หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1149-1162
บทที่ 1149 พลังอำนาจหมัดปีศาจ
ตู้ม ตู้ม ตู้ม!
รัศมีสังหารไร้ขอบเขตพวยพุ่งจากร่างมู่เฉินในรูปแบบควัน ย้อมน้ำในทะเลสาบสวรรค์เป็นสีแดงเลือดอย่างรวดเร็ว ทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นสมรภูมิที่โหดร้าย
เมื่อผู้ชมเห็นสิ่งนี้ใบหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างควบคุมไม่ได้ เนื่องจากพวกเขารู้สึกถึงเลือดเดือดพล่าน เจตนาฆ่าที่เพิ่มขึ้นในหัวใจ ทำให้พวกเขาสูญเสียการควบคุมเล็กน้อย
“ไอสังหารกดขี่อะไรอย่างนี้!”
เมื่อสัมผัสได้หัวใจทุกคนก็สั่นสะท้าน ก่อนที่จะถอยกันจ้าละหวั่น เพราะกลัวว่าจะถูกปนเปื้อนจากเจตนาฆ่าและสูญเสียสติไป
“มู่เฉินฝึกวิชาอะไรกัน? ทำไมไอสังหารถึงน่ากลัวขนาดนี้?!” ผู้คนมองมู่เฉินด้วยความหวาดผวาในดวงตา
“นั่นวิทยายุทธะดับเสินทง!”
มีผู้ชมดวงตาเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ จากนั้นก็อดอุทานออกมาไม่ได้ มีเพียงวิทยายุทธระดับเสินทงแท้จริงเท่านั้นที่จะมีพลังซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้คน
“เขาสามารถฝึกฝนวิทยายุทธระดับเสินทงได้รึ?” มีคนรู้สึกว่านี่ช่างไม่น่าเชื่อ แม้ว่าวิทยายุทธระดับเสินทงจะทรงพลัง แต่ทุกคนก็รู้ดีว่ามีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนเท่านั้นที่สามารถฝึกฝนได้ ต่อให้จอมยุทธ์ธรรมดาจะได้รับไป ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฝึกฝน ดังนั้นเมื่อพวกเขาเห็นมู่เฉินใช้กระบวนท่าระดับเสินทงแบบนี้ หัวใจพวกเขาก็สั่นสะท้านด้วยความตกใจ
อันที่จริงไม่ใช่แค่ผู้ชมที่ตกใจ แม้แต่เซี่ยหยู่ก็อดมีสีหน้าเปลี่ยนไปไม่ได้เมื่อสัมผัสได้ถึงไอสังหาร สายตาที่มองไปทางมู่เฉินก็ปรากฏร่องรอยความกลัวเป็นครั้งแรก
แคว้นเซี่ยเองก็มีวิทยายุทธระดับเสินทง เขาจึงมีความรู้บางอย่างเกี่ยวกับวิชาเหล่านี้ ดังนั้นเขารู้ว่ายากเพียงใดที่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าจะปล่อยกระบวนท่าได้สำเร็จ
แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่เคยสำเร็จในการปล่อยกระบวนท่าเลย
“มู่เฉินมีความสามารถแท้จริง วันนี้ต้องฆ่ามันให้ได้!” เซี่ยหยู่กัดฟันพร้อมกับไอเย็นเยือกในดวงตา จิตสังหารพวยพุ่งขึ้นในใจ ความสามารถและศักยภาพที่มู่เฉินแสดงออกมาทำให้เซี่ยหยู่ตกใจกลัว ในเมื่อตอนนี้มู่เฉินก็เป็นศัตรูตัวฉกาจของแคว้นเซี่ยอยู่แล้ว ดังนั้นเขาต้องฆ่ามู่เฉินเท่านั้น เพื่อไม่ให้ได้เติบโตจนนำไปสู่หายนะ!
“ขอข้าดูหน่อยว่าวิทยายุทธระดับเสินทงของแกที่ฝืนใช้จะแน่แค่ไหน!”
เซี่ยหยู่คำราม เวลานี้เขาปิดผนึกร่างเทห์สวรรค์ของมู่เฉินซึ่งทำให้อีกฝ่ายอยู่ในสภาพอ่อนแอที่สุด ต่อให้จะฝืนปล่อยกระบวนท่าได้ แต่พลังก็น่าจะมีจำกัด กลับกันตัวเขามีร่างราชันฟากฟ้าขยายความแข็งแกร่งซึ่งเพียงพอที่จะปราบปรามมู่เฉิน
คิดถึงจุดนี้ หมัดราชันก็เล็งไปที่มู่เฉินปลดปล่อยรังสีนับไม่ถ้วน ความผันผวนของการทำลายล้างกระจายออกไปอย่างต่อเนื่อง
เส้นเลือดคืบคลานขึ้นในนัยน์ตาของมู่เฉิน เขาจ้องมองหมัดราชันที่ปกคลุมตัวเขาเอาไว้ แววตาไม่มีความรู้สึกใดๆ เพราะในขณะนี้เขาได้กำจายรัศมีการเสียสละตนเองอยู่รอบตัว
ไม่ต้องพูดถึงเซี่ยหยู่ ต่อให้ที่ยืนตรงหน้าเป็นจอมยุทธ์เทียนจื้อจุน มู่เฉินก็ไม่ลังเลที่จะเสี่ยงชีวิต
หากหมัดปีศาจสละชีพไม่ได้ครอบครองรัศมีการเสียสละตัวเองใดๆ ก็จะเป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยกระบวนท่าออกมาและไม่สามารถปลดปล่อยพลังได้ ดังนั้นเมื่อมู่เฉินดำเนินการสำเร็จ เขาก็พร้อมที่จะสละชีวิตของตนเองแล้ว
ในเมื่อเขาไม่มีความกลัวกับความเป็นตายแล้วมีอะไรต้องกลัวระหว่างฟ้าดิน?
ดังนั้นภายใต้การเคลื่อนไหวที่ไม่เกรงกลัวนี้ มู่เฉินก็ค่อยๆ ชกหมัดออกไป ซึ่งในวินาทีนั้นฟ้าดินในดวงตาเขาก็ได้เงียบงันลง
ริ้วไอสีดำห่อหุ้มหมัดเขา นอกเหนือจากนั้นก็ไม่ได้ดูผิดปกติอะไร เมื่อพิจารณาจากการเคลื่อนไหวหมัดราชันของเซี่ยหยู่ดูแข็งแกร่งกว่าหลายเท่าอย่างชัดเจน
ทว่ามู่เฉินดูราวกับว่าไม่ได้สังเกตเห็น เขาเหยียดหมัดออกอย่างใจเย็นปะทะกับหมัดราชันที่ซัดลงมา
หมัดราชันมีขนาดประมาณหนึ่งพันจั้งห่อหุ้มด้วยแสงหลิง ซึ่งยังมีใบหน้าทรงเกียรติของราชัน สามารถข่มขู่จอมยุทธ์ธรรมดา จนถึงจุดที่พวกเขาสูญเสียจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้
เมื่อเทียบสองหมัดนี้ หมัดของมู่เฉินมีขนาดเล็กจิ๋วยิ่งนัก
ทว่าจังหวะปะทะกันทุกคนก็มองเห็นระลอกคลื่นกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว
ม่านตาของเซี่ยหยู่หดเกร็งลงทันที
นั่นเป็นเพราะเขาเห็นว่าเมื่อหมัดปะทะกัน ร่างและหมัดของมู่เฉินไม่ได้ถูกผลักออกไป คล้ายกับศิลาที่ดูมั่นคงอย่างแท้จริง
ตรงกันข้ามที่เป็นกำปั้นใหญ่โตสั่นสะเทือนรุนแรง
ความไม่หวาดหวั่นที่ไม่แม้แต่จะกลัวความตายแผ่ออกมาจากหมัดกระแทกเข้าที่หัวใจเซี่ยหยู่ ทำให้หัวใจเขาสั่นสะท้าน ใบหน้าเขียวคล้ำเมื่อมองไปที่มู่เฉิน
การแบกไว้ดังกล่าวทำให้เขาเข้าใจว่ามู่เฉินได้สละชีวิตเพื่อต่อสู้กับความเป็นตายกับเขาแล้ว
“โคตรบ้า!”
เซี่ยหยู่พึมพำ เห็นได้ชัดว่าเขาถูกข่มขู่โดยมู่เฉิน นั่นเป็นเพราะตั้งแต่แรกเขาก็ไม่มีความคิดที่จะต่อสู้กับมู่เฉินด้วยชีวิตบนเส้นทางนี้ เขาเป็นองค์รัชทายาทแคว้นเซี่ยที่มีสมบัติป้องกันหลายประเภท แล้วเขาจะโง่พอที่จะละทิ้งทุกสิ่งและวางชีวิตไว้กับมู่เฉินได้อย่างไร?
ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือการมีชีวิตรอด
ด้วยความคิดนี้ทำให้เกิดความตั้งใจที่จะถอยออกมาในใจของเซี่ยหยู่ เขาไม่ต้องการสู้กับคนคลั่งแบบนี้อีกต่อไป
ทว่า… ทุกอย่างเหมือนจะสายไปสำหรับความคิดนี้
แกร็ก!
หมัดของมู่เฉินซึ่งปกคลุมไปด้วยรัศมีสีดำ ทำให้รอยแตกละเอียดปรากฏบนหมัดราชัน จากนั้นรอยแตกก็ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว ในเวลาไม่กี่ลมหายใจก็ห่อหุ้มหมัดทั้งหมดไว้แล้ว
ปัง!
เมื่อรอยแตกกระจายออกไปจนสุด การโจมตีที่เค้นพลังทั้งหมดของเซี่ยหยู่ก็พังทลายลง กระจัดกระจายออกเป็นประกายแสง
ผู้ชมอ้าปากเหวอ การโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของเซี่ยหยู่ถูกทำลายลงอย่างง่ายดายโดยมู่เฉินอย่างนี้เลยเหรอ?
ขณะที่พวกเขาตกตะลึง เซี่ยหยู่ก็ถูกทะลวงอย่างหนักหน่วง รัศมีการเสียสละตัวเองที่ห่อหุ้มกำปั้นของมู่เฉินถูกส่งเข้าไปในส่วนลึกของหัวใจของเซี่ยหยู่ ดังนั้นไม่เพียงแต่เขาจะได้รับบาดเจ็บหนัก กระทั่งความตั้งใจในการต่อสู้ในใจก็สลายไปอย่างสมบูรณ์
อ็อก!
เลือดคำหนึ่งพ่นออกมาจากปากเซี่ยหยู่ ร่างถูกเป่ากลับ พลังงานหลิงไร้ขอบเขตที่ถูกปล่อยออกมาจากร่างกายก็ลดน้อยลงอย่างรวดเร็ว
การทำลายหมัดราชัน ทำให้เส้นเลือดในดวงตาของมู่เฉินหนาแน่นขึ้น เขาไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น เท้าก้าวออกไปปรากฏตัวต่อหน้าเซี่ยหยู่ เล็งกำปั้นไปที่หน้าอกของเซี่ยหยู่
นี่ยังคงเป็นหมัดเรียบง่าย แต่รัศมีการเสียสละตัวเองประหนึ่งเทพความตายโอบล้อมเซี่ยหยู่ ทำให้เกิดความกลัวพล่านในดวงตาเขา
นั่นเป็นเพราะเขารู้ดีว่าถ้าโดนโจมตีครั้งนี้ เขาตายคาที่แน่นอน!
“ตราราชันไศลนี ม่านไศลนที!”
ในวินาทีความเป็นตาย เซี่ยหยู่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเร้าตราราชันไศลนทีและใช้โอกาสครั้งสุดท้ายในการเปิดใช้งาน ตราปรากฏขึ้นเบื้องหน้าพร้อมกับแนวป้องกัน
ตู้ม!
หมัดมู่เฉินกระแทกเข้ากับแนวป้องกันจังใหญ่ เลือดสดกระเซ็นออกมาจากหมัดพร้อมกับผิวหนังฉีกขาด ทว่าเขาก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ กลับใส่พลังมากขึ้นด้วยสีหน้าไม่แยแส
ตู้ม ตู้ม!
เมื่อทะลวงแนวป้องกัน มู่เฉินก็ไม่ได้ใส่ใจสายตาจ้องมองไปที่เซี่ยหยู่ขณะฟาดหมัดเต็มเหนี่ยว
“ไอ้บ้า! ไอ้บ้า!”
เซี่ยหยู่รู้สึกหวาดกลัวกับกระบวนท่าของมู่เฉินที่ไม่สนใจกระทั่งชีวิตตัวเอง ทันใดนั้นเขาก็คำราม “มู่เฉิน เจ้าโหดจริงๆ ข้ายอมรับความพ่ายแพ้ครั้งนี้! ข้าจะออกไปเดี๋ยวนี้!”
แม้ว่ามู่เฉินจะใช้วิทยายุทธระดับเสินทง แต่ก็จะตกอยู่ในสถานะอ่อนแอหลังจากนั้น ในเวลานั้นเซี่ยหยู่ค่อยย้อนกลับมาฆ่าได้
ตู้ม ตู้ม!
ทว่าสิ่งที่เกินความคาดหมายของเซี่ยหยู่ก็คือ ต่อให้เขายอมรับความพ่ายแพ้ ใบหน้าของมู่เฉินก็ไม่มีการแสดงออกใดๆ มู่เฉินยังคงกำหมัดแน่น แม้ว่าหมัดจะเต็มไปด้วยบาดแผล
ในที่สุดเซี่ยหยู่ก็รู้สึกกลัวเมื่อเห็นภาพนี้
ปัง!
เผชิญหน้ากับหมัดที่น่ากลัวของมู่เฉิน ในที่สุดตราราชันไศลนทีก็ไม่สามารถรับผลกระทบ แตกออกเป็นเสี่ยงๆ
อ็อก!
เมื่อม่านพลังพังลง เซี่ยหยู่ก็กระอักเลือดออกมาด้วยสีหน้าซีดเซียว ก่อนที่จะมองด้วยความกลัวขณะมู่เฉินยกกำปั้นขึ้นราวกับหมัดยมทูต
“มู่เฉิน ถ้าแกกล้าฆ่าข้า ท่านพ่อข้าไม่มีวันปล่อยแกไปแน่! ถึงเวลานั้นแคว้นเซี่ยจะทำให้แกจ่ายราคากระอักแน่!” เซี่ยหยู่คำราม
เมื่อได้ยินเสียงคำรามของเซี่ยหยู่ หมัดของมู่เฉินก็หยุดลงจังหวะหนึ่ง
นี่ทำให้เซี่ยหยู่ดีใจกับภาพนี้ แม้ว่ามู่เฉินจะเป็นบ้า แต่ก็ยังรู้เกี่ยวกับผลของการละเมิดฮ่องเต้เซี่ย
ทว่าขณะที่เขากำลังยินดีเตรียมที่จะล่าถอย ดวงตาแดงก่ำของมู่เฉินก็มองมาเห็นรอยยิ้มเยาะเย้ยอยู่ภายใน
“แกพูดเหมือนว่าแคว้นเซี่ยจะไม่ตามล่าข้า แม้ว่าข้าจะปล่อยแกไป…”
มู่เฉินยิ้มอ่อน เมื่อการต่อสู้ดำเนินมาไกลจนถึงขั้นขนาดนี้ ฮ่องเต้เซี่ยไม่มีทางยอมปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วทำไมเขาถึงต้องผ่อนปรน?
ตู้ม!
ด้วยการแสดงออกที่ไม่แยแสมู่เฉินก็ชกหมัดออกไปอีกครั้ง
ใบหน้าของเซี่ยหยู่เต็มไปด้วยความกลัว คลื่นหลิงพุ่งขึ้นในร่างกายต้องการที่จะถอยหนีพร้อมกับนำมาตรการป้องกันทั้งหมดออกมา
ปัง!
ทว่าหมัดของมู่เฉินก็ทะลวงผ่านมิติอย่างรวดเร็ว กระแทกลงบนหัวของเซี่ยหยู่ แสงสีดำระเบิดขึ้นทำให้มิติแตกเป็นเสี่ยงๆ ราวกับแก้ว
สะเก็ดมิติกระจัดกระจายพร้อมกับใบหน้าฉายความหวาดผวาและตกใจของเซี่ยหยู่…
บทที่ 1150 เซี่ยหยู่สิ้นชีพ
เมื่อมู่เฉินชกหมัดลงมา
คลื่นหลิงที่รุนแรงในบริเวณนี้ก็หายไปทันที ร่างราชันฟากฟ้ามหึมาก็แตกสลาย
ขณะที่ร่างเทห์สวรรค์กระจัดกระจาย ผู้ชมก็ตกตะลึกด้วยความไม่เชื่อเต็มสายตา
“ขะ…เขาฆ่าเซียวหยูจริงเหรอ?!”
ทุกคนกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ขณะสายตามองไปที่มู่เฉินด้วยความกลัว ความเด็ดขาดของมู่เฉินทำเอาพวกเขาหนาวสั่นในใจ
นั่นคือเซี่ยหยู่องค์รัชทายาทแคว้นเซี่ย ผู้สืบทอดบัลลังก์นะ!
ด้วยความสำคัญของเซี่ยหยู่ ถ้าฮ่องเต้เซี่ยทราบข่าวการตายของลูกชายคนโตละก็ เขาไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้สงบลงแน่ ความเกรี้ยวกราดของฮ่องเต้เซี่ยเป็นสิ่งที่มู่เฉินจะทนรับได้รึ? ชัดเจนว่าไม่เลย…
มู่เฉินมองศพไร้หัวอย่างสงบ ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน หมัดนั้นไม่เพียงแต่ระเบิดหัวเซี่ยหยู่จนกระจุย แต่ไอสังหารที่อยู่เบื้องหลังหมัดยังทำลายจุดจื้อจุนไห่ของเซี่ยหยู่ไปด้วย…
ดังนั้นวันนี้ที่นี่เซี่ยหยู่สิ้นชีพตลอดกาล
มู่เฉินทราบดีว่าตนเองจะทำให้แคว้นเซี่ยขุ่มเคืองเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างสมบูรณ์ แต่เขาก็สังหารโดยไม่ลังเล นั่นเป็นเพราะมู่เฉินรู้ชัดว่าเซี่ยหยู่เป็นคนที่น่ากลัว แม้ว่าจะบีบบังคับเซี่ยหยู่ต้องล่าถอย แต่คนอย่างเซี่ยหยู่ก็จะตามกัดเขาทุกครั้งที่มีโอกาสแน่นอน
นอกจากนี้พรสวรรค์ของเซี่ยหยู่ก็จัดว่าดีเยี่ยม ตามการคาดการณ์ของมู่เฉินถ้าเซี่ยหยู่มีเวลามากขึ้นบวกกับทรัพยากรของแคว้นเซี่ยก็มีโอกาสมากที่จะบรรลุระดับตี้จื้อจุนได้
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็จำเป็นที่จะต้องจัดการให้สิ้นซาก เพราะมู่เฉินไม่ต้องการถูกหมายหัวจากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนในอนาคต
เมื่อพิจารณาจากเหตุผลโดยรวมแล้ว มู่เฉินก็ไม่ลังเลที่จะฆ่าและทำลายล้างผู้สืบทอดบัลลังก์แคว้นเซี่ย
“แต่นี่ก็จะทำให้แคว้นเซี่ยเคียดแค้นแน่”
สายตาของมู่เฉินวูบไหว ฮ่องเต้เซี่ยเป็นผู้นำเผด็จการในทวีปเทียนหลัวและหากฮ่องเต้เซี่ยตัดสินใจที่จะเคลื่อนไหวก็จะเป็นหายนะสำหรับมู่เฉินแน่นอน แต่โชคดีที่เขามีมั่นถัวหลัวคอยสนับสนุนจึงไม่มีอะไรต้องกลัว
“ดูเหมือนว่าจำเป็นอย่างยิ่งแล้วที่จะต้องช่วยมั่นถัวหลัวค้นหาร่างหลัก”
มู่เฉินเบ้ปาก ฮ่องเต้เซี่ยเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายที่ครอบครองอาวุมหสวรรค์ขั้นกลาง ดังนั้นความแข็งแกร่งในการต่อสู้จึงถือได้ว่าไม่ธรรมดาของในหมู่จอมยุทธ์ระดับนี้ แม้แต่มั่นถัวหลัวก็ไม่มั่นใจว่าจะชนะ ไม่ต้องพูดถึงว่ามั่นถัวหลัวยังมีศัตรูคู่แค้นที่ต้องรับมืออย่างเจ้าตำหนักเทพปีศาจ
ดังนั้นเพื่อเป็นการรับประกันตัวเอง เขาต้องช่วยมั่นถัวหลัวหาร่างให้พบ เมื่อนางหลอมรวมกับร่างหลักความแข็งแกร่งก็จะเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ในเวลานั้นไม่ต้องพูดถึงฮ่องเต้เซี่ย เนื่องจากความแข็งแกร่งของมั่นถัวหลัวจะติดอันดับต้นๆ ในทวีปเทียนหลัวอีกด้วย
แม้ว่าเขาและมั่นถัวหลัวจะเป็นเพื่อนกัน แต่เขาก็ไม่สามารถให้นางสะสางเรื่องยุ่งเหยิงของเขาอยู่ตลอด เขาต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อนางด้วยเช่นกัน
ดังนั้นเขาต้องทำภารกิจค้นหาร่างหลักของมั่นถัวหลัวให้สำเร็จ
เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ มู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เขาเงยหน้าขึ้นมองตราหยกดำที่ลอยอยู่ในอากาศ นี่คือตราราชันไศลนทีที่เซี่ยหยู่ใช้ก่อนหน้านี้
มู่เฉินยื่นมือออกมาหยิบ เขาให้ความสนใจอย่างมากกับวัตถุที่สามารถแยกร่างเทห์สวรรค์ออกจากผู้ฝึกได้ คราวนี้ถ้าไม่ใช่เพราะเขาใช้หมัดปีศาจพลีชีพได้อย่างสมบูรณ์ เขาอาจต้องนำพัดเทพสายลมออกมาเพื่อรับมือ
มู่เฉินจับตราหยกดำก็สัมผัสบางอย่างได้วูบหนึ่งก่อนที่คิ้วจะขมวด นั่นเป็นเพราะเขาตระหนักว่าคลื่นหลิงที่อยู่ในนั้นหมดลงอย่างสมบูรณ์จากการต่อสู้กระบวนท่าสุดท้าย หากเขาต้องการใช้อีกครั้งก็ต้องใช้เวลาอย่างมากในการเทพลังงานเข้าไป
โยนตราขึ้นลงในมือมู่เฉินก็เก็บเอาไว้ แม้ว่าคลื่นหลิงในนั้นจะหมดลงอย่างสมบูรณ์ แต่ก็ยังคงเป็นวัตถุพิเศษและอาจมีประโยชน์หากเก็บไว้
มู่เฉินโบกมือป้ายมังกรทองคำก็ปรากฏขึ้น นี่เป็นของเซี่ยหยู่
มู่เฉินตบแผ่นโลหะเบาๆ ก็เห็นก้อนแสงลอยขึ้นตรงหน้า นี่ก็คือจิตทะเลสาบสวรรค์
ซึ่งมีจำนวนแปดดวงเลยทีเดียว
เห็นชัดว่านั่นคือการเก็บเกี่ยวของเซี่ยหยู่
“ประสิทธิภาพของเจ้านี่ดีทีเดียว…” มู่เฉินมองไปที่ก้อนอัญมณีทั้งแปดก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ เขาวางกับดักหนักหนาอยู่ที่นี่ก็ได้มาเพียงสิบสามดวง ซึ่งไม่ได้ต่างอะไรจากเซี่ยหยู่มากนัก
อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นประโยชน์ต่อมู่เฉินในที่สุด
ดังนั้นมู่เฉินจึงเก็บก้อนจิตทั้งแปดดวงไว้โดยไม่ลังเล ภายใต้สายตาโลภมากของทุกคน ด้วยวิธีนี้เขาจะมีจิตทะเลสาบสวรรค์ยี่สิบเอ็ดดวง ตราบใดที่เขารับได้อีกเก้าดวงก็จะถึงข้อกำหนดขั้นต่ำสำหรับการชำระล้าง
หลังจากเก็บดอกผล มู่เฉินก็กวาดสายตาไปในระยะไกล เมื่อระลอกการต่อสู้กระจายออกไปเขาก็สัมผัสได้ว่ามีบางคนคืบคลานเข้ามา
คนเหล่านั้นมองไปที่มู่เฉินด้วยความโลภในสายตา
แม้ว่ามู่เฉินจะได้รับชัยชนะจากการต่อสู้นี้ แต่แน่นอนว่าก็ต้องเหนื่อยมากเช่นกัน ร่างเทพสุริยะที่อยู่ใต้เท้าถูกเรียกคืนเพื่อรักษาพลังงาน แต่จากระลอกคลื่นหลิงที่มาจากมู่เฉินก็บอกว่าเขาอ่อนแอกว่าเมื่อก่อนมาก
จอมยุทธ์เหล่านั้นรู้สึกได้ถึงความเหนื่อยล้าของมู่เฉินจึงอดไม่ได้ที่จะขยับเข้าไปใกล้ด้วยความหวังว่าพวกเขาจะมีโอกาสได้รับประโยชน์หรือไม่ ท้ายที่สุดแล้วตราราชันไศลนทีและจิตทะเลสาบสวรรค์ที่มู่เฉินได้รับก็ดึงดูดมากสำหรับพวกเขา
เผชิญกับเหล่าคนโลภ มู่เฉินก็ปรายตาอย่างเย็นชาก่อนที่จะถอยกลับเข้าไปในปราการค่ายกล
หลังจากเข้าสู่ค่ายกลมู่เฉินก็สะบัดนิ้ว ค่ายกลเก้าเทพมังกรเทพประหารซึ่งเป็นชั้นนอกก็เริ่มเคลื่อนไหว ทันใดนั้นคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตก็ระเบิดออกพร้อมกับแรงกดดันทรงพลังแผ่ออกมา
คนที่พยายามเข้าใกล้ก็รู้สึกได้ว่าค่ายกลน่ากลัวเพียงใด ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปอย่างไม่สามารถควบคุมได้ พวกเขารู้สึกถึงอันตรายที่มาขากขบวนแถวแสงเหล่านี้
“มู่เฉินเคี้ยวไม่ง่ายจริงๆ… สามารถสร้างค่ายกลที่น่าเกรงขามเช่นนี้ ไม่น่าแปลกใจที่ขนาดเซี่ยหยู่ก็ยังไม่กล้าก้าวเข้าไป”
“ถ้ามู่เฉินใช้ค่ายกลในการต่อสู้ด้วย เซี่ยหยู่อาจจะแพ้เร็วกว่านี้ก็ได้”
“ลืมไปเถอะ เจ้านั่นไม่ใช่พวกแหย อย่าไปยั่วโมโหเขาเลย…”
“…”
แต่ละคนถอนหายใจก่อนที่จะถอยกลับทันที เผชิญหน้ากับมู่เฉินที่ตั้งระวังพวกเขาไม่มีโอกาสเลย
เมื่อมู่เฉินเห็นก็ไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ แต่นั่งลงในค่ายกล ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วไปยังสภาพพร้อมรบ
เมื่อเห็นการกระทำของเขา ทุกคนก็บ่ายหน้าจากไป เพราะพวกเขาต้องจับจิตทะเลสาบสวรรค์เช่นกัน ไม่มีใครอยากรออยู่ที่นี่ นอกจากนี้หากมู่เฉินสามารถฟื้นตัวตามมาได้ ดาวหายนะคงพุ่งใส่พวกเขาแน่
ดังนั้นในเวลาเพียงไม่กี่นาทีทั่วบริเวณก็เงียบลง น้ำในทะเลสาบกระเซ็นลบร่องรอยการต่อสู้ไปอย่างรวดเร็ว
ในเวลาเดียวกันที่จุดอื่นของทะเลสาบสวรรค์
ทันทีที่เซี่ยหยู่ถูกฆ่า จู้เยี่ยนก็หรี่ตาลง ผลลัพธ์นี้ช่างเกินความคาดหมายของเขา ทว่าเขาก็ไม่ได้พูดอะไร หันกลับจากไป
เซียวเซียวมองภาพเงานั่นก็หัวเราะเบาๆ “รอให้ข้าเสร็จภารกิจแล้วจะไปเล่นกับเจ้า”
เสียงหัวเราะของนางชวนเคลิบเคลิ้ม แต่เมื่อจู้เยี่ยนได้ยินก็ต้องหดดวงตา เขารู้ว่าการขัดขวางครั้งนี้ทำให้เซียวเซียวโกรธแล้ว
“ข้าจะรอ”
แต่สุดท้ายเขาก็พยักหน้าจากไป
“มู่เฉินเป็นอะไรที่แน่จริง…”
ซูซิงหยิงเล่นกับตะขาบแดงก่อนจะเงยหน้าขึ้นยิ้มให้จิ่วโยว ทว่ารอยยิ้มของนางดูเคร่งเครียดมาก นางเคยต่อสู้กับเซี่ยหยู่มาก่อนรู้ว่าอีกฝ่ายมีพลังแค่ไหน แม้ว่านางก็ยังไม่มั่นใจที่จะฆ่าเขา แต่มู่เฉินทำสำเร็จซึ่งนี่ทำให้นางรู้สึกตกใจเล็กน้อย
จิ่วโยวมองไปที่ซูชิงหยิงอย่างเย็นชา แต่ก็ไม่ใส่ใจที่จะเสวนาด้วย
“ฮ่าๆ วางใจเถอะ ข้าไม่เข้าร่วมเรื่องนี้ต่อ พวกเจ้ามีข้อได้เปรียบจากจำนวน แม้แต่ข้าก็กลัว” เมื่อเห็นการแสดงออกที่เย็นชาของจิ่วโยว ซูชิงหยิงยิ้มบางก่อนที่จะโบกมือแสงสีฟ้าอมเขียวเคลื่อนออกไป
เมื่อเห็นการจากไปนั่น จิ่วโยวก็รู้สึกโล่งใจ ซูซิงหยิงแข็งแกร่งกว่านาง แม้นางจะพอสู้ได้บ้างถ้าใช้กระบวนท่าเรียกสายลม แต่การต่อสู้ลากออกไปนางจะอยู่ในสภาพที่แย่มาก
แต่โชคดีที่มู่เฉินชนะ…
จิ่วโยวเงยหน้าขึ้นมองไปในระยะไกลพร้อมกับรอยยิ้มฉายที่มุมริมฝีปาก
จาโหลหลัวมองไปที่กระจก
เมื่อเห็นว่ามู่เฉินฆ่าเซี่ยหยู่ได้อย่างไรก็โบกมือเก็บกระจกทองแดงไปก่อนพูดเบาๆ ว่า “ช่างโหดดีจริง”
แม้ว่าเขาจะมีสีหน้าสงบ แต่ก็มีระลอกคลื่นบางอย่างอยู่ในส่วนลึกของดวงตา เห็นได้ชัดว่าพลังในการต่อสู้ของมู่เฉินเกินความคาดหมายของเขา
“ถ้าเจ้าอยากสร้างปัญหากับมู่เฉิน ระวังถูกฆ่านะ” หลินจิ้งจับไข่มุกดำขณะยิ้มตาหยี
จาโหลหลัวยิ้มนิ้วทั้งสิบไขว้พันกัน “เขาและข้าจะต้องต่อสู้ แต่ข้าจะฆ่าเขาแน่นอน”
หลินจิ้งเลิกคิ้วมองจาโหลหลัว “งั้นเจ้าก็เตรียมตายด้วยได้เลย”
จาโหลหลัวขมวดคิ้วแต่สุดท้ายก็ไม่พูดอะไร เขายักไหล่ก่อนจะหันกลับจากไป
“ก็อาจจะ…”
บทที่ 1151 จิตทะเลสาบสวรรค์ดวงที่ร้อย?
