หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1163-1164
บทที่ 1163 ลวดลายจั้นเหวิน
ในโถงโบราณ
มู่เฉินเดินเข้าไปขณะเดินผ่านค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร มังกรทั้งเก้าก็สลายหายไปอย่างเงียบๆ โดยไม่มีสิ่งกวาดขวางใดต่อมู่เฉิน
ไม่กี่นาทีมู่เฉินก็มาถึงหน้าบัลลังก์ แต่เมื่อเขากำลังจะก้าวย่างขึ้นไป เขาก็มองเห็นประกายแสงแล่นแปลบปลาบบนร่างนักรบสังหารวิญญาณที่ฟื้นฟูพลัง เหล่านักรบก้าวออกมาข้างหน้า ทำให้โถงใหญ่สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น แรงกดดันรุนแรงกวาดผ่านตรงมาที่มู่เฉิน
เมื่อรู้สึกถึงแรงกดดัน สีหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นก็ก้าวถอยจากบันได เวลานั้นแรงกดดันก็หายไป กองทัพสังหารวิญญาณก็ก้าวกลับไป
“ต่อให้จะไม่มีสติปัญญาหลงเหลือ แต่ปณิธานปกป้องจอมพลสองก็ยังคงอยู่เรอะ?” สายตาของมู่เฉินวูบไหวเล็กน้อย ก่อนหน้านี้กองทัพสังหารวิญญาณสูญเสียพลังจึงไม่ได้ขัดขวางซูชิงหยิง แต่ตอนนี้พวกเขาฟื้นคืนพลัง ก็ปกป้องจอมพลสองตามสัญชาตญาณ
ถ้าเมื่อสักครู่เป็นสถานการณ์นี้ ซูชิงหยิงคงต้องทนทุกข์จากการโจมตีของนักรบสังหารวิญญาณสองพันนายแน่!
“ช่างเป็นผู้หญิงที่โชคดี” มู่เฉินถอนหายใจ จากนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
ตู้ม!
เกลียวแสงควบรวมกันในดวงตาของนักรบสังหารวิญญาณ แรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวกวาดออก ครั้งนี้มีรัศมีโลหิตจางๆ พรั่งพรูออกมาจากร่างกายพวกเขาพร้อมกับพลังแรงกล้าควบแน่นอยู่เหนือศีรษะพวกเขา
นั่นคือพลังของรัศมีจั้นยี่!
ทว่าขณะที่รัศมีจั้นยี่ที่สามารถเทียบเคียงระดับจื้อจุนกำลังรวมตัว มู่เฉินก็ยกป้ายขึ้นทันที
ป้ายกองทัพโบราณมีรอยกระดำกระด่างวางอยู่ในมือมู่เฉินอย่างเงียบๆ ตอนนี้มันราวกับถูกกระตุ้น ป้ายลอยคว้างพร้อมกับเสียงแตรโบราณดังขึ้นจากมัน
เสียงนั้นประหนึ่งผ่านมาจากยุคโบราณ
เมื่อเสียงแตรดังขึ้น นักรบสังหารวิญญาณทั้งสองพันนายที่กำลังจะเริ่มโจมตีก็ตัวแข็งค้าง รัศมีจั้นยี่เหนือศีรษะพวกเขาสลายหายไป จากนั้นพวกเขาก็ก้าวไปข้างหน้าคุกเข่าข้างหนึ่งทำความเคารพมู่เฉินที่อยู่เบื้องหน้าอย่างพร้อมเพรียง
เนื่องจากได้กลายเป็นนักรบผีดิบ พวกเขาจึงไม่มีสติปัญญาและไม่สามารถเปล่งเสียงใดได้ แต่ขณะนั้นเมื่อพวกเขาคุกเข่า มิติโดยรอบก็โยกคลอน
มู่เฉินมองไปที่ภาพนี้ก็ฉีกปากยิ้ม
ดูเหมือนว่าแม้จะผ่านไปนับหมื่นปี กองทัพที่เคยทรงพลังแข็งแกร่งก็กลายเป็นกองทัพผีดิบ แต่ป้ายนี้ก็ยังใช้งานได้!
