หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1169-1174
บทที่ 1169 วิธีทำลายค่ายกล
ประตูหินบานใหญ่ค่อยๆ เปิดออก
แสงส่องทะลุผ่านรอยแยก จากนั้นฉากหลังประตูหินก็ปรากฏในครรลองสายตามู่เฉิน
หลังประตูหินเป็นโถงที่เกิดความเสียหายจากการต่อสู้รุนแรงซึ่งมีเสาหินตั้งตระหง่านอยู่จำนวนมาก
บนพื้นดินเต็มไปด้วยรอยบาดลึก พื้นดินที่นี่ชัดว่าถูกเสริมความทนทานเมื่อในอดีตโดยค่ายกล แต่ถึงกระนั้นก็ยังถูกทำลายหนัก
มู่เฉินยังสามารถมองเห็นซากศพเปล่งประกายปลดปล่อยความผันผวนที่ทรงพลังแม้ว่าชีวิตจะดับสูญไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นจอมยุทธ์ทรงพลังในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่
ช่างเป็นฉากที่น่าเศร้า
แต่มู่เฉินก็ไม่ได้ใส่ใจกับสภาพแวดล้อมโดยรอบนัก สายตาของเขาจดจ่อที่ดอกไม้น่าหลงใหลทรงเสน่ห์สีดำสนิทที่ปลายโถง
รอบด้านดอกไม้กำลังเปล่งรัศมีแสงสีดำราวกับว่าสามารถกลืนกินรังสีแสงได้ นอกจากนี้ยังมีลวดลายโบราณอยู่ในแสงเหล่านั้น
สายตาของมู่เฉินติดอยู่ที่ดอกไม้ เขารู้ว่านี่คือร่างหลักของมั่นถัวหลัว—ดอกแมนดาลาโบราณ!
“ในที่สุดก็พบแล้ว”
มู่เฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอกขณะที่มองไปที่ดอกไม้ ตราบใดที่เขาสามารถนำร่างหลักของมั่นถัวหลัวออกไปได้ เขาก็ไม่ต้องกังวลว่าฮ่องเต้เซี่ยจะเป็นภัยคุกคาม
ทว่าแม้ร่างหลักของมั่นถัวหลัวจะอยู่ตรงหน้า แต่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรโดยประมาทเพราะสัมผัสได้ถึงค่ายกลที่ซ่อนอยู่ในสภาพแวดล้อม
มู่เฉินกวาดสายตาออก จากนั้นก็หยุดลงที่เสาหินทั้งแปด ใต้เสาหินมีโครงกระดูกแปดร่างนั่งอยู่ พวกเขาราวกับสูญเสียพลังชีวิตทั้งหมด เป็นเพียงโครงกระดูกธรรมดา
แต่เขารู้ว่าศพทั้งแปดเป็นจุดกลางของค่ายกล ซึ่งก็คือจุดกำเนิดพลังของค่ายกลนี้
“ค่ายกลนี้ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารที่สมบูรณ์เลย” ท่าทางของมู่เฉินดูเคร่งเครียดมาก ในการรับรู้ของเขา แม้ว่าค่ายกลนี้จะดูสงบ แต่เขาก็รู้ดีว่าหากก้าวเข้ามาโดยประมาทก็จะต้องเผชิญกับการโจมตีทำลายล้างซึ่งทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายก็ล้มลงได้เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีเหล่านั้น
“ไม่น่าแปลกใจที่มั่นถัวหลัวเลือกที่จะซ่อนตัวที่นี่ในอดีต มิฉะนั้นนางคงไม่สามารถหยุดลู่หยวนไม่ให้เข้าใกล้ได้” มู่เฉินถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ แต่ถึงแม้ว่าค่ายกลนี้จะช่วยปิดกั้นลู่หยวนในตอนนั้น แต่ก็ปิดกั้นเขาในตอนนี้เช่นกัน
จากสิ่งนี้ก็บอกได้ว่า มั่นถัวหลัวและลู่หยวนในตอนนั้นก็น่าจะอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย
มู่เฉินหดดวงตามองไปที่ค่ายกลก็ตกอยู่ในความเงียบ เขานั่งลงที่ชายขอบก่อนที่จะหลับตาเริ่มศึกษาค่ายกลนี้
ไม่ว่าค่ายกลนี้จะทรงพลังเพียงใด เขาก็ต้องทำลาย ไม่เช่นนั้นเขาก็คงต้องปล่อยร่างหลักของมั่นถัวหลัวไว้ที่นี่เหมือนเดิม
เมื่อเขาหลับตาเส้นใยพลังงานก็แผ่ขยายออกไป เขาค่อยๆ ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับค่ายกล
เค้าโครงค่ายกลปรากฏขึ้นในสมองเขา
ค่ายกลนี้มีความลึกซึ้งและปล่อยความรู้สึกทรงพลังออกมาอย่างคลุมเครือ ซึ่งทำให้มู่เฉินรู้สึกหวั่นใจ
เห็นได้ชัดว่านี่น่าจะเป็นค่ายกลระดับจงซือขั้นกลาง
ย้อนกลับไปตอนที่มู่เฉินอยู่ในหอสอง เหตุผลที่เขาสามารถควบคุมค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารได้อย่างง่ายดายก็คือเขาได้รับแผนภาพที่ไม่สมบูรณ์มาก่อนและได้ใช้เวลาในการศึกษา ดังนั้นเขาจึงสามารถค้นหาข้อบกพร่องและควบคุมได้
แต่ค่ายกลที่เบื้องหน้านี้เป็นค่ายกลระดับจงซือที่ไม่คุ้นเคย
ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้อย่างยิ่งที่เขาจะทำลายในช่วงเวลาสั้นๆ
ทว่ามู่เฉินก็ไม่ได้ใจร้อนกลับทำให้หัวใจสงบลง เริ่มสัมผัสถึงทุกจุดของค่ายกล ถ้าเขาต้องการทำลาย เขาก็ต้องได้รับความเข้าใจเพียงพอเพื่อที่เขาจะได้ค้นหาข้อบกพร่องได้
ขณะที่มู่เฉินนั่งหลับตา พื้นที่ทั้งหมดก็กลับสู่ความเงียบงันล้อมรอบไปด้วยกลิ่นอายรกร้าง
เขาอยู่ในตำแหน่งนี้ตลอดทั้งวัน
เขานั่งอยู่ที่นั่นโดยไม่ขยับและคลื่นหลิงก็พลุ่งพล่านรอบตัวรวมตัวกันเป็นภาพจำลองค่ายกลอย่างต่อเนื่อง ทว่าโครงร่างก็ไม่เสร็จสมบูรณ์และพังทลายลงเรื่อยๆ ส่วนมู่เฉินก็ยังคงยืนหยัดสร้างขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ภาพจำลองค่ายกลนี้ก็คือค่ายกลทรงพลังซึ่งครอบคลุมทั้งโถง
มู่เฉินพยายามสรุปหาข้อบกพร่อง
อีกครึ่งวันผ่านไป
ฮึ่ม
ทันใดนั้นแสงหลิงก็เบ่งบานเบื้องหน้ามู่เฉิน โครงสร้างของค่ายกลที่ซับซ้อนอย่างยิ่งก็ถูกสร้างขึ้น แม้ว่าจะเป็นเพียงภาพจำลอง แต่ก็ยังคงมีความผันผวนน่าอัศจรรย์ปล่อยออกมา
มู่เฉินค่อยๆ ลืมตาขึ้นและดูอ่อนเพลีย การพยายามในเกือบสองวันนี่เหนื่อยเกินกว่าการต่อสู้กับผู้อาวุโสจั่วเสียอีก
แต่เขารู้ว่านี่ไม่ใช่เวลาพักผ่อน เขาระงับความเหนื่อยล้ามองไปที่ภาพจำลองค่ายกลด้วยดวงตาที่สั่นไหว
“สมกับเป็นค่ายกลระดับจงซือขั้นกลาง ช่างสลับซับซ้อนมากจริงๆ” มู่เฉินถอนหายใจ เขาเพียงแค่ติดตามโครงร่างเพื่อสร้างภาพจำลองซึ่งก็ต้องใช้พลังงานทั้งหมดเลยทีเดียว หากเขาต้องการตั้งให้สมบูรณ์แม้ว่าจะคั้นพลังจนแห้งกรอบก็ไม่สามารถทำสำเร็จได้
ค่ายกลนี้ต้องใช้สัญลักษณ์หลิงยิ่งอย่างน้อยสองสามล้านผนึกสายและหากเขาทำผิดพลาดเล็กน้อยในการเชื่อมโยงก็จะทำให้เกิดการล่มสลายของค่ายกล นี่แสดงให้เห็นว่าการตั้งค่ายกลดังกล่าวยากเพียงใด
แต่ความพยายามของเขาก็ไม่ไร้ผล
มู่เฉินมองไปที่ค่ายกลขนาดใหญ่เบื้องหน้า เขาค้นพบวิธีที่จะทำลายค่ายกลนี้แล้ว นอกเหนือจากการใช้กำลังก็ทำได้เพียงตัดแหล่งที่มาของพลัง
สายตาของเขาเลื่อนไปที่ซากศพใต้เสาทั้งแปด
นั่นคือแหล่งพลังงานสำหรับค่ายกล ซึ่งพวกเขาได้ก่อตัวเชื่อมโยงความสมดุลระหว่างกัน
เนื่องจากความสมดุลนี้ ทำให้ไม่ว่ามู่เฉินจะโจมตีจากทางไหนก็จะถูกทั้งแปดศพรุมโจมตี แต่ถ้าสามารถทำลายความสมดุล ค่ายกลที่ไม่มีใครควบคุมนี้ก็จะสูญเสียความสมดุลคลื่นหลิงทำให้เกิดความไม่เสถียร ซึ่งเขาก็จะมีโอกาส
ฟังดูเหมือนง่าย แต่ก็ยากมากที่จะนำไปปฏิบัติจริง
เพราะตราบใดที่มู่เฉินมีแววจะโจมตีเพียงเล็กน้อย เขาก็จะถูกโจมตีจากค่ายกล แม้แต่กองทัพสังหารวิญญาณก็ไม่สามารถทนได้
ดังนั้นเขาต้องทำลายสมดุลโดยไม่ทำให้เกิดปฏิกิริยากับค่ายกล
มู่เฉินขมวดคิ้วขณะที่คิดว่าจะทำลายสมดุลได้อย่างไร
“ข้าไม่สามารถโจมตีค่ายกลได้ มิฉะนั้นจะทำให้เกิดการโต้กลับ”
“ความสมดุลของค่ายกลมาจากการควบคุมส่วนกลางของเสาหลักที่อยู่เบื้องหลังศพทั้งแปด ศพเป็นแหล่งพลังงานและเสาหลักเป็นสะพานเชื่อมเข้าด้วยกัน”
“ดังนั้นถ้าข้าสามารถแยกศพออกจากเสาได้ ข้าก็จะสามารถทำลายสมดุลได้!”
