หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1165-1166
บทที่ 1165 ศัตรูกันทางจะแคบ
เมื่อมู่เฉินออกจากหอสองฟ้า
เขาก็ไม่ได้หยุดกลางคันมุ่งหน้าไปยังหอหนึ่งฟ้าทันที ขณะนี้ทุกคนคงแยกย้ายอยู่ตามหอทั้งห้า ดังนั้นเขาจะต้องไปถึงหอหนึ่งให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ แม้เขาไม่กังวลเกี่ยวกับเรื่องที่จะมีคนเข้าไปในโถงที่มีร่างเดิมของมั่นถัวหลัวได้ แต่ถ้ามีใครสักคนกระตุ้นค่ายกล การจะนำร่างหลักของมั่นถัวหลัวออกไปก็จะยิ่งลำบากขึ้น
ดังนั้นมู่เฉินจึงไม่หยุดแม้จะเห็นโถงต่างๆ ที่มีแสงหลิงพลุ่งพล่านออกมาระหว่างทาง
เขารู้ว่าแสงหลิงเหล่านั้นคงเป็นสมบัติที่หลงเหลืออยู่ในวังโบราณ แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลามาค้นหาสมบัติ
สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือนำร่างหลักของมั่นถัวหลัวออกมาให้ได้อย่างรวดเร็ว
มิฉะนั้นเมื่อฮ่องเต้เซี่ยมาถึงวังสวรรค์บรรพกาลและทราบข่าวว่าเขาฆ่าเซี่ยหยู่ไปแล้ว อีกฝ่ายจะต้องพุ่งตรงมาหาเขาด้วยความโกรธแค้นแน่นอน
ถ้าต้องการเอาชีวิตรอดภายใต้ฮ่องเต้เซี่ยและเจ้าตำหนักเทพปีศาจที่เป็นคู่แค้นกับมั่นถัวหลัว เขาก็ต้องนำร่างหลักมาให้นางเพื่อมั่นถัวหลัวจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม
มิฉะนั้นถึงแม้จะมีกองทัพสังหารวิญญาณ ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะต่อกรกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย
“เวลาเร่งรีบแท้จริง”
มู่เฉินพึมพำจากนั้นก็กลายเป็นริ้วแสง ดวงตาของเขามองไปไกลก่อนที่จะหดเกร็ง เนื่องจากเห็นมหาสมุทรสีฟ้าอมเขียวปรากฏขึ้นที่ปลายสายตา
เหนือมหาสมุทรพลุ่งพล่าน คลื่นน้ำม้วนตัวขึ้นหมื่นจั้งเป็นครั้งคราว
“นี่คือทิศทางไปหอหนึ่งแน่นอน หรือว่าหอหนึ่งจะอยู่บนมหาสมุทร?” มู่เฉินอึ้งไปกับทิวทัศน์ ก่อนที่จะครุ่นคิดพักหนึ่ง แต่ก็ยังพุ่งต่อไปอย่างแน่วแน่ เดินทางด้วยความเร็วสูงสุด จนทำให้เกิดคลื่นซัดสาดในมหาสมุทร
มู่เฉินเดินทางสิบกว่านาที หลังจากนั้นก็เห็นเกาะต่างๆ ปรากฏขึ้นพร้อมกับหอสูงตระหง่านที่แสดงให้เห็นถึงความสง่างามและเจริญรุ่งเรืองในอดีต
บางครั้งก็มองเห็นริ้วแสงวอบแวบบนหมู่เกาะเหล่านั้น ชัดว่าเป็นจอมยุทธ์คนอื่นๆ ที่บุกเข้าไปค้นหาสมบัติกัน ทว่ามู่เฉินไม่ได้สนใจพวกเขา ยังคงเดินทางต่อไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเดินทางลึกเข้าไป มู่เฉินก็สามารถสัมผัสได้ถึงร่องรอยของค่ายกลในพื้นที่นี้ ซึ่งมีพลังที่ทำให้ผู้คนตกใจกลัว โชคดีที่ค่ายกลเหล่านั้นถูกทำลายจนหมดแล้ว ไม่อย่างนั้นคงต้องเสียเวลาในการผ่านไป
วาบ!
