขึ้นมาจากร่างยิ่งใหญ่


“เปิดแปดตะวัน กงล้อแสงสวรรค์!”


นิ้วมู่เฉินแตะอากาศ แสงสีทองก็ควบแน่นเป็นกงล้อรอบร่างเทพสุริยะก่อนที่จะหมุนคว้างไปอย่างช้าๆ


ฮึ่ม!


เมื่อกงล้อถูกสร้างขึ้น อสรพิษดำทะมึนก็พุ่งลงมา ฉีกมิติออกจากกันในเส้นทางที่ผ่าน การโจมตีสามารถกลืนกินจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มได้ในทันที


แต่ในขณะที่มันสัมผัสกับกงล้อ ทันใดนั้นกงล้อก็หมุนทวนเข็มนาฬิกา อสรพิษปีศาจก็กระเด็นกลับไปกระแทกกับอสรพิษตัวอื่นที่พุ่งเข้ามา


ชี่ ชี่!


วงจรระเบิดสีดำไม่มีที่สิ้นสุดเกิดขึ้นขณะที่พวกมันกลืนกินซึ่งกันและกัน


แม้ว่ากงล้อแสงสวรรค์ของมู่เฉินจะไม่มีความสามารถในการโจมตีใดๆ แต่ก็ส่งคืนการโจมตีกลับไปยังเจ้าของได้ทั้งหมด


ใบหน้าของจาโหลหลัวเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มเมื่อมองไปที่กงล้อสีทอง อสรพิษปีศาจของเขากลืนกินคลื่นหลิงของฝ่ายตรงข้ามจำนวนมากได้โดยไม่เคยล้มเหลว แต่ในขณะนี้การป้องกันที่สมบูรณ์แบบของมู่เฉินกลับทำให้ไร้ประโยชน์


แต่จาโหลหลัวก็ไม่ได้แปลกใจ เพราะเขารู้อยู่แล้วว่ามู่เฉินเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งตั้งแต่เริ่มต้น ชายคนนี้อาจเทียบได้กับจู้เยี่ยน ดังนั้นหากเขาสามารถกำจัดมู่เฉินได้อย่างรวดเร็วก็น่าสงสัยเกินไป


จาโหลหลัวหลุบตาลง ในเมื่อเปิดแปดตะวันไม่มีผลใดๆ งั้นก็เพิ่มระดับขึ้นกันอีกเถอะ!


จาโหลหลัวยื่นมือออก สร้างตราประทับผิดแผกก่อนที่เขาจะนั่งลงบนศีรษะของร่างเทพสุริยะดำทะมึน


ดวงตะวันสีดำแปดดวงผุดขึ้นมาจากร่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง โดยแต่ละดวงมีพลังทำลายล้างที่น่าสะพรึงกลัว


แต่เมื่อดวงตะวันดวงที่แปดปรากฏขึ้น เมล็ดสีดำก็งอกออกมาจากหัวใจของร่างเทพสุริยะดำทะมึน ขยายตัวไปกลายเป็นดวงตะวันสีดำดวงที่เก้าอย่างรวดเร็ว


ตอนนี้ดวงตาของจาโหลหลัวเปลี่ยนเป็นสีดำมืดอย่างน่ากลัว


ดวงตะวันดวงที่เก้าเป็นขีดจำกัดของทักษะเทห์สวรรค์ของร่างเทพสุริยะแล้ว!


เมื่อมู่เฉินเห็นฉากนี้สายตาก็เคร่งเครียดขีดสุด แต่เขาก็ไม่แปลกใจ ด้วยพรสวรรค์และความแข็งแกร่งของจาโหลหลัวก็สมเหตุสมผลอย่างยิ่งที่จะสามารถเปิดดวงตะวันดวงที่เก้าได้


ฮา


มู่เฉินหายใจเข้าลึกปล่อยกงล้อแสงสวรรค์ เนื่องจากมันไม่มีประโยชน์ในการปะทะกับการโจมตีต่อไปของจาโหลหลัวแล้ว


มีเพียงพลังที่อยู่ในระดับเดียวกันเท่านั้นที่สามารถเผชิญหน้ากันได้


มู่เฉินหลับตาสร้างตราประทับที่ลึกซึ้งพร้อมกับดวงตะวันสีทองเคลื่อนออกมาจากร่างเทพสุริยะ


พริบตาดวงตะวันดวงที่แปดก็ปรากฏขึ้น


แต่มู่เฉินก็ไม่ได้หยุด จุดจื้อจุนไห่ที่อยู่ข้างหลังเทพลังงานเข้าไปในร่างยิ่งใหญ่อย่างบ้าคลั่ง


เกลียวแสงแวววาวสีทองปรากฏขึ้นที่หัวใจร่างยิ่งใหญ่ ก่อนที่จะกระจายออกไปอย่างรวดเร็วกลายเป็นดวงตะวันสีทอง


ดวงตะวันดวงที่เก้า!


มู่เฉินลืมตามองไปที่จาโหลหลัวพร้อมกับเจตนาฆ่าพวยพุ่งออกมาจากทั้งคู่ ช่วงเวลาต่อมาตราประทับของพวกเขาก็เปลี่ยนไปพร้อมกัน


“เปิดเก้าตะวัน หลุมปีศาจ!”


“เปิดเก้าตะวัน ธงเทพ!”


ทั้งสองคำรามลั่น คลื่นแสงสีดำพุ่งออกมาจากจาโหลหลัวกลายเป็นหลุมดำปีศาจไร้ก้น ซึ่งดูเหมือนว่าสามารถกลืนกินได้แม้กระทั่งสวรรค์และโลก


น่ากลัวจนทำให้เกิดรอยแตกแผ่กระจายราวกับใยแมงมุมบนพื้นดินเบื้องล่าง


ทางด้านมู่เฉินแสงสีทองเชี่ยวกรากก่อตัวขึ้นเป็นธงสีทองพร้อมกับดวงตะวันเก้าดวง เปล่งความผันผวนของสวรรค์ แม้แต่หลุมดำปีศาจก็ไม่สามารถสั่นคลอนได้


จากมุมหนึ่งการโจมตีของพวกเขาครั้งนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าวิทยายุทธระดับเสินทงที่พวกเขาใช้มาก่อนหน้าเสียอีก


ทักษะของร่างเทพสุริยะทรงพลังอย่างแท้จริง!


“จงกลายเป็นเถ้าถ่านในหลุมดำปีศาจของข้า!”


จาโหลหลัวคำรามพร้อมกับท่าทางน่ากลัว ขณะที่หลุมดำปีศาจบีบลงไปหามู่เฉิน


หากมู่เฉินตกลงไปในหลุมดำปีศาจก็จะถูกดูดกลืนคลื่นหลิงจนหมดไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม แม้แต่พลังกายก็จะหยุดชะงัก


ทว่าก็ไม่มีความกลัวใดๆ แม้จะมีสีหน้าเคร่งขรึมปรากฏขณะมู่เฉินมองไป เขาหายใจเข้าลึกธงสีทองโบกที่เบื้องหน้าหน้าหลุมดำปีศาจ


ฮึ่ม ฮึ่ม


ระลอกคลื่นสีทองที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากระจายออกไปพร้อมกับพลังงานลึกซึ้งราวกับว่าการโจมตีใดๆ จะลดลงจนไม่มีอะไรเหลือภายใต้ธงสีทองนี้


แม้แต่หลุมดำปีศาจที่น่ากลัวก็แสดงสัญญาณของการจางหายไปภายใต้คลื่น


ดวงตาของจาโหลหลัวหดลง ธงสีทองของมู่เฉินทำให้พลังงานของหลุมดำปีศาจของเขาจางลงได้ด้วยเรอะ?


“ข้าจะดูสิว่าแกจะโบกได้สักกี่ครั้ง!”


จาโหลหลัวกัดฟันแน่น หลุมดำปีศาจพุ่งออกมาพร้อมกับแสงสีดำมันวาห่อหุ้มเข้าหามู่เฉิน


วาบ! วาบ!


ธงสีทองโบกไปมาอีกครั้ง พลังงานทำให้หลุมดำปีศาจจางลงอย่างต่อเนื่อง จนสุดท้ายก็หยุดหลุมดำปีศาจไม่ให้ห่อหุ้มลงมาได้


แต่ขณะนี้ใบหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนไปเป็นเคร่งเครียด แม้ว่าธงเทพจะมีความสามารถพิเศษเอกลักษณ์ในการกระจายพลังงานใดๆ กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มธรรมดาก็ต้องหมดพลังอย่างสมบูรณ์จนถึงขั้นเป็นคนพิการ ทว่าการโจมตีของจาโหลหลัวก็ไม่ได้หายไป


ตู้ม ตู้ม!


คลื่นกระแทกน่าสะพรึงกลัวกระจายออกไปเมื่อธงเทพและหลุมปีศาจปะทะกัน แต่การต่อสู้ก็ตกลงสู่ทางตันอีกครั้ง


“ไอ้เวร!”


ใบหน้าของจาโหลหลัวเปลี่ยนเป็นขาวสลับดำพร้อมกับเม็ดเหงื่อผุดบนหน้าผาก


นั่นเป็นอาการอ่อนล้า


แน่นอนว่ามู่เฉินก็มีสถานการณ์คล้ายคลึงกันเนื่องจากการโจมตีในระดับนี้สร้างความเหนื่อยล้าให้ทั้งสองอย่างชัดเจน


แต่ถึงอย่างนั้นการต่อสู้ก็ยังไม่ได้ผลลัพธ์


หากยังดำเนินต่อไปทั้งสองคนจะหมดพลังงานแน่นอน


ทว่าสถานการณ์ไม่แน่นอนนั้นไม่ใช่สิ่งที่จาโหลหลัวต้องการจะเห็น


ดังนั้นสายตาของเขาวูบไหว ไม่นานก็กัดฟันเหมือนตัดสินใจอะไรบางอย่าง เขาเงยหน้าขึ้นมองมู่เฉินด้วยสายตามืดมน


รู้สึกถึงการจ้องมองหัวใจของมู่เฉินก็สั่นไหวและรู้สึกไม่สบายใจเบาบาง


“ไม่คิดว่าจะถูกแกบังคับให้มาถึงขั้นนี้”


เสียงต่ำพร่าของจาโหลหลัวดังขึ้น จากนั้นก็กำหมัดแน่น รูปปั้นแกะสลักสีฟ้าอมเขียวปรากฏขึ้นในมือ ดูเหมือนพระพุทธรูปที่มีดวงอาทิตย์สีฟ้าอมเขียวอยู่ด้านหลังศีรษะ


เมื่อมู่เฉินเห็นรูปปั้นนั้นหัวใจก็สั่นไหวด้วยความตกตะลึง


นั่นเพราะเขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนที่คุ้นเคยจากรูปปั้น… ซึ่งเป็นความผันผวนของร่างเทพสุริยะ


รูปปั้นสีฟ้าอมเขียวก็คือร่างเทพสิรุยะ!


แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่จาโหลหลัวฝึกมาเองอย่างแน่นอน เนื่องจากมันมีรัศมีแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง นั่นหมายความว่าเป็นของคนอื่น แต่ร่างเทพสุริยะนั่นล้มเหลวและถูกลดขนาดเป็นรูปปั้น


นอกจากนี้ยังตกอยู่ในมือของจาโหลหลัว!


บทที่ 1177 เปิดสิบตะวัน หัตถ์เทพปีศาจ

รูปปั้นสีฟ้าอมเขียวปรากฏในมือจาโหลหลัว


ทำให้เกิดคลื่นในหัวใจของมู่เฉิน สายตาเขาจ้องเขม็งไปที่รูปปั้นนั่น


“ฮ่าๆ…อยากรู้เหรอ?” เมื่อเห็นมู่เฉินตกตะลึง จาโหลหลัวก็หัวเราะด้วยความเยาะเย้ยในใจ


คิ้วมู่เฉินขมวดเข้าหากันแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา


ทว่าจาโหลหลัวไม่ได้ใส่ใจกับท่าทางนั่น เขาโยนรูปปั้นในมือเล่นพูดว่า “นี่เป็นวัตถุที่ข้าได้รับจากท่านประมุข ว่ากันว่าครั้งหนึ่งมีศิษย์มากพรสวรรค์เคยฝึกฝนร่างเทพสุริยะ ทว่าสุดท้ายก็ล้มเหลว ร่างเทพสุริยะของเขาก็กลายเป็นสิ่งนี้”


“วัตถุนี้อาจไม่มีประโยชน์สำหรับผู้อื่น แต่ไม่ใช่สำหรับคนที่ฝึกฝนร่างเทพสุริยะ นี่เป็นวัตถุสมบูรณ์แบบที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างเทพสุริยะได้ชั่วคราวหากดูดซับเข้าไป”


ใบหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย ที่แท้จาโหลหลัวตั้งใจจะดูดซับสิ่งนี้


“ขอโทษที แต่ครั้งนี้ดูเหมือนข้าจะเป็นคนที่หัวเราะคนสุดท้าย” จาโหลหลัวยิ้มบางให้มู่เฉิน โดยไม่ลังเลก็โยนรูปปั้นออกไป มันถูกกลืนกินโดยร่างเทพสุริยะสีดำมะเมื่อมของเขา


ตู้ม! ตู้ม!


เมื่อรูปปั้นหินสีฟ้าอมเขียวเข้าไปในปากใหญ่ ร่างเทพสุริยะสีดำก็เริ่มสั่นไหวแล้วขยายขนาดอย่างเห็นได้ชัด ในช่วงเวลาไม่กี่อึดใจก็ขยายเป็นหลายเท่าพร้อมกับความผันผวนที่น่ากลัวปะทุออกมา


ฮึ่ม ฮึ่ม


คลื่นกระแทกน่าสะพรึงของพลังงานหลิงแผ่กระจายไปทุกทิศทาง ยับยั้งแสงสีทองจากร่างเทพสุริยะของมู่เฉิน สามในสี่ของภูมิภาคนี้ปกคลุมไปด้วยแสงสีดำ


ใบหน้าของมู่เฉินก็เคร่งเครียดลงอย่างมากในเวลานี้


“ทักษะเทห์สวรรค์ หลุมปีศาจ!”


จาโหลหลัวหัวเราะร่วน จากนั้นก็คำรามดวงอาทิตย์สีดำเก้าดวงลุกโชนก่อตัวเป็นหลุมดำ ราวกับต้องกลืนกินทุกสรรพสิ่ง


เวลานี้ทักษะเทห์สวรรค์เปิดเก้าตะวันของจาโหลหลัวไปไกลเกินกว่าวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเล็กธรรมดาแล้ว!


เผชิญหน้ากับกระบวนท่านี้ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มยังถูกกลืนกิน กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็ไม่กล้าที่จะดูถูก


“มู่เฉินตายซะ! ให้ร่างเทพสุริยะของแกกลายเป็นหินรองเท้าข้าซะ!”