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นพร้อมกับสายตาวูบไหว เขาจ้องมองไปที่เสาทั้งแปดต้นและซากศพระบุตำแหน่งไว้ พักใหญ่รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้า
เขากระทืบพื้นเบาๆ เพื่อทดสอบว่าพื้นแข็งแรงแค่ไหนก่อนจะยิ้ม “ง่ายล่ะ”
มู่เฉินเริ่มขยับถอย ป้ายกองทัพปรากฏขึ้นในมือ เขาเรียกกองทัพสังหารวิญญาณพร้อมกับรัศมีจั้นยี่สีแดงเข้มกวาดออก
มู่เฉินหลอมรวมคลื่นจิตเข้ากับรัศมีจั้นยี่พร้อมกับใช้งานทันที
โฮก!
กองทัพสังหารวิญญาณปลดปล่อยเสียงคำราม อสรพิษสีแดงเข้มขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นเหนือหัวพร้อมกับลวดลายจั้นเหวินนับไม่ถ้วนกะพริบอยู่บนตัว
อสรพิษเปล่งเสียงคำรามพุ่งลงมาด้วยความน่าสะพรึงกลัว
แต่มันไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ค่ายกล กลับเล็งไปที่มุมทางตะวันตกเฉียงเหนือ
ตู้ม!
พื้นที่โถงทั้งหมดสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นภายใต้การโจมตีของอสรพิษ แม้ว่าพื้นดินจะได้รับการเสริมด้วยคลื่นหลิงซึ่งทำให้แข็งแกร่งเหมือนเหล็กกล้า แต่ปากปล่องก็ยังก่อตัวขึ้นบนพื้นดินจากการโจมตีของกองทัพสังหารวิญญาณ
ฝุ่นผงฟุ้งกระจายขึ้น แต่มู่เฉินไม่ได้มองไปที่ปากปล่อง สายตาจ้องอยู่ที่เสาต้นหนึ่งเนื่องจากการโจมตีของเขาจะทำให้เกิดระลอกคลื่นซึ่งจะส่งผลกระทบต่อต้นเสาต้นนั้น
ความคิดของมู่เฉินเรียบง่ายมาก ในเมื่อเขาไม่สามารถโจมตีค่ายกลได้โดยตรง เขาก็จะอาศัยคลื่นกระแทกจากภายนอกเพื่อส่งผลกระทบต่อค่ายกล
ทว่าเนื่องจากมีค่ายกลเป็นตัวกั้น คลื่นกระแทกจึงจะอ่อนลงอย่างมาก แต่ถ้าได้ผลก็จะบรรลุเป้าหมายตามที่เขาต้องการ
แม้ว่าคำอธิบายอาจทำให้งานทั้งหมดดูเรียบง่าย แต่อย่างแรกก็ต้องรู้โครงสร้างค่ายกลทั้งหมดถึงจะหลีกเลี่ยงจุดที่มีคลื่นหลิงหนาแน่น การส่งคลื่นกระแทกมั่วซั่วจะไร้ผล
ดังนั้นสายตาของมู่เฉินจึงจับจ้องไปที่ศพที่อยู่ใต้เสา ขณะคำนวณเวลาในการส่งคลื่นกระแทก
แปดอึดใจต่อมา
ดวงตาของมู่เฉินก็หดลงทันทีเมื่อเห็นศพสั่นสะท้าน แม้ว่าจะแทบไม่สามารถสังเกตเห็นได้ แต่ศพก็เคลื่อนไปทางด้านหน้าเล็กน้อย
การเคลื่อนนี้สามารถมองข้ามไปได้เลย แต่มู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้ม
เนื่องจากเขารู้ว่าในที่สุดเขาก็พบวิธีที่จะทำลายค่ายกลนี้แล้ว
บทที่ 1170 หนึ่งฝ่ามือ
ในโถงยังมีเสียงจากการปะทะกันดังก้อง
ขณะที่รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้ามู่เฉิน
การทำนายของเขาทำให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ
ซากศพใต้เสาขยับออกไปเล็กน้อยภายใต้คลื่นกระแทก แม้ว่าจะแทบไม่ทันสังเกตเห็นได้ แต่ก็ให้ความหวังกับมู่เฉินในการทำลายค่ายกล
แน่นอนว่าเขารู้ดีถ้าศพเหล่านั้นยังคงมีเจตจำนงเหลืออยู่ วิธีนี้ของเขาก็จะไร้ผล
หากพวกมันขัดขืน มู่เฉินก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้จากคลื่นกระแทกที่เขาสร้างขึ้นอย่างแน่นอน
แต่เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินโชคดี
หลังจากผ่านไปนับหมื่นปีซากศพเหล่านั้นก็ถึงที่สุด เจตจำนงที่เหลืออยู่หายไปหมดสิ้น สามารถช่วยคงค่ายกลไว้เท่านั้น
สิ่งนี้ทำให้มู่เฉินเจอข้อบกพร่อง
แต่การที่จะมาถึงจุดนี้ได้ก็เกิดจากความพยายามก่อนหน้านี้ของเขาในการมองโครงร่างค่ายกล เพราะนี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะประสบความสำเร็จได้ง่ายๆ
ไม่เพียงแต่มู่เฉินต้องคำนวณพื้นที่เท่านั้นและต้องยังตีให้ตรงเผงเพื่อที่จะส่งคลื่นกระแทกไปยังซากศพ
ฮา
มู่เฉินหายใจเข้าลึกและไม่ลังเล ทันใดนั้นเขาก็ควบคุมกองทัพสังหารวิญญาณ รัศมีจั้นยี่กวาดออกไปโจมตีตรงจุดเดิมอย่างรุนแรง
ตู้ม! ตู้ม!
ทั้งโถงสั่นสะเทือนรุนแรงพร้อมกับคลื่นกระแทกกวาดออกอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดรอยแยกขนาดใหญ่บนพื้นดิน
แต่ไม่ว่ารอยแยกจะขยายไปมากเท่าไรก็ไม่สามารถเข้าไปในส่วนค่ายกล ได้แต่ล้อมอยู่รอบนอกราวกับมังกรดุร้ายขดตัว
ภายใต้การโจมตีที่รุนแรงศพที่เป็นเป้าหมายที่อยู่ใต้เสาก็สั่นสะท้านไม่หยุด ค่อยๆ ขยับออกมาที่ละนิด
มันค่อยๆ เคลื่อนออกจากรัศมีของเสา
การโจมตีใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงเต็ม
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแม้แต่การหายใจของมู่เฉินก็ยังหนักหน่วงขึ้นเนื่องจากการควบคุมกองทัพสังหารวิญญาณเป็นภาระที่ยิ่งใหญ่สำหรับเขาในตอนนี้
พื้นดินรอบนอกดูเละเทะอย่างยิ่ง แต่สายตาของมู่เฉินยังคงจับจ้องไปที่ศพ เขาคำนวณระยะทางคร่าวๆ แล้วหรี่ตาลง
“อีกนิดข้าก็สามารถเคลื่อนศพออกจากเสาหินได้แล้ว”
มู่เฉินพึมพำร่างกายขมวดขึง ด้วยความคิดสายหนึ่งกองทัพสังหารวิญญาณก็คำรามพร้อมกับรัศมีจั้นยี่กระแทกกับพื้นอีกครั้ง
ตึง!
พื้นสั่นสะเทือน ศพก็ขยับไปอีกเล็กน้อย
สำเร็จ!
มู่เฉินยินดี จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเห็นค่ายกลสั่นไหว คลื่นหลิงที่สมดุลและทรงพลังเริ่มสับสนวุ่นวายในขณะนี้
เสาต้นที่แปดสึกกร่อนทันที รอยแตกเริ่มแพร่กระจายออกไป เห็นได้ชัดว่าหลังจากไม่ได้รับการสนับสนุนจากซากศพเสาต้นนี้ก็เริ่มมีร่องรอยของการพังทลาย
ค่ายกลซึ่งอาศัยเสาทั้งแปดเผยให้เห็นข้อบกพร่องจากการพังทลายของเสาต้นที่แปดที่กำลังอ่อนแอลง
มู่เฉินมองเกลียวแสงหลิงที่แล่นแปลบปลาบพร้อมกับแสงวูบไหวในดวงตาของเขา จากการรับรู้ของเขาค่ายกลที่ทำให้เขารู้สึกหมดหนทางไม่สามารถอยู่ยงคงกระพันเหมือนเดิมได้อีกต่อไป
มู่เฉินสะบัดแขนเสื้อเก็บกองทัพสังหารวิญญาณเข้าในป้าย เขาเดินไปที่ชายขอบค่ายกลแล้วดีดนิ้ว ชุดเกราะสีแดงเข้มปรากฏขึ้นห่อหุ้มบนร่างกายของเขาทั้งหมดไว้
นี่คือชุดเกราะสงครามมังกรแดงที่เขาได้มาจากเซี่ยหงซึ่งมีความสามารถในการป้องกันที่ดี ตอนนี้เขาต้องการเข้าสู่ค่ายกลก็จะต้องเตรียมการให้พร้อม
เมื่อเสร็จสิ้นการเตรียมการมู่เฉินก็หายใจเข้าลึกย่างเท้าเข้าไปในค่ายกลโดยไม่ลังเล
ฟู่ ฟู่!