ร่างมู่เฉินพาดผ่านเส้นขอบฟ้าขณะสายตามองไปที่สถาปัตยกรรมบนเกาะต่างๆ พยายามค้นหาโถงที่ร่างหลักของมั่นถัวหลัวซ่อนอยู่
แล้วการค้นหาของเขาก็ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมง
เมื่อเวลาผ่านไปมู่เฉินก็ขมวดคิ้ว เขาค้นหาเกาะสามในสี่ส่วนแล้ว ทว่าแม้จะมีความผันผวนที่แปลกประหลาดแผ่กระจายออกมาในบางเกาะ แต่เขาก็ไม่สามารถจับคู่กับความทรงจำที่มีได้
“ลองหาดูต่อ” มู่เฉินกัดฟันแน่นก่อนจะพุ่งลึกเข้าไปสำรวจในส่วนที่ยังไม่ค้นหา
ทว่าหนึ่งชั่วโมงต่อมาใบหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนไปเป็นไม่น่าดู เนื่องจากเขาค้นหาทั่วทั้งมหาสมุทรแล้ว แต่เขาก็ยังไม่พบสิ่งที่ตรงกับความทรงจำเลย
“โถงที่ข้าเห็นก่อนหน้าไม่มีทางเป็นภาพลวงตานะ” ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งเครียดราวกับน้ำนิ่ง เขาระงับความวิตกกังวลในใจและสงบสติอารมณ์
“ทำไมบนมหาสมุทรข้าถึงหาไม่เจอ? นอกจากนี้… ข้าก็ไม่เห็นหอหนึ่งด้วยเช่นกัน”
มู่เฉินเม้มริมฝีปากขณะมองไปรอบๆ พลางพึมพำ “หรือว่าไม่ได้อยู่บนมหาสมุทร”
ถ้าไม่ได้อยู่บนมหาสมุทรแล้วจะอยู่ที่ไหน?
มู่เฉินก้มหน้าลงไปที่มหาสมุทรครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนที่จะหดดวงตา “หรือว่าจะอยู่ใต้มหาสมุทร?”
วาบ!
มู่เฉินกลายเป็นร่างแสงพุ่งลงไปในมหาสมุทรทันที กระจายการรับรู้คลื่นหลิงออกไป จากนั้นก็ค้นพบหอสง่างามที่คล้ายกับสัตว์อสูรหมอบลึกที่ใต้มหาสมุทร
มู่เฉินรู้สึกโล่งใจมากกับฉากนี้ ที่แท้หอหนึ่งก็ตั้งอยู่ใต้ท้องมหาสมุทร ไม่ใช่ผิวน้ำ จอมพลหนึ่งช่างลึกลับอย่างแท้จริง
ฟิ้ว!
มู่เฉินราวกับปลาน้อยขณะที่เดินทางใต้น้ำกระจายการรับรู้ออกไป ครั้งนี้เขาก็สัมฤทธิ์ผล
“พบแล้ว!”
มู่เฉินมาปรากฏตัวเบื้องหน้าซากปรักหักพังพร้อมกับหอโบราณกระดำกระด่างที่ยังคงตั้งตระหง่านอยู่ ช่างดูคล้ายกับความทรงจำของมู่เฉิน
นอกจากนี้ยังมีการกลิ่นหอมแปลกๆ ลอยอวลออกมาทำให้ผู้คนหลงใหล
นั่นคือกลิ่นหอมของดอกแมนดาลา!
