หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1123-1124
บทที่ 1123 เก้าตำหนัก
ป้ายมังกรทองคำนำพามู่เฉินผ่านค่ายกลที่ล้อมรอบวังโบราณ
เขาก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงความผันผวนรุนแรงของมิติ จากนั้นแสงวูบไหวที่เบื้องหน้าครรลองสายตา เมื่อมองขึ้นไปเบื้องหน้าวิวทิวทัศน์ก็เปลี่ยนไป
มู่เฉินยืนอยู่บนท้องฟ้ากวาดมองภาพรอบด้าน โลกโบราณปรากฏให้เห็นออกมาพร้อมกับรัศมียิ่งใหญ่ ที่ไม่มีที่ใดในเขตชั้นนอกเทียบคียงได้
ทั่วมิติปกคลุมไปด้วยยอดเขาแหลมและแม้จะถูกทิ้งร้างมานับหมื่นปี แต่สถานที่แห่งนี้ยังเต็มไปด้วยคลื่นพลังงานยิ่งใหญ่ ดังนั้นสามารถเห็นได้ว่าเป็นสถานที่นี้เหมาะสำหรับการเพาะบ่มพลังเพียงใด
มองเห็นตึกอาคารนับไม่ถ้วนตั้งเรียงรายบนยอดเขาโดยมีน้ำตกขนาดใหญ่คล้ายกับมังกรยักษ์ม้วนตัวลงมาพร้อมกับเสียงก้องกังวาลสะท้อนระหว่างฟ้าดิน
โดยเฉพาะบนท้องฟ้ามีเกาะหินลอยอยู่นับไม่ถ้วนซึ่งเต็มไปด้วยหออาคารแสดงให้เห็นว่าที่นี่เคยรุ่งเรืองมาก่อนขนาดไหน
มู่เฉินมองไปที่ฉากยิ่งใหญ่เบื้องหน้าก็อดถอนหายใจอย่างไม่สามารถควบคุมได้ เมื่อเทียบกับที่นี้ อาณาเขตกงเวทสวรรค์ดูเล็กไปเลย
“นี่คือวังสวรรค์บรรพกาลเหรอ?” น้ำเสียงสงสัยของหลินจิ้งดังขึ้นข้างหลังขณะมองไปทางซ้ายทีมองไปทางขวาทีแล้วอุทานขึ้น แม้ว่านางจะเป็นองค์หญิงน้อยของแคว้นหวู นางก็ประเมินสถานที่นี่ไว้สูงเช่นกัน
มู่เฉินพยักหน้ากวาดตาสำรวจไปรอบๆ เขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังงานหลิงที่กระเพื่อมไหวอยู่ในมิตินี้ ซึ่งน่าจะเป็นพวกล่าสมบัติที่เข้ามายังเขตชั้นในได้แล้ว
ความเงียบที่ดำเนินมานับหมื่นปีพังทลายอย่างสมบูรณ์
คนที่เข้ามาได้คล้ายกับโจรปล้นสะดมราวกับว่าต้องการพลิกพื้นดินขึ้นมาสำรวจทุกตารางนิ้ว เพราะแม้แต่คนที่โง่เขลาก็รู้รากฐานของมหาอำนาจยิ่งใหญ่ที่ครอบครองทวีปเทียนหลัวในยุคโบราณนี้น่ากลัวเพียงใด ตราบใดที่พวกเขาได้รับโอกาสก็จะเหมือนปลาคาร์พกระโจนผ่านประตูมังกร สร้างชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งทวีปเทียนหลัว
มู่เฉินหันไปมองสมาชิกจากพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือ ตอนนี้ทุกคนกำลังน้ำลายหกกับภาพขุมทรัพย์ขนาดใหญ่ ท่าทางกระตื้อรือร้นเหมือนจะรอกันไม่ไหวแล้ว