เมื่อมู่เฉินก้าวเข้ามาก็สามารถสัมผัสได้ถึงพายุคลื่นหลิงน่าสะพรึงกลัวพัดเข้ามา แรงกดดันนั้นทำให้เขาราวกับกำลังแบกรับภูเขาทั้งลูก
มู่เฉินค่อยๆ ก้าวเดินออกไปอย่างช้าๆ
เขาเคลื่อนไหวช้ามาก ราวกับต้องแบกรับความกดดันหนักแน่นในทุกย่างก้าว เกราะมังกรแดงเอิบอาบประกายแสงสีแดงเข้ม ทว่าแสงถูกระงับไว้อย่างเห็นได้ชัด จึงไม่สามารถกระจายออกไปได้ เสียงเอี๊ยดอ๊าดดังมาจากชุดเกราะ
เนื่องจากตอนนี้ค่ายกลไม่เป็นระเบียบ เขาจึงไม่ต้องทนทุกข์กับการโจมตีจากศพทั้งแปด ทว่าคลื่นหลิงที่น่ากลัวในค่ายกลก็ยังคงทำให้เขายากที่จะก้าวไปข้างหน้า
นอกจากนี้เขายังต้องเปลี่ยนเส้นทางอยู่ตลอดเวลาเพื่อค้นหาจุดอ่อนของพายุคลื่นหลิง ถ้าเขาเคลื่อนไหวผิดพลาดก็ต้องได้รับผลกระทบหนักหน่วง
ดังนั้นมู่เฉินจึงใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงในการเดินข้ามเขตแถวแสงเพียงพันจั้ง เหงื่อเย็นปกคลุมร่างกายเขา
เมื่อเดินมาถึงตรงนี้ ดอกไม้แมนดาลาที่น่าหลงใหลก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม ทว่าไม่เพียงแต่มู่เฉินไม่ได้ผ่อนคลายกลับยังเกร็งแน่นขึ้นขณะที่เขามองไปที่ศพที่อยู่ตรงหน้าเสาสุดท้าย
ตราบเท่าที่เขาสามารถผ่านรัศมีของเสาหินต้นนี้ไปได้ เขาก็จะสามารถผ่านค่ายกลได้
ทว่ามู่เฉินก็ต้องขมวดคิ้ว เขาพบว่าศพนี้ปิดกั้นเส้นทางเดียวที่มี เนื่องจากด้านข้างทั้งสองฝั่งเต็มไปด้วยคลื่นหลิงโหมกระหน่ำรุนแรง ถ้าเขาถูกห่อหุ้มอยู่ภายในก็ตายคาที่แน่นอน
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเรียกกองทัพสังหารวิญญาณออกมา นั่นเป็นเพราะคลื่นหลิงที่ทรงพลังจะไปกระตุ้นค่ายกลอย่างแน่นอน ในเวลานั้นการโจมตีทั้งหมดจะมุ่งเน้นมาที่เขา
ถ้าตกอยู่ในสถานการณ์นั้นแม้จะมีกองทัพสังหารวิญญาณ เขาก็จะเหนื่อยล้าจนตายในที่สุด
ตอนนี้ทางเลือกเดียวคือผ่านพ้นไปได้ด้วยตัวเอง
มู่เฉินเม้มปากใบหน้าดูเคร่งขรึม แม้ค่ายกลนี้จะไม่ธรรมดา แต่ศพเหล่านั้นผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน เขาไม่เชื่อว่าตนเองจะถูกขัดขวางโดยศพนี้ศพเดียว!
คิดถึงจุดนี้มู่เฉินก็กระทืบเท้าพุ่งออกไปโดยไม่ลังเลใดๆ พุ่งเข้าหาศพนั้น
เขาเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง พริบตาก็ไปปรากฏที่เบื้องหน้าศพนั้นก่อนจะพุ่งผ่านไป
ขณะนั้นเองศพก็ลืมตาโพลง แสงหลิงพรั่งพรูออกมา
มันยื่นมือที่เหี่ยวแห้งออกตบเบาๆ ไปทางขวามือ
ตู้ม!
รอยแตกปรากฏขึ้นในมิติ คลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัวแพร่กระจายออกไป
สัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงที่น่าตกใจใบหน้าของมู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนแปลง เขารีบเร้ากายามังกรหงส์โดยไม่รั้งรอ จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงที่สถิตบนผิวย้อมร่างกายของเขาเป็นสีทอง
ผลัวะ!
มือแห้งกรังตบลงบนชุดเกราะมังกรสีแดงของมู่เฉินเบาๆ
ราวกับว่าเป็นภูเขาไฟปะทุออกมาที่ด้านหลังของเขา มู่เฉินปลิวออกไปนอกค่ายกลทันที
มู่เฉินร่วงลงที่บันได ร่างกายก็ตึงเกร็ง
ลายฝ่ามือที่สามารถมองเห็นได้เผยบนแผ่นหลังชุดเกราะ หลังจากนั้นก็มีประกายแสงสีแดงเข้มปะทุขึ้น ชุดเกราะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ!
ตู้ม!
เสียงร้องโศกเศร้าดังออกมาจากชุดเกราะขณะแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย!
อาวุธเสมือนมหสวรรค์ที่ทรงพลังถูกทำลายอย่างสมบูรณ์
อ็อก!
เมื่อเกราะสงครามมังกรแดงถูกทำลาย มู่เฉินก็กระอักเลือดออกจากปาก แสงร่างกายหรุบหรู่ลงอย่างรวดเร็ว จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงที่อาศัยอยู่บนพื้นผิวก็จางลงก่อนที่จะหายไป
ใบหน้าของมู่เฉินซีดจางก่อนที่จะหันหน้ากลับไปด้วยความกลัวมองไปที่ศพนั้น ตอนนี้มันกลับสู่สภาวะสงบ แต่ฝ่ามือน่าสะพรึงเมื่อครู่ยังคงฝังลึกอยู่ในใจของมู่เฉิน
ถ้าเขาไม่ได้สวมชุดเกราะสงครามมังกรแดงและกระตุ้นร่างกายให้อยู่ในสภาพป้องกันเต็มที่ เขาอาจถูกฆ่าตายไปแล้ว
“น่ากลัวชะมัด ศพทั้งหมดนี้จะต้องเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนตอนที่ยังมีชีวิตอยู่แน่” มู่เฉินถอนหายใจขณะที่รู้สึกได้อีกครั้งถึงความแข็งแกร่งที่น่าตกใจของวังสวรรค์บรรพกาล ในทวีปเทียนหลัวปัจจุบันจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสามารถสร้างขุมกำลังสูงสุดและได้รับการประกาศให้เป็นผู้นำ แต่ในวังสวรรค์บรรพกาล พวกเขาถือได้ว่าเป็นหนึ่งในสมาชิกชั้นสูงเท่านั้น
แต่ต่อให้เป็นวังสวรรค์บรรพกาลอันทรงพลังก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการทำลายล้างได้เมื่อจักรวรรดิต่างมิติบุกเข้ามา ดังนั้นสามารถเห็นได้ว่าพวกปีศาจต่างมิติน่ากลัวเพียงใด
พวกมันคือศัตรูคู่อาฆาตของทุกผู้ทุกนามในมหาพันภพ!
มู่เฉินเม้มปากด้วยท่าทางเคร่งขรึม ชั่วครู่ต่อมาเขาก็จัดระเบียบอารมณ์ตนเองพลางเงยหน้าขึ้นมองไปที่ดอกไม้น่าหลงใหลที่อยู่สุดห้องโถง
มู่เฉินมองไปที่ดอกไม้ ร่างกายก็คลายลง เขาหายใจเข้าลึก จากนั้นก็ผ่อนคลายออกราวกับโล่งใจในที่สุด
“ในที่สุดก็เจอเจ้าสักที”
บทที่ 1171 หอคัมภีร์เทพซ่อนปรากฏ
ที่ปลายบันได
แท่นดอกบัวสีแดงเข้มกำจายแสงสีแดงซึ่งมีดอกแมนดาลาที่น่าหลงใหลวางนิ่งอยู่ แสงสีเข้มเปล่งออกมาดูแปลกตาอย่างยิ่ง
“นี่คือดอกไม้เทพที่หายากในตำนานของมหาพันภพ—ดอกแมนดาลาเหรอ?”
มู่เฉินก้าวเดินขึ้นไปหยุดที่เบื้องหน้าดอกไม้ กวาดมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น หน้ารายการนิรันดร์ที่สถิตในร่างกายเขามีทักษะการฝึกฝนร่างเทพสุริยะก็ถูกสลักไว้ด้วยลวดลายศักดิ์สิทธิ์ของดอกแมนดาลา แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นของจริง
ตำนานเล่าว่าเมื่อดอกแมนดาลาพัฒนาไปจนถึงขีดสุด ก็จะมีพลังเทียบเท่ามังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงซึ่งเทียบได้กับระดับเทียนจื้อจุน
ทว่าดอกไม้ดังกล่าวมีสติปัญญาตั้งแต่เกิดและมีความเชี่ยวชาญในศาสตร์มืด ดังนั้นแม้ว่าจะเพิ่งเกิด ตราบใดที่ซ่อนตัวกระทั่งจอมยุท์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็ยังหาไม่พบ
มู่เฉินมองไปที่ดอกไม้แม้ว่าจะปิดผนึกตัวเอง แต่มู่เฉินก็ยังคงสัมผัสได้ถึงพลังพลุ่งพล่านภายใน
ซึ่งทำให้มิติโดยรอบสั่นสะเทือนเบาๆ
มู่เฉินถอนหายใจกับพลังมหาศาลก่อนที่แสงมืดจะควบแน่นในมือกลายเป็นใบไม้สีดำ
แม้ว่าร่างหลักของมั่นถัวหลัวจะปิดผนึกตัวเองไว้ แต่ก็ยังคงมีสัญชาตญาณในการปกป้องตัวเอง หากมู่เฉินพยายามที่จะยึดครองก็จะทำให้มันโจมตีเขาและการโจมตีระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายไม่ใช่สิ่งที่มู่เฉินจะทนได้
แต่โชคดีที่เขาเตรียมตัวมา ใบไม้นี้เป็นสิ่งที่มั่นถัวหลัวมอบให้มาก่อนหน้านี้ ซึ่งใช้ดึงร่างหลักของนางโดยเฉพาะ
มู่เฉินรมใบไม้สีดำด้วยคลื่นหลิงของตนเอง ทำให้ใบไม้เอิบอาบด้วยประกายแสงสีดำและขยายออกไปอย่างรวดเร็ว ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจก็มีขนาดหลายสิบจั้งห่อดอกไม้ที่น่าหลงใหลไว้
ดอกไม้สั่นไหวเล็กน้อย แต่ไม่ได้ขัดขืน ปล่อยให้ใบไม้ห่อตัวเองคล้ายกับรังไหม
มู่เฉินโบกมือดึงรังไหมสีดำออกมา จากนั้นก็มองไปที่แท่นบัวหยกสีแดงเข้มด้วยความใคร่รู้
เขาลูบนิ้วบนแท่นดอกบัว สัมผัสช่างเย็นเฉียบ จากนั้นคลื่นเย็นเยือกก็เข้าสู่ร่างกายเขา
พลังงานที่เข้ามาฉับพลันนี้ทำให้มู่เฉินสะดุ้ง ขณะที่เขากำลังบังคับออกมาก็ต้องตัวแข็งทื่อเนื่องจากตระหนักได้ว่าพลังงานนี้ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บที่เขาได้รับจากศพได้อย่างรวดเร็ว
รอยฝ่ามือบนหลังเขาก็ค่อยๆ หายไป
ในเวลาเพียงไม่กี่นาทีอาการบาดเจ็บส่วนใหญ่ก็หายเป็นปกติ มากจนแม้แต่ความเหนื่อยล้าจากการควบคุมกองทัพสังหารวิญญาณก็ลดน้อยลง
“นี่…”
ความตกตะลึงฉายขึ้นบนใบหน้ามู่เฉิน แท่นดอกบัวนี้มีความสามารถในการฟื้นตัวที่ทรงพลังขนาดนี้เชียวเหรอเนี่ย?