มู่เฉินมองไปที่หอกระดำกระด่างก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา ก่อนที่จะเข้าใกล้ด้วยความระมัดระวัง เขายืนอยู่ตรงหน้าลังเลเล็กน้อยแล้วก็เข้าไป
ภายในหอตัดขาดจากน้ำทะเลภายนอก การตกแต่งภายในทั้งโอ่อ่าและกว้างใหญ่เป็นพิเศษ นี่จะต้องเป็นสถานที่สำคัญของหอหนึ่งในสมัยโบราณ
ในโถงใหญ่ก็ดูเสียหายใหญ่หลวง ชัดว่าเคยมีการต่อสู้รุนแรงที่เกิดขึ้น เนื่องจากภาพโครงกระดูกที่นอนกองอยู่รอบๆ
มู่เฉินกวาดสายตาทั่วโถง อึดใจถัดมาใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่ปลายโถง มีประตูหินอยู่ ซึ่งร่างหลักของมั่นถัวหลัวน่าจะอยู่หลังประตูนั้น
ทว่ามู่เฉินไม่ได้ให้ความสนใจกับเรื่องนี้ เนื่องจากเขาสังเกตเห็นร่างสองร่างยืนอยู่ตรงหน้าประตู
มู่เฉินคุ้นเคยกับหนึ่งในนั้น จาโหลหลัวจากตำหนักเทพปีศาจ ขณะนี้จาโหลหลัวก็มองมาที่เขาด้วยสีหน้าเยาะเย้ยพลางกอดอก
ทำไมจาโหลหลัวถึงอยู่ที่นี่?
ใบหน้าของมู่เฉินน่าเกลียดขึ้น ดูจากท่าทางของจาโหลหลัวคงรออยู่ที่นี่นานแล้ว
“ฮ่าๆ ดูเหมือนท่านประมุขจะเดาถูกที่จะต้องมีคนมานำร่างหลักของนางกลับ แต่ข้าไม่คิดว่าจะเป็นแก”
จาโหลหลัวมองไปที่มู่เฉินพลางยิ้มตาหยี “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็คงเป็นศัตรูคู่อาฆาตของประมุขข้าสินะ ซ่อนได้ดีจริงๆ”
ร่างของมั่นถัวหลัวที่แยกออกมาจากดอกตูมน่าจะมีความต่างกับร่างหลัก ดังนั้นต่อให้เป็นตำหนักเทพปีศาจก็ยังหานางไม่พบ แต่ตอนนี้เมื่อจาโหลหลัวเห็นมู่เฉินที่นี่ เขาก็ปะติดปะต่อเรื่องราวที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมดได้
มู่เฉินจ้องไปที่จาโหลหลัว ใบหน้าที่น่าเกลียดก็เริ่มคลายลง ประมุขตำหนักเทพปีศาจน่าจะรู้จักสถานที่นี้ เพราะเขาเป็นคนบีบบังคับให้มั่นถัวหลัวต้องซ่อนตัวในนี้ นอกจากนี้เขายังไม่เต็มใจที่จะปล่อยให้มั่นถัวหลัวได้ร่างหลักคืนไปเพื่อพัฒนาความแข็งแกร่ง ดังนั้นลู่หยวนจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อหยุดยั้งมั่นถัวหลัวจากการฟื้นร่างหลักนี้
จาโหลหลัวคงจะอยู่ที่นี่ภายใต้คำสั่งของเขา
ทว่าหากเป็นเพียงจาโหลหลัวคนเดียวมู่เฉินก็ไม่มีอะไรต้องกลัว แต่เห็นได้ชัดว่างานนี้ไม่ง่ายอย่างนั้น
สายตาของมู่เฉินเลื่อนไปที่ด้านข้างจาโหลหลัว ร่างในชุดสีดำขาวดูค่อนข้างสูงวัย แต่ไม่มีความผันผวนของคลื่นหลิงรอบตัวเขา
แต่เหตุนี้ทำให้มู่เฉินรู้สึกว่าถูกคุกคาม เขาไม่คิดว่าคนที่อ่อนแอเช่นนี้จะสามารถผ่านกับดักหนักหน่วงมาถึงที่นี่ได้
เมื่อรู้สึกถึงสายตาของมู่เฉิน จาโหลหลัวก็ยิ้มอ่อน “ตอนแรกข้าอยากระเบิดศึกระหว่างแกกับข้าเพื่อดูว่าใครมีร่างเทพสุริยะแข็งแกร่งกว่ากัน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าแกจะไม่มีโอกาสนี้อีกต่อไป”
พูดจบเขาก็หันไปทางชายในชุดสีดำขาวโค้งด้วยความเคารพ “ผู้อาวุโสจั่ว ต้องรบกวนท่านที่นี่ ท่านประมุขแจ้งว่าไม่ต้องการเห็นใครเข้าไปในโถงนี้”
“ผู้อาวุโสจั่ว?”