ทว่าความสุขก็อยู่ได้ไม่นาน เขาถอนอารมณ์อย่างรวดเร็ว เนื่องจากเขารู้ดีว่าด้วยป้ายที่ได้รับทำให้สามารถบังคับบัญชากองทัพสังหารวิญญาณเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถเร้าพลังของกองทัพออกมาได้
หากเขาไม่สามารถปลดปล่อยพลังเต็มรูปแบบของกองทัพสังหารวิญญาณได้ นั่นก็ไร้ประโยชน์แม้ว่าจะได้รับมาแล้วก็ตาม
สายตาของมู่เฉินวูบไหว จากนั้นก็ก้าวขึ้นบันไดเดินไปที่ข้างบัลลังก์พลางมองลงไปที่กองทัพสังหารวิญญาณก่อนที่จะนั่งลงขัดสมาธิ
เป็นเวลานานมากแล้วที่เขาไม่ได้บัญชากองทัพ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าความสำเร็จในฐานะจั้นเจิ้นซือจะหยุดลง ในความเป็นจริงเมื่อพลังของเขาเพิ่มขึ้นก็ทำให้เกิดความเข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้นต่อศาสตร์รัศมีจั้นยี่
ทว่าแค่ไม่ได้มีโอกาสเหมาะสมในการเปิดเผยเท่านั้น
แต่ตอนนี้ถึงเวลาทดสอบความสำเร็จในฐานะจั้นเจิ้นซือหลังจากผ่านมาหนึ่งปีแล้ว
มู่เฉินค่อยๆ หลับตาลง อึดใจก็เปิดดวงตาขึ้น แต่คราวนี้ดวงตาของเขาแวววาวด้วยความผันผวนแปลกประหลาดและทรงพลังกวาดออกไป
ความผันผวนไม่ได้มีอันตรายใดๆ แต่เมื่อปรากฏขึ้นกองทัพสังหารวิญญาณที่คุกเข่าก็กระตุ้นพลังพร้อมกับประกายสีแดงเข้มกะพริบในดวงตาพวกเขา แสงโลหิตควบแน่นเหนือศีรษะกลายเป็นเมฆสีแดงเข้มกระจายไปทั่วห้องโถง
ความผันผวนน่ากลัวที่แผ่ซ่านมาจากเมฆสีแดงเข้มทำให้หัวใจของมู่เฉินเย็นเยือก เมฆสีแดงเข้มนี้ก็คือรัศมีจั้นยี่ของกองทัพสังหารวิญญาณ พลังนิยามได้ด้วยคำว่าน่ากลัวแท้จริง
นี่เป็นรัศมีจั้นยี่ทรงพลังที่สุดที่มู่เฉินเคยเห็นในหมู่นักรบในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ยังอยู่ภายใต้สถานะที่จำนวนไม่เต็ม ดังนั้นจึงยากที่จะจินตนาการได้ว่ากองทัพสังหารวิญญาณทรงพลังเพียงใดเมื่ออยู่ในสภาพพร้อมรบ
ทว่ามู่เฉินก็ไม่ได้ถอยหนี ตรงกันข้ามดวงตากลับลุกโชนด้วยความกระหาย จั้นเจิ้นซือทุกคนไม่ยอมแพ้ต่อกองทัพชั้นยอดเช่นนี้ง่ายๆ หรอก
นี่เป็นสิ่งที่คล้ายกับพ่อครัวที่เห็นส่วนผสมชั้นดีที่สุด ช่างฝีมือมองเห็นวัตถุดิบที่เลิศที่สุด ก็เหมือนกันกับจั้นเจิ้นซือ ต้องมีกองทัพชั้นยอดในมือพวกเขาเท่านั้น ถึงจะสามารถแสดงศักยภาพที่แท้จริงของพวกเขาได้
หากไม่มีกองทัพ จั้นเจิ้นซือก็เป็นได้แค่ตัวตลก
มู่เฉินหายใจเข้าลึกเพื่อระงับอารมณ์ มือข้างหนึ่งวาดสร้างตราประทับ ความผันผวนแปลกประหลาดพัดออกมาจากร่างกาย มิติบิดเบี้ยวกลายเป็นลวดลายนับไม่ถ้วนบินออกไป
มองจากระยะไกลก็ดูคล้ายกับเกล็ดมังกรเป็นชั้นๆ
มู่เฉินจ้องมองไปที่ลวดลายเหล่านั้นอย่างใกล้ชิด นี่ก็คือลวดลายจั้นเหวิน แม้ว่าจะไม่ได้บัญชารัศมีจั้นยี่ มู่เฉินก็สามารถคาดเดาจำนวนลวดลายจั้นเหวินที่เขาสามารถสร้างได้ในตอนนี้