จาโหลหลัวหัวเราะสาแก่ใจไม่หยุด มาถึงจุดนี้เขาอยู่ห่างจากชัยชนะก้าวเดียวเท่านั้น


จาโหลหลัวมองไปที่มู่เฉินเนื่องจากอยากเห็นสีหน้าสะพรึงกลัวที่ฉายออกมา แต่ที่ทำให้เอาอึ้งไปคือมู่เฉินที่ตกตะลึงในตอนแรกได้สงบลงแล้ว


“ถึงตอนนี้แล้วแกยังแกล้งไม่กลัวอีกเรอะ! เรียกร้องหาความตายจริงๆ!” สายตาของจาโหลหลัวมืดครึ้มขณะเค้นเสียงขึ้นจมูก


เผชิญหน้ากับการเสียดสีมู่เฉินก็ไม่ใส่ใจ เขาสูดหายใจเข้าลึกก่อนมองไปที่หลุมดำด้วยประกายประหลาดใจในแววตา


“ไม่คิดว่าแกจะสามารถเร้าพลังคลื่นเก้าตะวันมาถึงระดับนี้”


จาโหลหลัวเย้ยเสียง “นี่คือพลังขีดสูงสุดของร่างเทพสุริยะแล้ว ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่ามีเพียงข้าเท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะพัฒนาไปสู่ร่างเทพสุริยะนิรันดร์!”


“ขีดสูงสุดแล้วเรอะ?”


มู่เฉินพึมพำ จากนั้นรอยยิ้มก็ปราฏบนใบหน้า เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่จาโหลหลัว “ข้าไม่คิดอย่างนั้น”


สีหน้าของจาโหลหลัวเปลี่ยนไปจากคำพูดของมู่เฉิน ขณะที่กำลังจะโต้ตอบอะไรบางอย่าง ก็ได้ยินเสียงมู่เฉินดังก้อง “กระทั่งยืมพลังจากรูปปั้น เจ้าก็ยังอยู่ในขั้นเปิดเก้าตะวันเท่านั้น”


“แต่ขีดจำกัดของร่างเทพสุริยะอาจไม่ได้อยู่แค่เก้าตะวัน”


จาโหลหลัวยิ้มน่าขนลุก “เปิดเก้าตะวันไม่ใช่ขีดจำกัดเหรอ? เฮ้ ไอ้งี่เง่า มีเก้าเมล็ดในร่างเทพสุริยะ ซึ่งเราสองคนได้จุดชนวนหมดแล้ว แกบอกว่านี่ไม่ใช่ขีดจำกัด หรือแกจะสร้างดวงตะวันดวงที่สิบขึ้นมาได้?”


เมื่อฝึกร่างเทพสุริยะสำเร็จก็จะก่อกำเนิดเมล็ดผลึกมหาตะวันทั้งเก้าซึ่งเป็นทักษะเทห์สวรรค์ แต่ตอนนี้มู่เฉินอ้างว่าเปิดเก้าตะวันไม่ใช่ขีดจำกัด แล้วขีดจำกัดอยู่ที่ไหน?


“เปิดสิบตะวัน”


มู่เฉินมองไปที่จาโหลหลัวด้วยรอยยิ้มประหลาดขณะพูดต่อ “แล้วนั่นไม่ใช่เปิดสิบตะวันเหรอ?”


จาโหลหลัวมองตามสายตามู่เฉิน ทันใดนั้นก็สั่นสะท้านในใจ เพราะมู่เฉินกำลังจ้องมองดวงตะวันพราวแสงที่ด้านหลังศีรษะร่างเทพสุริยะ


ใบหน้าของจาโหลหลัวบิดเบี้ยวไปมา “แกโง่หรือเปล่า? ดวงตะวันนั่นเป็นเพียงรูปลักษณ์ของร่างเทพสุริยะเท่านั้น!”


เขาเคยลองสัมผัสดวงตะวันนั่นแล้ว แต่ก็ไม่มีผลลัพธ์ใดๆ คลื่นหลิงที่ถูกเทลงไปนอกจากทำให้สว่างขึ้นก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย


ในมุมมองของจาโหลหลัวนั่นเป็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอกของร่างเทพสุริยะเท่านั้น


“งั้นเหรอ?”


มู่เฉินยิ้ม จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก เขานั่งลงบนศีรษะร่างเทพสุริยะ มือทั้งสองข้างวาดตราประทับ


ฮึ่ม


ทันทีที่เขาวาดตราประทับ ดวงตะวันที่อยู่ด้านหลังศีรษะร่างเทพสุริยะก็ส่งเสียงครางกระหึ่ม ลำแสงสีทองจำนวนมากพวยพุ่งออกมายึดครองฟ้าดินที่ถูกย้อมด้วยหลุมดำ นอกจากนี้ไม่ว่าหลุมดำปีศาจจะทรงพลังเพียงใด แต่ก็ไม่สามารถกลืนกินพลังงานเกลียวสีทองเหล่านั้นได้


ความผันผวนของคลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัวแผ่ออกมาจากดวงตะวันสีทองดวงนั้น


จาโหลหลัวรู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบจากคลื่นพลังนั่นก่อนที่จะอุทานว่า “แกมีคลื่นหลิงน่ากลัวแบบนี้ได้ยังไง?”


มู่เฉินตอบอย่างใจเย็น “พวกเจ้าอยากรู้ไม่ใช่เหรอว่าทำไมการชำระล้างที่สมบูรณ์แบบของข้าถึงดูธรรมดาขนาดนั้น”


จาโหลหลัวตะลึงก่อนที่ใบหน้าจะเปลี่ยนไปรุนแรง “กะ…แกนำพลังชำระล้างขั้นสมบูรณ์ใส่ไปในดวงตะวันนั่นเรอะ? แกบ้าไปแล้ว!”


“คลื่นหลิงที่จำเป็นในการกระตุ้นดวงตะวันดวงที่สิบไปไกลเกินกว่าจินตนาการของแก” มู่เฉินยิ้มบางจากนั้นก็พูดต่อ “แม้ว่าการชำระล้างขั้นสมบูรณ์จะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับข้าได้ แต่ก็ไม่ทำให้ข้าบรรลุระดับตี้จือจุน ในเมื่อเป็นเช่นนั้นทำไมข้าไม่ใช้มันเพื่อเพิ่มพลังและพนันดูว่าการคาดเดาของตัวเองถูกต้องรึเปล่าล่ะ?”


อันที่จริงดวงตะวันที่สิบก็เป็นเพียงการคาดเดาของมู่เฉิน ตอนแรกเขาไม่มั่นใจในเรื่องนี้เช่นกัน แต่ก็ยังคิดทำอยู่ดี


ใบหน้าของจาโหลหลัวบิดเบี้ยว เขานึกไม่ถึงว่ามู่เฉินจะละการชำระล้างขั้นสมบูรณ์ไปสำหรับความไม่แน่นอน


แต่สิ่งที่ทำให้เขาสูญเสียความสงบก็คือความจริงที่มู่เฉินดันประสบความสำเร็จในการพนัน… เจ้านั่นสามารถกระตุ้นดวงตะวันดวงที่สิบได้!


เมื่อมองไปที่ดวงตะวันสีทองขนาดใหญ่ความกลัวก็เริ่มกวนตัวขึ้นในใจของจาโหลหลัว


“อย่าคิดแกล้งทำท่าเขย่าหัวใจข้า ตายซะ!”


ในสุดท้ายจาโหลหลัวก็แผดเสียงคำราม ตอนนี้เขาไม่มีทางถอยอีกแล้ว แม้ว่าจะเป็นเส้นทางมรณะเขาก็ต้องฝ่าไปให้ได้


ตราประทับในมือจาโหลหลัวเปลี่ยนแปลงเร็วรี่ หลุมดำปีศาจบีบกดลงมาหามู่เฉิน


เมื่อมองไปที่หลุมดำปีศาจที่แหวกฉีกมิติ มู่เฉินก็หายใจเข้าลึกใบหน้าดูเคร่งขรึมลงหลายส่วนพลางวาดตราประทับ


ฮึ่ม ฮึ่ม


ดวงตะวันทั้งเก้าดวงเคลื่อนขึ้นมาจากร่างเทพสุริยะแยกออกมาโคจรอยู่รอบๆ


ดวงตะวันดวงใหญ่ที่สุดเป็นจุดศูนย์กลางโดยมีดวงตะวันเก้าดวงหมุนโคจรโดยรอบ


ฮึ่ม ฮึ่ม


จากนั้นแต่ละดวงเริ่มเพิ่มความเร็วก่อนที่จะสัมผัสกับดวงตะวันดวงที่สิบ เกลียวแสงสีทองขนาดใหญ่แผ่ซ่านออกไป


ฟ้าดินถูกย้อมเป็นสีทองอร่าม


ขณะเดียวกันเสียงสะท้อนไม่แยแสของมู่เฉินก็ดังก้อง “ทักษะเทห์สวรรค์ คลื่นสิบตะวัน! เปิดสิบตะวันสิบ!”


“หัตถ์เทพปีศาจ!”


เกลียวแสงสีทองก่อตัวเป็นมือขนาดใหญ่โดยมีดวงตะวันทั้งสิบดวงสลักไว้ช่างดูสมบูรณ์แบบอย่างไม่น่าเชื่อพร้อมกับอำนาจอันเป็นเอกลักษณ์


เมื่อมองจากระยะไกลมือขนาดใหญ่ก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้าพร้อมกับความกดดันที่อธิบายไม่ได้แผ่ออกมาบดขยี้หลุมดำปีศาจ


ปัง!


หลุมดำปีศาจที่ทำให้มู่เฉินรู้สึกกริ่งเกรงเปราะบางราวกับไข่ในขณะนี้ มันแตกตัวเสี่ยงๆ คลื่นหลิงสีดำก็กวาดหายนะออกไป ทว่าก็ไม่สามารถแม้แต่จะสั่นสะเทือนมือทองคำได้และสลายไปอย่างรวดเร็วภายใต้การกำจัดของเกลียวแสงสีทอง


การปราบปรามทั้งหมดสมบูรณ์แบบ!


อ็อก!


เมื่อหลุมดำปีศาจถูกบดขยี้ จาโหลหลัวก็กระอักเลือดออกจากปากพร้อมกับความหวาดกลัวอัดแน่นในดวงตา เขาไม่อาจจินตนาการได้ว่าการโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของตนเองจะพ่ายแพ้อย่างง่ายดายเพียงนี้


หนี!


ใบหน้าของจาโหลหลัวเปลี่ยนเป็นซีดขาว เขารู้ว่าศึกยกนี้แพ้แน่ ถ้าไม่หนีตอนนี้ก็คงตายคาที่


เมื่อความคิดนี้วาบขึ้นในใจจาโหลหลัวก็ถอยหนีไปทันที


แต่ขณะที่กำลังจะหนีท้องฟ้าก็สว่างวาบ เขาเห็นมือขนาดใหญ่ทะลุผ่านมิติกดทับเข้ามาหาตัวเขาเบาๆ


บทที่ 1178 ผู้ชนะคนสุดท้าย

ฮึ่ม!


แสงสีทองพร่างพราวโอบล้อมทั่วบริเวณ ตอนนี้จาโหลหลัวหวาดกลัวไปจนถึงจิตวิญญาณ เนื่องจากมือขนาดใหญ่แหวกผ่านมิติปรากฏขึ้นเหนือร่างแล้วตบลงเบาๆ


การตบที่ดูเชื่องช้ากลับทะลุผ่านมิติด้วยความเร็วที่ไม่สามารถอธิบายได้ นอกจากนี้จาโหลหลัวยังรู้สึกได้ว่ามิติถูกแช่แข็งด้วยมือทองคำนี้ ซึ่งหมายความว่าเขาไม่สามารถหลบหนีไปได้อีก


ความกลัวปกคลุมใบหน้าจาโหลหลัว จากนั้นเขาก็ตะโกน “ข้ายอมแพ้!”


ฝ่ามือทองคำเหมือนจะหยุดชั่วขณะซึ่งทำให้จาโหลหลัวสามารถหยิบหินหยกออกมาและเตรียมจะบดขยี้


นี่เป็นวัตถุที่ประมุขตำหนักเทพปีศาจมอบให้ สามารถใช้เพื่อช่วยเขาหลบหนีในยามคับขัน


ตู้ม!


แต่ตอนนั้นเองก่อนที่เขาจะบดขยี้มัน แสงสีทองก็สะท้อนเต็มในดวงตา ความกดดันที่อธิบายไม่ได้ครอบงำไปทุกทิศทาง


ภายใต้แรงกดดันที่น่ากลัวจาโหลหลัวตัวแข็งไม่สามารถขยับได้


จากนั้นฝ่ามือสีทองก็กระแทกเข้ากับร่างเทพสุริยะสีดำของเขา


ปัง!


ร่างเทพสุริยะดำทะมึนช่างบอบบางภายใต้มือทองคำ รอยแตกวิ่งพล่านไปทั่วก่อนที่จะระเบิดออก


เมื่อร่างเทพสุริยะสีดำระเบิด จาโหลหลัวก็รู้สึกถึงผลกระทบร้ายแรงพร้อมกับเลือดสดกระอักจนกบปาก ตัวเขาถูกย้อมเป็นสีแดงเลือดทันที คลื่นหลิงรอบตัวก็ลดน้อยลง


“มู่เฉิน ถ้าแกกล้าฆ่าข้าตำหนักเทพปีศาจไม่ปล่อยแกไปแน่! ท่านประมุขจะให้แกได้ลิ้มรสชีวิตตายดีกว่าอยู่!” จาโหลหลัวที่สัมผัสได้ถึงเจตนาฆ่าของมู่เฉินก็สบถออกมาอย่างโหดเหี้ยม


ทว่ามู่เฉินไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดนั่น ฝ่ามือสีทองกดลงมา ร่างจาโหลหลัวแหลกสลายลง แม้แต่จุดจื้อจุนไห่และจิตวิญญาณก็ถูกทำลายล้าง


เมื่อทำทุกอย่างเสร็จมือทองคำถึงได้ค่อยๆ สลายไป


อ็อก


เมื่อมือทองคำหายไปแล้ว มู่เฉินก็พ่นเลือดออกมาคำหนึ่ง ความผันผวนของคลื่นหลิงลดฮวบลงอย่างรวดเร็ว


การโจมตีกระบวนท่าเมื่อครู่ใช้พลังงานในจุดจื้อจุนไห่ของเขาจนหมด


มู่เฉินปาดเลือดออกจากริมฝีปากขณะทนกับความเจ็บปวดรุนแรงที่เขย่าไปมาในร่างกาย เขาโบกมือดอกบัวสีแดงเข้มก็ปรากฏขึ้น จากนั้นเขาก็นั่งลงไปบนนั้น


ไอเย็นฉ่ำเข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว เริ่มฟื้นฟูอาการบาดเจ็บและคลื่นหลิงที่อ่อนล้า


กระบวนการทั้งหมดใช้เวลาสิบกว่านาทีก่อนที่มู่เฉินจะลืมตาขึ้น เขาครางออกมาก่อนที่จะตบขอบใจดอกบัวสีแดง หลังจากที่รู้สึกได้ถึงการฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ


ถ้าเขาทำด้วยวิธีปกติอาจต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งวันในการฟื้นตัว แต่ด้วยความช่วยเหลือของแท่นดอกบัวทำให้บาดแผลส่วนใหญ่ประสานได้ในสิบกว่านาที


มู่เฉินยืนขึ้นมองไปยังทิศทางที่จาโหลหลัวถูกฆ่าก็เห็นประกายแสงสีดำนับไม่ถ้วนลอยอยู่ในอากาศ


สิ่งเหล่านี้มาจากร่างเทพสุริยะของจาโหลหลัวซึ่งบรรจุด้วยคลื่นหลิงทรงพลัง


มู่เฉินโบกมือดึงประกายแสงสีดำเข้ามา พวกมันรวมตัวกันบนฝ่ามือเขาเป็นรูปทรงกลมสีดำที่มีขนาดเท่าหัว


ภายในสามารถมองเห็นร่างเทพสุริยะสีดำได้อย่างเลือนราง


มู่เฉินมองไปที่ลูกทรงกลมด้วยสายตาซับซ้อน ถ้าจาโหลหลัวเอาชนะเขาได้นี่ก็จะเป็นร่างเทพสุริยะของเขาแทน


เส้นทางไปสู่ร่างมหาเทพนิรันดร์โหดร้ายอย่างแท้จริง…


มู่เฉินถอนหายใจก่อนที่จะสงบสติอารมณ์ จากนั้นก็โบกมืออีกครั้งแสงแวววาวพุ่งเข้ามาหาเขาจากที่ไกล


นี่คือป้ายหินสีดำ อาวุธมหสวรรค์ที่จาโหลหลัวใช้—ป้ายขวางสมุทร


“สมเป็นอาวุธมหสวรรค์ของแท้ ไม่ได้รับอันตรายอะไรภายใต้การโจมตี” มู่เฉินจับป้ายขวางสมุทรด้วยความยินดีในดวงตา


พลังของป้ายขวางสมุทรไม่ได้ด้อยไปกว่าพัดเทพสายลม กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นก็ใช่ว่าจะมีในครอบครองทุกคน นั่นหมายความว่าตอนนี้เขามีอาวุธทั้งหมดถึงสองชิ้น ซึ่งนี่ทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนยังอิจฉา


มู่เฉินโยนป้ายในมือเล่น แต่เขายังไม่ได้ชำระ แม้ว่าจาโหลหลัวจะตายไปแล้ว แต่นี่ก็เป็นวัตถุที่มอบให้โดยประมุขตำหนักเทพปีศาจลู่หยวน ใครจะรู้อีกฝ่ายอาจทิ้งวิธีลับไว้ก็ได้ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยควรรอจนกว่าทุกอย่างจะสงบลงก่อนที่จะชำระ


ในตอนนี้เขามีสิ่งที่สำคัญกว่าที่ต้องทำ


หลังจากได้ของมาแล้วมู่เฉินก็หันกลับมองไปที่แท่นบูชาโบราณด้วยดวงตาโชนแสง


เขาไปปรากฏตัวที่ใต้แท่นบูชา ดึงพลังกลับก่อนที่จะเดินขึ้นไปบนแท่น


รูปปั้นหินพร้อมกับหน้ากระดาษทองคำลอยอยู่ด้านบนสลักด้วยข้อความโบราณที่ทำให้มู่เฉินรู้สึกครั่นคร้ามจากก้นบึ้งของหัวใจ


มู่เฉินมองไปที่หน้ากระดาษร่างกายก็สั่นสะท้าน ในขณะนี้หัวใจของเขาเต้นระรัวไปหมด


เป้าหมายที่เขาทำงานอย่างหนักมาตลอดในที่สุดก็อยู่เบื้องหน้าแล้ว


ตราบใดที่เขาได้รับหน้ากระดาษทองคำนี้ เขาก็จะสามารถพัฒนาร่างเทพสุริยะให้กลายเป็นร่างเทพสุริยะนิรันดร์และก้าวขึ้นสู่การเป็นยอดยุทธ์…


มู่เฉินยื่นมือที่สั่นเทาออกไป ลูกแสงสีดำที่เกิดจากร่างเทพสุริยะของจาโหลหลัวก็พุ่งออกไปตกลงไปบนแท่นบูชา


ฮึ่ม


ลูกแสงสีดำแตกออกกลายเป็นเปลวไฟสีดำห่อหุ้มหน้ากระดาษทองคำอย่างช้าๆ


ขณะนั้นเกลียวแสงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนก็เปล่งออกมาจากหน้ากระดาษ กลั่นออกมาเป็นหินหนืดสีทอง แม้แต่มิติยังแสดงสัญญาณของการพังทลายจากพลัง


ทว่าสายตาของมู่เฉินกลับจับจ้องไปที่หินหนืด เขาสามารถมองเห็นอักขระเล็กๆ มากมายที่ไหลเวียนอยู่ภายใน


หินหนืดรวมตัวเป็นทะเลสาบสีทองเหนือแท่นบูชาพร้อมกับพลังงานน่ากลัวเอิบอาบออกมา ซึ่งสามารถทำลายทุกสรรพสิ่งได้


หินหนืดสีทองดูเหมือนจะเดือดพล่านจนถึงจุดที่เปลวไฟสีทองเริ่มลุกโชนก่อตัวเป็นคำโบราณลอยอยู่เบื้องหน้ามู่เฉิน


ร่างเทห์สวรรค์เข้าสู่ทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ เปลี่ยนกายเป็นร่างสีทอง


มู่เฉินจ้องมองคำพูดเหล่านั้นก็กลืนน้ำลายอึกใหญ่ แม้ยังไม่สัมผัสแต่เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังน่าสะพรึงกลัวภายใน


แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นก็ยังไม่กล้าที่จะปล่อยให้ร่างเทห์สวรรค์เข้าไป เพราะคงจะสลายกลายเป็นควันในทันที


ทว่าแม้มู่เฉินจะหวั่นเกรง แต่เขาไม่ใช่คนไม่เด็ดขาด เขาทำงานหนักมาหลายปีก็เพื่อช่วงเวลานี้ ดังนั้นแม้ว่าจะต้องเสี่ยงชีวิตเขาก็จะไม่ลังเลเลยสักอึดใจ


ฮา


มู่เฉินหายใจเข้าลึก สีหน้าเปลี่ยนไปรุนแรง โดยไม่ลังเลใดๆ เขาวาดตราประทับเรียกร่างเทพสุริยะของตัวเองออกมา


เขาเงยหน้ามองไปที่ร่างเทพสุริยะที่อยู่ข้างหลัง จากนั้นมันก็ก้าวออกไปมุ่งหน้าไปยังทะเลสาบลาวาสีทองที่ลุกเป็นไฟ


มู่เฉินก็นั่งลงมองไปที่ทะเลสาบที่กลืนกินร่างเทพของเขาในเวลานี้ ก่อนที่เขาจะค่อยๆ หลับตาลง


หลังจากทำงานหนักมาหลายปี…


ในที่สุดช่วงเวลานี้ก็มาถึง!


บทที่ 1179 ร่างเทพสุริยะนิรันดร์

เมื่อร่างเทพสุริยะก้าวลงไปในทะเลสาบลาวาสีทอง


มู่เฉินที่นั่งอยู่ที่ริมทะเลสาบก็ตัวสั่นสะท้านพร้อมกับเหงื่อเย็นผุดเต็มบนหน้าผาก


ขณะนั้นเองด้วยการเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิดกับร่างเทพสุริยะ เขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังน่าสะพรึงกลัวที่กระทบร่างใหญ่


ภายใต้พลังนั้นร่างใหญ่ก็เริ่มสลายไปอย่างรวดเร็วในกระบวนการ


ความรู้สึกละลายถูกถ่ายโอนมายังมู่เฉิน ความเจ็บปวดที่รุนแรงปกคลุมไปทั่วสรรพางค์กาย


มู่เฉินรู้สึกว่าความเจ็บปวดรุนแรงมากจนทนไม่ได้ เขากัดฟันแน่นเลือดไหลออกมาจากมุมปาก


ร่างกายเขาสั่นสะท้าน ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็อดทนอดกลั้นต่อสิ่งนี้ เนื่องจากเขารู้ว่าร่างเทพสุริยะกำลังอยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลงโดยได้รับความช่วยเหลือจากทะเลสาบ


ซึ่งตอนนี้เป็นทุกข์ทรมานจากการเปลี่ยนแปลง


หากเขาทนไม่ได้การเปลี่ยนแปลงก็จะไม่สมบูรณ์ แม้ว่าเขาจะสามารถพัฒนาให้กลายเป็นร่างเทพสุริยะนิรันดร์ได้ แต่ก็จะไม่สมบูรณ์แบบ


เขาทำงานหนักมาหลายปีไม่ได้เพื่อร่างเทพสุริยะนิรันดร์ที่ไม่สมบูรณ์นี้


เป้าหมายของเขาคือร่างเทห์สวรรค์ในตำนานที่แข็งแกร่งที่สุดของมหาพันภพ—ร่างมหาปฐมกาล!


ดังนั้นเขาต้องการการเปลี่ยนแปลงที่สมบูรณ์แบบ!


เหงื่อชุ่มโชกบนร่างมู่เฉินพร้อมกับสายลาวาชำระร่างเทพสุริยะ ร่างยิ่งใหญ่หดตัวลงอย่างรวดเร็วคล้ายกับคนอ้วนที่ถูกดูดไขมัน


แม้ร่างเทพสุริยะจะหดตัวลง แต่สีก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนเป็นสีทองเข้มข้นพร้อมกับชั้นบางๆ ของสีม่วง


ดวงตะวันขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหลังศีรษะก็เปลี่ยนไปเช่นกัน กลายเป็นของเหลวสีทองที่ห่อหุ้มร่างเทพสุริยะค่อยๆ ซึมผ่านเข้ามา


ก่อนที่ร่างเทพสุริยะจะก้าวลงไปในทะเลสาบก็มีขนาดหลายพันจั้ง แต่ในเวลาเพียงสิบกว่านาทีก็ลดลงเหลือไม่ถึงพันจั้ง


ทว่าแม้จะหดตัวลง แต่ถ้าสัมผัสดีๆ ก็สามารถรู้สึกได้ถึงพลังงานที่มีอยู่ภายในร่างค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้น


ตัวมู่เฉินก็รับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ซึ่งทำให้เขารู้สึกดีขึ้นจากการทรมานรุนแรง อย่างน้อยเขาก็ปลอบใจเขาที่ไม่ได้ทนกับความเจ็บปวดที่ไร้ประโยชน์


ภายใต้ความเจ็บปวดรุนแรงมู่เฉินสูญเสียความคิดเรื่องเวลาและค่อยๆ เริ่มด้านชาจากความเจ็บปวด


แต่นั่นไม่ใช่ข่าวดี หากเขาจมดิ่งลึกเกินไป แม้แต่จิตใจก็อาจพังทลายลงจนอาจเกิดเหตุที่ทำลายร่างเทห์สวรรค์โดยไม่ตั้งใจ


ดังนั้นแม้ว่ามู่เฉินจะรู้สึกชาจากความเจ็บปวด แต่ก็ยังคงสติไว้มั่น


ทว่าก็ชัดเจนที่เขาไม่สามารถรักษาสภาพไว้ได้ตลอด เขาทำได้เพียงภาวนาขอให้ร่างเทพสุริยะสามารถทำการเปลี่ยนแปลงเสร็จสิ้นก่อนที่เขาจะสูญเสียสติไป


มิฉะนั้นผลลัพธ์จะน่ากลัวมาก


แต่โชคดีที่คำอธิษฐานของมู่เฉินดูเหมือนจะเป็นผล


ปุด ปุด


ฟองอากาศลอยขึ้นจากทะเลสาบอย่างต่อเนื่อง ระเบิดเป็นประกายสีทองดูงดงามตระการตา


มู่เฉินที่มีใบหน้าซีดขาวอยู่ริมทะเลสาบก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นพร้อมกับความอ่อนล้าหนักหน่วงกะพริบในม่านตา เขาเกือบจะล้มลงจากความทรมานที่ไม่สิ้นสุด


อย่างไรก็ตามเมื่อเขามองไปที่ทะเลสาบ ดวงตาก็วูบไหวพร้อมกับอารมณ์กลับคืนมาบนใบหน้า


เนื่องจากเขารู้สึกได้ว่าขณะนี้ความเจ็บปวดรุนแรงหายไปอย่างกะทันหันแล้ว


“การเปลี่ยนแปลงประสบความสำเร็จแล้วหรือ?”


มู่เฉินพึมพำขณะจ้องไปที่ทะเลสาบ


ปุด ปุด


ภายใต้การจ้องมอง ทันใดนั้นฟองอากาศก็ลอยขึ้นมาจากทะเลสาบ ตอนนี้ทั้งทะเลสาบเดือดพล่าน


ฟองอากาศทุกฟองพุ่งออกมาด้วยแสงมันวาวสีทองขณะที่ระเบิดตูมตาม


สามารถมองเห็นเงาขยับเข้าใกล้อย่างรวดเร็วจากใต้ทะเลสาบ สุดท้ายทะเลสาบก็แยกออกเป็นสองส่วน คลื่นแผ่กระจายออกไป ภาพเงาขนาดใหญ่ค่อยๆ ลอยขึ้นมา


มู่เฉินมองไปที่ภาพเงานั้น แม้กระทั่งมีจิตใจแน่วแน่ แต่เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้น


หินหนืดสีทองตกแหมะลงมาจากร่างใหญ่ สะท้อนในดวงตามู่เฉินอย่างชัดเจน


นี่เป็นร่างเทห์สวรรค์ที่ไม่คุ้นเคยอย่างสิ้นเชิง แต่เนื่องจากการเชื่อมโยงพิเศษทำให้มู่เฉินรู้ว่านี่คือร่างเทพสุริยะนิรันดร์ที่เขาใฝ่หา!


ร่างเทห์สวรรค์ร่างนี้ไม่มีดวงตะวันใหญ่ลอยอยู่ด้านหลังศีรษะอีกต่อไป มิหนำซ้ำร่างกายก็ไม่มีประกายสีทองเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไป แต่มีร่องรอยของชั้นรัศมีสีม่วงเพิ่มเติม


นอกจากนี้ยังปกคลุมไปด้วยลวดลายสีม่วงที่ดูเหมือนจะถูกสร้างจากธรรมชาติ ลวดลายทุกลวดลายมีความลึกซึ้งเป็นพิเศษและบรรจุด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจบรรยายได้


หากมองให้ละเอียดจะพบว่าลวดลายเหล่านั้นก่อตัวเป็นดวงตะวันอย่างคลุมเครือ


มู่เฉินมองไปที่ร่างเทห์สวรรค์ก็เหมือนมีความเข้าใจผิดราวกับว่าร่างร่างนี้เป็นตัวแทนของความเป็นนิจนิรันดร์ที่ต่อให้เวลาผ่านไปก็ไม่สามารถทำลายมันได้


“นี่หรือร่างเทพสุริยะนิรันดร์”


มู่เฉินพึมพำ ในที่สุดเป้าหมายของเขาก็บรรลุผลหลังจากผ่านไปหลายปีซึ่งทำให้มู่เฉินรู้สึกไม่เป็นจริง


“ทำไมตัวเตี้ยขนาดนี้?”