เมื่อเห็นท่าทางเคารพของจาโหลหลัว ม่านตาของมู่เฉินก็หดเกร็ง อึดใจเขาก็มองไปที่ชายชุดสีดำขาวด้วยความไม่เชื่อ คนคนนั้นเป็นผู้อาวุโสของตำหนักเทพปีศาจหรือ?
เขาถึงจุดที่แม้แต่จาโหลหลัวยังให้ความเคารพ ดังนั้นจะต้องอยู่ในขุมพลังตี้จื้อจุนแล้ว!
แต่ปัจจุบันวังสวรรค์บรรพกาลไม่อนุญาตให้จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนเข้ามาไม่ใช่เหรอ? ทำไมผู้อาวุโสตำหนักเทพปีศาจถึงมาที่นี่ได้?
นอกจากนี้เขาไม่ได้แสดงตัวเองตั้งแต่แรกเริ่มแม้แต่ในทะเลสาบสวรรค์
“ฮ่าๆ แปลกมากเหรอ?”
เมื่อเห็นความตกใจของมู่เฉิน จาโหลหลัวก็หัวเราะร่วน “ที่จริงวังสวรรค์บรรพกาลในปัจจุบันไม่รองรับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน ดังนั้นสำนักข้าจึงต้องจ่ายราคาแพงเพื่อให้ผู้อาวุโสจั่วเข้ามาที่นี่ แต่ด้วยวิธีนี้เขาจะมีโอกาสโจมตีเพียงครั้งเดียว มิหนำซ้ำพลังก็จะได้รับผลกระทบมากเช่นกัน ในอนาคตหากเขาต้องการฟื้นตัวก็คงต้องใช้เวลาหลายสิบปี”
จาโหลหลัวมีความสุขที่ได้เห็นความตกใจของมู่เฉินและด้วยเหตุนี้เขาจึงพูดมากขึ้น
เมื่อได้ยินคำพูดนั่นเปลือกตาของมู่เฉินก็กระตุก จักรพรรดิปีศาจแห่งตำหนักเทพปีศาจร้ายกาจแท้จริง ยินยอมให้ผู้ใต้บังคับบัญชาซึ่งเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนจ่ายราคาดังกล่าวเพียงเพื่อขัดขวางการดึงร่างหลักของมั่นถัวหลัวกลับไป
แต่คำพูดของจาโหลหลัวกลับทำให้หัวใจที่ตึงเกร็งของเขาคลายลง ชัดว่าตอนนี้ผู้อาวุโสของตำหนักเทพปีศาจคนนี้ไม่ได้มีพลังในจุดสูงสุด กลับได้รับผลกระทบจนสูญเสียพลังไปมาก
แต่สำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น ต่อให้พลังของเขาจะลดลงอย่างมาก ก็ไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มจะเผชิญหน้าได้ ดังนั้นเมื่อมู่เฉินเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ เขาก็คือคนตายไปแล้วในสายตาของจาโหลหลัว
ทว่าเขาคิดไม่ได้หรอกว่าตอนนี้มู่เฉินไม่ได้อยู่ในขอบเขตจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มแล้ว
ดังนั้นขณะที่จาโหลหลัวากำลังจะเพลิดเพลินกับสีหน้าหวาดกลัวและตกใจบนใบหน้าของมู่เฉิน เขาก็ต้องหดดวงตาเมื่อพบว่ามีส่วนโค้งเบาบางปรากฏบนใบหน้าของมู่เฉิน
เสียงหัวเราะอ่อนโยนดังก้องโถง
“ที่แท้ก็คือจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นที่พิการไปแล้วครึ่งหนึ่งสินะ?”