ค่ายกลจำนวนมากปรากฏขึ้นในทะเลสาบสวรรค์
ซึ่งกำลังเปล่งความผันผวนของคลื่นหลิงรุนแรง ดันตัวจนเกิดลูกคลื่นขนาดใหญ่ โดยมีมู่เฉินนั่งขัดสมาธิอยู่ในค่ายกล เมื่อดวงตาของเขาค่อยๆ เปิดขึ้น แสงก็วูบวาบในส่วนลึกของนัยน์ตาสีดำสนิท คลื่นหลิงที่อยู่รอบตัวคล้ายกับมังกรตื่นขึ้นและความดุร้ายก็น่าตกใจนัก
“คลื่นหลิงของข้ามีพัฒนาการขึ้น”
เมื่อสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงที่แข็งแกร่งขึ้นรอบๆ ตัว มู่เฉินก็ยิ้ม การต่อสู้ที่ดุเดือดระหว่างเขากับเซี่ยหยู่ช่วยให้คลื่นพลังของเขายกระดับขึ้น ตอนนี้เขาอยู่ในขั้นเก้าระยะต้นปลายสุดแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องน่าดีใจนัก
เมื่อร่างกายกลับคืนสู่สภาพพร้อมรบ มู่เฉินก็ลุกขึ้นยืนมองไปรอบๆ ร่องรอยการต่อสู้จางหายไปหมดแล้วไม่มีใครอยู่ที่นี่ ดูเหมือนคนเหล่านั้นที่ตั้งใจจะฉวยโอกาสก็ถอยออกไปหมดแล้ว
แต่ก็ดีที่พวกมันถอยไปเร็ว ถ้าเกิดยังโผล่ให้เห็นตอนนี้ มู่เฉินก็ไม่ลังเลที่จะปล้นพวกมันอีก
“เวลาบีบเข้ามาทุกที ข้าต้องรีบเก็บจิตทะเลสาบแล้ว!” มู่เฉินไม่ได้ใส่ใจคนอื่นมากนัก เขาสงบใจ เตือนตัวเองถึงการชำระล้างในทะเลสาบสวรรค์ที่เป็นเป้าหมายหลัก เขาจะไม่ยอมแพ้ต่อเรื่องนี้แน่นอน
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้มู่เฉินก็จดจ่อที่ค่ายกลอีกครั้งก่อนที่เขาจะเริ่มเสริมสร้าง หลังจากใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงเขาก็ปัดมือด้วยความพึงพอใจ
ค่ายกลแผ่ขยายไปรอบตัวอย่างต่อเนื่อง พลังของพวกมันทำให้แม้แต่มู่เฉินเองยังตกใจ ตามการคาดการณ์ของเขา ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มก็ยังต้องประสบกับหายนะร้ายแรงเมื่อเข้าสู่กับดักนี้
เมื่อวางกับดักเสร็จ มู่เฉินก็สร้างค่ายกลบรรจบจิตอีกค่ายกลไว้ตรงศูนย์กลางค่ายกลเหล่านี้ นอกจากนี้ก็ยังแข็งแกร่งกว่าค่ายกลก่อนหน้าและผลก็แกร่งกร้าวยิ่งขึ้น
จบกระบวนการมู่เฉินก็ล่าถอยซ่อนความผันผวนของพลังงานไว้ในค่ายกล
ดังนั้น…การตกปลาจึงเริ่มขึ้นอีกครั้ง
ในทะเลสาบสวรรค์ขนาดใหญ่
ความคึกคักสามารถมองเห็นได้ทั่วด้วยร่างเงาที่พาดผ่านไปมา ขณะที่แต่ละคนค้นหาจิตทะเลสาบกันให้ควั่ก
ตอนแรกทุกคนดูถูกพลังของก้อนจิตเหล่านี้ ดังนั้นจึงต้องจ่ายราคาแพงออกไป คนโชคร้ายบางคนถึงกับถูกทำลายการป้องกัน ร่างสูญสิ้นเหลือเพียงเถ้าถ่านโปรยลงในน้ำ
หลังจากที่รู้ว่าก้อนจิตเหล่านี้มีปัญหาเพียงใด คนที่ยังไม่บรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มก็เลือกที่จะเข้าร่วมกับผู้อื่นเพื่อตามล่าจิตทะเลสาบ
ทว่าประสิทธิภาพของวิธีนี้ต่ำและอาจมีปัญหาในการกระจายก้อนจิต นี่เป็นเรื่องน่าปวดหัวสำหรับพวกเขา ในท้ายที่สุดอาจมีการเข่นฆ่ากันเองด้วย
สำหรับคนที่มีพลังมากพอที่จะล่าจิตทะเลสาบด้วยตัวเอง พวกเขาจะเข้าไปในส่วนลึกของทะเลสาบสวรรค์ค้นหารอบๆ เมื่อค้นพบจิตทะเลสาบการต่อสู้ก็จะระเบิดขึ้น ทำให้เกิดคลื่นสูงดันตัวนับไม่ถ้วน
ทั่วทะเลสาบสวรรค์ลุกเป็นไฟ
ส่วนเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วภายใต้สถานการณ์นี้
…
ตู้ม!
ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารคำรามในปราการ มังกรขนาดใหญ่ทะยานขึ้นกลายเป็นเกลียวแสงไร้ขอบเขตฟาดฟันกับจิตทะเลสาบ ทันใดนั้นจิตทะเลสาบก็รู้สึกได้ถึงผลกระทบหนักหน่วง แสงของพวกมันจางลงก่อนที่จะถูกลดทอนเป็นก้อนผลึก
มู่เฉินยื่นมือออกไปคว้าก้อนจิตเหล่านั้นพร้อมกับรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า
หลังจากตกปลาทั้งวันเขาก็ได้รับจิตทะเลสาบสวรรค์หกสิบสองดวงแล้ว!
จากการคาดเดาของมู่เฉิน เขาน่าจะเป็นหนึ่งในสามอันดับแรกอย่างแน่นอน แม้ว่าเขาจะได้รับก้อนจิตจำนวนดังกล่าวด้วยความช่วยเหลือของค่ายกล แต่มู่เฉินก็ไม่เชื่อว่าเซียวเซียว หลินจิ้ง จู้เยี่ยนและจาโหลหลัวจะไม่มีกลยุทธ์อะไรในแขนเสื้อ ดังนั้นเขาจึงไม่มั่นใจมากพอที่จะคิดว่าตนเองเป็นที่หนึ่ง
“ด้วยจิตทะเลสาบสวรรค์หกสิบสองดวง ข้าน่าจะได้รับการชำระล้างขั้นสูง” มู่เฉินครุ่นคิดขณะเลียริมฝีปาก แม้ว่าเขาจะได้รับชำระล้างขั้นสูงซึ่งก็พอใจอยู่ แต่ใครเล่าจะไม่ปรารถนาที่จะได้รับสิ่งที่ดีที่สุด? ด้วยความช่วยเหลือของค่ายกลเขาน่าจะตั้งเป้าหมายให้ได้รับจิตทะเลสาบร้อยดวงเพื่อการชำระล้างที่สมบูรณ์แบบได้
“มาลองดูกันเถอะ” มู่เฉินสะบัดแขนเสื้อเปิดใช้ปราการค่ายกล
อีกหนึ่งวันผ่านไป
ครืน!
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพลุ่งพล่านในปราการค่ายกล ระลอกการโจมตีพุ่งเป้าไปที่จิตทะเลสาบที่ติดอยู่ภายในอย่างไม่มีที่สิ้นสุด การโจมตีทุกครั้งจะทำให้แสงรอบจิตทะเลสาบนั้นจางลง
มู่เฉินยืนอยู่ด้านนอกค่ายกลมองไปที่จิตทะเลสาบที่กำลังหรี่แสงลงอย่างรวดเร็ว แม้จะมีความสงบเขาก็ไม่สามารถซ่อนความสุขบนใบหน้าได้
นั่นเป็นเพราะเขาได้รับก้อนจิตมาแล้วเก้าสิบเก้าดวงและที่อยู่ในค่ายกลตอนนี้คือดวงที่ร้อย!
ว่ากันว่าด้วยก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบสวรรค์ร้อยดวง เขาจะสามารถได้รับการชำระล้างขั้นสมบูรณ์แบบของทะเลสาบสวรรค์ได้!
“การชำระล้างทะเลสาบสวรรค์ขั้นสมบูรณ์ก็ดูไม่ยากนี่น่า”
มู่เฉินยิ้ม แต่หัวคิ้วก็ต้องขมวดเล็กน้อยเมื่อรอยยิ้มปรากฏขึ้นเนื่องจากเขารู้สึกคลุมเครือว่ามีบางอย่างผิดปกติ นั่นเป็นเพราะเขารู้สึกว่าการชำระล้างทะเลสาบสวรรค์ขั้นสมบูรณ์ดูเหมือนจะไม่ยากอย่างที่คิดไว้
แม้ว่าจะใช้ค่ายกลแต่มู่เฉินไม่เชื่อว่าด้วยรากฐานของวังสวรรค์บรรพกาลในสมัยโบราณ ศิษย์อัจฉริยะต่างๆจะคิดไม่ถึงวิธีนี้
แต่ทำไมมีศิษย์เพียงไม่กี่คนที่ได้รับการชำระล้างขั้นสมบูรณ์ของทะเลสาบสวรรค์กัน?
มู่เฉินขมวดคิ้วขณะที่ครุ่นคิด แต่ก็ไม่มีเวลาหรูหราที่จะมาพิจารณา ไม่ว่าอย่างไรรอให้ได้รับจิตทะเลสาบดวงที่ร้อยก่อน ดังนั้นเขาจึงสงบตัวเองและเริ่มใช้ค่ายกลเพื่อทำการโจมตีอย่างต่อเนื่อง
ฮึ่ม
หลังจากนั้นไม่นานในที่สุดจิตทะเลสาบก็จางลง กลายเป็นก้อนอัญมณีจิตก่อนจะพลิ้วลงในมือของมู่เฉิน
หลังจากได้รับจิตทะเลสาบสวรรค์ดวงที่ร้อย มู่เฉินก็ตบมันไปที่ป้ายมังกรทองคำที่อยู่ใต้เท้าทันที
ก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบสวรรค์มีความพิเศษอย่างยิ่ง ต้องใช้ป้ายในการเก็บเท่านั้น นอกจากนี้ป้ายยังเป็นสิ่งที่จำเป็นในการกระตุ้นการชำระล้าง ตราบใดที่เขาวางก้อนอัญมณีจิตดวงที่ร้อยไว้ภายในได้ เขาก็จะกระตุ้นการชำระล้างได้
ปัง!
ก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบสวรรค์พุ่งไปยังป้ายมังกรทองคำ แต่ขณะนั้นก็มีบางอย่างที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ก้อนอัญมณีจิตไม่สามารถเข้าไปได้ ตรงกันข้ามกลับถูกปฏิเสธ จนมันต้องบินกลับมาอยู่ในมือของมู่เฉิน
“นี่…?”
มู่เฉินอึ้งไปกับฉากนี้ขณะมองไปที่ป้ายมังกรทองคำที่อยู่ใต้เท้าด้วยความตกตะลึง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่รู้ว่าทำไมก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบดวงที่ร้อยจึงถูกปฏิเสธ
“มีปัญหาจริงด้วย” มู่เฉินหายจากอาการตกใจอย่างรวดเร็วพร้อมกับขมวดคิ้ว ถ้าเขาไม่สามารถวางก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบดวงที่ร้อยลงในป้ายมังกรทองคำได้ เขาก็จะเปิดพิธีชำระล้างขั้นสูงได้เท่านั้น
โดยทั่วไปป้ายมังกรทองคำไม่ควรมีปฏิกิริยาเช่นนี้ หรือว่านี่ไม่ใช่ก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบดวงที่ร้อยของแท้? หากไม่เป็นเช่นนั้นแล้วก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบดวงที่ร้อยมาจากไหน?
มู่เฉินครุ่นคิดครู่ต่อมาก็กระทืบเท้า เรือมังกรทองคำสั่นสะท้าน ทันใดนั้นก้อนอัญมณีก็บินฉวัดเฉวียนไปมาที่เบื้องหน้ามู่เฉิน นี่ก็คือก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบทั้งเก้าสิบเก้าดวงที่มู่เฉินได้รับ
มู่เฉินยื่นมือออก คลื่นหลิงก่อตัวเป็นก้อนแสงห่อหุ้มก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบทั้งเก้าสิบเก้าดวงไว้
สายตาเขาจับจ้องไปที่ก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบและตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงระหว่างพวกมัน เขาเชื่อว่าต้องมีวิธีที่จะได้รับก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบดวงที่ร้อย แต่เขายังหาไม่ค้นพบ
ก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบเก้าสิบเก้าดวงลอยเงียบๆ แต่สุดท้ายก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
ใบหน้ามู่เฉินเริ่มไม่น่ามอง หรือว่าพิธีที่เรียกว่า ‘การชำระล้างขั้นสมบูรณ์’ นั้นไม่มีอยู่จริง? หรือเป็นเพราะวังสวรรค์บรรพกาลล่มสลายไปแล้วจึงมีข้อบกพร่องในการชำระล้างของทะเลสาบสวรรค์?
ครืน!
ทันใดนั้นทะเลสาบสวรรค์ก็สั่นไหว ความผันผวนแปลกประหลาดปรากฏขึ้นเหนือเวิ้งน้ำ
เมื่อรู้สึกถึงมู่เฉินก็หดตาลง นั่นคือคลื่นความผันผวนการชำระล้างของทะเลสาบสวรรค์
ดูเหมือนว่ามีใครบางคนเข้าสู่พิธีการชำระล้างแล้ว
ตู้ม ตู้ม!
เมื่อการรับการชำระล้างครั้งแรกเกิดขึ้น ความผันผวนแปลกประหลาดไม่รู้จบก็แพร่กระจายออกไปรอบๆ ทะเลสาบสวรรค์ ชัดว่ามีหลายคนเริ่มกระตุ้นพิธีการขึ้นเช่นกัน
เมื่อการชำระล้างทะเลสาบสวรรค์ปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง มู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงแรงลอยตัวที่เล็ดลอดออกมาจากเวิ้งน้ำราวกับว่าต้องการที่จะขับไล่คนที่อยู่ภายในออกไป
“ใกล้หมดเวลาแล้วสินะ” มู่เฉินเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ดูเหมือนว่าทะเลสาบสวรรค์กำลังจะปิดตัวในไม่ช้า
แต่เขายังไม่ได้รับก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบดวงที่ร้อย! หรือว่าเข้าต้องรับการชำระล้างขั้นสูงแทน?
มู่เฉินเม้มปากแน่นพลางจ้องเขม็งไปที่ก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบเก้าสิบเก้าดวงที่เบื้องหน้า อึดใจต่อมาม่านตาเขาก็หดลงเล็กน้อย
“นี่คือ…”
มู่เฉินขมวดคิ้วเพราะตระหนักว่าเมื่อก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบสวรรค์สัมผัสกัน บางส่วนก็สว่างขึ้นเล็กน้อยขณะที่บางส่วนหม่นแสงลงเล็กน้อย…
เมื่อพิจารณาจากสิ่งนี้เหมือนกับว่าก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบสวรรค์กลืนกินพลังงานกันและกัน
การเปลี่ยนแปลงนี้เบาบางมากจน กระทั่งมู่เฉินก็มองข้ามไปตลอด
สายตาของมู่เฉินวูบไหวหลังจากนั้นครู่หนึ่งก็พึมพำ “หรือว่าจะเป็น…การกลืนกิน?”
หรือว่าก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบดวงที่ร้อยไม่ใช่สิ่งที่ได้จากภายนอก แต่จะปรากฏขึ้นท่ามกลางก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบทั้งเก้าสิบเก้าดวง?
“จะลองเสี่ยงดูไหม?”
สีหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไปไม่หยุด เพราะถ้างานนี้เดาไม่ถูกก็หมายความว่าความพยายามทั้งหมดจะสูญเปล่า เพราะเขาไม่มีเวลาที่จะเริ่มต้นใหม่ทั้งหมดแล้ว
แม้แต่มู่เฉินก็ลังเลที่จะเลือกในเวลานี้
ทว่ามู่เฉินเป็นคนเด็ดขาด ไม่นานสายตาก็เปลี่ยนเป็นแน่วแน่ ความแตกต่างระหว่างขั้นสูงกว่าและขั้นสมบูรณ์แบบไม่ใช่แค่ระดับ หากเขาได้สิ่งที่สมบูรณ์แบบก็จะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับตนเองที่จะบุกเข้าไปในระดับตี้จื้อจุนในอนาคต
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็เสี่ยงโชคกันหน่อย!
มู่เฉินตัดความลังเลใจ ทิ้งรอยประทับไว้ที่ก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบเก้าสิบเก้าดวงก่อนจะสะบัดแขนเสื้อ
ก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบเก้าสิบเก้าดวงบินฉวัดเฉวียนออกไป เมื่อพวกมันสัมผัสกับน้ำในทะเลสาบสวรรค์ก็เริ่มที่จะกินคลื่นหลิงอีกครั้ง ในช่วงเวลาไม่กี่อึดใจก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบทั้งเก้าสิบเก้าดวงก็เปล่งประกายแวววาว
ก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบเก้าสิบเก้าดวงเปลี่ยนกลับไปอยู่ในรูปของจิตทะเลสาบ ทุกดวงกะพริบราวกับดวงดาวปรากฏอยู่ภายในปราการค่ายกล
เมื่อจิตทะเลสาบเก้าสิบเก้าด้วงปรากฏขึ้นพร้อมๆ กัน คลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็ทำให้มู่เฉินตกตะลึง
หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการ มู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เขาทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าจากนั้นพุ่งไปที่ขอบทะเลสาบสวรรค์ ไม่มีอะไรสำหรับเขาที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว หากสิ่งที่เขาเดาถูกต้อง ด้วยตราประทับที่ทิ้งไว้ เขาก็จะได้รับจิตทะเลสาบกลับคืนมา
หากสิ่งที่เขาเดาผิด เขาจะไม่ได้รับกระทั่งการชำระล้างขั้นต่ำ
คราวนี้ก็ถือเป็นว่าเสี่ยงโชคกันหน่อยเถอะ!
บทที่ 1152 รับหม้อ
บุ๋ม
มู่เฉินพุ่งออกมาจากทะเลสาบสวรรค์ขณะยืนอยู่บนเรือมังกรทองคำ สายตากวาดมองไปก็ส่งเสียงอุทาน นั่นเป็นเพราะพื้นผิวของทะเลสาบจอแจมาก มีเงาแสงพุ่งออกมาจากตลอดเวลา
“นี่คือการชำระล้างทะเลสาบสวรรค์เหรอ?”
เมื่อมู่เฉินปรากฏตัวขึ้นก็มองไปที่พื้นผิวน้ำ ร่างเงาหนึ่งอยู่บนป้าย ร่างนั้นแตะฝ่าเท้าลงไปเกลียวแสงแวววาวก็ระเบิดออกมาจากป้ายพร้อมกับประกายแสงทะยานสู่ท้องฟ้า ทุกๆ เกลียวแสงมีคลื่นหลิงบริสุทธิ์และทรงพลัง
ประกายแสงเหล่านั้นก็คือก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบสวรรค์ พิจารณาจากจำนวนน่าจะมีประมาณยี่สิบดวง
นี่เป็นขั้นต่ำสุดของพิธีการชำระล้าง
แต่เมื่อมองไปที่ใบหน้าคนนั้นก็ดูพอใจอย่างชัดเจน ท้ายที่สุดแล้วการไล่จับจิตทะเลสาบเป็นเรื่องยากมาก แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มก็ยังต้องใช้สมองมาก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะได้รับถึงยี่สิบดวง
ฮึ่ม ฮึ่ม
เมื่อก้อนอัญมณีเหล่านั้นทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าก็รวมตัวกันก่อตัวเป็นลำแสงขนาดใหญ่เชื่อมระหว่างท้องฟ้ากับท้องน้ำ คล้ายกับสะพานเชื่อมระหว่างทั้งสองโดยมีชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงกลางสะพาน
ซ่า ซ่า
น้ำในทะเลสาบไร้ขอบเขตกวาดขึ้นเหนือร่างคนคนนั้นกลายเป็นกระแสน้ำวนที่มีคลื่นบริสุทธิ์และไร้ที่สิ้นสุดถูกบีบอัด ครู่ต่อมาก็กลายเป็นหยาดละอองฝนโปรยปรายลงมา
ฝนนี้ไม่ใช่ฝนธรรมดา หยาดฝนเป็นสีเขียวมรกตที่ดูเหมือนจะบรรจุด้วยพลังชีวิตและพลังหลิงเข้มข้น ทุกหยดเปรียบได้กับของเหลวจื้อจุนจำนวนหมื่นหยด
ชายที่กระตุ้นการชำระล้างก็กระจายความสุขบนใบหน้า เขาเร้าร่างเทห์สวรรค์ออกมาทันที จากนั้นก็กางแขนปล่อยให้ละอองฝนตกประพรมลงบนร่างเทห์สวรรค์ของตนเอง
ฮึ่ม
เมื่อสายฝนตกลงมาบนร่างเทห์สวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ เม็ดฝนก็หลอมรวมเข้ากับร่างเทห์สวรรค์ซึ่งทำให้ระเบิดออกด้วยเกลียวแสงแวววาวนับไม่ถ้วน คลื่นหลิงทรงพลังที่ถูกปล่อยออกมาก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว
ยิ่งไปกว่านั้นพื้นผิวของร่างเทห์สวรรค์ยังมีชั้นของมรกตที่ดูเหมือนผ้าคลุมครอบคลุมทั่วทั้งสรรพางค์กาย ถึงแม้ว่าผ้าคลุมจะเบาบาง แต่มู่เฉินก็รู้ดีว่าร่างเทห์สวรรค์ของชายคนนั้นจะได้รับการเสริมความแข็งแกร่งจากเกลียวแสงมรกตอย่างน้อยหนึ่งเท่าตัว
นอกจากนี้ชายคนนั้นก็ยังได้รับการชำระล้างด้วย หลังจากการเปลี่ยนแปลงที่สมบูรณ์พื้นผิวร่างกายของเขาก็เปล่งแสงเรืองรองจางๆ เนื่องจากเขาแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน
“ฮ่าๆ สมกับเป็นการชำระล้างทะเลสาบสวรรค์จริงๆ!”
เมื่อรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างเทห์สวรรค์ ชายคนนั้นก็ไม่สามารถกลั้นเสียงหัวเราะด้วยความสุขบนใบหน้า เห็นได้ชัดว่าเขาพอใจอย่างยิ่งกับการรับพิธีชำระล้างนี้
หลายคนให้ความสนใจ เมื่อพวกเขาเห็นการเพิ่มขึ้นของพลังใบหน้าก็ฉายทั้งความตกใจและตื่นเต้น การชำระล้างทะเลสาบสวรรค์พิเศษอย่างแท้จริง!