ทว่ามู่เฉินก็หลุดจากอาการตื่นเต้นอย่างรวดเร็ว ใบหน้าฉายความแปลกประหลาด ถ้าตามสภาพปกติร่างเทพสุริยะนิรันดร์ซึ่งสูงไม่กี่ร้อยจั้งก็ไม่ได้เตี้ย แต่เมื่อเทียบกับร่างเทห์สวรรค์อื่นๆ ก็เตี้ยมากจริงๆ


ต้องรู้ว่าร่างเทพสุริยะของมู่เฉินสูงหลายพันจั้ง แต่เมื่อพัฒนาการถึงปัจจุบันร่างนี้กลับสูงเท่าต้นขาร่างเดิมเท่านั้น


ในมหาพันภพขนาดแสดงถึงความแข็งแกร่งของร่างเทห์สวรรค์ เนื่องจากจะสามารถบรรจุคลื่นหลิงที่ทรงพลังกว่าได้


แต่ร่างเทพสุริยะนิรันดร์…มีขนาดเพียงไม่กี่ร้อยจั้ง แล้วจะทรงพลังยิ่งกว่าร่างเทพสุริยะจริงเหรอ?


มู่เฉินเกาหัวแกรกกรากก่อนที่จะยื่นมือออก ร่างสีม่วงทองก็ยื่นมือออกมา ทั้งสองสัมผัสกัน


ฮึ่ม


ประกายแสงสีทองพุ่งสูงขึ้น ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็ห่อหุ้มมู่เฉินไว้ภายใน จากนั้นเขารู้สึกถึงการได้ควบคุมอย่างสมบูรณ์


ขณะนั้นเองเขาก็สัมผัสได้ถึงพลังที่มีอยู่ในร่างสีม่วงทองนี้


ซึ่งเป็นพลังที่ทำเอาเขาถึงกับตกตะลึงในทันที


“พลังงานนี้…”


มู่เฉินก้มหัว จากนั้นค่อยๆ กำหมัดแน่น เขาลังเลชั่วครู่ก่อนที่จะเหวี่ยงหมัดออกไป


ปัง!


เมื่อร่างสีม่วงทองขว้างหมัดออกไป การระเบิดก็ดังก้องระหว่างสวรรค์และโลก แสงเงาสีทองครอบงำออกมา จากนั้นมู่เฉินก็สามารถมองเห็นรอยหมัดมหึมาถูกทิ้งไว้บนจัตุรัสทองคำ


มิติเบื้องหน้าแตกออกเป็นเศษเล็กเศษน้อย


มู่เฉินอ้าปากกว้างกับความสามารถในการทำลายล้าง ซึ่งไม่ได้อ่อนแอกว่ากระบวนท่าเปิดสิบตะวัน หัตถ์เทพปีศาจเลย!


หากจาโหลหลัวอยู่ที่นี่ในขณะนี้ มู่เฉินก็ไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวอะไรมากมายในการต่อสู้ เขาเพียงแค่ขว้างหมัดก็สามารถฆ่าจาโหลหลัวได้ทันที!


“นี่คือพลังของร่างเทพสุริยะนิรันดร์เหรอ?!”


มู่เฉินตกตะลึงเมื่อมองไปที่ร่างสีทองซึ่งห่อหุ้มเขาไว้ หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็หัวเราะร่า เสียงของเขาดังก้องไปทั่วบริเวณ


ตามการคาดการณ์ของมู่เฉินร่างเทพสุริยะนิรันดร์นี้สามารถติดสิบห้าอันดับแรกของคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่างเลยทีเดียว!


หลังจากอดทนและทำงานหนักมาหลายปีในที่สุดเขาก็กลายร่างเป็นมังกรทะยาน!


มู่เฉินหัวเราะ จากนั้นก็ล้มนอนลงบนแท่นบูชาอย่างไม่สนใจอะไร ตอนนี้เขาถือได้ว่าอยู่ยงคงกระพันใต้ขอบเขตตี้จื้อจุนแล้ว!


นอกจากนี้เขายังสามารถหลบหนีจากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นได้ด้วยความช่วยเหลือของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ แม้ว่าจะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากกองทัพสังหารวิญญาณก็ตาม


มู่เฉินมองไปบนท้องฟ้า ใบหน้าหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างเลือนราง ผมของนางราวกับแม่น้ำสีเงิน ม่านตาผลึกแก้วที่สดใส มู่เฉินเคยร้อนใจหลายครั้งเมื่อในอดีต แต่สุดท้ายก็สงบลงเพราะดวงตาคู่นั้น…


เขายกมือขึ้นเหมือนสัมผัสใบหน้าที่โหยหา ยิ้มอ่อนโยน


“ลั่วหลี…ในที่สุดข้าก็ทำสำเร็จ”


“อีกไม่นานข้าจะไปหาเจ้า… รอข้านะ!”


บทที่ 1180 สุสานจักรพรรดิฟ้า

บนเทือกเขารกร้าง


ที่นี่ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต ราวกับเคยโดนทำลายล้างโดยพลังที่หาใดเปรียบ ต่อให้ผ่านมานับหมื่นปีก็ยังไม่มีพลังชีวิตใดๆ


ฮึ่ม


ขณะนี้จู่ๆ มิติเหนือเทือกเขาก็บิดเบี้ยว ก่อนที่ร่างเงาโดดเด่นจะก้าวออกมายืนอยู่บนอากาศ


นี่คือมู่เฉินที่เพิ่งออกจากหอคัมภีร์เทพซ่อน ร่างเทพสุริยะได้รับการเปลี่ยนเป็นร่างเทพสุริยะนิรันดร์แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นั่นต่อไป


เมื่อมู่เฉินเดินออกมาก็กวาดสายตามองไปรอบๆ เขาอึ้งไปกับภาพเทือกเขารกร้าง จากนั้นสีหน้าเคร่งเครียดก็ปรากฏบนใบหน้า เนื่องจากเขาสามารถสัมผัสได้อย่างเลือนรางถึงพลังทำลายล้างที่หลงเหลืออยู่ในเทือกเขานี้


นั่นเหมือนจะมาจากพลังงานสองสายที่ต่อต้านกันอย่างสิ้นเชิง


“พลังงานน่ากลัวอะไรอย่างนี้…”


สีหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย เพียงแค่พลังงานที่เหลืออยู่ มิหนำซ้ำยังผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน ไม่คิดว่าจะยังน่ากลัวขนาดนี้


ด้วยเหตุนี้ตัวตนของจอมยุทธ์ทั้งสองก็ชัดเจนแม้จะไม่ต้องเอ่ยถึง


นอกเหนือจากจักรพรรดิฟ้าแห่งวังสวรรค์บรรพกาลและนักรบราชันปีศาจแห่งจักรวรรดิปีศาจต่างมิติแล้วจะมีใครได้อีกเล่า?


“นี่คือความน่ากลัวของระดับนั้นเรอะ?”


มู่เฉินถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเคลื่อนไหวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง เขาไม่กล้าที่จะเหยียบลงบนพื้นเพราะเขากลัวว่าจะไปกระตุ้นพลังงานที่เหลืออยู่จนพุ่งเข้ามาเอาชีวิต


เขาเดินทางผ่านเทือกเขาอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็เงยศีรษะขึ้นมองออกไปไกล มองเห็นร่างเงาหลายร่างที่มีความผันผวนของคลื่นหลิงที่คุ้นเคยกำลังเคลื่อนไหว


“เฮ้ มู่เฉิน!”


ขณะที่มู่เฉินรับรู้ได้ถึงอีกฝ่าย ร่างเงาเหล่านั้นก็สัมผัสถึงเขาเช่นกัน ทันใดนั้นก็หยุดชะงักลง จากนั้นเสียงร้องอย่างมีความสุขของหลินจิ้งก็ดังก้อง


มู่เฉินยิ้มขณะที่ร่างวูบไหวไปปรากฏตัวที่เบื้องหน้าหลินจิ้ง เซียวเซียวและจิ่วโยว


“เจ้านี่ช้าจริงๆ คิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าซะอีก” เมื่อหลินจิ้งเห็นว่ามู่เฉินปลอดภัยดี นางก็ดีใจพลางยิ้มตาหยี


“ดูเหมือนพวกเจ้าจะเก็บเกี่ยวผลได้ดีเช่นกันนะ” มู่เฉินมองไปที่หญิงสาวทั้งสาม พวกนางฉายความสุขบนใบหน้าปรี่ล้น ชัดว่าพวกนางต้องพอใจมากกับการเก็บเกี่ยวที่ได้รับ


“หืม?”


เมื่อมู่เฉินมองไปที่หญิงสาวทั้งสามก็ต้องอึ้งไป เขามองไปที่เบื้องหลังไม่ไกลก็เห็นร่างร่างหนึ่งตามติดมาอย่างไม่รีบร้อน


ช่างเป็นใบหน้าที่คุ้นเคย เรือนผมสีแดงเพลิงนี่จะเป็นใครได้นอกจากจู้เยี่ยน?


เมื่อจู้เยี่ยนสังเกตเห็นการจ้องมองของมู่เฉิน ก็เผยท่าทางกระอักกระอ่วน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังตามติดไม่ลดละ


“เขาทำอะไรอยู่น่ะ?” มู่เฉินถามขึ้นด้วยความตะลึงใจ พวกเขาไม่ได้สนิทสนมกับจู้เยี่ยน แล้วทำไมชายคนนั้นถึงติดตามพวกเขาล่ะ?


เมื่อได้ยินคำถามของมู่เฉิน เซียวเซียวเบ้ปากเล็กน้อย นางมองไปที่จู้เยี่ยนอย่างเย็นชา


“คิกๆ เจ้านั่นเจอพี่เซียวเซียวแล้วโดนซัดไปหลายตุ๊บ ไม่รู้ว่าถูกกระทบกระเทือนทางสมองหรือเปล่า แต่หลังจากนั้นเขาก็ติดตามเรามาตลอด” หลินจิ้งยิ้ม


มุมปากของมู่เฉินกระตุก ดูท่าจู้เยี่ยนจะประลองกับเซียวเซียวแล้ว แต่ไม่ได้ผลตามที่เขาต้องการ


แต่นั่นก็ทำให้มู่เฉินประหลาดใจ ไม่คิดว่าเซียวเซียวจะซ่อนความแข็งแกร่งของตนเองไว้อย่างลึกซึ้งถึงขนาดที่นางสามารถจัดการกับคนอย่างจู้เยี่ยนได้ สมกับเป็นธิดาของเทพจักรพรรดิอัคคีจริงๆ


“โอ้ ใช่แล้วจาโหลหลัวล่ะ?” จิ่วโยวมองไปที่มู่เฉินก่อนที่จะถาม นางรู้ว่าจาโหลหลัวเป็นศัตรตัวฉกาจของมู่เฉิน


“โดนข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว” มู่เฉินยิ้ม


“จัดการแล้ว?” เมื่อได้ยินคำพูดของเขา หญิงสาวทั้งสามคนก็ตกใจ พวกนางเข้าใจในความแข็งแกร่งของจาโหลหลัว ดังนั้นจึงรู้ว่าเขายากที่จะต่อกรเพียงใด


“เจ้าจัดการจาโหลหลัวไปแล้วเหรอ? เป็นไปได้ยังไง?” เสียงตกใจของจู้เยี่ยนพูดขึ้นดังก้อง


เขามองไปที่มู่เฉินด้วยความสงสัย เขาเคยต่อสู้กับจาโหลหลัวดังนั้นเขาจึงรู้ชัดเจนว่าจาโหลหลัวทรงพลังเพียงใด แม้ว่าจาโหลหลัวจะเป็นอันดับสามของทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่ แต่จู้เยี่ยนก็รู้ดีว่ากระทั่งตนเองก็ยังไม่สามารถเอาชนะจาโหลหลัวได้ หากพวกเขาต่างเทกันออกมาหมดหน้าตัก


แต่ตอนนี้มู่เฉินกลับบอกว่าจาโหลหลัวถูกเขาจัดการไปแล้ว…


“จัดการแล้วก็คือจัดการแล้ว… เจ้าน่าจะไม่ได้เห็นชายคนนั้นอีกในอนาคต” มู่เฉินพูดอย่างสบายๆ ไม่ได้อธิบายอะไรมากมาย เพราะเรื่องแบบนี้ไม่จำเป็นต้องประกาศให้คนอื่นฟัง


“ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีไพ่ตายหลายใบซ่อนเอาไว้นะ” หลังจากที่เซียวเซียวประหลาดใจไปพักหนึ่ง นางก็เลือกที่จะเชื่อมู่เฉินและมองเขาด้วยสายตาลึกล้ำ


ไม่รู้เพราะเหตุใดนางรับรู้ได้ถึงภัยคุกคามเบาบางที่มาจากมู่เฉินเมื่อพบเขาในครั้งนี้ ความรู้สึกนี้ทำให้นางเข้าใจว่ามู่เฉินจะต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์ในช่วงเวลาที่ผ่านมาแน่นอน


หากเมื่อก่อนนางยังมั่นใจว่าสามารถเอาชนะมู่เฉินได้ ความมั่นใจของนางก็ลดลงอย่างมากในตอนนี้ นางเริ่มไม่สามารถมองชายคนนี้ได้ปรุโปร่งอีกต่อไป


มู่เฉินยิ้มบาง ถ้าเมื่อก่อนเขาหวาดผวาจอมยุทธ์บางคนอย่างจู้เยี่ยนและเซียวเซียว ในขณะนี้ความกลัวก็หายไปอย่างสมบูรณ์แล้ว


ความมั่นใจนี้เกิดจากร่างเทพสุริยะนิรันดร์ ซึ่งทำให้เขาสามารถหลบหนีจากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นและอยู่ยงคงกระพันได้ในขอบเขตจื้อจุนทั้งหมด


เซียวเซียวกวาดสายตามองไปที่มู่เฉินด้วยความสนใจ แต่นางก็ไม่ได้ถามอะไรเยอะ นางเปลี่ยนหัวข้อพลางชี้ไปข้างหน้า “ถ้าเราเข้าไปจากที่นั่น ก็น่าจะไปถึงสุสานจักรพรรดิฟ้าได้แล้ว”


เมื่อได้ยินคำพูดของนางหัวใจมู่เฉินก็สั่นสะท้าน


สุสานจักรพรรดิฟ้าเป็นจุดหมายปลายทางสุดท้ายของพวกเขา ว่ากันว่าที่นั่นเป็นสมรภูมิสุดท้ายของจักรพรรดิฟ้ากับนักรบราชันปีศาจ


เมื่อไรที่พวกเขาไปถึงที่นั่น จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทั้งหลายก็จะสามารถเข้ามาได้ ในเวลานั้นสถานการณ์คงเรียกว่าอันตรายแท้จริง


