หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1139-1140
บทที่ 1139 พบหน้าจาโหลหลัวครั้งแรก
ออกจากเกาะมังกร
พวกมู่เฉินทั้งสี่ใช้ตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำสามคนในการข่มขู่ผู้อื่น แม้ว่าผู้คนจะรู้ว่ามีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะได้รับสมบัติมา แต่ก็ไม่มีใครกล้าจะโจมตีหรือติดตามไป ขนาดเซี่ยหยู่ยังได้แต่จ้องมองพวกมู่เฉินจากไปโดยไม่กล้าเคลื่อนไหว
หลังจากออกจากเกาะมังกรพวกมู่เฉินก็ไม่ได้สำรวจเกาะอื่นๆ แม้ว่าอาจจะมีสมบัติอื่นอีก แต่เเป้าหมายหลักของพวกเขาในตอนนี้คือทะเลสาบสวรรค์ในตำนาน
เพราะการรับพิธีชำระล้างของทะเลสาบสวรรค์เป็นโอกาสที่หายากมากสำหรับจอมยุทธ์แบบพวกเขาที่ยังไม่บรรลุระดับตี้จื้อจุน แม้แต่คนที่มีสถานะแบบเซียวเซียวและหลินจิ้งยังสนอกสนใจ ไม่ต้องพูดถึงมู่เฉินเลย
หลังจากยืนยันเป้าหมายของกลุ่ม ทั้งสี่คนก็เร่งรุดเดินทางโดยใช้เวลาครึ่งวันผ่านเกาะต่างๆ ด้วยความเร็วเต็มที่
พวกเขาปรากฏตัวบนเกาะโดดเดี่ยวและกวาดสายตาไปรอบๆ
ก่อนจะสังเกตเห็นว่ารัศมีหนึ่งร้อยลี้เริ่มว่างเปล่า ไม่มีเกาะหินลอยอีกให้เห็น พวกเขามาถึงจุดสิ้นสุดของหมู่เกาะหินลอยแล้ว
“ที่นี่อยู่ใกล้กับส่วนลึกของวังสวรรค์บรรพกาลแล้ว”
มู่เฉินมองออกไป ความหนาแน่นของคลื่นหลิงที่นี่ไม่น่าเชื่อ หมอกหลิงลอยไปมากระทั่งเมฆสีรุ้งก็สามารถมองเห็นได้บนท้องฟ้า ซึ่งนี่เกิดจากการก่อตัวขึ้นหลังจากคลื่นหลิงควบแน่นจนน่าตกใจ
เมื่อสายตาพุ่งตรงไปก็สามารถมองเห็นเจดีย์กระดำกระด่างบนยอดเขา บริเวณไกลออกไปอีกก็เห็นเค้าโครงของวังโบราณเลือนราง
ชั้นฟ้าและชั้นดินโอบล้อมด้วยบรรยากาศที่เงียบสงบและเก่าแก่
“หลังจากพ้นแนวเกาะนี้ก็น่าจะใกล้ถึงทะเลสาบสวรรค์แล้ว” มู่เฉินหยิบแผนที่ออกมาดูก่อนที่จะพูดหญิงสาวทั้งสาม
เซียวเซียวพยักหน้าจากนั้นก็มองไปที่ฟ้าดินเงียบงัน แม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะดูสงบไม่มีอันตราย แต่นางก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
“เจ้ารู้สึกได้เหรอ?” เมื่อมู่เฉินเห็นท่าทางของนางก็ยิ้มออกมา
“เกิดอะไรขึ้น?” หลินจิ้งถามด้วยความสงสัย นางก็รู้สึกได้เช่นกัน แต่ไม่สามารถหาต้นตอของอันตรายนั้นได้
จิ่วโยวกวาดสายตาไปรอบๆ แต่ก็ไม่พบต้นตอปัญหาเช่นกัน
“เห็นเสาเหล่านั้นไหม?” มู่เฉินชี้ไปที่เสาแสงขนาดเท่ากำปั้นที่ดูเหมือนโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าราวกับลำแสงธรรมดา
เมื่อได้ยินคำเตือนของมู่เฉิน หญิงสาวทั้งสามก็รู้สึกถึงความผันผวนแปลกประหลาดที่มาจากเสาแสงเหล่านั้น