ต้องรู้ว่าหากมู่เฉินต้องการหายจากอาการบาดเจ็บครั้งนี้จะต้องใช้เวลาฟื้นฟูอย่างน้อยครึ่งวัน แต่ตอนนี้เขาหายได้ในเวลาเพียงสิบกว่านาทีภายใต้การเสริมของแท่นดอกบัวสีแดง ประสิทธิภาพนี้เร็วกว่าอย่างน้อยร้อยเท่า
ดังนั้นเขาสามารถบอกได้ว่าแท่นดอกบัวนี้เป็นสมบัติวิเศษ!
แบบนี้แม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บหนักในอนาคต เขาก็จะใช้เวลาในการพักฟื้นน้อยลง มิหนำซ้ำสิ่งนี้ยังมีประโยชน์ต่อจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนอีกด้วย มิฉะนั้นมั่นถัวหลัวคงไม่ใช้สิ่งนี้เพื่อรักษาบาดแผลของนาง
“มูลค่าของสิ่งนี้น่าจะเทียบได้กับอาวุธมหสวรรค์ขั้นกลาง!”
มู่เฉินจ้องมองไปที่แท่นดอกบัวสีแดงเข้มพร้อมกับความกระหายอยากในดวงตา ถ้าให้พูดจริงๆ แม้แต่มูลค่าของพัดเทพสายลมก็ยังด้อยกว่าสิ่งนี้
มู่เฉินยิ้มกว้าง ไม่คิดว่าไม่เพียงแต่เขาจะสามารถหาร่างหลักของมั่นถัวหลัวได้เท่านั้น เขายังเก็บเกี่ยวได้แบบไม่คาดคิดอีกด้วย
ดังนั้นมู่เฉินจึงสะบัดแขนเสื้อเก็บแท่นดอกบัวไปโดยไม่ลังเล สมบัติเช่นนี้ไม่ควรทิ้งอย่างสูญเปล่าที่นี่
มู่เฉินปัดมือด้วยความพึงพอใจ ทว่าเขาไม่ได้รีบร้อนที่จะออกไปกลับนั่งลงเหมือนกำลังรออะไรบางอย่าง
เขากำลังรอการปรากฏขึ้นของหอคัมภีร์เทพซ่อน
นับตั้งแต่ที่เขาเข้ามาในวังสวรรค์บรรพกาล เขาก็รู้สึกได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมองมาหา ก่อนหน้านี้เขาก็ยังสงสัยว่าตัวเองรู้สึกไม่ถูกต้องหรือเปล่า แต่ขณะนี้เขาสามารถยืนยันได้ว่านั่นจะต้องเป็นหอคัมภีร์เทพซ่อนอย่างแน่นอน
ก็อย่างที่เซียวเซียวบอกไว้มีเพียงสมาชิกที่มีผลงานโดดเด่นเท่านั้นที่สามารถเข้าสู่หอคัมภีร์เทพซ่อนได้
ตอนนี้ไม่เพียงแต่มู่เฉินสามารถเข้าไปในหอสองและได้รับกองทัพชั้นยอดของจอมพลสอง เขายังเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นในหอหนึ่งและยังผ่านค่ายกลที่น่าสะพรึงที่ทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนยังปวดประสาทได้อีกด้วย
หากผลงานชิ้นโบแดงขนาดนี้ยังไม่เข้าตาหอคัมภีร์เทพซ่อนละก็ สวรรค์ก็คงจะตามืดบอดแล้ว
ดังนั้นมู่เฉินจึงไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม สิ่งที่เขาต้องทำตอนนี้คือรอดูว่าหอคัมภีร์ลึกลับจะตอบสนองหรือไม่
เวลาผ่านไปท่ามกลางการรอคอย แต่ก็ยังไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น ราวกับว่าหอคัมภีร์ไม่เห็นด้วยกับการแสดงของมู่เฉิน
ดวงตาของมู่เฉินกะพริบบางเบา ทว่าจากนั้นแววตาก็เปลี่ยนเป็นแน่วแน่ด้วยความมั่นใจในตนเอง
ตราบใดหอคัมภีร์เทพซ่อนมีสติปัญญา มู่เฉินก็มั่นใจได้ว่าความสำเร็จที่ตนเองทำไว้เพียงพอที่จะได้รับคุณสมบัติที่จะเข้าไปในหอคัมภีร์
นั่นเพราะเขาเชื่อว่าแม้จะอยู่ในวังสวรรค์บรรพกาลเมื่อก่อน ผลงานของเขาก็ติดอันดับต้นๆ แน่นอน
สายตาของมู่เฉินราบเรียบมองไปที่มิติตรงหน้าราวกับว่ากำลังมองไปที่หอคัมภีร์เทพซ่อนที่มองไม่เห็น ทำทีเหมือนเขากำลังพูดกับมันด้วยสายตาที่บอกว่าเขามีคุณสมบัติพอที่จะเข้าไปได้
ราวกับว่ามีบางอย่างสัมผัสได้ถึงสายตาของเขา
ความเงียบนั้นคงอยู่ชั่วครู่ก่อนที่มู่เฉินจะหดดวงตาเมื่อตระหนักได้ว่ามิติตรงหน้าเริ่มกระเพื่อมไหว
ประหนึ่งมีบทสวดโบราณเปล่งขึ้น ทำให้มิติบิดเบี้ยวก่อนที่หอลึกลับสีฟ้าอมเขียวจะปรากฏขึ้น
มู่เฉินมองไปที่หอลึกลับ หัวใจก็เต้นรัวแรง
เขารู้สึกได้ว่าหอลึกลับกำลังเฝ้ามองเขาอยู่ แต่เขาไม่กลัวยังคงจ้องมองกลับอย่างแน่วแน่
ทั้งสองมองหน้ากันในห้องโถง ไม่กี่นาทีก่อนที่หอลึกลับจะสั่นไหว มู่เฉินได้ยินเสียงเก่าแก่ดังก้อง
“หัวใจที่มั่นคงและความมั่นใจที่ไม่เปลี่ยนแปลง เจ้ามีคุณสมบัติที่จะเข้าสู่หอคัมภีร์เทพซ่อน”
มู่เฉินหดดวงตา เสียงเก่าแก่นี่มาจากหอคัมภีร์เทพซ่อนเหรอ?
สติปัญญาของหอคัมภีร์เหนือล้ำขนาดนี้เชียวหรือ? นี่ไม่ใช่สิ่งที่อาวุธมหสวรรค์ธรรมดาจะเทียบได้!
ฮึ่ม ฮึ่ม
ขณะที่มู่เฉินรู้สึกประหลาดใจ หอคัมภีร์ที่ซ่อนอยู่ก็กระเพื่อมไหวเล็กน้อย แสงสีฟ้าอมเขียวควบแน่นเป็นบันไดทอดยาวไปหามู่เฉิน
ชัดว่าเมื่อเดินขึ้นบันไดนี้ไปเขาก็จะเข้าสู่หอคัมภีร์เทพซ่อนอย่างแท้จริง!
มองไปที่บันไดเบื้องหน้าหัวใจมู่เฉินก็ถั่งโถมด้วยคลื่น แม้ว่าเขาจะเป็นคนสุขุมก็ยังอดรู้สึกหวิวๆ ในใจไม่ได้
เขาประสบความสำเร็จจริงเหรอ?
ตราบใดที่เขาเข้าไปในหอคัมภีร์เทพซ่อน เขาก็จะได้รับโอกาสวิธีวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะ นานแค่ไหนที่เขารอคอยสิ่งนี้?
จากสำนักศึกษาเป่ยชาง เขตต้าหลัวเทียน อาณาเขตกงเวทสวรรค์ ก้าวขึ้นจากตำแหน่งแม่ทัพจนเป็นจอมพล
เขาทำทุกอย่างมากมายก็เพื่อโอกาสที่จะได้รับวิธีวิวัฒนาร่างเทพสุริยะ!
ตอนนี้เป้าหมายที่ติดตามมาหลายปี ในที่สุดก็จะสำเร็จ นี่ไม่ทำให้เกิดคลื่นสั่นคลอนในหัวใจเขาได้อย่างไร?
ฮา
มู่เฉินหายใจเข้าลึกๆ ระงับอารมณ์ในใจ จากนั้นเขาก็โค้งคำนับด้วยมารยาทสูงสุดให้หอคัมภีร์เทพซ่อน ก่อนที่จะก้าวขึ้นไปบนบันไดสีฟ้าอมเขียวโดยไม่ลังเล
มู่เฉินก้าวขึ้นไปทีละขั้น ทุกขั้นที่เขาเดินผ่านก็จะจางหายไป
เมื่อเดินไปถึงขั้นบันไดสุดท้าย มิติโดยรอบก็บิดเบี้ยว อึดใจต่อมาเขาก็ไปปรากฏตัวในพื้นที่ที่ปกคลุมไปด้วยหมอกราวกับดินแดนสวรรค์
หอคัมภีร์ลึกลับโบราณตั้งตะหง่านอยู่ท่ามกลางหมอก
ยามนี้ประตูหอคัมภีร์เทพซ่อนเปิดออกอย่างช้าๆ ภายในราวกับว่ารวมไปด้วยลำแสงโบราณทรงพลังนับไม่ถ้วน
มู่เฉินก้าวเข้าไปโดยไม่ลังเล ย่างเท้าบนดินแดนขุมทรัพย์ที่หลายคนในวังสวรรค์บรรพกาลใฝ่ฝัน!
ทันทีที่ก้าวเข้ามา มู่เฉินก็กำมือแน่นด้วยความตื่นเต้นและกระหายอยากวูบไหวในดวงตา
ร่างเทพสุริยะนิรันดร์!
ข้ามาแล้ว!