“ทุกคนถ้าต้องการหาสมบัติกันเองก็ไปได้เลย ถ้าเจอกับอันตรายก็ขอความช่วยเหลือได้”
มู่เฉินยิ้ม คนกลุ่มนี้รวมตัวกันแบบหลวมๆ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องตัวติดกันตลอดเวลา หากทำเช่นนั้นไม่เพียงแต่ทุกคนจะไม่ชอบใจ แต่ยังลำบากหากพบสมบัติอีกด้วย
ดังนั้นจึงเป็นการดีที่สุดที่จะแยกกันชั่วคราวและคอยติดต่อกันไว้เท่านั้นเอง
เมื่อจอมยุทธ์ภูมิภาคทางเหนือที่คันไม้คันมือมานานได้ยิน ความสุขก็ปรากฏบนหน้าและพยักหน้ารับทราบ
มู่เฉินยิ้มก่อนจะเตือนต่อว่า “แม้จะมีสมบัติมากมายในวังโบราณแต่สถานที่แห่งนี้ยังคงมีคลื่นพลังหนาแน่น มิหนำซ้ำบางจุดยังมีคลื่นหลิงเลือนรางซ่อนอยู่ ดังนั้นจงระวังอย่าไปกระตุ้นค่ายกลจนทิ้งชีวิตไป”
ทุกคนพยักหน้าขอบคุณแล้วพุ่งตัวออกไป
“หากไม่มีคนกลุ่มนี้ห้อยตามกันไป ทุกอย่างก็สะดวกขึ้นสำหรับเรา” มุมปากของจิ่วโยวยกขึ้นเมื่อมองกลุ่มคนจากไป ในบรรดาจอมยุทธ์เหล่านี้นอกจากเฉวียนหมิง คนที่เหลือคงช่วยอะไรไม่ได้หากพบกับศัตรูที่แข็งแกร่งแต่ยังเป็นภาระอีกด้วย แต่ในตอนแรกก็ไม่สามารถปฏิเสธที่จะพาพวกเขา เพราะเบื้องหลังของพวกเขามีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนของภูมิภาคทางเหนือสนับสนุน มิฉะนั้นนี่เพียงอาณาเขตกงเวทสวรรค์แห่งเดียวคงไม่สามารถข่มขั้วอำนาจชั้นนำในทวีปเทียนหลัวได้
มู่เฉินยิ้ม นี่คือเหตุผลที่เขาให้ทุกคนแยกออกจากกลุ่มไป มีสหายสองคนข้างๆ ก็พอแล้ว
“แล้วเราจะทำยังไงต่อ?” หลินจิ้งถามเสียงตื่นเต้น เห็นได้ชัดว่านางพร้อมที่จะลุยแล้ว
มู่เฉินมองออกไปครุ่นคิดครู่หนึ่ง “วังสวรรค์บรรพกาลกว้างใหญ่ไพศาล นอกจากนี้ในตอนนั้นที่จู่ๆ หายไปทั้งขั้วอำนาจก็เป็นเรื่องแปลกพิสดาร ดังนั้นเราต้องระมัดระวังหน่อย…”
“ตามการคาดการณ์ของข้าชั้นแรกน่าจะเป็นตำหนักทั้งเก้า ถัดจากนั้นก็เป็นเป้าหมายหนึ่งของเราทะเลสาบสวรรค์!”
วังสวรรค์บรรพกาลแบ่งออกเป็นสิบตำหนักและเจ็ดหอ โดยที่นี่ควรเป็นพื้นที่ของตำหนักทั้งเก้าแห่ง
เมื่อได้ยินคำว่าทะเลสาบสวรรค์ ดวงตาของหลินจิ้งก็เปล่งประกายระยิบระยับ “ไม่รู้ว่าตอนนี้ทะเลสาบสวรรค์ของวังสรรค์บรรพกาลยังมีประสิทธิภาพพิเศษเหมือนอดีตหรือไม่?”