หนึ่งปีก่อนมู่เฉินเป็นวั่นเหวินจั้นเจิ้นซือธรรมดา แต่ตอนนี้เขาก้าวหน้าออกไปไกลแล้ว
ลวดลายกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจก็มีถึงแสนลาย
สือวั่นเหวินจั้นเจิ้นซือเทียบได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า
แต่ถึงอย่างนั้นมู่เฉินก็ยังคงมีสายตาสงบ สือวั่นเหวินจั้นเจินซือที่เคยอยู่ไกลเกินเอื้อมเมื่อในอดีต ตอนนี้ไม่อยู่ในครรลองสายตาของเขาแล้ว
นอกจากนี้หากเขาสามารถสร้างลวดลายจั้นเหวินได้เพียงแสนลาย ก็ไม่จำเป็นต้องพยายามบัญชากองทัพสังหารวิญญาณนี้ให้เมื่อย เพราะยังไงก็เป็นไปไม่ได้
ตามการคาดการณ์ของมู่เฉินจะต้องเป็นไป่วั่นเหวินจั้นเจิ้นซือถึงสามารถควบคุมกองทัพดังกล่าว แม้ว่ากองทัพสังหารวิญญาณจะจำนวนลดลงอย่างมาก แต่อย่างน้อยก็ต้องการลวดลายจั้นเหวินหกถึงเจ็ดแสนลาย
“ลวดลายจั้นเหวินหกถึงเจ็ดแสนลายเรอะ” มู่เฉินพึมพำ อึดใจสายตาก็เป็นประกายมากยิ่งขึ้น คลื่นจิตพวยพุ่งออกมาจากกลางหว่างคิ้วราวกับภูเขาไฟกำลังปะทุ
ลวดลายจั้นเหวินปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าก่อนจะกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว
ในช่วงสิบกว่าลมหายใจลวดลายบนท้องฟ้าก็เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนสี่แสนลายที่น่าสะพรึงกลัว
ทว่ามู่เฉินก็ยังขมวดคิ้ว เพราะนี่ยังไม่เพียงพอ
“มากกว่านี้!”
มู่เฉินคำรามในใจ กระแสธารคลุมเครือปรากฏขึ้นที่กึ่งกลางคิ้วขณะที่คลื่นจิตทั้งหมดในร่างกายถูกดึงออกมาอย่างสมบูรณ์
จำนวนลวดลายจั้นเหวินเพิ่มขึ้น
สี่แสนสาม… สี่แสนหก… ห้าแสน… ห้าแสนสี่…
เมื่อถึงห้าแสนหกใบหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนเป็นขาวซีดเล็กน้อยพร้อมกับความเจ็บปวดที่หัวแทบระเบิด
นี่เป็นสัญญาณของขีดจำกัด
“ต้องมากกว่านี้!”
ทว่ามู่เฉินก็ไม่ยอมแพ้ เขากัดฟันแน่นอดทนต่อความเจ็บปวดรุนแรงพร้อมกับความรู้สึกวิงเวียนที่ขมขื่น
แสงระยิบระยับหมุนคว้างอยู่ในดวงตาอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้นลวดลายจั้นเหวินที่หยุดจำนวนลงก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกครั้ง
ห้าแสนแปด… ห้าแสนเก้า… หกแสน…!
เมื่อจำนวนลวดลายจั้นเหวินมาถึงหกแสน มู่เฉินก็รู้สึกหัวหมุนไปหมด ในหูก็มีแต่เสียงหึ่งๆ ทว่าเขาไม่อาจสนใจเรื่องเหล่านี้ เขาหายใจเข้าลึกลวดลายจั้นเหวินหกแสนลายกลายเป็นกระแสน้ำพัดเข้าสู่เมฆสีแดงเข้มของกองทัพสังหารวิญญาณ
หลังจากมีประสบการณ์แรงกระทบจากรัศมีจั้นยี่จากกองทัพสังหารวิญญาณแล้ว เขาถึงจะได้รับการยอมรับและปลดปล่อยพลังรัศมีจั้นยี่ได้อย่างแท้จริง
ตู้ม!