“แม้แต่ขั้นต่ำสุดก็ยังมีผลเช่นนี้?” มู่เฉินประหลาดใจไปเล็กน้อย แม้ว่าการเติบโตของชายคนนั้นจะแข็งแกร่งขึ้น แต่ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากพื้นฐานอ่อนแอของเขา ดังนั้นผลที่ได้รับจึงเห็นชัดเจนมาก แต่นี่ก็เป็นเพียงขั้นต่ำสุดของการชำระล้าง ยังมีขั้นสูงและขั้นสมบูรณ์ที่เล่าลือกัน
ตู้ม ตู้ม!
ขณะที่มู่เฉินรู้สึกประหลาดใจ เสาแสงจำนวนมากก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเปล่งความผันผวนรุนแรง ยามนี้จอมยุทธ์จำนวนมากเริ่มกระตุ้นการชำระล้างแล้ว
การชำระล้างเหล่านั้นแทบทั้งหมดอยู่ในขั้นต่ำ แต่เนื่องจากมีความแตกต่างของก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบสวรรค์ จึงมีความต่างบางอย่างในการรับพิธีชำระล้างเช่นกัน
“หืม? การชำระล้างขั้นสูง?”
เมื่อมองไปที่เสาแสงการชำระล้างนับไม่ถ้วน มู่เฉินก็ต้องหดตาลงขณะมองไปในระยะไกล มีเสาแสงขนาดใหญ่ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า พลังทรงประสิทธิภาพมากจนเหนือกว่าการชำระล้างจุดอื่นๆ ทั้งหมด ดึงดูดสายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน
มู่เฉินมองไปที่ภาพเงานั้นก็หรี่ตาลง นั่นไม่ใช่คนไม่คุ้นเคยสำหรับเขา ชายคนนั้นก็คือฉินจิงเจ๋อที่ก่อนหน้ามู่เฉินพบที่นอกประตูมังกรทะยานสวรรค์ เป็นจอมยุทธ์อันดับห้าในทำเนียบ
ก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบสวรรค์เจ็ดสิบดวงพวยพุ่งออกมาจากป้ายของเขา ซึ่งมีมากกว่าทุกคนที่นี่
ด้วยจำนวนนี้จึงเป็นการชำระล้างขั้นสูงโดยธรรมชาติ
ความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นก็น่าตื่นเต้นมากเช่นกัน เกลียวแสงไร้ขอบเขตก่อตัวเป็นอ่าวเล็กใสไหลลงมาจากท้องฟ้า สายธารเทลงบนศีรษะของเขา
ฉินจิงเจ๋อไม่ได้เรียกร่างเทห์สวรรค์ออกมา แต่ทุกคนสัมผัสได้ชัดเจนว่าคลื่นกระบี่ที่เปล่งออกมาจากร่างกายเขาคมชัดขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดสิ้นสุด แม้แต่มิติรอบตัวเขาก็ถูกเฉือนออก
ความรู้สึกราวกับว่าคลื่นกระบี่ในร่างกายเขาได้รับการหล่อเลี้ยงจากสายธาร
เมื่อหยาดหยดสุดท้ายหายเข้าไปในกระหม่อมของฉินจิงเจ๋อ เขาก็ลืมตาขึ้นและคลื่นกระบี่พุ่งออกมาจากดวงตา ทิ้งรอยบากยาวพันจั้งไว้ที่ทะเลสาบเบื้องล่าง
การระเบิดความผันผวนของคลื่นหลิงที่เล็ดลอดออกมาจากร่างกายของฉินจิงเจ๋อมาถึงระดับที่น่าทึ่ง ซึ่งบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มแล้ว!
“ฉินจิงเจ๋อบรรลุขุมพลัง!”
หลายคนอุทานเหนือทะเลสาบ เมื่อก่อนฉินจิงเจ๋อเป็นอยู่ในขั้นเก้าระยะปลายสุด แต่ขณะนี้เขาก้าวเข้าสู่ขั้นเก้าระยะเต็มแล้ว!
หลายคนรู้สึกอิจฉาเนื่องจากจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะสัมผัสกับระดับตี้จื้อจุน ช่วงเวลาที่เขาก้าวผ่านธรณีประตูก็จะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าและกลายเป็นจอมยุทธ์ทรงอำนาจ
ความแตกต่างระหว่างระดับจื้อจุนและระดับตี้จื้อจุนคล้ายกับสวรรค์และโลก
เฉพาะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนเท่านั้นที่สามารถอ้างสิทธิ์ในการเป็นจอมยุทธ์แห่งมหาพันภพพร้อมกับสามารถท่องไปทั่วยุทธภพ นอกจากนี้พวกเขายังสามารถขึ้นเป็นผู้นำก่อตั้งสำนักของตนเองในทวีปเทียนหลัวได้
“ทะเลสาบสวรรค์แห่งนี้ควรค่าแก่การเป็นหนึ่งในฐานรากของวังสวรรค์บรรพกาลอย่างแท้จริง” แม้แต่มู่เฉินก็อดถอนหายใจไม่ได้
“หืม?”
หลังจากที่ถอนหายใจดวงตาก็ต้องหดลงก่อนที่จะมองไปยังทิศทางอื่น ร่างเงาหลายร่างอยู่บนพื้นผิวที่ห่างไกลของทะเลสาบ
ร่างเงาเหล่านั้นปรากฏขึ้นพร้อมกับเกลียวแสงสีทองเปล่งประกายออกมาจากป้ายมังกรทองคำของพวกเขา ยามนี้พวกเขาดึงดูดความสนใจทั้งหมดที่มีต่อฉินจิงเจ๋อมา
ดวงตาแต่ละคนสว่างขึ้นมองด้วยความคาดหวัง
นั่นเป็นเพราะร่างเงาเหล่านั้นเป็นจอมยุทธ์อัจฉริยะรุ่นใหม่ของทวีปเทียนหลัว ซึ่งก็คือจู้เยี่ยน จาโหลหลัวและซูชิงหยิง
ในเวลาเดียวกันร่างเงาสามร่างก็ปรากฏขึ้นในอีกมุมหนึ่ง ซึ่งก็คือเซียวเซียว หลินจิ้งและจิ่วโยว
เมื่อพวกเขาปรากฏตัวก็ดึงดูดความสนใจของทุกคน แต่พวกเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้น พวกเขากวาดสายตาไปรอบๆ ก่อนที่จะมุ่งความสนใจไปที่มู่เฉิน
หลินจิ้งโบกมือให้มู่เฉินหย็อยๆ แต่ไม่ได้เข้ามาใกล้ เพราะต่างกำลังจะกระตุ้นการชำระล้าง ดังนั้นจึงเป็นการดีที่สุดที่จะรักษาระยะห่างเพื่อที่จะได้ไม่ขัดจังหวะกัน
จู้เยี่ยนมองไปที่มู่เฉินอย่างกินลึกแต่ก็ไม่ได้พูด ผิดกลับซูชิงหยิงที่มองด้วยความสนใจ
สำหรับจาโหลหลัว เขายิ้มให้มู่เฉินด้วยสีหน้าอบอุ่น “ฮ่าๆ พี่มู่อยู่นี่เอง ไม่มีข่าวเกี่ยวกับเซี่ยหยู่ดูเหมือนว่าเขาจะถูกเจ้าฆ่าสินะ น่าเกรงขามจริงๆ”
คำพูดของจาโหลหลัวดึงดูดเสียงอื้ออึงนับไม่ถ้วน ขณะที่ทุกคนมองมู่เฉินด้วยความไม่เชื่อ
เห็นได้ชัดว่าข่าวการต่อสู้ของมู่เฉินและเซี่ยหยู่ไม่ได้แพร่งพรายออกไป
“เซี่ยหยู่ตายด้วยน้ำมือมู่เฉิน? เป็นไปได้ยังไง?!” ทุกคนตกใจมากจนแม้แต่ฉินจิงเจ๋อที่เพิ่งออกจากการบรรลุขุมพลังก็มองไปที่มู่เฉินด้วยความตกตะลึง ตอนแรกเขาคิดว่าจะสามารถสู้กับเซี่ยหยู่ได้ด้วยพัฒนาการที่มี แต่เขาไม่คิดว่าเซี่ยหยู่จะถูกมู่เฉินสังหารไปแล้ว
“ไม่…เป็นไปไม่ได้!” อีกมุมหนึ่งใบหน้าของเซี่ยหงก็ซีดลง จอมยุทธ์แคว้นเซี่ยที่อยู่ข้างๆ ก็มีเหงื่อเย็นปกคลุมเต็มหน้าผากขณะค่อยๆ เหลียวมองไปที่มู่เฉินด้วยความตกใจในดวงตา ราวกับเห็นผีก็มิปาน
พวกเขารู้แค่ว่าเซี่ยหยู่จะสู้กับมู่เฉิน แต่ไม่มีใครคาดคิดว่านอกจากเซี่ยหยู่จะไม่สามารถจัดการกับมู่เฉินได้ เขายังเสียท่าถูกฆ่าอีกด้วย
มู่เฉินยังคงนิ่งเงียบขณะมองไปที่จาโหลหลัว แม้ว่าชายคนนี้จะเล่นละครดูตกอกตกใจ แต่มีเจตนาร้ายในคำพูดอย่างชัดเจน
“หากเจ้าสนใจสามารถลองดูได้เช่นกัน” มู่เฉินเอ่ยขึ้นเบาๆ
จาโหลหลัวยิ้ม “ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่ดีที่สุด นอกจากนี้พี่มู่ก็ไม่ธรรมดา เนื่องจากสามารถสรรหาผู้ช่วยนอกทวีปที่ทรงพลังเช่นนี้ได้ ดูเหมือนว่าโอกาสของทวีปเทียนหลัวครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อคนนอกซะแล้ว”
ขณะที่เขาพูดก็มองไปที่เซียวเซียวและหลินจิ้ง ความหมายเบื้องหลังคำพูดชัดเจนมาก
ทุกคนมีสีหน้าเปลี่ยนไปขณะมองไปที่มู่เฉิน เซียวเซียวและหลินจิ้งด้วยความหวาดระแวง
“เจ้านี่ชั่วช้าจริงๆ!” สายตาของจิ่วโยวกลายเป็นเย็นเยือกเมื่อมองไปที่จาโหลหลัวอย่างโกรธเกรี้ยว เห็นได้ชัดว่าจาโหลหลัวต้องการให้คนอื่นแยกมู่เฉินออกจากทวีปเทียนหลัว
ทว่ามู่เฉินราวกับไม่เห็นสายตาที่ตั้งระวังเหล่านั้น เขายิ้มอย่างใจเย็น “วังสวรรค์บรรพกาลถูกทิ้งไว้เบื้องหลังโดยบรรพบุรุษผู้กล้า เหล่าผู้อาวุโสตายเพื่อปกป้องมหาพันภพจากจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาทิ้งไว้เบื้องหลังจึงถือเป็นของมหาพันภพ แต่วันนี้เจ้ากลับใช้โอกาสเหล่านี้มากีดแบ่งมหาพันภพ การกระทำเช่นนี้ก็ไม่ต่างจากเผ่าปีศาจ”
คำพูดของมู่เฉินทำให้ทุกคนอึ้งไปก่อนที่จะรู้สึกละอาย นั่นเป็นเพราะคำพูดของมู่เฉินมีไว้เพื่อประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่กว่า หากมีใครกล้าหักล้างคำพูดก็จะเป็นการแยกมหาพันภพ สนับสนุนเผ่าปีศาจ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ต้องพูดถึงจาโหลหลัว แม้แต่จักรพรรดิฟ้าก็ไม่กล้ารับหม้อใบนี้ขึ้นมา
ทุกคนสบตากันก่อนจะมองไปที่ใบหน้าของจาโหลหลัวที่เปลี่ยนไปเป็นไม่น่ามอง เห็นได้ชัดว่าเขาตกใจมากกับการรับหม้อเดือดใบนี้ไป นี่ทำเอาทุกคนถอนหายใจ
“มู่เฉินร้ายกาจจริงๆ…”
**รับหม้อ เป็นการเปรียบเทียบ แปลว่า รับสิ่งไม่ดีใส่ตัว
บทที่ 1153 สัมผัส
เหนือทะเลสาบสวรรค์
ความปั่นป่วนยังคงดำเนินต่อไป ขณะที่ใบหน้าของจาโหลหลัวน่าเกลียดขึ้นทีละน้อย สายตาที่จับจ้องมาโดยรอบทำเอาหางตาเขากระตุกไม่หยุด
เขาไม่คิดว่าการเผชิญหน้ากับแผนการของเขา ไม่เพียงแต่มู่เฉินจะทำลายลงในพริบตา ยังทำให้เขาวุ่นวายตามไปอีกด้วย
จักรวรรดิปีศาจต่างมิติและมหาพันภพเป็นศัตรูคู่อาฆาตตั้งแต่โบราณกาล ดังนั้นความไม่พอใจใดๆ จะถือว่าเล็กน้อยต่อหน้าภัยอันตรายทำลายล้างเช่นนั้น
ดังนั้นอะไรที่เกี่ยวข้องกับเผ่าปีศาจสักเผ่าจะถือว่าเป็นศัตรูของทุกผู้ทุกนามในมหาพันภพ
แน่นอนว่าคำพูดของมู่เฉินไม่อาจผลักจาโหลหลัวไปยังจุดนั้นได้ แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เขารู้สึกแย่มาก
“สมน้ำหน้า!” เมื่อจิ่วโยวเห็นสีหน้าจาโหลหลัวดิ่งลง นางก็รู้สึกสะใจจนอดหัวเราะออกมาไม่ได้
ทว่าแม้จาโหลหลัวจะรู้สึกหน้าม้านไป แต่ความไม่ธรรมดาทำให้เขาฟื้นสติได้อย่างรวดเร็ว เขาไม่สนใจสายตาเยาะเย้ยที่กวาดมาหาขณะจ้องหน้ามู่เฉินอย่างลึกซึ้ง “ลิ้นของพี่มู่บาดลึกยิ่งนัก แต่ไม่รู้ว่าความสามารถเจ้าจะเฉียบคมเท่ากับลิ้นไหม?”
แม้ว่าน้ำเสียงจะนิ่งสงบ แต่ใครๆ ก็สามารถสัมผัสได้ถึงเจตนาฆ่าที่ซ่อนอยู่ในคำพูดอันเย็นเยือก
“งั้นก็ต้องมาลองด้วยตัวเองดู” มู่เฉินยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ
สองสายตาจ้องกันด้วยความเย็นชาฟาดฟันกันเปรี้ยงปร้าง รอบตัวพวกเขาเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าที่น่าทึ่ง ทำให้จอมยุทธ์โดยรอบตกใจ เห็นได้ชัดว่าพวกเขางงงวยว่าทำไมทั้งสองคนถึงมีความเป็นศัตรูกันอย่างลึกซึ้งระหว่างกันขนาดนั้น
“เฮ้ หนุ่มๆ ถ้าอยากสู้กันก็ออกไปข้างนอก อย่ารบกวนการชำระล้างของพวกเรา” เมื่อสายธนูถูกดึงจนตึงระหว่างทั้งสอง เสียงกระหยิ่มเกียจคร้านดังมาแต่ไกล ทุกคนมองไปที่ซูชิงหยิงที่กำลังมองมู่เฉินและจาโหลหลัวอยู่ด้วยความเบื่อหน่าย แม้ว่าทั้งคู่จะเต็มไปด้วยจิตสังหาร แต่นางก็บอกได้ว่าพวกเขาไม่คิดจะต่อสู้กันที่นี่
ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงของซูชิงหยิง จาโหลหลัวก็ถอนจิตสังหารและยิ้ม “ดูเหมือนว่าเราต้องเลื่อนเวลาออกไปอีกหน่อย”
มู่เฉินพยักหน้า “ยินดีต้อนรับทุกเมื่อ”
เมื่อเห็นว่าทั้งสองถอยออกจากกันจริงๆ ซูชิงหยิงก็เบ้ปากก่อนจะยืดเอวพลางควบคุมเรือที่ใต้ฝ่าเท้า ทันใดนั้นเกลียวแสงมันวาวไร้ขอบเขตก็กวาดออกพร้อมกับก้อนอัญมณีจิตทะเลสาบสวรรค์บินฉวัดเฉวียนไปบนท้องฟ้า
ความผันผวนของคลื่นหลิงที่ทรงพลังเกินกว่าทุกคนถูกกวาดออกไป ทำให้กระทั่งสีหน้าของฉินจิงเจ๋อยังเปลี่ยนไป เขามองก้อนอัญมณีจิตเหล่านั้นก็กลืนน้ำลายลงคอ “นั่น…จิตทะเลสาบสวรรค์เก้าสิบดวง?”
ณ ที่นี่ทุกคนไม่สามารถซ่อนความตกใจ พวกเขาอึ้งไปกับจำนวนที่มากเช่นนั้น
ฮึ่ม ฮึ่ม!
จิตทะเลสาบสวรรค์เก้าสิบดวงราวกับดวงดาวห่อหุ้มอยู่รอบร่างซูชิงหยิง นางยกมือขึ้นน้ำทะเลสาบที่อยู่ใต้เท้าก็หมุนคว้างรุนแรงกลายเป็นกระแสน้ำวนที่กว้างประมาณหนึ่งพันจั้ง ซึ่งแข็งแกร่งกว่าสายธารของฉินจิงเจ๋อ
ดูท่าถึงจะเป็นการชำระล้างขั้นสูงเหมือนกัน แต่เนื่องจากจำนวนที่มากกว่าชัดว่าซูชิงหยิงอยู่ในชั้นที่สูงกว่าขึ้นไปอีก
ตู้ม!
ทันใดนั้นลำแสงขนาดใหญ่ก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าจากกระแสน้ำวน แสงหลิงเริ่มรวมตัวกันที่ขอบฟ้าไม่กี่อึดใจต่อมาก็ก่อร่างเป็นแม่น้ำเปล่งประกายระยับ
แม่น้ำมีขนาดใหญ่กว่าสายธารของฉินจิงเจ๋อสิบเท่า พลังที่บรรจุอยู่ภายในก็ใหญ่กว่าและบริสุทธิ์กว่ามาก
พวกคนมุงมองไปด้วยความอิจฉาหากพวกเขาสามารถได้รับการชำระล้างขั้นนั้นก็จะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง
ซ่า ซ่า!
แม่น้ำม้วนตัวอยู่บนท้องฟ้าก่อนจะพุ่งลงมา ทว่าเมื่อพบกับโอกาสที่หายากเช่นนี้ ซูซิงหยิงกลับไม่ได้ใช้เพื่อปรับแต่งร่างเทห์สวรรค์ ตรงกันข้ามนางนั่งลงแสงสีแดงกะพริบบนหน้าผากของนางก่อนที่รังไหมสีแดงเข้มจะปรากฏออกมาอย่างช้าๆ
แม่น้ำระยิบระยับไหลลงมาเทลงบนรังไหมสีแดงเข้ม ซึ่งรังไหมก็กลืนกินแม่น้ำราวกับกับเหวลึก
แม่น้ำถูกกลืนลงไปมากขึ้น….มากขึ้น ลวดลายโบราณก็เริ่มปรากฏบนรังไหมรอยแตกแผ่กระจายออกไป
เมื่อน้ำหยดสุดท้ายร่วงลงรังไหมสีแดงเข้มก็ถูกปกคลุมไปด้วยรอยแตกก่อนที่จะแตกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกับแสงสีแดงบินออกไป
ภายใต้สายตานับไม่ถ้วน ผีเสื้อน่าหลงใหลสีแดงเข้มก็บินออกมาจากรังไหม บินวนรอบตัวซูชิงหยิงอย่างมีความสุข
ทุกครั้งที่ผีเสื้อกระพือปีกความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังจะเล็ดลอดออกมา ซึ่งทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มยังต้องสะดุ้งในหัวใจ
“นี่คือ… แมลงวิญญาณพันธะชีวิตของซูชิงหยิง?” มู่เฉินมองไปที่ผีเสื้อด้วยความประหลาดใจ ว่ากันว่าหลิงฉงซือทุกคนจะมีแมลงวิญญาณพันธะชีวิตของตัวเอง ทว่าก่อนที่แมลงวิญญาณเหล่านั้นจะเติบโตเต็มที่พวกมันจะอ่อนแอมาก แต่เมื่อพวกมันเติบโตถึงขีดสุดก็จะสามารถพัฒนาไปพร้อมกับเจ้านาย นอกจากนี้ยังสามารถสละตัวเองเพื่อแลกกับชีวิตของเจ้านายอีกด้วย
ด้วยแมลงวิญญาณพันธะชีวิตนี้มันจะเทียบเท่ากับการมีสองชีวิต
ซูชิงหยิงมีความแน่วแน่แท้จริงที่จะไม่ใช้การชำระล้างกับตัวเองและเลือกฟูมฟักแมลงวิญญาณของตนเอง ในท้ายที่สุดนางก็สามารถปล่อยให้มันโตได้อย่างเต็มที่
ด้วยแมลงวิญญาณพันธะชีวิตนี้พลังของซูชิงหยิงจะเพิ่มขึ้นทวีคูณแน่นอน ถ้านางกลับไปที่ประตูมังกรทะยานสวรรค์ตอนนี้ ก็อาจจะได้รับสถานะศิษย์ระดับมังกรทองคำอย่างง่ายดาย
หลังจากที่ซูชิงหยิงเสร็จสิ้นกระบวนการ หญิงทั้งสามก็ไม่สามารถระงับความตื่นเต้นได้ จิ่วโยวเริ่มเป็นคนแรก นางกระตุ้นป้ายใต้เท้าจิตทะเลสาบสวรรค์เจ็ดสิบแปดดวงบินออกมา แม้ว่าจะด้อยกว่าซูชิงหยิงในแง่ของจำนวน แต่ก็มีมากกว่าฉินจิงเจ๋อถือได้ว่าค่อนข้างดี นอกจากนี้ก็ยังเป็นเพราะความช่วยเหลือของเซียวเซียวและหลินจิ้ง ไม่เช่นนั้นด้วยพลังของจิ่วโยวโอกาสที่นางจะจัดการกับจิตทะเลสาบสวรรค์ได้จะไม่สูงเกินไป
ถ้าจำนวนของจิ่วโยวเรียกว่าค่อนข้างดีแล้ว เมื่อเซียวเซียวและหลินจิ้งเริ่มทำการเคลื่อนไหวแต่ละคนก็มีลูกตาแทบถลนออกมา
แสงแวววาวระเบิดออกมาจากเรือมังกรทองคำภายใต้เท้าของหญิงสาวทั้งสอง จิตทะเลสาบสวรรค์ก็บินฉวัดเฉวียนออกมาหมุนรอบตัวพวกนางราวกับทางงช้างเผือก
ซึ่งมีถึงเก้าสิบเก้าดวงด้วยกัน!
นั่นถือได้ว่าเป็นจุดสูงสุดของการชำระล้างขั้นสูง!
มู่เฉินมองไปที่จิตทะเลสาบสวรรค์รอบตัวพวกนางก็ตกอยู่ในความคิดลึกซึ้ง ดูเหมือนว่าเซียวเซียวและหลินจิ้งก็ไม่รู้วิธีที่จะได้รับจิตทะเลสาบสวรรค์ดวงที่ร้อย
แน่นอนว่าเขาก็ไม่กล้าอ้างว่าวิธีการที่ตนเองคิดถูกต้อง เพราะเขายังต้องลองเสี่ยงพนันดู…
เมื่อจู้เยี่ยนและจาโหลหลัวเห็นจำนวนก้อนอัญมณีจิตที่อยู่รอบตัวหญิงสาวทั้งสอง พวกเขาก็หดตาก่อนจะกระทืบเท้า ซึ่งก็มีก้อนอัญมณีจิตถึงเก้าสิบเก้าดวงด้วยเช่นกัน!
โห่
ความปั่นป่วนเกิดขึ้น ทุกคนดวงตาเป็นสีแดงก่ำ จิตทะเลสาบสวรรค์เก้าสิบเก้าดวงเป็นจุดสูงสุดของการรับการชำระล้างขั้นสูง
“แต่ทำไมพวกเขาถึงมีเก้าสิบเก้าดวงเท่านั้น?” ทว่าก็มีบางคนรู้สึกถึงความผิดปกติ ด้วยพลังของจอมยุทธ์เหล่านี้ หากพวกเขาได้รับเก้าสิบเก้าดวง ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะขาดดวงสุดท้าย…
ด้วยความภาคภูมิใจพวกเขาจะต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ได้รับจิตทะเลสาบดวงที่ร้อยเพื่อรับการชำระล้างที่สมบูรณ์แบบ
“ดูเหมือนว่าการชำระล้างขั้นสมบูรณ์จะไม่สามารถรับได้ด้วยวิธีการธรรมดา” ทุกคนครุ่นคิด จากนั้นก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นมีเพียงเหตุผลนี้เท่านั้นที่เหมาะสมกับคำอธิบายว่าทำไมจู้เยี่ยน จาโหลหลัว เซียวเซียวและหลินจิ้งจึงคว้าจิตทะเลสาบสวรรค์ได้เก้าสิบเก้าดวงเท่านั้น
ฮึ่ม ฮึ่ม
ในขณะที่ทุกคนตกใจกับจำนวน ทะเลสาบสวรรค์ใต้เท้าของพวกเขาก็ก่อตัวเป็นกระแสน้ำวนขนาดมหึมาก่อนที่เสาแสงจะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
เมฆรวมตัวกันเบื้องบนพร้อมแสงแล่นแปลบปลาบ
ภาพที่ปรากฏเหนือร่างจิ่วโยวเป็นสายธารที่มีความยาวประมาณร้อยจั้งแม้ว่าจะด้อยกว่าซูชิงหยิงแต่ก็เหนือกว่าฉินจิงเจ๋อ
เมื่อเทียบกับจิ่วโยว อีกสี่คนทำให้เกิดความปั่นป่วนสั่นสะเทือนโลกาเนื่องจากกระแสน้ำวนที่อยู่ใต้เท้าของพวกเขามีขนาดหลายพันจั้งพร้อมกับแสงหลิงที่ครอบงำก่อนที่จะกลายเป็นทะเลสาบสี่แห่งที่มีขนาดหลายพันจั้ง
เกลียวแสงหลิงพุ่งออกมาจากทะเลสาบเหล่านั้น พลังงานที่บริสุทธิ์ดูข้นหนืดเล็กน้อยก่อตัวเป็นสะพานพลังงานหลิงที่ดูลึกซึ้งมาก
ทุกคนตกตะลึงเมื่อมองไปที่ทะเลสาบ เทียบกับสิ่งนี้ การชำระล้างของซูชิงหยิงถือได้ว่าลีบแบนไปเลยทีเดียว
“นี่คือจุดสูงสุดของการชำระล้างขั้นสูงเรอะ? ช่างทรงพลังจริงๆ!” ผู้คนมองไปด้วยความโลภ หากพวกเขาได้รับการชำระนี้ก็จะยิ่งเพิ่มความแข็งแกร่งจนไม่อาจบรรยายได้
ทว่าเผชิญหน้ากับคนดุร้ายเหล่านี้ก็ไม่มีใครกล้าเอามือจุ่มลงไปหรอก
“ทำไมมู่เฉินไม่เคลื่อนไหวมั่งล่ะ?”
