หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1129-1138

 บทที่ 1129 จู้เยี่ยน

เมื่อมือลาวาแหวกมิติคว้าพัดขนนกไป


ใบหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา เขาไม่คิดมาก่อนว่าจะมีคนกล้าขโมยปลาใหญ่จากพวกเขา…


“ไอ้หนูขี้ขโมยตัวไหน? ไสหัวออกมา!” สีหน้าของจิ่วโยวเย็นชาลง หากใครก็ตามที่เห็นว่าการเก็บเกี่ยวที่พวกเขาต่อสู้อย่างหนักไปทำประโยชน์ให้คนอื่น ก็คงไม่มีใครรู้สึกดีเช่นกัน ดังนั้นนางจึงเคลื่อนไหวทันที ขนนกสีม่วงปรากฏเบื้องหน้าลุกโชนด้วยเพลิงโปร่งใส ความผันผวนที่เห็นได้ด้วยตาเปล่ากระจายออกไป ทำให้มิติโดยรอบบิดเบี้ยวลง


วาบ!


ขนสีม่วงพุ่งออกมาปะทะมือลาวา


เมื่อขนนกสีม่วงเข้าใกล้มิติก็ผันผวนอีกครั้ง มือลาวาอีกข้างปรากฏขึ้นจับเพลิงโปร่งใสไว้ เมื่อหินหนืดไหลลงมาก็แผดเผาเพลิงโปร่งใส สุดท้ายก็เป็นมือลาวาแข็งแกร่งกว่าดับเพลิงโปร่งใสได้ในที่สุด


“หืม? ช่างเป็นเพลิงรุนแรงอะไรเช่นนี้… ทรงพลังจริงๆ” แม้ว่าเพลิงโปร่งใสจะดับลง แต่ก็มีเสียงอุทานดังขึ้นตามมา เปลวไฟธรรมดาไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ กับเขา แต่เพลิงโปร่งใสเมื่อครู่ทำให้เขารู้สึกถึงภัยคุกคามบางเบา หากไม่ใช่เพราะเจ้าของเพลิงด้อยกว่าเขาในแง่ขุมพลังก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะระงับเพลิงเหล่านั้นได้


ขณะที่มิติแปรปรวน ร่างเงาสีแดงเข้มก็เผยขึ้นอย่างช้าๆ ทั้งสามจ้องมองไปก็เห็นชายหนุ่มที่มีเรือนผมสีแดงเพลิง หินหนืดไหลเวียนอยู่บนร่างกายเขา ราวกับภูเขาไฟที่มีความผันผวนรุนแรงและเผาผลาญเอิบอาบออกมา


นอกจากนี้ยังมีรัศมีอันตรายอย่างยิ่ง


เมื่อมู่เฉินเห็นชายคนดังกล่าว ดวงตาก็หดลง ภัยคุกคามที่เขารู้สึกได้จากชายคนนี้เกินกว่าซูชิงหยิงซึ่งพบมาก่อน ในทวีปเทียนหลัวอาจมีเพียงจอมยุทธ์รุ่นใหม่คนเดียวที่อยู่เหนือซูชิงหยิงได้เด่นชัดเพียงนี้…


“ไม่คิดว่าจอมยุทธ์รุ่นใหม่อันดับหนึ่งทวีปเทียนหลัวจะชอบลักของคนอื่น” เสียงไม่แยแสของมู่เฉินสะท้อนก้องโดยไม่ลังเล


จิ่วโยวไม่แปลกใจ ชัดว่าเดาตัวตนของอีกฝ่ายได้นานแล้วเช่นกัน


จู้เยี่ยนยิ้มบางขณะถือพัดขนนกโบกไปมา “สมบัติชิ้นนี้เป็นโชคชะตาของข้า เพราะมันเข้ามาสู่สถานะไร้เจ้าของตอนที่ข้ามาพอดี นั่นก็แปลว่าเป็นชะตาฟ้าลิขิต จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ข้าจะเอาไป”


“เชอะ! พวกเผ่าเทพอัคคีทำไมไร้ยางอายอย่างนี้?” หลินจิ้งเค้นเสียงเย็นใส่ สายตาจ้องเขม็งไปที่จู้เยี่ยนพร้อมกับความไม่พอใจอัดแน่นในนัยน์ตา


“เสี่ยวปิงจัดการเขา!”


เมื่อพูดจบนางก็โบกมือ


วาบ!


ตุ๊กตาน้ำแข็งทะยานออกมาอย่างรวดเร็ว ไอเย็นเยือกกวาดออกไปปรากฏตัวข้างหลังจู้เยี่ยนโดยมีหอกที่ทำหน้าที่คล้ายกับอสรพิษเล็งไปที่ด้านหลังศีรษะศัตรู


ตู้ม!


แต่จังหวะที่หอกกำลังจะแทงลงไป จู้เยี่ยนก็ตบฝ่ามือไปข้างหลัง ภูเขาไฟปรากฏขึ้นในฝ่ามือ ก่อนที่คลื่นหลิงน่าสะพรึงกลัวจะพวยพุ่งออกมา


ปัง!


หอกน้ำแข็งสลายไปในทันที ตุ๊กตาน้ำแข็งราวกับได้รับความเสียหายหนัก ปลิวออกไปเป็นพันจั้งถึงสามารถทรงตัวได้ ทว่าก็มีรอยไหม้เกรียมอยู่บนแขนของมันเลือนราง


จู้เยี่ยนเผยให้เห็นพลังที่น่ากลัวเมื่อออกกระบวนท่าโจมตี บังคับให้ตุ๊กตาน้ำแข็งที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มกระเด็นออกไปด้วยฝ่ามือเดียว


มู่เฉินหรี่ตาลง ความแข็งแกร่งของจู้เยี่ยนน่ากลัวอย่างแท้จริง มิน่าล่ะเขาถึงสามารถครองตำแหน่งเจ้าทำเนียบและปราบปรามจอมยุทธ์ชั้นสูงนับไม่ถ้วนของทวีปเทียนหลัวได้ ตามการคาดการณ์จู้เยี่ยนน่าจะอยู่ที่จุดสูงสุดของระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มแล้ว ซึ่งอยู่ห่างขุมพลังตี้จื้อจุนอีกครึ่งก้าวเท่านั้น แม้แต่มู่เฉินก็หวั่นเกรงพลังเช่นนั้น


“หืม? ตุ๊กตาน้ำแข็ง? เจ้ามาจากเผ่าเทพน้ำแข็งเรอะ?” ผลักตุ๊กตาน้ำแข็งกลับด้วยฝ่ามือได้ ใบหน้าของจู้เยี่ยนก็เปลี่ยนไปขณะมองหลินจิ้งด้วยความประหลาดใจ


เขารู้ว่ามีเพียงเผ่าเทพน้ำแข็งเท่านั้นที่สามารถปรับแต่งตุ๊กตาน้ำแข็งได้ ในฐานะสมาชิกของเผ่าเทพอัคคี เขารู้ดีเกี่ยวกับไอเย็นสุดขั้วที่ไม่เหมือนใครนี้


“เกี่ยวอะไรกับเจ้า?” สีหน้าหลินจิ้งไม่น่าดู ใบหน้าตึงเกร็ง แสดงให้เห็นว่านางไม่พอใจมากเลยทีเดียว


จู้เยี่ยนไม่ได้เก็บมาใส่ใจทำเพียงยิ้มบาง “ถึงแม้ตุ๊กตาน้ำแข็งจะทรงพลัง แต่ก็ยังไม่ใช่คู่มือข้า”


พูดถึงจุดนี้เขาก็มองไปที่ทั้งสามยิ้มให้ “ดูเหมือนพวกเจ้าไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา บางทีข้าอาจได้รับประโยชน์จากเหตุการณ์นี้ ไม่ทราบว่าพวกเจ้าจะให้หน้าข้ามั่งได้ไหม?”


“หน้าเจ้านี่ใหญ่จริงๆ เลยนะ” จิ่วโยวเค้นเสียง ของมีค่าอย่างอาวุธมหสวรรค์อย่างน้อยก็ขายได้นับร้อยล้านหยดของเหลวจื้อจุน แม้แต่ขั้วอำนาจชั้นยอดยังไม่สามารถคั้นผลรวมนี้ออกมาได้ ดังนั้นจิ่วโยวจึงรู้สึกโกรธมากเมื่อจู้เยี่ยนหน้าด้านขอไปดื้อๆ


ถ้าไม่ใช่เพราะเกรงพลังของฝ่ายตรงข้าม นางคงขยับตัวจัดการแล้ว


“เจ้าคิดว่าข้าไม่สามารถทำอะไรเจ้าได้เรอะ?” ใบหน้าที่เย็นชาของหลินจิ้งเปลี่ยนเป็นนิ่งเรียบ นางจ้องมองจู้เยี่ยนด้วยท่าทางสงบ


จู้เยี่ยนอึ้งไปชั่วครู่ขณะมองไปที่หลินจิ้ง ไม่รู้เพราะเหตุใดเขารู้สึกได้ถึงอันตรายบางเบาแผ่ซ่านออกมาจากหญิงสาวคนนั้น


เขาหรี่ตาพร้อมกับแสงแวววาวก่อนจะพูดเบาๆ ว่า “ถ้าเจ้าสามคนยืนกรานจะหยุดข้า งั้นก็ลองดูสิ”


ไม่ว่าพวกเขาจะมีไพ่ตายอะไร จู้เยี่ยนก็คือหนึ่งในว่าที่ประมุขน้อยของเผ่าเทพอัคคี ด้วยความภาคภูมิใจที่ฝังลึกในแกนกระดูก หากไม่ใช่เพราะเขาเห็นว่าทั้งสามไม่ใช่ธรรมดา เขาก็คงไม่ใส่ใจที่จะพูดด้วย คงคว้าสมบัติออกไปเลย


ใบหน้าหลินจิ้งไม่ปรากฏอารมณ์ใดๆ นางก้าวออกมาแสงหลิงปรากฏบนปลายนิ้ว


แต่ในเวลาเดียวกันมู่เฉินก็ยื่นมือออกมาขวางหลินจิ้ง นางมองไปที่เขาแต่ไม่ได้พูด เนื่องจากรู้ดีว่าด้วยนิสัยของมู่เฉินเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยอมแพ้ต่อชื่อเสียงที่จู้เยี่ยนมี


“ปล่อยให้ข้า” ความจริงไม่ผิดจากที่คิด เขายิ้มให้หลินจิ้งพลางเอ่ย


เมื่อได้ยินนางก็ลังเลชั่วครู่เพราะนางเข้าใจถึงความแข็งแกร่งของมู่เฉิน ถ้าพวกเขาสู้กันจริงๆ มู่เฉินอาจไม่ใช่คู่มือของจู้เยี่ยน ถึงยังไงมู่เฉินก็เพิ่งบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า ส่วนจู้เยี่ยนอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มแล้ว


แต่สุดท้ายหลินจิ้งก็ยังคงพยักหน้า เนื่องจากนางรู้ว่ามู่เฉินไม่ใช่คนชอบโอ้อวด การที่เขาพูดแบบนี้แสดงว่าเขามีความมั่นใจที่จะทำให้สำเร็จ


จู้เยี่ยนมองไปที่มู่เฉินด้วยม่านตาสีแดงเข้มราวกับมีเปลวไฟลุกโชนอยู่ในดวงตา เขาตรวจสอบมู่เฉินก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ “เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า”


ไม่ได้มีเจตนาดูถูกในน้ำเสียงของเขา เขาเพียงบอกข้อเท็จจริงเท่านั้น


ในสายตาเขา นอกจากหญิงสาวน่ารักที่ดูลึกลับนั้น จิ่วโยวกับมู่เฉินไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอันตรายเลย ดังนั้นเขาจึงประหลาดใจในความกล้าหาญของมู่เฉิน


มู่เฉินไม่โกรธคำพูดนี่ ในทางตรงกันข้ามเขายิ้มตบเสาที่อยู่ตรงหน้าเบาๆ ซึ่งเป็นเสาเดียวที่เหลืออยู่ในโถงทั้งหมด


“สหาย ถ้าเจ้าวางของลงตอนนี้ ข้าจะถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นและเจ้าจะสามารถออกจากที่นี่โดยไม่ได้รับบาดเจ็บ” มู่เฉินยิ้ม


จู้เยี่ยนมองดูมู่เฉินราวกับว่าเป็นเรื่องตลกพลางยักไหล่ “ข้ารู้สึกว่าเป็นตัวเองนะที่ควรพูดคำนี้”


เขารู้สึกว่านี่เป็นเรื่องตลกที่บางคนที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้นพูดคำเหล่านั้นใส่ เขาไม่ได้เห็นสถานการณ์เช่นนี้มานานแล้วซึ่งเขาคิดว่าตลกมาก


“ก็หมายความว่าเจ้าปฏิเสธข้อเสนอของข้ารึ” มู่เฉินเบ้ปาก


“ใช่ ข้าปฏิเสธ” จู้เยี่ยนพยักหน้าแบบสบายอารมณ์


มู่เฉินยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ขณะตบเสาเบาๆ อีกครั้ง “น่าเสียดายจริงๆ… เจ้าทรงพลังอย่างแท้จริง แต่หลายครั้งคนที่ยิ้มคนสุดท้ายมักไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุดเสมอไป”


“โอ้?” จู้เยี่ยนยิ้มขณะก้มมองลาวาที่ไหลระหว่างนิ้ว “งั้นคนแบบไหนที่สามารถยิ้มได้เป็นคนสุดท้ายล่ะ?”


รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาของมู่เฉินขณะตอบว่า “คนโชคดี”


จู้เยี่ยนขมวดคิ้ว


แต่มู่เฉินก็ไม่ได้พูดต่อ เขาตบเสาข้างๆ อีก แต่คราวนี้จู้เยี่ยนเห็นแสงวูบวาบในฝ่ามือของมู่เฉินรวมเข้ากับเสา


ก่อนที่เขาจะทันคิดออก เขาก็รู้สึกได้ว่าทั้งโถงสั่นสะเทือน หินใหญ่น้อยเริ่มร่วงหล่นลงมาจากด้านบน


จู้เยี่ยนตกใจไปกับการเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้ เขาเงยหน้าขึ้นมองเพดานก็เห็นว่ารอยแตกเริ่มกระจายก่อนที่เพดานจะถล่มลงมาเผยให้เห็นท้องฟ้าและค่ายกลขนาดใหญ่ปกคลุมทั้งตำหนัก


ค่ายกลนี้ก็กางกั้นตัวเขามาเป็นเวลานาน ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเตรียมพร้อมก็คงไม่สามารถเข้ามาในโถงนี้ได้


ขณะนี้เขาก็เหมือนจะคิดอะไรบางอย่างออก ใบหน้าเริ่มเปลี่ยนไป


นั่นเป็นเพราะเขาสัมผัสได้ถึงความเชื่อมโยงที่น่าอัศจรรย์ระหว่างค่ายกลระดับจงซือและมู่เฉิน


มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองไปที่จู้เยี่ยนพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการไป งั้นก็อยู่ที่นี่ไปเลย”


บทที่ 1130 ปะทะครั้งแรก

“ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการไป งั้นก็อยู่ที่นี่ไปเลย”


เมื่อเสียงของมู่เฉินสะท้อนออกไป ใบหน้าของจู้เยี่ยนก็กระตุกเบาๆ เขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังค่ายกลขนาดใหญ่ ก่อนจะมองไปที่มู่เฉินด้วยแววตาเคร่งขรึม


เขาไม่คิดว่าคนที่ดูธรรมดาจะมีวิธีการเช่นนี้…


“เจ้าควบคุมค่ายกลได้เรอะ?” จู้เยี่ยนกล่าวช้าๆ โดยไม่สามารถปกปิดน้ำเสียงปรวนแปรได้ เนื่องจากเขารู้สึกว่าไม่น่าเชื่อเลยว่ามู่เฉินจะสามารถควบคุมค่ายกลระดับจงซือได้


มู่เฉินตบเสาหินเบาๆ พลางตอบ “เสาต้นนี้ใช้ควบคุมค่ายกล เมื่อครู่ข้าส่งสัญลักษณ์หลิงยิ่งของตัวเองเข้าไป จึงสั่งการได้ชั่วคราว…”


แน่นอนว่ามีข้อกำหนดประการหนึ่งในการควบคุมค่ายกล นั่นคือการได้รับการยอมรับจากเจ้าตำหนักสายลม ซึ่งทั้งสามคนเพิ่งได้รับก่อนหน้านี้ เพียงแต่เขาไม่ได้เปิดเผยข้อเท็จจริงนั่น


เขายิ้มให้จู้เยี่ยน “ข้าบอกแล้วว่าคนที่ยิ้มตอนจบอาจเป็นคนโชคดี และบังเอิญว่าข้าเป็นคนโชคดี”


“ตอนนี้…เจ้าช่วยคืนของให้เราได้หรือยัง?” มู่เฉินยื่นมือไปทางจู้เยี่ยนพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยน


จู้เยี่ยนมองมู่เฉินอยู่นานก่อนจะถอนหายใจ “นี่เป็นความผิดพลาด ข้าไม่ควรให้เจ้าสัมผัสกับเสานั่น”


ถ้าเขาเคลื่อนไหวก่อนหน้าอาจจะบังคับให้มู่เฉินถอยออกไปได้ ตราบใดที่เขาสามารถดึงมู่เฉินออกจากเสาได้การคุกคามนี้ก็จะได้รับการแก้ไข


มู่เฉินยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร เขามองไปที่จู้เยี่ยนด้วยสายตาเสียดแทง


จู้เยี่ยนยักไหล่ “สถานการณ์ตอนนี้ไม่ดีต่อข้าสักเท่าไร แต่…”


สายตาของเขาเปลี่ยนไปทันทีขณะที่พูดต่อ “ไม่เคยมีใครเอาอะไรไปจากมือข้าได้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา”


ตู้ม!


ช่วงเวลาที่เขาพูดจบ มิติก็บิดเบี้ยวที่ด้านหลัง จุดจื้อจุนไห่ปรากฏขึ้นอย่างเลือนราง เพียงแค่จุดจื้อไห่ของเขาปรากฏภูเขาไฟก็ปะทุนับไม่ถ้วน คลื่นหลิงรุนแรงรวมตัวกันอยู่ภายใน


แรงกดดันจากคลื่นหลิงที่น่าสะพรึงพัดออกมาทำให้มิติแปรปรวน


จู้เยี่ยนกระทืบเท้า หินหนืดก็พุ่งออกมาก่อนที่จะกลายเป็นประกายวาววับทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าตั้งใจที่จะแหวกค่ายกล


เห็นได้ชัดว่าจู้เยี่ยนไม่เชื่อว่ามู่เฉินสามารถปลดปล่อยพลังของค่ายกลระดับจงซือนี้ได้อย่างสมบูรณ์ ตราบใดที่มีช่องโหว่ก็จะเป็นเรื่องง่ายที่เขาจะหลุดออกไป เมื่อไรที่เขาสามารถออกจากตำหนักนี้ได้ เขาก็ไม่ต้องกลัวมู่เฉิน


เมื่อมู่เฉินเห็นความตั้งใจของจู้เยี่ยนก็ไม่แปลกใจ ถ้าจู้เยี่ยนยอมแพ้อย่างง่ายดาย เขาก็ไม่น่าเป็นเจ้าทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่ของทวีปได้


ทว่าถึงความคิดของจู้เยี่ยนจะถูกต้อง แต่เขาไม่รู้ว่ามู่เฉินเป็นหลิงเจิ้นซือตัวจริงเสียงจริง นอกจากนี้บางทีความสำเร็จอาจไม่ถึงระดับที่คิด แต่ก็เพียงพอแล้วที่จะควบคุมค่ายกลระดับจงซือด้วยเสากลาง


ดังนั้นครั้งนี้ความคิดของจู้เยี่ยนล้มเหลว


มู่เฉินมองไปที่ประกายไฟแล่นพล่านอย่างไม่แยแสก่อนจะตบเสาเบาๆ อีกครั้ง สัญลักษณ์หลิงยิ่งรวมเข้ากับเสา


ฟู่ ฟู่!