เซียวเซียวสะบัดนิ้วคลื่นหลิงกวาดออกไปปัดก้อนหินเล็งไปที่เสา แต่เมื่อหินสัมผัสกับเสาก็ถูกเฉือนออกเป็นสองท่อนรอยตัดราบเรียบราวกับกระจก เสานี้ช่างนั้นคล้ายกับใบมีดแหลมคม
“หืม?” หญิงสาวทั้งสามประหลาดใจไป
“มีค่ายกลตั้งอยู่ในกลุ่มเมฆเหล่านั้น คลื่นหลิงจะรวมตัวกันและยิงลงมาคล้ายกับตาข่ายห่อหุ้มฟ้าดิน เสาเหล่านั้นแหลมคมมากจนแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้ายังได้รับบาดเจ็บและเสียแขนขาได้” มู่เฉินชี้ไปที่เมฆล่องลอยขณะอธิบาย
เมื่อทั้งสามคนได้ยินคำ ใบหน้าของพวกนางก็เปลี่ยนไปเบาบาง หากพวกนางพุ่งเข้าไปโดยไม่มีการป้องกันใดๆ ก็ต้องจ่ายราคาสำหรับสิ่งนี้
“ทำไมวังสวรรค์บรรพกาลจึงเต็มไปด้วยกับดักอันตราย?” จิ่วโยวอดไม่ได้ที่จะพูดออกไป
“นี่น่าจะเป็นวิธีการป้องกันของวังที่เปิดใช้ตอนจักรวรรดิปีศาจต่างมิติบุกทวีปเทียนหลัว หลังจากนั้นก็ไม่ได้ถูกปิดอีก” มู่เฉินถอนหายใจเบาๆ เนื่องจากเขาเห็นโครงกระดูกนับไม่ถ้วนที่สวมเกราะและอาวุธหักพังกองอยู่บนพื้นที่ไกลออกไป โครงกระดูกเหล่านั้นเปล่งรัศมีแวววาวจางๆ ซึ่งบ่งบอกว่าก่อนตายพวกเขาต่างเป็นจอมยุทธ์ทรงพลัง
ดูเหมือนในตอนนั้นจะเกิดสงครามดุเดือดที่วังสวรรค์บรรพกาล ถึงได้ทำให้สูญเสียจอมยุทธ์จำนวนมากขนาดนี้
“แต่ทำไมถึงไม่เห็นพวกศพปีศาจเลยล่ะ?” จู่ๆ มู่เฉินก็นึกบางอย่างออก รู้สึกว่าตั้งเข้ามาเขายังไม่เห็นศพปีศาจสักร่างอยู่ที่นี่
“นั่นเป็นเพราะรัศมีปีศาจที่พวกปีศาจฝึกฝนไม่เข้ากันกับมหาพันภพ ดังนั้นหลังจากตายซากศพของพวกมันก็ได้รับการขัดเกลาด้วยคลื่นหลิงในฟ้าดินเมื่อเวลาผ่านไปก็ไม่เหลือแม้แต่โครงกระดูกไว้ให้เห็น” หลินจิ้งอธิบาย เรื่องพวกนี้จอมยุทธ์ทั่วไปไม่รู้ แต่นางไม่เหมือนพวกเขา ในฐานะธิดาเทพจักรพรรดิสงคราม นางรู้ข้อมูลเกี่ยวกับจักรวรรดิปีศาจไม่น้อย
เมื่อได้ยิน มู่เฉินก็เข้าใจขึ้นมา
“งั้นก็ลุยต่อเถอะ แม้ว่าเสาแสงเหล่านี้จะลำบากสักหน่อย แต่ถ้าระมัดระวังก็หลีกเลี่ยงได้ ” มู่เฉินพูดกับทั้งสามก่อนจะค่อยๆ ทะยานออกไป เมื่อเขาเข้าไปใกล้บริเวณเสาแสงก็ปาดซ้ายปาดขวาหลบหลีก ในเวลาเดียวกันเสาเหล่านั้นก็ไม่ได้ไล่ตามเขา เนื่องจากชัดเจนว่าจะต้องเกิดข้อบกพร่องจากกาลเวลาที่ผ่านไป
เมื่อทั้งสามเห็นว่ามู่เฉินเดินหน้าไปได้อย่างปลอดภัย พวกนางก็รู้สึกโล่งใจติดตามเขาไปอย่างรวดเร็ว
บริเวณนี้ทำให้ความเร็วในการเดินทางลดลง แต่ด้วยคำเตือนของเขา ทั้งสี่ก็ผ่านบริเวณที่อันตรายในตอนแรกไปได้อย่างง่ายดาย
หลังจากผ่านบริเวณเมฆหลิงพวกมู่เฉินก็เร่งความเร็วเป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงก่อนที่พวกเขาจะเริ่มชะลอตัวลง
นั่นเป็นเพราะพวกเขาได้ยินเสียงแปลกดังมาจากระยะไกล
ซ่า-ซ่า!