บทที่ 1172 ค้นหาร่างเทพสุริยะนิรันดร์
ขณะที่มู่เฉินก้าวเข้ามาในหอคัมภีร์เทพซ่อน
กลุ่มแสงสว่างจ้าวาบขึ้นที่เบื้องหน้า จากนั้นแสงก็ลดลงภาพทางช้างเผือกไม่มีที่สิ้นสุดก็ปรากฏในครรลองสายตาของเขา
เขาเดินอยู่บนทางช้างเผือก เมื่อกวาดตามองไปก็ดูยิ่งใหญ่อลังการ
ดวงดาวพริบพราวนับไม่ถ้วนซึ่งดูงดงามมากขณะที่เขาทอดเดินไปบนนั้น
“นี่คือหอคัมภีร์เทพซ่อนเหรอ?” มู่เฉินมองไปที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวกว้างใหญ่ไพศาลพลางพึมพำ เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจเล็กน้อยสำหรับเขา เนื่องจากหอคัมภีร์นี้ไม่ใช่หอหนังสือ ซึ่งเขาไม่เห็นทักษะเทพอะไรอยู่ที่นี่สักเล่มเลย
ฮึ่ม
ขณะที่มู่เฉินกำลังงงงวยท้องฟ้าก็สั่นไหว จากนั้นเสียงครางกระหึ่มก็ดังขึ้น เกลียวแสงนับไม่ถ้วนพุ่งลงมา
เมื่อมู่เฉินเข้ามาใกล้ก็ตระหนักได้ว่าเส้นแสงเหล่านั้นเป็นสีของดาวหาง ซึ่งมีหลากหลายสีดูงดงามมาก
ทว่าเมื่อมองเข้าไปใกล้ดวงตาของมู่เฉินก็ต้องหดเกร็ง เมื่อพบว่าดาวหางเหล่านั้นไม่ใช่อุกกาบาต แต่เป็นม้วนคัมภีร์
“ที่แท้พวกคัมภีร์เทพและทักษะลับเหล่านั้นก็คือดาวหางสินะ?”
มู่เฉินอึ้งไปก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวที่ไร้ขอบเขต แสงหลิงควบแน่นในดวงตาและเขาก็สังเกตเห็นว่าดวงดาวเหล่านั้นเป็นม้วนคัมภีร์ที่มีความผันผวนคลุมเครือและลึกซึ้งที่เล็ดลอดออกมา
ชัดว่าดวงดาวเหล่านี้ก็คือคัมภีร์เทพและทักษะลับต่างๆ
“จำนวนมากมายขนาดนี้ แล้วร่างเทพสุริยะนิรันดร์อยู่ที่ไหนกัน?” มู่เฉินขมวดคิ้ว หอคัมภีร์เทพซ่อนกว้างใหญ่เหลือคณนา ตามการคาดการณ์ของเขาสมบัติที่อยู่ในนี้อาจเทียบได้กับเผ่าโบราณเลยทีเดียว
หากไม่มีคำแนะนำใดๆ คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะพบร่างเทพสุริยะนิรันดร์
ทว่าแม้เขาจะรู้สึกกังวลเล็กน้อยแต่ก็ไม่ยอมแพ้ หลังจากไตร่ตรองชั่วครู่มู่เฉินก็ไม่ลังเล ร่างกลายเป็นร่างแสงทะยานไปยังดาวหางเหล่านั้น
วาบ! วาบ!
ขณะที่เขาเดินทางไปท่ามกลางดาวหาง เขาก็มุ่งความสนใจไปที่การรับรู้ ในเมื่อตัวเขาฝึกฝนร่างเทพสุริยะก็น่าจะมีการเชื่อมโยงลึกลับกับร่างเทพสุริยะนิรันดร์ ถ้าอยู่ใกล้ๆ เขาอาจจะรู้สึกได้
ขณะที่ค้นหามู่เฉินไม่ได้ถูกล่อลวงโดยคัมภีร์เทพทรงพลังเหล่านั้น เนื่องจากเขาไม่แน่ใจว่าจะได้รับตัวเลือกกี่ชิ้นในหอคัมภีร์เทพซ่อน ดังนั้นหากเขาเลือกแบบสะเปะสะปะก็อาจถูกเตะโด่งออกไป ลำไส้ของเขาคงกลายเป็นสีเขียวคล้ำจากความเสียใจแน่นอน
ดังนั้นในกรณีที่ไม่แน่ใจ เขาจึงเลือกทำตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งใจไว้ก่อน
เขาคล้ายกับนักเดินทางระหว่างดวงดาว เขาสูญเสียแนวคิดเรื่องเวลาและค้นหาสิ่งที่ต้องการอย่างดื้อรั้น
ภายใต้การเดินทางอย่างต่อเนื่อง เขาได้เห็นคัมภีร์เทพมากมายซึ่งทั้งหมดอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่เขาก็ยอมแพ้โดยไม่ลังเลใดๆ
เวลาผ่านต่อไปเรื่อยๆ
ตอนนี้มู่เฉินปรากฏตัวต่อหน้าดวงดาวลุกโชติช่วงขนาดใหญ่ที่ราวกับเปลวไฟ ทำให้มิติบิดเบี้ยวจากอุณหภูมิที่สูง
มู่เฉินมองไปที่ม้วนคัมภร์ภายใน มีมังกรเพลิงสลักอยู่บนนั้นพร้อมข้อความโบราณที่สามารถมองเห็นได้อย่างคลุมเครือ
คัมภร์มังกรเพลิงดับโลกา วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเต็ม
มู่เฉินหรี่ตาลง ไม่คิดว่านี่จะเป็นวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเต็ม…ต้องรู้ว่ากระทั่งเขายังฝึกฝนหมัดปีศาจพลีชีพที่ยังไม่สมบูรณ์เท่านั้น
ถ้าหมัดปีศาจเป็นวิชาที่สมบูรณ์ก็อาจเทียบได้กับวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเต็ม แต่พลังที่ไม่สมบูรณ์นี้ก็คล้ายกับวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเล็กเท่านั้น
วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเต็มเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายยังถูกดึงดูดมาได้
มู่เฉินมองไปที่ดวงดาวพลางสัมผัสถึง เขาน่าจะมีโอกาสประสบความสำเร็จสูงหากต้องการได้มา
ทว่ามู่เฉินลังเลชั่วครู่ก็หันจากไป แม้ว่าวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเต็มจะมีค่า แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะสั่นคลอนหัวใจของเขาได้
การสูญเสียแนวคิดเรื่องเวลาเป็นกระบวนการที่ช้าและเปล่าเปลี่ยวขณะที่เขาเดินทาง แต่เขาก็ไม่ได้ใจร้อนหรือวิตกกังวล ยังคงรักษาใจตนเองไว้มั่น
ทว่าทักษะที่เขาตามหาก็ยังไม่ปรากฏ
ทันใดนั้นมู่เฉินก็หยุดมองไปที่ทางช้างเผือกไร้ขอบเขต บางทีอาจมีร่างเทพสุริยะอยู่ท่ามกลางพวกมันเขา แต่เขารู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะพบถ้าเขาเป็นฝ่ายหา
เขามีความเข้าใจบางอย่างในใจ ร่างเทพสุริยะเป็นร่างต้นเมื่อวิวัฒนาการจะกลายเป็นร่างเทพสุริยะนิรันดร์ซึ่งเป็นร่างกลางและระยะพัฒนาร่างสุดท้ายก็คือ—ร่างมหาเทพนิรันดร์ในตำนานซึ่งเป็นหนึ่งในห้าร่างมหาเทพปฐมกาลแห่งมหาพันภพ
ดังนั้นมันจึงควรได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในอันดับต้นๆ ของหอคัมภีร์เทพซ่อน คงเป็นไปไม่ได้ที่จะพบสมบัติเช่นนี้หากเขาค้นหา
เว้นแต่มันจะเต็มใจที่จะปรากฏเอง
มู่เฉินหลุบตาลงจากนั้นก็นั่งลงพร้อมกับแสงหลิงไร้ขอบเขตจะพุ่งออกมาจากร่างกายของเขาก่อนที่จะรวมตัวเป็นเงาสีทองขนาดใหญ่
ดวงตะวันสีทองสว่างไสวปรากฏขึ้นด้านหลังศีรษะของภาพเงานั้น นี่ก็คือร่างเทพสุริยะมู่เฉิน
ยามนี้ร่างเทพสุริยะนั่งอยู่ในความว่างเปล่าในท่าทางเดียวกับมู่เฉิน แสงสีทองไร้ขอบเขตพลุ่งพล่านออกมาจากดวงตะวันด้านหลังศีรษะ
มู่เฉินดำดิ่งลงสู่ความเงียบ เขาล้มเลิกความตั้งใจที่จะค้นหา แต่ตัดสินใจปล่อยร่างเทพสุริยะออกมาเพื่อล่อเหยื่อ
ทั่วบริเวณเงียบงัน
เวลาไหลช้ามาก ราวกับเวลาถูกแช่แข็งซึ่งทำให้มู่เฉินรู้สึกว่าตัวเองเดินผ่านกาลเวลามาหลายปี
ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้ผู้คนบ้าคลั่งได้
เวลาผ่านไป มู่เฉินใช้คลื่นหลิงเพื่อคงร่างเทพสุริยะอย่างต่อเนื่อง แต่ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกอ่อนล้าแล้ว
ในมิติแห่งนี้ เขาสูญเสียคลื่นหลิงไปมาก มิหนำซ้ำยังไม่สามารถดูดซับคลื่นหลิง ส่วนร่างเทพสุริยะยังคงต้องใช้คลื่นหลิงต่อไป
ทว่ามู่เฉินก็ไม่ยอมแพ้ เขาเทพลังงานทั้งหมดในร่างกายไปยังร่างเทพสุริยะ
หลังจากนั้นก็เหมือนผ่านไปนาน
แสงหลิงรอบตัวมู่เฉินสลัวลงเต็มที่ ร่างเทพสุริยะก็สูญเสียความแวววาวราวกับว่าจะหายไปในไม่ช้า
ทว่าร่างเทพสุริยะนิรันดร์ที่มู่เฉินรอคอยอย่างอดทนก็ยังคงไม่ปรากฏขึ้น
“ใช้ไม่ได้เหรอ…?”
มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้แม้แต่คนที่ดื้อรั้นอย่างเขายังรู้สึกผิดหวังและเริ่มสงสัยวิธีการที่ใช้ แต่ครู่ต่อมาเขาก็หลุบตาลง จากนั้นก็เทพลังงานสายสุดท้ายลงไปในร่างเทพสุริยะ
ร่างยิ่งใหญ่สว่างจ้าขึ้นอีกครั้ง แต่ก็เป็นเพียงชั่วคราว หลังจากนั้นก็เริ่มสลัวลงอย่างรวดเร็ว
ขณะที่ร่างยิ่งใหญ่กลายเป็นภาพลวงตามากขึ้น สุดท้ายก็จางหายไปเนื่องจากใช้พลังงานหมดแล้ว
มู่เฉินก็อ่อนล้าจากการสูญเสียพลังงาน ภาพเบื้องหน้าค่อยๆ มืดลง ดวงตาก็เริ่มปิด
ทว่าขณะที่มู่เฉินกำลังจะตกลงไปในความมืดมิด ความผันผวนแปลกประหลาดก็แพร่กระจายออกมาในหัวใจของเขา
การรับรู้ที่ไม่รู้จักพุ่งเข้ามาในหัวใจเขา
มู่เฉินลืมตาขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าขณะมองไปที่เบื้องหน้า
เวลานี้ดาวฤกษ์ขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นต่อหน้าโดยที่เขาไม่รู้ตัว ดูราวกับหลอมจากทองคำช่างรกร้างและเก่าแก่พร้อมกับแสงสีทองไม่มีที่สิ้นสุดพุ่งออกมา
ในดวงดาวนั้นมู่เฉินเห็นหน้ากระดาษสีทองที่มีลวดลายโบราณดังเดิมอยู่บนนั้น
ลวดลายทุกลายดูเหมือนว่าถูกสร้างขึ้นตามธรรมชาติโดยสวรรค์และโลก ราวกับมีพลังแปลกประหลาดที่เรียกลมสั่งฝนได้
สายตาของมู่เฉินจับจ้องไปที่หน้ากระดาษทองคำ เขามองเห็นคำศัพท์โบราณลอยไปมาอย่างช้าๆ
ร่างเทพสุริยะนิรันดร์
พักใหญ่มู่เฉินก็ยิ้มอ่อนโยนก่อนที่จะลดศีรษะลงและกำหมัดแน่น ขณะนี้เขาสูญเสียการควบคุมจากความสุขและหมัดก็สั่นเทิ้มเล็กน้อย
มู่เฉินสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้น
เขารอและทำงานหนักมานานแค่ไหนเพื่อวันนี้?
มองไปที่หน้ากระดาษทองคำ ในที่สุดมู่เฉินก็รู้ว่าหลายปีที่ผ่านมาตัวเองเติบโตขึ้นมาก
เขายิ้มลุกขึ้นเดินเข้าไปในดวงอาทิตย์สีทองขณะไพล่มือข้างหนึ่งไว้ด้านหลัง
ร่างเทพสุริยะนิรันดร์
ในที่สุดข้าก็พบเจ้าแล้ว!
บทที่ 1173 สู้กับจาโหลหลัว
เมื่อมู่เฉินก้าวเข้าไปในดวงดาว
เขาก็สัมผัสได้ว่าสภาพแวดล้อมรอบตัวเปลี่ยนไป มิติบิดเบือนและเมื่อสายตากลับมาเป็นปกติเขาก็สังเกตว่าถูกนำมาที่จัตุรัสที่เหมือนจะหลอมมาจากทองคำ
มีเสาทองคำตั้งตระหง่านอยู่บนลานกว้างพุ่งเสียดไปบนก้อนเมฆ ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยกลิ่นอายรกร้างยิ่งใหญ่ที่ไม่อาจบรรยายได้
มู่เฉินยืนอยู่ในจัตุรัสมองไปที่แท่นบูชาสีทองตรงกลางพร้อมกับรัศมีสีทองล้อมรอบ หน้ากระดาษทองคำบางเบาลอยอยู่ในแสงสีทองอย่างเงียบๆ
มู่เฉินมองไปที่กระดาษทองคำก็รู้สึกว่าขมับกระตุกขึ้นด้วยความเจ็บปวด
อารมณ์ทั้งหมดบิดเกลียวจนถึงขีดสุดในขณะนี้
เพราะเป้าหมายที่ตามหามาเนิ่นนานในที่สุดก็ปรากฏที่เบื้องหน้าเขาแล้ว
ทว่ามู่เฉินไม่ได้สูญเสียสติที่เชื่อว่าสิ่งนี้เป็นของเขาแล้ว เขาคงฝันกลางวันถ้าคิดว่าสิ่งนี้จะรับไปได่อย่างง่ายดาย
ตามการคาดการณ์เขาอาจต้องได้รับการทดสอบเพื่อให้ได้มา ซึ่งไม่มีประโยชน์ที่จะคิดมากว่าเป็นการทดสอบแบบใด เพราะไม่ว่ายังไงวันนี้มู่เฉินก็สู้ไม่ถอยแน่
มู่เฉินปรับหัวใจให้สงบลง นั่งลงบนลานสีทองหลับตารอให้การทดสอบมาถึง
การรอคอยของเขากินเวลาไม่ได้นาน เขาลืมตาขึ้นมองไปอีกทางหนึ่งของจัตุรัส
มิติบิดเบี้ยว แสงสีทองกลั่นตัวเป็นเงา
มู่เฉินมองไปที่ภาพเงาที่คุ้นเคยด้วยสายตาสงบ ใบหน้าไม่มีความประหลาดใจแม้แต่น้อย เพราะชายคนนี้ก็คือจาโหลหลัวที่ได้ฝึกฝนร่างเทพสุริยะเช่นกัน
ในฐานะที่เป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงที่ได้รับการเลี้ยงดูโดยจักรพรรดิปีศาจลู่หยวนและยังเป็นผู้ฝึกร่างเทพสุริยะ มู่เฉินไม่เชื่อว่าจาโหลหลัวจะไม่มีหนทางที่จะมาถึงที่นี่
ขณะที่มู่เฉินมองไปอย่างไม่แยแส จาโหลหลัวก็ลืมตาขึ้นและสังเกตเห็นมู่เฉิน
เมื่อเขาเห็นว่าอีกฝ่ายมาถึงที่นี่ใบหน้าเรียบเฉยก็เปลี่ยนไปอย่างไม่สามารถควบคุมได้
“แกยังไม่ตายเหรอ?” จาโหลหลัวหรี่ตาพลางขมวดคิ้ว
ผู้อาวุโสจั่วแห่งตำหนักเทพปีศาจเป็นคนหยุดมู่เฉินเอาไว้ แม้ว่าผู้อาวุโสจั่วจะจ่ายราคามหาศาลเพื่อเข้าสู่วังสวรรค์บรรพกาล แต่พลังที่เขามีก็เพียงพอจะสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มได้ทันที
เดิมทีจาโหลหลัวคิดว่ามู่เฉินถึงวาระแล้ว ดังนั้นจึงจากไปโดยไม่ลังเล เพราะยังไงเขาก็ไม่สามารถนึกถึงวิธีใดๆ ที่มู่เฉินจะใช้เพื่อหลบหนีจากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นได้
ทว่าตอนนี้เรื่องที่เขาคิดว่าเป็นไปไม่ได้ กลับปรากฏต่อหน้าเขา ซ้ำยังมองมาด้วยอาการยิ้มเยาะ ทุกอย่างแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายมีชีวิตรอดอยู่ได้ภายใต้เงื้อมมือของผู้อาวุโสจั่ว
“ข้ายังไม่ได้ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็ไม่คิดจะตายอยู่แล้ว” มู่เฉินยิ้มอ่อน
ใบหน้าของจาโหลหลัวมืดครึ้ม แต่ก็เปลี่ยนการแสดงออกรวดเร็วและพูดอย่างไม่แยแสว่า “แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าแกใช้วิธีใดในการหลบหนีจากผู้อาวุโสจั่ว แต่ก็ไม่สำคัญเพราะผลลัพธ์จะเหมือนกันแม้ว่าจะเป็นข้าที่เคลื่อนไหว”
มู่เฉินยิ้มไม่เชิงยิ้มให้จาโหลหลัว “แกไม่คิดมั่งเหรอว่าอาจเป็นมันที่หนีไปแทน?”
ถ้าตาแก่นั่นไม่ได้วิ่งเร็วขนาดนั้นก็จะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนคนแรกที่มู่เฉินสังหาร
จาโหลหลัวกอดอกขณะเยาะเย้ย “ถ้าแกมีความสามารถเช่นนั้น แกจะยอมให้ข้ายืนอยู่ตรงนี้ได้อีกรึ?”
มู่เฉินกำหมัดแน่นป้ายกองทัพก็ปรากฏขึ้น เขาเทคลื่นหลิงเข้าไปและเมื่อกำลังกระตุ้นเขาก็ต้องหรี่ตาพลางส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้
เนื่องจากเขาตระหนักว่าเกิดความล้มเหลวในการเรียกกองทัพสังหารวิญญาณ
เห็นได้ชัดว่าสถานที่แห่งนี้แยกการเชื่อมต่อของเขากับกองทัพสังหารวิญญาณ ซึ่งน่าจะเป็นผลงานของหอคัมภีร์เทพซ่อน
“ต้องการให้เราเปิดศึกมรณะอย่างยุติธรรมรึ?”
มู่เฉินพึมพำ แต่ก็ไม่ได้เศร้าอะไรแค่เสียดาย เพราะมีเพียงร่างเทพสุริยะที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นที่จะมีคุณสมบัติในการพัฒนา
ก็คล้ายกับการเลี้ยงแมลงพิษ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดจะกัดกินผู้ที่อ่อนแอ ถ้าเขาใช้กองทัพสังหารวิญญาณเพื่อสังหารจาโหลหลัวก็จะขัดต่อกฎของร่างเทพสุริยะนิรันดร์
“ถ้าข้ารู้แบบนี้ก็ควรฆ่ามันไปก่อนหน้าแล้ว” มู่เฉินรู้สึกเสียดาย แต่อึดใจก็ส่ายหัว
เวลานั้นเป็นครั้งแรกที่เขาใช้กองทัพสังหารวิญญาณ ดังนั้นเขาจึงไม่แน่ใจว่าจะเอาชนะผู้อาวุโสจั่วได้หรือไม่ ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย การให้จาโหลหลัวจากไปถือเป็นการดีที่สุด
ถ้าจาโหลหลัวและผู้อาวุโสจั่วร่วมมือกันใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเป็นเช่นนั้นการแยกจัดการทีละคนยังดีกว่า เพราะตอนนี้ต่อให้เขาจะไม่สามารถใช้กองทัพสังหารวิญญาณได้ แต่คนอย่างมู่เฉินก็ไม่กลัวจาโหลหลัวหรอก
จาโหลหลัวมองไปที่มู่เฉินที่กำลังถอนหายใจ ก็รู้สึกมั่นใจมากขึ้นว่ามู่เฉินโชคดีที่หนีรอดพ้นมาจากผู้อาวุโสจั่ว ทันใดนั้นเขาก็เยาะเย้ยเสียงเย็นชาขณะชี้ไปที่แท่นบูชา “แกรู้ไหมว่านั่นคืออะไร?”