“เจ้ารู้ด้วยเหรอ?” มู่เฉินรู้สึกประหลาดใจแต่แวบเดียวก็เข้าใจได้ทันทีว่า ด้วยบิดาของนางความลับของวังสวรรค์บรรพกาลไม่มีทางที่หลินจิ้งไม่รู้
หลินจิ้งพยักหน้าพลางตอบ “ครั้งหนึ่งข้าเคยได้ยินท่านพ่อพูดเรื่องนี้ จักรพรรดิฟ้าเป็นหนึ่งในเหตุผลที่วังสวรรค์บรรพกาลเป็นเจ้าเหนือหัวของทวีปเทียนหลัว แต่ทะเลสาบสวรรค์ก็เป็นอีกหนึ่งในเหตุผลเช่นกัน ในเวลานั้นจุดประสงค์ของอัจฉริยะมากมายที่มาร่วมกับที่นี่ก็คือการได้ทำพิธีชำระล้างในทะเลสาบ”
“ว่ากันว่าการชำระล้างในทะเลสาบสวรรค์สามารถเปลี่ยนร่างกายผู้ฝึกและปรับแต่งคลื่นหลิงในเวลาเดียวกัน มากจนสามารถกล่อมเกลาร่างเทห์สวรรค์จนยกขึ้นอีกระดับ”
“มีข่าวลือกันว่าเคยมีจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มได้บรรลุเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนตอนทำพิธีชำระด้วย”
สายตาของจิ่วโยวสั่นไหว ตัวนางเข้าใกล้ระดับตี้จื้อจุนแล้ว นางรู้ว่ายากแค่ไหนที่จะทำลายห่วงนี้ได้ จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้านับไม่ถ้วนในใต้หล้านี้ล้มเหลว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพัฒนาการนี้ยากเพียงใด
บางทีข่าวลือที่หลินจิ้งพูดอาจจะเกินจริงไปบ้าง แต่ก็พิสูจน์ให้เห็นถึงความหัศจรรย์ของทะเลสาบสวรรค์แล้ว
มู่เฉินยิ้มบาง “แต่ไม่ใช่ทุกคนที่มีคุณสมบัติที่จะรับพิธีชำระล้าง ตามกฎศิษย์ต้องได้รับความเห็นชอบจากเก้าตำหนักและรับป้ายมาเท่านั้นถึงสามารถเข้าสู่ทะเลสาบสวรรค์ได้”
“แม้ว่าวังสวรรค์บรรพกาลจะเกิดการเปลี่ยนแปลงมากในปัจจุบัน แต่ข้าเชื่อว่ากฎยังคงอยู่เหมือนกับประตูมังกรทะยานสวรรค์ ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องค้นหาตำหนักทั้งเก้าก่อน ดูสิว่าสามารถได้รับป้ายมาหรือไม่?”
จิ่วโยวพยักหน้า ด้วยจำนวนจอมยุทธ์หัวกะทิมากมายที่เข้ามา ทั้งหมดก็น่าจะมุ่งสู่ทะเลสาบสวรรค์ ในเมื่ออุปสงค์มากกว่าอุปทาน ทุกคนก็ต้องเร่งรีบให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
มู่เฉินก็คิดเรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงไม่พูดมากโบกมือเป็นสัญญาณทันที “ไปเถอะ เราควรไปได้แล้ว”
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองฟ้าดินกว้างใหญ่ ก่อนที่จะกลายเป็นร่างแสงมุ่งหน้าไปยังเกาะหินลอยแห่งหนึ่ง
จิ่วโยวและหลินจิ้งติดตามไปอย่างใกล้ชิดที่เบื้องหลัง เปิดฉากการผจญภัยในวังสวรรค์บรรพกาล
ทั้งสามไม่ได้เก็บเกี่ยวใดๆ ในเกาะหินแห่งแรก เนื่องจากอาคารทั้งหลายกลายเป็นซากปรักหักพัง แม้ว่าจะพบอาวุธโบราณบางอย่าง แต่ก็ซีดจางจนกำลังจะแตกหัก
แต่เมื่อพิจารณาจากสภาพแวดล้อมบนเกาะ มู่เฉินก็เดาได้ว่าต้องเกิดการสู้รบสะเทือนฟ้าดินขึ้นที่นี่
การค้นหาครั้งแรกล้มเหลว แต่ทั้งสามคนก็ไม่ได้ผิดหวังอะไร ยังคงมุ่งหน้าสำรวจไปรอบๆ
ขณะที่พวกเขาสำรวจเข้าไปลึกขึ้น มู่เฉินก็พบบางอย่างที่ทำให้ปวดหัว เกาะหินลอยเหล่านี้มีบางส่วนถูกล้อมรอบด้วยค่ายกล แม้ว่าค่ายกลจะไม่ได้ทรงพลังเกินไป แต่ก็สามารถปิดกั้นการมองเห็นของพวกเขาได้ เว้นแต่พวกเขาจะทำลายค่ายกล ไม่เช่นนั้นก็ไม่อาจรู้ได้ว่าด้านในเกาะเป็นอย่างไร
ทว่ามีเกาะหินลอยเคว้งคว้างในวังโบราณนับพันนับหมื่น หากพวกเขาต้องทำลายค่ายกลและสำรวจทีละเกาะ จะเสียเวลาไปนานเท่าไร?