นั่นคือเสียงน้ำใสกระจ่าง
แต่เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงก็รู้สึกอย่างชัดเจนถึงแรงดึงดูดของคลื่นหลิงในร่างกายที่เริ่มปั่นป่วน สัมผัสช่างคล้ายกับคนที่กำลังจะขาดน้ำตายได้เจอกับบ่อน้ำใส…
ทั้งสี่รับรู้ถึงพลังงานในร่างกายกวนตัววุ่นวาย ก็รีบระงับลงไปอย่างรวดเร็วโดยใช้เวลาชั่วครู่ก่อนที่คลื่นหลิงจะค่อยๆ สงบลง แต่ความตกตะลึงยังคงฉายบนใบหน้าแต่ละคน
นี่เป็นเพียงเสียงน้ำก็ทำให้คลื่นหลิงในร่างกายปั่นป่วนได้ขนาดนี้ ดังนั้นต้นกำเนิดของเสียงจะต้องเป็นเป้าหมายที่จะไปอย่างแน่นอน!
ทะเลสาบสวรรค์!
ดวงตาทั้งสี่สว่างวาบด้วยความตื่นเต้นฉายบนใบหน้าก่อนที่จะเร่งความเร็วในสิบกว่าลมหายใจก็ผ่านยอดเขาสูงนับไม่ถ้วนไป
เมื่อยอดสูงตระหง่านหายไป วิสัยทัศน์การมองเห็นกว้างขึ้นฉับพลัน ในเวลาเดียวกันแสงแวววาวก็เบ่งบานทำให้พวกเขารู้สึกแสบนัยน์ตา แม้ว่าจะมีการปกป้องเอาไว้ด้วยคลื่นหลิงแล้วก็ตาม ทำให้พวกเขาหรี่ตาลงอย่างไม่สามารถควบคุมได้
แสงแวววาวอยู่ชั่วครู่ก่อนที่พวกเขาจะคุ้นชิน การมองเห็นก็เริ่มชัดเจนขึ้น ทันใดนั้นพวกเขาก็ต้องสูดลมหายใจอัดอากาศเย็นเข้าปอดอย่างควบคุมไม่ได้
สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าครรลองสายตาคือมหาสมุทรสีฟ้าไร้ขอบเขตที่มีท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวเป็นพื้นหลัง มหาสมุทรเปล่งประกายระยิบระยับท่ามกลางความมืดมัวพร้อมกับเกลียวแสงวูบไหว บางครั้งเมื่อน้ำกลิ้งตัวไปมาจะเกิดสะเก็ดผลึกอัญมณีกวาดขึ้น ทุกชิ้นส่วนได้รับการขัดเกลาด้วยคลื่นหลิงก่อนจะเปลี่ยนกลับเป็นน้ำตกลงสู่มหาสมุทร…
เนื่องจากคลื่นหลิงที่หนาแน่นเหนือมหาสมุทร หมอกหลิงจึงดูคล้ายกับมังกรและหงส์ฟ้าพร้อมกับเทพอสูรมากมายฉวัดเฉวียนออกมา ดูลึกซึ้งประหนึ่งอาณาจักรเล็กๆ
มิหนำซ้ำมหาสมุทรแห่งนี้ยังลอยอยู่บนท้องฟ้า!