ขณะที่เขาตบเสาลงไป ค่ายกลที่ล้อมรอบตำหนักก็คำราม พายุทอร์นาโดสีฟ้าอมเขียวฉีกผ่านมิติพุ่งไปที่ประกายไฟราวกับมังกรตื่นขึ้น


พายุทอร์นาโดบรรจุด้วยความผันผวนของคลื่นหลิงที่น่ากลัว แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มก็กลายเป็นเถ้าถ่านเมื่อสัมผัสโดน


เมื่อจู้เยี่ยนเห็นพายุทอร์นาโดใบหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงที่น่ากลัวในพายุ แม้แต่เขาก็จบไม่ดีแน่หากประมาทเพียงเล็กน้อย


ดังนั้นเขาจึงหยุดจนตัวโก่ง บินฉวัดเฉวียนไปมาบนท้องฟ้าหลบพายุทอร์นาโดเหล่านั้น


มู่เฉินมองภาพเงาบนท้องฟ้าด้วยความประหลาดใจ ชายคนนั้นน่ากลัวจริงๆ ที่สามารถหลบการโจมตีน่ากลัวเช่นนี้ได้


ทว่า… ถ้าจู้เยี่ยนคิดว่าสามารถหลีกเลี่ยงค่ายกลระดับจงซือได้อย่างง่ายดายก็ไร้เดียงสาไปหน่อยแล้ว


ตู้ม!


เมื่อความคิดนี้เกิดขึ้นในใจของมู่เฉิน พายุทอร์นาโดสีฟ้าอมเขียวก็ก่อตัวขึ้นด้านหลังจู้เยี่ยนราวกับแส้ซัดออกไป


มิติแตกเป็นเสี่ยงๆ ด้านหลังจู้เยี่ยน ทำให้เขารู้สึกหนาวสั่นในกระดูกสันหลังขณะที่สะบัดเสื้อโดยไม่ลังเล เปลวไฟไม่มีที่สิ้นสุดพุ่งออกมาเผามิติจนถึงจุดที่ทำให้เกิดการบิดเบือนเมื่อปรากฏขึ้นแม้แต่อากาศก็ลุกโชนจากเปลวไฟ


เปลวไฟพวยพุ่งออกมาเหมือนจะก่อตัวเป็นรูปมังกรและปะทะกับพายุทอร์นาโด


ปัง!


ทอร์นาโดและเปลวไฟปะทะกันแล้วระเบิดขึ้นบนท้องฟ้าราวกับดอกไม้ไฟ


ทั้งสองปะทะกัน มังกรเพลิงคงอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะระเบิด หางของพายุฟาดเข้ากับแผ่นหลังของจู้เยี่ยนจังใหญ่


ครืน!


จู้เยี่ยนได้รับแรงกระทบหนักหน่วงเต็มๆ ร่างดิ่งพสุธาจากท้องฟ้าทิ้งรอยยาวไว้ที่พื้นก่อนที่เขาจะทรงตัวได้


แต่ตอนนี้เขาไม่มีความสบายเหมือนก่อนหน้า สามารถเห็นบาดแผลที่น่ากลัวที่แผ่นหลังได้ ลาวาไหลบนบาดแผลพยายามที่จะฟื้นฟู แต่ก็ถูกปิดกั้นโดยคลื่นหลิงสีฟ้า


ซี้ด!


เมื่อรู้สึกถึงความเจ็บปวดบาดลึกบนหลัง จู้เยี่ยนก็หายใจเย็นลึกสุดปอด นี่หรือค่ายกลระดับจงซือ? มิน่าล่ะถึงสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนได้… ถ้าไม่ใช่เพราะร่างกายที่แข็งแรงของเขา งานนี้อาจตายคาที่ไปแล้ว


“เจ้านั่น…” จู้เยี่ยนขมวดคิ้วขณะเงยหน้าขึ้นมองไปที่มู่เฉินที่ยังคงมีท่าทางสงบ เขาคิดผิด ไม่คิดว่าชายหนุ่มคนนี้จะสามารถแสดงพลังของค่ายกลได้ถึงระดับนี้โดยไม่มีช่องโหว่ใดๆ


นานมากแล้วที่เขาไม่ได้เสียเปรียบขนาดนี้


“พี่จู้เยี่ยนคืนของกลับมาได้หรือยัง?” มู่เฉินมองไปที่จู้เยี่ยนพลางคลี่ยิ้มอีกครั้ง


จู้เยี่ยนไม่มีการแสดงออกใดๆ เพียงแต่หมุนเวียนคลื่นหลิงเพื่อฟื้นตัวจากบาดแผล ขณะที่สมองหมุนเร็วรี่พยายามหาวิธีหลบหนี


ทว่ามู่เฉินไม่ได้ให้เวลาแก่อีกฝ่าย เมื่อเขาเห็นว่าจู้เยี่ยนยังไม่ยอมแพ้ เขาก็ตบเสาอีกครั้ง พายุทอร์นาโดขนาดใหญ่บีบกดลงมาจากท้องฟ้าครอบร่างจู้เยี่ยนไว้


ฟู่ ฟู่


พายุน่าสะพรึงกลัวคำรามรอบร่างจู้เยี่ยนซึ่งอัดแน่นด้วยพลังทำลายล้าง ขณะที่พายุคำรามมิติก็แตกเป็นเสี่ยงๆ และเศษชิ้นส่วนมิติจำนวนนับไม่ถ้วนปะปนอยู่ภายในด้วยเช่นกัน


จู้เยี่ยนมองไปที่พายุทอร์นาโดรอบตัวที่ราวกับคุก มุมปากก็กระตุก มู่เฉินระวังตัวแจไม่ให้โอกาสกับเขาเลย


พายุทอร์นาโดตัดเส้นทางหลบหนีของเขา ทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ยุ่งยาก


“บังอาจทำตัวเย่อหยิ่ง!” หลินจิ้งรู้สึกพอใจมากที่ได้เห็นภาพนี้ ชายคนนั้นกล้าฉกสมบัติของพวกนางด้วยท่าทีนั้นของเขา ทำให้นางโกรธจนต้องกัดฟัน


ตอนแรกนางวางแผนจะนำไพ่ตายออกมาเพื่อจัดการจู้เยี่ยนให้ต้องจ่ายอะไรบ้าง แต่ไม่คิดว่ามู่เฉินจะมีวิธีการน่ากลัวเช่นนี้


“มู่เฉิน เจ้าสุดยอดจริงๆ!” ท่ามกลางความยินดีหลินจิ้งก็ตบไหล่มู่เฉินหนักๆ


เท้าของมู่เฉินถึงกับเป๋จากการตบนี้ ขณะกลอกตาอย่างช่วยไม่ได้ คลื่นหลิงในร่างของเขายังอยู่ในสภาพว่างเปล่าจากพัดขนนก มิหนำซ้ำเมื่อครู่ยังควบคุมค่ายกล ตอนนี้พลังงานในร่างกายของเขาแทบไม่เหลือหลอ


เมื่อเห็นสายตาของมู่เฉิน หลินจิ้งก็หัวเราะแหะๆ พลางหยิบของเหลวจื้อจุนออกมาช่วยในการฟื้นตัวของมู่เฉิน


มู่เฉินใช้มือข้างหนึ่งรับของเหลวจื้อจุนมาดูดซับแล้วมองไปที่จู้เยี่ยนที่ติดอยู่ในพายุในเวลาเดียวกัน “ตอนนี้เจ้ามีคำตอบหรือยัง?”


จู้เยี่ยนมองไปที่มู่เฉินครู่หนึ่งก่อนจะดึงสายตากลับ มองไม่เห็นอารมณ์บนใบหน้าขณะตอบว่า “เจ้าเป็นคนแรกที่ทำให้ข้าตกอยู่ในสถานการ์น่าอนาถเช่นนี้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา”


“โอ้เป็นเกียรติจริงๆ” มู่เฉินตอบอย่างใจเย็น


จากนั้นจู้เยี่ยนก็พูดว่า “เจ้าต้องการอะไร?”


“ส่งพัดเทพสายลมมา… ข้าจะตั้งค่ายกลที่จะค่อยๆ สลายลงเมื่อพวกข้าจากไป จากนั้นเจ้าก็จะออกมาได้” มู่เฉินยิ้ม


จู้เยี่ยนขมวดคิ้วขณะมองไปที่มู่เฉินโดยไม่มีอารมณ์ใดๆ บนใบหน้า “ทำไมข้าต้องเชื่อเจ้า? ถ้าเจ้าขังข้าไว้ที่นี่ตลอดไปจะทำอย่างไร?”


“เจ้าเหมือนจะไม่มีตัวเลือกนะ”


มู่เฉินตอบช้าๆ แล้วพูดต่อ “นอกจากนี้… ข้าไม่คิดว่าแม้ว่าข้าจะผิดสัญญา เจ้าคงไม่ติดอยู่ที่นี่ตลอดไป”


แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจจู้เยี่ยนดีนัก แต่เขาไม่เชื่อว่าจอมยุทธ์ระดับนี้จะไม่มีไพ่ตาย เหตุผลที่จู้เยี่ยนไม่ต้องการใช้อาจเป็นเพราะราคาในการใช้ที่สูงเกินไป


จู้เยี่ยนครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะมองไปที่มู่เฉินพลางยิ้มบาง “น่าสนใจ… ไม่คิดว่าจะมีคนแบบเจ้าในทวีปเทียนหลัว”


“คราวนี้ถือว่าเจ้าชนะ… แต่ถ้าเราเจอกันครั้งหน้า ข้าก็จะท้าทายอีก”


เมื่อพูดจบจู้เยี่ยนก็สะบัดนิ้ว พัดขนนกบินกลายเป็นแสงฟ้าอมเขียวพุ่งออกไป


มู่เฉินยื่นมือไปคว้าในอากาศ พัดขนนกก็ปรากฏตัวขึ้นในมือเขา จากนั้นเขาก็หมุนมันในมือ


“ขอบคุณที่ให้ข้าชนะ”


บทที่ 1131 ผลประกอบการครั้งใหญ่

พัดขนนกสีฟ้าอมเขียวลอยเข้ามาในฝ่ามือของมู่เฉิน


หลังจากได้รับพัดคืนมาเขาก็ไม่ใส่ใจจู้เยี่ยนอีก ขามองไปที่หลินจิ้งและจิ่วโยวด้วยรอยยิ้ม “ถึงเวลาแบ่งสมบัติกันแล้ว”


เขายกพัดเทพสายลมขึ้นพลางเอ่ย “สุภาพสตรีก่อน ชอบชิ้นไหนเอาไปได้เลย”


แม้ว่านี่จะเป็นอาวุธมหสวรรค์ แต่ที่จริงเขาไม่ได้รู้สึกเสียดาย เพราะใช่ว่าจะไม่เคยเห็นอาวุธแบบนี้มาก่อน ท้ายที่สุดเขาก็เคยมอบอาวุธทรงพลังเช่นนี้ไปให้กับมั่นถัวหลัวเช่นกัน


จิ่วโยวและหลินจิ้งมองไปที่พัดเทพสายลมแวบหนึ่งก่อนจะส่ายหัว “เจ้าเป็นคนที่ใช้มันเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ ดังนั้นมันจึงไม่น่ามีเจตนาร้ายใดกับเจ้า เจ้าเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นผู้ครอบครองอาวุธนี้”


สิ่งที่พวกนางพูดไม่ผิด เนื่องจากเขาได้รับผนึกควบคุมจากพัดเทพสายลมจึงทำให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างคนและอาวุธแล้ว ดังนั้นหากเขาต้องการครอบครอง พัดนี่ก็คงไม่ปฏิเสธเขา


เมื่อมู่เฉินได้ยินคำตอบของพวกนาง เขาก็ส่ายหัวด้วยรอยยิ้มช่วยอะไรไม่ได้ เขาไม่ได้ปฏิเสธพวกนาง ผงกศีรษะพร้อมกับกำพัดไว้ในมือ “งั้นคราวนี้ข้าขอละกัน”


“แล้วนั่นล่ะ?” มู่เฉินชี้ไปที่ม้วนคัมภีร์หยกที่ลอยอยู่กับสระของเหลวจื้อจุน


“ดูก่อนว่าคืออะไร” จิ่วโยวโบกมือ ม้วนคัมภีร์หยกก็ลอยลงมาตกในมือ นางหลับตาตรวจดูสั้นๆ ก่อนจะลืมตาขึ้นด้วยความประหลาดใจ “นี่คือวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเล็กที่เรียกว่ากระบวนท่าเรียกสายลม สามารถเปลี่ยนคลื่นหลิงให้เป็นมวลลม ทำให้ผู้ฝึกสามารถเดินทางไปกับสายลมด้วยความเร็วชนิดเหนือแสง…”


ในฐานะที่เป็นวิหคอนธโลกันตร์ความเร็วของจิ่วโยวเรียกว่ารวดเร็วตั้งแต่เริ่มต้น ดังนั้นการได้รับคำชมจากนาง… จะต้องเป็นความเร็วที่น่ากลัวมากแน่ๆ


มู่เฉินก็ประหลาดใจไปเล็กน้อย วิทยายุทธระดับเสินทงนี้เหมือนจะออกแนวเป็นกระบวนท่าสนับสนุน แต่เมื่อเทียบกับวิทยายุทธประเภทโจมตี ชัดว่ามูลค่าของกระบวนท่าเรียกสายลมนี้สูงกว่า


เพราะตราบใดที่ฝึกฝนกระบวนท่านี้ พวกเขาก็จะมีหลักประกันในชีวิต หากพบศัตรูที่ยากลำบาก แม้ว่าจะไม่สามารถเอาชนะศัตรูได้ พวกเขาก็ยังสามารถหลบหนีได้


ตามการคาดการณ์ของมู่เฉิน หากเขาฝึกฝนกระบวนท่านี้ ต่อให้เผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น เขาก็สามารถหนีไปได้


นี่เป็นสมบัติดีเยี่ยมแท้จริง


แต่เนื่องจากเขารับพัดเทพสายลมแล้ว เขาก็ไม่มีความโลภที่จะรับของเพิ่มอีก ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้หญิงสาวทั้งสองได้เลือก


“วิทยายุทธที่เอาไว้หนีตาย ข้าไม่ชอบเลย” หลินจิ้งจือปากขณะที่พูดด้วยท่าทางไม่แสแย เห็นได้ชัดว่านางไม่สนใจวิทยายุทธระดับเสินทงแบบนี้


จิ่วโยวยิ้มพึงใจให้หลินจิ้ง เนื่องจากนางรู้ว่าหลินจิ้งปล่อยให้โดยตั้งใจ เพราะว่าในบรรดาทั้งสามนางเหมาะกับกระบวนท่านี้ที่สุด ด้วยเหตุนี้ความเร็วของนางจะเพิ่มขึ้นสูงจนน่ากลัว ซึ่งแม้แต่มู่เฉินก็ไม่สามารถตามทันได้


“งั้นถ้าข้าปฏิเสธคงไม่สุภาพ” จิ่วโยวประสานมือกำม้วนคัมภีร์เรียกสายลมไว้ในมือ


“งั้นสระนี่ก็เป็นของข้า” หลินจิ้งยิ้มบางขณะสะบัดนิ้ว ตุ๊กตาน้ำแข็งก็ทะยานออกไปก่อนที่จะใช้กระบี่ยาวขุดสระออกมา จากนั้นหลินจิ้งก็โบกมือเก็บของเหลวจื้อจุนทั้งสระไป


หากสระนี้ถูกกลั่นออกมาก็น่าจะมีมูลค่าหลายสิบล้านหยดของเหลวจื้อจุนซึ่งไม่ใช่จำนวนเล็กน้อย ดังนั้นนางจึงไม่ได้เสียเปรียบอะไร


หลังจากแบ่งของกันเรียบร้อย มู่เฉินก็พยักหน้าพึงพอใจ พวกเขามีผลประกอบการดีมากในครั้งนี้


เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ มู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปที่จู้เยี่ยนที่ติดอยู่ในพายุ ถ้าชายคนนั้นไม่ได้พุ่งเข้ามาหาเรื่อง ทุกอย่างคงสมบูรณ์แบบกว่านี้


“ไปกันเถอะ”


มู่เฉินมองไปที่โถงว่างเปล่าที่เหลือทิ้งไว้ ดังนั้นไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไป


จิ่วโยวและหลินจิ้งไม่มีคำคัดค้านใดๆ พลางพยักหน้า


ตอนนี้จู้เยี่ยนกำลังนั่งหลับตาอยู่ในพายุ เขาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับการกระจายสมบัติของกลุ่มมู่เฉินเมื่อเห็นสิ่งนี้มู่เฉินก็ไม่ได้ใส่ใจออกไปพร้อมกับจิ่วโยวและหลินจิ้ง


เมื่อทั้งสามไปแล้ว จู้เยี่ยนก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองไปยังทิศทางที่กลุ่มมู่เฉินออกไปพร้อมกับรอยยิ้มบางที่มุมปาก


“มู่เฉิน…ช่างเป็นคนที่น่าสนใจ เราจะได้พบกันอีกครั้ง เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะเอาคืนทั้งต้นทั้งดอก หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังนะ”


ด้านนอกตำหนักสายลม


ทันใดนั้นรอยแตกเล็กๆ ก็ฉีกออกในค่ายกล คนสามคนเยื้องย่างออกมาพร้อมกับพายุเริ่มกวนตัวใหม่อีกครั้ง


ที่เกาะแห่งนี้มีคนหลายกลุ่มสังเกตเห็นแล้ว เสียงลมแหวกอากาศดังอยู่ตลอดเวลา เห็นได้ชัดว่ากำลังค้นหาสมบัติ


ในบางครั้งก็จะมีเสียงความสุขแว่วมา ดูเหมือนว่ามีผู้โชคดีได้พบสมบัติบางอย่างที่หลงเหลืออยู่ในวังสวรรค์บรรพกาล


นอกจากนี้ยังมีบางกลุ่มเฝ้าอยู่ด้านนอกโถงใหญ่ แต่สายตาจับจ้องไปที่ค่ายกลที่น่ากลัวซึ่งปกคลุมโถงด้วยความหวาดหวั่น ไม่มีใครกล้าก้าวเท้าเข้าไป


ดังนั้นเมื่อกลุ่มมู่เฉินเดินออกมา ทุกคนก็มองมาด้วยความโลภในดวงตา


ใครก็บอกได้ว่าต้องมีสมบัติอยู่ในโถงนี้ เนื่องจากทั้งสามสามารถเดินออกไปได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บก็แสดงว่าต้องได้รับสมบัติเหล่านั้นมา


วาบ!