เมื่อคลื่นจิตของมู่เฉินพุ่งเข้าไปในเมฆสีแดงเข้ม เขาก็รู้สึกได้ทันทีว่าทิวทัศน์รอบตัวเปลี่ยนไป นี่เป็นเหมือนสนามรบโบราณที่มีไฟสงครามลุกลามไปทุกหัวระแหง
ขณะที่เขากำลังตกตะลึงกับฉากที่เปลี่ยนแปลงเบื้องหน้า ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ถึงความผันผวนน่ากลัวของคลื่นหลิงผ่านมา
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นหนังหัวก็ระเบิดทันที ตอนนี้บนท้องฟ้าถูกล้อมด้วยกองทัพนับพันรอบตัวพร้อมกับชุดเกราะหนักที่มีรัศมีแดงเข้ม
รัศมีจั้นยี่สีแดงเข้มไร้ขอบเขตกวาดออกไปทำให้มิติสั่นไหวภายใต้แรงกดดันรุนแรง
มู่เฉินมองไปที่กองทัพน่ากลัวก็หดดวงตา นั่นเป็นเพราะเขาตระหนักว่ากองทัพนี้เป็นกองทัพสังหารวิญญาณที่อยู่ในสถานะสูงสุด
นอกจากนี้มู่เฉินยังต้องตกใจเมื่อพบว่ารูปลักษณ์ของเขาเปลี่ยนไป ไม่ใช่ภาพเงาที่ดูอ่อนเยาว์อีกต่อไป แต่เป็นชายชราที่มีพลังน่าสะพรึงกลัวในร่าง
ระดับนี้ไปถึงระดับตี้จื้อจุนแล้วแน่นอน!
มู่เฉินอึ้งไป จากนั้นก็เข้าใจทันทีว่าจอมยุทธ์ผู้นี้จะต้องเป็นหนึ่งในคนที่กองทัพสังหารวิญญาณเคยสังหาร!
ตู้ม!
ขณะที่มู่เฉินกำลังครุ่นคิด กองทัพสังหารวิญญาณที่อยู่รอบตัวก็เริ่มการโจมตีพร้อมกับแสงสีแดงเข้มครอบงำ การทำลายล้างกดขี่และกลืนกิน
เมื่อรู้สึกถึงการโจมตีที่น่ากลัวหนังหัวของมู่เฉินก็สั่นระริกไปหมด
บทที่ 1164 พิชิตกองทัพสังหารวิญญาณ
ตู้ม ตู้ม!
รัศมีจั้นยี่ที่ไม่อาจบรรยายได้กวาดออกไป พร้อมกับเกลียวแสงสีเข้มหลายล้าน พลังที่มีอยู่ในแต่ละเส้นแสงทำให้หัวใจมู่เฉินสั่นสะท้าน หากเขาอยู่ที่นั่น เขาจะต้องถูกทำลายล้างจนถึงจุดแตกดับไม่เหลือซากแน่
นี่คือพลังของกองทัพสังหารวิญญาณในจุดสูงสุดเรอะ
ปัง!
มิติแตกเป็นเสี่ยงๆ ท่ามกลางความตกตะลึง รัศมีจั้นยี่สีแดงก็กวาดไป ชนเข้ากับ ‘เขา’
ในช่วงเวลาของแรงกระทบ ความเจ็บปวดที่รุนแรงก็พุ่งขึ้นมาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ มู่เฉินร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด การโจมตีที่น่ากลัวทำให้เขารู้สึกว่ากำลังจะถูกทำลายอย่างแท้จริง
ตู้ม! ครืน!
ขอบฟ้าหลายแสนจั้งพังทลายลงพร้อมกับรอยแตกนับไม่ถ้วนกระจายออกไป จากนั้นมู่เฉินก็มองเห็นร่างสูงวัยแตกสลายภายใต้การโจมตีนี้
นี่คือจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนที่สิ้นชีพภายใต้การทำลายล้างของกองทัพสังหารวิญญาณ!