**สำนวนศัตรูกันทางจะแคบ แปลประมาณว่าพวกที่เป็นศัตรูจะชอบเจอหน้ากันเสมอ
บทที่ 1166 ผู้อาวุโสจั่ว
“ที่แท้ก็คือจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นที่พิการไปแล้วครึ่งหนึ่งสินะ?”
เสียงหัวเราะอ่อนโยนของมู่เฉินดังแผ่ว แต่ก็ยังสะท้อนไปทั่วโถงเงียบสงบนี้
แววเยาะเย้ยบนใบหน้าของจาโหลหลัวแข็งค้าง ก่อนที่เขาจะหันหน้ามองมู่เฉิน รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏที่ริมฝีปาก
“กลัวจนพูดไร้สาระเลยเหรอ?” จาโหลหลัวยิ้มบางขณะมองหน้ามู่เฉินด้วยความสงสาร เขามองว่าปฏิกิริยาของมู่เฉินเป็นอาการบอกถึงความกลัว
เพราะไม่ว่ายังไงเขาก็คิดไม่ได้ว่าภายในเวลาไม่ถึงครึ่งวันมู่เฉินจะได้รับไพ่ตายน่ากลัวในมือ ซึ่งมีพลังมากพอที่จะจัดการจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นได้
ผู้อาวุโสจิ่วที่สวมเสื้อดำขาวยืนข้างจาโหลหลัวก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่มู่เฉินอย่างไม่แยแส
ด้วยสายตาที่เฉียบแหลม เขาสามารถมองผ่านขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มของมู่เฉินได้อย่างรวดเร็วโดยไม่มีระลอกคลื่นในดวงตา เพราะปกติจอมยุทธ์ระดับนี้ก็เสมือนมดสำหรับเขา
ระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นสามารถสังหารระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มง่ายดายแค่พลิกมือ ต่อให้ตอนนี้เขาจะมีพลังไม่ถึงครึ่งถึงของอดีตก็ตาม
นั่นเป็นเพราะมีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างทั้งสองระดับ
“จาโหลหลัว เจ้าไปก่อน ในเมื่อท่านประมุขสั่งการมาแล้ว ตาแก่คนนี้ก็ไม่ให้แมลงวันเข้ามาได้” ผู้อาวุโสจั่วเหลือบมองไปที่มู่เฉินก่อนที่จะหันไปทางจาโหลหลัวและพูด
จาโหลหลัวยิ้มบางพร้อมพยักหน้าตอบด้วยความเคารพว่า “ถ้างั้นข้าไปก่อนนะขอรับ ฮ่าๆ ข้าคิดจะมองหาอาวุธมหสวรรค์ที่จอมพลหนึ่งทิ้งไว้ด้วย”
พูดจบเขาก็เดินไปที่ประตูที่มู่เฉินอยู่ ไม่กี่ก้าวก็ยืนข้างมู่เฉินแล้ว
เขาเอี้ยวหน้ายิ้มให้มู่เฉิน “น่าเสียดายจริงๆ ตอนแรกข้าก็อยากสู้กับแก แต่ไม่คิดว่าแกจะตกหลุมพรางของพวกข้า”
“วางใจเถอะ หลังจากที่แกไปปรโลก อาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็จะถูกทำลายโดยตำหนักเทพปีศาจ เมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาก็จะลงไปอยู่ร่วมกับแก” จาโหลหลัวแสยะยิ้มเผยฟันขาว
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับไอสังหารเย็นเยือก มู่เฉินก็เอียงศีรษะมองไปพลางยิ้มบาง “ก็อาจเป็นเช่นนั้น งั้นไว้เจอกันครั้งหน้า”
เจอกันครั้งหน้า?