ขณะที่ผู้ชมตกใจกับพิธีชำระล้างขั้นสูง ก็มีบางคนสังเกตเห็นมู่เฉินยืนนิ่งอยู่บนเรือมังกรทองคำเช่นกัน แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดป้ายมังกรทองคำของเขาถึงดูสลัวรางมาก
“พี่มู่ ทำไมไม่มีความผันผวนจากจิตทะเลสาบสวรรค์ที่มาจากป้ายมังกรทองคำของเจ้า” จาโหลหลัวเงยหน้าขึ้นมองไปที่มู่เฉินด้วยรอยยิ้ม
ขณะที่เขาพูดทุกคนต่างมองไปที่มู่เฉินด้วยความสงสัย
หญิงสาวทั้งสามก็มองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาเป็นกังวล นั่นเป็นเพราะพวกนางรู้สึกได้ว่าไม่มีเกลียวแสงหลิงใดๆ พรั่งพรูออกมาจากป้ายมังกรทองคำของมู่เฉิน หมายความว่าไม่มีจิตทะเลสาบสวรรค์ใดๆ งั้นเหรอ!
หรือว่ามู่เฉินได้เจอปัญหาขณะรวบรวมจิตทะเลสาบ?
บางคนที่มีความคิดเช่นนี้ก็ต่างรู้สึกดีใจในความโชคร้ายของเขา โดยเฉพาะจาโหลหลัวที่มุมปากโค้งขึ้น
เผชิญหน้ากับการจ้องมองของพวกเขา มู่เฉินก็ไม่สนใจค่อยๆ หลับตาลงเงียบๆ สัมผัสถึงความผันผวนที่อยู่ลึกลงไปในทะเลสาบสวรรค์
ทว่ามือของเขาในแขนเสื้อก็ค่อยๆ กระชับเป็นหมัดขณะรอคอย
นั่นเป็นเพราะเขาไม่มั่นใจ นี่เป็นเพียงการคาดเดาหากเขาล้มเหลวก็จะสูญเสียมากมายกับการชำระล้างนี้
เวลาค่อยๆ ไหลผ่าน มู่เฉินปิดกั้นทุกสรรพเสียงรับรู้ถึงการไหลของน้ำในส่วนลึกของทะเลสาบสวรรค์
ครืน
ท่ามกลางการรอคอย ทันใดนั้นเสียงแปลกๆ ก็ดังมาจากส่วนลึกของทะเลสาบสวรรค์
มู่เฉินลืมตาขึ้นทันทีพร้อมกับความสุขที่นึกไม่ถึงพล่านในม่านตา
นั่นเป็นเพราะขณะนี้ในที่สุดเขาก็สัมผัสได้ถึงรอยประทับที่เขาทิ้งไว้ในจิตทะเลสาบสวรรค์!
บทที่ 1154 ประชันร่างเทห์สวรรค์
ในส่วนลึกของทะเลสาบสวรรค์
การเคลื่อนไหวแปลกประหลาดส่งผลให้ความปลื้มปีติฉายบนใบหน้าของมู่เฉิน เนื่องจากเขาสัมผัสได้ถึงรอยประทับที่ปรากฏในห้วงแห่งจิต
แต่คราวนี้ความผันผวนจากรอยประทับเหล่านั้นดูเหมือนจะแตกต่างกับก่อนหน้านี้
นั่นเป็นเพราะไม่ได้มีจิตทะเลสาบเก้าสิบเก้าดวง แต่มีเพียงหนึ่งเดียว!
แต่ความผันผวนที่เปล่งออกมาก็ทำให้หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้าน หากจิตทะเลสาบสวรรค์ทั้งเก้าสิบเก้าดวงมีลักษณะคล้ายกับดวงดาวบนท้องฟ้า ความผันผวนหนึ่งเดียวนี้ก็เสมือนดวงอาทิตย์ส่องแสงมายังโลก
การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เกิดรอยยิ้มที่มุมปากของมู่เฉิน นั่นหมายความว่าการคาดเดาของเขาถูกต้องแล้ว
สิ่งที่เรียกว่า ‘จิตทะเลสาบสวรรค์ดวงที่ร้อย’ นั้นไม่สามารถได้รับโดยวิธีทั่วไป
ครืน!
ขณะที่มู่เฉินรู้สึกมีความสุขในหัวใจ ทะเลสาบเหนือจู้เยี่ยน จาโหลหลัว เซียวเซียวและหลินจิ้งก็สั่นสะเทือนรุนแรงก่อนที่จะเทลงมาล้อมรอบพวกเขาราวกับน้ำตก
น้ำตกมีพลังงานบริสุทธิ์มาก หนาแน่นจนถึงจุดที่สามารถมองเห็นสะเก็ดระยิบระยับ
สะเก็ดถูกสร้างขึ้นจากคลื่นหลิงที่ควบแน่นอย่างมาก เพียงแค่เศษละอองก็เทียบเท่ากับของเหลวจื้อจุนพิสุทธิ์หลายหมื่นหยด
เมื่อน้ำตกไหลลงมาทั้งสี่คนก็เร้าร่างเทห์สวรรค์ออกมาเพื่อรับการชำระล้าง
จู้เยี่ยนเป็นคนแรกที่เปิดเผยร่างเทห์สวรรค์ เปลวไฟไร้ขอบเขตรวมตัวอยู่ข้างหลังเขากลายเป็นเงาเพลิงขนาดใหญ่ในอึดใจ แรงครอบงำของเปลวไฟทำให้มิติบิดเบี้ยว ร่างนั้นราวกับเทพอัคคีอย่างไรอย่างนั้น
“นั่นคือร่างเทพอัคคีของจู้เยี่ยนเหรอ? ลือกันว่านี่เป็นหนึ่งในร่างเทห์สวรรค์ล้ำค่าเผ่าเทพอัคคี อยู่อันดับที่สามสิบสี่ของทำเนียบร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง!” เมื่อจู้เยี่ยนนำร่างเทห์สวรรค์ออกมา ความโกลาหลก็กวนตัวทันที ทุกคนฉายความโลภในดวงตา ร่างเทห์สวรรค์อันดับแบบนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่ขั้วอำนาจอย่างแคว้นเซี่ยก็ยังไม่มี
มู่เฉินจ้องไปที่ร่างเทห์สวรรค์ร่างนั้นก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจชื่นชม ตามการคาดการณ์นี่อาจเทียบได้กับร่างเทพสุริยะของเขาเลยก็ว่าได้
ท้ายที่สุดแล้วร่างเทพสุริยะน่ากลัวในแง่ของศักยภาพ แต่เวลานี้ยังอยู่ในสถานะร่างต้น ดังนั้นในแง่ของการจัดอันดับอาจอยู่ในอันดับสามสิบเท่านั้น ซึ่งใกล้เคียงกับร่างเทพอัคคี
ในอดีตตอนที่มู่เฉินยังอ่อนแอ เขาเจอเหล่าจอมยุทธ์ที่ไม่ได้มีรากฐานแข็งแกร่งจึงสามารถผงาดเหนือกว่าได้ด้วยร่างเทพสุริยะ แต่ในขณะนี้เขาปะทะกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ร่างเทห์สวรรค์ที่เจอก็แข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน ดังนั้นสามารถจินตนาการได้ว่าบางทีวันหนึ่งเขาอาจต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่มีร่างเทห์สวรรค์ที่เหนือกว่าตัวเอง
ถึงเวลานั้นก็ถึงคราวของเขาต้องกระอักบ้าง
ดังนั้นก่อนที่สถานการณ์ดังกล่าวจะปรากฏขึ้นเขาต้องพัฒนาร่างเทพสุริยะให้ได้ในวังโบราณแห่งนี้ ด้วยวิวัฒนาการเขาจะสามารถรักษาความได้เปรียบที่แท้จริงของตนเองเอาไว้ได้
ขณะที่มู่เฉินครุ่นคิด ด้านหลังของหลินจิ้งก็เกิดแสงพรั่งพรูออกมาอย่างอ่อนโยนราวกับว่าสามารถยอมรับและหลอมรวมกับทุกสรรพสิ่งได้
แสงก่อร่างเป็นเงาขนาดใหญ่และสง่างามเปล่งประกายแวววาวราวกับหยกดูเหมือนว่าสามารถรวมเข้ากับอะไรก็ได้ ในมือถือขวดหยกซึ่งตรงปากขวดมีความผันผวนที่น่าอัศจรรย์คลุมเครือเล็ดลอดออกมาราวกับว่ามีบางสิ่งที่น่ากลัวได้รับการหล่อเลี้ยงอยู่ภายใน
เมื่อนางเร้าร่างเทห์สวรรค์ของตัวเองออกมา ทุกคนก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนที่พวกเขาจะตระหนักถึงบางอย่างจนต้องหายใจเข้าลึกๆ
“คัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์ที่หลินจิ้งฝึกฝนคือร่างเทพหยก ซึ่งอยู่ในอันดับที่ยี่สิบแปดในทำเนียบ!” หัวใจของมู่เฉินก็สั่นสะท้านพร้อมกับความตกใจบนใบหน้า
ร่างเทพหยกไม่ได้มีชื่อเสียงนักในมหาพันภพ แต่ไม่ใช่เพราะอ่อนแอ เป็นเพราะเงื่อนไขในการฝึกฝนโหดเหี้ยมเกินไปและทรัพยากรที่ต้องการก็เป็นสิ่งที่ต่อให้คั้นขั้วอำนาจระดับสูงยังอาจไม่สามารถฝึกได้สำเร็จ
เรื่องที่มีชื่อเสียงที่สุดของร่างเทพหยกไม่ใช่เรื่องการจัดอันดับ แต่เป็นความสามารถในการรวมเข้ากับทุกสรรพสิ่ง ตราบใดที่ผู้ฝึกสามารถฝึกฝนร่างเทห์สวรรค์นี้ได้ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นใหม่ตั้งแต่ต้นหากตัดสินใจที่จะฝึกร่างเทห์สวรรค์ที่สูงขึ้นในอนาคต พวกเขาใช้ร่างเทพหยกเป็นรากฐานได้ ด้วยวิธีนี้ก็จะสามารถฝึกร่างเทห์สวรรค์ร่างใหม่ได้เร็วมากขึ้น พลังก็จะมีข้อดีของทั้งสองร่างรวมไว้เช่นกัน ช่างมหัศจรรย์เหลือเกิน
ดังนั้นแม้ว่าร่างเทพหยกจะอยู่ในอันดับที่ยี่สิบแปด แต่ความเก่งกาจก็แข็งแกร่งยิ่งกว่าสิบอันดับแรก!
“มีพ่อที่ดีก็เยี่ยมแบบนี้แหละ”
กระทั่งมู่เฉินก็อดถอนหายใจไม่ได้ อาจมีเพียงยอดยุทธ์ทรงพลังอย่างเทพจักรพรรดิสงครามเท่านั้นที่สามารถจัดหาทรัพยากรให้กับบุตรสาวเพื่อฝึกฝนร่างเทพหยกได้
จู้เยี่ยนตกใจไปเล็กน้อยเมื่อร่างเทพหยกปรากฏตัวเบื้องหน้า เขามองไปที่หลินจิ้งรากฐานที่ปรากฏของหญิงสาวทำให้เขาชักหวั่นใจ เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวคนนี้ต้องมีภูมิหลังที่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งไม่อ่อนแอไปกว่าเซียวเซียว
แววตาของจาโหลหลัวมืดครึ้มโดยไม่มีการแสดงออกใดๆ บนใบหน้า ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
“ไม่รู้ว่าร่างเทห์สวรรค์ของเซียวเซียวคือร่างอะไร?” ขณะที่รู้สึกถึงความผันผวนในส่วนลึกของทะเลสาบสวรรค์มู่เฉินก็มองไปที่เซียวเซียวอีกครั้ง บิดาของนางคือเทพจักรพรรดิอัคคีที่มีชื่อเสียง ดังนั้นร่างเทห์สวรรค์ที่เขาเตรียมไว้ต้องไม่ธรรมดาเช่นกัน
แม้ว่าเทพจักรพรรดิสงครามและเทพจักรพรรดิอัคคีจะไม่เคยพบปะกัน แต่บุตรสาวของพวกเขาก็ต้องมีจิตวิญญาณการแข่งขันของสตรีอยู่ในใจ
เซียวเซียวหลับตาลง ประกายสีรุ้งพวยพุ่งออกมาที่ด้านหลัง กลั่นตัวเป็นเงาขนาดใหญ่ซึ่งเป็นรูปร่างที่สง่างามนัก ทว่าร่างนี้มีส่วนล่างเป็นงูที่มีเกล็ดระยิบระยับทำให้ดวงตาของคนมองละลานไปหมด
“นั่นคือร่างอะไร?” เมื่อมู่เฉินเห็นร่างเทห์สวรรค์นั่นก็ตะลึงงัน นั่นเป็นเพราะตามความรู้ที่มีดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีร่างเทห์สวรรค์ดังกล่าวอยู่ในทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง
เห็นได้ชัดว่าเซียวเซียวฝึกฝนร่างเทห์สวรรค์ลึกลับซึ่งไม่ได้อยู่ในการจัดอันดับ แต่จากความผันผวนที่เปล่งออกมาแม้แต่มู่เฉินก็รู้สึกได้ถึงร่องรอยอันตรายที่มาจากมัน
เขารู้สึกได้ว่าร่างเทห์สวรรค์ลึกลับนี้อาจไม่ด้อยไปกว่าร่างเทพสุริยะ
“หรือว่าจะเป็นร่างเทห์สวรรค์ที่เทพจักรพรรดิอัคคีเป็นผู้คิดค้นขึ้นเอง? หากเป็นเช่นนั้นเขาก็น่ากลัวเกินไปแล้ว” มู่เฉินแอบเดาะลิ้น
ความปั่นป่วนยังคงดำเนินต่อไป มีหลายคนมองไปที่ร่างเทห์สวรรค์ลึกลับของเซียวเซียวด้วยความสงสัย ทว่าเนื่องจากพวกเขาไม่รู้เกี่ยวกับสถานะของเซียวเซียว พวกเขาจึงไม่สามารถคาดเดาได้
ขณะนี้มู่เฉินมองไปที่จาโหลหลัวด้วยสายตาเฉียบคม
อีกฝ่ายก็หันกลับมาเผชิญหน้ากับเขาด้วยไอสังหารที่กะพริบอยู่ในดวงตา ก่อนที่เขาจะยกมุมปาก มือวาดตราประทับขึ้น ทันใดนั้นคลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็ควบแน่นอยู่ข้างหลังพร้อมกับความผันผวนที่ทำให้แผ่นดินร้าวกระจายออกไป มิติถึงกับโยกคลอน
ทุกคนมองเห็นดวงอาทิตย์มหึมาลอยขึ้นพร้อมกับภาพเงาขนาดใหญ่นั่งอยู่กวาดมองโลก
ระลอกทรงพลังแผ่ไปในมิติ
มู่เฉินมองไปที่ร่างเทพสุริยะของจาโหลหลัว ม่านตาก็หดตัวลงอย่างไม่สามารถควบคุมได้
เมื่อพิจารณาจากรูปลักษณ์ภายนอกร่างเทพสุริยะของจาโหลหลัวคล้ายกับของเขามาก แต่ร่างเทห์สวรรค์ของเขาเป็นสีทองขณะที่ของจาโหลหลัวเป็นสีดำ
นอกจากนี้ดวงตะวันที่อยู่ด้านหลังร่างเทพสุริยะของจาโหลหลัวยังเป็นดวงตะวันสีดำหมุนรอบตัวเองคล้ายกับหลุมดำที่สามารถกลืนกินทุกสิ่งในโลกได้
ถ้าเปรียบร่างเทพสุริยะที่มู่เฉินฝึกฝนเป็นความรุ่งโรจน์สง่างาม งั้นร่างเทพสุริยะของจาโหลหลัวก็คล้ายกับหลุมดำที่สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้อื่นที่มอง
ทั้งสองร่างมีความคล้ายคลึง แต่ก็เดินสองเส้นทางที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
แต่เมื่อจาโหลหลัวเร้าร่างเทพสุริยะออกมาคลื่นหลิงรอบๆ ตัวมู่เฉินก็เดือดพล่านรุนแรงพร้อมกับความมันวาวกลั่นข้างหลัง ร่างเทพสุริยะของเขากำลังจะถูกเรียกออกมา แม้ว่าเขาจะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม
แต่สุดท้ายก็ถูกระงับลงไป ก่อนที่เขาจะเหลือบมองไปที่จาโหลหลัว ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาถึงมีความรู้สึกว่าระหว่างพวกเขาจะต้องมีคนถูกทำลาย
หนึ่งเดียวเท่านั้นที่สามารถคงอยู่!
จาโหลหลัวมองไปที่มู่เฉินอย่างไม่แยแส จากนั้นก็ยิ้มบาง “หลังจากการชำระนี้ร่างเทพสุริยะของข้าจะไปถึงจุดสูงสุด ในเวลานั้นร่างเทพสุริยะของแกจะถูกข้าทำลาย”
มู่เฉินยกเปลือกตาขึ้นพูดว่า “ข้ารู้สึกว่าร่างเทพสุริยะของแกจะกลายเป็นหินลับมีดให้ข้ามากกว่ามั้ง”
“โอ้? ด้วยอะไร? คนที่สูญเสียการชำระล้างเหรอ?” จาโหลหลัวยิ้มไม่เชิงยิ้ม
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของมู่เฉินขณะมองไปที่จาโหลหลัว “แกคิดว่าข้าเสียการชำระล้างไปแล้วเหรอ?”
เมื่อพูดจบมู่เฉินก็ค่อยๆ กางแขนออก
ดวงตาของจาโหลหลัวหรี่ลง แต่ขณะกำลังจะพูดม่านตาก็หดแคบลง เนื่องจากเขาเห็นเวิ้งน้ำที่อยู่ใต้เท้าของมู่เฉินระเบิดออกมาด้วยเกลียวแสงแวววาวมากมาย
ราวกับว่ามีดวงอาทิตย์ลุกโชนขึ้นอย่างรวดเร็วจากภายในทะเลสาบสวรรค์!
บทที่ 1155 การชำระล้างขั้นสมบูรณ์
ฮึ่ม!
เมื่อเกลียวแสงแวววาวไร้ขอบเขตระเบิดขึ้นจากทะเลสาบสวรรค์ใต้ฝ่าเท้าเขา ความสนใจทั้งหมดก็พุ่งตรงไปด้วยอาการตกตะลึง ขณะที่ทุกคนจ้องมองไปที่มู่เฉิน
บางคนที่มีประสาทสัมผัสเฉียบแหลมสายตาก็จดจ้องใต้ฝ่าเท้ามู่เฉินนิ่ง พวกเขาสามารถสัมผัสได้อย่างเลือนรางถึงความผันผวนทรงพลังที่แผ่ออกมาเร็วรี่ ณ จุดนั้น
“นั่นคืออะไร?” ผู้ชมบางคนอุทานด้วยความประหลาดใจ ขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยความสงสัย สิ่งนั้นเกิดเพราะมู่เฉินเหรอ?
จาโหลหลัวสังเกตสิ่งนี้พร้อมกับหางตากระตุกแบบควบคุมไม่ได้ เนื่องจากเขารู้สึกถึงริ้วความไม่สบายใจในเวลานี้
นี่เป็นครั้งแรกที่มู่เฉินทำให้เขารู้สึกว่าสถานการณ์เกินการควบคุมไปแล้ว
จู้เยี่ยนและซูชิงหยิงก็มองไปที่มู่เฉินด้วยความประหลาดใจ กลับกันเซียวเซียว หลินจิ้งและจิ่วโยวกลับรู้สึกยินดีสุดขีด เนื่องจากตอนแรกพวกนางเสียดายแทนเขามาก แต่เมื่อดูจากตอนนี้เหมือนว่ามู่เฉินจะซ่อนของดีเอาไว้ในแขนเสื้อ
“นั่นคืออะไรกัน?” นี่เป็นข้อสงสัยที่ทำให้ทุกคนงงงวย
ภายใต้ความสนใจทั้งหมด ทะเลสาบเบื้องล่างมู่เฉินก็เริ่มเดือดพล่าน ทุกคนมองเห็นเกลียวแสงไม่มีที่สิ้นสุดทะลุออกมาจากผิวน้ำ
ดูราวกับวงแสงรัศมีขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นที่ใต้ฝ่าเท้าเขา
วงรัศมีนี้ทำให้ทุกคนสะดุ้ง นี่เป็นรัศมีหมื่นจั้งกว้างใหญ่ไพศาลที่ทำให้มู่เฉินดูตัวเล็กจ้อยเมื่อเทียบกัน แต่เมื่อวงรัศมีเคลื่อนออกจากทะเลสาบก็เริ่มหดตัวอย่างรวดเร็ว กลายเป็นลูกทรงกลมเรืองแสงขนาดร้อยจั้งลอยอยู่กลางอากาศเบื้องหน้ามู่เฉิน
บนทะเลสาบสวรรค์ทุกคนตะลึงงัน เมื่อมองไปที่ลูกทรงกลมแสงที่เบื้องหน้ามู่เฉิน อึดใจสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป เนื่องจากสัมผัสได้ถึงความผันผวนของจิตทะเลสาบสวรรค์จากลูกทรงกลมนั้น
แต่ความผันผวนของลูกทรงกลมลูกนี้ทำเอาหนังหัวพวกเขาชาวาบไปหมด
แม้แต่จิตทะเลสาบเก้าสิบเก้าดวงก่อนหน้ารวมกันยังด้อยกว่าลูกทรงกลมแสงลูกนี้!
“นั่นคืออะไร?!” จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนอุทานออกมาโดยไม่รู้ตัว
ภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วนมู่เฉินก็สะบัดนิ้วเบาๆ ประกายแสงก็ปรากฏขึ้นภายในลูกทรงกลมแสง พวกมันดูเหมือนหิ่งห้อยที่กำลังเริงระบำ แต่ทุกจุดในนั้นมีความผันผวนที่น่าทึ่ง
ซึ่งมีจุดแสงทั้งหมดเก้าสิบเก้าดวง!
ทุกคนจ้องมองไปที่ลูกทรงกลมและเมื่อเห็นแสงเก้าสิบเก้าดวง สายตาของพวกเขาก็กะพริบจากนั้นความตกใจก็ปกคลุมใบหน้า
หากแสงทั้งเก้าสิบเก้าดวงคือจิตทะเลสาบสวรรค์ งั้นถ้าบวกกับลูกแสงขนาดใหญ่ภายนอกอีก นั่นไม่หมายความว่ามู่เฉินเก็บจิตทะเลสาบสวรรค์ได้ร้อยดวงเรอะ!
จิตทะเลสาบสวรรค์ร้อยดวงหมายถึงการชำระล้างขั้นสมบูรณ์!
ความคิดแล่นพล่านอยู่ในใจทุกคน กระทั่งจอมยุทธ์ที่ทรงพลังอย่างจู้เยี่ยนและซูชิงหยิงก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเมื่อมองมู่เฉินด้วยแววเคร่งขรึม พวกเขาก็ได้รับเพียงจิตทะเลสาบสวรรค์เก้าสิบเก้าดวง ดังนั้นจึงรู้ว่าการได้รับดวงที่ร้อยยากเพียงใด ที่สำคัญพวกเขาไม่มีวิธีที่จะได้รับเลย!
แต่ตอนนี้มู่เฉินได้รับจิตทะเลสาบสวรรค์ดวงที่ร้อยอย่างชัดเจน!
“แกร็ก!”
ใบหน้าของจาโหลหลัวเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มขณะเขากำหมัดในแขนเสื้อจนถึงจุดที่เกิดเสียงแตกลั่น เขามองไปที่มู่เฉินด้วยสายตามืดมน ตอนแรกเขาคิดว่ามู่เฉินทำให้การชำระล้างล้มเหลว แต่ใครจะคิดว่าไม่เพียงแต่ไม่ผิดพลาดยังแซงหน้าทุกคนได้รับจิตทะเลสาบสวรรค์ดวงที่ร้อยไปด้วย
แม้ว่าจำนวนจะมากกว่าพวกเขาเพียงหนึ่งเดียว แต่ระดับระหว่างทั้งสองขั้นคล้ายกับปากอ่าว
นั่นคือความแตกต่างระหว่างการชำระล้างขั้นสูงและขั้นสมบูรณ์
“มู่เฉินนี่คือจิตทะเลสาบสวรรค์ดวงที่ร้อยเหรอ?” หญิงสาวทั้งสามมองไปที่ภาพนี้ด้วยความตกตะลึง อึดใจก็อดไม่ได้ที่จะตั้งคำถาม
มู่เฉินยิ้มพลางพยักหน้า เขาไม่มีเจตนาจะปิดบังพรรคพวกจึงเผยความจริงให้รู้ “นี่คือจิตทะเลสาบสวรรค์ดวงที่ร้อยที่ข้าได้รับหลังจากรวมเก้าสิบเก้าดวง ทว่ากระบวนการต่างๆ ก็เป็นเพียงการคาดเดาของข้า แต่ดูเหมือนว่าข้าจะโชคดี”
หญิงทั้งสามเข้าใจทันที ที่แท้จิตทะเลสาบสวรรค์ดวงที่ร้อยได้มาอย่างนี้นี่เอง ทว่าแม้มู่เฉินจะพูดดูง่าย แต่พวกนางรู้ดีว่าเขาต้องสงบใจลงสังเกตมากแค่ไหน มิหนำซ้ำยังต้องมีความกล้าในการลงมือทำ เนื่องจากไม่มีเวลารวบรวมจิตทะเลสบาบทั้งเก้าสิบเก้าดวงอีกแล้ว
สิ่งที่มู่เฉินทำเป็นการพนันแท้จริง เขาใช้พิธีชำระล้างขั้นสูงที่อยู่ในกำมือไปเสี่ยงโชคเพื่อรับขั้นสมบูรณ์ ซึ่งอาจไม่มีทางเป็นไปได้เลย
ทุกคนในทะเลสาบสวรรค์ทอดถอนหายใจ พวกเขาถามตัวเอง ต่อให้จะรู้วิธีนี้แต่ก็อาจไม่มีความกล้าที่จะทำเช่นนี้
“มู่เฉินไม่ธรรมดาจริงๆ” บางคนมองไปที่มู่เฉินด้วยความเคารพในสายตา ดูเหมือนว่ามู่เฉินจะพิเศษอย่างแท้จริง มิน่าล่ะถึงสามารถฆ่าเซี่ยหยู่ได้ด้วยขุมพลังที่มีต่ำกว่าคนอื่น
มากจนแม้แต่จู้เยี่ยนก็ยังมองลึกไปที่มู่เฉินด้วยความรู้สึกกลัวคลุมเครือ แม้ว่าเขาจะไม่กลัวมู่เฉินในปัจจุบัน แต่เขาก็รู้สึกว่าครั้งต่อไปที่พบกันมู่เฉิน อีกฝ่ายจะทำให้เขาตกใจอย่างแท้จริงหรือมากจนแซงหน้าเขาไปเลยทีเดียว
มู่เฉินไม่ให้ความสนใจสายตาที่มุ่งมาที่เขา เขาแค่เหลือบมองจาโหลหลัวยิ้มบางก่อนที่จะไม่สนใจ เขาสะบัดนิ้วลูกทรงกลมขนาดใหญ่ก็ทะยานสู่ขอบฟ้า
ฮึ่ม ฮึ่ม!
ลูกทรงกลมพุ่งหายไปจากสายตาทุกคน จากนั้นความแวววาวไร้ขอบเขตก็กวาดออกมาจากท้องฟ้า
เกลียวแสงแทบไม่มีที่สิ้นสุด ความปั่นป่วนปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าทำให้ทุกคนตกตะลึง
เกลียวแสงแผ่กระจายออกไปสูงเหนือท้องฟ้า ไม่กี่สิบลมหายใจสั้นๆ ก็มีเสียงสาดกระเซ็นดังก้อง
เมื่อหมอกค่อยๆ สลายไป ฉากบนท้องฟ้าก็ปรากฏในสายตาผู้คนอย่างชัดเจน
ซี้ด!