ทั้งสามรู้สึกจนใจกับเรื่องนี้ แต่ก็ต้องทำลายค่ายกลและตรวจสอบไปทีละเกาะเท่านั้น ทว่าโชคดีที่ความช่วยไม่ได้อยู่ไม่นาน ในที่สุดพวกเขาก็ได้รับการเก็บเกี่ยวบนเกาะหินแห่งหนึ่งที่ไม่โดดเด่น
มู่เฉินพบม้วนคัมภีร์หยกข้างซากกระดูกโครงหนึ่ง ซึ่งในม้วนคัมภีร์หยกไม่ได้บันทึกทักษะพิเศษอะไรไว้ แต่เป็นแผนที่ธรรมดา
ทว่าในสายตาของเขาแผนที่นี่คือขุมทรัพย์
นั่นเป็นเพราะแผนที่นี้แสดงถึงการแบ่งพื้นที่เป็นสัดส่วนของวังสวรรค์บรรพกาล โดยมีจุดที่ตั้งของเก้าตำหนักและห้าหอ
ด้วยสิ่งนี้พวกเขาสามารถละเกาะหินที่ไม่สำคัญตรงไปยังตำหนักทั้งเก้าได้เลย
“มู่เฉิน เจ้าเจ๋งมาก!” หลินจิ้งกระโดดตัวลอย เกาะหินว่างเปล่าก่อนหน้าทำให้นางรู้สึกหดหู่ใจ
มู่เฉินยิ้มกว้างกวาดสายตามองแผนที่จากนั้นก็มองไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ “ตามแผนที่นี้ ตำหนักสายลมตั้งอยู่ในทิศทางนั้น เราไปสำรวจกันเถอะ”
ตำหนักสายลมเป็นหนึ่งในเก้าตำหนักที่มีผู้ดูแลเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น ดังนั้นจะต้องมีสมบัติแท้จริงให้คว้าแน่นอน
“ไป!”
สายตาของมู่เฉินลุกโชน กลายเป็นร่างแสงทะยานออกไปในทิศทางที่ระบุไว้ในแผนที่โดยไม่ลังเลใดๆ
ภายใต้แผนที่ระบุสถานที่ชัดเจน พวกมู่เฉินใช้เวลาเพียงสิบกว่านาทีก่อนที่จะหยุดตัวลง เกาะหินธรรมดาปรากฏต่อหน้าพวกเขา
ทว่าไม่มีใครคิดว่าเกาะที่ดูธรรมดาแห่งนี้จะเป็นหนึ่งในเก้าตำหนัก—ตำหนักสายลม!
บทที่ 1124 ทำลายค่ายกล
“นี่คือที่ตั้งของตำหนักสายลมหนึ่งในเก้าตำหนักเหรอ?”