แต่ขณะที่ความโลภเพิ่มขึ้นในใจ แสงวาบเย็นก็พุ่งออกมาพร้อมกับความหนาวเย็นสุดขั้วปกคลุมพื้นด้วยชั้นน้ำแข็ง


ทุกคนตกใจก่อนที่จะถอยหนีแสงเย็นอย่างรวดเร็ว สายตามองไปที่หุ่นที่ปกคลุมไปด้วยไอเย็นยะเยือกที่ยืนจังก้าต่อหน้าทั้งสามคน


เมื่อพวกเขารู้สึกได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงที่มาจากหุ่นเงา ทั้งหมดก็หน้าเปลี่ยนสี


“นั่นเป็นหุ่นเงาระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็ม…” หัวใจของพวกเขาสั่นสะท้านเมื่อเห็น จากนั้นก็หลบหลีกออกไปอย่างเด็ดขาด กลุ่มที่สามารถครอบครองหุ่นระดับนี้ไม่ใช่กลุ่มที่พวกเขาสามารถรุกรานได้


“แต่ละคนจมูกแหลมกันน่าดู” เมื่อมู่เฉินมองไปที่ร่างแสงบนท้องฟ้าก็ถอนหายใจ พวกเขาเหมือนจะไม่ได้เข้าไปนานเท่าไร ไม่คิดว่าจะมีคนจำนวนมากพบเจอตำหนักสายลม


โชคดีสมบัติยิ่งใหญ่ที่สุดของตำหนักสายลมอยู่ในมือพวกเขา ทว่าสิ่งเดียวที่ไม่ดีสำหรับพวกเขาก็คือดันไปทำให้จู้เยี่ยนขุ่นเคืองใจ ซึ่งทำให้มู่เฉินเบ้ริมฝีปากอย่างช่วยไม่ได้


เมื่อจิ่วโยวเห็นท่าทางนั่น นางก็เข้าใจว่าเขาคิดอะไรอยู่ นางอดยิ้มไม่ได้ “ดูเหมือนว่าสี่อันดับแรกของทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่ทวีปเทียนหลัวจะไม่เป็นมิตรกับเจ้าเลย เจ้าเป็นพวกตัวปัญหาจริงๆ”


มู่เฉินส่งเสียงขึ้นจมูกล้อเลียนตัวเอง เพราะสิ่งที่จิ่วโยวพูดไม่ใช่เกินจริง เขาตัดแขนเซี่ยหงไปข้างหนึ่งซึ่งเซี่ยหยู่ไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ สำหรับจาโหลหลัวกาหน้าว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจของเขาโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับซูชิงหยิงก็เป็นคนที่ไม่เปิดเผยความคิดและมีอารมณ์แปรปรวน ซ้ำตอนนี้… ยังสร้างความไม่พอใจให้จู้เยี่ยนอีกด้วย


ถ้าเป็นคนอื่นแค่ทำให้หนึ่งในนี้ขุ่นเคืองก็คงกลัวจนหลอน แต่เขาทำให้ทั้งหมดขุ่นเคือง กระทั่งมู่เฉินยังต้องชื่นชมความสามารถในการเรียกปัญหาของตัวเอง


แต่ถึงแม้เขาจะรู้สึกช่วยไม่ได้อยู่บ้าง แต่ก็ไม่เสียใจ อย่างจู้เยี่ยนหากมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก มู่เฉินก็ไม่ลังเลที่จะใช้วิธีการเดียวกันนี้


เขาสร้างความไม่พอใจให้คนจำนวนมากในเส้นทางการเป็นยอดยุทธ์ แต่สุดท้ายเขาก็เป็นคนที่หัวเราะคนสุดท้ายเสมอ คู่ต่อสู้ในอดีตทั้งหมดถูกทิ้งไว้ด้านหลัง


ในอนาคตมู่เฉินเชื่อว่าก็จะเป็นเช่นเดิม…


มู่เฉินยิ้มบางความกลัวไม่มีในดวงตาแทนที่ด้วยความมั่นใจราวกับกระบี่ออกจากฝัก หากเขาไม่มีแม้แต่ความมั่นใจก็ไม่จำเป็นต้องเดินต่อในเส้นทางของยอดยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่


“ไปกันเถอะ หาที่พักกันสักหน่อย” มู่เฉินมองไปที่หญิงสาวทั้งสองขณะพูด พวกเขาผ่านการต่อสู้ครั้งใหญ่และเขาได้บีบคั้นคลื่นหลิงออกไปมาก ตอนนี้เขาอยู่ในสภาพย่ำแย่ต้องการฟื้นฟูให้เร็ว นอกจากนี้ยังต้องชำระพัดเทพสายลมเพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นมาขโมยไปจากเขาได้ง่ายๆ อีก


จิ่วโยวพยักหน้า เนื่องจากนางมีความตั้งใจที่จะศึกษากระบวนท่าเรียกสายลมเช่นกัน ส่วนหลินจิ้งก็ไม่ขัดข้องอะไร


ดังนั้นทั้งสามจึงออกจากเกาะตำหนักสายลม ค้นหาเกาะห่างไกลที่ไม่มีพลังงานปกป้อง เป็นเกาะธรรมดาที่คนอื่นๆ มองข้ามไป


ทั้งสามเข้าไปในเจดีย์ปรักหักพังบนเกาะ


มู่เฉินนั่งลงที่ชั้นแรกและสร้างค่ายกลป้องกันขนาดเล็ก เมื่อทำทุกอย่างเสร็จก็หายใจเข้าลึกนำพัดขนนกมาถือไว้ในมือ


มู่เฉินจ้องมองไปที่พัดขนนกสีฟ้าอมเขียว สายตาก็ค่อยๆ ลุกเป็นไฟ หลังจากพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจนี่อาวุธมหสวรรค์ชิ้นที่สองที่เขาได้รับ ทว่าพลังของพัดเทพสายลมน่าจะด้อยกว่าพีระมิดแสงดาว แต่มู่เฉินก็ไม่แปลกใจ เพราะพีระมิดแสงดาวทิ้งไว้โดยท่านจอมพลสี่ ในขณะที่พัดเทพสายลมถูกทิ้งไว้โดยผู้บัญชาการตำหนักสายลม สถานะทั้งสองนี้มีช่องว่างกว้างใหญ่ในวังสวรรค์บรรพกาล


แต่นี่ก็เป็นสาเหตุให้มู่เฉินชื่นชมยินดีในใจ เพราะอย่างไรเขาก็ยังไม่ได้บรรลุระดับตี้จื้อจุน ดังนั้นอาวุธมหสวรรค์ที่ทรงพลังจะไร้ประโยชน์ในมือเขา


ในทางกลับกันเขาน่าจะพอใช้พัดเทพสายลมด้วยขุมพลังในปัจจุบันของเขาได้


ขณะที่คิดถึงเรื่องนี้มู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไป คลื่นหลิงพุ่งออกมาราวกับเปลวไฟค่อยๆ ห่อหุ้มพัดเทพสายลม…


บทที่ 1132 เกาะมังกร

เปลวไฟลุกโชนปกคลุมพัดสีฟ้าอมเขียวในพริบตา


อุณหภูมิที่ลุกไหม้ทำให้พื้นที่โดยรอบแปรปรวน แม้แต่มิติก็ยังส่งสัญญาณการแผดเผาออกมา


แต่เมื่อเผชิญกับเปลวไฟลุกโชติช่วง พัดขนนกก็ไม่ได้ขยับเขยื้อน แม้แต่รังสีสีฟ้าอมเขียวยังนิ่งเฉย ราวกับเปลวไฟไม่มีตัวตน


มู่เฉินไม่แปลกใจ หากสามารถชำระอาวุธมหสวรรค์ได้ง่ายดาย เขาคงจะสงสัยว่านี่เป็นอาวุธมหสวรรค์ของแท้หรือไม่


ยิ่งไปกว่านั้นถ้าไม่ใช่เพราะพัดเทพสายลมอยู่ในสถานะไร้เจ้าของ มู่เฉินคงถูกมันซัดทันทีที่ใช้ไฟเผาแล้ว


มู่เฉินมองไปที่พัดขนนกก็โบกมือสายธารของเหลวจื้อจุนปรากฏขึ้นรอบตัว หมอกหลิงไร้ขอบเขตพลุ่งพล่านเติมเต็มในชั้นเจดีย์นี้


การชำระพัดเทพสายลมไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นมู่เฉินจึงนำของเหลวจื้อจุนจำนวนมากออกมาเพื่อเตรียมใช้ในกระบวนการนี้


เสร็จสิ้นการเตรียมการมู่เฉินก็ค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง เกลียวคลื่นหลิงจากของเหลวจื้อจุนไหลเข้าไปทางนาสิกประสาทของเขา ฟื้นฟูพลังที่อ่อนล้าในร่างกาย


เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไปท่ามกลางการชำระอย่างต่อเนื่อง ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน ของเหลวจื้อจุนรอบตัวก็เริ่มเบาบางลง แม้แต่เปลวไฟก็ยังคลุมเครือขึ้น พัดสถิตอยู่ตรงกลางขณะที่หมอกลอยขึ้น พายุทอร์นาโดสีฟ้าอมเขียวขนาดเล็กกวนตัวออกมา


พายุทอร์นาโดสวยงามมาก แต่เมื่อปรากฏขึ้นพื้นที่ทั้งหมดนี้ก็สั่นสะเทือน มวลลมรุนแรงพร้อมกับกรวดหินดินทรายปลิวว่อนในท้องฟ้า…


ดวงตาที่ปิดสนิทของมู่เฉินเปิดขึ้นพลางมองไปที่พายุทอร์นาโดขนาดเล็กริ้วความสุขวูบวาบในดวงตา


พายุทอร์นาโดนี้เป็นแก่นของพัดเทพสายลม ที่มีเกลียวลมเหลืองสุดขั้วที่ถือกำเนิดจากสวรรค์ทั้งเก้าหลังจากผ่านไปนับพันนับหมื่นปี นี่เป็นเหตุผลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ทำให้พัดเทพสายลมเป็นอาวุธมหสวรรค์ของแท้


หากเขาต้องการชำระพัดเทพสายลม เขาก็ต้องทิ้งรอยประทับไว้เบื้องหลังลมเหลืองสุดขั้ว


ฮา


มู่เฉินหายใจเข้าลึก จากนั้นก็กัดลิ้นตัวเองเลือดกลั่นสายหนึ่งพุ่งออกมาซึ่งบรรจุด้วยคลื่นหลิงบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ดังนั้นเมื่อเลือดกลั่นพุ่งออกมาใบหน้าของมู่เฉินก็ซีดลง ชัดว่าสูญเสียพลังไปมาก


แก่นเลือดกลั่นนี้มีค่ามาก เนื่องจากได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยคลื่นพลังของเขา หากสูญเสียมากเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อรากฐานคลื่นพลัง หากไม่ใช่ขั้นตอนจำเป็นในการชำระอาวุธมหสวรรค์ มู่เฉินก็ไม่คิดทำเช่นนี้แน่นอน


เลือดกลั่นพุ่งไปที่ลมเหลืองสุดขั้ว แต่ไม่ได้รวมเข้ากัน เพียงแค่ลอยอยู่รอบนอก ดูเหมือนจะถูกปิดกั้นโดยบางสิ่งไม่ให้เข้าไป


เมื่อมู่เฉินเห็นใบหน้าก็ยังคงสงบลงพลางหลับตาลงอีกครั้ง จากนั้นก็เริ่มควบคุมเปลวไฟเพื่อปลดปล่อยอุณหภูมิร้อนระอุแผดเผาลมเหลืองสุดขั้ว


ภายใต้การเผาไหม้อย่างช้าๆ แก่นเลือดกลั่นก็เริ่มสามารถหลอมรวมเข้ากับมันได้


แต่กระบวนการนี้ต้องใช้เวลาพอสมควรดังนั้นมู่เฉินจึงไม่ใจร้อน เขารอคอยเงียบๆ ตราบใดที่แก่นเลือดกลั่นสามารถหลอมรวมเข้ากับลมเหลืองสุดขั้วได้อย่างสมบูรณ์ วางรอยประทับของเขาอยู่ภายในนั้น พัดเทพสายลมก็จะอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา ในเวลานั้นแม้ว่าคนอื่นจะยึดวัตุถุนี้ไปเว้นแต่จะเป็นจอมยุทธ์ที่มีพลังสูงกว่าเขาหลายขุม มิฉะนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะลบรอยประทับของเขาออก


มากจนมู่เฉินสามารถควบคุมรอยประทับที่อยู่ภายในเพื่อทำลายแกนกลางของพัดระเบิดตัวอาวุธล้ำค่านี้ได้ พลังระเบิดนั้นแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็ยังไม่มีช่วงเวลาที่ดี


นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมมู่เฉินต้องการใช้เวลาและความพยายามอย่างมากในการชำระพัดเทพสายลม… เพราะการล่อลวงของอาวุธมหสวรรค์ยิ่งใหญ่เกินไป


ตอนนี้เขาก็แค่รอให้ขั้นตอนทั้งหมดเสร็จสมบูรณ์…


ขณะที่มู่เฉินชำระพัดเทพวายุ


จิ่วโยวก็ยืนอยู่บนท้องฟ้าด้านนอกเจดีย์ นางยืนอยู่เงียบๆ หลับตาลง ความผันผวนของคลื่นหลิงรอบตัวสลายไป ก่อนที่นางจะยื่นมือออกไปเพื่อหมุนเวียนกระบวนท่าเรียกสายลม


นางทำความเข้าใจโดยหลับตาลง เกลียวพายุเริ่มควบแน่นกันบนท้องฟ้า ค่อยๆ รวมตัวกันรอบกายนาง


ภายใต้เกลียวพายุที่รวมตัวกัน จิ่วโยวดูเหมือนจะรู้สึกได้ว่าน้ำหนักตัวเองเริ่มเบาลง ความรู้สึกคล้ายกับการทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าประหนึ่งสายลมที่อยู่ทั่วทุกหนแห่ง


ระลอกคลื่นกระเพื่อมในหัวใจนาง แม้ว่าวิชาเรียกสายมนี้จะเป็นวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเล็กที่อยู่ในประเภทสนับสนุน ทว่าความลึกซึ้งนั้นน่าทึ่งมาก หากนางสามารถฝึกฝนได้สำเร็จก็อาจเทียบได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนเลยทีเดียว


แม้แต่คนอย่างจู้เยี่ยนซึ่งอยู่ภายใต้ระดับตี้จื้อจุนไม่มาก ก็ได้แต่กินฝุ่นใต้เท้านางเท่านั้นไม่สามารถแตะต้องนางได้


เมื่อนึกถึงภาพนี้หัวใจของจิ่วโยวก็โลดขึ้นด้วยความคาดหวัง


มู่เฉินและจิ่วโยวยุ่งกับธุระตนเอง


ส่วนหลินจิ้งที่ว่างไม่มีอะไรทำก็ดูน่าเบื่อ หลังจากวนเวียนรอบเกาะไม่เห็นสมบัติใดๆ นางก็กลับมาด้วยอารมณ์ตะบึงตะบอน


เมื่อนางกลับมาเห็นว่ามู่เฉินและจิ่วโยวเข้าสมาธิไม่สามารถรบกวนได้ ดังนั้นนางจึงรออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะออกจากเกาะไปอย่างเงียบๆ ด้วยนิสัยแสนซน นางตั้งใจจะเดินเล่นรอบๆ และดูว่าจะเจอโอกาสอื่นๆ อีกหรือไม่


หลินจิ้งเดินทางโดยไม่มีเป้าหมายพบกลุ่มคนเป็นครั้งคราว เมื่อพวกเขาเห็นสาวสวยอยู่คนเดียวก็อดเกิดความคิดไม่ดีในใจไม่ได้ แต่ในขณะที่ความคิดเหล่านั้นผุดขึ้นพวกเขาก็เห็นร่างที่ปกคลุมไปด้วยรัศมีเย็นเยียบติดตามอยู่ด้านหลังหลินจิ้งราวกับเงาตามตัว ไอเย็นที่เปล่งออกมาจากทำให้พวกเขารู้สึกหนาวสั่นไปถึงแกนกระดูก ความคิดทั้งหมดหยุดนิ่งถอยหนีจากนางจ้าละหวั่น


ภายใต้การคุ้มครองของตุ๊กตาน้ำแข็ง การเดินทางของหลินจิ้งก็ราบรื่น ไม่มีใครกล้าที่เคลื่อนไหวจัดการนาง ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้นางก็เก็บเกี่ยวดอกผลจากเกาะต่างๆ แต่เมื่อเทียบกับตอนอยู่กับพวกมู่เฉินก็น้อยกว่ามาก


นางไม่พอใจ สมบัติธรรมดาๆ ไม่อยู่ในสายตานาง ดังนั้นการเก็บเกี่ยวสมบัติในครั้งนี้ไม่ได้ทำให้นางตื่นเต้นอะไร


แต่โชคดีที่ระหว่างค้นหาสมบัติเธอได้รับข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับที่ตั้งตำหนักมังกร


ตำหนักมังกรเป็นหนึ่งในเก้าตำหนักที่มีข่าวลือว่าติดอันดับสูงและแข็งแกร่งกว่าตำหนักสายลมที่พวกนางพบมาก่อน


เมื่อได้รับข้อมูลดังกล่าว หลินจิ้งก็เปลี่ยนทิศทางโดยไม่ลังเลพุ่งตัวไปยังเกาะตำหนักมังกร


เมื่อหลินจิ้งมาถึงที่เกาะก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่ามีจอมยุทธ์จำนวนมากอยู่นอกเกาะและยังมีร่างแสงบินเข้ามาอยู่ตลอดเวลา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องได้รับข้อมูลและรีบมาที่นี่เช่นกัน


สถานที่แห่งนี้คึกคักมากกว่าเกาะสายลม


ทว่าหลินจิ้งก็ตระหนักได้ว่าแม้จะมีผู้คนมากมายอยู่รอบๆ แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไป ตรงกันข้ามพวกเขาส่วนใหญ่หยุดอออยู่ข้างนอกไม่กล้าเข้าไป


หลินจิ้งกวาดสายตามองก็พยักหน้าด้วยความเข้าใจ เนื่องจากนางพบว่าเกาะนี้ปกคลุมไปด้วยหมอกจางๆ หมอกไม่แข็งแกร่งเท่าไร แต่หลินจิ้งก็จำมันได้


“พิษลมปราณมังกรนี่เอง… มิน่าถึงไม่มีใครกล้าเข้าไป” หลินจิ้งอุทานแล้วเดาะลิ้น สิ่งที่เรียกว่า ‘พิษลมปราณมังกร’ เป็นพิษร้ายแรงของเผ่ามังกรซึ่งได้รับการขัดเกลาด้วยลมปราณมังกรจึงมีความครอบงำอย่างมาก แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นก็จะอยู่ในสภาพที่น่าสมเพชหากหายใจเข้ามากเกินไปและหากประมาทก็ทิ้งชีวิตไปได้


ทว่าหลินจิ้งไม่ได้เศร้าซึมอะไรกับเรื่องนี้ ตรงกันข้ามนางยิ้มบาง แม้พิษนี้จะสามารถขัดขวางผู้อื่นได้ แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะหยุดนางได้


เมื่อคิดได้นางก็โบกมือเก็บตุ๊กตาน้ำแข็ง จากนั้นน้ำเต้าหยกขาวงดงามก็ปรากฏขึ้นในมือนาง ประกายสีขาวพุ่งออกมาห่อหุ้มร่างนางไว้


เตรียมตัวเสร็จแล้วหลินจิ้งก็เดินเข้าไปในเกาะภายใต้สายตกตะลึงนับไม่ถ้วน


ขณะที่หลินจิ้งเข้าไปที่เกาะมังกร อีกมุมหนึ่งของเกาะร่างเงาหนึ่งก็ย่างกรายเข้าไปแบบสบายๆ ร่างนั้นสวมชุดสีรุ้งเผยให้เห็นรูปร่างน่าทึ่ง ทรวดทรงอ้อนแอ้นอรชรทำให้คนมองถึงกับคอแห้งผาก ผ้าคลุมปกปิดใบหน้างดงามเอาไว้