เมื่อทุกคนเห็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นก็สูดลมหายใจเย็นลึกสุดปอด
“นะ… นั่นคือ…” จอมยุทธ์บางคนถึงขณะพูดติดขัดจากอาการตกตะลึง
จู้เยี่ยน เซียวเซียว หลินจิ้งและคนอื่นๆ ก็เงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ ส่วนจาโหลหลัวก็กำนิ้วทั้งสิบเข้าหากันแน่น
นั่นเป็นเพราะขณะนี้ขอบฟ้าปกคลุมไปด้วยทะเลสาบเป็นประกายระยิบระยับที่มีขนาดใหญ่มากจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด เมื่อมองจากระยะไกลก็รู้สึกว่าเหมือนกับทะเลสาบสวรรค์ที่ไม่มีที่สิ้นสุด!
เมื่อเทียบกับทะเลสาบสวรรค์นี้ ทะเลสาบที่จู้เยี่ยนและคนอื่นเรียกมามีขนาดเล็กจ้อยนัก
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีผลึกอัญมณีในทะเลสาบสวรรค์ซึ่งเปล่งประกายด้วยพลังหลิงซึ่งมีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนเท่านั้นที่สามารถกลั่นได้
นอกจากนี้ยังมีหมอกหลิงลอยขึ้นมาบนพื้นผิวของทะเลสาบ ก่อร่างเป็นมังกร หงส์ฟ้า พยัคฆ์และเสือดาวพร้อมเสียงคำรามดังก้อง
“นี่… นี่คือพิธีชำระล้างขั้นสมบูรณ์ในตำนานเรอะ?” ทุกคนค่อยๆ ฟื้นตัว แต่ละใบหน้าก็ยังคงปกคลุมไปด้วยความตกตะลึง สิ่งที่มู่เฉินกระตุ้นไม่ใช่สายธารหรือทะเลสาบ… แต่เป็นทะเลสาบสวรรค์!
เมื่อเทียบกับทะเลสาบสวรรค์นี้ พิธีชำระล้างของคนอื่นๆ ไม่มีอะไรต้องพูดถึง
“ครั้งนี้มู่เฉินทำกำไรได้มหาศาล” แม้แต่หลินจิ้งก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ แต่นางไม่ได้รู้สึกอิจฉา นางมีแต่ความสุขสำหรับสหายอย่างมู่เฉิน
แม้ว่าการชำระล้างทะเลสาบสวรรค์จะมีค่า แต่ก็ไม่มีอะไรมากสำหรับหลินจิ้งที่คุ้นเคยกับสมบัติดี
ภายใต้แววอิจฉาตาร้อน มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่ทะเลสาบสวรรค์ขนาดใหญ่ เขาไม่สามารถกลั้นยิ้มได้ ดูเหมือนว่าเขาจะชนะการเดิมพันครั้งนี้
ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ถึงเวลาเพลิดเพลินกับสิ่งที่เรียกว่า ‘พิธีชำระล้างขั้นสมบูรณ์’ ว่าทรงพลังเพียงใด
เขากางแขนออก แสงสีทองพุ่งออกมาจากร่าง ภาพเงาขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นพร้อมกับดวงตะวันสีทองลอยอยู่ด้านหลังศีรษะดูสง่างามและโดดเด่น
เมื่อมู่เฉินเรียกร่างเทพสุริยะออกมาก็ทำให้เกิดความปั่นป่วนใหญ่อีกครั้ง หลายคนมองไปมาระหว่างมู่เฉินและจาโหลหลัว
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่รู้เกี่ยวกับต้นกำเนิดของร่างเทห์สวรรค์ของมู่เฉิน แต่พวกเขารู้สึกได้ว่าร่างเทห์สวรรค์ของทั้งสองคล้ายกันมาก พูดได้ว่ามีต้นกำเนิดเดียวกันเลยทีเดียว!
ขณะที่พวกเขาอยู่ท่ามกลางความตกตะลึง แม่น้ำที่มีความยาวนับไม่ถ้วนก็ไหลลงมาจากทะเลสาบสวรรค์ คล้ายกับมังกรกำลังดำดิ่งลงไปขณะโอบล้อมร่างมู่เฉิน
พิธีชำระล้างขั้นสมบูรณ์เริ่มขึ้นแล้ว
บทที่ 1156 ความแข็งแกร่งเพิ่มพูน
โฮก!
ทะเลสวรรค์บนท้องฟ้าสั่นสะเทือน แม่น้ำที่ไหลลงมาราวกับมังกรใหญ่โฉบตัวที่มีพลังท่วมท้น ทำให้กระทั่งมิติยังแตกออก
คลื่นกระแทกที่รุนแรงช่างดูน่ากลัวยิ่งกว่าอะไร
ร่างเทพสุริยะยืนตระหง่านในอากาศ มู่เฉินปรากฏตัวบนศีรษะแล้วนั่งขัดสมาธิลง เวลานี้ดวงตะวันสีทองกำลังหมุนคว้างอย่างช้าๆ
ครืน!
แม่น้ำที่ราวกับมังกรพุ่งลงมาภายใต้สายตาอิจฉานับไม่ถ้วน ตกลงบนร่างมู่เฉิน
ขณะนี้เขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานหลิงที่ไม่มีที่สิ้นสุดพุ่งเข้าสู่ร่างกายจากกระหม่อม ทำให้ร่างกายของเขาพองตัวขึ้นเรื่อยๆ
ความรู้สึกคล้ายกับมีมังกรพุ่งเข้ามาในร่างกายบินฉวัดเฉวียนภายในแล้วกวาดหายนะ
ถ้าพลังงานนี้ถูกควบคุมโดยบางคนในตอนนี้ ร่างของมู่เฉินคงระเบิดเป็นฟองเลือดไปแล้ว
แต่โชคดีที่คลื่นหลิงเหล่านี้ไม่มีเจ้าของ นอกจากนี้ความบริสุทธิ์ก็อยู่ไกลเกินจินตนาการของมู่เฉินนัก
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพุ่งเข้ามาในหัวก่อนที่จะไหลบ่าบ้าคลั่ง ทำเอามู่เฉินเจ็บปวดรุนแรง ทว่าภายใต้ความเจ็บปวดเขาก็รู้สึกได้ไม่ว่าจะเป็นเส้นลมปราณ กระแสเลือดและเนื้อก็มีร่องรอยของประกายแสงละเอียดอยู่
แม้ว่าจะดูไม่มีนัยสำคัญ แต่มู่เฉินก็สัมผัสได้ชัดเจนถึงพลังที่น่ากลัว
ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ทุกอณูแข็งแกร่งมากขึ้นไปด้วย
ในเวลาเดียวกันก็มีริ้วเลือดสีดำไหลออกมาจากภายในหรือบนพื้นผิวของร่างกาย
นั่นคืออาการบาดเจ็บที่ซ่อนอยู่ ซึ่งมู่เฉินได้รับมาจากการต่อสู้ในอดีต แต่ยามนี้กำลังฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
เมื่อรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย กระทั่งมู่เฉินที่เป็นคนสุขุมก็รู้สึกมีความสุข ความแข็งแกร่งของพลังกายเขาทรงพลังมากอยู่แล้ว ดังนั้นจึงยากสำหรับเขาที่จะเพิ่มพูน แม้ว่าจะใช้สมบัติทางธรรมชาติบางอย่างก็มีข้อจำกัดมาก นอกเหนือจากสมบัติธรรมชาติบางสิ่ง ซึ่งกระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนยังถูกดึงดูดเข้าไป ถึงแม้ว่าจะได้รับการสนับสนุนยิ่งใหญ่จากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เขาก็จ่ายไม่ไหว
ดังนั้นเมื่อเขารู้ว่าพิธีการรับการชำระล้างขั้นสมบูรณ์ของทะเลสาบสวรรค์สามารถปรับปรุงร่างกายได้ นี่ทำให้เขามีความสุขมาก
ดังนั้นเขาจึงเร้ากายามังกรหงส์โดยไม่ลังเลใดๆ เกลียวแสงสีทองระเบิดขึ้นมาบนร่างกายนับไม่ถ้วน จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงที่สถิตอยู่ในแขนก็ตื่นขึ้น โจนทะยานออกจากร่างเขาหมอบตัวที่หัวไหล่ ปล่อยให้การชำระล้างของทะเลสาบสวรรค์ชำระร่างกายอีกครั้ง…และอีกครั้ง
จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงได้รับการชำระมากขึ้น พื้นผิวกายของสองเทพอสูรก็ยิ่งเปล่งประกายระยิบระยับ
แม่น้ำยังทำให้มิติสั่นสะเทือน ผู้คนก็รู้สึกได้ว่าความผันผวนที่เล็ดลอดออกมาจากร่างมู่เฉินทรงพลังขึ้นอย่างรวดเร็ว
ยิ่งกว่านั้นการเพิ่มพูนก็ไม่ได้จำกัดแค่ร่างกายมู่เฉินเท่านั้น การชำระที่ร่างเทพสุริยะได้รับยิ่งน่าทึ่ง จึงทำให้เพิ่มพูนได้ยิ่งมาก
แสงสีทองพวยพุ่งบนร่างใหญ่โตขึ้นไปบนขอบฟ้าส่องสว่างรัศมีหมื่นลี้
ทุกคนที่นี่สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงพลังน่าสะพรึงกลัวที่มาจากร่างเทพสุริยะ ที่ทำให้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มยังต้องมีสีหน้าเปลี่ยนไป
บริเวณไกลออกไปจาโหลหลัวก็รับการชำระล้างอยู่ แต่เมื่อเทียบกับการชำระล้างขั้นสมบูรณ์ของมู่เฉินก็ทำเอาซีดไปเลยทีเดียว
ดังนั้นสีหน้าของเขาจึงเย็นชามาก ขณะที่จ้องมองร่างเทพสุริยะที่อยู่ใต้ฝ่าเท้ามู่เฉิน ไอสังหารแรงกล้าพล่านในดวงตา
เนื่องจากเขารู้สึกได้ว่าพลังของร่างเทพสุริยะของมู่เฉิน กำลังจะแซงหน้าเขาอย่างรวดเร็ว
ด้วยพิธีชำระล้างขั้นสมบูรณ์ การเพิ่มความแข็งแกร่งของมู่เฉินทำให้แม้แต่จาโหลหลัวยังตกใจและเป็นครั้งแรกที่รู้สึกเสียใจ ถ้าเขารู้เรื่องนี้มาก่อนละก็ เขาคงจะฆ่ามู่เฉินให้เร็วกว่านี้
ตอนนี้มู่เฉินทำให้เขารู้สึกถูกคุกคามแล้ว
ทว่าไม่มีอะไรที่สามารถทำได้ จาโหลหลัวรู้สึกได้แม้ว่ามู่เฉินจะรับการชำระล้างแต่สายตาก็ยังจับจ้องมาที่เขาตลอด หากเขาโจมตี มู่เฉินก็จะสามารถใช้พลังการชำระล้างซัดเขาไม่ยั้งแน่
“เวรเอ้ย” จาโหลหลัวหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็หลุบตาลง สีหน้ากลับมาเป็นเฉยเมย แม้ว่านี่จะเกินความคาดหมายไปเล็กน้อย แต่ก็ยังยอมรับได้เนื่องจากความแตกต่างระหว่างเขากับมู่เฉินไม่ใช่สิ่งที่สามารถครอบคลุมได้ด้วยการชำระล้างขั้นสมบูรณ์ เขาจะต้องหาโอกาสหลังจากนี้เพื่อฆ่ามู่เฉินให้เร็วที่สุด
สำหรับตอนนี้มุ่งเน้นไปที่การรับการชำระล้างให้เสร็จก่อน ไม่ว่าอย่างไรสิ่งนี้ก็เป็นประโยชน์ต่อเขาเช่นกัน
เมื่อจาโหลหลัวดึงดวงตาซึ่งเต็มไปด้วยเจตนาฆ่ากลับ ดวงตาของมู่เฉินก็สั่นไหว ตัวเขาคอยตั้งระวังจาโหลหลัวอยู่ก็จริง มากจนตั้งใจล่อให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาจัดการเขาด้วยซ้ำ หากเป็นเช่นนั้นมู่เฉินจะสามารถยืมพลังพิธีชำระล้างเพื่อทำลายล้างจาโหลหลัวได้
แต่ความระมัดระวังของจาโหลหลัวเกินความคาดหมายของมู่เฉินไปเล็กน้อย เนื่องจากเขาสามารถระงับจิตสังหารในใจและเลือกนิ่งเงียบลงเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง
“เป็นศัตรูที่ยากจะต่อกรจริงๆ” มู่เฉินถอนหายใจในใจ ทั้งความคิดและแผนการของจาโหลหลัวเป็นสิ่งที่เขาประมาทไม่ได้
แต่เนื่องจากจาโหลหลัวเลือกที่จะนิ่งเงียบ มู่เฉินก็ไม่จำเป็นต้องเบี่ยงเบนความสนใจและรับการชำระล้างบาปได้อย่างเต็มที่ เขาและจาโหลหลัวจะต้องสู้กันด้วยศึกมรณะ เขารู้สึกว่าถูกคุกคามอย่างมากจากอีกฝ่าย ดังนั้นเขาคว้าโอกาสทั้งหมดที่จะได้รับเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเอง
มู่เฉินปรือตามองไปที่ร่างเทพสุริยะดำเมื่อมที่อยู่ใต้เท้าของจาโหลหลัวพร้อมกับแสงแวบในดวงตา
จากการสัมผัสทำให้มู่เฉินรู้ว่าหากเทียบเรื่องพลังและความหนาแน่นคลื่นหลิงของร่างเทห์สวรรค์ จาโหลหลัวคงจะแข็งแกร่งกว่าอยู่เล็กน้อย
การปะทะกันซึ่งหน้า มู่เฉินจะไม่ได้เปรียบแน่นอน
สุดท้ายจาโหลหลัวก็ฝึกฝนร่างเทพสุริยะมานานกว่ามาก กระทั่งตำหนักเทพปีศาจยังเลี้ยงดูเขาด้วยทรัพยากรมากมาย ดังนั้นเห็นได้ว่าประมุขตำหนักเทพปีศาจให้ความสำคัญกับเขามากเพียงใด
จาโหลหลัวอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มมาเป็นเวลานาน ซึ่งได้ค้นหาโอกาสบุกทะลงเข้าไปแตะระดับตี้จื้อจุนแล้ว ขณะที่มู่เฉินเพิ่งบรรลุขั้นเก้าระยะต้นเท่านั้น มีช่องว่างระหว่างพวกเขาซึ่งแม้แต่มู่เฉินก็ยังต้องยอมรับ
“การต่อสู้ระหว่างข้ากับจาโหลหลัวคงจะเกิดในอีกไม่นานและก็ไม่ง่ายเลยที่จะเหนือกว่าจาโหลหลัว นอกจากนี้ต่อให้เราสองคนจะใกล้เคียงกัน แต่ถ้าต่อสู้กันก็คงไม่สามารถได้เปรียบอย่างเต็มที่” แม้ว่าเขาจะมีไพ่ตายมากมายรวมทั้งพัดเทพสายลม แต่เขาเชื่อว่าจาโหลหลัวจะไม่มีอาวุธมหสวรรค์ของแท้ ดังนั้นหากเขาต้องการเอาชนะ เขาก็ต้องเตรียมการบางอย่างแล้ว
มู่เฉินลดศีรษะลงมองร่างเทพสุริยะก็หรี่ตาลงก่อนจะค่อยๆ หลับตา
ทันใดนั้นแสงสีทองจากร่างเทพสุริยะก็หยุดขยายออกไป การเสริมสร้างพลังร่างเทห์สวรรค์เริ่มช้าลง
มู่เฉินแอบโยกย้ายการชำระล้างไปยังจุดอื่นอย่างเงียบ ๆ
หลังจากทำเช่นนี้แล้วเขาก็หลับตาลง เกลียวแสงสีทองระเบิดออกจากร่างกาย จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงบนไหล่ส่งเสียงคำรามพึงพอใจ คลื่นหลิงและพลังกายของเขาก็ได้รับการเสริมความแข็งแกร่งอย่างรวดเร็วจากการชำระล้างนี้
ในเมื่อเขาชะลอการเสริมสร้างร่างเทพสุริยะ เขาก็ต้องเพิ่มพลังของตัวเองอย่างรวดเร็ว
ดังนั้นมู่เฉินจึงค่อยๆ อ้าแขนภายใต้แม่น้ำมังกรขนาดใหญ่
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตผันผวนตลอดเวลา
ทำให้ลอนคลื่นมากมายกระจายไปทั่วทะเลสาบสวรรค์ที่อยู่เบื้องล่าง
ขณะนี้ทุกคนกระตุ้นการรับการชำระล้างทุกระดับ ทว่าเมื่อเทียบพิธีของมู่เฉินของคนอื่นๆ ก็ดูน่าสงสารนัก
นอกเหนือจากความรู้สึกหดหู่จากการชำระล้างขั้นสมบูรณ์ของมู่เฉิน คนส่วนใหญ่ก็ค่อนข้างพอใจเนื่องจากการชำระล้างทำให้พวกเขาเข้มแข็งขึ้นและปูทางเส้นทางการเพาะบ่มในอนาคต
เมื่อเวลาผ่านไปผู้คนจำนวนมากก็เสร็จสิ้นกระบวนการ ขณะที่ทะเลสาบสวรรค์ค่อยๆ สงบลงโดยเหลือจอมยุทธ์ไม่กี่คนที่ยังอยู่ในกระบวนการ
แน่นอนว่ามู่เฉินก็รวมอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย
กีด!
จิ่วโยวเสร็จสิ้นกระบวนการเรียบร้อย นางกลับคืนสู่ร่างต้นกำเนิด วิหคอนธโลกันตร์กางปีกขนาดใหญ่ปกคลุมหมู่เมฆ ทุกการกระพือทำให้กระแสพลังงานหลิงเปลี่ยนแปรไปด้วย
สามารถมองเห็นประกายระยิบระยับบนร่างวิหคอนธโลกันตร์ แม้ว่าจะไม่เด่นชัด แต่ก็ทำให้พลังกายของจิ่วโยวเพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่ง
แสงสีดำสนิทเอิบอาบออกมาจากร่างวิหคอนธโลกันตร์ ก่อนที่จะเริ่มหดตัวลงกลายเป็นร่างงาม
จิ่วโยวยืนอยู่บนท้องฟ้าก่อนที่จะลืมตาขึ้นทันทีพร้อมกับเพลิงลุกโชนในตัว คลื่นหลิงทรงพลังพวยพุ่งออกมาจากร่างกาย
เมื่อรู้สึกถึงความกดดัน ท่าทางของทุกคนก็เปลี่ยนไป เนื่องจากนางบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มแล้ว!
เห็นได้ชัดว่าหลังจากฉินจิงเจ๋อ จิ่วโยวก็สร้างพัฒนาการให้กับตัวเองด้วยความช่วยเหลือของกระบวนการชำระล้างขั้นสูงพุ่งเข้าสู่ขั้นเก้าระยะเต็มได้!
หลังจากจิ่วโยว เซียวเซียว หลินจิ้ง จู้เยี่ยน ซูชิงหยิงและจาโหลหลัวก็ทยอยเสร็จสิ้นกระบวนการ แต่ไม่มีใครที่เกิดพัฒนาการ นั่นเป็นเพราก้าวถัดไปของพวกเขาคือระดับตี้จื้อจุน
นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำสำเร็จ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องสะสมจนถึงจุดที่เหมาะสมถึงจะได้สามารถลองฝ่าฟันไป
แม้ว่าพวกเขาจะไม่บรรลุ แต่ใครๆ ก็สัมผัสได้ว่าพวกเขายิ่งลึกซึ้งไม่อาจหยั่งรู้ด้วยความช่วยเหลือของการชำระล้างครั้งนี้
เมื่อคนอื่นๆ เสร็จสิ้นกระบวนการก็พากันมองไปที่ทิศทางของมู่เฉิน
เนื่องจากในเวลานี้ฉากบนท้องฟ้าก็เริ่มจางหายไป แม่น้ำสายสุดท้ายก็ไหลเข้ากระหม่อมของมู่เฉิน
ดวงตาที่ปิดสนิทของมู่เฉินก็ลืมขึ้นในขณะนี้
บทที่ 1157 ไม่สมบูรณ์?
ฮึ่ม!
ทันทีที่มู่เฉินลืมตาขึ้นก็ราวกับว่ามีแสงพร่างพราวปกคลุมไปทั่วบริเวณ ไม่มีใครกล้ามองไปตรงๆ ทุกคนเลือกที่จะหลีกเลี่ยง
แหล่งกำเนิดของแสงก็คือดวงตาของมู่เฉิน
แต่ในขณะนี้ดวงตาของเขาดูดำสนิทยิ่งขึ้น ราวกับว่ามีทะเลสาบสวรรค์ในส่วนลึกของดวงตาซึ่งดูลึกซึ้งมาก
ตู้ม!
ในเวลาเดียวกันความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังก็กวาดออกจากร่างกายมู่เฉินพุ่งทะยานระหว่างฟ้าดิน
“คลื่นหลิงแปรปรวนนี้…น่าจะเป็นระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุด!” จอมยุทธ์หลายคนดวงตาเป็นประกายเมื่อสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังงาน ดูเหมือนมู่เฉินจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดจากพิธีชำระขั้นสมบูรณ์ครั้งนี้
แต่ก็ไม่มีใครแปลกใจ ตรงกันข้ามพวกเขาค่อนข้างงงงัน ทำไมการชำระล้างที่สมบูรณ์แบบที่สุดกลับพามู่เฉินมาถึงแค่ระดับนี้เท่านั้น?
เพราะตอนแรกมู่เฉินก็อยู่ในขั้นเก้าระยะต้นอยู่แล้ว ใช้เวลาอีกเล็กน้อยในการปรับแต่งคลื่นหลิงก็สามารถเข้าสู่ขั้นเก้าระยะปลายสุด
ดังนั้นผลลัพธ์ในยามนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกเหลือเชื่อเลยทีเดียว
“โอ้ เดี๋ยวก่อน… คลื่นหลิงของมู่เฉินยังคงแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ!” ขณะที่ผู้คนกำลังงงงวย ทันใดนั้นพวกเขาก็ตระหนักได้ว่าความผันผวนของคลื่นหลิงที่มาจากร่างกายมู่เฉินยังไม่คงที่และยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ตู้ม ตู้ม!
ระลอกคลื่นหลิงแผ่กระจายออกมาราวกับน้ำท่วมทรงพลัง ไต่ปีนขึ้นไปอย่างรวดเร็วจนถึงขีดสุดของระยะปลายสุด ก่อนจะพยายามบุกโจมตีระยะเต็ม
ทว่านั่นก็ล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า แตะได้เพียงขอบเขตระยะเต็มเท่านั้น
แต่โชคดีที่ความผันผวนของคลื่นหลิงที่มาจากมู่เฉินแกร่งกร้าวมาก หลังจากพยายามหลายครั้งในที่สุดก็ก้าวผ่านขอบเขต คลื่นหลิงของเขาแผ่กระจายออกไปในลักษณะของกระแสพลัง
มู่เฉินบรรลุขั้นเก้าระยะเต็มเรียบร้อย!
ด้วยความช่วยเหลือของพิธีชำระล้างทะเลสาบสวรรค์ขั้นสมบูรณ์ มู่เฉินก้าวข้ามจากระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้นสู่ระยะเต็มได้!
“การชำระล้างขั้นสมบูรณ์สมคำล่ำลืออย่างแท้จริง” หลายคนถอนหายใจในหัวใจ การชำระล้างดังกล่าวเปรียบกับเวลาการเพาะบ่มพลังหลายปีของพวกเขาเลยทีเดียว
ทว่าไม่มีใครรู้สึกประหลาดใจกับความสำเร็จในการบรรลุสองขั้นของมู่เฉิน เพราะนี่คือการชำระล้างขั้นสมบูรณ์เลยนะ
ขณะที่ทุกคนกำลังอุทานเกี่ยวกับพละกำลังที่เพิ่มขึ้นของมู่เฉิน หญิงสาวทั้งสามคนก็มุ่นคิ้วบางเบา บางทีคนอื่นอาจคิดว่ามู่เฉินพอใจที่สามารถเพิ่มขุมพลังได้สองขั้น แต่พวกนางไม่ได้มีมุมมองแบบเดียวกัน เนื่องจากพวกนางเห็นว่ายากเพียงใดที่มู่เฉินจะก้าวเข้าสู่การพัฒนา เขาต้องพยายามหลายครั้งกว่าจะก้าวผ่านขอบเขตของระยะเต็มได้
ซึ่งนั่นเกิดจากการที่มีพลังงานไม่เพียงพอ
สถานการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับฉินจิงเจ๋อและจิ่วโยว ซึ่งพวกเขารับการชำระล้างขั้นสูงเท่านั้นขณะที่ของมู่เฉินเป็นขั้นสมบูรณ์แบบนะ! ในเมื่อการชำระล้างของทะเลสาบสวรรค์เป็นหนึ่งในรากฐานของวังสวรรค์บรรพกาล พิธีการชำระล้างขั้นสมบูรณ์จึงถูกมองว่ามีความสำคัญมาก ว่ากันว่าในเวลานั้นศิษย์คนใดที่สามารถได้รับกระบวนการนี้จะเป็นจอมยุทธ์คนสำคัญของวังโบราณอย่างไม่ต้องสงสัย
ด้วยเหตุนี้จะเห็นได้ว่าการชำระล้างขั้นสมบูรณ์ทรงพลังเพียงใด
ดังนั้นภายใต้การคาดการณ์นี้ มู่เฉินก็น่าจะเข้าสู่ระยะเต็มแบบง่ายดาย แต่สถานการณ์นี้ทำให้พวกนางงงงวย
ยิ่งไปกว่านั้น… เมื่อพวกนางมองไปที่ร่างเทพสุริยะที่เอิบอาบด้วยประกายแสงสีทองคล้ายกับพระพุทธรูปองค์ใหญ่ซึ่งดูลึกลับ เห็นได้ชัดว่าได้รับการปรับปรุงอย่างดีเยี่ยมผ่านการชำระล้าง
แต่… การเพิ่มประสิทธิภาพนั้นก็ไม่เป็นไปตามที่พวกนางคาดไว้
หญิงสาวทั้งสามคนแลกเปลี่ยนสายตกัน คลื่นหลิงในพิธีการชำระล้างขั้นสมบูรณ์ไม่ให้มู่เฉินบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มอย่างง่ายดายและไม่ได้เพิ่มประสิทธิภาพให้กับร่างเทห์สวรรค์อย่างมาก แล้วพลังงานทั้งหมดนั้นไปไหน?
หรือการชำระล้างขั้นสมบูรณ์อ่อนแอลงเมื่อเวลาผ่านไป?