“ถ้าเจ้าฆ่าจาโหลหลัวไปแล้วจริงๆ ก็ระวังประมุขตำหนักเทพปีศาจไว้ด้วย เขาไม่ปล่อยเจ้าไปแน่” จู้เยี่ยนเอ่ยเตือนทันที


ยิ่งไปกว่านั้นมู่เฉินก็ยังสังหารเซี่ยหยู่ไปด้วย ดังนั้นฮ่องเต้เซี่ยก็ต้องแค้นเขาจนถึงแก่นกระดูกเลยทีเดียว…


เมื่อมู่เฉินได้ยินคำเตือนจากอีกฝ่าย เขาก็ยิ้มพลางพยักหน้าแม้ว่าเขาจะรู้เรื่องนี้แล้วก็ตาม


“ไปกันเถอะ”


เซียวเซียวร้องบอกออกมาโดยไม่สนใจจู้เยี่ยน ก่อนที่นางจะทะยานออกไป


พรรคพวกอีกสามคนตามนางไป ขณะที่จู้เยี่ยนลังเลชั่วครู่ก่อนที่จะตามไปเช่นกัน เขาต้องการประลองกับเซียวเซียวอีกครั้ง เนื่องจากครั้งก่อนเขาแพ้แบบไม่เต็มใจ


ทั้งกลุ่มเดินทางข้ามขอบฟ้า ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมาพวกเขาก็สังเกตเห็นดินแดนรกร้างค่อยๆ กลายเป็นฝุ่นทราย…


พวกเขาลดความเร็วลงอย่างช้าๆ มองขึ้นไปด้านหน้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด สุสานขนาดใหญ่ฉายอยู่ในครรลองสายตาของพวกเขา มีร่องรอยได้รับความเสียหาย ยิ่งไปกว่านั้นทั้งภูมิภาคยังถูกปกคลุมไปด้วยแรงกดดันที่น่ากลัวสองสาย


ภายใต้แรงกดดันนั้น แม้แต่สวรรค์และโลกยังสั่นสะเทือน


มู่เฉินมองไปที่สุสานก็สูดหายใจเข้าลึกสุดปอด ขณะที่ร่างกายเกร็งเครียดขึ้น สุสานแห่งนี้ราวกับหลุมดำจากการรับรู้ของเขาทำให้เกิดความหวาดกลัวยิ่งนัก


นี่คือสุสานจักรพรรดิฟ้ารึ?


บทที่ 1181 การมาถึงของจอมยุทธ์ชั้นสูง

สุสานจักรพรรดิฟ้า


มิติอยู่ในสภาพเป็นเสี่ยงๆ โดยมีสะเก็ดชิ้นส่วนมิติจำนวนนับไม่ถ้วนก่อตัวขึ้นเป็นกระแสมิติที่สับสนวุ่นวาย ขณะที่ส่งเสียงหวีดหวิวออกไปในสภาพแวดล้อม


แน่นอนว่าปัจจัยที่น่ากลัวที่สุดก็ยังเป็นแรงกดดันน่าสะพรึงสองสายที่คลุมเครือของสถานที่แห่งนี้


“ไปกันเถอะ”


มู่เฉินก็อึ้งไปกับรัศมีที่น่ากลัวนี้เช่นกัน แต่คนอย่างเขาก็ไม่กลัว เขาไตร่ตรองสั้นๆ ก่อนจะมองไปยังหญิงสาวทั้งสาม ในเมื่อพวกเขามาไกลขนาดนี้แล้ว ก็ไม่มีทางที่จะหันหลังกลับแบบคนขี้แพ้เด็ดขาด


หญิงสาวทั้งสามก็ไม่ได้คัดค้าน ดังนั้นพวกเขาจึงเดินทางอย่างระมัดระวังพุ่งไปในสุสาน


ทันทีที่ก้าวเข้ามาพวกเขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดดันน่ากลัวที่ห่อหุ้ม ทำให้คลื่นหลิงในร่างกายเฉื่อยชาลง


ทว่าพวกเขาล้วนไม่ใช่คนธรรมดา ดังนั้นจึงหมุนเวียนพลังงานเพื่อต้านทานแรงกดดันทันที ก่อนที่จะเงยหน้ามองไปรอบๆ


ซึ่งนั่นทำให้หัวใจของพวกเขาสั่นสะท้านอีกครั้ง


มียอดเขาสูงตระหง่านจำนวนนับไม่ถ้วนลอยอยู่บนผืนฟ้า ผืนดินถูกปกคลุมไปด้วยเหวแตกลึกที่ดูคล้ายกับมังกรสีดำขนาดมหึมา


“มิติที่นี่แตกสลายไปแล้ว… แม้แต่กฎเกี่ยวกับพื้นที่เชิงมิติก็ผิดปกติ” ใบหน้าของเซียวเซียวเคร่งเครียดลงหลายส่วน สงครามแบบไหนกันที่สามารถทำให้พื้นที่เสียหายจนไม่อาจฟื้นฟูแม้จะผ่านไปนับหมื่นปี?


ใบหน้ามู่เฉินก็เคร่งขรึมลง แต่ก่อนที่จะพูดก็ต้องหันไปทางอื่น ริ้วแสงพุ่งเข้ามาใกล้ก่อนที่จะกลายเป็นร่างเงาร่อนลงในสุสานจักรพรรดิฟ้า


ชัดว่าจอมยุทธ์จากขั้วอำนาจต่างๆ ก็เริ่มเร่งรุดมาถึงสุสานจักรพรรดิฟ้าแล้ว


ในบรรดาคนเหล่านั้นมู่เฉินได้เห็นคนหน้าคุ้นเซี่ยหงจากแคว้นเซี่ย อีกฝ่ายกำลังมองมาที่มู่เฉินด้วยสายตาอาฆาตมาดร้าย


“เฮ้ มู่เฉินก่อนหน้านี้แกโอหังนักไม่ใช่เหรอ!” เซี่ยหงมองไปที่มู่เฉินก็เผยรอยยิ้มน่าขนลุก


บางทีเขาอาจจะปกปิดและซ่อนตัวถ้าได้พบกับมู่เฉินก่อนหน้านี้ แต่สถานการณ์ตอนนี้แตกต่างออกไปเนื่องจากพวกเขาเข้ามาในสุสานจักรพรรดิฟ้าแล้ว ในสายตาของเขาเวลานี้มู่เฉินคล้ายกับคนตาย


เพราะเมื่อมาถึงที่นี่ เขาก็สามารถเรียกบิดามาได้ทุกเมื่อ


ทว่ามู่เฉินกลับเมินเฉยต่อสายตาของเซี่ยหง เขาได้เตรียมการพอเพียงสำหรับฮ่องเต้เซี่ยแล้ว


แต่ใบหน้าของเซี่ยหงกลับบิดเบี้ยวเมื่อถูกมู่เฉินเมินใส่ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเป็นป่าเถื่อนก่อนที่จะหยิบป้ายหยกออกมา


“มู่เฉิน ข้าจะทำให้แกคุกเข่าลงขอร้อง!”


เซี่ยหงคำรามขณะที่บดขยี้ป้ายหยก


ตู้ม!


คลื่นหลิงทรงพลังระเบิดออกมาเมื่อป้ายถูกทำลาย พลังงานรวมตัวฉีกขาดผ่านมิติก่อนที่จะกลายเป็นช่องทาง


จากนั้นภาพเงาสง่างามก็เยื้องย่างออกมาอย่างช้าๆ


เมื่อภาพเงานั้นเดินออกมาคลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็กวาดตัวออกไป เนินเขาที่ลอยอยู่โดยรอบกลายเป็นเถ้าถ่านจากมวลคลื่นพลังงานขนาดใหญ่


“นี่คือสุสานจักรพรรดิฟ้าเหรอ…เซี่ยหงเจ้าทำได้ดีมาก” เมื่อภาพเงาสง่างามมาถึงก็มองไปรอบๆ ก่อนที่จะเอ่ยชมเชย


“เซี่ยหยู่ล่ะ?”


ฮ่องเต้เซี่ยตั้งคำถาม เขาไม่รู้สึกถึงความผันผวนของพลังงานของเซี่ยหยู่เลย


เซี่ยหงมองไปที่มู่เฉินอย่างโกรธแค้น “ท่านพ่อ พี่ชายถูกมันสังหาร!”


ร่างฮ่องเต้เซี่ยหยุดชะงักก่อนจะค่อยๆ เหลียวไปมองมู่เฉินโดยไม่มีอารมณ์ใดๆ ในสายตา


ฮึ่ม!


เมื่อสายตาของฮ่องเต้เซี่ยกวาดมา มู่เฉินก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันน่ากลัวที่พุ่งออกมาจากทิศทางนั้นพยายามจะทำให้เขาคุกเข่าลงกับพื้น


เผชิญกับแรงกดดัน สีหน้ามู่เฉินก็มืดครึ้ม ทว่าอึดใจแสงสีม่วงทองก็พวยพุ่งออกมาจากร่างกายเขาต่อต้านแรงกดดันที่มาจากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย อย่างไรก็ตามพื้นดินใต้ฝ่าเท้าเขาถึงกับแตกร้าวออกไป


“หืม?”


เมื่อเห็นว่ามู่เฉินต่อต้านแรงกดดันได้ ฮ่องเต้เซี่ยก็อึ้งไป ด้วยความแข็งแกร่งของเขาในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มธรรมดาจะถูกบดกลายเป็นกองเนื้อสับภายใต้แรงกดดันของเขา แต่เจ้าเด็กนั่นกลับไม่ได้รับอันตรายใดๆ เลยเรอะ?


มู่เฉินกัดฟันแน่นทนรับแรงกดดัน แต่เขาก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่ฮ่องเต้เซี่ยตรงๆ


ฮ่องเต้เซี่ยสวมเสื้อคลุมจักรพรรดิสีทองดูสง่างามสองมือไพล่หลัง ความทรงเกียรติไม่มีที่สิ้นสุดเลือนรางเอิบอาบออกมาจากเขาทำให้คนอื่นกลัว


แกร็ก


ขณะที่มู่เฉินมองไปที่ฮ่องเต้เซี่ยเขาก็บดขยี้หินหยกที่มั่นถัวหลัวมอบไว้ให้โดยไม่ลังเลใดๆ ทันใดนั้นคลื่นหลิงทรงพลังก็ก่อตัวขึ้นเป็นอุโมงค์มิติ ร่างเงาเล็กกะทัดรัดก็สาวเท้าเดินออกมา


เมื่อนางก้าวเดินแรงกดดันที่มาจากฮ่องเต้เซี่ยก็หายไปทันที


“อะไรกันนี่? ฮ่องเต้แห่งแคว้นเซี่ยไม่ใส่ใจสถานะตัวเองถึงกับเคลื่อนไหวจัดการจอมยุทธ์รุ่นใหม่เลยรึ?” น้ำเสียงนุ่มนวลแฝงไอเย็นชาของมั่นถัวหลัวดังก้อง


ฮ่องเต้เซี่ยมองไปที่มั่นถัวหลัวด้วยสายตามืดมนก่อนที่จะกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่แยแสซึ่งเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า “เขาฆ่าลูกชายผู้สืบทอดบัลลังก์ของข้า หากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของเจ้าต้องการปกป้องเขา แคว้นเซี่ยของข้าก็จะต้องประกาศงครามเท่านั้น”


เมื่อพูดจบก็มีร่างเงาอีกสองร่างเดินออกมา พวกเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น ชัดว่าเป็นจอมยุทธ์ชั้นยอดของแคว้นเซี่ย


จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสองคนกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายหนึ่งคน การรวมตัวเช่นนี้ถือว่าทรงพลังมากเลยทีเดียว


หากเป็นขุมกำลังระดับสูงธรรมดาพวกเขาคงต้องส่งมอบมู่เฉินให้ทันทีถ้าต้องเผชิญหน้ากับการรวมตัวนี้ ทว่าใบหน้าของมั่นถัวหลัวกลับเผยรอยยิ้มจางๆ


ร่างเงากลุ่มหนึ่งก็เดินออกมาจากอุโมงค์มิติโดยมีคลื่นหลิงไร้ขอบเขตครอบงำกวาดออกไป นับได้ห้าสาย


นี่คือจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นที่เป็นผู้ประมุขขั้วอำนาจระดับสูงสุดในภูมิภาคทางเหนือซึ่งเป็นสมาชิกของพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือ


“พันธมิตรภูมิภาคทางเหนือรวมกองทัพเป็นหนึ่งแล้ว ถ้าแคว้นเซี่ยต้องการประกาศสงครามก็เอาเลย” มั่นถัวหลัวยิ้ม


ที่เบื้องหลังประมุขทั้งห้าเบ้ปากอย่างช่วยไม่ได้ แม้ว่าพวกเขาไม่ต้องการเริ่มสงครามกับขุมกำลังระดับแนวหน้าอย่างแคว้นเซี่ย แต่พวกเขาก็ไม่สามารถแสดงท่าทีคัดค้านใดๆ กับมั่นถัวหลัวที่นี่ได้


อย่างน้อยภายนอกกองทัพพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือก็แข็งแกร่งกว่าแคว้นเซี่ย ดังนั้นหากการต่อสู้เกิดขึ้นพวกเขาอาจได้รับผลประโยชน์เป็นกอบเป็นกำด้วยซ้ำ


เมื่อฮ่องเต้เซี่ยเห็นว่ามั่นถัวหลัวเต็มใจที่จะทำสงครามกับแคว้นเซี่ยเพื่อปกป้องมู่เฉิน สายตาเขาก็ดูเย็นชาลงหลายส่วน แม้จะไม่มีอารมณ์ใดๆ บนใบหน้าเขา แต่คลื่นหลิงทรงพลังรอบตัวก็บ่งบอกถึงความโกรธเกรี้ยวได้ดี


มิติยังถึงกับบิดเบี้ยวภายใต้ความคั่งแค้นของเขา


ทว่ามั่นถัวหลัวยังคงรักษาท่าทางสงบนิ่ง ต่อให้เผชิญหน้ากับฮ่องเต้เซี่ยที่โกรธเกรี้ยว พลังงานหลิงที่น่าสะพรึงกลัวระเบิดออกมาจากร่างเล็กของนางเช่นกัน


บรรยากาศระหว่างทั้งสองฝ่ายเข้มข้นขึ้น


ฮึ่ม ฮึ่ม!