มิติแตกเป็นเสี่ยงๆ ที่ขอบมหาสมุทรทำให้เกิดการแปรปรวนเมื่อคลื่นในมหาสมุทรพัดออกไป พวกมู่เฉินสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าแม้ว่ามหาสมุทรจะอยู่เบื้องหน้าแต่ก็อยู่คนละมิติกับพวกเขา
เห็นได้ชัดว่ามหาสมุทรแห่งนี้ถูกปิดผนึกในมิติแยกที่สร้างจากผู้เชี่ยวชาญ
พวกมู่เฉินถูกขู่ขวัญจากท้องทะเลเบื้องหน้าจากนั้นพักใหญ่ก็ค่อยๆ ฟื้นตัว ใบหน้าของแต่ละคนเต็มไปด้วยความตกใจ แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นความสุข เพราะพวกเขารู้ว่ามหาสมุทรที่ดูเหมือนลอยอยู่บนท้องฟ้า แต่แท้จริงถูกผนึกไว้ในมิติแยกเป็นเป้าหมายที่พวกเขาอยากมาเยือน
ทะเลสาบสวรรค์!
“สมกับเป็นรากฐานสำคัญที่เสริมความแข็งแกร่งของวังสวรรค์บรรพกาลอย่างแท้จริง…” เซียวเซียวที่มีสถานะน่าทึ่งยังอดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความชื่นชม ทะเลสาบสวรรค์แห่งนี้ยอดเยี่ยมแท้จริง ตอนที่ถูกสร้างขึ้นจักรพรรดิฟ้าแห่งวังสวรรค์บรรพกาลต้องลงทุกลงแรงทำอะไรไปมากกมาย ทรัพยากรยิ่งใหญ่เช่นนี้แม้แต่ขั้วอำนาจสูงสุดบางแห่งในมหาพันภพปัจจุบันยังไม่สามารถนำออกมาได้
หลินจิ้งพยักหน้าเห็นด้วย รากฐานของขั้วอำนาจที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเจ้าทวีปเทียนหลัวน่าทึ่งอย่างแท้จริง
ขณะที่พูดกัน มู่เฉินก็ค่อยๆ ฟื้นคืนสติถอนสายตาจากทะเลสาบสวรรค์ เมื่อเขากำลังจะพูดความสนใจก็ถูกเบี่ยงเบนจากปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นจากหัวใจ เขาหันหน้ามองไปยังภูเขาที่ห่างไกล
บนภูเขามีร่างชายสูงโปร่งสวมชุดสีดำยืนเอามือไพล่หลัง ท่าทางประหนึ่งเหวลึกที่หยั่งไม่ถึง ยอดเขาสูงหมื่นจั้งที่อยู่ใต้เท้าควรจะสูงตระหง่าน แต่เมื่อเขายืนอยู่ที่นั่นกลับเหมือนยับยั้งภูเขาลง ทำให้ความสนใจทั้งหมดมุ่งตรงไปที่เขาเท่านั้น
ชายคนนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน!
มู่เฉินหดดวงตาขณะที่การตั้งระวังโดยไม่อาจอธิบายลุกโชนในส่วนลึกของหัวใจ ร่างกายเกร็งเครียดเข้าสู่สภาวะพร้อมรบ
แม้ว่าเขาจะไม่คุ้นเคยกับผู้ชายคนนั้น แต่มู่เฉินก็สามารถบอกตัวตนอีกฝ่ายได้ทันที
การที่จะทำให้ร่างกายของเขาเข้าสู่สภาวะพร้อมรบได้โดยการสะท้อนกลับ นอกจากจาโหลหลัวที่ครอบครองร่างเทพสุริยะแล้ว ยังจะมีใครอีก?!