หากเป็นเช่นนั้นมู่เฉินก็สูญเสียมากเกินไปแล้ว
หญิงสาวทั้งสามคนถอนหายใจด้วยความเห็นอกเห็นใจมู่เฉิน ตอนแรกเขาน่าจะยืนในตำแหน่งเดียวกับจู้เยี่ยนและจาโหลหลัวจากความช่วยเหลือของพิธีชำระล้าง แต่เมื่อมองจากเวลานี้ดูเหมือนว่าความหวังกลายเป็นความว่างเปล่าแล้ว
แม้ว่ามู่เฉินจะถือว่าก้าวเข้าสู่ระยะเต็ม แต่ก็ยังมีความแข็งแกร่งที่แตกต่างกันในระดับเดียวกันยกตัวอย่างเช่นฉินจิงเจ๋อ หากเขาต่อสู้กับจาโหลหลัวผลลัพธ์จะจบลงด้วยการถูกบดขยี้
แน่นอนว่ามู่เฉินไม่สามารถตัดสินด้วยวิธีธรรมดา ตอนที่เขาอยู่ในขั้นเก้าระยะต้น เขาก็สามารถฆ่าเซี่ยหยู่ที่อยู่ในระยะเต็มได้ ในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มก็ไม่มีอะไรต้องกลัวแม้ว่าเขาจะพบใครบางคนที่อยู่ในจุดสูงสุดของระดับนี้ก็ตาม
แต่ตอนนี้คงเป็นปัญหาเล็กน้อยสำหรับเขาที่จะทำเช่นนั้น
ขณะที่หญิงสาวทั้งสามถอนหายใจ คลื่นหลิงทรงพลังที่เอิบอาบร่างมู่เฉินก็หดกลับอย่างรวดเร็ว ร่างเทพสุริยะก็จางหายไป
มู่เฉินก้มมองร่างเทพสุริยะด้วยสีหน้าสงบ ไม่มีความผิดหวังบนใบหน้า
ในฐานะจอมยุทธ์ที่ผ่านพิธีชำระล้างขั้นสมบูรณ์ เขารู้ดีว่าตอนแรกความแข็งแกร่งของร่างเทพสุริยะกับตัวเขาจะสามารถเพิ่มในระดับที่สูงขึ้นกว่านี้
“ฮะฮ่า ดูเหมือนว่าเจ้าจะดวงจู๋นะ” ทันใดนั้นเสียงเยาะเย้ยก็ดังขึ้น มู่เฉินเห็นจาโหลหลัวมองมาด้วยท่าทางสองมือไพล่หลัง
เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกได้ว่าการชำระล้างขั้นสมบูรณ์ของมู่เฉินไม่สมบูรณ์
“ใช่สิ” มู่เฉินพยักหน้าอย่างใจเย็นตอบสนองต่อการเยาะเย้ยของจาโหลหลัว
เมื่อจาโหลหลัวเห็นท่าทางสงบของมู่เฉินก็ยิ้มบาง “น่าเสียดายตอนแรกข้าคิดว่าจะมีการต่อสู้ที่รุนแรงระหว่างพวกเรา แต่เมื่อมองตอนนี้เจ้าล้มเหลวในการคว้าโอกาสนี้ซะแล้ว”
การชำระล้างขั้นสมบูรณ์ของมู่เฉินไม่สมบูรณ์ แม้ว่าความแข็งแกร่งจะเพิ่มขึ้นจาโหลหลัวก็รู้สึกว่ายังมีช่องว่างระหว่างเขากับมู่เฉินอยู่
ตัวเขาอยู่ในระยะเต็มมานานหลายปี ผ่านการขัดเกลาตามเวลาเพื่อสะสมรากฐาน ขณะที่มู่เฉินเป็นเพียงจอมยุทธ์ที่เพิ่งก้าวเข้าสู่ระยะนี้ด้วยพื้นฐานที่อ่อนแอกว่า
ดังนั้นจาโหลหลัวมั่นใจว่าจะเป็นคนที่ได้รับชัยชนะหากพวกเขาต่อสู้
ทว่าเผชิญกับคำพูดพวกนี้ มู่เฉินก็จ้องมองไปที่จาโหลหลัวก่อนจะพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ก็น่าเสียดายจริงๆ”
เสียงราบเรียบอีกตามเคย
แต่รอยยิ้มของจาโหลหลัวกลับค่อยๆ หายไปขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาหรี่แคบลง หรือว่าไอ้นี่ผิดหวังจนไม่สนใจอะไรแล้ว?
ทว่าจาโหลหลัวก็ไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา ดังนั้นเขาจึงฟื้นสติอย่างรวดเร็วก่อนที่จะพยักหน้าให้มู่เฉินด้วยรอยยิ้ม “หวังว่าเจ้าจะยังคงสงบสติอารมณ์แบบนี้ได้ เมื่อข้าทำลายร่างเทพสุริยะของเจ้า”
“ได้”
มู่เฉินคลี่ยิ้มอีกครั้ง แต่คราวนี้เหมือนจะมีความหมายอื่นซ่อนอยู่หลังรอยยิ้ม
เมื่อเห็นรอยยิ้มของมู่เฉินเปลือกตาของจาโหลหลัวก็กระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ด้วยเหตุผลบางอย่างเขารู้สึกไม่สบายใจในใจ
“ไอ้สารเลวที่เพิ่งก้าวเข้าสู่ขั้นเก้าระยะเต็มด้วยรากฐานที่อ่อนแอ ทักษะและร่างเทห์สวรรค์ก็ไม่สามารถเทียบกับข้าได้ ยังคิดจะพลิกสถานการณ์เรอะ? แค่ปลอมเป็นเทพเพื่อหลอกผีก็หวังจะทำให้ข้าตกอยู่ในความสงสัย เพ้อฝันเกินไปแล้ว!”
จาโหลหลัวหายใจเข้าลึกพร้อมกับคลื่นในใจขณะมองไปที่มู่เฉินอย่างลึกซึ้งก่อนที่จะโบกมือ กลายเป็นร่างแสงพุ่งออกไปจากทะเลสาบสวรรค์อย่างรวดเร็ว
เมื่อจาโหลหลัวไปแล้ว ทะเลสาบสวรรค์ก็ระเบิดความโกลาหลอีกครั้ง ทุกคนเริ่มผละไป อย่างไรก็ตามทะเลสาบสวรรค์เป็นเพียงอาหารเรียกน้ำย่อย ยังมีหอของเหล่าจอมพลและจักรพรรดิฟ้าในตำนานรออยู่
หากพวกเขาสามารถได้รับหนึ่งในมรดกเหล่านั้น พวกเขาก็จะมีตำแหน่งยิ่งใหญ่ในมหาพันภพแน่นอน
จู้เยี่ยนมองไปที่มู่เฉินและเซียวเซียว ซึ่งหญิงสาวก็สังเกตเห็น นางมองกลับไปด้วยความเฉยเมย
จู้เยี่ยนไม่ได้พูด แต่ดวงตาลุกโชนด้วยไฟการต่อสู้ก่อนที่เขาจะกระทืบเท้ากลายเป็นลูกไฟพุ่งจากไป
ซูซิงหยิงยิ้มให้มู่เฉินพลางมองมาด้วยความสนใจ แต่สุดท้ายก็โบกมือจากไป
เมื่อทุกคนจากไป มู่เฉินก็ปรากฏตัวขึ้นใกล้พรรคพวก เขาเงยหน้าขึ้นมองส่วนลึกวังโบราณด้วยรอยยิ้ม “ไปกันเถอะการชำระล้างที่ทะเลสาบสวรรค์สิ้นสุดลงแล้ว เราเดินทางกันต่อเถอะ”
เป้าหมายต่อไปของเขาก็คือหอคัมภีร์เทพซ่อน
ซึ่งมีวิธีการวิวัฒนาการของร่างเทพสุริยะ
ในเวลานั้นจะเป็นศึกมรณะระหว่างเขากับจาโหลหลัว
มู่เฉินมองไปยังทิศทางที่จาโหลหลัวออกไป มุมปากโค้งเป็นรอยยิ้มพร้อมกับดวงตาวูบไหว
เพื่อที่จะรับมือกับแก ข้าเตรียมตัวมาจนถึงระดับนี้แล้ว หวังว่าถึงตอนนั้นแกจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังนะ
บทที่ 1158 หอคัมภีร์เทพซ่อน
ฟิ้ว!
ร่างแสงหลายร่างทะยานออกจากทะเลสาบสวรรค์ จากนั้นก็ไปหยุดลงบนยอดเขา เผยให้เห็นร่างเงาของพวกมู่เฉิน
ทั้งสี่ปรากฏตัวที่ด้านหลังทะเลสาบสวรรค์ มองไปที่ทิวทัศน์กว้างที่มู่เฉินยังรู้สึกถึงแรงกดดันเล็กน้อย
ซึ่งไม่ใช่แค่ความกดดันเดียว ทั้งหมดนี้ทำให้มู่เฉินรู้สึกกดดันอย่างมาก
“ถ้าเราไปต่อก็น่าจะเข้าสู่บริเวณหอทั้งห้า” มู่เฉินชี้ไปข้างหน้าพลางบอกหญิงสาวทั้งสาม นอกเหนือจากจักรพรรดิฟ้าพลังในวังสวรรค์บรรพกาลจะแบ่งออกเป็นหอและตำหนักต่างๆ ตอนนี้พวกเขาผ่านอาณาบริเวณตำหนักทั้งหมดแล้ว ดังนั้นเป้าหมายต่อไปก็คือเข้าสู่อาณาบริเวณหอต่างๆ
สีหน้าหญิงทั้งสามก็ตึงเกร็ง ว่ากันว่าจอมพลทั้งห้าได้รับการกล่าวขานว่าเป็นผู้ช่วยมือฉมังของจักรพรรดิฟ้า ทุกคนมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มพร้อมกับคุณสมบัติในการบรรลุขุมพลังเทียนจื้อจุนได้
หากคนเหล่านี้ยังอยู่ในมหาพันภพก็จะเป็นผู้นำขั้วอำนาจต่างๆ แน่นอน
“ในบรรดาจอมพลทั้งห้า… จอมพลสี่สละชีวิตปกป้องภูมิภาคทางเหนือไม่ได้กลับมายังสำนักอีก ส่วนจอมพลอีกสี่คนน่าจะอยู่ปกปักที่วังโบราณแห่งนี้” มู่เฉินกล่าว
จิ่วโยวพยักหน้าพูดว่า “นั่นหมายความว่าสมบัตของจอมพลสี่จะได้รับง่ายที่สุด”
แม้ว่าจอมพลทุกคนจะสิ้นชีพแล้ว แต่พวกเขาน่าจะมีวีธีตั้งแนวป้องกันเพื่อปกป้องหอของตนเองด้วยความแข็งแกร่งที่มี ซึ่งนับเป็นเรื่องยากสำหรับพวกมู่เฉินที่จะรับมือ
“แล้วหอคัมภีร์เทพซ่อนอยู่ที่ไหน?” จู่ๆ หลินจิ้งก็ตั้งคำถามขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่านางรู้ชัดเจนเกี่ยวกับหอคัมภีร์เทพซ่อนและรู้ว่าที่นั่นสำคัญเพียงใด เพราะถ้าทะเลสาบสวรรค์เป็นรากฐานของวังสวรรค์บรรพกาล หอคัมภีร์เทพซ่อนก็เป็นหนึ่งในรากฐานที่ทำให้วังสวรรค์บรรพกาลเติบโตอย่างมั่นคง
ซึ่งรากฐานนี้กระทั่งแคว้นหวูก็ไม่กล้าที่จะประเมินค่าต่ำได้
มู่เฉินยักไหล่พูดว่า “แผนที่ที่ได้มาก่อนหน้าไม่ช่วยอะไรตอนนี้แล้ว ข้อมูลหอคัมภีร์เทพซ่อนก็ยิ่งไม่มีเลย”
พูดถึงจุดนี้เขาก็รู้สึกจนใจเล็กน้อย เนื่องจากพื้นที่ในวังสวรรค์บรรพกาลเต็มไปด้วยค่ายกลขาดรุ่งริ่ง มีบางส่วนถูกทำลายขณะบางส่วนยังคงอยู่พร้อมกับคลื่นหลิงมหาศาลในวังโบราณ ค่ายกลทั้งหมดที่วางไว้อยู่ในระดับจงซือ แม้ว่าจะได้รับความเสียหายพวกเขาก็คงต้องทนทุกข์หากวิ่งทะเล่อทะล่าเข้าไป
ช่างยากในการค้นหาหอคัมภีร์เทพซ่อนภายใต้อันตรายที่ซ่อนอยู่รอบตัว
หลินจิ้งส่ายหัวเมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน นางรู้ว่ายากแต่ไหนที่จะพบ
“ข้ารู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับหอคัมภีร์เทพซ่อนน่ะ” ขณะที่กำลังรู้สึกหมดหนทางกัน ทันใดนั้นเซียวเซียวก็พูดขึ้น
“โอ้?” ทั้งสามหันขวับไปมองด้วยความตื่นเต้นและประหลาดใจ
เซียวเซียวเผยยิ้มทรงเสน่ห์ “ข้าได้ยินเรื่องนี้มาจากท่านพ่อ ร่ำลือกันว่าหอคัมภีร์เทพซ่อนของวังสวรรค์บรรพกาลแปลกประหลาดมาก ต่อให้เป็นสมาชิกวังสวรรค์บรรพกาลก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้”
“เนื่องจากหอคัมภีร์นี้เป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นสูง”
หัวใจของทั้งสามคนสั่นสะท้าน ดวงตาก็เบิกกว้าง หอคัมภีร์เทพซ่อนเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นสูง? นี่แปลกเกินไป กระทั่งมู่เฉินก็ยังไม่เคยเห็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นสูงมาก่อนในชีวิต
ต้องรู้ว่าแม้แต่พีระมิดแสงดาวปราบปีศาจของจอมพลสี่ก็เป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นกลาง สำหรับขั้นสูงแม้แต่จอมยุทธ์ตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ถูกดึงดูดอย่างยิ่ง
“ถ้างั้นเราควรทำยังไงกันดี? ถ้าหอคัมภีร์เทพซ่อนเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นสูงและตั้งใจซ่อนตัว ข้าว่าเราคงจะไม่สามารถค้นพบได้ ต่อให้ค้นพบก็ไม่ง่ายที่จะเข้าไป” จิ่วโยวอดถามออกมาไม่ได้
ความทรงพลังของอาวุธมหสวรรค์ไม่ใช่สิ่งที่พวกนางจะสามารถต่อกรได้
เซียวเซียวยิ้ม “หอคัมภีร์เทพนั่นไม่ได้มีทักษะการโจมตีใดๆ แต่ไม่มีใครเทียบได้ในแง่ของการซ่อนตัว หากตั้งใจจะซ่อนตัวแล้วแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ไม่สามารถค้นพบได้”
เปลือกตาของทั้งสามคนกระตุก หอคัมภีร์เทพซ่อนลึกลับแท้จริง ในแง่ของการซ่อนตัวคงเหนือกว่าจอมยุทธ์ระดับเทียนจื้อจุนบางส่วนไปแล้ว
หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าไม่มีพลังในการโจมตี ก็คงไม่ได้หยุดอยู่แค่อาวุธมหสวรรค์ขั้นสูงเช่นนี้
“ถ้าความสามารถซ่อนตัวเป็นอย่างที่เจ้าว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะค้นพบมัน” มู่เฉินถอนหายใจ ดูเหมือนว่าการค้นหาวิธีวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว
เมื่อได้ยินเซียวเซียวก็ส่ายหัวพลางเอ่ย “แม้ว่าหอคัมภีร์เทพซ่อนจะยากค้นหา แต่ก็ไม่ใช่จะเป็นไปไม่ได้ เพราะจักรพรรดิฟ้าไม่ได้ทิ้งมันไว้ในวังสวรรค์บรรพกาลเพื่อเก็บสมบัติอย่างเดียว”
มู่เฉินโล่งใจขึ้นมา ตราบใดที่มีทางก็ถือว่าดี เขามาที่นี่เพื่อวิธีวิวัฒนาการ ความพยายามทั้งหมดของเขาในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็เพื่อวันนี้ ดังนั้นไม่ว่าจะยังไงไม่มีทางที่เขาจะยอมแพ้
“งั้นเราจะหามันได้ยังไง?” จิ่วโยวมองไปที่เซียวเซียวด้วยความคาดหวัง
เซียวเซียวยิ้ม “ง่ายมากก็แค่ต้องผ่านการทดสอบของหอคัมภีร์”
“การทดสอบ?” คนอื่นๆ อึ้งไปจากนั้นก็ถามต่อ “ทดสอบอะไร?”
เซียวเซียวส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าการทดสอบคืออะไร แต่ข้ากลัวว่าคงได้เริ่มตั้งแต่ตอนที่เราเข้ามาในวังสวรรค์บรรพกาลแล้ว”
ทั้งสามคนตกตะลึงไปอีกครั้ง
“หอคัมภีร์เทพซ่อนมีสติปัญญา ดังนั้นมันน่าจะสัมผัสได้ตั้งแต่เราก้าวเข้ามาสู่วังสวรรค์บรรพกาล ไม่แน่บางทีตอนนี้มันอาจจะกำลังสังเกตพวกเราอยู่ก็ได้” เซียวเซียวเงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า
ทั้งสามรู้สึกเย็นเยือกที่ผิวกายขณะมองไปรอบๆ แม้ว่าพวกเขาจะสัมผัสไม่ได้ แต่ก็รู้สึกไม่สบายใจเมื่อได้ยินคำพูดของเซียวเซียวราวกับว่ามีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองมาที่พวกเขาตลอดเวลา
“ในวังสวรรค์บรรพกาล จู่ๆ ก็จะมีศิษย์บางคนที่โดดเด่นได้รับการยอมรับจากหอคัมภีร์เทพซ่อนและได้รับโอกาสให้เข้าไป” เซียวเซียวยิ้ม
“นั่นหมายความว่าเราต้องแสดงศักยภาพให้มันดูเหรอ? แต่จะแสดงอย่างไร?” หลินจิ้งสนใจมากขณะที่พูด
“ข้าก็ไม่แน่ใจเกี่ยวกับปัจจัยนี้ ศิษย์ที่ได้รับการยอมรับ บางคนเป็นเพราะเข้าใจบางสิ่งในการฝึกฝน ขณะที่บางคนมีความเข้าใจเกี่ยวกับทักษะระดับเสินทงบางอย่างหรือแสดงศักยภาพที่น่าทึ่งในการต่อสู้… มีหลายวิธีน่ะ แต่คนที่มีสถานะสูงจะต้องการประสิทธิภาพมากกว่า แน่นอนว่าสิทธิพิเศษของพวกเขาก็จะสูงขึ้นเมื่อเข้าไป”
ทั้งสามแลกเปลี่ยนสายตากัน ไม่มีใครคิดว่าหอคัมภีร์เทพซ่อนจะแปลกประหลาดขนาดนี้
“พูดไปพูดมาที่จริงทั้งหมดก็อยู่ที่โชคชะตา ถ้าชะตาต้องกันก็เข้าไปได้ แต่ถ้าไม่เช่นนั้นข้ากลัวว่าคงต้องเชิญจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่เชี่ยวชาญในด้านมิติถึงจะหามันเจอ” เซียวเซียวแบมือออกขณะที่ตอบ
มู่เฉินยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ เขาไม่มีความสามารถในการเชิญจอมยุทธ์ระดับนั้นมาหรอก ดังนั้นตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะต้องพยายามด้วยตัวเอง
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเราก็มุ่งหน้าไปที่หอทั้งห้าก่อน ดูสิว่าเราจะได้รับโอกาสอื่นๆ อีกหรือไม่” มู่เฉินมีความเด็ดขาด เมื่อรู้ว่าการเข้าไปในหอคัมภีร์เทพซ่อนไม่ใช่เรื่องง่าย เขาจึงวางเรื่องนี้ไว้ในใจชั่วคราว เพราะหากหอคัมภีร์ตั้งใจจะตัดสินประสิทธิภาพกัน พวกเขาก็ต้องทำอะไรบางอย่างแทนที่จะรออยู่เฉยๆ
หญิงสาวทั้งสามไม่ได้คัดค้าน เพราะการรอที่นี่ไม่มีทางให้หอคัมภีร์ยอมรับอย่างแน่นอน
“ไปกันเถอะ”
เมื่อเห็นการตอบสนองของพรรคพวก มู่เฉินก็แตะปลายเท้าส่งแรงทะยานปยังส่วนลึกของวังโบราณ โดยมีหญิงสาวทั้งสามคนติดตามอย่างใกล้ชิด
ทั้งสี่คนเดินทางอย่างรวดเร็ว บางครั้งได้เจอกับค่ายกลที่เสียหาย ซึ่งก็สามารถหลีกเลี่ยงไปได้ภายใต้การนำของมู่เฉิน ประมาณสิบกว่านาทีต่อมามู่เฉินก็รู้สึกได้ว่าความสลัวรางรอบบริเวณนี้หนาแน่นขึ้น
ซึ่งได้ส่งผลต่อประสาทสัมผัสของเขาด้วย
“ข้างหน้ามีค่ายกลอยู่ แต่ไม่มีอันตรายถ้าข้าเดาไม่ผิดอาจเป็นทางเข้าของอาณาเขตหอทั้งห้าแล้ว” แม้ว่าประสาทสัมผัสของเขาจะถูกรบกวน แต่เขาก็ยังรับรู้ได้ถึงความผันผวนจึงบอกให้หญิงทั้งสามรับรู้
หญิงสาวทั้งสามพยักหน้า
วาบ!
ทั้งสี่คนทะยานไปโดยไม่ลดความเร็ว จากนั้นก็รู้สึกราวกับว่าผ่านเยื่อน้ำและพื้นที่เชิงมิติรอบตัวเริ่มบิดเบี้ยว
มู่เฉินไม่ได้ตื่นตระหนกเมื่อรู้สึกได้ถึงระลอกคลื่นมิติที่บิดเบี้ยว เขาเหลือบมองไปข้างหลังก็สังเกตเห็นว่าพรรคพวกแยกจากกันไปแล้ว
ความผันผวนของมิติรอบตัวทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นพร้อมกับแสงเบ่งบาน ภาพนับไม่ถ้วนวูบวาบไปมาที่เบื้องหน้า
ทิวทัศน์เหล่านั้นเป็นหอสูงตระหง่านพร้อมกับแรงกดดันไหลออกมา
มู่เฉินเข้าใจทันทีว่าหอเหล่านี้ต้องเป็นหอทั้งห้าแน่นอน
มู่เฉินสงบจิตใจขณะมองไปที่ภาพวูบวาบเบื้องหน้าครรลองสายตาพลางจดบันทึกเอาไว้ในใจ ภาพเหล่านั้นมาจากห้าหออย่างชัดเจน ถ้าเขาได้รับข้อมูลบางอย่างก็จะช่วยได้มาก
ภายใต้การสังเกตอย่างตั้งใจของมู่เฉิน แสงก็กะพริบวิบวาบเบื้องหน้าไม่หยุด ทันใดนั้นมู่เฉินก็ต้องหดดวงตากับภาพภาพหนึ่ง
ที่นั่นเป็นห้องโถงวินาศสันตะโรที่ยังคงมีเค้าความสง่างามแม้จะถูกทำลาย
ทว่าความสนใจของมู่เฉินไม่ได้อยู่ที่โถง แต่สายตาจับจ้องไปยังส่วนลึก แท่นดอกบัวหยกสีแดงเข้มที่มีดอกไม้ทรงเสน่ห์สูงสิบจั้งวางอยู่เงียบๆ
มู่เฉินมองไปที่ดอกไม้สีดำพร้อมกับความสุขในใจ นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่านี่คืออะไรตั้งแต่แวบแรกที่เห็น…
ดอกไม้นั่นคือร่างหลักของมั่นถัวหลัว—ดอกแมนดาลาโบราณ!
บทที่ 1159 หอสอง
แท่นดอกบัวสีแดงเข้มวางอยู่ในส่วนลึกของโถงเสียหาย
ซึ่งยังคงเปล่งประกายแวววาวอ่อนโยนดูแปลกตามาก
แต่สายตาของมู่เฉินไม่ได้จดจ่อที่แท่นนั้น แต่จับจ้องไปที่ดอกไม้สีดำน่าหลงใหล
ดอกไม้มีขนาดประมาณสิบกว่าจั้ง ปกคลุมไปด้วยลวดลายโบราณ ทุกกลีบใบดูราวกับเกิดมาจากฟ้าดินที่สมบูรณ์แบบ
ทว่าเมื่อมองเข้าไปให้ชัดเจนก็จะรู้ว่าไม่ได้สมบูรณ์แบบ ดอกตูมอ่อนข้างลำต้นแตกออกไป ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกสงสารจับใจ
มู่เฉินคิดว่าสิ่งนี้คงต้องเกิดขึ้นตอนที่มั่นถัวหลัวได้รับบาดเจ็บสาหัส นางแยกดอกตูมอ่อนออก ผนึกร่างหลักไว้เพื่อหลบหนีออกไปจากวังสวรรค์บรรพกาลและรักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้
เวลานี้ดอกไม้ตั้งอยู่เงียบๆ บนแท่นดอกบัวราวกับว่าอยู่ในห้วงนิทรารมณ์ แต่มู่เฉินก็สามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนน่าสะพรึงกลัวที่มาจากดอกไม้ราวกับว่าลึกล้ำและไม่อาจหยั่งรู้ได้ ซึ่งทำให้เขาต้องแอบเดาะลิ้น
หลังจากถอนหายใจ มู่เฉินก็เผยรอยยิ้มโล่งใจออกมา ไม่คิดว่าจะได้พบร่างหลักของมั่นถัวหลัวก่อนจะได้เข้าไปในหอคัมภีร์เทพซ่อน
แต่มู่เฉินก็สงบใจตัวเอง จากนั้นก็สังเกตโถงจำภูมิทัศน์เพื่อที่จะได้จดรายละเอียดภัยคุกคามทั้งหมดที่อยู่รอบๆ
โถงเงียบสงบเต็มไปด้วยกระดูกสีขาวน่าขนลุกและร่องรอยการต่อสู้ เห็นได้ชัดว่าเกิดการสู้รบรุนแรงขึ้นที่นี่
ทั้งห้องเงียบสงบ แต่มู่เฉินรู้สึกได้ถึงอันตรายภายใต้ความเงียบ
มู่เฉินหรี่ตาลงมองไปรอบๆ ก่อนดวงตาจะหดเกร็งหลังจากสิบลมหายใจสั้นๆ สายตาของเขาพุ่งตรงไปที่กองโครงกระดูกที่อยู่ใต้เสารอบห้องโถง
มีโครงกระดูกจำนวนมากมายนอนอยู่รอบๆ แต่หลังจากที่มู่เฉินตรวจสอบก็รู้ว่าโครงกระดูกที่อยู่ใต้เสาเหล่านั้นไม่ได้นอนแบบระเกะระกะ พวกมันมีท่านั่ง แม้ว่าจะไม่มีความผันผวนใดๆ มาจากพวกมัน แต่มู่เฉินก็ยังคงรู้สึกถึงอันตรายเลือนราง
นอกจากนี้แม้ตำแหน่งจะดูซับซ้อน แต่กลับวางไว้อย่างคลุมเครือในรูปแบบค่ายกล ถ้ามู่เฉินเดาถูกน่าจะมีค่ายกลที่สร้างขึ้นจากโครงกระดูกเหล่านั้น
ซึ่งต้องเป็นค่ายกลที่น่ากลัวอย่างแน่นอน
สายตาของมู่เฉินวูบไหว ก่อนหน้ามั่นถัวหลัวเคยบอกว่านางถูกลู่หย่วนทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บหนัก ถ้าอีกฝ่ายต้องการฆ่าก็จะจัดการให้สิ้นซาก ดังนั้นสถานที่ที่นางเลือกผนึกรักษาตัวเองจะต้องมีพลังเพื่อปกป้องด้วย
ถ้าเขาเดาไม่ผิดค่ายกลที่ประกอบขึ้นจากโครงกระดูกน่าจะเป็นความหวังอย่างหนึ่งของมั่นถัวหลัว ทว่านี่ก็ทำให้มู่เฉินยิ้มอย่างขมขื่นเนื่องค่ายกลขัดขวางเส้นทางของเขาเต็มๆ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าถ้าเขาเข้าไปในโถงจะได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิต
“นี่เป็นปัญหาตอนนี้” ตามการคาดการณ์แม้ว่าเซียวเซียวและหลินจิ้งจะร่วมมือกัน พวกนางก็ไม่สามารถผ่านและนำร่างหลักของมั่นถัวหลัวออกมาได้
มู่เฉินรู้สึกปวดหัวจี๊ด นี่ยังไม่ใช่สุสานจักรพรรดิฟ้า ดังนั้นเขาจะยังให้มั่นถัวหลัวเข้ามาไม่ได้ ไม่เช่นนั้นมิติระเบิดแน่
“ข้าต้องได้รับความช่วยเหลือจากภายนอกเพื่อให้ประสบความสำเร็จ” มู่เฉินหรี่ตาครู่ต่อมาหัวใจก็สั่นสะท้านก่อนที่แสงแปลกประหลาดจะวาบขึ้นในดวงตา
ความช่วยเหลือจากภายนอก… มู่เฉินกำมือป้ายโบราณก็ปรากฏขึ้นนี่เป็นป้ายของจอมพลสองที่เขาได้จากงานประมูล!