หญิงสาวคนนี้ปกคลุมไปด้วยความลึกลับน่าหลงใหล ทำให้ผู้คนรู้สึกมึนเมาเพียงแค่มองไป


เมื่อนางเข้าไปในเกาะมังกร งูสีรุ้งตัวเล็กๆ ก็เลื้อยออกมาบนไหล่นางดูดพิษเข้าไป พิษนี้ซึ่งแม้แต่เผ่ามังกรก็หลีกเลี่ยง กลับไม่มีผลกระทบใดๆ ต่องูน้อยตัวนี้…


ขณะที่งูน้อยดูดพิษอย่างเพลิดเพลิน ร่างสะคราญโฉมก็ค่อยๆ เดินเข้าในส่วนลึกของเกาะ


บทที่ 1133 การแข่งขันของสองสาว

ทั้งเกาะเต็มไปด้วยซากปรักหัก


พร้อมกับหมอกพิษกระจายไปทั่วฟ้าดิน โดยไม่มีวี่แววของพลังชีวิตสักนิด


ซ่า ซ่า


เสียงฝีเท้าดังก้องในความเงียบงัน ร่างเงาหนึ่งเดินเข้ามาอย่างมีชีวิตชีวา นางกระโดดขึ้นไปบนก้อนหินป้องมือไว้เหนือดวงตามองไปในระยะไกล แต่สภาพแวดล้อมที่เงียบงันทำให้นางต้องเบ้ปาก


“ไม่มีอะไรเลยหลังจากเดินมาตั้งไกล…” หลินจิ้งพึมพำขณะที่เกลียวแสงจางๆ ปกคลุมร่างปกป้องจากพิษ เกาะมังกรแห่งนี้มีขนาดใหญ่กว่าเกาะสายลมที่พวกนางเข้าไปอย่างชัดเจน มิหนำซ้ำหมอกพิษยังทำให้ประสาทสัมผัสดิ่งลงจนต้องค้นหาไปทีละก้าว


แต่เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้เก็บเกี่ยวอะไรระหว่างทาง


“ดูเหมือนว่าข้าต้องเปลี่ยนเป็นวิธีอื่นแล้ว…” หลินจิ้งถอนหายใจ แสงรวมตัวกันบนฝ่ามือนางก่อนที่แมลงขนาดเท่ากำปั้นทารกจะปรากฏขึ้น บนหัวแมลงนี้มีหนวดยาวกระดุกกระดิกตลอดเวลา


นี่คือแมลงล่าสมบัติอันล้ำค่าที่สามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายเช่นนี้ ในเวลาเดียวกันแม้แต่ขุมทรัพย์ใต้ดินก็หาออกมาได้ด้วย


ทว่าภายใต้สภาพแวดล้อมนี้ แม้แมลงล่าสมบัติจะสามารถค้นหาได้ แต่มันอาจได้รับบาดเจ็บจากหมอกพิษซึ่งเป็นสาเหตุที่หลินจิ้งไม่คิดใช้ก่อนหน้านี้ แต่เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบันหากนางไม่ทำเช่นนี้ก็จะต้องเสียเวลามากมายแน่นอน


“ไปเถอะ”


หลินจิ้งยกมือขึ้น แมลงล่าสมบัติกระพือปีก หมุนคว้างไปรอบๆ ก่อนที่จะบินไปทางขวา เมื่อหลินจิ้งเห็นปฏิกิริยานั่นก็ติดตามอย่างใกล้ชิด


แมลงล่าสมบัติบินไปประมาณสิบกว่านาทีก่อนที่จะพลิ้วลงบนซากปรักหักพังแห่งหนึ่ง หลินจิ้งอุ้มแมลงขึ้นอย่างระมัดระวัง ทว่าร่างกายของมันค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีดำเนื่องจากหมอกพิษ


“ขอบใจนะ”


หลินจิ้งลูบไล้เนื้อตัวแมลงเบาๆ ก่อนที่จะดึงขวดหยกที่เต็มไปด้วยของเหลวและวางแมลงไว้ข้างใน ของเหลวมีผลในการชำระล้าง ดังนั้นจึงสามารถละลายหมอกพิษที่อยู่ภายในร่างแมลงล่าสมบัติได้


เมื่อจัดการเรียบร้อยหลินจิ้งก็เงยหน้าขึ้นมองไปในระยะไกลด้วยความยินดีในดวงตา


นี่เป็นซากปรักหักพังเมื่อพิจารณาจากร่องรอยจะต้องเป็นตำหนักขนาดใหญ่ ทว่าตอนนี้ได้พังทลายไปหมดแล้ว


หลินจิ้งกวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนที่จะพุ่งความสนใจไปที่ศูนย์กลาง มีบัลลังก์กระดูกขาวตั้งตระหง่านพร้อมกับพลังอำนาจที่สถิตบนบัลลังก์ เห็นได้ชัดว่าบัลลังก์นี้ต้องเป็นของจอมยุทธ์ทรงพลังในสมัยโบราณ


หลินจิ้งเหลือบมองไปที่บัลลังก์ ก่อนที่จะขยับสายตาไปที่ด้านบนนางเห็นไข่มุกสุกใสขนาดเท่าหัว


พื้นผิวของไข่มุกเรียบเนียนเปล่งประกายอย่างอ่อนโยน ดูเหมือนจะมีมังกรสีขาวขดอยู่ภายใน นอกจากนี้ยังมีความผันผวนของคลื่นหลิงไร้ขอบเขตถูกปล่อยออกมาจากมัน


“นี่มัน…ไข่มุกจิตตะมังกร?” หลินจิ้งมองไข่มุกที่มีมังกรขาวอยู่ภายใน ดวงตาก็อดเปล่งประกายไม่ได้ ว่ากันว่าคนของเผ่ามังกรสามารถผนึกคลื่นหลิงของพวกเขาให้กลายเป็นไข่มุกจิตตะมังกรเมื่อละสังขาร ซึ่งจะมีคลื่นหลิงบริสุทธิ์หรือแม้แต่สายเลือด หากได้รับสิ่งนี้และปรับแต่งก็จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการฝึกฝน


ตามการคาดการณ์ของนาง ไข่มุกจิตตะมังกรนี้น่าจะถูกทิ้งไว้โดยผู้บัญชาการตำหนักมังกรซึ่งน่าจะมีขุมพลังเกือบจะบรรลุตี้จื้อจุนขั้นปลายเมื่อตอนยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นมูลค่าของไข่มุกนี้จึงไม่น้อยไปกว่าพัดเทพสายลมที่มู่เฉินได้รับ


“ในที่สุดก็เจอของดี!” หลินจิ้งยิ้มกว้าง นางเดินโต๋เต๋มานานในที่สุดก็พบสมบัติชิ้นเยี่ยม


นางไม่มีความลังเลสักนิดสะบัดนิ้วออกไป แสงหลิงพุ่งออกมาตั้งใจที่จะคว้าไข่มุกจิตตะมังกรไว้


วาบ!


แต่เมื่อหลินจิ้งเตรียมคว้าไข่มุก คลื่นหลิงสีรุ้งก็พุ่งลงมาจากฟ้า ทำให้พลังงานของนางแตกออกเป็นเสี่ยงๆ


“ใคร?” หลินจิ้งอึ้งไปเมื่อถูกโจมตีอย่างกะทันหัน อึดใจก็เค้นเสียงเย็น


เสียงตะโกนเยือกเย็นถูกตอบกลับด้วยความเงียบซึ่งไร้การเคลื่อนไหวใดๆ ราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เป็นเพียงภาพหลอน


“คิดว่าซ่อนแล้วข้าจะหาไม่เจอเรอะ?”


หลินจิ้งเค้นเสียงเย็นชาก่อนจะวาดตราประทับแล้วกดลงไปในอากาศที่เบื้องหน้า ทันใดนั้นเกลียวแสงหยกก็กระจายออกมาด้วยความเร็วที่น่าทึ่งใต้ฝ่ามือนาง


แม้แต่หมอกพิษยังกระเพื่อมออกไปเมื่อเกลียวแสงหยกกวาดออกมา ซึ่งราวกับสามารถเปิดเผยสิ่งที่ซ่อนอยู่ แม้แต่เงาก็ถูกกวาดทิ้ง


เกลียวแสงหยกกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นหลินจิ้งก็สามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนของมิติเบาบางบนหินก่อนที่จะเผยให้เห็นภาพเงาภายใต้แสงหยก


หลินจิ้งตะลึงเมื่อเห็นภาพเงานั่น เป็นเพราะนี่คือร่างสะคราญโฉมยืนอยู่เบื้องหน้านาง…


“เจ้าคือใคร?” หลินจิ้งมองไปที่ร่างเงาน่าหลงใหลขณะตั้งคำถาม


“ทำไม? มาหาสมบัติที่นี่ยังต้องแจ้งตัวตนเหรอ?” หญิงสาวชุดสีรุ้งยิ้มอย่างเกียจคร้าน แม้ว่านางจะสวมผ้าคลุมหน้า แต่ก็สามารถจินตนาการถึงรูปลักษณ์งดงามภายใต้ผ้าคลุมนั้นได้


ใบหน้าของหลินจิ้งยังคงเรียบเฉยขณะพูดว่า “ข้าพบไข่มุกจิตตะมังกรนี้ก่อน”


“กฎเปลี่ยนมาเป็นเจอก่อนได้ก่อนตั้งแต่เมื่อไร?” หญิงสาวชุดสีรุ้งพูดด้วยน้ำเสียงล้อเลียน ชัดว่านางรู้สึกตลกในคำพูดของหลินจิ้ง


หลินจิ้งยักไหล่ แม้ว่านางจะสวยเหมือนกันแต่อากัปกิริยาก็แตกต่างจากหญิงสาวชุดสีรุ้งคนนี้ ดังนั้นการเคลื่อนไหวนั่นจึงดูทรงเสน่ห์เช่นกัน “ดูเหมือนไม่มีอะไรจะคุยระหว่างเรา…”


เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวชุดสีรุ้งก็ให้ความสนใจไข่มุกจิตตะมังกรเช่นกัน ซึ่งนางเองก็ไม่มีทางปล่อยไปได้ง่ายๆ ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีอะไรต้องพูดอีก


วาบ!


ทันใดนั้นไอเยือกเย็นก็ปรากฏขึ้น ร่างเงาลึกลับเผยที่เบื้องหน้าหญิงสาวชุดสีรุ้ง เสือกแทงกระบี่ยาวในมือออกไป


ไอเย็นยะเยือกที่สามารถตรึงอากาศพุ่งเข้ามา แต่หญิงสาวชุดสีรุ้งก็ไม่ขยับ เมื่อกระบี่ยาวพร้อมไอเย็นเยือกอยู่ห่างจากนางเพียงหนึ่งจั้ง หางสีรุ้งก็พุ่งออกมากระแทกเข้ากับกระบี่ ทันใดนั้นกระบี่ยาวที่สร้างจากไอเย็นก็แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย


ตุ๊กตาน้ำแข็งก็ได้รับผลกระทบหนักหน่วง กระเด็นออกไปทิ้งรอยยาวไว้ที่พื้นก่อนที่จะทรงตัวได้


เมื่อหลินจิ้งเห็นภาพนี้ดวงตาก็หดลงพร้อมกับความเคร่งเครียดวูบไหวเป็นครั้งแรกขณะมองไปที่หญิงสาวชุดสีรุ้ง งูเจ็ดสีพาดอยู่บนไหล่อีกฝ่าย เจ้างูขดตัวตวัดลิ้นแผล่บๆ ปากนั่นมืดราวกับหลุมดำ ประหนึ่งว่าสามารถกลืนกินสวรรค์และโลกได้


งูตัวนั้นไม่ธรรมดา!


หลินจิ้งสามารถบอกได้ว่างูเจ็ดสีเหมือนจะทรงพลังมากจนอาจจะแข็งแกร่งกว่าตุ๊กตาน้ำแข็งเสียอีก


สิ่งนี้ทำให้หลินจิ้งพึมพำกับตัวเองขณะที่ครุ่นคิดถึงที่มาของหญิงสาวตรงหน้า วิธีการและรากฐานอีกฝ่ายไม่อ่อนแอกว่าซูซิงหยิงเลย แต่ไม่เคยได้ยินว่ามีคนแบบนี้ในทวีปเทียนหลัวจากมู่เฉิน


แม้ว่านางจะตกใจกับความแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้าม แต่หลินจิ้งคือใคร? นางคือองค์หญิงน้อยแห่งแคว้นหวู ถ้านางไม่สามารถคว้าไข่มุกจิตตะมังกรที่ตนสนใจมาได้ก็เสียหน้าเกินไปแล้ว


ดังนั้นหลินจิ้งจึงรีบดึงความประหลาดใจกลับ ยื่นมือปลดสร้อยข้อมือหยกออก


ตู้ม!


เมื่อถอดข้อมือหยกออก การยับยั้งคลื่นหลิงในร่างกายหลินจิ้งก็ถูกลบออกไป พายุทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกับแรงกดดันคลื่นทรงพลังกวาดไปทั่วฟ้าดิน ในขณะนี้แม้แต่หมอกพิษก็ถูกผลักกลับ


“ระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็ม…”


เมื่อสัมผัสได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลัง ดวงตาของหญิงสาวชุดสีรุ้งก็เป็นประกายขณะที่ประหลาดใจกับหญิงสาวคนนี้


ดูเหมือนว่าการคว้าไข่มุกจิตตะมังกรจะไม่ง่ายอย่างที่คิด


เมื่อสัมผัสเรื่องนี้ได้หญิงสาวชุดสีรุ้งก็ไม่ได้ปกปิดความแข็งแกร่งของตัวเองอีกต่อไป ฝ่าเท้าเยื้องย่างออกมา มิติรอบตัวนางแปรปรวน ความผันผวนของคลื่นพลังน่าทึ่งที่ไม่อ่อนแอไปกว่าหลินจิ้งพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า


ระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มอีกคน!


ถ้าคนภายนอกได้เห็นฉากนี้ลูกตาของพวกเขาคงจะถลนออกมาอย่างแน่นอน โดยทั่วไปแล้วจอมยุทธ์ที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มจะได้รับการพิจารณาให้เป็นหนึ่งในสี่อันดับของทำเนียบจอมยุท์รุ่นใหม่แห่งทวีปเทียนหลัว ทว่าทั้งสองสาวไม่ได้อยู่ในสี่อันดับแรก…


หลินจิ้งมองไปที่หญิงสาวชุดสีรุ้งก็เม้มริมฝีปาก ก่อนแถบหยกจะปรากฏขึ้นในมือและถูกบดขยี้


บดขยี้แถบหยกแล้ว หลินจิ้งก็ไม่ลังเล ฝ่าเท้ากระทืบลงไปส่งแรงทะยานไปหาหญิงสาวชุดสีรุ้งพร้อมกับคลื่นหลิงไร้ขอบเขตแผ่ซ่าน


จังหวะที่หลินจิ้งขยี้แถบหยก


มู่เฉินก็ลืมตาโพลงโดยมีแถบหยกปรากฏขึ้นในมือพร้อมกับเสียงของหลินจิ้งกระจายออกมา


“มู่เฉิน ข้าเจอตัวปัญหาใหญ่ รีบมาช่วยข้าจัดการนางหน่อย!”


บทที่ 1134 โอกาสของจิ่วโยว

“ตัวปัญหาใหญ่?”


เมื่อมู่เฉินได้ยินใบหน้าก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ไพ่ตายของหลินจิ้งบวกกับตุ๊กตาน้ำแข็ง นางสามารถสู้กับคนอย่างจู้เยี่ยนได้ด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้จู้เยี่ยนยังติดอยู่ในค่ายกลของตำหนักสายลมจากฝีมือพวกเขา แล้วใครกันที่ทำให้หลินจิ้งรู้สึกเป็นปัญหา?


หรือว่าจะเป็นจาโหลหลัว?


สายตาของมู่เฉินหดเกร็ง แม้ว่าจาโหลหลัวจะอยู่อันดับสาม แต่มู่เฉินไม่เชื่อว่าคนอย่างนั้นจะอ่อนแอกว่าจู้เยี่ยนและซูชิงหยิง…


ท่าทางเขาต้องรีบไปดูแล้ว


มู่เฉินมองไปข้างหน้าก็เห็นเปลวไฟที่ลุกโชนพัดเทพสายลมกำลังครางกระหึ่มที่ภายใน แก่นเลือดกลั่นของเขาทิ้งรอยประทับไว้ในลมเหลืองสุดขั้วจนกลายเป็นสีแดงเข้มเรียบร้อยแล้ว


เมื่อรอยประทับถูกสร้างขึ้น มู่เฉินก็สามารถสัมผัสได้ทันทีถึงการเชื่อมต่อที่น่าอัศจรรย์กับพัดเทพสายลม ตอนนี้ต่อให้มีคนอื่นมาเอาไปจากเขา แต่แค่ความคิดเดียวของเขาพัดก็จะเริ่มการตอบโต้ สถานการณ์เช่นคนที่ใช้พัดเพื่อจัดการกับเขาจะไม่มีอีกแล้วแน่


มู่เฉินยื่นมือออก เปลวไฟคลื่นหลิงก็หายไป พัดเทพสายลมพลิ้วลงมาในมือ มันให้ความเย็นลื่นเมื่อสัมผัส ทำให้เขาเผยรอยยิ้มพึงพอใจ


หลังจากชำระพัดเทพสายลมสำเร็จ เขาก็สามารถสัมผัสได้อย่างคลุมเครือถึงพลังที่มีอยู่ภายใน แต่ถ้าเขาต้องการใช้เต็มรูปแบบก็ยังต้องดึงคลื่นหลิงจำนวนมหาศาล ซึ่งด้วยขุมพลังของเขาตอนนี้ยังไม่สามารถใช้ได้


ทว่าต่อให้เขายังไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้เต็มรูปแบบ แต่อาวุธมหสวรรค์ก็ยังคงเป็นของล้ำค่า ด้วยเหตุนี้ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของมู่เฉินจะทะยานขึ้นแน่นอน ถ้าเขาพบกับจู้เยี่ยนอีกครั้งแม้ว่าจะไม่มีค่ายกล มู่เฉินก็เผชิญหน้าได้ด้วยความช่วยเหลือจากพัดเทพสายลมนี้


มู่เฉินถือพัดในมือดูราวกับบัณฑิตสง่างาม เขาทำท่าพัดไปมาอย่างโอ้อวดก่อนจะเก็บไว้ จากนั้นร่างเงาก็วาบขึ้นไปปรากฏอีกมุมหนึ่งของเจดีย์ จิ่วโยวยังคงยืนอยู่บนท้องฟ้ามีพายุรุนแรงรวมตัวอยู่รอบกายนาง


มู่เฉินจ้องนางด้วยความประหลาดใจในดวงตา นั่นเป็นเพราะเขารู้สึกได้ว่าแม้จะสามารถพุ่งเป้าไปที่จิ่วโยว แต่ไม่รู้ทำไมเขากลับรู้สึกว่าถ้าเขาโจมตีนางในตอนนี้ จะไม่สามารถโดนตัวนางได้อย่างแน่นอน


นางราวกับสายลมที่ไม่สามารถคาดเดาได้


เมื่อมู่เฉินมองมา จิ่วโยวก็ลืมตาขึ้น ก้มมองมู่เฉินพร้อมรอยยิ้มคลี่บนใบหน้าเย็นชา


ทว่าเมื่อจิ่วโยวคลี่ยิ้มให้ มู่เฉินก็ต้องหดดวงตา ทันใดนั้นก็หันขวับไปเห็นร่างเงางดงามมาอยู่ที่ข้างหลังแล้ว


“ตอบสนองรวดเร็วจริง” จิ่วโยวมองไปที่มู่เฉินและยิ้ม


มู่เฉินตกใจไปเล็กน้อยขณะมองจิ่วโยว “ความเร็วของเจ้า…”


ความเร็วของจิ่วโยวเกินการรับรู้ของเขาจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาคุ้นเคยกับรัศมีนาง เขาคงไม่สามารถตรวจจับได้


ความเร็วนั้นน่ากลัวอย่างแท้จริง


“กระบวนท่าเรียกสายลมไม่ธรรมดาเลย” สีหน้ามู่เฉินเคร่งเครียดลง แม้ว่าเมื่อก่อนจิ่วโยวจะเร็วมากอยู่แล้ว แต่ความเร็วของนางก็ใกล้เคียงกับมู่เฉินแบบสูสี ทว่าความเร็วในปัจจุบันของนางเตะเขาโด่งออกไปเลย ดังนั้นกระบวนท่าเรียกสายลมนี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเล็กธรรมดาไม่มีทางสุดยอดขนาดนี้


“กระบวนท่าเรียกสายลมไม่ธรรมดาจริงๆ…ถ้าพูดให้ถูก กระบวนท่าเรียกสายลมสมบูรณ์ที่ไม่ธรรมดา” จิ่วโยวพยักหน้าเห็นด้วย


“สมบูรณ์?” มู่เฉินอึ้งไป


“กระบวนท่าเรียกสายลมสมบูรณ์ถูกเรียกว่าคัมภีร์เรียกสายลม… อย่าคิดว่าเป็นเพียงคำเพิ่มเติมนะ ว่ากันว่าคัมภีร์เรียกสายลมเป็นหนึ่งในสามสิบหกกระบวนท่าของวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนาน…” ความตื่นเต้นที่ไม่อาจปิดบังได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าจิ่วโยว นางรู้เกี่ยวกับข้อมูลนี้หลังจากที่ได้ฝึกฝนกระบวนท่านี้แล้ว ผลกระทบของข้อมูลรุนแรงสำหรับนางมาก เพราะวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่ามีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วมหาพันภพเลยทีเดียว


จิ่วโยวไม่เคยคิดฝันว่าวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเล็กที่ได้รับมานั้นจะเป็นส่วนต้นของวิทยายุทธในตำนาน


“คัมภีร์เรียกสายลม… หนึ่งในวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่า?”