ขณะที่มู่เฉินตกตะลึงไปเล็กน้อย ชายคนนั้นก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างดวงตาที่ราวกับเหวลึกพุ่งมาจากระยะไกล
บทที่ 1140 ความเป็นปฏิปักษ์
สองสายตาฟาดฟันที่กลางอากาศแม้แต่มิติก็ยังบิดเบี้ยว
สายตาของจาโหลหลัวคล้ายกับเหวเมื่อมองมาที่มู่เฉิน รอยยิ้มบางเบาที่ประดับบนริมฝีปากเสมอเหมือนจะจางหายไป เนื่องจากเขารู้สึกถึงคลื่นผิดแผกในร่างของมู่เฉิน มากจนมิติที่อยู่เบื้องหลังเขาก็สั่นไหวเบาบาง ก่อนจะก่อร่างเป็นภาพเงาขนาดใหญ่
ร่างเทห์สวรรค์ที่เขาฝึกฝนถูกกระตุ้นออกมาโดยที่เขาไม่ได้ตั้งใจ
ทว่าสุดท้ายจาโหลหลัวก็สามารถปราบปรามลงได้ ดวงตาเขาจับจ้องไปที่มู่เฉินพร้อมกับจิตสังหารกะพริบอยู่ในส่วนลึกของดวงตา
เมื่อไอสังหารปรากฏขึ้นในดวงตาของจาโหลหลัวคลื่นหลิงที่คล้ายกับภูเขาไฟก็ระเบิดออกจากร่างกาย ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนเป็นมืดมน แรงกดดันเพิ่มขึ้นจากร่างเขา
ภูเขาที่อยู่ใต้เท้าสั่นสะท้านราวกับว่ากำลังกลัวที่จะถูกทำลาย
ฮึ่ม!
เมื่อจาโหลหลัวเปิดเผยเจตนาฆ่า มู่เฉินก็มีปฏิกิริยาตอบสนองเดียวกัน แสงสีทองเบ่งบานออกมาจากร่างกายพร้อมกับเสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าดังออกมา มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงบินฉวัดเฉวียนบนแขนของเขา ปล่อยคลื่นหลิงทรงพลังออกมา
มิติบิดเบี้ยวที่ด้านหลัง จุดจื้อจุนไห่ปรากฏขึ้นเลือนรางพร้อมกับพลังงานไร้ขอบเขตสั่นสะท้านทั่วขอบฟ้า
ทั้งสองคนแค่สบตากันก็เปิดเผยเจตนาฆ่าออกมา เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่สัมผัสได้ถึงร่างเทพสุริยะของกันและกัน
ในฐานะผู้ฝึกฝนร่างเทพสุริยะ หากพวกเขาต้องการให้ร่างเทห์สวรรค์เกิดวิวัฒนาการก็จะต้องเอาชนะคู่แข่ง เพราะมีเพียงคนคนเดียวเท่านั้นที่จะได้รับวิวัฒนาการขั้นสุดท้าย
เมื่อจิ่วโยวเห็นมู่เฉินปลดปล่อยคลื่นหลิง นางก็หมุนเวียนพลังงานโดยไม่ลังเล ผลึกเพลิงพวยพุ่งออกมาจากร่างกาย
เซียวเซียวและหลินจิ้งก็อึ้งไปชั่วขณะ ชัดว่าทั้งสองคนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆ ชายสองคนนี้ถึงดูเหมือนจะเปิดศึกมรณะ ทว่าพวกนางก็รู้สึกงงงวยชั่วครู่ ก่อนจะจ้องมองไปที่จาโหลหลัวพร้อมกับคลื่นหลิงน่าอัศจรรย์ผันผวนออกจากร่างกาย
เมื่อเทียบกับมู่เฉินแล้วจาโหลหลัวเป็นคนแปลกหน้า แม้ว่าอีกฝ่ายจะดูเหมือนต่อกรยาก แต่เซียวเซียวและหลินจิ้งก็เลือกที่จะช่วยเหลือสหายอย่างมู่เฉินเต็มกำลัง
ดังนั้นทั้งสามสาวจึงปลดปล่อยคลื่นหลิงออกมาที่เบื้องหลังมู่เฉิน การเคลื่อนไหวของพวกนางระงับคลื่นหลิงที่มาจากจาโหลหลัวอย่างต่อเนื่องจนถึงจุดที่ถูกผลักกลับไปในระยะร้อยจั้งรอบร่างจาโหลหลัว