“หืม?”
“นั่นคือแท่นบูชาบูชายัญ… แกรู้ไหมว่าต้องบูชาอะไร?” จาโหลหลัวเลียริมฝีปากขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตามืดครึ้ม “ต้องบูชาร่างเทพสุริยะ!”
ดวงตาของมู่เฉินหดลงไปกับคำพูดของจาโหลหลัว
“โดยการสังเวยร่างเทพสุริยะ เพลิงศักดิ์สิทธิ์จะถูกจุดขึ้นเพื่อปรับแต่งร่างเทพสุริยะอีกร่างจนเกิดวิวัฒนาการ”
จาโหลหลัวยิ้มน่าขนลุกขณะพูดต่อ “ดังนั้นนี่เป็นโชคดีสำหรับข้าที่แกสามารถมาถึงที่นี่ได้ มิฉะนั้นข้าจะต้องทนทุกข์ทรมานเพื่อจุดไฟแท่นบูชาด้วยตนเอง”
“เป็นอย่างนี้นี่เอง” มู่เฉินเข้าใจได้จากคำอธิบายของจาโหลหลัว ไม่คิดว่าแท่นบูชานี้จะต้องมีเครื่องสังเวยด้วย
ข้อมูลนี้น่าจะมาจากลู่หยวน เพราะชายคนนั้นเคยเป็นพาหนะของจักรพรรดิฟ้า ดังนั้นเขาต้องรู้ความลับหลายอย่างของวังสวรรค์บรรพกาล
“คำพูดของแกทำให้ข้ารู้สึกดีขึ้นเยอะเลย” มู่เฉินถอนหายใจ ที่แท้จะต้องมีเครื่องสังเวยเพื่อพัฒนาระยะสองเป็นร่างกลาง—ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ นับว่าโชคดีที่เขาไม่ได้ฆ่าเจ้านี่ที่ข้างนอก
“โง่เง่า!”
ตอนแรกจาโหลหลัวต้องการทำลายความเชื่อมั่นของมู่เฉิน ทว่าใบหน้าเขาก็ต้องเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มเนื่องจากล้มเหลว เขาไม่คิดจะพูดต่อไปอีกกระทืบฝ่าเท้าลงไปแทน
ตู้ม!
คลื่นหลิงเชี่ยวกรากพุ่งขึ้นราวกับพายุกวาดออกจากร่างจาโหลหลัว มิติก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น
หลังจากการชำระล้างในทะเลสาบสวรรค์ ขุมพลังของจาโหลหลัวก็มีถึงขีดสุดของระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มแล้ว!
ในแง่ของพรสวรรค์หากเขาสามารถออกจากวังสวรรค์บรรพกาลทั้งที่มีชีวิตอยู่ได้ก็จะมีโอกาสสูงที่จะทะลุไปยังระดับตี้จื้อจุน
เมื่อสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงที่มาจากจาโหลหลัว ท่าทางของมู่เฉินก็ดูเคร่งขรึมลงเล็กน้อย หากปราศจากกองทัพสังหารวิญญาณจาโหลหลัวก็เป็นศัตรูที่เขาไม่สามารถประมาทได้
ฮา
มู่เฉินหายใจเข้าลึก ใบหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ศึกครั้งนี้เกี่ยวข้องกับผู้ชนะคนสุดท้าย เนื่องจากมีเพียงหนึ่งในร่างเทพสุริยะของพวกเขาเท่านั้นที่สามารถผ่านวิวัฒนาการได้
ดังนั้นการต่อสู้ครั้งนี้จะต้องรุนแรงถึงที่สุด
ตู้ม!
ยามนี้คลื่นหลิงของระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มก็พวยพุ่งออกมาจากร่างของมู่เฉินในลักษณะของภูเขาไฟระเบิดพร้อมกับเกลียวแสงสีทองแล่นแปลบปลาบบนพื้นผิวร่างกาย เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าดังก้องออกมา
จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงที่สถิตบนผิวหนังของมู่เฉินนำพาความสามารถและความแข็งแกร่งในการป้องกันที่ทรงพลัง
มู่เฉินยืนอยู่เงียบๆ แต่ดูราวกับสัตว์อสูรดึกดำบรรพ์ที่เอิบอาบด้วยแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัว
“ฮ่าๆ ไม่คิดว่าพลังกายของแกจะมาได้ไกลถึงจุดนี้!” จาโหลหลัวมองไปที่มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงที่ปรากฏเลือนรางอยู่ด้านหลังมู่เฉินม่านตาก็หดเกร็ง ยิ่งเมื่อเห็นแรงกดดันทรงพลังที่มู่เฉินเปล่งออกมา เขาก็รู้สึกเสียใจในใจ ตอนที่เจอมู่เฉินครั้งแรก เขาไม่ได้รู้สึกกลัวอีกฝ่ายอะไร เพราะด้วยขุมพลังทั้งสองในตอนนั้น เขาไม่รู้สึกว่าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้นจะเป็นภัยคุกคามต่อเขาได้
แต่ใครจะคาดคิดว่ามู่เฉินจะก้าวเข้าสู่ขั้นเก้าระยะเต็มในระยะเวลาอันสั้นและยังสามารถหลบหนีจากผู้อาวุโสจั่วได้
ถ้าเขารู้เรื่องนี้ก็คงจะเคลื่อนไหวเต็มกำลังตอนที่มู่เฉินและเซี่ยหยู่ต่อสู้กันและฆ่ามู่เฉินให้เร็วที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในอนาคต
แต่ตอนนี้…แม้ว่าอาจจะลำบากเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่สายเกินไป
“แกคิดว่ามีเพียงตัวเองเท่านั้นที่มีพลังกายแข็งแกร่งเรอะ?”
จาโหลหลัวยิ้มน่าขนลุกก่อนที่จะกำหมัดเข้าหากัน คลื่นหลิงสีดำมะเมื่อมระเบิดออกจากร่างกายขณะตัวเขาพองขึ้น ร่างกายเขาดูเหมือนว่าถูกหลอมมาจากโลหะสีดำที่มีพลังไม่อาจบรรยายได้ นอกจากนี้ยังมีลวดลายสีดำโบราณแผ่กระจายออกมาบนพื้นผิวของร่างกาย ทำให้เกิดพลังที่น่ากลัว
เสียงคำรามของจาโหลหลัวที่เต็มไปด้วยจิตสังหารหนาแน่นดังก้องไปทั่วจัตุรัสทองคำ!
กายาเทพปีศาจ!
บทที่ 1174 การต่อสู้เข้มข้น
ฟู่ ฟู่!
กระแสพลังสีดำราวกับอสรพิษโอบรอบร่างจาโหลหลัว เขาคำรามลั่นพร้อมกับคลื่นกระแทกกระจายออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้มิติโยกคลอน
ตู้ม!
ร่างจาโหลหลัวกลายเป็นสีดำ ยืนตระหง่านบนพื้นดินราวกับเทพปีศาจ รัศมีช่างครอบงำ ตอนนี้เพียงแค่ความแข็งแกร่งของพลังกายอย่างเดียวก็เทียบเท่าระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มแล้ว
มู่เฉินมองไปที่จาโหลหลัวด้วยสายตาเคร่งเครียดลง พลังกายของจาโหลหลัวน่าจะแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาจอมยุทธ์ที่เขาเคยเห็นในรุ่นเดียวกันแล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะกายามังกรหงส์ได้รับการขัดเกลาจากพิธีชำระล้างทะเลสาบสวรรค์ละก็ เขาอาจไม่มีความมั่นใจที่จะเอาชนะจาโหลหลัวได้ในด้านพลังกาย
ตึง!
ขณะที่ร่างกายของมู่เฉินเกร็งขึ้น จิตสังหารก็พุ่งขึ้นในดวงตาของจาโหลหลัว จากนั้นจาโหลหลัวก็กระทืบเท้าหายวับไป
ฮึ่ม!
แสงสีทองระเบิดออกมาจากร่างกายมู่เฉิน เขาไม่ได้ตกใจกับการเคลื่อนไหวของจาโหลหลัว เขากำปั้นซัดออกไปทางด้านขวา
เมื่อเหวี่ยงแขนออกไป จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงที่ขดอยู่บนแขน ก็ส่งเสียงคำรามรุนแรงพร้อมกับพลังที่สามารถทำลายภูเขาได้
เมื่อมู่เฉินชกออกไป เขาก็เห็นแสงสีดำวาบตรงหน้าซัดหมัดเข้าใส่เขาพร้อมเกลียวแสงสีดำ
ครืน!
หมัดสองหมัดปะทะกันราวกับว่าเป็นอุกกาบาตพุ่งชนกัน
คลื่นกระแทกที่มองเห็นได้แผ่กระจายออกไป มิติส่งเสียงครางกระหึ่มขณะบิดเบี้ยวไปมารอบๆ หมัดทั้งสอง นอกจากนี้ยังมีรอยแตกแผ่ซ่านคล้ายกับใยแมงมุม
พลังที่น่ากลัวโหยหวนทำให้มู่เฉินและจาโหลหลัวกระเด็นออกไปหลายพันเมตรจากคลื่นกระแทก
วาบ!
ทว่าทันทีที่ทั้งคู่ทรงตัวได้ พวกเขาก็พุ่งออกมาปานสายฟ้าอีกครั้ง
ปัง! ปัง!
ร่างสองร่างวูบไหวไปมาตลอดเวลารอบจัตุรัสพร้อมกับหมัดปะทะกันตูมตาม พวกเขาไม่ได้ใช้พลังงานหลิงมากนัก แต่อาศัยพลังกายล้วนๆ
ทว่าแม้พวกเขาจะไม่ได้ใช้พลังงานหลิงแต่คลื่นกระแทกจากการปะทะก็ทำให้ใบหน้าของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มเปลี่ยนเป็นสีซีดเผือดได้เลยทีเดียว
ในมุมมองของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มหลายคน พลังกายของทั้งสองจัดอยู่ในพวกสัตว์ประหลาด
ในเวลาร้อยลมหายใจพวกเขาก็แลกกระบวนท่ากันไม่รู้กี่ร้อยกระบวนท่าแล้ว การโจมตีของพวกเขาดุร้ายและเชี่ยวชาญพุ่งเป้าไปที่จุดตายของกันและกัน
ตู้ม!