มู่เฉินสูดลมหายใจเย็นลุกสุดปอด ชัดว่าตกตะลึงไม่น้อยเลยทีเดียว นอกจากนี้เขายังไม่คิดว่าวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเล็กจากตำหนักสายลมจะมีต้นกำเนิดที่น่ากลัวเช่นนี้


นั่นเป็นหนึ่งในวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่า ซึ่งแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนยังถูกล่อลวง แม้ว่านี่จะไม่ใช่คัมภีร์สมบูรณ์ แต่หากในอนาคตจิ่วโยวมีโอกาสทำให้สมบูรณ์ มูลค่าก็เหลือคณานับ


“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมความเร็วของเจ้าถึงน่ากลัวมากหลังจากฝึกฝน…” ถึงตอนนี้มู่เฉินก็เข้าใจจนอดถอนหายใจไม่ได้ โอกาสของจิ่วโยวน่าตกใจอย่างแท้จริง ใครจะรู้ว่าวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเล็กจะมีต้นกำเนิดมาจากคัมภีร์เรียกสายลม?


ตามการคาดการณ์ของเขา ถ้าจิ่วโยวหมุนเวียนกระบวนท่านี้อย่างเต็มกำลัง ตราบใดที่นางไม่ได้ปะทะกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนตัวจริง นางก็สามารถไปมาได้ตามสบาย


“แม้ว่าความแข็งแกร่งของผู้บัญชาการตำหนักสายลมจะไม่ได้อยู่ลำดับหน้าๆ แต่ข้าเชื่อว่าความเร็วของเขาเป็นอันดับหนึ่ง” จิ่วโยวยิ้ม เห็นได้ชัดว่านางไม่สามารถปกปิดความตื่นเต้นได้หลังจากได้รับสมบัตินี้


มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อเจ้าฝึกฝนกระบวนท่าเรียกสายลมนี้ได้แล้ว พวกเราก็รีบไปกันเถอะ หลินจิ้งกำลังเจอปัญหา…”


ขณะเดียวกันเขาก็เล่าถึงสิ่งที่ได้มาจากหลินจิ้งให้จิ่วโยวฟัง


“คนที่กระทั่งหลินจิ้งยังจัดการไม่ได้เหรอ” เมื่อได้ยินจิ่วโยวก็หดดวงตาพูดต่อ “งั้นก็รีบไปกันเถอะ”


การจะทำให้หลินจิ้งรู้สึกลำบากแน่นอนว่าต้องไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา ดังนั้นพวกนางต้องรีบเร่งแล้วมิฉะนั้นหลินจิ้งจะเสียเปรียบเอา


มู่เฉินผงกศีรษะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าก่อนจะพุ่งไปในระยะไกล


ขณะที่มู่เฉินกลายเป็นร่างแสง จิ่วโยวก็ยืนเอามือไพล่หลังมีพายุปรากฏอยู่ใต้เท้า นางเดินไปบนสายลมมาปรากฏตัวด้านหลังมู่เฉินอย่างง่ายดาย นอกจากนี้ไม่ว่ามู่เฉินจะเพิ่มความเร็วมากแค่ไหนก็ไม่สามารถสลัดนางออกไปได้


ทั้งสองเดินทางด้วยความเร็วสูงสุด ดงเกาะวูบผ่านสายตาไป ในเวลาเพียงสิบกว่านาทีพวกเขาก็ค่อยๆ เข้าใกล้เกาะมังกรที่หลินจิ้งส่งข้อความมาบอก


ยังมีผู้คนอออยู่นอกเกาะมังกรมากมาย แต่พวกเขาก็จนหนทางเบื้องหน้าพิษลมปราณมังกรไม่มีใครกล้าแหย่เท้าเข้าไป แต่ขณะเดียวกันพวกเขาก็ยังไม่อยากยอมแพ้จึงทำได้แค่รออยู่เฉยๆ


“พิษลมปราณมังกร?”


มู่เฉินจำหมอกพิษได้เพียงเห็นแวบเดียว แต่ก็ไม่ประหลาดใจอะไร หลังจากเงียบลงชั่วครู่เขาก็ทะยานเข้าไปพร้อมกับจิ่วโยว


เมื่อพวกเขาเคลื่อนตัวเข้าไปในเกาะ เพลิงโปร่งใสก็พวยพุ่งออกมาจากร่างทั้งสองนี่ก็คือเพลิงอมตะ แต่ในแง่ของคุณภาพมู่เฉินด้อยกว่าเล็กน้อย ดังนั้นเพลิงของจิ่วโยวจึงเข้าขั้นบริสุทธิ์กว่า


ทว่ามู่เฉินต้องการเพียงแค่ปิดกั้นหมอกพิษตราบใดที่ใช้งานได้ดีก็ไม่มีปัญหา


ทั้งสองเข้าไปในส่วนลึกของเกาะ หลังจากนั้นไม่นานก็สัมผัสได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงรุนแรงที่มาจากส่วนลึกซึ่งน่าจะเป็นจุดที่หลินจิ้งอยู่ แต่ตัดสินจากการเคลื่อนไหวดูเหมือนการต่อสู้จะรุนแรงมาก


มู่เฉินและจิ่วโยวพุ่งเข้าไปในจุดที่มีความผันผวนอย่างรวดเร็ว เมื่อเข้าใกล้รอบตัวทั้งสองก็พลุ่งพล่านด้วยคลื่นหลิง ชัดว่าเตรียมลงมือทุกเมื่อ


วาบ!


ทั้งสองคนพุ่งเข้าไปหมอกพิษก็เบาบางลงเนื่องจากการต่อสู้ที่รุนแรงเกิดขึ้น


มู่เฉินกวาดมองก็เห็นการเผชิญหน้าที่รุนแรง ขณะนี้หญิงสาวทั้งสองถูกห่อหุ้มด้วยคลื่นหลิงทรงพลังพร้อมด้วยเสาหลิงขนาดหมื่นจั้งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า


วาบ!


มู่เฉินกำหมัดแน่นหอกสงครามมังกรแดงปรากฏขึ้น ก่อนที่เขาจะเทพลังงานไร้ขอบเขตเข้าไปภายใน แขนของเขาสั่นสะท้าน หอกก็พุ่งออกไปราวกับมังกรที่ตวัดกรงเล็บด้วยความรุนแรง


หอกแทรกผ่านระหว่างหญิงสาวสองคน คลื่นหลิงที่ระเบิดออกก็แยกทั้งสองออกจากกัน


ทั้งสองแยกจากกัน แต่ใบหน้าของหลินจิ้งก็เปล่งประกายด้วยความสุขเมื่อเห็นหอกนี้ นางแผดเสียงร้องทันที “จับนางไว้เร็ว! อย่าปล่อยให้หนีไปได้!”


มู่เฉินปรากฏตัวข้างๆ หลินจิ้งเมื่อเห็นว่านางไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ก็รู้สึกโล่งใจก่อนจะมองไปที่ภาพเงาที่อยู่ไม่ไกล เขาต้องการดูว่าใครกันที่สามารถบังคับให้หลินจิ้งอยู่ในสภาพนี้ได้…


มู่เฉินมองไปก็เห็นหญิงสาวชุดสีรุ้งยืนอยู่บนก้อนหินด้วยท่าทางงดงามชวนหลงใหลซึ่งทำให้เขาอึ้งไปเล็กน้อย เขาเลื่อนสายตาขึ้นไป ผ้าคลุมที่ปิดใบหน้าถูกฉีกขาดเป็นริ้วจนไม่สามารถซ่อนรูปลักษณ์ได้ ดังนั้นมู่เฉินจึงสามารถมองเห็นใบหน้าของนางได้ชัดเจน


อืม? ช่างงดงามจริง…นี่เป็นความคิดแรกที่ผุดขึ้นในใจของมู่เฉิน


ทำไมนางดูคุ้นจัง? นี่เป็นความคิดที่สองในใจ


มู่เฉินตะลึงงันจ้องมองร่างสะคราญโฉม ทันใดนั้นสมองของเขาราวกับหยุดทำงานไป ทว่าไม่นานก็ฟื้นสติขึ้นมาในช่วงสั้นๆ จากนั้นก็เบิกตากว้างเท่าไข่ห่าน


บทที่ 1135 พบเซียวเซียวอีกครั้ง

หญิงสาวชุดสีรุ้งสดใสยืนอยู่บนก้อนหิน


ผมยาวหยักศกพลิ้วไปตามสายลมทำให้ชวนหลงใหล ยิ่งบวกกับรูปร่างหน้าตาก็ยิ่งทรงเสน่ห์มากขึ้น งูตัวน้อยเจ็ดสีพาดอยู่บนหัวไหล่บาง ส่งเสริมให้นางดูมีความงามไปอีกรูปแบบหนึ่ง


ทว่าเมื่อมู่เฉินมองไปที่ร่างสะคราญโฉมนี้ ดวงตาก็เบิกตากว้างขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นสีหน้าของเขาก็ค่อยๆดูประหลาดขึ้นมา


นั่นเพราะร่างคุ้นเคยที่เบื้องหน้าก็คือไฉ่เซียวซึ่งมู่เฉินเคยพบนางที่เขตหลงเฟิ่ง หรือที่จริงควรจะเรียกนางว่า ‘เซียวเซียว’


นางคือธิดาของเทพจักรพรรดิอัคคีที่มีภูมิหลังน่าสะพรึงเช่นเดียวกับหลินจิ้ง


มู่เฉินไม่คิดว่าตัวปัญหาใหญ่ที่หลินจิ้งพบจะเป็นนาง!


นี่เป็นเรื่องน้ำท่วมวังราชามังกรซะแล้ว!


มู่เฉินตกตะลึงมองไปที่เซียวเซียว หญิงสาวก็เห็นเขาได้ชัดในเวลานี้จึงผงะไปก่อนที่จะคลี่ยิ้มสดใสบนใบหน้า


“เฮ้ มู่เฉิน เจ้าทำอะไรอยู่น่ะ?” เมื่อหลินจิ้งเห็นว่ามู่เฉินไม่ขยับเขยื้อน นางก็พูดออกมาด้วยความสงสัย


เซียวเซียวลูบไล้งูน้อยบนไหล่และหยอกล้อ “ฮิๆ ไม่ได้เจอกันมาปีกว่า เจ้าเริ่มงานเป็นนักรบรับจ้างตั้งแต่เมื่อไรกัน?”


เมื่อได้ยินคำพูดของนาง หลินจิ้งและจิ่วโยวก็อึ้งไปก่อนที่ทั้งคู่จะมองไปที่มู่เฉิน “เจ้ารู้จักนางเหรอ?”


มู่เฉินยิ้มขมฝาด “นางเป็นสหายของข้า พวกเราไปที่เขตหลงเฟิ่งด้วยกัน”


เมื่อหลินจิ้งได้ยินคำพูดของเขาก็เบิกตากว้างอย่างช่วยไม่ได้ แม้ว่านางจะไม่ได้พูดแต่ก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ เพราะสถานการณ์นี้น่าอึดอัดเหลือเกิน นางไม่รู้จะพูดอะไรดี


นางจึงเลือกดึงคลื่นหลิงไร้ขอบเขตรอบตัวกลับมา ในเมื่อหญิงสาวคนนี้เป็นเพื่อนของมู่เฉินก็ไม่จำเป็นต้องต่อสู้ด้วย หลินจิ้งมีชาติกำเนิดที่ไม่ธรรมดา แม้ว่าจะเป็นสตรีแต่ก็ใจกว้างเช่นกัน ดังนั้นนางจึงไม่รู้สึกไม่พอใจกับเซียวเซียวเพราะการต่อสู้เมื่อสักครู่


ตุ๊กตาน้ำแข็งที่ซ่อนตัวหาโอกาสโจมตีก็ปรากฏตัวทะยานกลับไปที่ด้านหลังหลินจิ้ง


ขณะที่หลินจิ้งดึงคลื่นหลิงกลับ ไม่คิดสู้ต่อ เซียวเซียวก็กระทำเช่นกัน นางตบงูน้อเบาๆ มันก็หดตัวกลับไปตามไหล่


มู่เฉินรู้สึกโล่งใจในภาพนี้ พวกนางสองคนเป็นเพื่อนของเขา หากพวกนางสู้กันจะเป็นเรื่องปวดหัวสำหรับเขาอย่างแน่นอน


เซียวเซียวเยื้องย่างเข้ามาขณะที่มู่เฉินยิ้มให้ก่อนจะแนะนำให้รู้จักกับจิ่วโยว “นี่จิ่วโยวที่อยู่กับข้าในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ นางเป็นสหายเก่าแก่”


จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่หลินจิ้ง “ส่วนนี่คือหลินจิ้ง… ท่านเทพจักรพรรดิสงครามเป็นบิดาของนาง”


พอพูดจบเขาก็หันไปบอกจิ่วโยวและหลินจิ้งว่า “นี่คือเซียวเซียว… ท่านจักรพรรดิอัคคีเป็นบิดาของนาง”


เมื่อมู่เฉินพูดจบ หญิงสาวทั้งสามก็ตกใจพลางมองหน้ากันและกันอย่างตะลึงพรึงเพริด เทพจักรพรรดิสงครามและเทพจักรพรรดิอัคคีเป็นยอดยุทธ์ที่สามารถสั่นสะเทือนทั้งจักรวาลด้วยการกระทืบเท้า ทว่ายอดยุทธ์ทั้งสองอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ได้พบปะกัน ดังนั้นใครจะคิดว่าบุตรสาวของพวกเขาจะได้พบกันด้วยวิธีนี้


“เจ้าเป็นธิดาของเทพจักรพรรดิสงครามนี่เอง… กระทั่งบิดาข้ายังนับถือเขาด้วยความเคารพอย่างสูง นี่เป็นโชคชะตาแท้จริงที่ข้าได้พบกับองค์หญิงน้อยแห่งแคว้นหวูวันนี้” ใบหน้าของเซียวเซียวอึ้งไปเล็กน้อย เพราะชื่อเสียงของเทพจักรพรรดิสงครามไม่ได้อ่อนแอไปกว่าบิดาของนางและนางก็รู้ว่าเทพจักรพรรดิสงครามเป็นหนึ่งในยอดยุทธ์แห่งมหาพันภพที่แม้แต่บิดานางยังให้ความสำคัญมาก


ดวงตาของหลินจิ้งเปล่งประกายขณะที่พูดด้วยความตื่นเต้น “ท่านเทพจักรพรรดิอัคคีเป็นบิดาของพี่สาวเหรอ ข้าเคยได้ยินท่านพ่อพูดถึงบิดาพี่หลายครั้ง เขาเป็นวีรบุรุษในใจข้า ถ้าข้ารู้จักตัวตนของพี่สาวก่อนหน้า ข้าต้องยกไข่มุกจิตตะมังกรให้แน่นอน”


หลินจิ้งรักและภูมิใจในตัวบิดามากตั้งแต่รู้ความ ดังนั้นนางจึงให้ความเคารพเทพจักรพรรดิอัคคีที่ยืนอยู่บนจุดเดียวกับบิดาของนางด้วย เมื่อรู้ถึงตัวตนอีกฝ่ายความตื่นเต้นที่ฉายบนใบหน้าของนางก็ไม่ใช่ของปลอม


เซียวเซียวยิ้มบาง นางรู้สึกโชคดีอยู่ในใจที่มู่เฉินมาทันเวลา มิฉะนั้นหากเกิดอะไรขึ้นและพวกนางกางไพ่ตายออกมา ทั้งสองฝ่ายจะได้รับบาดเจ็บอย่างแน่นอน


ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ไม่คุ้มที่จะเป็นศัตรูกับอีกฝ่ายเพียงเพื่อไข่มุกจิตตะมังกร


มู่เฉินมองหญิงสาวสองคนที่เข้ากันได้ดีก็รู้สึกโล่งใจมาก ทั้งคู่มีชาติกำเนิดไม่ธรรมดา ต่อให้พวกนางจะมีนิสัยแตกต่างกันไป แต่ก็มีความภาคภูมิใจในตนเองอย่างยิ่ง ดังนั้นมู่เฉินจึงกังวลว่าพวกนางจะมีอารมณ์ไม่พอใจ หากเป็นเช่นนั้นเขาที่อยู่ตรงกลางคงอิหลักอิเหลื่อน่าดู


แต่โชคดีที่ทั้งสองคนมีมารยาทและไม่ใช่ผู้หญิงหน่อมแน้มพวกนั้น


“ทำไมเจ้าถึงมาที่วังสวรรค์บรรพกาล” มู่เฉินมองไปที่เซียวเซียวถามด้วยความประหลาดใจ


“วังนี้ก่อตั้งโดยจักรพรรดิฟ้า ช่วงนี้ข้าออกจากการสมาธิฝึกฝนพอดีก็เลยมาดูซะหน่อย ตอนแรกข้าคิดจะไปภูมิภาคทางเหนือเพื่อหาเจ้า แต่ข้าเชื่อว่างานนี้เจ้าไม่น่าพลาด จึงรีบเดินทางมาที่นี่แทนน่ะ”