เมื่อจาโหลหลัวเห็นฉากนี้ดวงตาก็หดลงก่อนที่จะเหลือบเซียวเซียวกับหลินจิ้ง เขาสัมผัสได้ว่าความผันผวนของพลังงานที่มาจากทั้งสองไม่ได้อ่อนแอไปกว่าตนเอง
หากนี่เป็นการต่อสู้ตัวต่อตัวเขาไม่เกรงกลัวมู่เฉินสักนิด แต่อีกฝ่ายมีกลุ่มทรงพลัง ถ้าพวกเขาต่อสู้กันชัดว่าเขาจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
เมื่อพิจารณาถึงเรื่องนี้จาโหลหลัวก็ไม่คิดที่จะดำเนินการใดๆ ที่ไม่จำเป็น เขาค่อยๆ ดึงจิตสังหารในส่วนลึกของดวงตากลับเข้าไป ความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังรอบตัวก็หดกลับก่อนที่เขาจะเผยรอยยิ้มให้มู่เฉิน “ไม่คิดว่าเจ้าก็ฝึกฝนร่างเทพสุริยะเช่นกัน เป็นโชคชะตาที่เราได้เจอกันวันนี้”
แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีการรวมตัวทรงพลัง แต่จาโหลหลัวก็ยังคงนิ่งสงบโดยไม่เปิดเผยความเกรงกลัวใดๆ เพียงแค่จิตใจนี้อย่างเดียวก็ทำให้มู่เฉินยกย่องในใจ จาโหลหลัวไม่ธรรมดาแท้จริงสมกับเป็นผู้ฝึกฝนร่างเทพสุริยะ
“ชะตากรรม” มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร ถ้าเป็นคนไม่รู้อะไรอาจคิดว่าพวกเขาเป็นพี่น้องร่วมสาบานด้วยซ้ำ แต่มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรูตัวฉกาจที่ต้องสังหาร
ดังนั้นพวกเขาไม่ใช่สหาย แต่เป็นศัตรู
แม้ว่าเขาจะรู้ว่าจาโหลหลัวเป็นหนึ่งในศัตรูยิ่งใหญ่ที่สุดในการชิงวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะ แต่มู่เฉินก็ไม่คิดใช้ประโยชน์จากสตรีเพื่อกำจัดอีกฝ่ายในตอนนี้ เพราะเขารู้ว่าแม้ว่าพวกเขาจะร่วมมือกัน จาโหลหลัวก็มีหนทางหลบหนีไปได้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องดำเนินการใดๆ ตอนนี้ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือการได้รับพิธีชำระล้างของทะเลสาบสวรรค์เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ตัวเอง
แน่นอนว่าแม้เขาจะยังไม่มีความตั้งใจที่จะสู้ในขณะนี้ แต่มู่เฉินก็ยังคงจ้องมองไปที่จาโหลหลัวแบบตื่นระวังในดวงตา
“ฮ่าๆ ข้าเข้าใจแล้ว”
เมื่อเห็นสายตาของมู่เฉิน จาโหลหลัวก็ยิ้มสบายอารมณ์ก่อนที่จะถอยหลังหลบฉากออกไป
“ชายคนนั้นเคี้ยวยาก เราประมาทไม่ได้ เจ้าไปแตะกระดานเหล็กแบบนั้นได้ยังไง?” เซียวเซียวมองไปที่จาโหลหลัวที่ถอยห่างออกไปพลางเลิกคิ้วขึ้น ชายคนนั้นทรงพลังมากและยังเก่งบุ๋นและบู๊ ไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่ายๆ นางเคยเห็นอีกฝ่ายมาก่อนแต่ก็ไม่ได้ปะทะกัน ถึงอย่างนั้นนางก็สัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดาของอีกฝ่าย
“นี่เป็นการพบกันครั้งแรก ข้าไม่เคยไปได้ยั่วอะไรเขา” มู่เฉินยักไหล่ก่อนจะพูดต่อ “เพียงแต่ว่าพวกข้าคนเดียวเท่านั้นที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ”