อีกครั้งที่ทั้งสองกระเด็นกลับมาจากการปะทะรุนแรง รอยเท้ายาวลากไปบนลานจัตุรัสสีทอง
ขณะนี้แขนเสื้อพวกเขาฉีกออกเป็นชิ้นๆ มีรอยเลือดที่แขนซึ่งเกิดจากคลื่นกระแทกที่น่ากลัวจากการปะทะกัน ทว่าด้วยพลังกายของทั้งสองคน แค่นี้สบายมาก
แต่กระนั้นการหายใจของทั้งสองก็หนักขึ้นเล็กน้อย การประจัญบานก่อนหน้าทำให้พวกเขาต้องรักษาระดับสมาธิไว้ที่จุดสูงสุด
เผชิญหน้ากับศัตรูแบบนี้ ทั้งคู่ไม่กล้าที่จะผ่อนคลาย
ดวงตาของจาโหลหลัวจับจ้องไปที่มู่เฉิน ฝ่ามือลูบบนแขน บาดแผลของเขาก็หายไปหมด เขาพูดด้วยน้ำเสียงน่าขนลุก “ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเซี่ยหยู่ถึงตายด้วยน้ำมือแก ดูท่าว่าแกมีความสามารถบางอย่างจริงๆ”
จากการแลกกระบวนท่าเมื่อครู่เขาดึงการดูถูกทั้งหมดในใจลง มู่เฉินมีคุณสมบัติที่จะเป็นศัตรูตัวฉกาจของเขา เช่นเดียวกับที่เขารู้สึกเมื่อเผชิญหน้ากับจู้เยี่ยน
สายตาของมู่เฉินยังคงไม่แยแสขณะแสงสีทองเอิบอาบทั่วร่างกาย จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงที่ขดอยู่รอบร่างเขาก็จ้องไปที่จาโหลหลัวเขม็ง
จาโหลหลัวหัวเราะเยาะกับภาพนี้ “แต่ไม่ว่าแกจะโดดเด่นแค่ไหน วันนี้มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถมีชีวิตอยู่ได้และคนคนนั้นไม่ใช่แก!”
ตู้ม!
พูดจบทันใดนั้นเขาก็เหวี่ยงหมัดออกมาซึ่งมีพลังหลิงเชี่ยวกรากรวมกันภายใต้นั้น เปลี่ยนหมัดให้กลายเป็นภาพกว้างหมื่นจั้งราวกับกับสัตว์อสูรร้ายสีดำก่อนที่จะพุ่งเข้าใส่มู่เฉิน
เวลานี้ในที่สุดจาโหลหลัวก็เริ่มใช้คลื่นหลิงแล้ว ชัดว่าเขาไม่ต้องการที่จะลากศึกนี้ออกไปอีก
เงาสีดำปกคลุมไปทั่ว สายตาของมู่เฉินก็หดลง มิติด้านหลังเขาผันผวน จุดจื้อจุนไห่ปรากฏขึ้นเลือนรางพร้อมกับคลื่นหลิงไร้ขอบเขตแผ่ออกไป
มู่เฉินผลักฝ่ามือทั้งสองออกไป ทันใดนั้นคลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็กวาดออกกลายเป็นปราการขนาดใหญ่นับหมื่นจั้งพร้อมกับจิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงบินฉวัดเฉวียนอยู่ด้านบน เร้าพลังป้องกันถึงจุดสูงสุด
ตู้ม!
หมัดรุนแรงปะทะเข้ากับปราการ แต่ก็ทำให้ปราการเกิดการสั่นสะท้านเท่านั้น พลังไม่เพียงพอที่จะทำลายลงได้
แต่ถึงอย่างนั้นมู่เฉินก็ไม่ได้ผ่อนคลายเพราะเขารู้ว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น
ครืน! ครืน!
ขณะที่ความคิดนี้วาบผ่านในใจ เสียงฟ้าคำรนไม่มีที่สิ้นสุดก็ดังขึ้นในมิตินี้ มู่เฉินเงยหน้าขึ้นเห็นอุกกาบาตสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนตกลงมาจากท้องฟ้า
นี่คืออุกกาบาตที่เกิดจากหมัดซึ่งต้องการจะทำลายล้างทุกสรรพสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าทั้งหมด
ปัง! ปัง!
ระลอกคลื่นรุนแรงแผ่กระจายออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ จากปราการขนาดใหญ่เมื่อหมัดซัดลงมา
ทว่าด้วยการเสริมของจิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง ทำให้ความสามารถในการป้องกันของปราการทรงพลังอย่างยิ่ง แม้ว่าจะเต็มไปด้วยรอยแตกเมื่ออุกกาบาตลูกสุดท้ายซัดลงมา แต่ปราการก็ยังคงยืนที่เบื้องหน้ามู่เฉินอย่างสง่างาม
ทว่าเวลานี้เองหัวใจของมู่เฉินก็โลดขึ้น เขาสัมผัสได้ถึงอันตรายยิ่งใหญ่ เขารีบเงยหน้าขึ้นก็เห็นจาโหลหลัวยืนอยู่บนเสาสีทองต้นหนึ่งมือทั้งสองข้างสร้างตราประทับแปลกประหลาด
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตรอบตัวคำรามราวกับมหาสมุทรสีดำ ดูน่ากลัวอย่างยิ่ง
จาโหลหลัวมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาเยาะเย้ย จากนั้นมือทั้งสองก็เคลื่อนไหว ทันใดนั้นมหาสมุทรสีดำก็พวยพุ่งพร้อมกับบางสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวภายใน ความผันผวนที่น่ากลัวแพร่กระจายออกไป
ขณะนี้ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งเครียดถึงขีดสุด
“ข้ารู้ว่าแกรับมือได้ยาก ดังนั้นข้าไม่ได้คาดหวังว่าการโจมตีนั้นจะเป็นภัยคุกคามกับแก นั่นมีไว้เพื่อซื้อเวลาให้ข้าเท่านั้น” จาโหลหลัวยิ้มก่อนจะเหยียดนิ้วออกแตะลงบนมหาสมุทรสีดำ
“วิทยายุทธระดับเสินทง คัมภีร์เซิ่งหมัว หัตถ์เทพปีศาจ!”
ตู้ม!
ทันใดนั้นมหาสมุทรสีดำก็ฉีกออกจากกัน รัศมีสีดำทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าก่อนที่จะกลายเป็นมือสีดำที่ดูเหมือนว่าแหวกออกมาจากนรกโอบล้อมเขาไว้
มือสีดำโอบล้อมพื้นที่ทั้งหมดทำให้การหลบหนีเป็นไปไม่ได้เลย
หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ จากการตัดสินด้วยพลังอำนาจ นี่จะต้องเป็นวิทยายุทธระดับเสินทงที่แท้จริง!
ไม่คิดว่าจาโหลหลัวจะฝึกวิทยายุทธระดับเสินทงสำเร็จ!
สีหน้าของมู่เฉินเคร่งเครียดมากก่อนที่จะหายใจเข้าลึก ดวงตาปิดลงก็เบิกโพลงขึ้นทันที สีนัยน์ตาทั้งสองข้างเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ จิตสังหารน่าสะพรึงระเบิดออกมาจากในใจ
มู่เฉินยืนนิ่งขณะมองมือขนาดใหญ่ ขณะนี้รัศมีที่น่าสะพรึงกลัวระเบิดเปรี้ยงปร้างจากร่างกายไม่หยุด
เมื่อรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงกะทันหันของมู่เฉิน ม่านตาจาโหลหลัวก็หดลง จากนั้นเขาก็เห็นมู่เฉินถอยหลังไปครึ่งก้าว ร่างโค้งไปทางด้านหลังเหวี่ยงหมัดข้างขวาออกมา
ขณะเดียวกันเสียงทุ้มต่ำก็ดังก้อง
“หมัดปีศาจพลีชีพ!”
มู่เฉินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เมื่อเทียบกับมือขนาดใหญ่เขาตัวเล็กเหมือนมด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังพุ่งเข้าไปอย่างไม่กลัวเกรง กำปั้นของเขาปะทะกับมือขนาดมหึมานั่น
ฮึ่ม!
วินาทีที่ปะทะกันทั่วบริเวณก็เงียบงัน
ทว่าท่ามกลางความเงียบงัน รอยแตกก็เริ่มกระจายออกไปในอากาศ ดูราวกับมังกรมหึมากำลังกางกรงเล็บปลดปล่อยดระลอกคลื่นสั่นไหว
ตู้ม!
ท่ามกลางการปะทะที่เงียบงัน มิติก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น อึดใจถัดมามือขนาดใหญ่ก็สั่นสะท้านก่อนที่จะแตกเป็นเสี่ยงๆ
แต่เมื่อมือขนาดใหญ่แตกสลาย มู่เฉินก็ถูกกระแทกไปข้างหลังชนกับเสาสีทองจนเสาแตกเป็นฝุ่นสีทองลอยอยู่ในอากาศ
ไกลออกไปแม้ว่าจาโหลหลัวจะไม่ได้ถอยไป แต่เสาที่อยู่ใต้เท้าเขาก็กลายเป็นฝุ่น ใบหน้าเขาดูเคร่งขรึม
ฝุ่นสีทองฟุ้งไปทั่ว
มู่เฉินทรงตัวขณะมองไปที่จาโหลหลัว ทั้งคู่มีรอยเลือดไหลออกมาจากมุมปาก
ชัดว่าพวกเขาได้รับผลกระทบจากการปะทะกันของวิทยายุทธระดับเสินทง
สายตาของจาโหลหลัวมืดครึ้ม เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้คัมภีร์เทพแล้วไม่สามารถฆ่าอีกฝ่ายได้
มู่เฉินก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน เนื่องจากหมัดปีศาจพลีชีพก็ล้มเหลวเป็นครั้งแรกเช่นกัน
ศัตรูตัวฉกาจจริงๆ!
ทั้งสองมีความคิดเดียวกันในใจ!
ดังนั้นตราประทับสีดำจึงปรากฏขึ้นในมือของจาโหลหลัวในอึดใจต่อมา
ส่วนพัดขนนกสีฟ้าอมเขียวก็ปรากฏในมือของมู่เฉิน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น