จาโหลหลัวอึ้งไปก่อนที่รอยยิ้มเย้ยหยันที่ติดอยู่ที่มุมปากจะหนาแน่นขึ้น เขาส่ายหน้าอย่างปลงๆ เจ้านี่ยังหวังจะพบกันใหม่อีกครั้ง ไร้เดียงสาเหลือเกิน
ดูเหมือนสถานการณ์ที่สิ้นหวังนี้ก็ทำให้มู่เฉินสูญเสียความสงบและเริ่มมีท่าทางแปลกพิกลขึ้นมา
คิดถึงจุดนี้จาโหลหลัวก็รู้สึกมีความสุขมากขึ้น จากนั้นเขาก็ไม่สนใจมู่เฉินอีกต่อไป เดินผ่านมู่เฉินออกจากโถงเละเทะแห่งนี้ไปและเริ่มค้นหาอาวุธมหสวรรค์ที่จอมพลหนึ่งทิ้งไว้
มู่เฉินไม่ได้ขัดขวาง ตอนนี้คู่ต่อสู้ของเขาคือผู้อาวุโสจั่วแห่งตำหนักเทพปีศาจ ส่วนจาโหลหลัวจะพบกันอีกครั้งในอนาคต
เมื่อจาโหลหลัวไปแล้วความสงบในโถงก็กลับคืนมาก่อนที่ผู้อาวุโสจั่วจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองไปที่มู่เฉินโดยไม่มีการแสดงออกใดๆ “ตาแก่คนนี้เป็นผู้คุมกฎของตำหนักเทพปีศาจ ทุกคนที่ตายในเงื้อมมือของข้าได้ลิ้มรสความทรมานที่เกินกว่าอะไร ดังนั้นถ้าแกฆ่าตัวตายตอนนี้ข้าก็จะปล่อยไปอย่างง่ายดาย”
เสียงแหบแห้ง แต่ความเย็นชาในน้ำเสียงทำให้ฟังดูน่าขนลุก
ใครก็บอกได้ว่าอารมณ์ของผู้อาวุโสจั่วไม่ดีเลย เพราะไม่มีใครรู้สึกดีหลังจากต้องจ่ายราคาแพงระยับเพื่อเข้าสู่วังสวรรค์บรรพกาล
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสจั่ว มู่เฉินกลับยิ้มบาง “ดูเหมือนครั้งนี้ข้าจะค่อนข้างโชคดี”
ถ้ามู่เฉินเจอสถานการณ์นี้เมื่อครึ่งวันก่อนคงได้ตายแน่ๆ ต่อให้จะงัดทุกวิถีทางออกมา เขาก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสจั่วคนนี้
แต่โชคดีที่เขาได้รับกองทัพสังหารวิญญาณในครึ่งวันที่ผ่านมา
ดังนั้นผลลัพธ์จึงเริ่มเปลี่ยนไป
ทว่าปะทะกับคำพูดของมู่เฉิน ผู้อาวุโสจั่วก็พยักหน้า “แกโชคดีที่จะตายสบายๆ ในมือข้า”
เห็นชัดที่เขาคิดว่ามู่เฉินดีใจที่เขาให้ทางเลือกอีกฝ่ายตายอย่างสบาย ภายใต้สถานการณ์ปกติก็เป็นเช่นนั้นอย่างแท้จริง เนื่องจากความตายถือได้ว่าเป็นอิสระสำหรับจอมยุทธ์ระดับนี้ที่ตกอยู่ในมือของเขา
มู่เฉินอึ้งก่อนจะคลี่ยิ้ม ครู่ต่อมาก็อดหัวเราะไม่ได้ก่อนจะค่อยๆ สงบสติอารมณ์พูดอย่างเย็นชาว่า “ถ้าตาแก่พิการอย่างแกไสหัวไปตอนนี้ บางทีข้าอาจจะไว้ชีวิตแกก็ได้”
ยืนอยู่หน้าประตูท่าทางของผู้อาวุโสจั่วก็แข็งขึ้น จากนั้นครู่หนึ่งก็ค่อยๆ ฟื้นสติมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาที่ไม่เชื่อ
มดใช้น้ำเสียงนี้พูดกับเขา?