ความมืดโปรยเบื้องหน้าสายตา คลื่นจิตของมู่เฉินได้รับความเจ็บปวดรุนแรงจนเกือบทำให้เขาบ้าคลั่ง
ทว่าขณะที่มู่เฉินจะล้มลง ความเจ็บปวดก็หายไป จากนั้นเขาก็พบว่าสภาพแวดล้อมรอบตัวเปลี่ยนไปอีกครั้ง
ทว่าเขายังคงถูกล้อมรอบด้วยนักรบในชุดเกราะหนัก แต่ร่างกายเปลี่ยนเป็นชายวัยกลางคน
ทว่าชายวัยกลางคนก็ยังมีพลังงานที่ทรงประสิทธิภาพและเห็นได้ชัดว่าเป็นจอมยุท์ขุมพลังตี้จื้อจุนด้วย
เมื่อมองที่ฉากนี้มู่เฉินก็อึ้งไป ภาพลวงตาเหล่านี้อาจเป็นเหล่าจอมยุท์ขุมพลังตี้จื้อจุนที่ถูกล้างบางโดยกองทัพสังหารวิญญาณ… หรือว่าเขาจะต้องประสบกับการล้มลงของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทั้งหมด?
มู่เฉินยิ้มขมขื่น ความเจ็บปวดรุนแรงเป็นสิ่งที่ยากจะลืมเลือนสำหรับเขา ถ้าเขาไม่แน่วแน่พอครั้งเดียวก็ทำให้เป็นบ้าไปแล้ว
แต่มู่เฉินสามารถรู้สึกได้ว่าหลังจากผ่านการถูกทำลายไปครั้งแล้วครั้งเล่า ร่องรอยของความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคลื่นจิตของนักรบสังหารวิญญาณก็ดียิ่งขึ้น
ดังนั้นนี่น่าจะเป็นการทดสอบของกองทัพสังหารวิญญาณ ตราบเท่าที่เขาสามารถทนได้ก็จะสามารถบัญชาพวกเขาได้ด้วยความช่วยเหลือของป้ายกองทัพ
“งั้นก็…เข้ามาเลย!”
มู่เฉินกัดฟันแน่นคลายร่างที่ตึงเกร็งตัวเอง ขณะนี้การป้องกันใดๆ ไร้ผล เมื่อเป็นเช่นนั้นให้เขาได้สัมผัสกับการทำลายล้างของรัศมีจั้นยี่กองทัพสังหารวิญญาณแบบเต็มๆ เลย!
ตู้ม!
แสงสีแดงเข้มรวมตัวกันเป็นดวงอาทิตย์สีแดงเข้มส่องลงมากระทบร่าง “มู่เฉิน”
ความเจ็บปวดรุนแรงเกาะกินจิตใจของมู่เฉินอีกครั้ง
ตู้ม! ตู้ม!
ช่วงเวลาต่อมามู่เฉินก็เผชิญกับ ‘ความตาย’ อย่างต่อเนื่อง จนสุดท้ายความเจ็บปวดก็ไหลเข้าสู่ส่วนลึกของกระดูกจนรู้สึกด้านชาไปหมด
เขาได้รับประสบการณ์ ‘ตาย’ ถึงแปดครั้ง
นั่นหมายความว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนแปดคนถูกทำลายโดยกองทัพสังหารวิญญาณ
สิ่งนี้ทำให้มู่เฉินตกตะลึงในใจ เนื่องจากเขารู้ว่ายากแค่ไหนที่จะฆ่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน แม้ว่าการดำรงอยู่แบบนั้นจะสู้กับกองทัพชั้นยอดไม่ได้ แต่พวกเขาก็ควรมีหนทางที่จะหนีรอดได้
แต่ไม่มีผู้ใดในทั้งแปดคนที่สามารถหลบหนีได้ ทั้งหมดจบชีวิตลง
ดังนั้นเห็นได้ว่ากองทัพสังหารวิญญาณน่ากลัวเพียงใด
มู่เฉินถอนหายใจในใจ เขารู้สึกโล่งใจที่พบว่าหลังจากผ่านการทำลายไปแปดครั้งมิติก็เริ่มแตกสลาย
คลื่นจิตของมู่เฉินก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
อ็อก!