เซียวเซียวยิ้ม จากนั้นก็มองไปที่มู่เฉินเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “พลังของเจ้าเพิ่มขึ้นเร็วจริงๆ”


ตอนที่พวกนางอยู่ในเขตหลงเฟิ่ง มู่เฉินอยู่ในขุมพลังจื้อจุนขั้นสามเท่านั้น เวลาผ่านไปไม่ถึงสองปีเขาก็ก้าวเข้าขั้นเก้าเรียบร้อยแล้ว ความเร็วในการฝึกฝนดังกล่าวทำให้เซียวเซียวตกใจเล็กน้อยในใจ


“ไม่เร็วเท่าเจ้าหรอก” มู่เฉินยักไหล่ เมื่อเขามาถึงที่นี่เซียวเซียวก็ไม่ได้ซ่อนความแข็งแกร่งไว้ การเพาะบ่มพลังของนางไม่ได้อ่อนแอไปกว่าจู้เยี่ยนซึ่งอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็ม มิหนำซ้ำนางยังอยู่ในอันดับต้นๆ ของระดับนี้เลยทีเดียว


“นี่คือไข่มุกจิตตะมังกรเหรอ?” มู่เฉินมองไปที่ไข่มุกเหนือบัลลังก์ นี่คงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมหลินจิ้งกับเซียวเซียวจึงต่อสู้กัน


หลินจิ้งและเซียวเซียวสบตากันก่อนที่จะพยักหน้าด้วยความรู้สึกผิด


“แล้วพวกเจ้าจะแบ่งกันยังไง?” มู่เฉินถามเนื่องจากมีไข่มุกมีเพียงชิ้นเดียว มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะได้ครอบครอง ทว่าเห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดจะเป็นคนตัดสินใจให้


เมื่อหลินจิ้งได้ยินคำพูดเขา นางก็ยิ้มพูดขึ้นก่อน “ให้พี่เซียวไปเถอะ นางยังไม่ได้รับป้ายยินยอมและนี่ก็ไม่ได้จำเป็นสำหรับข้าด้วย”


แม้ว่าไข่มุกจิตตะมังกรจะล้ำค่า แต่ด้วยสถานะของนางก็ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นสมบัติอะไรแบบนี้มาก่อน ในสายตาของนางไข่มุกนี้ไม่มีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเซียวเซียว


เมื่อเซียวเซียวได้ยินการเลือกของหลินจิ้ง นางก็ลังเลชั่วครู่ก่อนจะยิ้มขอบคุณ “งั้นต้องขอบคุณน้องหลินจิ้งนะ สิ่งนี้มีประโยชน์มากสำหรับข้า หากจากนี้หากเราพบสมบัติข้าจะชดใช้ให้”


งูเจ็ดสีเลื้อยออกมาจากไหล่ตวัดลิ้นยาวไปที่ไข่มุกจิตตะมังกรด้วยความตื่นเต้น


“พี่เซียวเกรงใจไปแล้ว ไปเอาสมบัติเถอะ” หลินจิ้งหัวเราะเบาๆ


เซียวเซียวพยักหน้าเดินไปที่บัลลังก์ แต่เมื่ออยู่ห่างจากบัลลังก์ประมาณร้อยจั้งมู่เฉินก็ปรากฏตัวข้างๆ และหยุดนางไว้


“หืม?” เซียวเซียวอึ้งไปพลางมองมู่เฉินด้วยความสงสัย หลินจิ้งและจิ่วโยวก็ตามมาดูด้วยความประหลาดใจเช่นกัน


“มีปัญหาเหรอ?” จิ่วโยวเข้าใจมู่เฉินดีที่สุด นางรู้ว่ามู่เฉินไม่มีทางถูกล่อลวงโดยไข่มุกนี้แน่นอน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องมีเหตุผลอื่นที่ทำให้เขาหยุดเซียวเซียวไว้


เมื่อเซียวเซียวและหลินจิ้งได้ยินคำพูดของจิ่วโยว ดวงตาของพวกนางก็หดลง


มู่เฉินจ้องไปที่บัลลังก์และพยักหน้าเบาๆ “ มันแปลกนิดหน่อยน่ะ…”


ตอนที่เซียวเซียวขยับใกล้เข้าไป เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนเล็กน้อยที่ซ่อนเร้นอยู่จนแม้แต่เซียวเซียวและหลินจิ้งก็ยังไม่รู้สึกตัว


มู่เฉินย่อตัวลงวางมือลงบนพื้นแล้วหลับตา


เมื่อหญิงสาวทั้งสามคนเห็นภาพนี้ก็กระจายตัวสร้างแนวป้องกันโดยมีมู่เฉินอยู่ตรงกลาง


มู่เฉินอยู่ในท่านี้ครู่หนึ่งก่อนที่จะลืมตาโพลง แสงหลิงวูบไหวอยู่ในฝ่ามือเขา “มีปัญหาจริงๆ นั่นแหละ”


ตู้ม!


เมื่อพูดจบเขาก็ฟาดฝ่ามือลงกะทันหัน ความผันผวนของคลื่นหลิงที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแผ่ออกมาจากฝ่ามือ


ปัง ปัง ปัง!


เสียงระเบิดดังก้อง หินก้อนใหญ่น้อยนับไม่ถ้วนแตกเป็นเสี่ยงๆ พื้นเริ่มพังทลาย


เมื่อพื้นพังทลาย หญิงสาวทั้งสามก็มองเห็นเส้นใยหลิงปรากฏบนพื้นและเชื่อมโยงกันเป็นค่ายกลขนาดใหญ่โดยมีบัลลังก์เป็นรากฐาน


ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่ทำให้ม่านตาของพวกนางหดเกร็งก็คือใต้พื้นดินที่พังทลายสามารถมองเห็นมังกรขาวขดตัวซึ่งปกคลุมไปด้วยรัศมีความตาย ในดวงตาของมังกรตัวนั้นไม่มีพลังชีวิตแม้แต่น้อย


มังกรขดตัวอยู่ที่นั่นเงียบๆ ราวกับเป็นสิ่งไม่มีชีวิต ไม่แปลกเลยว่าทำไมหญิงสาวทั้งสามคนถึงไม่รู้สึกถึง เหตุผลที่มู่เฉินสัมผัสได้ เป็นเพราะมีค่ายกลซ่อนอยู่ใต้ดิน


“นี่มันศพมังกรวิเทศ…” แต่ละคนมองมังกรสีขาวที่ปกคลุมไปด้วยรัศมีความตายก็พูดด้วยความประหลาดใจ


พวกนางไม่ได้กลัวศพมังกรวิเทศตัวนี้มากนัก แต่เป็นค่ายกลที่ทำให้พวกนางรู้สึกว่าถูกคุกคาม


“นี่มันค่ายกลอะไร?” เซียวเซียวถามด้วยความสงสัย นางมีความรู้สึกว่าถ้านางก้าวเข้าไปในค่ายกลโดยไม่มีการเตรียมการใดๆ คงต้องจ่ายราคาไม่น้อย


“นี่คือค่ายกลศพวิญญาณ หากก้าวเข้าไปพลังงานหลิงจะถูกยับยั้ง ดูจากรัศมีความตายที่รวมอยู่ในนั้น แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มก็จะถูกลดระดับลงเหลือเพียงขั้นเจ็ดเท่านั้น” มู่เฉินตอบ


เซียวเซียวและหลินจิ้งสะดุ้ง หากขุมพลังของพวกนางถูกระงับเหลือเพียงขั้นเจ็ด พวกนางต้องถูกเขมือบโดยศพมังกรวิเทศแน่นอน ไม่คิดว่าที่นี่จะยังมีสิ่งอันตรายซ่อนอยู่ด้วย


“งั้นตอนนี้เราควรทำยังไง?” เซียวเซียวขมวดคิ้ว ถ้านางทำลายค่ายกลรุนแรงอาจส่งผลต่อไข่มุกจิตตะมังกรด้วย


เมื่อมู่เฉินได้ยินความกังวลของนางก็ยิ้มบาง


“ถ้าเป็นค่ายกลก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง”


**สุภาษิต น้ำท่วมวังราชามังกร วังราชามังกรอยู่ใต้ทะเลเลยเปรียบเหมือนว่าสองสิ่งใหญ่มาชนกัน


บทที่ 1136 อสรพิษกลืนฟ้า

“ถ้าเป็นค่ายกลก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง”


พูดจบมู่เฉินก็วาดตราประทับขึ้นในมือ ขณะที่เกลียวแสงพวยพุ่ง ผนึกหลิงยิ่งก็กลั่นตัวยิงเข้าไปในอากาศผสมผสานเข้ากับชั้นบรรยากาศภายใน


ค่ายกลศพวิญญาณไม่ธรรมดา ตามการคาดการณ์อาจถือได้ว่าเป็นค่ายกลระดับจงซือหากอยู่ในสถานะสมบูรณ์ แต่โชคดีที่มันได้รับความเสียหายจากกาลเวลาจนเกิดตำหนิอยู่ภายในมาก นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงมั่นใจในการรับมือ


เมื่อผนึกหลิงยิ่งรวมเข้ากับค่ายกลอย่างต่อเนื่องก็ค่อยๆ ผันผวน บางส่วนของขบวนแถวแสงหยุดชะงักจางหายไป


มู่เฉินไม่ได้ทำลายค่ายกลอย่างสมบูรณ์เพราะจะเสียเวลามากเกินไป เขาเลือกวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดซึ่งก็คือทำลายแกนบางส่วนทำให้เกิดการกระจัดกระจายซึ่งจะเสียสมดุลและพังทลายลงเอง


ขณะที่ค่ายกลศพวิญญาณแปรปรวน ดวงตาของเซียวเซียวก็สว่างขึ้นขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยความอัศจรรย์ใจ เห็นได้ชัดว่านางไม่คิดว่ามู่เฉินจะบรรลุเส้นทางศาสตร์ค่ายกลจนมาถึงจุดนี้


ฮึ่ม ฮึ่ม


การสั่นสะเทือนแผ่เป็นระลอกเนื่องจากความผันผวนของคลื่นหลิงที่บิดเบี้ยวมาจากค่ายกลอย่างต่อเนื่อง ในท้ายที่สุดค่ายกลก็ไม่สามารถยึดติดไว้ได้อีกต่อไป แตกเป็นเสี่ยงๆ จากการระเบิด


คลื่นหลิงกวาดออกไปในท้องฟ้า รัศมีความตายกวาดออกไปพร้อมกับการทำลายล้างของค่ายกล ทำให้สวรรค์และโลกเย็นเยือกลงทันที


แต่โชคดีที่พวกเขาเตรียมพร้อม หมุนเวียนพลังงานเพื่อปกป้องร่างกายไม่ปล่อยให้รัศมีความตายโจมตีเข้ามาได้


คลื่นกระแทกจากรัศมีความตายกินเวลาหลายนาทีก่อนจะสลายไป หญิงสาวทั้งสามมองไปข้างหน้าด้วยความยินดี ยามนี้ค่ายกลศพวิญญาณจางหายไปอย่างสมบูรณ์


“ไม่เลวๆ ไม่ได้เจอกันมาระยะหนึ่ง ท่าทางข้าคงต้องมองเจ้าในแง่มุมใหม่แล้ว” เซียวเซียวยิ้มเบาๆ นางพอใจกับวิธีของมู่เฉินมาก ถ้าต้องทำเองนางอาจต้องใช้วิธีที่ลำบากที่สุดก็คือทำลายค่ายกลอย่างรุนแรง แต่แบบนั้นไม่เพียงแต่ประสิทธิภาพจะต่ำ ถ้าเกิดทำลายไข่มุกจิตตะมังกรไปด้วย ทุกอย่างก็ไม่คุ้มค่าแล้ว


“ยังมีศพมังกรวิเทศอยู่” มู่เฉินชี้ไปที่มังกรบนพื้น นั่นเป็นตัวปัญหาอีกหนึ่งเนื่องจากรัศมีความตายครอบงำอย่างมาก หากรัศมีความตายบุกเข้าสู่ร่างกายก็จะสร้างความเสียหายให้พวกเขามากแน่นอน


“ให้ข้าจัดการเอง” เซียวเซียวยิ้มบางทำให้ดูงดงามราวกับเทพธิดาปั้นแต่งจากสวรรค์และโลก นางยื่นมือออกไปวางงูเจ็ดสีลงแล้วตบหัวมันเบาๆ


วาบ!


งูเจ็ดสีชูคอขึ้นทันที กลายเป็นริ้วแสงสีรุ้งปรากฏขึ้นเหนือร่างศพมังกรในพริบตา


โฮก!


แม้ว่ามังกรจะไม่มีชีวิตแล้ว แต่ก็ยังมีสัญชาตญาณดังนั้นจึงส่งเสียงคำรามลึกพลางอ้าปากกว้าง รัศมีความตายสีเทาพุ่งออกมา ทำให้พื้นที่ที่ถูกรัศมีความตายกวาดใส่มืดมนลง


ทว่าเจ้างูเจ็ดสีไม่ได้เคลื่อนไหวเมื่อเผชิญหน้ากับรัศมีความตาย เมื่อรัศมีห่อหุ้มเข้ามางูน้อยก็ค่อยๆ อ้าปากแสงสีดำควบแน่นอยู่ภายใน


ซู้ด!


แม้ว่าปากของงูเจ็ดสีจะไม่ใหญ่ แต่ตอนนี้ก็ราวกับหลุมดำ แรงดูดน่ากลัวระเบิดออกมากลืนกินรัศมีความตายรุนแรงเข้าสู่ร่างกายในอึกเดียว


หลังจากกลืนกินรัศมีความตายรุนแรง งูเจ็ดสีก็ไม่แสดงอาการถูกกัดกร่อนยังคงดูร่าเริงมีชีวิตชีวา


เมื่อมู่เฉิน หลินจิ้งและจิ่วโยวเห็นภาพนี้ก็ต้องตกใจ งูเจ็ดสีน่ากลัวถึงขนาดนี้เชียว มันสามารถกลืนกินรัศมีความตายได้เลยเรอะ?


ฟ่อ ฟ่อ!


หลังจากกลืนกินรัศมีความตาย งูเจ็ดสีก็อ้าปากพร้อมส่งเสียงขู่ฟ่อ หลุมดำหมุนคว้างพร้อมกับแสงระยับสีดำพุ่งออกมามัดเข้ากับมังกรก่อนที่แรงดูดจะระเบิดออกค่อยๆ ดึงร่างมังกรเข้าไปในหลุมดำ


แม้ว่ามังกรจะต่อสู้ดิ้นรนรุนแรงก็ไม่สามารถหลุดพ้นได้เนื่องจากไร้สติปัญญา ในทางตรงกันข้ามเมื่อมันดิ้นแรงขึ้นแรงดูดก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นก่อนจะถูกดึงเข้าไปในหลุมดำที่หมุนคว้าง


ศพมังกรหายไปทันทีหลังจากถูกดึงเข้าไปในหลุมดำ จากนั้นงูเจ็ดสีก็อ้าปากกลืนหลุมดำลงไป งูน้อยปล่อยเสียงเรอดังลั่นแล้วค่อยๆ ลอยกลับมาลงบนมือของเซียวเซียว มุดเข้าไปขดตัวในแขนเสื้อ


ทั้งสามต่างตกตะลึงเมื่อมองฉากนี้ เพียงไม่กี่นาทีศพมังกรวิเทศก็ถูกจัดการจนสิ้นซากแล้วเรอะ? แม้ว่ามังกรตัวนี้จะไม่มีสติปัญญา แต่ก็เทียบได้กับระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็ม หากพวกเขาจัดการก็จะต้องใช้เวลามาก แต่งูเจ็ดสีกลับกินเข้าไปได้อย่างง่ายดายเนี่ยนะ?


“นี่คือเทพอสูรอะไร?” มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถาม


“นี่คืออสรพิษกลืนฟ้าเจ็ดสี… มันไม่ใช่เทพอสูรของมหาพันภพ แต่เมื่อมันเติบโตขึ้นก็จะสามารถเทียบเคียงได้กับมหาเทพอสูรของที่นี่ได้” เซียวเซียวตอบ


หลินจิ้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงอยากรู้อยากเห็น “ข้าได้ยินมาจากท่านพ่อว่าหนึ่งในนายหญิงแคว้นหวู่จิ้งฮั่วมีอสรพิษลึกลับที่สามารถกลืนกินสวรรค์และโลก ซึ่งเคยกลืนจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย… มีข่าวลือว่าแม้แต่สมาชิกเผ่ามังกรก็ยังกลัวอย่างมากหากพบอสรพิษตัวนั้น”


“นั่นท่านแม่ข้าเอง” เซียวเซียวเผยรอยยิ้มสดใสขณะพูดต่อ “แต่เจ้างูของแม่ข้าน่ากลัวยิ่งกว่า ที่เสี่ยวไฉ่สามารถกินศพมังกรวิเทศได้อย่างง่ายดาย ก็เพราะมันไม่เหลือสติปัญญาและไม่รู้ว่าจะหลบยังไง ไม่งั้นก็เป็นเรื่องง่ายสำหรับมันที่จะหลีกเลี่ยงระยะกลืนกิน”


นี่เป็นครั้งแรกที่มู่เฉินได้ยินเรื่องอสรพิษกลืนฟ้า แต่ตัดสินจากพลังแล้ว มันจะเป็นการดำรงอยู่สั่นสะเทือนโลกาแน่นอนเมื่อเติบใหญ่ขึ้น


แคว้นหวู่จิ่งฮั่วพิเศษแท้จริง แค่นายหญิงคนเดียวก็น่ากลัวเพียงนี้ ไม่รู้ว่าเทพจักรพรรดิอัคคีจะน่ากลัวแค่ไหน


เทพจักรพรรดิอัคคีคงได้รับการพิจารณาอยู่ในอันดับสูงสุดแม้ในบรรดาจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสินะ


หลังจากที่เซียวเซียวจัดการกับศพมังกรวิเทศแล้วก็เดินไปที่บัลลังก์และยื่นมือออกไป ไข่มุกค่อยๆ ตกลงมาในมือนาง


เมื่อไข่มุกจิตตะมังกรวางบนมือนาง งูเจ็ดสีก็โผล่หัวออกมาอีกครั้งและกินไข่มุกเข้าไป จากนั้นพวกมู่เฉินก็มองเห็นรัศมีไร้ขอบเขตเล็ดลอดออกมาจากงูน้อย ลวดลายที่อยู่บนตัวมันเหมือนจะสว่างขึ้นเล็กน้อย


หลังจากกินไข่มุกแล้วเจ้างูดูเหมือนจะใช้พลังงานไปไม่น้อย จึงมุดตัวเข้าไปในแขนเสื้อของเซียวเซียวอย่างหมดแรง


มู่เฉินมองไปที่ภาพนี้ก็แอบรู้สึกประหลาดใจ เนื่องจากเขารู้สึกได้อย่างคลุมเครือว่าหลังจากอสรพิษกลืนฟ้ากินไข่มุกจิตตะมังกรเข้าไป แม้แต่คลื่นหลิงของเซียวเซียวก็ดูเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้น


ดูเหมือนว่าจะมีการเชื่อมโยงที่น่าอัศจรรย์ระหว่างเซียวเซียวกับอสรพิษกลืนฟ้า ซึ่งช่วยเพิ่มพลังหลิงของเธอด้วยเช่นกัน


รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏบนใบหน้าของเซียวเซียว ดูเหมือนว่าอิทธิพลของไข่มุกจิตตะมังกรค่อนข้างดีเลยทีเดียว นางยกมือขึ้นก็เห็นป้ายแสงปรากฏที่หลังมือซึ่งอยู่ในรูปของมังกร นี่น่าจะเป็นป้ายยินยอมของผู้บัญชาการตำหนักมังกรแน่แล้ว