ขณะที่พวกเขายืนประจันหน้ากัน ความผันผวนของมิติก็เริ่มกระเพื่อมไหว เหล่าจอมยุทธ์ที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่มาถึงก็เริ่มเรียกยอดยุทธ์ของขั้วอำนาจตนเอง


ดังนั้นความผันผวนทรงพลังทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าในสุสานจักรพรรดิฟ้าไม่หยุด ขณะที่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนเริ่มมาถึงกันทีละคน


เมื่อพวกเขามาถึงก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศตึงเครียดระหว่างมั่นถัวหลัวและฮ่องเต้เซี่ยอย่างรวดเร็ว ทว่าไม่มีใครจะสอดมือเข้าไปยุ่ง เพราะขุมกำลังทั้งสองมีการรวมตัวที่ทรงพลังและพวกเขาอาจต้องทนทุกข์ทรมานหากเข้าไปแทรกแซง


นอกจากนี้นี่ก็เป็นข่าวดีสำหรับพวกเขาหากทั้งสองฝ่ายประสบความสูญเสีย จำนวนคู่แข่งจะได้ลดลง


ทว่าสุดท้ายสถานการณ์นี้ก็ไม่ได้ดำเนินต่อไป


“ฮ่าๆ แมนดาลา ไม่คิดว่าปีที่ผ่านๆ มาเจ้าจะซ่อนตัวอยู่ในภูมิภาคทางเหนือ…ข้าตามหาซะนานเลย”ทันใดนั้นเสียงหัวเราะสดใสก็ดังก้องซึ่งดึงดูดความสนใจผู้คนเป็นอย่างมาก


เมื่อมู่เฉินได้ยินเสียงนั้นม่านตาก็หดแคบลง เนื่องจากคนคนนั้นเรียกมั่นถัวหลัวว่าแมนดาลา… นั่นหมายความว่าเขาต้องรู้จักตัวตนที่แท้จริงของมั่นถัวหลัว


ในทวีปเทียนหลัว นอกเหนือจากเขาแล้วก็คงมีแต่ศัตรูข้ามชาติของมั่นถัวหลัว—จักรพรรดิปีศาจลู่หยวนที่รู้เกี่ยวกับตัวตนของนาง


มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองไปในระยะไกลก็เห็นความผันผวนของมิติ ภาพเงาโดดเด่นก้าวเดินในความผันผวนนั่นปรากฏต่อหน้าสายตาพวกเขา


เมื่อภาพเงานั้นปรากฏขึ้น เขาก็เหลือบไปที่มั่นถัวหลัวก่อนที่จะมองไปที่มู่เฉินพลางยิ้มพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน


“ข้ารู้สึกได้ถึงความผันผวนของป้ายขวางสมุทรในตัวเจ้า ดูเหมือนว่า…เจ้าฆ่าจาโหลหลัวไปแล้วสินะ”


บทที่ 1182 ขั้นเต็ม

“ดูเหมือนว่า…เจ้าฆ่าจาโหลหลัวไปแล้วสินะ”


น้ำเสียงอ่อนโยนดังกึกก้องอย่างไร้อารมณ์ แต่มู่เฉินกลับรู้สึกว่ารูขุมขนทั่วร่างลุกชันภายใต้สายตาอ่อนโยนนั่น อันตรายที่ไม่อาจอธิบายได้ห่อหุ้มร่างเขาไว้


มู่เฉินตั้งระวังขณะเงยหน้าขึ้นมองไปที่ร่างเงาซึ่งเป็นศัตรูคู่อาฆาตของมั่นถัวหลัว ว่ากันว่าชายคนนี้เป็นพาหนะของจักรพรรดิฟ้า


เขาดูสง่างามพร้อมกับรูปลักษณ์น่าดึงดูดราวกับว่าถูกแกะสลักอย่างมีศิลปะ ดวงตาเป็นสีดำราวกับท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว


ชายผู้นี้ก็คือจักรพรรดิปีศาจแห่งตำหนักเทพปีศาจ—ลู่หยวน!


ขณะที่มู่เฉินเกร็งร่างกายเมื่อมองไปที่ลู่หยวน ร่างเล็กกระทัดรัดที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาก็ปิดกั้นรัศมีของลู่หยวนเอาไว้


เมื่อเห็นว่ามั่นถัวหลัวให้การปกป้องต่อมู่เฉิน ลู่หยวนก็ยิ้มอ่อน “วางใจเถอะ จาโหลหลัวสู้ไม่ได้เอง ต่อให้เป็นข้าก็กล่าวว่าอะไรไม่ได้”


ขณะที่พูดเขาก็เบนสายตาไปหามั่นถัวหลัว “แต่มั่นถัวหลัว พวกเราไม่ได้พบกันมาหลายปี ทำไมต้องทำให้บรรยากาศตึงเครียดตั้งแต่เจอกันแบบนี้ด้วยล่ะ?”


ใบหน้าของมั่นถัวหลัวเย็นชาลงก่อนจะพูดเบาๆ “แกเคยเป็นพาหนะของท่านจักรพรรดิฟ้า แต่ดันขี้ขึ้นสมองด้วยความกลัวในสงครามครั้งนั้น แกทำให้จักรพรรดิฟ้าผู้สง่างามต้องอับอายขายขี้หน้า”


ขณะที่มั่นถัวหลัวพูด ทุกคนก็มองไปที่ลู่หยวนด้วยความประหลาดใจ เนื่องจากไม่มีใครคาดคิดว่าลู่หยวนจะมีตัวตนนี้เช่นกัน


นอกจากนี้ลู่หยวนยังกลัวหัวหดจากการที่จักรวรรดิปีศาจต่างมิติโจมตีวังสวรรค์บรรพกาล? นั่นเป็นเรื่องขี้ขลาดตาขาวจริงๆ


คำพูดของมั่นถัวหลัวแทงใจลู่หยวนอย่างที่สุด ทำให้ใบหน้าที่อบอุ่นอ่อนโยนของเขาแข็งค้าง


สีหน้าเขาค่อยๆ หดกลับจากนั้นก็หัวเราะเบาๆ “เจ้าดอกแมนดาลาดูท่าเจ้าจะรนหาที่ตายจริงๆ แกเคยหนีไปได้ในอดีต แต่ครั้งนี้แกจะไม่โชคดีแล้ว”


ตู้ม!


คลื่นหลิงที่น่ากลัวระเบิดออกมาจากร่างกายของลู่หยวน ทำให้มิติโดยรอบแตกเป็นเสี่ยงๆ เศษชิ้นส่วนมิตินับไม่ถ้วนหมุนคว้างรอบตัวเขา


จังหวะที่เขาปลดปล่อยคลื่นอันทรงพลังนั้นหลายคนก็เปลี่ยนสีหน้าไป เนื่องจากนั่นเป็นคลื่นหลิงระดับขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายแท้จริง


“ฮ่องเต้เซี่ย เหมือนเราจะสามารถร่วมมือกันก่อนได้นะ…” ลู่หยวนมองไปที่ฮ่องเต้เซี่ยพลางยิ้ม


หากแคว้นเซี่ยและตำหนักเทพปีศาจร่วมมือกัน แม้แต่กองทัพพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือก็ไม่สามารถหยุดยั้งพวกเขาได้


ใบหน้าของฮ่องเต้เซี่ยดูเคร่งเครียดลง เขาไม่ได้มีความสัมพันธ์ฉันมิตรลึกซึ้งกับลู่หยวน แต่ตอนนี้ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องปฏิเสธคำชวนของอีกฝ่าย เขาปรายตามองไปที่มั่นถัวหลัวอย่างเย็นชาพูดว่า “ส่งไอ้เด็กเวรนั่นมาให้ข้า ไม่งั้นเจ้าจะต้องแบกรับผลกรรมที่จะตามมา”


ประมุขทั้งห้าของกองทัพพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือมีสีหน้าน่าเกลียด พวกเขาไม่คิดว่ามั่นถัวหลัวจะมีศัตรูคู่อาฆาตอย่างจักรพรรดิปีศาจลู่หยวนด้วย


หากตำหนักเทพปีศาจและแคว้นเซี่ยร่วมมือกัน การรวมตัวของพวกเขาก็จะไปไกลเกินกว่ากองทัพพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือของพวกเขาแน่ เพราะอีกฝ่ายมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายถึงสองคน ดังนั้นในการต่อสู้หนึ่งในนั้นจะประมือกับมั่นถัวหลัว ขณะที่อีกหนึ่งคนกวาดล้างที่เหลือ


พวกเขาอดไม่ได้ที่จะมองไปที่มั่นถัวหลัว ตามความคิดพวกเขาการมอบมู่เฉินให้เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะการทำสงครามกับขั้วอำนาจชั้นยอดทั้งสองเพื่อจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มคนเดียวเป็นเรื่องไม่ฉลาดเอาเสียเลย


ภายใต้ความกังวลใจของทุกคน ใบหน้าของมั่นถัวหลัวก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด นางมองไปที่ฮ่องเต้เซี่ยอย่างเรียบเฉย “อย่าฝัน หากเจ้าจะเริ่มทำสงครามก็เอาเลย”


เมื่อประมุขทั้งห้าของพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือได้ยินคำพูดของนาง ใบหน้าของพวกเขาก็ขมขื่น พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมมั่นถัวหลัวถึงต้องปกป้องมู่เฉินขนาดนี้ ชายหนุ่มคนนี้เป็นจอมยุทธ์ตัวจ้อยเท่านั้น


“ฮ่าๆ ดี! ดี!”


ฮ่องเต้เซี่ยหัวเราะด้วยความโกรธเนื่องจากเขาไม่คิดว่ามั่นถัวหลัวจะดื้อดึงปานนี้ นางยอมต่อสู้กับสองขุมกำลังระดับสูงสุดเพื่อปกป้องมู่เฉิน


ถ้าเขาปล่อยเรื่องนี้ไป ชื่อเสียงของแคว้นเซี่ยก็จะต้องป่นปี้มาก เพราะขนาดองค์ชายใหญ่รัชทายาทยังถูกสังหาร หากพวกเขาไม่สามารถแก้แค้นได้ ใครจะกล้าเข้าร่วมกับแคว้นเซี่ยในอนาคตอีก?


“ในเมื่อแกดื้อดึงมาก งั้นข้าคนนี้ก็ขอดูด้วยตัวเองว่ากองทัพพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือของแกจะมีความมั่นใจเพียงใด” ฮ่องเต้เซี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเข้มข้นก่อนที่พลังงานหลิงรอบตัวจะทวีคูณความรุนแรงเพิ่มขึ้น


“เฮ้ ทุกอย่างยังดีใช่ไหม?”


หลินจิ้งที่อยู่ด้านหลังมู่เฉินอดไม่ได้ที่จะถาม เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบันอาณาเขตกงเวทสวรรค์อยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบ ไม่ว่านางจะมองอย่างไรก็ตาม


“วางใจเถอะ”


มู่เฉินยิ้มบาง จากนั้นก็มองไปที่มั่นถัวหลัวที่หันมามองเขาในขณะนี้


มู่เฉินพยักหน้าพลางสะบัดมือออกไป แสงมืดมิดไม่มีที่สิ้นสุดเบ่งบานก่อร่างเป็นดอกแมนดาลาโบราณที่น่าหลงใหล กลืนกินกระทั่งแสงสว่าง


การปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันของดอกแมนดาลาโบราณดึงดูดความตกตะลึงของทุกคนทันที ก่อนที่พวกเขาจะเปลี่ยนสีหน้าไปรุนแรงจากการรู้สึกถึงความผันผวนที่น่ากลัวของดอกไม้


“แก!”


ม่านตาของลู่หยวนแคบลงขณะที่อุทาน “แกนำร่างหลักกลับมาได้เรอะ!”


สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป เขาส่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นมาเพื่อขัดขวางมั่นถัวหลัวที่จะได้รับร่างหลักคืนไป แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็หยุดนางไม่ได้เหรอ?


“นะ…นั่นคือดอกแมนดาลาโบราณ!”


จอมยุทธ์คนอื่นๆ เมื่อเห็นดอกไม้ก็จำได้เช่นกัน พวกเขาอุทานทันที “ผู้นำกองทัพพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือคือดอกแมนดาลาโบราณเรอะ?!”


มั่นถัวหลัวเพิกเฉยต่อสายตาตกตะลึงโดยรอบ นางมองไปที่ดอกไม้น่าหลงใหลด้วยความตื่นเต้นฉายบนใบหน้า


นางกอบดอกไม้อย่างระมัดระวัง ดอกไม้ไม่ปฏิเสธสัมผัสของนางสักนิด มิหนำซ้ำรัศมีมันวาวกลับสว่างขึ้นด้วย


“ขอบใจนะ”


มั่นถัวหลัวเอี้ยวหน้ากล่าวขอบคุณมู่เฉินอย่างจริงจัง


แม้ว่านางจะไม่ได้ร่วมเดินทางกับมู่เฉิน แต่นางก็รู้ว่ายากแค่ไหนที่เขาจะได้รับร่างหลักของนางมา


“ถ้าเจ้าไม่บรรลุขุมพลัง เจ้าก็จะไม่สามารถปกป้องข้าด้วยความสามารถในการสร้างปัญหาของข้า” มู่เฉินส่ายหน้าพลางยิ้ม เขายั่วยุฮ่องเต้เซี่ยเข้าให้แล้ว ถ้าเขาไม่ทำอะไรก็จะนำพรรคพวกตกอยู่ในอันตราย


ในเมื่อเขาก่อปัญหาขึ้นแล้ว เขาก็ต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อชดเชย


มั่นถัวหลัวยิ้มหมานก่อนที่จะเยื้องย่างไปยังดอกไม้น่าหลงใหลซึ่งเบ่งบานปล่อยให้นางมุ่งหน้าไปยังเกสรของดอกไม้


“หยุดนาง!”


ลู่หยวนคำราม


ตู้ม!


เขาและฮ่องเต้เซี่ยเคลื่อนไหวในเวลาเดียวกัน กระแสพลังงานสองสายพุ่งเข้าหาดอกแมนดาลาโบราณ


เผชิญหน้ากับการโจมตีของพวกเขา กลีบดอกแมนดาลาก็แผ่กระจายออกไปพร้อมกับแสงมืดมิดกลืนกินแสงสว่างทั้งปวง ทันใดนั้นการระเบิดของคลื่นหลิงสองสายก็ถูกลบออกไปอย่างเงียบๆ


เมื่อมองไปที่แสงสีดำพร่างพราว ใบหน้าของลู่หยวนและฮ่องเต้เซี่ยก็เปลี่ยนไปอย่างไม่น่าดู


“นั่นมันแสงสีดำมืดมนของดอกแมนดาลาโบราณ ว่ากันว่าสามารถสลายการโจมตีทั้งหมด ช่างเผด็จการยิ่งนัก” เหล่าจอมยุทธ์ชั้นสูงต่างอุทาน เพราะดอกแมนดาลาโบราณหายากเกินไป ยิ่งถ้าต้องเพาะบ่มถึงระดับนี้ก็ยิ่งหายากขึ้นอีก


“สามารถขัดขวางการโจมตีของจอมยุท์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายสองคนได้อย่างง่ายดาย ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์น่าเกรงขามอย่างแท้จริง ดูเหมือนว่าจะมีจอมยุทธ์ทรงพลังอีกคนเพิ่มขึ้นในทวีปเทียนหลัวในอนาคตแน่นอน”


ประมุขทั้งห้าก็พากันตกตะลึงกับฉากนี้เช่นกัน พวกเขาคิดไม่ถึงว่ามั่นถัวหลัวซึ่งเคยอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นเมื่อไม่กี่ปีก่อนจะมีพลังเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันเพียงนี้


แสงสีดำมืดมนเบ่งบานอย่างต่อเนื่องจากดอกแมนดาลาโบราณ ขณะที่ร่างมั่นถัวหลัวเริ่มจางหายไปรวมเข้ากับดอกไม้


ฮึ่ม!