ในห้องโถงดวงตาที่ปิดสนิทของมู่เฉินก็เปิดขึ้นทันที จากนั้นก็กระอักเลือดออกมาจากปากพร้อมกับเส้นเลือดกระตุกบนหน้าผาก ทำให้เขาดูดุร้ายขึ้น
เมื่อคลื่นจิตกลับมาแล้ว ความเจ็บปวดรุนแรงก็ตกลงบนร่างเขาเช่นกัน
ฮา ฮา!
มู่เฉินหายใจถี่ขึ้น พักใหญ่กำปั้นที่กำแน่นของก็ค่อยๆ คลายออก เขาเช็ดหน้าผากด้วยมือที่สั่นเทาและยิ้มอย่างขมขื่น
‘การตาย’ ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวแท้จริง แต่สิ่งนี้เองที่ทำให้เขารู้สึกได้ว่ารัศมีจั้นยี่ของกองทัพสังหารวิญญาณว่าน่ากลัวและรุนแรงเพียงใด
พวกเขาสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนได้ถึงแปดคน!
หากพวกเขาอยู่ในทวีปเทียนหลัวตอนนี้ ขั้วอำนาจชั้นยอดใดๆ ก็จะต้องหวั่นเกรง
แต่สิ่งที่ทำให้มู่เฉินดีใจคือความจริงที่ในที่สุดตัวเขาก็อดทนต่อการตายซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้ ตอนนี้เขาสามารถสัมผัสได้อย่างคลุมเครือถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับกองทัพสังหารวิญญาณ
นอกจากนี้มือของมู่เฉินซึ่งกำลังเช็ดหน้าผากก็หยุดชั่วคราว ขณะที่ความไม่เชื่อฉายในดวงตา
นั่นเป็นเพราะในขณะนี้เขาตระหนักว่าคลื่นจิตแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
ดวงตาของมู่เฉินแววาวด้วยแสงแปลกประหลาด คลื่นจิตก่อตัวเป็นลวดลายจั้นเหวินจำนวนถึงเจ็ดแสนห้าหมื่นลาย!
ลวดลายจั้นเหวินเจ็ดแสนห้าหมื่นลาย?!
มู่เฉินอ้าปากค้างเล็กน้อย สิบกว่านาทีสั้นๆ ทำไมถึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับเขาขนาดนี้เชียว?
“เป็นเพราะรัศมีจั้นยี่กองทัพสังหารวิญญาณ?!”
มู่เฉินเข้าใจอย่างรวดเร็วว่าอะไรเป็นสาเหตุ นี่จะต้องมาจากตอนที่เขาอดทนต่อรัศมีจั้นยี่ แม้จะทำให้เขาเจ็บปวดหนักหนาสาหัส แต่ก็ได้รับประโยชน์ที่ไม่อาจจินตนาการได้ในเวลาเดียวกัน
เพิ่มขึ้นถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นลาย!
ถ้าเขาฝึกฝนอาจจะต้องใช้เวลาเกือบครึ่งปีและนั่นเป็นพรสวรรค์เขาดีเยี่ยมด้วย แต่ตอนนี้กลับเพิ่มขึ้นในเวลาเพียงสิบกว่านาที
หัวใจของมู่เฉินเต้นรัวด้วยความสุขขณะที่คลี่ยิ้ม ด้วยคลื่นจิตและความช่วยเหลือของป้าย กองทัพสังหารวิญญาณนี้จะสามารถเปล่งประกายในมือของเขา
เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้หัวใจของเขาก็เต้นแรงด้วยความตื่นเต้น ด้วยกองทัพนี้แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ในระดับตี้จื้อจุน แต่ก็สามารถต่อกรกับระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นได้
เผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น!
มู่เฉินเม้มริมฝีปาก แม้แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยอารมณ์พลุ่งพล่านในใจ ในอดีตจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนเป็นบุคคลที่สูงส่งในสายตาของเขา
เขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อบรรลุเป้าหมายนี้
แต่ตอนนี้…ในที่สุดเขาก็ได้ครอบครองพลังของขอบเขตนี้แล้ว!