“ยินดีด้วย” มู่เฉินยิ้ม ด้วยป้ายตำหนักมังกรนั่นก็หมายความว่าเซียวเซียวได้รับสิทธิ์ในพิธีชำระล้าง


“ต้องขอบคุณเจ้านะ” เซียวเซียวยิ้มขณะที่สบตากับมู่เฉิน หากไม่ใช่เพราะมู่เฉินมาทันเวลา นางอาจปะทะหลินจิ้งจนไม่สามารถคาดเดาผลลัพธ์ได้ เพราะยังไงหลินจิ้งก็เป็นองค์หญิงแคว้นหวู ไม่มีทางที่จะไม่มีไพ่ตาย


“ไปกันเถอะ ในเมื่อเราได้รับสมบัติแล้วก็มุ่งหน้าไปทะเลสาบสวรรค์กัน” มู่เฉินเอ่ยขึ้น แม้ว่าเขาจะไม่ได้สำรวจตำหนักอีกเจ็ดแห่ง แต่เขาก็ไม่มีความตั้งใจที่จะค้นหาทั้งหมด เพราะยังไงก็ไม่มีประโยชน์ที่จะรับป้ายยินยอมเพิ่ม มิหนำซ้ำอาจจะดึงดูดความเป็นศัตรูกับกลุ่มอื่นๆ หากพวกเขาสร้างความโกรธเกรี้ยวกับสาธารณชนก็จะเป็นเรื่องลำบากแน่นอน เนื่องจากทุกกลุ่มที่นี่มีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนแท้จริงเป็นภูมิหลัง ถ้าพวกเขายั่วยุมากเกินไปแม้แต่มั่นถัวหลัวก็จะตกที่นั่งลำบาก


หญิงสาวทั้งสามพยักหน้า ในเมื่อได้รับป้ายกันครบแล้ว พวกนางก็ไม่โลภมากที่จะไปเอาสมบัติจากผู้บัญชาการคนอื่นเพิ่มเช่นกัน


ดังนั้นทั้งสี่จึงทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าพุ่งผ่านหมอกพิษหนาแน่นจากไป


ขณะเดียวกันผู้คนก็มารวมตัวกันนอกเกาะมังกรมากขึ้น เพราะมีเกาะลอยจำนวนมากในวังสวรรค์บรรพกาลซึ่งจะใช้เวลานานเกินไปหากค้นหาทีละเกาะ ในเมื่อเกาะมังกรแห่งนี้ถูกเปิดเผยแล้วพวกเขาก็ต้องมารวมตัวกันโดยธรรมชาติ


อีกมุมหนึ่งของเกาะมีกลุ่มขนาดใหญ่อยู่ริมขอบเกาะวางแนวกั้นไม่ให้ใครเข้าใกล้


แม้ว่าผู้คนจะไม่พอใจกับการกระทำของพวกเขา แต่ก็ไม่มีอะไรที่ทำได้ นั่นเป็นเพราะการรวมตัวกลุ่มนี้น่าตื่นตาและน่าตกใจ


ในกลุ่มคนมีจอมยุทธ์หลายสิบคน ซึ่งเกือบสิบคนในนั้นอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุด มิหนำซ้ำทั้งหมดยังมีชื่อเสียงในทวีปเทียนหลัวติดอันดับหนึ่งในสิบห้าของทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่


โดยเฉพาะชายชุดคลุมสีทองที่อยู่ท่ามกลางคนเหล่านี้ เขามีใบหน้าที่หล่อเหลาแฝงความสุขุม ขณะที่ยิ้มก็จะมีแรงกดดันทรงพลังปล่อยออกมาจนคนอื่นตกใจ


ชายคนนี้ก็คือองค์ชายใหญ่แห่งแคว้นเซี่ย—เซี่ยหยู่!


“องค์ชายใหญ่พวกเราจะไม่เข้าไปเหรอขอรับ?” มีคนพูดที่ด้านข้างเซี่ยหยู่


เมื่อเซี่ยหยู่ได้ยินคำพูดนั่นก็ยิ้มอ่อน “ปล่อยให้คนอื่นเข้าไปค้น หากมีใครออกมาเราก็จะเชิญพวกเขามาพูดคุย”


เมื่อได้ยินคำตอบของเซี่ยหยู่ ทุกคนก็เข้าใจได้ในทันที เซี่ยหยู่เป็นคนโหดเหี้ยมอย่างแท้จริง เพียงแค่เฝ้ารอที่นี่ ไม่ว่าใครจะนำสมบัติออกจากเกาะมังกรก็จะตกอยู่ในมือพวกเขา


ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ปล่อยให้คนโชคร้ายเหล่านั้นค้นให้พอใจ


เซี่ยหยู่ยิ้มขณะที่กำลังจะพูดต่อหัวใจเขาก็สั่นไหว เขาหรี่ตาลงมองไปที่หมอกหนาทึบ เขาสามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวบางอย่างก่อนที่ภาพเงานั้นจะเหาะเหินออกมา


เมื่อเซี่ยหยูเห็นเงานั่น เขาก็อึ้งไปก่อนที่รอยยิ้มเย้ยหยันจะปรากฏขึ้นที่มุมปาก


นั่นมันไอ้สารเลวมู่เฉิน…ดูท่าโชคของไอ้นั่นจะไม่ดีเลยจริงๆ


บทที่ 1137 เส้นทางศัตรูที่แคบนัก

เมื่อมู่เฉินพุ่งออกมาจากหมอกพิษหนาแน่น


สิ่งที่เขารู้สึกได้อย่างแรกก็คือสายตาเฉียบคมที่จ้องมาหา เขาขมวดคิ้วเงยหน้าขึ้นก็ฟาดฟันสายตากับเซี่ยหยู่พอดี


เซี่ยหยู่เผยรอยยิ้มประดับที่มุมปากแต่ไม่ได้ปกปิดอาการถากถางและเย้ยหยัน เห็นได้ชัดว่าเซี่ยหยู่ ‘ประหลาดใจ’ เล็กน้อยที่เห็นมู่เฉินที่นี่


มู่เฉินก็รู้สึกประหลาดใจไม่แพ้กันที่เห็นเซี่ยหยู่ ก่อนที่จะกลับไปมีท่าทางสงบนิ่ง ทว่าก็มีแสงเฉียบคมวูบไหวในดวงตาเขา


เซี่ยหยูแสดงความคิดดำมืดตั้งแต่ในอุโมงค์เดินทางเข้าสู่วังสวรรค์บรรพกาล พยายามทำลายเส้นทางของพวกมู่เฉินหวังว่าจะฆ่าพวกเขาในมิติสับสนวุ่นวาย ซึ่งเป็นเรื่องเลวร้ายอย่างแท้จริง


“ฮ่าๆ พี่มู่ดูเหมือนเจ้าจะเก็บเกี่ยวของดีในเกาะตำหนักมังกรได้นะ ไม่รู้ว่ามาพูดคุยกันหน่อยได้ไหม?” เซี่ยหยูมองมู่เฉินที่อยู่ไกลพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยน


จอมยุทธ์หลายสิบที่อยู่รอบเซี่ยหยู่ก็มองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ราวกับกำลังดูเหยื่อที่ตกไปในหลุมพรางที่พวกเขาขุดไว้แล้ว


ก็เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะเกิดความมั่นใจเช่นนี้ ซึ่งเป็นเพราะการรวมตัวของพวกเขาที่มีพลังน่ากลัว เนื่องจากมีจอมยุทธ์ในทำเนียบสิบห้าอันดับแรกของทวีปเทียนหลัวอยู่เกือบสิบคน ซึ่งล้วนมีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเซี่ยหยู่ที่น่ากลัวยิ่งกว่าอะไรที่อยู่ในอันดับสี่พร้อมกับขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มซึ่งเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงในหมู่คนรุ่นใหม่


ส่วนมู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้นเท่านั้น ซึ่งสามารถรับมือได้อย่างง่ายดาย!


ที่ด้านหลังเซี่ยหยู เซี่ยหงก็เขม่นมองมู่เฉินด้วยแววตาโหดเหี้ยมสะใจ เขากำลังคิดแล้วว่าจะจัดการกับมู่เฉินยังไงดี


ทิศทางอื่นของเกาะเมื่อทุกคนเห็นฉากนี้ก็ส่ายหัวมองมู่เฉินด้วยสายตาเวทนา ชายคนนี้ซวยจริงๆ ตกเป็นเป้าของพวกเซี่ยหยู่ตั้งแต่ก้าวออกมา


ด้วยนิสัยของเซี่ยหยู่ไม่ว่ามู่เฉินจะได้รับสมบัติอะไรจากเกาะมังกร เขาคงจะถูกถลกหนังหัวออกมาทั้งเป็นแน่


ท่ามกลางสายตาเห็นใจของผู้คน มู่เฉินก็ยิ้มอ่อนให้เซี่ยหยู่พลางส่ายหน้า “ข้าไม่ได้สนิทสนมอะไรกับเจ้า อย่าเลยดีกว่า”


พอได้ยินคำตอบของมู่เฉิน เซี่ยหยู่ก็อึ้งไปก่อนจะส่ายหัวพลางหัวเราะออกมา


“ไอ้โง่! แกคิดว่าพี่เซี่ยกำลังถามความคิดเห็นอยู่เรอะ?” จอมยุทธ์หนุ่มคนหนึ่งที่มีคลื่นผันผวนรอบกายก็มองมาที่มู่เฉินด้วยสายตาดุร้ายสาดรอยยิ้มน่าขนพองสยองเกล้า “ในเมื่อแกไม่เข้ามาดีๆ งั้นข้าก็มา ‘เชิญ’ เป็นการส่วนตัว”


“ตู้ม!”


คลื่นหลิงยิ่งใหญ่ระเบิดออกมาจากร่างชายคนนั้นเมื่อพิจารณาจากระดับก็อยู่ในขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดแล้ว นอกจากนี้ก็ยังไม่ใช่พวกอ่อน เนื่องจากอยู่ในอันดับที่สิบห้าของทำเนียบ


ชายคนนั้นก้าวออกมาปรากฏตัวเบื้องหน้ามู่เฉินพร้อมกับแสงหลิงพวยพุ่งจากฝ่ามือใหญ่ แสงขยายขนาดเป็นร้อยจั้งพุ่งออกมาด้วยความตั้งใจที่จะจับตัวมู่เฉิน


เมื่อชายคนนั้นเคลื่อนไหวก็ทำให้เกิดความปั่นป่วนในบริเวณนี้ “นั่นจอมยุทธ์อันดับที่ห้าสิบบนทำเนียบ—หลูฉิว!”


“พลังกายของหลูฉิวทรงประสิทธิภาพมาก ครั้งหนึ่งเขาเคยซัดจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าสามคนตายด้วยหมัดของเขา”


“เจ้านั่นไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำกล้าพูดอย่างนั้นกับเซี่ยหยู่ได้ ทีนี้ต่อให้เขาจะถวายสมบัติให้ ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตแล้ว”


ภายใต้เสียงอุทาน มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่มือใหญ่พร้อมกับแสงเย็นวูบไหวในดวงตา อึดใจแสงสีทองก็พุ่งออกมาจากร่างกาย เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าดังกึกก้อง มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงปรากฏบนแขนขวาของเขาพร้อมกับกรงเล็บมังกรและปีกหงส์ฟ้ายื่นออกมาห่อหุ้มนิ้วทั้งห้าของมู่เฉิน


แรงน่ากลัวระเบิดออกมาคล้ายกับกระแสน้ำจากแขนของมู่เฉิน


เขาเหวี่ยงหมัดออกไปพร้อมกับใบหน้าไร้อารมณ์ แสงสีทองทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าปะทะกับฝ่ามือที่บีบกดลงมา


“รนหาที่ตาย!”


เมื่อหลูฉิวเห็นว่ามู่เฉินกล้าที่จะปะทะกันตรงๆ เขาก็เผยรอยยิ้มเหี้ยม แต่ทันใดนั้นม่านตาก็ต้องหดแคบลง


นั่นเป็นเพราะเขาตระหนักได้ว่ามีพลังที่น่ากลัวกำลังแผ่ออกมาจากหมัดของมู่เฉิน


มิหนำซ้ำยังได้ยินเสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าอย่างคลุมเครืออีกด้วย


ตู้ม!


คลื่นกระแทกที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าระเบิดขึ้นบนท้องฟ้าครอบคลุมรัศมีหนึ่งหมื่นจั้ง ผู้คนที่เห็นผลกระทบก็เกิดการเปลี่ยนแปลงในอากัปกิริยาราวกับว่าเห็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ


นั่นเป็นเพราะพวกเขาเห็นร่างหลูฉิวได้รับผลกระทบอย่างหนัก ถูกระเบิดซัดออกมาในสภาพที่น่าสมเพช!


หลูฉิวถูกมู่เฉินที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้นซัดหน้าหงายปลิวจากหมัดหลุ่นๆ!


“เป็นไปได้ยังไง?!” ผู้คนมีสีหน้าหวาดผวา ชัดว่าไม่อยากจะเชื่อว่าฉากเบื้องหน้าเป็นเรื่องจริง ในความคิดพวกเขาควรเป็นมู่เฉินที่ถูกหลูฉิวซัดจนสิ้นท่า!


ตู้ม!


ทว่าถึงพวกเขาจะรู้สึกไม่เชื่อมากแค่ไหนร่างหลูฉิวก็ปลิวออกไปแล้ว เซี่ยหยู่ก็ดวงตาหดลงกับภาพนี้ ทันใดนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปด้วยสีหน้าเฉยเมย ร่างหลูฉิวเหมือนได้รับการประคองจากมือขนาดใหญ่ ไม่ขยับออกไปอีก


“ฮะฮา น่าเกรงขามจริงๆ…” เซี่ยหยู่ยิ้มบางให้มู่เฉิน แต่ก็ไม่ได้มีระลอกคลื่นอะไรมาก เนื่องจากมู่เฉินไม่สามารถหลบหนีจากสถานการณ์ปัจจุบันได้


แม้ว่าหลูฉิวจะมีความสามารถ แต่ในกลุ่มของพวกเขา จอมยุทธ์ระดับนี้ยังมีอีกหลายคน


“มอบสมบัติเกาะมังกรมาซะแล้วตัดแขนไถ่โทษ จากนั้นข้าจะปล่อยเจ้าออกไป” เซี่ยหยู่หลุบตาลงขณะที่เขาพูดออกมาแบบไม่ใส่ใจ


มู่เฉินยิ้มอ่อนตอบสนองให้ แม้จะไม่พูดอะไร แต่ท่าทางของเขาบอกถึงการตัดสินใจแล้ว


ไอเย็นเยียบรวมตัวกันในดวงตาของเซี่ยหยู่ ในมุมมองของเขามู่เฉินโง่เง่าอย่างที่สุด ทั้งยังมองไม่เห็นสถานการณ์ปัจจุบันและแสดงท่าทีที่มั่นใจ ซึ่งเท่ากับเรียกร้องความตายจริงๆ


เขายกมือขึ้นตั้งใจที่จะให้คนอื่นจัดการ นั่นเป็นเพราะเขาไม่รู้สึกว่ามู่เฉินมีค่าเพียงพอสำหรับเขาที่จะเคลื่อนไหวด้วยตัวเอง


แต่ขณะที่เซี่ยหยู่ยกมือขึ้น หมอกพิษก็กระเพื่อมอีกครั้ง เงาร่างอีกสามร่างทะยานออกมาหยุดอยู่ข้างมู่เฉิน


“หุๆ มู่เฉิน เจ้านี่ดึงดูดปัญหาเก่งจริงๆ แค่นำหน้าพวกข้าออกมาก้าวเดียวก็ชนกับปัญหาอีกครั้งแล้วเหรอ?” เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นเมื่อเงาทั้งสามปรากฏตัว


หญิงสาวสามคนที่ปรากฏกะทันหันทำให้พวกแคว้นเซี่ยอึ้งไป แต่เมื่อเห็นว่าเป็นแค่หญิงสาวสามคน ก็โล่งใจขึ้นมา


“เฮ้ มีสามสาวงามตามมาด้วย ไอ้เวรแกคิดว่าพวกนางสามารถปกป้องแกได้เหรอ? ข้าว่าแกส่งมอบสมบัติจากเกาะมังกรมาซะจะดีกว่านะ?” ด้านข้างเซี่ยหยู่ จอมยุทธ์ที่มีรูปลักษณ์ขี้เหร่เห็นสาวสะคราญโฉมสามคน ดวงตาก็เปล่งประกายก่อนจะพูดขึ้นมา


เพียงแค่พูดประโยคเดียว แสงเย็นก็วูบวาบในนัยน์ตาของเซียวเซียวก่อนที่นางจะยกมือขึ้นสะบัดไปในอากาศ


เพียะ!


มิติแปรปรวน วินาทีต่อมาชายที่เพิ่งพูดก็โดนตบเข้าที่หน้าอย่างแรง รอยมือแดงก่ำปรากฏบนใบหน้า เขาหมุนตัวไปร้อยแปดสิบองศาจากการตบเดียว


“นังนี่!”


เมื่อจอมยุทธ์แคว้นเซี่ยเห็นภาพนี้ก็มองไปที่เซียวเซียวอย่างโกรธแค้น ไม่มีใครคิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าลงมือจัดการภายใต้สถานการณ์นี้


ทว่ามีเพียงเซี่ยหยู่เท่านั้นที่หดดวงตาลง เนื่องจากเขาเห็นว่าการตบนั้นลึกลับเพียงใดแม้ว่าจะดูสบายๆ


หญิงสาวสะคราญโฉมผู้นี้ไม่ธรรมดาแน่


“คิกๆ พวกข้าได้รับสมบัติของเกาะมังกรจากความพยายาม ทำไมต้องให้พวกแกด้วย?” หลินจิ้งยิ้มบาง


เซี่ยหงที่มีแขนหายไปจากฝีมือมู่เฉินก็แสยะยิ้มน่ากลัวอยู่ข้างหลังเซี่ยหยู่ “ทำไมต้องให้? ก็เพราะพวกข้าแข็งแกร่งกว่าพวกเจ้าไง พี่ชายข้าเป็นศิษย์มังกรทองคำของวังสวรรค์บรรพกาลนะ!”


คำพูดนี่ทำให้เกิดความปั่นป่วน หลายคนมองไปที่เซี่ยหยู่ด้วยสายตาเคารพ นั่นเป็นเพราะใครก็ตามที่เข้ามาที่นี่จะได้รับป้ายประจำตัว ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ว่าศิษย์ระดับมังกรทองคำมีสถานะอย่างไรในวังสวรรค์บรรพกาล


เซี่ยหยู่ไม่ได้พูด แค่เพียงจ้องไปกลุ่มสี่คนของมู่เฉิน ทว่าก็แอบรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย


ทั้งสี่มองไปที่เซี่ยหยู่ด้วยความประหลาดใจเนื่องจากไม่คิดว่าเซี่ยหยู่จะได้รับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำซึ่งสูงกว่าซูชิงหยิงอีก…


ทว่าทั้งสี่คนก็ประหลาดใจเพียงสั้นๆ ไม่ได้มีแววเคารพในการสายตาเหมือนคนอื่น ในทางกลับกันพวกเขาสบตากันด้วยสีหน้าพิลึกพิลั่น


“ศิษย์ระดับมังกรทองคำเหรอ?” หลินจิ้งเปิดหัวเราะเป็นคนแรก เมื่อเห็นรอยยิ้มนี้มู่เฉินก็รู้ทันทีว่านางกำลังจะตบหน้าพวกเขาอย่างไม่ไว้หน้าแล้ว


ตามคาดประกายแสงสีทองปรากฏบนมือของหลินจิ้งจากนั้นก็โบกมือเบาๆ ทันใดนั้นเสาสีทองก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าโดยมีมังกรสีทองขดอยู่รอบเสา


เสาสีทองนี้ทำให้จอมยุทธ์แคว้นเซี่ยตกตะลึงก่อนที่จะฟื้นสติมองป้ายสีทองในมือหลินจิ้งด้วยความหวาดผวา


แม้แต่เซี่ยหยู่ก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนสีหน้าไป


“นะ…นั่นคือป้ายมังกรทองคำ?!”