จิ่วโยวและหลินจิ้งมองเกาะหินธรรมดาที่เบื้องหน้าพร้อมกับความสงสัยกะพริบในนัยน์ตา
ตำหนักทั้งเก้ามีสถานะที่สูงในวังสวรรค์บรรพกาล ซึ่งเป็นรองแค่เจ้าวังและเหล่าจอมพลผู้ดูแลหอเท่านั้น เมื่อเทียบกับขั้วอำนาจต่างๆ ในปัจจุบันก็เท่ากับขั้วอำนาจระดับต้นของทวีปเทียนหลัวเลยทีเดียว แล้วทำไมตำหนักถึงดูแสนธรรมดาขนาดนี้?
“นั่นคือจุดที่ระบุไว้บนแผนที่นะ” มู่เฉินยักไหล่ก่อนจะเคลื่อนเข้าไปใกล้เกาะหิน คลื่นหลิงยิงออกไป แต่เมื่อคลื่นอยู่ห่างจากเกาะหินลอยร้อยจั้ง มิติก็แปรปรวน ปราการพลังปรากฏขึ้นลบคลื่นหลิงออกไป
มู่เฉินเดินเข้าไปใกล้วางฝ่ามือบนปราการแล้วหลับตาลง ระลอกคลื่นที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากระจายออกจากฝ่ามือ ขยายออกตามปราการที่ห่อหุ้มเกาะหิน
ใช้เวลาไม่นานก่อนที่เขาจะค่อยๆ ลืมตาแล้วยิ้มให้หญิงสาวทั้งสอง “ค่ายกลนี้ยากที่จะจัดการ แต่โชคดีที่มีช่องโหวเกิดขึ้นตามร่องรอยกาลเวลา มิฉะนั้นคงไม่มีทางสำหรับเราที่จะฝ่าไปด้วยกำลังที่มี”
เมื่อพูดจบเขาก็ตบเบาๆ ที่ค่ายกล รอยแยกหนึ่งจั้งปรากฏขึ้น
“สะดวกจริงที่มีหลินเจิ้นซือ” เมื่อหลินจิ้งเห็นว่ามู่เฉินจัดการค่ายกลได้อย่างง่ายดายอย่างไร นางก็อมยิ้มแก้มตุ่ย หากเป็นพวกนางคงได้แต่ใช้กำลังในการทำลายค่ายกล ซึ่งจะเสียเวลามาก
“เชิญพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง”
มู่เฉินยิ้มผายมือเชื้อเชิญ จิ่วโยวและหลินจิ้งแลกเปลี่ยนสายตากันพร้อมกับยิ้ม ก่อนที่จะเดินเข้าไปในรอยแตกโดยมีมู่เฉินปิดท้ายที่ด้านหลัง
เมื่อทั้งสามผ่านรอยแตกเข้ามาได้ก็ตระหนักว่าหมอกที่เบื้องหน้าจางหายไป ทั้งสามมองไปก็เห็นเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
เกาะหินที่ตอนแรกดูธรรมดา กลายเป็นเกาะขนาดใหญ่หลายหมื่นจั้งที่มีอาคารมากมายนับไม่ถ้วน! มีหอคอยหินตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเกาะ ตำหนักสีฟ้าอมเขียวล้อมรอบด้วยพายุทำให้มิติบิดเบี้ยวไปมา
“นี่สินะ ตำหนักสายลมที่แท้จริง…” มู่เฉินมองเกาะหินมหึมาที่ยิ่งใหญ่ก็ถอนหายใจโล่งอก ดูท่าแผนที่จะระบุไม่ผิด เกาะหินเบื้องหน้านี้เป็นตำหนักสายลมจริงๆ
ทั้งสามสบตากันแล้วทะยานเข้าไปอย่างระมัดระวัง ก่อนที่จะหยุดที่กลางอากาศมองลงไปที่เกาะ
สิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจก็คือความจริงที่ไม่มีซากปรักหักพังใดบนเกาะ อาคารต่างๆ ดูราวกับไม่มีความเปลี่ยนทั้งที่ผ่านมานับหมื่นปี
ทว่าในไม่ช้าพวกเขาก็พบสิ่งที่ผิดสังเกต