ทันทีที่ทั้งสองรวมเข้ากัน แสงมืดมนหลายแสนจั้งก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ขณะเดียวกันคลื่นหลิงน่าสะพรึงกลัวก็ครอบงำออกไปพร้อมกับแรงกดดันที่ไม่อาจบรรยาย


ดอกไม้ที่น่าหลงใหลเบ่งบานราวกับว่ากำลังเริงระบำ ทำให้สวรรค์และโลกสั่นสะเทือนเบาๆ จากการเคลื่อนไหวพร้อมกับบทสวดภาษาสันสกฤตเปล่งออกมา


ทุกคนรู้สึกได้ถึงความกดดัน ใบหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงพร้อมกับความตกตะลึงสุดขีดผุดขึ้นในใจ


เนื่องจากแรงกดดันของคลื่นหลิง…ได้ทะลุขอบเขตระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายเรียบร้อย!


นั่นคือ…


ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม!


บทที่ 1183 มั่นถัวหลัวที่สมบูรณ์แบบ

แสงมืดมิดปกคลุมภูมิภาคนี้


พร้อมกับความผันผวนที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงซึ่งทำให้แม้แต่เหล่าจอมยุทธ์ชั้นสูงที่นี่ก็มีท่าทางการแสดงออกที่เปลี่ยนไป


เนื่องจากคลื่นพลังนี้เป็นของระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม!


ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มคือระดับที่เข้าใกล้กับระดับเทียนจื้อจุนซึ่งเป็นการดำรงอยู่ของอำนาจสูงสุดอย่างแท้จริงแม้แต่ในมหาพันภพ!


ไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสักคนในทวีปเทียนหลัว ดังนั้นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มจึงเป็นบุคคลที่สุดของที่สุด ณ ทวีปแห่งนี้


พวกเขาต่างเป็นตัวแทนของขุมกำลังที่ทรงพลังที่สุดของทวีปเทียนหลัว แม้แต่ขั้วอำนาจชั้นยอดก็ยังหวาดกลัวพวกเขา แต่ตอนนี้กลับมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มถือกำเนิดขึ้นต่อหน้าพวกเขาแล้ว!


สามารถจินตนาการได้ว่าในอนาคตอาณาเขตกงเวทสวรรค์และพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือจะต้องมีสถานะที่สูงส่ง เนื่องจากพวกเขามีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม


จอมยุทธ์หลายคนถึงกับถอนหายใจด้วยสายตาซับซ้อน จากนั้นก็เบนสายตายินดีในความทุกข์จ้องมองที่ฮ่องเต้เซี่ยและลู่หยวน


ทั้งสองคนไม่คิดมาก่อนว่าหลังจากมั่นถัวหลัวหลอมรวมกับร่างหลักความแข็งแกร่งจะยกระดับขึ้นมากขนาดนี้ ถึงขั้นผ่านคอขวดบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้


เมื่อนาทีที่แล้วทุกคนยังรู้สึกว่ากองทัพพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือต้องจ่ายราคาแพงระยับเพื่อจัดการขั้วอำนาจทั้งสอง แต่สถานการณ์กลับตาลปัตรในพริบตา


แม้ว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายสองคนจะผนึกกำลังกัน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะต่อกรกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม


เนื่องจากช่องว่างขุมพลังทั้งสองช่างทำให้คนรู้สึกสิ้นหวังนัก


มิฉะนั้นด้วยจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายมากมายที่นี่ ทำไมพวกเขาถึงไม่สามารถสร้างความก้าวหน้าได้ต่อให้ผ่านไปหลายปี?


ประมุขทั้งห้าของพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือต่างตกตะลึงกับฉากนี้ ก่อนที่พวกเขาจะแลกเปลี่ยนสายตากัน หลิ่วเทียนเต้าประมุขตำหนักสุดนภาก็กระแอมไอขึ้นมาเบาๆ “ไม่คิดว่าท่านผู้นำของเราจะมีไม้เด็ดเช่นนี้ สายตาพวกเราไม่กว้างไกลเลย”


เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดนั่นก็มองไปที่หลิ่วเทียนเต้าถามว่า “ก่อนหน้านี้ท่านประมุขหลิ่วคงอยากมอบตัวข้าไปมากสินะ?”


เขาและหลิ่วเทียนเต้าไม่กินเส้นกันมาตั้งแต่ในอดีต แม้ว่าจะมีการก่อตั้งพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือ ทั้งสองคนก็ได้แต่วางความขุ่นเคืองเอาไว้ก่อน แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน


หากจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มธรรมดาพูดในลักษณะนี้กับเขา หลิ่วเทียนเต้าคงระเบิดอารมณ์ไปแล้วแน่นอน แต่เมื่อพบปะกับมู่เฉิน เขาก็ไม่สามารถวางท่าทีใดๆ ได้ เพราะมู่เฉินและมั่นถัวหลัวมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน บางทีพวกเขาอาจจะยังคงมีความคิดบางอย่างตอนที่มั่นถัวหลัวมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย แต่เนื่องจากตอนนี้นางทะลุไปขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว ความคิดของพวกเขาก็สลายไปอย่างสิ้นเชิง


นอกจากนี้พวกเขารู้ว่าเมื่อมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มในกลุ่มพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือสถานะของพวกเขาจะสูงขึ้นในทวีปเทียนหลัว


การได้รับการปกป้องจากจอมยุทธ์ระดับนี้ทำให้พวกเขาสามารถเดินเชิดหน้าในยุทธภพได้อย่างสบาย


ดังนั้นหากก่อนหน้านี้พวกเขารู้สึกเหมือนถูกบังคับให้เข้าร่วมพันธมิตรภูมิภาคเหนือ ตอนนี้พวกเขาก็รู้สึกโชคดีที่ได้เข้าร่วม


เพราะเหตุนี้หลิ่วเทียนเต้าจึงทำได้เพียงยิ้มเฝื่อนกับคำพูดของมู่เฉินและตัดสินใจทันทีว่าจะไม่สร้างความขุ่นเคืองอะไรต่อกันแล้ว


มู่เฉินไม่ได้ไล่จี้เมื่อเห็นท่าทีของหลิ่วเทียนเต้า เขามองไปที่เสาแสงมืดมิดที่ขยายออกไปประมาณหมื่นจั้งในช่วงระยะไม่กี่สิบลมหายใจสั้นๆ


เมื่อมองจากระยะไกลกิ่งก้านและใบของดอกไม้น่าหลงใหลก็ดูดุร้ายมากขึ้นหลายส่วน


ขณะนี้ดอกแมนดาลาโบราณน่ากลัวยิ่งกว่าสัตว์ในยุคดึกดำบรรพ์เสียอีก


ดอกไม้แกว่งไปมาเบาๆ แสงสีดำเบ่งบานออกมาพร้อมกับเสียงฟ้าร้องครางกระหึ่ม มิติบิดเบี้ยวขณะที่สายฟ้าสีดำแล่นแปลบปลาบลงมาที่ดอกไม้น่าหลงใหล


ความผิดปกติของฟ้าดินดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง


ทันใดนั้นมหาสมุทรน่าสะพรึงกลัวของคลื่นหลิงก็ถูกครอบงำก่อนที่จะถูกดูดกลับเข้าไปในดอกไม้


เมื่อดอกไม้ดูดซับพลังงานหยดสุดท้ายก็หดกลับสู่ขนาดเดิมอย่างรวดเร็ว กลีบดอกแย้มบานลงมาเผยให้เห็นร่างเล็กกระทัดรัดเอาไว้


รูปลักษณ์ของมั่นถัวหลัวยังดูเหมือนเมื่อก่อนหน้า เด็กผู้หญิงอ่อนโยนตัวเล็ก แต่เมื่อนางเงยหน้าขึ้นม่านตาสีทองคำก็กลายเป็นสีดำ


สีดำนั้นคล้ายกับหลุมดำที่สามารถฉีกวิญญาณได้หากใครจ้องมองไปที่รูม่านตานั้นนานเกินไป


ชุดสีดำถักทอขึ้นบนร่างกายของมั่นถัวหลัว ขณะที่นางก้าวย่างออกมาจากเกสรดอกไม้ เมื่อนางเดินออกไปแล้วดอกแมนดาลาก็หดลงอย่างรวดเร็ว กลายเป็นดอกไม้สีดำอยู่ในมือนาง


นางอ้าปากกลืนกินดอกไม้เข้าไป ก่อนที่จะยืดเอวมองไปที่ฮ่องเต้เซี่ยและลู่หยวนด้วยดวงตามืดมนลึกซึ้ง


เมื่อรู้สึกถึงการจ้องมองของมั่นถัวหลัว ฮ่องเต้เซี่ยและลู่หยวนก็ก้าวถอยหลังพร้อมกับความกลัวและความระมัดระวังพล่านในดวงตา แม้ในแง่ของรูปลักษณ์มีเพียงม่านตาของมั่นถัวหลัวเท่านั้นที่เปลี่ยนไป แต่พวกเขาสามารถสัมผัสได้ว่ารัศมีของนางอันตรายกว่าแต่ก่อนหลายเท่า


“ฮ่องเต้เซี่ย เจ้ายังคิดจะเปิดสงครามอยู่ไหม?” มั่นถัวหลัวเหลือบมองฮ่องเต้เซี่ยพลางถามอย่างไม่แยแส


หลังจากรวมกับร่างหลักแล้ว นางก็ไม่กังวลที่ฮ่องเต้เซี่ยและลู่หยวนจะร่วมมือกันอีกต่อไป


ใบหน้าของฮ่องเต้เซี่ยเปลี่ยนไปอย่างไม่น่าดูพร้อมกับสายตาวูบไหว เขาพยายามดิ้นรนเพื่อตัดสินใจในใจ หากมั่นถัวหลัวเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย เขาก็จะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้จบลง แต่ตอนนี้นางอยู่ในขั้นเต็มแล้วซึ่งไม่ใช่คนที่เขาสามารถเผชิญหน้าได้


การเป็นศัตรูกับจอมยุทธ์ระดับนี้อาจจะนำหายนะมาสู่แคว้นเซี่ย


เมื่อเทียบกับสิ่งนี้การสูญเสียรัชทายาทก็ไม่ได้อะไรเลย เพราะตัวเขายังมีลูกคนอื่นๆ และเขายังมีเวลาที่จะเลือกฝึกฝนรัชทายาทคนใหม่ได้


ดังนั้นหลังจากลังเลอยู่นาน ฮ่องเต้เซี่ยก็ก้าวถอยหลังพูดอย่างไม่แยแสว่า “ในเมื่อเจ้าก้าวข้ามไปแล้ว แคว้นเซี่ยของข้าก็จะยอมรับการสูญเสียนี้”


หลายคนมองไปที่ฮ่องเต้เซี่ยพลางแอบเดาะลิ้น ฮ่องเต้เซี่ยยอมกลืนความขุ่นเคืองลงท้องไปได้ช่างเป็นคนที่ใจไม้ไส้ระกำนัก ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมแคว้นเซี่ยถึงแข็งแกร่งขึ้นได้ในมือเขา


มั่นถัวหลัวดูนิ่งสงบกับการตอบสนองนี้ ตอนนี้ฮ่องเต้เซี่ยแค่ถูกบังคับให้อดทนต่อสิ่งนี้ แต่ตราบใดที่นางยังคงอยู่ในสถานภาพนี้ แคว้นเซี่ยก็ต้องกลืนความไม่พอใจนี้ลงไป


บางทีสถานการณ์อาจเปลี่ยนไปหากฮ่องเต้เซี่ยบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่ชัดว่าวันเวลานั้นยังอีกยาวไกล


พลังที่ต้องการในการบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเกินกว่าจินตนาการของระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายนัก


ดังนั้นนางจึงหันไปมองลู่หยวน แต่คราวนี้น้ำเสียงเย็นชาลงมาก


“ลู่หยวนถึงเวลาที่จะต้องยุติความแค้นแล้ว”


เสียงเยือกเย็นเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าหนาแน่น ชัดว่านางไม่คิดที่จะปล่อยลู่หยวนไปอีกแล้ว


สายตาของลู่หยวนมืดมนลงเช่นกัน เนื่องจากสถานการณ์ไม่เป็นไปตามความหวัง ทว่าเขาไม่ได้ถอยหนีเหมือนฮ่องเต้เซี่ย


เนื่องจากเขารู้ว่าความแค้นระหว่างตนเองกับมั่นถัวหลัวจะยุติลงได้ก็ต่อเมื่อมีคนใดคนหนึ่งตาย ดังนั้นต่อให้เขาตั้งใจถอยมั่นถัวหลัวก็คงไม่ปล่อยเขาไปหรอก


ดังนั้นเขาจึงหายใจเข้าลึกๆ ก้าวออกไป


ตู้ม


คลื่นหลิงไร้ขอบเขตกวาดออกมา จากนั้นก็เหวี่ยงหมัด


คลื่นหลิงที่น่าสะพรึงรวมกันในหมัด กลายเป็นดาวมหึมาพุ่งเข้าหามั่นถัวหลัว


หากเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นธรรมดารับหมัดนี้ไปก็คงจะได้รับบาดเจ็บหนัก ทว่ามั่นถัวหลัวเพียงแค่เงยหน้าขึ้นและสะบัดนิ้วเบาๆ


ปัง!


ดาวดวงมหึมากระเด็นออกไปชนเข้ากับภูเขาที่ลอยอยู่กลางอากาศจนกลายเป็นเถ้าถ่านทันที


หลังจากดีดการโจมตีออกไป มั่นถัวหลัวก็พูดเบาๆ ว่า “ถ้านั่นเป็นทั้งหมดที่แกมีก็รับความตายวันนี้ซะ”


ก่อนที่นางจะพูดจบ หัวใจของมั่นถัวหลัวก็สั่นสะท้านและหันกลับมามองไปที่ไกลด้วยความตกใจ


ขณะเดียวกันจอมยุทธ์ชั้นสูงคนอื่นๆ และพวกมู่เฉินก็รู้สึกได้เช่นกัน สายตาเบนมองไปทันที


ภูเขาลอยที่กลายเป็นฝุ่น เผยให้เห็นภายในเป็นจัตุรัสขนาดใหญ่ที่มีร่างเงายืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ พร้อมกับรัศมีที่ไม่อาจจินตนาการได้แผ่ออกมา


แม้แต่มั่นถัวหลัวที่เพิ่งจะบรรลุตี้จื้อจุนขั้นเต็มยังอ่อนแอต่อหน้ารัศมีนี้


สายตาของมั่นถัวหลัวจ้องเขม็งไปที่ร่างนั้นด้วยความไม่เชื่อบนใบหน้าพลางพึมพำออกมา


“นั่นจักรพรรดิฟ้า?!”