ในฐานะผู้ฝึกฝนร่างเทพสุริยะความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างมู่เฉินและจาโหลหลัวลึกซึ้งยิ่งกว่าเซี่ยหยู่ มู่เฉินรู้ชัดว่าต่อให้เขาต้องการถอย จาโหลหลัวก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อฆ่าเขา ดังนั้นระหว่างพวกเขาสองคนจึงมีเพียงหนึ่งเดียวที่จะมีชีวิตอยู่ได้
“งั้นก็ฆ่าเขาซะ” หลินจิ้งตบไหล่มู่เฉินขณะให้กำลังใจ “แม้ชายคนนั้นจะไม่ธรรมดา แต่เจ้าจะเป็นคนสุดท้ายที่ได้ยิ้มแน่นอน”
“เชื่อมั่นในตัวข้าขนาดนี้เลยหรอ…” แม้แต่มู่เฉินก็ประหลาดเล็กน้อย
ริมฝีปากของหลินจิ้งโค้งขึ้นขณะตอบ “ท่านแม่ของข้าประเมินเจ้าไว้สูงมากในตอนนั้น ถ้าเจ้าไม่สามารถจัดการกับชายคนนั้นได้ก็น่าอายเกินไป”
มู่เฉินกลอกตากับคำพูดของนาง
จิ่วโยวที่อยู่ด้านข้างก็เม้มริมฝีปากกลั้นยิ้มล้อเล่น “แต่เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ดูเหมือนสี่อันดับแรกของทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่ทวีปเทียนหลัวไม่มีความเป็นมิตรให้เจ้าเลยนะ”
มู่เฉินไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้ เขาเหลือบมองไปที่เซียวเซียวและหลินจิ้ง “ข้าก็ใช่ว่าจะไม่มีเพื่อนสนับสนุน”
เมื่อทั้งสี่ร่วมมือกันกลุ่มของพวกเขาก็ทรงพลังมาก กระทั่งจู้เยี่ยนที่เผชิญหน้ายังทำได้เพียงถอยหนี
เมื่อหญิงสามคนได้ยินคำพูดของเขาก็กลอกตาบน
“ตอนนี้เราจะทำอย่างไรดี? ทะเลสาบสวรรค์อยู่เบื้องหน้า แต่ดูเหมือนว่าจะเข้าไปไม่ได้” เซียวเซียวดึงหัวข้อกลับมาอย่างรวดเร็วขณะมองไปที่ทะเลสาบสวรรค์ขนาดใหญ่
มู่เฉินหรี่ตาลงขณะที่มองไปรอบๆ ชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้า “ทะเลสาบสวรรค์น่าจะถูกผนึกไว้ ซึ่งเป็นไปสูงที่จัดตั้งไว้โดยจักรพรรดิฟ้า ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะใช้พลังเพื่อเข้าไป”
“ถ้างั้นเราจะทำยังไง?” หลินจิ้งถาม เป้าหมายอยู่ตรงหน้าซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกงุ่นง่านที่ไม่สามารถเข้าไปได้
ทว่ามู่เฉินกลับสงบนิ่งตอบว่า “ไม่จำเป็นต้องรีบ รอจนกว่าป้ายยินยอมจากเก้าตำหนักมาที่นี่ ผนึกก็จะเปิดออกเอง เมื่อถึงเวลานั้นก็จะเป็นโอกาสให้เข้าไป”
ก่อนเข้าสู่วังสวรรค์บรรพกาล เขาได้รับข้อมูลเหล่านี้จากมั่นถัวหลัวมา
เมื่อพวกหญิงสาวได้ยินคำพูดของเขา พวกนางรู้สึกโล่งใจก่อนที่จะนั่งลงบนยอดเขาเริ่มคุยกันเพื่อรอการมาถึงของคนอื่นๆ
พวกเขาไม่รอนานนัก เสียงลมแหวกอากาศก็ดังกึกก้องมาจากระยะไกล ร่างแสงลุกเป็นไฟปรากฏขึ้นหลังจากไม่กี่ลมหายใจ
“หืม เจ้านั่นออกมาแล้วเหรอ? เร็วจริง?” หลินจิ้งมองไปที่ร่างเพลิงก็อุทาน
คิ้วของมู่เฉินกระตุกเมื่อตระหนักได้ว่าคนที่มาถึงก็คือจู้เยี่ยนที่ก่อนหน้านี้ถูกกักไว้ในค่ายกล