ใบหน้าของผู้อาวุโสจั่วกระตุก มู่เฉินสามารถเห็นได้ว่ามืออีกฝ่ายสั่นระริกไปหมด ในเวลาเดียวกันความผันผวนของคลื่นหลิงที่น่ากลัวก็ระเบิดออกมาจากร่างกาย
ตู้ม ตู้ม!
รอยแตกสีดำปรากฏขึ้นในมิติราวกับว่าไม่สามารถทนรับคลื่นกระแทกที่น่าสะพรึงกลัว
ภายใต้ความผันผวนที่น่ากลัว มู่เฉินก็ราวกับประกายไฟ ประหนึ่งบิดปลิวไปได้ด้วยการเป่าเบาๆ
ใบหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไปรุนแรง ภายใต้แรงกดดันที่น่ากลัวเขารู้สึกเจ็บแปลบไปทั่วสรรพางค์กายซึ่งทำให้เขาตกใจ พลังระดับตี้จื้อจุนน่ากลัวแท้จริง การเปรียบเทียบระหว่างระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มกับระดับตี้จื้อจุน ก็คล้ายหิ่งห้อยกับดวงจันทร์
เมื่อคลื่นหลิงไร้ขอบเขตแผ่ออกไป ผู้อาวุโสจั่วก็มองไปที่มู่เฉินด้วยใบหน้าโหดเหี้ยม “ตาแก่คนนี้จะให้แกเจอกับความทรมานทุกรูปแบบ เมื่อถึงเวลานั้นแกจะรู้ว่าการตายฟุ่มเฟือยเป็นอย่างไร!”
เห็นชัดว่าเขาโกรธมู่เฉินแบบสุดๆ ตอนแรกเขาคิดว่าการให้มู่เฉินฆ่าตัวตายถือได้ว่าเป็นพระคุณของเขา แต่ใครจะคิดว่าไอ้หนูสารเลวนี่จะดื้อรั้นขนาดนี้?
“จริงเหรอ?”
ทว่าเผชิญกับแรงกดดันคลื่นหลิงทรงพลังที่มาจากผู้อาวุโสจั่ว มู่เฉินก็ยิ้มกว้างขณะหยิบป้ายกองทัพโบราณออกมา
“ฮ่าๆ ข้าแสวงหาพลังระดับตี้จื้อจุนมานานแล้ว ไม่คิดว่าจะได้สัมผัสในวันนี้”
เขายิ้มให้ผู้อาวุโสจั่วก่อนที่ป้ายในมือจะเปล่งประกายแวววาว ริ้วแสงนับไม่ถ้วนบินฉวัดเฉวียนออกมา
ตู้ม! ตู้ม!
ริ้วแสงเหล่านั้นพุ่งออกมาตกลงบนพื้น แผ่นพื้นในโถงก็แตกมีร่างเงาในชุดเกราะหนักยืนอยู่อย่างเงียบๆ
เมื่อร่างเงาเหล่านั้นปรากฏขึ้น รัศมีจั้นยี่สีแดงเข้มก็พวยพุ่งออกมาตอบโต้และลบแรงกดดันคลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัวที่มาจากผู้อาวุโสจั่ว
เมื่อผู้อาวุโสจั่วเห็นฉากนี้ก็ตะลึงก่อนที่ใบหน้าจะเปลี่ยนไปอย่างมาก
“นี่…นี่คือกองทัพ?!”