แม้ว่าเขาจะยังต้องยืมพลังกองทัพสังหารวิญญาณ แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าจั้นเจิ้นซือเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพและความแข็งแกร่งก็สามารถปลดปล่อยออกมาได้ก็ต่อเมื่อทั้งสองฝ่ายรวมกันแบบไม่ขาดไม่เกินในสมการ
มู่เฉินลุกขึ้นยืนมองไปที่นักรบหุ้มเกราะหนัก เขายกป้ายขึ้น แสงกะพริบวูบไหวตั้งใจที่จะนำกองทัพสังหารวิญญาณออกไปพร้อมกับตนเอง
มีมิติเล็กๆ ในป้ายนี้มีที่สามารถใช้เก็บกองทัพสังหารวิญญาณได้ ทว่าข้อกำหนดก็คือต้องให้พวกเขาตายและไม่มีชีวิต
ป้ายเริ่มดูดกองทัพสังหารวิญญาณ ทว่าขณะกำลังเรียกเข้ามามู่เฉินก็รู้สึกถึงแรงต่อต้านเล็กน้อย
“หืม?”
มู่เฉินอึ้งไป การต่อต้านน่าจะถูกทิ้งไว้ตามเจตจำนงของพวกเขา กองทัพสังหารวิญญาณดูเหมือนจะไม่เต็มใจที่จะจากไป เพราะต้องการที่จะปกป้องสถานที่แห่งนี้แม้จะตายไปแล้ว
มู่เฉินรู้สึกประหลาดใจก่อนที่จะขมวดคิ้ว หากเขาไม่สามารถนำกองทัพสังหารวิญญาณออกไปได้ เขาก็จะกลับไปมือเปล่าในการเดินทางครั้งนี้
ชัดว่าเขาไม่ยอมปล่อยให้สิ่งนี้เกิดขึ้นได้
“เจตจำนงรึ”
มู่เฉินพึมพำพลางครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันไปหาจอมพลสอง เขาเข้ามาหาจอมพลสองและโค้งคำนับด้วยมารยาทสูงสุด
“ท่านผู้อาวุโส ความเกรียงไกรของกองทัพสังหารวิญญาณไม่ควรถูกฝังไว้ที่นี่ ข้ายินดีที่จะนำพาพวกเขาออกไปห้ำหั่นกับจักรวรรดิปีศาจในอนาคต ดังนั้น…ข้าหวังว่าผู้อาวุโสจะสามารถเติมเต็มความปรารถนาของข้าได้!”
เสียงของมู่เฉินดังก้องในโถง
เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่จอมพลสอง วินาทีนั้นเขาเหมือนสังเกตเห็นร่างสง่างามพยักหน้าเบาๆ
คล้ายจะเป็นภาพลวงตา แต่ก็คล้ายไม่ได้เป็นเช่นนั้น เมื่อพูดในจุดหนึ่งนี่น่าจะเป็นปณิธานที่เหลือที่จอมพลสองทิ้งไว้
ตู้ม!
นักรบสังหารวิญญาณทั้งหมดคุกเข่าลงตามที่สัญชาตญาณ แต่คราวนี้พวกเขาคุกเข่าต่อหน้าจอมพลสองไม่ใช่ป้ายกองทัพที่ใช้บัญชาการ
มู่เฉินรู้สึกได้ว่าในขณะนี้เจตจำนงที่ห่อหุ้มกองทัพสังหารวิญญาณกำลังจางหายไป ซึ่งทำให้เขารู้สึกโล่งใจ อันที่จริงถ้าเขาต้องการนำกองทัพสังหารวิญญาณออกไป ไม่เพียงแต่เขาต้องมีป้ายใช้บัญชาการ เขายังต้องได้รับการยอมรับจากจอมพลสองด้วย
มู่เฉินโค้งคำนับอีกครั้ง แสงพร่างพราวก็เอิบอาบออกมาจากป้ายในมือ ทันใดนั้นนักรบสังหารวิญญาณทั้งสองพันนายก็กลายเป็นริ้วแสงทะยานเข้าไปสถิตภายในป้าย
เมื่อแสงริ้วสุดท้ายเข้าสู่ป้ายเรียบร้อย มู่เฉินก็เก็บไว้อย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ไม่ลังเลหันหลังกลับออกไป
ในเมื่อได้กองทัพสังหารวิญญาณมาแล้ว ก็ถึงเวลาต้องไปนำร่างหลักของมั่นถัวหลัวออกมาแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น