จู้เยี่ยนยืนอยู่บนท้องฟ้าพร้อมกับลาวาไหลท่วมร่าง เขารู้สึกได้ถึงสายตาของพวกมู่เฉินก่อนจะจ้องตอบ “ไม่คิดว่าเจ้าจะเป็นคนรักษาสัญญา”
เขาหมายถึงการที่มู่เฉินดักจับเขาเอาไว้ ตอนแรกเขาคิดว่ามู่เฉินจะเล่นกลในค่ายกล ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรักษาสัญญาที่จะให้กับดักสลายไปตามเวลาที่ผ่านไป
แม้ว่าเขาจะมีหนทางหลบหนีถ้ามู่เฉินไม่คิดปล่อย แต่อย่างน้อยการรักษาสัญญาเช่นนี้ก็ทำให้เขาไม่คาดคิด
มู่เฉินยิ้มให้จู้เยี่ยน “เจ้ามาที่นี่เร็วกว่าที่ข้าคาดไว้”
จู้เยี่ยนยิ้มบาง “แม้ว่าข้าจะผิดคาดที่เจ้ารักษาสัญญา แต่ข้าก็ไม่คิดจะปล่อยเรื่องนั้นไปง่ายๆ หรอกนะ”
“ยินดีต้อนรับทุกเมื่อ” มู่เฉินพยักหน้า ในเมื่อเขาเลือกที่จะเคลื่อนไหว เขาก็ไม่เคยหวังว่าเรื่องนี้จะเกิดสันติสุขได้
“เจ้ามาจากเผ่าเทพอัคคีเหรอ?” ที่ด้านหลังเซียวเซียวก็มองไปที่จู้เยี่ยนด้วยความสนใจ รอยยิ้มแฝงรสชาติบางอย่างปรากฏขึ้นบนใบหน้านาง
จู้เยี่ยนปรายตามองไปที่เซียวเซียวพลางขมวดคิ้วเมื่อสัมผัสได้ถึงรัศมีอันตรายที่มาจากนาง หญิงสาวลึกลับคนนี้มาจากไหน? เขาไม่เห็นนางอยู่กับมู่เฉินตอนนั้น
เซียวเซียวยิ้มอ่อนก่อนที่งูน้อยเจ็ดสีจะเลื้อยมาบนไหล่พลางแลบลิ้นให้จู้เยี่ยน
เมื่อจู้เยี่ยนมองไปที่งูเจ็ดสี ม่านตาก็หดเกร็งพร้อมกับสีหน้าเปลี่ยนไป “อสรพิษกลืนฟ้า? เจ้ามาจากแคว้นหวู่จิ้งฮั่วเรอะ? เทพจักรพรรดิอัคคีเป็นอะไรกับเจ้า?!”
ตอนนั้นการเดิมพันระหว่างเทพจักรพรรดิอัคคีและเผ่าเทพอัคคีส่งผลให้เพลิงจักรพรรดิของพวกเขาถูกยึดเอาไป สุดท้ายกระทั่งผู้อาวุโสสูงสุดจะออกจากสมาธิ แต่ก็ไม่สามารถสยบเทพจักรพรรดิอัคคีได้ นี่เป็นความอัปยศอดสูของเผ่าเทพอัคคี ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงไม่มีความสัมพันธ์ฉันมิตรต่อกันเพราะพวกเขาจะฟัดกันทุกครั้งที่เจอ หลายปีที่ผ่านมาจอมยุทธ์จากเผ่าเทพอัคคีมากมายพยายามสู้เพื่อชิงเพลิงจักรพรรดิกลับมา
ด้วยเหตุนี้เผ่าเทพอัคคีจึงรู้ตื้นลึกหนาบางแคว้นหวู่จิ้งฮั่วเป็นอย่างดีและรู้ว่าอสรพิษกลืนฟ้าเป็นสมบัติของนายหญิงแคว้นนี้
ในเมื่อเซียวเซียวมีอสรพิษกลืนฟ้า นางก็ต้องมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนายหญิงคนนั้น
“เขาเป็นพ่อข้าน่ะ” เซียวเซียวยิ้มบางโดยไม่คิดปิดบังความจริง
เปลวไฟพวยพุ่งออกจากร่างของจู้เยี่ยนลาวาไหลริน เขาสูดหายใจเข้าลึกจับจ้องไปที่เซียวเซียว ตอนนี้เขาลืมความแค้นที่มีต่อมู่เฉิน มีเพียงเซียวเซียวเท่านั้นที่อยู่ในสายตา
“ในเมื่อเป็นอย่างนี้ข้าก็ขอเชิญองค์หญิงไปเยี่ยมเยียนเผ่าเทพอัคคีสักหน่อย แล้วให้บิดาเจ้านำเพลิงจักรพรรดิมาเพื่อแลกเปลี่ยน”
ระเบิดเพลิงเชี่ยวกรากพรูออกมาจากร่างจู้เยี่ยนแผดเผาท้องฟ้า
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น