ผู้คนอุทาน ใครจะคาดคิดว่าสาวสวยคนนี้จะเป็นศิษย์ระดับมังกรทองคำ!


เซียวเซียวกะพริบตาวิบวับกับฉากนี้พลางยิ้มให้เซี่ยหยู่อย่างทรงเสน่ห์ก่อนที่ป้ายสีทองจะปรากฏขึ้นในมือพร้อมกับเสาสีทองทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า


เมื่อเห็นการกระทำของสหายทั้งสองคนมู่เฉินก็อดยิ้มไม่ได้ เขาเห็นสีหน้าเซี่ยหยู่ไม่น่าดูมากขึ้นและรู้สึกมีความสุขที่ได้ตีสุนัขตัวนี้ให้ล้มลงแล้วตามกระทืบซ้ำ ดังนั้นเขาจึงสะบัดนิ้วออกป้ายสีทองก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง


ตู้ม!


เสาสีทองสามเสาทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าจากกลุ่มของมู่เฉิน ความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นน่าตกใจยิ่งนัก


ในทางกลับกันพวกแคว้นเซี่ยก็ตะลึงพรึงเพริดไปหมดแล้ว แม้แต่ใบหน้าของเซี่ยหงก็ซีดลง เขาคิดเพียงว่าต้องการใช้ตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำเพื่อระงับขวัญกำลังใจของอีกฝ่าย แต่ใครจะคิดได้ว่าไม่เพียง แต่ขวัญกำลังใจของอีกฝ่ายจะไม่ได้รับผลกระทบ พวกเขายังหยิบป้ายมังกรทองคำออกมาให้ดูถึงสามป้าย…


มู่เฉินยิ้มขณะมองไปที่เซี่ยหงที่หน้าซีดเซียวจากนั้นก็เลื่อนสายตาไปที่ใบหน้าไม่น่าดูของเซี่ยหยู เผยรอยยิ้มอ่อน “ศิษย์ระดับมังกรทองคำเหรอ? แหมบังเอิญจริงๆ พวกข้าก็เป็นเหมือนกัน…”


บทที่ 1138 กดดัน

เสามังกรทองสามเสาทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า


แผ่รัศมีออกไปเป็นร้อยลี้ ทุกคนต่างอึ้งทึ่งไปเมื่อเห็นเสาเหล่านี้พร้อมกับความตกตะลึงอัดแน่นในดวงตา…


ศิษย์ระดับมังกรทองคำหายากเพียงใด เรื่องนี้พวกเขาเคยผ่านการทดสอบด้วยตนเองมาหมดแล้ว ดังนั้นจึงรู้ว่าการรับตำแหน่งศิษย์ระดับนี้หมายถึงอะไร นั่นหมายความว่าคนที่สามารถได้รับเป็นชั้นสูงของชั้นสูงกระทั่งในวังสวรรค์บรรพกาลที่เคยครอบครองทวีปเทียนหลัว


ทวีปเทียนหลัวในปัจจุบันตามการคาดการณ์ของทุกคนอาจมีเพียงจอมยุทธ์รุ่นใหม่สี่อันดับแรกเท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะรับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำ แต่…ภาพที่เบื้องหน้านี้ทำให้พวกเขารู้สึกยากจะเชื่อเพราะทั้งสามคนช่างไม่คุ้นหน้าเอาเสียเลย


“พวกเขาสามคนเป็นศิษย์ระดับมังกรทองคำทั้งหมดเลยหรอ?” ความเงียบเกิดขึ้นชั่วครู่ก่อนที่จะเกิดการอุทานนับไม่ถ้วน


“เป็นไปไม่ได้มั้ง? ศิษย์ระดับมังกรทองคำจะหาง่ายขนาดนี้ได้อย่างไร? หรือว่าพวกเขาจะมีกลโกง?”


“ถ้ามีวิธีหลีกเลี่ยงประตูมังกรทะยานสวรรค์ก็คงไม่ส่งผลให้ศิษย์ระดับมังกรทองคำหายากขนาดนี้หรอก”


“ทั้งสามคนไม่ธรรมดาแน่นอน”


“…”


ในบรรดาเสียงเหล่านี้ บางคนก็ตั้งข้อสงสัย แต่ส่วนใหญ่เลือกที่จะยอมรับความเป็นจริงเนื่องจากต่างเคยผ่านกับประตูมังกรทะยานสวรรค์มาแล้วและรู้ว่าทรงพลังเพียงใด ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพบช่องโหว่


ยามนี้ทั่วบริเวณตกอยู่ในความโกลาหล พวกแคว้นเซี่ยก็มีใบหน้าตกตะลึง ส่วนเซี่ยหงดูน่าเกลียดไปเลยทีเดียว นานก่อนที่เขาจะควบคุมตนเองและคำรามใส่มู่เฉิน “แกเนี่ยนะ? แกสามารถรับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำได้เรอะ?!”


ย้อนกลับไปตอนที่พวกเขาต่อสู้กัน มู่เฉินอยู่ในขุมพลังเกือบจะบรรลุรัดับจื้อจุนขั้นเก้าเท่านั้น แม้ว่าจะมีพลังในการต่อสู้ที่ไม่ธรรมดา แต่อย่างมากก็เทียบเคียงกับขั้นเก้าระยะปลายสุดเท่านั้น ทว่าการที่จะเป็นศิษย์ระดับมังกรทองคำอย่างน้อยก็ต้องอยู่ในขั้นเก้าระยะเต็ม นอกจากนี้ยังต้องมีไพ่ตายจำนวนมากถึงจะมีโอกาส


พวกแคว้นเซี่ยเงียบกริบลงเช่นกัน ไม่มีท่าทางกร่างอีกต่อไปเมื่อเผชิญหน้ากับศิษย์ระดับมังกรทองคำสามคน พวกเขาสูญเสียความมั่นใจหมดสิ้น


“หุบปาก!”


เซี่ยหยู่ถลึงตาใส่เซี่ยหงพลางคำรามก่อนที่จะฉายแววตาลึกซึ้งมองเซียวเซียวและหลินจิ้ง ขณะนี้เขารู้สึกถึงอันตรายเลือนรางที่ถูกปล่อยออกมาจากสตรีสองคนนั้น


และมู่เฉินอีกคน…แม้ไอ้นั่นจะดูเหมือนอยู่ในขั้นเก้าระยะต้นเท่านั้น แต่ด้วยการรับรู้ที่เฉียบแหลมเซี่ยหยู่สามารถสัมผัสได้ว่ามู่เฉินก็เป็นคนที่ซ่อนตัวลึกเช่นกัน


คราวนี้…เขาเตะแผ่นเหล็กเข้าอย่างจัง


ใบหน้าของเซี่ยหยู่กระตุกเล็กน้อยด้วยความเสียใจในใจ เขาเสียใจที่ทำไมไม่จัดการด้วยตัวเองเมื่อพบกับมู่เฉินในอุโมงค์เดินทาง ถ้าเขาทำอย่างนั้นก็มีความเป็นไปได้ที่เขาจะสามารถฆ่ามู่เฉินได้


แต่ขณะนี้มู่เฉินไม่รู้ไปหาผู้ช่วยเหลือลึกลับสองคนมาจากไหน เผชิญหน้ากับการรวมตัวนี้แม้แต่ตัวเขาก็ไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ หากต่อสู้กัน


เสามังกรทองคำทั้งสามเสาคงอยู่ในช่วงเวลาสั้น ๆ ก่อนจะจางหายไป ส่วนมู่เฉิน เซียวเซียวและหลินจิ้งก็เก็บป้ายพลางมองไปที่พวกเซี่ยหยู่ “ตอนนี้เจ้ายังอยากได้สมบัติของพวกข้าอยู่อีกไหม?”


สายตาของเซี่ยหยู่มืดครึ้ม จากนั้นดวงตาก็วูบไหว ก่อนที่จะส่งยิ้มอ่อนโยนให้กับเซียวเซียวและหลินจิ้ง “แม่นางทั้งสอง ไม่รู้ว่าพวกเจ้าสองคนมาจากไหน? ดูเหมือนว่าจะไม่เคยเห็นเจ้าทั้งสองในทวีปเทียนหลัวมาก่อน ตัวข้าชื่อว่าเซี่ยหยู่เป็นองค์ชายใหญ่แห่งแคว้นเซี่ย เรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างแคว้นเซี่ยของข้ากับมู่เฉิน หากแม่นางไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวในเรื่องนี้ แคว้นเซี่ยของข้าจะไม่ลืมพระคุณ”


แม้ว่ามู่เฉินจะเป็นศิษย์ระดับมังกรทองคำ แต่เซี่ยหยูก็ยังคงมั่นใจในการรับมือหากหญิงสาวทั้งสองไม่ยุ่งเกี่ยว เพราะตัวเขาก็เป็นศิษย์ระดับเดียวกัน เขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะแข็งแกร่งกว่าเขาไปได้


มู่เฉินไม่ได้ห้ามปรามอะไรเซี่ยหยู ตรงกันข้ามเขากลับหรี่ตามองไปที่อีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม เนื่องจากเขาไม่คิดว่าแค่แคว้นเซี่ยจะสามารถยั่วยุองค์หญิงทั้งสองที่มีภูมิหลังน่ากลัวได้…


ซึ่งก็ตามที่มู่เฉินคาดไว้ เซียวเซียวเหลือบมองเซี่ยหยู่อย่างเย็นชาก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่นราวกับว่าไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้


ทันใดนั้นหลินจิ้งก็เหมือนนึกบางอย่างขึ้นได้ นางหยิบม้วนกระดาษสีทองออกมาจากแขนเสื้อโบกไปมา “เจ้าคือองค์ชายใหญ่-รัชทายาทแห่งแคว้นเซี่ยเหรอ เยี่ยมเลย น้องชายเจ้าติดหนี้ของเหลวจื้อจุนร้อยล้านหยดกับข้าไว้เมื่อไม่นานมานี้และบอกว่าข้าสามารถไปที่แคว้นเซี่ยเพื่อขอได้”


เมื่อเซี่ยหงได้ยินเช่นนี้ใบหน้าก็เขียวคล้ำลงทันที


มุมริมฝีปากของเซี่ยหยู่ก็กระตุกก่อนที่จะปรายตามองไปที่เซี่ยหงด้วยท้าทางที่น่าเกลียด ของเหลวจื้อจุนร้อยล้านหยด? นั่นจะทำให้คลังหลวงของแคว้นเซี่ยร่อยหรอไปเลยทีเดียว ไม่ต้องพูดถึงเขาแม้แต่บิดาของพวกเขาก็ไม่ยินดีที่จะจ่าย


“ทำไม? แคว้นเซี่ยคิดจะเบี้ยวหนี้เหรอ?” เมื่อหลินจิ้งเห็นสีหน้าของเขา ใบหน้าของนางก็บูดบึ้งไม่น่าดู


เซี่ยหยู่หายใจเข้าลึกตอบว่า “เงินจำนวนนี้มหาศาลมาก ข้าไม่สามารถตัดสินใจได้ แม่นางคงต้องไปถามท่านพ่อของข้าดู”


เขาไม่มีทางยอมรับหนี้หรอก ถ้าหลินจิ้งกล้าแสดงใบแจ้งหนี้นี้กับบิดาของเขาจริงๆ ละก็ นางอาจถูกเก็บอย่างทันท่วงที ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีไม่กี่คนที่กล้ารีดไถเงินจากแคว้นเซี่ย


เมื่อหลินจิ้งได้ยินคำพูดของเขาก็พยักหน้าราวกับว่าไม่คิดถึงความหมายเบื้องหลังคำพูดของเซี่ยหยู “งั้นข้าจะไปเยี่ยมแคว้นเซี่ยในอนาคตแล้วกัน”


มุมปากของเซี่ยหยู่และเซี่ยหงกระตุกพลางมองไปที่หลินจิ้งด้วยสายตาคล้ายกับมองคนโง่


แต่เมื่อพวกเขามองไปที่หลินจิ้งด้วยแววตาแบบนั้น ฉับพลันพวกเขาก็ตระหนักได้ว่ามู่เฉินและจิ่วโยวกำลังมองพวกเขาด้วยสายตาที่คล้ายกัน ซึ่งทำให้พวกเขาอึ้งไปและรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ


แต่มู่เฉินก็ไม่สนใจที่จะอธิบายให้พวกเขาฟัง เนื่องจากพวกเขาจะรู้ว่าตัวเองโง่เขลาเพียงใดในอนาคตเมื่อรับรู้ตัวตนของหลินจิ้ง พี่น้องจอมโง่คู่นี้คิดจริงๆ หรือว่าจะไม่มีใครกล้าไปที่แคว้นเซี่ยเพื่อทวงหนี้?


ถ้าพวกเขากล้าเบี้ยวหนี้ของธิดาเทพจักรพรรดิสงคราม เอาแค่ผู้อาวุโสเล็กๆ ของแคว้นนหวูก็เพียงพอแล้วที่จะสั่งสอนแคว้นเซี่ยว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไร


“พี่เซี่ยมีอะไรจะพูดอีกไหม ถ้าไม่เช่นนั้นพวกข้าก็ขอตัวก่อนแล้ว” มู่เฉินยิ้มให้เซี่ยหยู่


เขาไม่คิดที่จะต่อสู้กับพวกเซี่ยหยู่ที่นี่ เนื่องจากอีกฝ่ายมีคนมากและหากต้องต่อสู้ก็ต้องใช้เวลาพอสมควร ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือมุ่งหน้าไปที่ทะเลสาบสวรรค์และรับพิธีชำระล้าง ส่วนบัญชีกับเซี่ยหยู่ก็จัดการในอนาคตแล้วกัน


เมื่อเซี่ยหยู่เห็นรอยยิ้มของมู่เฉินก็กำหมัดแน่นขึ้นพร้อมกับเปลวไฟโหมกระหน่ำในใจ ตอนแรกมดอย่างมันที่เขาเซี่ยหยูสามารถบี้ได้อย่างง่ายดาย กลับไปมาอย่างสบายต่อหน้าเขา ซึ่งเขายังไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายด้วย


แต่ไม่ว่าจะรู้สึกโกรธแค่ไหน เซี่ยหยูก็ไม่กล้าที่พูดหรือยั่วยุอีกต่อไปเพราะเขารู้ดีว่าหากการต่อสู้เกิดขึ้นพวกเขาไม่ได้เปรียบแน่นอน


จอมยุทธ์แคว้นเซี่ยก็เงียบกริบ เพราะแม้แต่เซี่ยหยู่ยังไม่กล้าพูดแล้วพวกเขาจะกล้าได้ยังไง?


เมื่อทุกคนที่อยู่รอบๆ เห็นสิ่งนี้ก็อดไม่ได้ที่จะแอบหัวเราะในใจ ก่อนหน้าเซี่ยหยู่มีท่าทีสูงส่งกับมู่เฉินคิดว่าจะสามารถปราบปรามเขาได้อย่างง่ายดาย แต่ตอนนี้สถานการณ์กลับตาลปัตร ทำให้เขาดูน่าสังเวชมาก


เซี่ยหยู่สัมผัสได้ถึงสายตาทุกคนที่จ้องมองมาอย่างสะใจ ทว่าเขาได้แต่รับไว้ด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ


เมื่อมู่เฉินเห็นพวกเซี่ยหยู่นิ่งเงียบไป เขาก็ยิ้มอ่อนไม่สนใจอะไรทะยานออกไปพร้อมกับหญิงสาวสามคนติดตามไปอย่างใกล้ชิด


ทั้งสี่จากไปท่ามกลางสายตานับไม่ถ้วน แต่คราวนี้ไม่มีใครหยุดพวกเขาอีก มากจนพวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะแย่งสมบัติที่พวกเขาได้รับจากเกาะมังกร


สถานะของศิษย์ระดับมังกรทองสามคนเพียงพอที่จะข่มขู่พวกเขาทั้งหมด


พวกเซี่ยหยู่เฝ้าดูมู่เฉินจากไปอย่างเงียบๆ แต่ไม่มีใครกล้าพูด อากาศที่ครอบงำหายไปอย่างสมบูรณ์ ดูราวกับมะเขือเฉา


“พี่ใหญ่…” เซี่ยหงเปิดปากพูดอย่างไม่พอใจ ตอนแรกเขาคิดว่าจะสามารถจัดการกับมู่เฉินเพื่อแก้แค้นให้กับแขนที่ต้องเสียไป แต่ใครจะคิดว่ามู่เฉินจะทรงพลังมากถึงขนาดที่เซี่ยหยู่ยังกลัวจนไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหว


“หุบปาก!” ใบหน้าของเซี่ยหยู่มืดครึ้มขณะถลึงตาใส่เซี่ยหง ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้านี่สร้างความขุ่นเคืองกับมู่เฉิน พวกเขาจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าสมเพชเช่นนี้ได้อย่างไร?


เผชิญหน้ากับการรวมตัวของพวกมู่เฉิน แม้แต่คนที่ทรงพลังอย่างเซี่ยหยู่ก็รู้สึกกดดัน เนื่องจากเขามั่นใจว่าสามารถจัดการกับมู่เฉินได้ แต่เขาไม่มั่นใจว่าจะจัดการกับหลินจิ้งและเซียวเซียวผู้ลึกลับได้


เมื่อถูกตำหนิใบหน้าของเซี่ยหงก็มีสีเขียวสลับสีขาว อึดใจก็กัดฟัน “เราจะปล่อยเรื่องนี้ไปอย่างนี้เหรอ? ท่านพ่อย้ำก่อนออกเดินทางหนักหนา ชื่อเสียงของแคว้นเซี่ยจะปล่อยให้จอมยุทธ์กระจ้อยร่อยเหยียบย่ำไม่ได้เด็ดขาด”


ใบหน้าของเซี่ยหยู่มืดมน เขามองไปยังทิศทางที่พวกมู่เฉินไป อึดใจก็ตอบว่า “เรื่องนี้ไม่มีทางจบลงง่ายๆ หรอก หึ แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่ามันได้ผู้ช่วยเหลือที่ทรงพลังสองคนมาจากไหน แต่…มันคิดว่าข้าไม่มีความสัมพันธ์กับคนอื่นเรอะ? ข้าเชื่อว่าจาโหลหลัวและคนอื่นๆ ก็ต้องตั้งระวังสำหรับศิษย์ระดับมังกรทองคำที่ปรากฏตัวมาจากที่ไหนไม่รู้ ในเวลานั้นเราสามารถร่วมมือกับพวกเขากำจัดคนนอกเหล่านี้ ”


เมื่อคิดถึงตรงนี้ ใบหน้าของเซี่ยหยู่ก็เปลี่ยนเป็นน่าขนพองสยองเกล้าขณะพูดขึ้นอย่างน่ากลัว “ในเมื่อมู่เฉินกล้าท้าทายแคว้นเซี่ย ก็ขอข้าดูหน่อยสิว่ามันมีความสามารถพอไหม!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)