ซึ่งเป็นป้ายกองทัพสังหารวิญญาณของจอมพลสอง!
มู่เฉินมองไปที่ป้ายกองทัพหัวใจก็กระโจนขึ้น มั่นถัวหลัวบอกว่ากองทัพสังหารวิญญาณสิ้นชีพลงหลังจากที่สังหารนักรบปีศาจระดับตี้จื้อจุนจำนวนมาก แต่จอมพลสองจะต้องรักษาพวกเขาเอาไว้บางส่วนด้วยวิธีพิเศษ
หากเขาสามารถใช้ป้ายกองทัพนี้สั่งการกองทัพสังหารวิญญาณ การผ่านห้องโถงนี้เพื่อนำร่างหลักของมั่นถัวหลัวออกมาก็อาจใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
นอกจากนี้มู่เฉินยังมีความคิดลึกซึ้งลงไปอีก นี่อาจเป็นโอกาสสำหรับเขา
โอกาสในการแสดงให้หอคัมภีร์เทพซ่อนได้เห็น
แววตามู่เฉินพราวระยับ เขาพบร่างหลักของมั่นถัวหลัวจากภาพที่วาบผ่านไปซึ่งเป็นเรื่องบังเอิญเกินไป
มู่เฉินเชื่อว่านี่อาจเป็นการสร้างขึ้นโดยหอคัมภีร์เทพซ่อนก็เป็นได้
นั่นเป็นเพราะหอคัมภีร์เทพซ่อนต้องการดูผลงานของเขา ดูว่าเขาจะสามารถนำร่างหลักของมั่นถัวหลัวออกไปได้สำเร็จหรือไม่
หากเขาทำสำเร็จอาจได้รับการตอบรับเพื่อเข้าสู่หอคัมภีร์เทพซ่อนก็ได้
แน่นอนว่าถ้าเขาล้มเหลวก็จะสูญเสียทั้งร่างหลักของมั่นถัวหลัวและวิธีวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะ
ซึ่งนี่เป็นการระเบิดครั้งใหญ่สำหรับเขา
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ใบหน้าของมู่เฉินก็กลายเป็นเคร่งเครียด หากเขาสูญเสียวิธีวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะก็จะทำให้เกิดการหยุดชะงักและสูญเสียความได้เปรียบในอนาคตและการสูญเสียร่างหลักของมั่นถัวหลัวก็หมายความว่าฮ่องเต้เซี่ยจะไม่ปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน
ด้วยพลังในปัจจุบันของมั่นถัวหลัว นางสามารถหยุดฮ่องเต้เซี่ยไว้ได้เพียงคนเดียว แต่ยังมีลู่หย่วนประมุขตำหนักเทพปีศาจ ซึ่งเป็นศัตรูคู่อาฆาตของมั่นถัวหลัว
ดังนั้นเขาจะล้มเหลวไม่ได้!
มู่เฉินกำหมัดแน่น ใบหน้าเคร่งขรึมจริงจัง จากนั้นเขาก็มองไปที่โถงโบราณซึ่งน่าจะเป็นที่ตั้งของหอหนึ่ง
เนื่องจากบนเสาหินทั้งหลายต่างสลักคำว่าหนึ่งไว้
“ไปหาหอจอมพลสองเพื่อรับกองทัพสังหารวิญญาณด้วยป้ายกองทัพ”
ทันทีที่มีความคิดเช่นนี้ มู่เฉินก็รู้สึกได้ถึงความผันผวนรุนแรงของพื้นที่รอบตัว ไม่กี่อึดใจทิวทัศน์เบื้องหน้าก็เปลี่ยนไป
สิ่งที่ปรากฏคือขอบฟ้าที่ปกคลุมไปด้วยหมอก มู่เฉินยืนอยู่บนยอดเขาขนาดใหญ่
ยอดเขาเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมโอ่อ่าพร้อมด้วยหอสูงตระหง่านซึ่งปล่อยกลิ่นอายโบราณทำให้ทั่วฟ้าดินปกคลุมด้วยรัศมีเก่าแก่
มู่เฉินสามารถมองเห็นหอที่ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดซึ่งมีความสูงถึงหนึ่งพันจั้ง ทำให้ผู้คนถูกมองว่าเป็นมดที่เบื้องหน้า
ด้านบนสูงสุดของหอก็ปรากฏกระดานซึ่งมีคำอันทรงเกียรติ ‘หอสองฟ้า’
ป้ายเอิบอาบด้วยเกลียวแสงสีทองคลุมเครือพร้อมด้วยพลังไร้ขอบเขตพวยพุ่งทำให้แม้แต่มิติยังผันผวน
“นี่คือหอสองฟ้าเรอะ” มู่เฉินมองไปที่หอโบราณก็ไม่สามารถกลั้นยิ้มได้ หลังจากนั้นเขาก็ไม่ลังเลกลายเป็นร่างแสงมุ่งหน้าไปยังหอเบื้องหน้า
แน่นอนว่าขณะเดินทางไวมู่เฉินก็กระจายประสาทสัมผัสออกไปเพื่อมองหากับดักที่อยู่รอบๆ
แต่โชคดีที่ครั้งนี้ราบรื่นสำหรับเขา ราวกับว่ากับดักทั้งหมดถูกทำลายจากการต่อสู้ครั้งใหญ่
ไม่กี่นาทีต่อมามู่เฉินก็ปรากฏตัวเบื้องหน้าหอโบราณ เขาตรวจสอบอย่างระเอียดก็พบว่าประตูสัมฤทธิ์เขียวปิดด้วยผนึกที่ไม่สามารถเปิดได้ด้วยพละกำลังที่เขามีตอนนี้
มู่เฉินขมวดคิ้วชั่วครู่ต่อมาสายตาก็ปะทะไปที่กระดานบนประตู ป้ายมังกรทองคำปรากฏขึ้นในมือเขา
ป้ายเปล่งประกายแสงสีทองก่อนที่จะพุ่งเข้าไปในกระดาน มีร่องรอยแสงส่องลงมาที่ประตูปิดสนิท
แกร็ก
ในที่สุดประตูสัมฤทธิ์เขียวก็เปิดออกอย่างช้าๆ
เมื่อเห็นฉากนี้มู่เฉินก็รู้สึกโล่งใจ เขาคลึงป้ายมังกรทองคำในมือพลางถอนหายใจ ในวังสวรรค์บรรพกาล ป้ายประจำตัวมีความสำคัญแท้จริง ซึ่งจำเป็นมากไม่ว่าเขาจะไปที่ใดก็ตาม
ขณะที่ประตูสัมฤทธิ์เขียวเคลื่อนตัวเปิด รัศมีรกร้างก็พวยพุ่งออกมา มู่เฉินเหมือนจะได้ยินเสียงสังหารหมู่ที่มาจากประตูบานนั้น
เมื่อประตูเปิดออกอย่างสมบูรณ์มู่เฉินก็ฟื้นสติ เขาลังเลชั่วครู่ก่อนที่จะก้าวเข้าไปในโถงของหอสองฟ้า
ห้องโถงใหญ่โตมโหฬาร แต่ขณะนี้สถานที่ที่เคยโอ่อ่าดูยุ่งเหยิงไปด้วยร่องรอยการต่อสู้ที่กรีดผ่านไว้โดยรอบ
ทว่ามู่เฉินไม่ได้สนใจเรื่องนั้น เพราะทันทีที่เขาก้าวเข้ามาดวงตาก็จดจ่อไปที่ปลายโถงพร้อมกับแววตกตะลึงกะพริบวูบวาบในดวงตา
เขาเห็นบัลลังก์สีทองที่มีภาพเงาในชุดสีม่วงยืนอยู่เบื้องหน้าบัลลังก์เปล่งรัศมีครอบงำพร้อมกับพลังอันน่าสะพรึงกลัว ปราบปรามกระทั่งสวรรค์และโลก
แรงกดดันที่พัดเข้ามาทำให้ปฏิกิริยามู่เฉินเปลี่ยนไปมาก เนื่องจากเขาตระหนักได้ว่าร่างเงาชุดสีม่วงไม่ใช่ภาพลวงตา แต่เป็นร่างที่มีอยู่จริง!
นอกจากจอมพลสองแล้ว ใครกันจะมีแรงกดดันแบบนี้อีก!
นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้มู่เฉินตกใจก็คือยังมีร่องรอยของพลังชีวิตที่มาจากร่างเงานั้น!
หรือว่าจอมพลสองยังไม่ตาย?!
บทที่ 1160 แมลงหงส์
ร่างในชุดคลุมสีม่วงยืนอยู่ตรงบัลลังก์
พร้อมกับรัศมีครอบงำยิ่งใหญ่ที่โดดเด่น ทำให้พื้นที่โดยรอบบิดเบี้ยวปกคลุมโถงเป็นชั้นๆ
มู่เฉินถูกห่อหุ้มด้วยแรงกดดันตั้งแต่ก้าวเข้ามาในโถง ทันใดนั้นร่างกายก็เกร็งขึ้น เกลียวแสงสีทองไหลอยู่บนชั้นผิวพร้อมกับเสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าดังก้องในร่างกาย เนื้อหนังแข็งตัวประหนึ่งเหล็กกล้าในตอนนี้
เผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่รู้จัก ชัดว่ามู่เฉินไม่กล้าที่จะผ่อนคลายแม้แต่น้อย ร่างน่าเกรงขามที่ถูกทิ้งไว้โดยบุคคลที่ยิ่งใหญ่ สามารถทำให้เขาต้องจ่ายราคาแพงระยับแน่นอน
ขณะที่เขาใช้พละกำลังทั้งหมดเพื่อป้องกัน สายตาก็จดจ้องร่างชุดสีม่วงเบื้องหน้าด้วยแววตื่นระวังวาบไหวในส่วนลึกของนัยน์ตา นั่นเป็นเพราะก่อนหน้านี้เขาสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตที่คลุมเครือจากในร่างจอมพลสอง
หรือว่าจอมพลสองยังไม่ได้สิ้นชีวิตอย่างสมบูรณ์?
แต่ท่าทางเช่นนี้เขาไม่ได้ดูเหมือนมีสติสัมปชัญญะเลยนะ?
มู่เฉินขมวดคิ้วหันหน้าก้าวไปในทิศทางอื่นซึ่งจะได้เผชิญหน้ากับจอมพลสอง จุดนี้ทำให้เขามองเห็นรูปลักษณ์อีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน
ทว่าทันทีที่เห็นรูปลักษณ์อีกฝ่ายใบหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนไปรุนแรง อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึก
นั่นเป็นเพราะเขาเห็นจอมพลสองเงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า ดวงตาจ้องมองด้วยความโกรธเกรี้ยว ซึ่งทำให้มู่เฉินตกตะลึง แต่ที่ทำให้มู่เฉินหวาดผวาไม่ใช่การแสดงออกที่แข็งกระด้างบนใบหน้า แต่เป็นรูโลหิตที่อยู่หว่างคิ้วจอมพลสอง
รูโลหิตนี้มีขนาดหนึ่งนิ้วดูเหมือนไม่สลักสำคัญอะไรเลย ทว่ามู่เฉินตระหนักได้ทันทีว่านี่เป็นพลังทำลายล้างชีวิตของจอมพลสองแบบทันด่วน
มู่เฉินไม่สามารถวัดได้ว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มทรงพลังเพียงใด แต่เขารู้ดีว่ามีจอมยุท์ระดับนี้ไม่มากนักในทวีปเทียนหลัวปัจจุบัน
ทว่าบุคคลดังกล่าวกลับถูกสังหารทันที แล้วศัตรูคนนั้นจะทรงพลังขนาดไหน?
มู่เฉินรู้สึกเย็นเยือกบนผิวหนัง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า สายตาจับจ้องไปยังสถานที่แห่งหนึ่งขณะที่คลื่นหลิงรวมตัวในดวงตา
ขอบฟ้าบนนั้นก็มีร่องรอยหลุมดำขนาดหนึ่งนิ้วคล้ายๆ กันซึ่งดูไม่สำคัญเมื่อเทียบกับขนาดทั้งท้องฟ้า แต่เมื่อเขาเห็นหลุมดำนั้นก็รู้สึกหนาวสั่นไปถึงกระดูกสันหลัง
ความกลัวที่ไม่อาจอธิบายได้เพิ่มขึ้นในใจ
ตอนนั้นเองฉากหนึ่งก็กะพริบในห้วงจิตของมู่เฉิน ขณะที่ทวีปเทียนหลัวถูกรุกราน ปีศาจทรงพลังคนหนึ่งที่ไม่อาจจินตนาการได้ปรากฏตัวที่วังสวรรค์บรรพกาล ซึ่งทันทีที่เขาปรากฏก็ได้ลงมือก่อนที่จักรพรรดิฟ้าเสียอีก
ร่างนั้นใช้นิ้วชี้นิ้วเดียวก็ทำให้เกิดหลุมดำบนท้องฟ้าหอสอง จากนั้นทันทีที่จอมพลสองสัมผัสได้และลุกขึ้นยืน หว่างคิ้วก็ปรากฏรูโลหิตซึ่งทำลายพลังชีวิตทันท่วงที
สังหารจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มด้วยดัชนีเดียว
มู่เฉินหายใจเข้าลึกด้วยพลังที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้จะมีใครอีกบ้างที่สามารถบรรลุได้นอกจากนักรบราชันปีศาจที่ตายไปพร้อมกันกับจักรพรรดิฟ้า?
นอกจากนี้การเคลื่อนไหวก่อนที่จักรพรรดิฟ้าจะตั้งตัวก็พิสูจน์แล้วว่านักรบราชันปีศาจคนนี้น่ากลัวเพียงใด…
“จักรวรรดิปีศาจ…เป็นสิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงกลัวจริงๆ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมพวกมันถึงบังคับให้คนทั้งจักรวาลร่วมมือกันได้” ท่าทางของมู่เฉินเคร่งขรึมลง เขารู้สึกได้ว่าเผ่าปีศาจต่างมิติทรงพลังและน่ากลัวเพียงใด พวกมันคือศัตรูตัวฉกาจของมหาพันภพอย่างแท้จริง
กระทั่งตอนนี้เผ่าปีศาจก็ยังคงจับจ้องมหาพันโลกและรอคอยโอกาสในการบุกเข้ามา
มู่เฉินถอนหายใจในใจสงบสติอารมณ์ เผ่าปีศาจยังอยู่ไกลจากเขามากนัก เนื่องจากตอนนี้เขายังอ่อนแอเกินไป
แม้แต่จอมยุทธ์อย่างจอมพลสองสองยังถูกทำลายล้างด้วยดัชนีเดียว อาจมีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้นที่สามารถต่อกรกับการดำรงอยู่ดังกล่าวได้
เมื่อสงบอารมณ์มู่เฉินก็เลื่อนสายตาจากจอมพลสองมาที่โถง
ท้ายที่สุดแล้วเป้าหมายที่เขามาหอสองในครั้งนี้ไม่ใช่จอมพลสอง
แต่เป็นกองทัพสังหารวิญญาณ!
เมื่อมู่เฉินกวาดสายตามองก็ค้นพบว่าโถงแห่งนี้มีขนาดใหญ่เพียงใด ก่อนหน้านี้เขาตะลึงกับร่างของจอมพลสองจนมองข้ามสิ่งอื่นไป
มีบันไดวนร้อยขั้นอยู่ใต้บัลลังก์โดยมีร่างหุ้มเกราะหนาอยู่ด้านหลังบันได
เมื่อมู่เฉินเห็นร่างเหล่านั้น เปลือกตาก็กระตุก หัวใจเต้นรัวพร้อมกับดวงตาลุกโชนกวาดมองไป
ร่างหุ้มเกราะดำทะมึนปรากฏมากขึ้น…มากขึ้นในครรลองสายตา นี่เป็นกองทัพที่ยืนอยู่เบื้องหลังจอมพลสองประหนึ่งทหารผู้จงรักภักดี
ดูคร่าวๆ มีร่างหุ้มเกราะหนักห้าพันร่าง พวกเขาสวมชุดเกราะจนไม่สามารถมองเห็นรูปลักษณ์ได้ ชุดเกราะเหล่านั้นสลักด้วยอักษรสีแดงเข้มราวกับว่าเป็นเลือดปลดปล่อยไอสังหารที่น่าสะพรึงกลัว ทุกคนมีง้าวสีแดงเข้มเป็นอาวุธประดุจดังถูกห่อหุ้มด้วยรัศมีสีแดงเข้ม
เห็นได้ชัดว่าตอนที่กองทัพยังคงอยู่ พวกเขาได้ต่อสู้หลายครั้งแม้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็เคยถูกทำลายโดยพวกเขา
สายตาของมู่เฉินมองไปที่กองทัพด้วยดวงตาลุกโชน อดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่นด้วยความตื่นเต้น นี่คือกองทัพที่เขาตามหา—กองทัพสังหารวิญญาณ!
ทว่า… ความตื่นเต้นของมู่เฉินก็หดกลับอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเมื่อคลื่นจิตแพร่กระจายออกไป เขาค้นพบว่ากองทัพสังหารวิญญาณไม่มีร่องรอยของความผันผวนที่แปลกประหลาดเลย
ดูเหมือนกองทัพสังหารวิญญาณจะถูกทำลายโดยสิ้นเชิงแล้ว
ใบหน้าของมู่เฉินบิดเบ้ไม่น่าดู ถ้าเขาไม่สามารถควบคุมกองทัพสังหารวิญญาณได้ เขาก็ไม่สามารถนำร่างหลักของมั่นถัวหลัวออกมาได้
“ทำไมถึงเป็นอย่างนี้?” มู่เฉินขมวดคิ้ว โดยทั่วไปแล้วหากกองทัพชั้นยอดดังกล่าวเสียชีวิตลง ส่วนใหญ่จะใช้ทักษะลับเพื่อดึงพลังของพวกเขาออกมาทำให้กลายเป็นกองทัพไม่มีวันตาย ด้วยวิธีนี้แม้ว่าพวกเขาจะตายแต่ก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพ
ในบางแง่มุมกองทัพดังกล่าวไม่สามารถพิจารณาว่าเป็นสิ่งมีชีวิตได้ ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถรอดจากการกัดกร่อนของกาลเวลาได้
แต่ทำไมตอนนี้จากความผันผวนที่สัมผัสได้ พวกเขาราวกับตายไปแล้วจริงๆ?
“นั่นเป็นเพราะกองกำลังนี้ขาดการกระตุ้น”
ขณะที่มู่เฉินครุ่นคิดเสียงหัวเราะพลิ้วไหวก็ดังมาจากด้านหลังเขา
มู่เฉินหดดวงตาก่อนที่จะค่อยๆ เอี้ยวหน้ากลับไปก็เห็นร่างเงาซูชิงหยิง
ไม่คิดว่านางก็มาที่หอสอง
เขายังคงมีสีหน้าสงบแต่ในร่างได้หมุนเวียนคลื่นหลิงแล้ว แม้ว่าเขาและซูชิงหยิงจะไม่ใช่ศัตรูกัน แต่ก็ไม่ได้เป็นพันธมิตรเช่นกัน
เมื่อเห็นมู่เฉินตั้งระวัง ซูชิงหยิงก็ยิ้มพร้อมกับหรี่ตายิ้ม “อย่ากังวล ข้าไม่ต้องการสู้กับเจ้าที่นี่ ยิ่งกว่านั้นข้าคิดว่าตอนนี้เรามาร่วมมือกันจะดีกว่านะ”
“ร่วมมือกัน?” มู่เฉินหรี่ตาลง
“เป้าหมายของเจ้าคือกองทัพนั่นใช่ไหม? ฮ่าๆ เจ้ามีความทะเยอทะยานจริงๆ กองทัพนี้ไม่ใช่ใครๆก็สามารถควบคุมได้หรอกนะ” ซูชิงหยิงมองไปที่มู่เฉินด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง
“นั่นไม่ใช่เรื่องของเจ้า” มู่เฉินตอบอย่างไม่แยแสจากนั้นก็ถามกลับ “เจ้าพูดถึงการกระตุ้น หมายความว่าอย่างไร?”
ซูชิงหยิงยิ้มเรียบขณะที่ตอบ “กองทัพนี้ไม่ได้ถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์ เนื่องจากตอนที่จอมพลสองถูกฆ่าตาย กองทัพนี้ได้แผดเผาวิญญาณของตนเองเพื่อเทพลังไปที่จอมพลสองด้วยความหวังว่าจะช่วยชีวิตเอาไว้ได้ ดังนั้นหากเจ้าต้องการควบคุมกองทัพนี้ก็ต้องคืนพลังให้พวกเขา”
มู่เฉินขมวดคิ้ว “ถ้านั่นคือวิธีที่สามารถรักษาชีวิตจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนได้ก็ง่ายเกินไป”
ซูชิงหยิงพยักหน้า “ถ้าเป็นเพียงแค่นี้ก็เป็นไปไม่ได้ แต่จอมพลสองมีแมลงหงส์ซึ่งเป็นแมลงวิญญาณหายาก แมลงดังกล่าวสามารถผ่านนิพพานเพื่อฟื้นฟูชีวิตของเจ้านายได้ครั้งหนึ่ง เพียงแต่ว่าต้องใช้พลังสนับสนุนอย่างมาก”
“แมลงหงส์?” หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้าน หรือว่าพลังชีวิติที่เขารู้สึกได้จากจอมพลสองก็คือแมลงหงส์?
ถ้าเป็นอย่างนั้นจอมพลสองก็จะมีโอกาสกลับมามีชีวิตจริงหรือ?
“จอมพลสองตายไปแล้วและไม่สามารถฟื้นคืนชีพได้อีก” ราวกับว่านางเดาความคิดของมู่เฉินได้ ซูชิงหยิงส่ายหน้า “การโจมตีที่จอมพลสองประสบยิ่งใหญ่มากจนแทบจะทำให้ทุกอย่างในร่างกายกลายเป็นขี้เถ้า ดังนั้นต่อให้เป็นแมลงหงส์ก็ไม่สามารถช่วยเขาได้”
จากนั้นนางก็หันไปหามู่เฉิน “เป้าหมายของข้าคือแมลงหงส์ ตราบใดที่ข้าได้มา ข้าก็สามารถช่วยเจ้าบีบพลังงานที่แมลงหงส์ดูดซับจากกองทัพออกมา ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะสามารถได้รับกองทัพ”
“ดังนั้นเราสามารถร่วมมือกันได้”
สายตามู่เฉินวูบไหว จากนั้นไม่นานก็พูดต่อ “งั้นข้าต้องการทำอะไร?”
ไม่ว่าซูชิงหยิงจะพูดความจริงหรือไม่ แต่ตอนนี้เขาก็คิดจะลองทำเช่นนี้สักหน่อย ถ้าผู้หญิงคนนี้โกหกเขาจะให้นางจ่ายจนกระอักแน่
เมื่อเห็นมู่เฉินสนใจ ซูชิงหยิงก็อดกลั้นรอยยิ้มไม่ได้ จากนั้นมองไปที่โถงพลางสะบัดนิ้ว ลำแสงหลิงพุ่งออกมา
ฮึ่ม
เมื่อคลื่นหลิงพุ่งเข้าไปในโถง ทั้งห้องก็สั่นสะเทือน เส้นหลิงนับไม่ถ้วนรวมตัวกันบนอากาศ ทันใดนั้นเสียงคำรามมังกรก็ดังก้อง ค่ายกลมหึมาปรากฏขึ้นปกคลุมทั่วไปโถง
“ข้าต้องการให้เจ้าช่วยสลายค่ายกลนี้” เมื่อเห็นค่ายกลที่น่าสะพรึง ซูชิงหยิงก็พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองไปที่ค่ายกลขนาดใหญ่ ความแปลกประหลาดและตกตะลึงก็ฉายบนใบหน้า
เนื่องจากเขาพบว่าค่ายกลนี้คุ้นเคยอย่างมาก
นี่คือค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร!
ทว่าค่ายกลนี้อยู่ในรูปแบบที่สมบูรณ์!
บทที่ 1161 ร่วมมือกัน
คลื่นหลิงป่าเถื่อนสร้างหายนะในห้องโถง
ลวดลายแสงถักทอเป็นร่างมังกรอย่างคลุมเครือ ปลดปล่อยเสียงคำรามรุนแรงจนโถงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปหมด
“ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร…”
เมื่อมู่เฉินมองไปที่ค่ายกลที่คุ้นเคย ดวงตาก็กะพริบด้วยความตกใจ เขาไม่คิดมาก่อนว่าจะได้เจอกับค่ายกลนี้ในหอสองแห่งนี้
ยิ่งกว่านั้นยังเป็นฉบับสมบูรณ์แบบอีกด้วย!
มู่เฉินมองไปที่ค่ายกลขนาดใหญ่ที่แผ่ออกเต็มโถงก็ถอนหายใจในใจ เมื่อเทียบกับค่ายกลที่เขาสร้างขึ้น ก็ไม่อาจอธิบายได้ด้วยคำพูดเลย!
แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนับหมื่นปีเส้นสายแสงในค่ายกลก็ยังคงโชติช่วง เอิบอาบด้วยระลอกคลื่นพลังงานอันน่าสะพรึงกลัว
“กลัวว่าแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็คงติดแหง็กอยู่ในค่ายกลนี้ หนีไปไม่ได้” มู่เฉินเลียริมฝีปาก ดูเหมือนค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารที่สมบูรณ์นี้น่าจะใกล้เคียงกับค่ายกลระดับจงซือขั้นสูง
โดยทั่วไปแล้วค่ายกลขั้นจงซือขั้นกลางก็จะมีพลังมากพอที่จะจัดการกับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นปลายได้
จอมพลสองยืนอยู่กึ่งกลางของค่ายกล ด้วยความแข็งแกร่งของเขาและความช่วยเหลือจากค่ายกล แม้ว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มที่คล้ายคลึงกับเขาก็จะถูกปราบปรามหากหลงเข้ามาในนี้
แต่น่าเสียดายที่การเตรียมการทั้งหมดไร้ประโยชน์เมื่อนักรบราชันปีศาจมาถึง
ขณะที่มู่เฉินถอนหายใจต่อหน้าค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารที่สมบูรณ์ สายตาของซูชิงหยิงที่ด้านข้างก็จับจ้องมาก่อนที่จะถามอย่างใจจดใจจ่อ “เป็นยังไงบ้าง?”