บทที่ 1184 สถานการณ์เปลี่ยนแปลง

ยอดเขาพังทลายลง


เผยให้เห็นจัตุรัสขนาดใหญ่ที่ซ่อนตัวต่อหน้าทุกคน


โดยเฉพาะร่างเงาที่ยืนอหังการอยู่ใจกลางจัตุรัสซึ่งดึงดูดความสนใจของทุกคน


เขาเป็นชายสวมเสื้อคลุมสีฟ้าอมเขียวพร้อมกับรูปลักษณ์ชวนตะลึง ร่างกายไว้สง่าแม้จะไม่เคลื่อนไหวแต่ก็มีแรงกดดันที่น่ากลัวเลือนรางเล็ดลอดออกมา


บริเวณที่เขายืนอยู่ราวกับเป็นมิติพิเศษ มิติส่วนนั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ตลอดเวลา…


ทุกคนที่นี่มองไปยังร่างเงานั้น ไม่ว่าจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นหรือแม้แต่มั่นถัวหลัวที่เพิ่งจะบรรลุขั้นเต็ม พลังงานหลิงในร่างกายของพวกเขาก็สั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุมได้ในเวลานี้


สำหรับจอมยุทธ์ที่อยู่ภายใต้ขอบเขตตี้จื้อจุน คลื่นหลิงในร่างกายก็ตีวนจนกระอักเลือดออกมา ก่อนที่พวกเขาจะเบนสายตาหนีไม่กล้ามองไปที่ร่างเงานั้นอีก


พวกเขาได้รับบาดเจ็บเพียงแค่มองดูการดำรงอยู่นั้น… นี่น่ากลัวแค่ไหนกัน?


นี่เป็นสิ่งที่แม้แต่มั่นถัวหลัวในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ไม่สามารถทำสำเร็จได้ ดังนั้น…จึงมีเพียงคำตอบหนึ่งเดียวที่เหมาะกับคำอธิบายตัวตนร่างเงานั้น…


ผู้ก่อตั้งวังสวรรค์บรรพกาล หนึ่งในสุดยอดจอมยุทธ์ในสมัยโบราณ—จักรพรรดิฟ้า!


สุสานจักรพรรดิฟ้าตกอยู่ในความเงียบเมื่อทุกคนมองไปยังร่างเงานั้น พวกเขารู้สึกตกตะลึงกับรัศมีที่ปล่อยออกมา


ความตกตะลึงนี้เกิดขึ้นเป็นเวลานานก่อนที่พวกเขาจะค่อยๆ ฟื้นคืนสติ


“นะ…นั่นคือจักรพรรดิฟ้า!”


เสียงสั่นเครือดังก้องด้วยความคารวะและความโลภ


ทุกคนมาที่สุสานจักรพรรดิฟ้าก็เพื่อรับมรดกจากจักรพรรดิฟ้า


กล่าวให้ชัดก็คือคัมภีร์ระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่าวิชาสามพิสุทธิ์!


ถ้าพวกเขาได้รับก็จะสามารถยืนอยู่บนจุดสูงสุดของมหาพันภพในอนาคตและก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน


“นั่นคือจักรพรรดิฟ้าเหรอ?”


มู่เฉินตกตะลึงไปเช่นกันเมื่อมองไปที่ร่างนั้น ใครจะไปคิดว่าจักรพรรดิฟ้าที่ซ่อนอยู่จะเผยตัวออกมาจากการเผชิญหน้าระหว่างลู่หยวนและมั่นถัวหลัว


หญิงสาวทั้งสามคนที่ยืนอยู่ข้างหลังมู่เฉินก็มองไปที่ร่างนั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น


วาบ! วาบ!


ความเงียบทั่วบริเวณพังทลายลง เนื่องจากหลายคนกลั้นใจไว้ไม่ได้แล้ว ไปปรากฏตัวขึ้นรอบๆ ภูเขา


ลู่หยวนก็ขยับเข้าใกล้หลังจากเหลือบไปมองมั่นถัวหลัว


มั่นถัวหลัวไม่ได้ขัดขวางอีกฝ่าย เพราะนางกำลังอึ้งไปขณะมองไปที่ร่างนั้นด้วยอารมณ์ซับซ้อนที่พลุ่งพล่านในดวงตา


นางถูกจักรพรรดิฟ้านำตัวกลับมา ในเวลานั้นนางทั้งยังเด็กและใกล้ตาย แต่จักรพรรดิฟ้ากลับช่วยฟูมฟัก หลังจากนั้นก็เลี้ยงดูให้อยู่ในวังสวรรค์บรรพกาล


ตอนที่จักรวรรดิปีศาจโจมตี นางก็คิดจะเข้าสู้รบเช่นกัน แต่กลับถูกผนึกไว้โดยจักรพรรดิฟ้าจึงหลีกเลี่ยงชะตากรรมความตายมาได้


ดังนั้นสำหรับนางจักรพรรดิฟ้าประหนึ่งบิดาผู้เลี้ยงดู แต่ตอนที่นางตื่นขึ้นอีกครั้งโลกทั้งใบก็เปลี่ยนไป


จักรพรรดิฟ้าหายไปพร้อมกับวังสวรรค์บรรพกาลถูกทำลายราบคาบ มิหนำซ้ำนางยังได้รับบาดเจ็บหนักจากการกระทำของลู่หยวนต้องหลบหนีส่งผลให้สูญเสียความทรงจำไป


แต่…ไม่ว่าอย่างไร นางไม่มีทางให้ลู่หยวนคนทรยศได้รับมรดกของจักรพรรดิฟ้าไปอย่างแน่นอน!


มั่นถัวหลัวกำหมัดแน่นพร้อมกับจิตสังหารกะพริบในดวงตาก่อนที่นางจะทะยานไปที่ภูเขา


มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็ตามหลังไปติดๆ


ทุกคนรวมตัวกันรอบๆ ภูเขาและเมื่อเข้าใกล้ พวกเขาก็สังเกตเห็นสิ่งอื่นรอบตัวจักรพรรดิฟ้า


จักรพรรดิฟ้าถือกระบี่ยาวผลึกแก้วใส กระบี่ยาวดูเก่ามากราวกับเป็นแค่โครงกระบี่ที่ด้านและไม่สมบูรณ์ แต่ทุกคนสามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานที่น่ากลัวที่มาจากกระบี่เล่มนั้น


แสงเย็นที่สะท้อนจากกระบี่สามารถเฉือนมิติออกจากกันได้เลยทีเดียวซึ่งเป็นพลังที่น่ากลัวอย่างยิ่ง


ตอนนี้กระบี่แทงลงไปที่พื้นซึ่งมีกะโหลกศีรษะสีดำผุพัง


เมื่อเห็นหัวกะโหลกสีดำ ทุกคนก็รู้สึกหนาวสั่นในใจ พวกเขารู้สึกถึงความชั่วร้ายที่ไม่อาจพรรณนาได้จากมัน


“กระบี่แก้วนั่น… หรือจะเป็นกระบี่เกล็ดจักรพรรดิในตำนาน? ว่ากันว่ามีระดับสูงกว่าอาวุธมหสวรรค์เลยทีเดียว…”


“งั้นกะโหลกศีรษะนั้นก็เป็นของนักรบราชันปีศาจที่รุกรานทวีปเทียนหลัวเรอะ?”


“ดูเหมือนว่าพวกเขาต่างสิ้นชีพในการต่อสู้ครั้งนั้น…”


“…”


ทุกคนมองไปที่ฉากนี้ขณะเสียงสนทนาดังกึกก้อง บางคนถึงกับจ้องมองด้วยสายตาคิดลงมือทำ


ไม่ว่าจะเป็นกระบี่เกล็ดจักรพรรดิในตำนาน วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดวิชาสามพิสุทธิ์ หรือแม้แต่ศพจักรพรรดิฟ้า ล้วนเป็นสิ่งที่ล่อใจที่อาจทำให้ผู้คนสูญเสียสติได้


“ข้าขอแนะนำว่าอย่าเคลื่อนไหว เราไม่รู้ว่าเคยเกิดอะไรขึ้นที่นี่ ถ้ามีใครไปกระตุ้นอะไรเข้า เราจะหนีกันไม่พ้น!” ขณะที่คนอื่นๆ ร้อนใจที่จะเคลื่อนไหว เสียงเย็นชาของมั่นถัวหลัวก็ดังก้อง


ทุกคนอึ้งและลังเล สถานที่แห่งนี้ผิดแผกอย่างแท้จริง ศพของจักรพรรดิฟ้าและกะโหลกศีรษะชั่วร้ายนั่นทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจแท้จริง


“เหอะ มั่นถัวหลัว อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดที่จะผูกขาดมรดกและกระบี่เกล็ดจักรพรรดิไว้?” ขณะที่ทุกคนกำลังลังเล เสียงเย้ยหยันก็ดังขึ้น


แต่ละคนมองไปที่ต้นกำเนิดของเสียงก็เห็นว่าเป็นลู่หยวนที่พูดออกมา


เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ จอมยุทธ์บางคนก็ขมวดคิ้วมองไปที่มั่นถัวหลัวอย่างสงสัย นั่นเป็นเพราะวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนยังถูกล่อลวง


“ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ แม้ว่าเจ้าจะประสบความสำเร็จในการบรรลุขุมพลัง เจ้าก็ไม่ได้อยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเพียงผู้เดียวในทวีปเทียนหลัว อย่าได้คิดอะไรเกินตัว” ในที่สุดก็มีคนพูดออกมา ผู้พูดมีภูมิหลังที่ยอดเยี่ยมบวกกับขั้วอำนาจของเขาก็มีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แม้ว่าจอมยุทธ์ท่านนั้นจะไม่ได้มาที่สุสานจักรพรรดิฟ้า แต่เขาก็สามารถใช้วิธีพิเศษบางอย่างเรียกมาได้ ดังนั้นแม้ว่าคนอื่นจะกลัวมั่นถัวหลัว แต่เขาไม่กลัว


เมื่อเห็นว่ามีบางคนพูดออกมา การสนทนาก็แตกสลาย ชัดว่ามั่นถัวหลัวไม่สามารถหยุดยั้งทุกคนภายใต้การล่อลวงนี้


เมื่อมั่นถัวหลัวเห็นปฏิกริยาของผู้คน ใบหน้าก็มืดครึ้มลง ก่อนที่นางจะพูดอะไรต่อก็ถูกมู่เฉินหยุดเอาไว้ เพราะนี่ไร้ประโยชน์ที่จะขัดขวางในสถานการณ์นี้ หากนางบังคับให้พวกเขาหยุดด้วยความรุนแรง อาจทำให้เกิดความโกรธแค้นหมู่ก็เป็นได้ แม้แต่มั่นถัวหลัวก็ยังไม่สามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ชั้นยอดจำนวนมากได้ บางคนก็มีภูมิหลังที่ไม่ด้อยกว่าพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือเลย


เมื่อลู่หยวนเห็นมั่นถัวหลัวเงียบไป รอยยิ้มก็ผุดขึ้นที่มุมปาก


วาบ!


สถานการณ์นี้ไม่ได้กินเวลานาน เสียงมวลลมอัดก็ดังกึกก้องทำลายความเงียบงันลง จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นหลายคนไม่สามารถยับยั้งตัวเองได้ทะยานออกไปได้


พวกเขามีวัตถุประสงค์ชัดเจน ซึ่งไม่ใช่กระบี่เกล็ดจักรพรรดิ แต่เป็นศพของจักรพรรดิฟ้า


เนื่องจากตัวกระบี่ปักอยู่บนกะโหลกศีรษะชั่วร้าย ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาดึงออกมา ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเขาขอเข้าไปหาศพจักรพรรดิฟ้าก่อน ไม่แน่วิชาสามพิสุทธิ์อาจอยู่ที่ตัวจักรพรรดิฟ้าก็เป็นได้


จอมยุทธ์เหล่านั้นทะยานไปอย่างรวดเร็ว แต่คนอื่นๆ ที่มีสติมากกว่าก็ไม่ได้ขัดขวาง เพราะพวกเขาต้องการใช้จอมยุทธ์เหล่านี้เพื่อทดสอบ


คนเหล่านั้นปรากฏขึ้นข้างศพของจักรพรรดิฟ้าในพริบตา จากนั้นก็เอื้อมมือจับแล้วเตรียมพุ่งหนีจากไป


ร่างจักรพรรดิฟ้าผละจากกระบี่


เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนั้นร่างกายก็เกร็งขึ้นด้วยความตื่นตัวเต็มที่


แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจก็คือไม่มีอะไรเกิดขึ้น


เมื่อจอมยุทธ์คนอื่นเห็นฉากนี้ พวกเขาก็รู้สึกโล่งใจ ความโลภวูบไหวในดวงตา แต่ละคนพุ่งเข้าไปแย่งชิง


วาบ!


ทว่าจังหวะนั้นเองเงาเลือนรางก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเหล่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นซัดฝ่ามือออกมา ดวงดาวระเบิดด้วยพลังงานที่น่ากลัวปะทุออกไปในมิติจนแตกเป็นเสี่ยงๆ


สะเก็ดชิ้นส่วนนับไม่ถ้วนรวมตัวกันบนกำปั้นกระแทกบนหน้าอกของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นคนหนึ่ง


ปัง!


พริบตาเดียวร่างนั่นก็ระเบิดออกกลายเป็นกลุ่มเลือดโปรยปรายลงมาจากบนท้องฟ้า…


ปัง! ปัง!


เงานั้นยังคงเคลื่อนไหวสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นอีกสองคน หลังจากสังหารคนแรกเรียบร้อย


เมื่อจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสามคนถูกฆ่าตาย หลายคนก็ฟื้นคืนสติจากเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน ใบหน้าพวกเขาเปลี่ยนแปลงรุนแรง พวกเขามองเงานั้นด้วยความตกตะลึงในดวงตา


เนื่องจากคนที่ลงมือก็คือลู่หยวน!


“ลู่หยวน แกทำอะไรน่ะ?!” หลายคนคำรามลั่น การกระทำของลู่หยวนคิดจะเป็นศัตรูกับทุกคนรึ?


แต่เผชิญหน้ากับสายตาของทุกคน ลู่หยวนกลับยิ้มกว้าง รอยยิ้มอำมหิตอย่างแท้จริง จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อกวักเลือดเนื้อที่ระเบิดบนท้องฟ้าเข้าด้วยกัน


เลือดเนื้อของสามจอมยุทธ์เคลื่อนไหว ขณะนั้นเองเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ร่างจักรพรรดิฟ้าเปิดปากกว้างกลืนเลือดเนื้อเหล่านั้นเข้าไป


ฉากนี้ทำให้ทุกคนสะท้านจับจิตขึ้นมา


นี่…เกิดอะไรขึ้น!


ยามนี้ทั้งสุสานตกอยู่ในความเงียบงัน


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)