มีโครงกระดูกมากมาย ซึ่งชัดว่าเป็นของจอมยุทธ์แห่งตำหนักสายลมนี้ ทุกคนมีท่าทางมองขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับความกลัวฉาบบนใบหน้า
ความตายของพวกเขาเหมือนมาในชั่ววูบ สีหน้าถึงได้แข็งค้างไว้เช่นนี้
มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นเช่นกัน ภายในเกาะสามารถมองทะลุปราการคลื่นหลิง ดังนั้นจึงสังเกตเห็นรอยดำบางๆ บนขอบฟ้า แม้รอยนี้จะจางมากแล้ว แต่พวกมู่เฉินก็ยังคงรู้สึกคลุมเครือว่าเผ่าปีศาจต่างมิติน่าจะลงมาจากที่จุดนั้นในสมัยโบราณ…
พร้อมกันนั้นจะต้องมีนักรบปีศาจที่น่าสะพรึงมากมาด้วย ภายใต้รัศมีร้ายกาจนั้นทำให้ทุกคนในตำหนักสายลมซึ่งอยู่ใกล้มากที่สุดถูกฆ่าทันที
“ว่ากันว่าตอนที่เผ่าปีศาจเคลื่อนพลรุกรานทวีปเทียนหลัว มีนักรบราชันปีศาจที่ทรงพลังมาด้วยและสถานะของมันก็ไม่ได้ต่ำ ท่าทางจอมยุทธ์ตำหนักสายลมจะถูกกำจัดโดยนักรบราชันปีศาจนั้น” เสียงของหลินจิ้งดังก้อง
มู่เฉินพยักหน้า วังสวรรค์บรรพกาลเป็นดินแดนของจักรพรรดิฟ้าที่เป็นยอดยุทธ์ในสมัยโบราณ โดยเป็นหนึ่งในจักรพรรดิซึ่งถือได้ว่าเป็นเสาหลักของมหาพันภพ ดังนั้นหากเผ่าปีศาจต่างมิติไม่ส่งสุดยอดนักรบราชันปีศาจมาก็เป็นไปไม่ได้ที่จะล้างผลาญทวีปเทียนหลัว
“หลังจากสงครามครั้งนั้นจักรพรรดิฟ้าก็หายตัวไปพร้อมกับวังสวรรค์บรรพกาลถูกทำลาย ดูเหมือนว่าสุดท้ายพวกปีศาจจะทำสำเร็จ” จิ่วโยวถอนหายใจ
“นักรบราชันปีศาจที่มาต้องไม่ธรรมดา…” หลินจิ้งมุ่นคิ้วพลางพูดต่อ “ข้าได้ยินไม่ชัดนักจากท่านพ่อว่านักรบราชันคนนี้ได้รับการจัดอันดับสูงในหมู่เผ่าปีศาจต่างๆ ทั้งหมด แต่โชคดีที่มันหายไปพร้อมกับจักรพรรดิฟ้า ข้าว่าพวกเขาคงลากคอกันไปตายพร้อมกัน มิฉะนั้นมหาพันภพจะต้องจ่ายราคาที่มากขึ้นจากสงคราม”
หลินจิ้งไม่คิดพูดถึงสงครามในอดีตต่อ นางกวาดสายตาสำรวจแล้วเปลี่ยนหัวข้อ “ตำหนักสายลมดูเหมือนถูกกวาดจนเหี้ยนเต้ หากผู้บัญชาการตำหนักสายลมสิ้นชีพแล้วก็ไม่ยากที่เราจะคว้าป้ายมา แต่รัศมีชั่วร้ายของเผ่าปีศาจเป็นที่รู้กันดีว่าครอบงำมากและสามารถรุกรานจิตใต้สำนึกของผู้คน เมื่อรัศมีปีศาจบุกเข้ามาจิตใต้สำนึกก็จะกลายเป็นสิ่งชั่วร้าย ดังนั้นหวังว่าผู้บัญชาการตำหนักสายลมจะไม่ได้กลายเป็นปีศาจ…”
“หวังว่าจะไม่ซวยแบบนั้น”
มู่เฉินเบ้ปาก ไม่ว่าอย่างไรผู้บัญชาการตำหนักสายลมก็ยังเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น แม้ว่าจะผ่านมานับหมื่นปีก็ไม่อาจประมาทได้ หากประหน้ากันจริงๆ ละก็งานนี้ปวดหัวหนักแน่นอน!