มู่เฉินเหลือบมองนางย้อนถาม “เจ้าหมายถึงอะไร? เจ้าคงไม่คิดจริงๆ ว่าข้าสามารถทำลายค่ายกลระดับนี้ได้หรอกมั้ง?”
“การทำลายเป็นไปไม่ได้แน่นอน” ซูชิงหยิงไม่ได้เพ้อฝันเช่นนี้ เพราะค่ายกลระดับจงซือเป็นอะไรที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายยังไม่กล้าเข้าไปง่ายๆ
“แต่แม้ว่าค่ายกลจะทรงพลังก็ไม่มีคนควบคุมแล้วและเจ้าก็เป็นหลิงเจิ้นซือ ดังนั้นข้าอยากให้เจ้าลองดูว่าจะสามารถเปิดช่องเพื่อให้ข้านำแมลงหงส์ออกมาได้หรือไม่”
มู่เฉินดีดนิ้วเบาๆ ขณะครุ่นคิดก่อนจะพูด “ถ้าแบบนั้นก็ใช่ว่าไม่ได้”
เนื่องจากเขามีความเข้าใจถ่องแท้กับค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร จึงเป็นไปได้ที่จะเปิดทางได้
“จริงเหรอ?” ซูชิงหยิงเผยความสุขบนใบหน้า ตอนแรกนางแค่หยั่งเชิงถามดูว่ามู่เฉินสามารถเปิดทางได้หรือไม่ ดังนั้นนางจึงไม่คาดหวังมากเกินไป เพราะว่าค่ายกลระดับจงซือเหนือชั้นเกินไป แม้กระทั่งสำหรับความเข้าใจของมู่เฉินที่มีต่อค่ายกล
แต่เห็นได้ชัดว่าคำตอบของมู่เฉินทำให้นางมีความสุขมาก
“ลองดูได้” มู่เฉินพยักหน้าจากนั้นก็มองไปที่ซูชิงหยิง “แต่ทำใมข้าต้องเชื่อใจเจ้าด้วยล่ะ”
หากนางได้รับแมลงหงส์มาจริงๆ นางจะสามารถฟื้นกองทัพสังหารวิญญาณได้จริงเหรอ? ถ้าซูชิงหยิงกลับคำ มู่เฉินจะไม่ทำงานเก้อเหรอ?
เพราะยังไงซูชิงหยิงก็ไม่ใช่เซียวเซียวหรือหลินจิ้ง ดังนั้นเขาจึงมีข้อสงสัยในตัวนาง
ซูชิงหยิงไม่ได้โกรธกับข้อสงสัยของมู่เฉิน “อาจารย์ของข้าเป็นศิษย์สำนักโบราณแห่งหนึ่งและแมลงหงส์ของจอมพลสองก็มาจากสำนักนั้น ดังนั้นข้าถึงรู้เกี่ยวกับข้อมูลเหล่านี้”
“นอกจากนี้ที่ข้าพูดมาทั้งหมดก็ไม่ได้เป็นเรื่องเท็จ หากเจ้าต้องการฟื้นฟูกองทัพสังหารวิญญาณจริงๆ ก็จะต้องใช้แมลงหงส์เพื่อบีบให้พลังออกมา ดังนั้นเจ้าต้องพึ่งพาข้า”
“ดังนั้นข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธความร่วมมือนี้”
ซูชิงหยิงมองไปที่มู่เฉิน ทั้งสองคนสบตากันทำให้แม้แต่อากาศก็แข็งค้างเล็กน้อย ก่อนที่มู่เฉินจะยิ้มบางจากนั้นครู่หนึ่งก็พยักหน้า “ตกลง”
เช่นเดียวกับที่ซูชิงหยิงกล่าว ถ้าเขาต้องการฟื้นฟูกองทัพสังหารวิญญาณก็ต้องร่วมมือกับนาง ส่วนซูชิงหยิงจะรักษาสัญญาหรือไม่ ก็ค่อยดูไปทีละเปลาะก็แล้วกัน
“ถ้างั้นก็สนุกกับความร่วมมือกันนะ” ซูชิงหยิงยิ้ม เห็นได้ชัดว่านางไม่กลัวที่มู่เฉินจะปฏิเสธ
“ข้าต้องการเวลาสักหน่อย” มู่เฉินไม่รอช้า เขาหันหลังเดินไปทางค่ายกลก่อนจะหลับตาลง แสงหลิงเปล่งประกายบนปลายนิ้วก่อนที่สัญลักษณ์หลิงยิ่งจะบินฉวัดเฉวียนออกมา รวมเข้ากับค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารอย่างระมัดระวัง
ด้วยความเข้าใจต่อค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารในปัจจุบันของเขาการเปิดทางในค่ายกลที่ไม่มีใครควบคุมนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ชัดว่าเขาไม่โง่พอที่จะเปิดเผยเรื่องนี้
การเปิดเผยไพ่ตายโดยไม่มีจุดประสงค์ใดๆ ไม่ใช่นิสัยของมู่เฉิน
“ข้าจะปกป้องเจ้าเอง” ซูชิงหยิงเอ่ยพลางถอยห่างออกไประยะหนึ่งไปยืนอยู่หน้าประตู เพื่อกั้นพวกหน้าแหลมที่จะเข้ามาขัดขวางมู่เฉิน
ซูชิงหยิงไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับความช้าของมู่เฉิน เพราะนี่เป็นค่ายกลระดับจงซือ ถ้ามู่เฉินสามารถเปิดได้อย่างง่ายดาย ก็จะเป็นซูชิงหยิงเองที่จะสงสัย
ซูชิงหยิงนั่งอยู่บริเวณประตูสัมฤทธิ์เขียว มองไปที่ภาพเงาของมู่เฉินก่อนที่จะจ้องมองไปยังร่างสง่างามของจอมพลสอง
“แมลงหงส์…” สายตานางกะพริบเล็กน้อยขณะที่ยิ้มบางพร้อมกับดวงตาลุกโชน หากนางได้รับแมลงตัวนี้มาได้ ด้วยวิธีการชำระของสำนัก นางก็มีความมั่นใจในการเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุน
โถงใหญ่ตกอยู่ในความเงียบ เวลาก็เคลื่อนผ่านไป
ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมามู่เฉินก็ลืมตาขึ้นในที่สุด ซูชิงหยิงเดินขึ้นไปหาอย่างรวดเร็วก่อนที่จะถามอย่างใจจดใจจ่อ “เป็นยังไงบ้าง?”
หากมู่เฉินทำไม่สำเร็จนางก็ต้องยอมแพ้กับแมลงหงส์นี้ เพราะด้วยพลังที่นางมีเป็นไปไม่ได้ที่จะผ่านค่ายกลไปได้
ภายใต้สายตากังวลของนาง มู่เฉินก็ยิ้มบางก่อนที่จะพลิกนิ้ว คลื่นหลิงผันผวนมาจากค่ายกลขนาดใหญ่ก่อนที่ทางจะค่อยๆ เปิดออกเป็นรอยแยกครึ่งจั้ง
“โชคดีที่ข้าไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง” มู่เฉินยิ้ม
ซูชิงหยิงฉายความสุขบนใบหน้าด้วยความตื่นเต้นในสายตา ขณะที่หน้าอกอวบอิ่มสะท้อนขึ้นลง
“ข้าจำเป็นต้องควบคุมเส้นทาง ดังนั้นเจ้าต้องพึ่งพาตัวเองที่จะเข้าไปรับแมลงหงส์” มู่เฉินยิ้มให้ซูชิงหยิง
อาจมีกับดักอื่นๆ ในห้องโถงที่มู่เฉินไม่รู้ ดังนั้นเขาจึงไม่มีความคิดที่จะทดสอบและทิ้งปัญหาไปให้ซูชิงหยิง
ซูชิงหยิงรู้เรื่องนี้ดี แต่นางก็ไม่ปฏิเสธเนื่องจากมู่เฉินทำสิ่งที่สำคัญที่สุดแล้ว ต่อไปนางจะต้องรับผิดชอบในการเรียกแมลงหงส์
“ถ้างั้นข้าก็รบกวนพี่มู่ด้วย” ซูชิงหยิงพยักหน้าอย่างแน่วแน่ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่ค่ายกลโดยไม่ลังเลใดๆ
เมื่อนางเดินเข้าไปค่ายกลก็เกิดการพลิกผันเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ปล่อยการโจมตีใดๆ
ซูชิงหยิงก้าวเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง แต่โชคดีที่ไม่มีอะไรที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นหลังจากที่เข้ามานางก็เดินไปที่หน้าบัลลังก์อย่างราบรื่น
นางมองร่างสง่างามก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโล่งใจ จากนั้นใบหน้านางก็จริงจังขึ้นก่อนจะวาดตราประทับเร็วรี่
อ็อก
ในเวลาเดียวกันนางก็กัดลิ้นตัวเอง เลือดไหลออกมาจากปากกลายเป็นเม็ดสีแดงเข้มพร้อมกับกลิ่นหอมเปล่งออกมา
เมื่อกลิ่นหอมกระจายออกไป จุดสีแดงก็ปรากฏขึ้นบนศีรษะของจอมพลสองขยับขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนจะพุ่งออกมาทางรูโลหิต
นี่เป็นแมลงสีแดงเข้มที่มีปีกสวยงามราวกับหงส์ ทว่ามันตัวเล็กมากทำให้ดูแปลกพิกลนัก
อย่างไรก็ตามตอนนี้ดวงตามันปิดอยู่และโอบตัวไว้ราวกับว่าอยู่ในห้วงนิทรา แต่ก็บินออกมาตามสัญชาตญาณพุ่งไปยังเม็ดเลือดและกลืนกิน
ซูชิงหยิงแบมือ แสงสีแดงก็ตกลงมา นางมองไปที่แมลงน่าหลงใหลด้วยความตื่นเต้นบนใบหน้า
นางคว้าแมลงหงส์ล้ำค่ามาได้อย่างง่ายดาย!
แม้ว่ามันจะตกอยู่ในห้วงนิทรา แต่นางก็ยังสัมผัสได้ถึงพลังน่ากลัวที่มีอยู่ภายในร่างกายเล็กจ้อยนี้
ซูชิงหยิงหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะจับแมลงหงส์อย่างระมัดระวังจากนั้นก็หันกลับมาเตรียมจากไป
“แม่นางซูกรุณารอสักครู่” ทว่าขณะที่นางกำลังจะออกจากค่ายกลเสียงของมู่เฉินก็ดังก้องขึ้นจากนอกค่ายกล
ซูชิงหยิงเงยหน้าขึ้นมองไปที่มู่เฉินพลางยิ้ม “พี่มู่ ข้าจะช่วยเจ้าฟื้นฟูกองทัพสังหารวิญญาณอย่างแน่นอนหลังจากที่ข้าออกไป”
ขณะที่นางพูดก็ไม่หยุดเดิน ใบหน้าดูสบายใจขึ้นมาก ด้วยแมลงหงส์นางจะไม่มีคู่ต่อสู้ใดๆ ภายใต้ระดับตี้จื้อจุน ตราบเท่าที่นางใช้พลังเพียงเล็กน้อยแม้ว่าแมลงจะหลับอยู่ก็ตาม
ถ้านางหวาดกลัวมู่เฉินมาก่อนหน้า ความกลัวก็ไม่มีอีกแล้วในตอนนี้
มู่เฉินมองไปที่ซูชิงหยิงที่เดินเข้ามาก็อดยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ หลังจากนั้นเขาก็โบกมือ ทางเดินในค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารหายไปอย่างช้าๆ
เวลาเดียวกันคลื่นหลิงรุนแรงก็กวาดขึ้นในค่ายกล มังกรที่สร้างขึ้นมาจากคลื่นหลิงจ้องมองไปที่ซูชิงหยิง
ฝีเท้าของซูชิงหยิงหยุดกึกชั่วขณะ นางมองไปที่ค่ายกลที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ด้วยความหวาดผวาและตกใจบนใบหน้า
“จะ…เจ้าควบคุมค่ายกลนี้ได้อย่างไร” สายตาของซูชิงหยิงเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ
เห็นชัดว่าค่ายกลเก้าเทพมังกประหารถูกกระตุ้นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แล้ว
ซึ่งทั้งหมดเกิดโดยฝีมือมู่เฉิน ขณะนี้ซูชิงหยิงเข้าใจว่าก่อนหน้านี้มู่เฉินแสดงละครฉากใหญ่
อันที่จริงตอนที่มู่เฉินเปิดทางเขาก็ได้ควบคุมค่ายกลนี้แล้วโดยที่นางไม่รู้ตัว
มู่เฉินไม่ตอบกับต่อความตกใจของซูชิงหยิง แต่มองไปที่นางด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงอ่อนโยนของเขาดังขึ้นช้าๆ
“แม่นางซู ไม่รู้ว่าเจ้าสามารถช่วยข้าฟื้นฟูกองทัพสังหารวิญญาณตอนนี้ได้หรือยัง?”
บทที่ 1162 ฟื้นฟูกองทัพสังหารวิญญาณ
โถงเก่าแก่รกร้าง
มีค่ายกลที่มีพลังงานหลิงรุนแรงห่อหุ้มไว้ มังกรเก้าตัวบินฉวัดเฉวียนอยู่บนท้องฟ้าพร้อมกับความผันผวนน่ากลัวที่เล็ดลอดออกมาจากพวกมัน ทำให้แม้แต่มิติยังสั่นสะท้านจากพลัง
ซูชิงหยิงตัวสั่นสะท้านภายใต้มังกรทั้งเก้าขณะเงยหน้าขึ้นมองไปที่มู่เฉินที่อยู่นอกค่ายกล ขณะนี้ชายหนุ่มยืนเอามือไพล่หลังมีรอยยิ้มบาง ทว่าเมื่อรอยยิ้มนั้นเข้าสู่ครรลองสายตาของซูชิงหยิงก็แสบตามาก
“ไม่คิดว่าเจ้าจะทำได้ถึงขนาดนี้!” ซูชิงหยิงกัดริมฝีปากขณะที่พูดอย่างยากลำบาก
มู่เฉินทำให้นางตกใจแท้จริง แม้ว่าซูชิงหยิงจะเตรียมการสำหรับมู่เฉินไว้ แต่นางก็ไม่คิดว่ามู่เฉินใช้ค่ายกลที่น่ากลัวนี้ในการป้องกันได้
จนถึงตอนนี้นางยังไม่อาจเชื่อกับความจริงที่อยู่ตรงหน้า เพราะนี่คือค่ายกลระดับจงซือที่เทียบได้กับระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ด้วยความเข้าใจของมู่เฉินในเส้นทางศาสตร์ค่ายกลเขาจะบรรลุสิ่งนี้ได้อย่างไร? เขาเป็นหลิงเจิ้นจงซือเหรอ?
ทว่ามู่เฉินก็ไม่ใส่ใจกับอารมณ์ของซูชิงหยิง เขามองไปที่นางและยิ้มอีกครั้ง “แม่นางซู ไม่รู้ว่าเจ้าสามารถช่วยข้าฟื้นฟูกองทัพสังหารวิญญาณได้หรือไม่?”
ซูชิงหยิงเหลือบมองไปที่มู่เฉินอย่างลึกซึ้งก่อนจะยิ้มพลางพยักหน้า “พี่มู่พูดอะไรแบบนั้น? คนอย่างข้าไม่กลืนน้ำลายตัวเองหรอก ในเมื่อข้าสัญญาไว้ก็ต้องทำตามแน่นอน”
เมื่อได้ยินคำพูดของนาง มู่เฉินก็ผายมือออกมาทำท่าเชื้อเชิญ
ซูชิงหยิงหันกลับไป และยื่นมือออกเผยให้เห็นแมลงหงส์ที่หลับใหลอยู่ในฝ่ามือพร้อมกับแววปวดใจในส่วนลึกของดวงตาเมื่อนางมองไปที่มัน
ทีแรกพลังงานดังกล่าวจะสามารถช่วยแมลงหงส์ในการเจริญเติบโตและวิวัฒนาการได้ การบีบพลังออกมาจะทำให้มันได้รับการเสียหายใหญ่หลวง
แต่การเผชิญหน้ากับค่ายกลที่น่ากลัวซูชิงหยิงก็ไม่มีทางเลือก
มู่เฉินเจ้าเล่ห์เกินไป
ซูชิงหยิงถอนหายใจและไม่ลังเลอีกต่อไป นางวาดตราประทับขึ้นปลายนิ้วปริออกพร้อมกับหยดเลือดพรมลงบนร่างแมลงหงส์
หยดเลือดซึมเข้าร่างแมลงหงส์กลายเป็นลวดลายขลังบนร่างแมลง
กีด กีด!
แมลงหงส์ที่หลับใหลส่งเสียงร้องแหลมราวกับว่าเจ็บปวด สุดท้ายร่างกายสั่นสะท้าน เส้นใยเลือดก็พุ่งออกมาห่อหุ้มส่วนหนึ่งของกองทัพสังหารวิญญาณ
เส้นใยเลือดมุดเข้าไปในร่างนักรบสังหารวิญญาณ จากนั้นมู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังงานในร่างกายพวกเขา
ซูชิงหยิงรู้สึกโล่งใจขณะที่เช็ดเหงื่อบนหน้าผากก่อนที่จะหันไปหามู่เฉิน “พี่มู่ ตามที่เจ้าต้องการ”
ทว่ามู่เฉินยังคงไร้อารมณ์ขณะจ้องมองนาง
รอยยิ้มของซูชิงหยิงก็ค่อยๆ หดหายไป
“แม่นางซู กองทัพสังหารวิญญาณห้าพันนาย เจ้ากู้คืนเพียงสองร้อยนายเท่านั้น แม้ว่าพลังของพวกเขาจะเสียหาย แต่ก็ไม่เสียหายถึงระดับนี้ใช่ไหม?” มู่เฉินพูดเบาๆ
จากการรับรู้เขาตระหนักได้ว่ามีนักรบสังหารวิญญาณสองร้อยนายเท่านั้นที่มีพลังกลับคืนมา จำนวนนี้น้อยเกินไป แม้จะอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้
ใบหน้าของซูชิงหยิงเปลี่ยนไป นางกักพลังไว้เยอะก็จริง เพราะพลังงานนั้นมีค่าสำหรับแมลงหงส์ซึ่งในอนาคตเมื่อนางบรรลุระดับตี้จื้อจุน มันจะช่วยในการพัฒนาพลังได้มาก
มู่เฉินมองไปที่ซูชิงหยิงเหยียดนิ้วออกสองนิ้ว “แม่นางซู ข้าต้องการนักรบสองพันนาย ตราบเท่าที่เจ้าเรียกจำนวนนี้ได้ ข้าก็จะปล่อยเจ้าไป”
“เจ้าบ้าไปแล้ว!” ใบหน้าของซูชิงหยิงเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยว “นักรบสังหารวิญญาณสองพันนายไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควบคุมได้ โชคชะตานี้แบกรับไม่ไหวหรอก!”
หากนางดึงพลังนักรบสองพันนายออกมาจริงๆ ละก็ พลังงานในร่างแมลงหงส์จะหมดลงอย่างมาก ดังนั้นซูชิงหยิงจึงรู้สึกปวดใจกับเรื่องนี้ยิ่งนัก
“นั่นเป็นปัญหาที่ข้าต้องกังวลเอง” มู่เฉินพูดอย่างใจเย็นขณะจ้องมองไปที่ซูชิงหยิง “แม่นางซู ข้าเชื่อว่าเจ้าน่าจะรู้คุณค่าของแมลงหงส์ ครั้งนี้ที่เจ้ามาวังสวรรค์บรรพกาลก็คงเพื่อสิ่งนี้ พลังงานในร่างกายก็ไม่ได้เป็นของมัน ทำไมต้องโลภมากด้วย?
“นี่คือสิ่งที่ข้าต้องการ ข้าจะไม่ยอมขยับไปไหนเด็ดขาด”
มู่เฉินหลับตาลงหลังจากพูดจบ เห็นได้ชัดว่าไม่มีความตั้งใจที่จะเจรจาเนื่องจากตามการคาดการณ์ของเขา หากเขาไม่ได้จำนวนนักรบเท่านี้ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะนำร่างหลักของมั่นถัวหลัวออกมา
ซูชิงหยิงมองไปที่มู่เฉินที่กำลังหลับตาก็กัดฟัน แต่นางรู้ว่าไม่มีที่ว่างสำหรับการเจรจาจากทัศนคติของเขา ดังนั้นเธอจึงเค้นเสียงเย็นพลางวาดตราประทับ เสียงร้องแหลมคมดังมาจากแมลงหงส์อีกครั้ง เส้นใยเลือดจำนวนมากพุ่งออกมาจากมัน
รัศมีแมลงหงส์จางลงอย่างรวดเร็วทำให้ซูชิงหยิงรู้สึกปวดใจ
เส้นใยเลือดพุ่งเข้าไปในร่างนักรบสังหารวิญญาณและค่อยๆ ฟื้นฟูพลังของพวกเขา
“เสร็จแล้ว”
มู่เฉินลืมตาขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าก่อนจะพยักหน้าไปทางซูชิงหยิง “ขอบคุณ”
ซูชิงหยิงหยุดเส้นใยสีแดงเข้มทันที รีบเก็บแมลงหงส์ก่อนจะมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาถากถางอย่างเย็นชา “ทำไมไม่เอาต่อแล้วล่ะ? น่าจะฟื้นฟูได้มากกว่านี้อีก”
มู่เฉินยิ้มบาง “ข้าคงรับไหว”
นักรบสังหารวิญญาณสองพันนายเป็นขีดจำกัดในการลองของเขาแล้ว
“พูดเหมือนจำนวนตอนนี้เจ้าสามารถควบคุมได้” ซูชิงหยิงเค้นเสียงเย็น เห็นได้ชัดนางไม่คิดว่ามู่เฉินจะสามารถสั่งการนักรบสังหารวิญญาณสองพันนายได้ เพราะนี่เป็นกองทัพที่ขัดเกลาโดยจอมพลสองซึ่งสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนไปนับสิบแล้ว
แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่มีชีวิตและสติปัญญา จำนวนนักรบก็ได้รับความเสียหายดังนั้นความแข็งแกร่งในการต่อสู้โดยรวมจึงลดลงอย่างมาก ถ้ามู่เฉินสามารถสั่งการพวกเขาได้จริง เขาก็ไม่ต้องกลัวใครแม้ว่าจะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น
มู่เฉินยิ้มไม่ได้สนใจนาง เขาโบกมือค่ายกลก็พลิกผัน เส้นทางปรากฏขึ้น ซูชิงหยิงรีบพุ่งออกมา
หลุดออกมาจากค่ายกล ร่างกายตึงเครียดของซูชิงหยิงก็ผ่อนคลายลงก่อนจะมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาร้ายกาจพร้อมกับความไม่พอใจ
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับสายตากินเลือดกินเนื้อของนาง มู่เฉินก็ไม่กลัวขณะที่จ้องกลับด้วยรอยยิ้ม
สายตาทั้งสองฟาดฟันกัน ความผันผวนของคลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัวก็เล็ดลอดออกมาจากพวกเขา
ซูชิงหยิงจับแมลงหงส์พูดด้วยสีหน้าเย็นชา “เมื่อไม่มีค่ายกลนี้เจ้าจะสู้กับข้าได้อย่างไร?”
มู่เฉินยิ้ม “น่าจะสู้เจ้าไม่ไหวหรอกมั้ง”
ถ้าซูชิงหยิงยอมจ่ายราคาด้วยแมลงหงส์จริงๆ เขาคงต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมากแน่นอน
เมื่อได้ยินคำตอบของมู่เฉิน ซูชิงหยิงก็อึ้งไปก่อนที่ท่าทางอ่อนลง นางไม่เชื่อคำพูดของมู่เฉินเพราะเขาเจ้าเล่ห์เกินไป หากต้องต่อสู้ด้วยการวางชีวิตจริงๆ พร้อมกับแมลงหงส์ นางก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถฆ่ามู่เฉินได้
การเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์เช่นนี้ หากนางไม่สามารถฆ่าเขาได้ ก็เป็นการดีที่สุดที่จะไม่มีเขาเป็นศัตรู มิฉะนั้นนางคงไม่พบกับความสงบสุขอีกต่อไป
ยกตัวอย่างเซี่ยหยู่ที่มู่เฉินตัดสินใจสังหารอย่างเด็ดขาด นั่นทำให้แม้แต่ซูชิงหยิงยังตกใจเล็กน้อย ดังนั้นจิตใต้สำนึกของนางได้แต่ย้ำว่าเป็นการดีที่สุดที่นางจะไม่เป็นศัตรูกับมู่เฉิน
“ข้าได้ช่วยเซี่ยหยู่มาก่อนหน้าหลังจากได้รับผลประโยชน์บางอย่างเขา ครั้งนี้ถือว่าไม่ติดหนี้บุญคุณต่อกัน” สุดท้ายซูชิงหยิงก็ถอนพลังงานออกไปก่อนจะเค้นเสียงเย็นชา
หลังจากพิจารณาในใจ ซูชิงหยิงก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด
“ขอบคุณ” มู่เฉินยิ้ม จริงๆ แล้วเขาไม่ได้ใส่ใจกับการที่ซูชิงหยิงขัดขวางจิ่วโยว เพราะถ้านางต้องการผนึกกำลังกับเซี่ยหยู่เพื่อฆ่าเขา เขาก็ไม่สามารถฆ่าเซี่ยหยู่ได้
ดังนั้นไม่จำเป็นที่เขาต้องสู้กับซูชิงหยิงด้วยเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้
ซูชิงหยิงไม่คิดอยู่ที่นี่อีกต่อไป สายตามองไปที่กองทัพสังหารวิญญาณในค่ายกลเอ่ยว่า “เห็นแก่การร่วมมือกัน ข้าขอเตือนอีกครั้ง อย่ากินคำใหญ่เกินกว่าจะเคี้ยว กองทัพสังหารวิญญาณไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะควบคุม”
เมื่อพูดจบนางก็หันออกจากห้องโถงทันที
มองภาพเงาที่จากไปมู่เฉินก็ไม่ได้คิดหยุดนาง เขาหันไปหากองทัพสังหารวิญญาณในช่วงสั้นๆ พร้อมกับไฟลุกโชนในส่วนลึกของดวงตา
ถ้าเขาสามารถสั่งการกองทัพได้ เขาก็จะสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นได้ต่อให้ยังไม่ได้บรรลุขุมพลังตี้จื้อจุน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะเป็นการพัฒนาที่ยิ่งใหญ่สำหรับเขา ในเวลานั้นเขาจะก้าวเข้าสู่ลำดับชั้นสูงของทวีปเทียนหลัวแท้จริง
คิดถึงจุดนี้ มู่เฉินก็หายใจเข้าลึกเพื่อระงับอารมณ์ในใจ เขาก้าวเข้าสู่ค่ายกลก่อนที่ตรงไปที่กองทัพสังหารวิญญาณ
หลังจากซูชิงหยิงได้สมบัติและจากไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่เขาได้รับของตัวเองบ้าง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น