ผู้อาวุโสจั่วมองไปที่นักรบหุ้มเกราะหนักในโถงด้วยความตกใจก่อนที่จะอุทานอย่างหวาดกลัว
นี่เป็นกองทัพชั้นสูงแท้จริง เมื่อพิจารณาจากรัศมีจั้นยี่น่าสะพรึงกลัวที่มาจากพวกเขาก็สามารถเทียบเคียงได้กับระดับตี้จื้อจุน!
“จะ…เจ้าครอบครองกองทัพชั้นยอดเช่นนี้ได้อย่างไร?!” ผู้อาวุโสจั่วคำรามด้วยความไม่เชื่อ กองทัพชั้นยอดเช่นนี้หาได้ยากแม้แต่ในทวีปเทียนหลัว กระทั่งตำหนักเทพปีศาจก็ไม่มีใครครอบครอง ดังนั้นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มแบบนี้จะมีได้อย่างไร?
มู่เฉินยืนอยู่ด้านหลังกองทัพสังหารวิญญาณสัมผัสได้ถึงรัศมีจั้นยี่ที่ยิ่งใหญ่และน่ากลัว หมัดของเขาสั่นเทิ้มด้วยความตื่นเต้น เขาโหยหาพลังนี้มานานแค่ไหนแล้ว?
แต่ตอนนี้ในที่สุดเขาก็ได้ครอบครอง!
“ทำไม? แปลกใจมากเหรอ” มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองผู้อาวุโสจั่วที่ไม่สงบนิ่งเหมือนก่อนหน้าพร้อมคลี่รอยยิ้มเย้ยหยัน
ใบหน้าของผู้อาวุโสจั่วเปลี่ยนไปจากนั้นครู่หนึ่งก็เยาะเย้ย “ช่างเป็นโอกาสที่ดีที่เด็กอย่างแกได้รับกองทัพชั้นยอดเช่นนี้ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมถึงกล้ามาก แต่แกก็โง่พอที่จะคิดว่าสามารถปลดปล่อยพลังที่รับมาแบบเต็มที่ได้เหรอ?”
แม้แต่กองทัพที่ทรงพลังก็ยังต้องการจั้นเจิ้นซือที่ทรงพลังเช่นเดียวกัน เมื่อทั้งสองจับคู่กันพลังที่แท้จริงถึงจะถูกปลดปล่อยออกมาได้
กองทัพชั้นยอดเบื้องหน้านี้ ถ้าต้องการควบคุมก็ต้องเป็นไป่วั่นเหวินจั้นเจิ้นซือถึงจะสามารถทำได้
จั้นเจิ้นซือระดับนั้นมีน้อยนิดในทวีปเทียนหลัว เจ้าเด็กนั่นไม่ใช่หนึ่งในนั้นแน่นอน
“งั้นเหรอ?”
ทว่าเผชิญกับข้อกังขาของผู้อาวุโสจั่ว มู่เฉินก็ยิ้มอ่อนก่อนที่จะยกมือขึ้นช้าๆ
เมื่อมองไปที่รอยยิ้มนั่น ผู้อาวุโสจั่วก็หดดวงตาด้วยความไม่สบายใจในส่วนลึกของหัวใจ
ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างสมบูรณ์ในอึดใจต่อมา
นั่นเป็นเพราะเขาเห็นว่าเมื่อมู่เฉินค่อยๆ ยกมือขึ้น นักรบที่น่าสะพรึงก็กระแทกง้าวในมือลงบนพื้นอย่างหนักหน่วง รัศมีจั้นยี่สีแดงเข้มรวมตัวเป็นเมฆสีแดงเข้มเหนือกองทัพ
ผู้อาวุโสจั่วตัวสั่นจากหัวจรดเท้าขณะที่ความหวาดผวาและความไม่เชื่อปกคลุมใบหน้า
นั่นเป็นเพราะตอนนี้ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้แล้วว่าเจ้าเด็กคนนี้สามารถบัญชาการกองทัพที่น่ากลัวได้จริงๆ!
นี่…เป็น-ไป-ได้-ยังไง?!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น