“ไปที่โถงกันเถอะ ที่นั่นน่าจะเป็นโถงใหญ่นะ” มู่เฉินมองไปที่เบื้องหน้าจับจ้องไปที่ใจกลางเกาะที่มีตำหนักสีฟ้าอมเขียวล้อมรอบด้วยพายุ ถ้าเขาเดาถูก ป้ายของผู้บัญชาการตำหนักสายลมมีโอกาสปรากฏที่นั่นสูงสุด
จิ่วโยวและหลินจิ้งพยักหน้าไม่ได้คัดค้าน
มู่เฉินทะยานนำออกไป ทว่านี่เป็นการเคลื่อนตัวที่แปลกประหลาดมากเพราะสลับไปมาระหว่างเร็วกับช้า บางครั้งถึงกับเดินวนไปรอบๆ เนื่องจากเขาสามารถตรวจจับความผันผวนของค่ายกลที่ยุ่งเหยิง หากก้าวเข้าไปอาจกระตุ้นการใช้งานการป้องกันและดึงดูดปัญหาเข้ามายกใหญ่
การหลบเลี่ยงเช่นนี้ทำให้ความเร็วทั้งสามลดลง ดังนั้นหลังจากผ่านไปสิบนาทีพวกเขาถึงได้เข้าใกล้โถงหลักซึ่งล้อมไปด้วยพายุและพลิ้วตัวลงไปอย่างระมัดระวัง
“นี่คือค่ายกลระดับจงซือ”
มู่เฉินหยุดเบื้องหน้าโถงแล้วเงยหน้าขึ้นมองพายุสีฟ้าอมเขียว เพราะนี่ไม่ใช่พายุธรรมดา แต่เป็นพายุที่ก่อตัวขึ้นโดยค่ายกลที่ทรงพลัง
ตามการคาดการณ์ของมู่เฉินนี่น่าจะเป็นค่ายกลระดับจงซือของแท้
เมื่อจิ่วโยวและหลินจิ้งได้ยินคำพูดของเขาก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป สมกับเป็นเขตในวังสวรรค์บรรพกาล แค่ค่ายกลโถงหลักของตำหนักยังอยู่ในระดับจงซือ
“ทำลายได้ไหม?” จิ่วโยวถาม
ด้วยความแข็งแกร่งของกลุ่มเป็นไปไม่ได้ที่จะทำลายค่ายกลระดับนี้โดยพละกำลัง ดังนั้นจะต้องพึ่งพาความสามารถของมู่เฉินในศาสตร์ค่ายกลอย่างเดียว
มู่เฉินมองไปที่ค่ายกลและนิ่งเงียบอยู่นานก่อนจะตอบว่า “การทำลายเป็นไปไม่ได้เลย แม้ว่าจะผ่านมานับหมื่นปี แต่นี่ก็ยังเป็นค่ายกลระดับจงซือ แต่ข้าสามารถลองตรวจสอบวิถีของมัน ถ้าหาช่องโหว่ได้ก็น่าจะเข้าไปได้ ไม่งั้นคงต้องยอมแพ้”
การตัดสินใจช่างเด็ดขาด เพราะพวกเขาไม่สามารถทำลายด้วยพละกำลัง ไม่งั้นจะต้องจ่ายราคาแพงระยับ แทนที่จะเป็นแบบนั้นก็น่าจะมองหาตำหนักที่เหลืออยู่ดีกว่า
“ระวังให้ด้วย”
มู่เฉินพูดกับทั้งสอง จากนั้นก็นั่งลงสะบัดนิ้วส่งสัญลักษณ์หลิงยิ่งออกไป
เมื่อสายผนึกเหล่านั้นเข้าใกล้ระยะร้อยจั้งที่ด้านหน้าห้องโถง ก็รวมเข้าในมิติปล่อยความผันผวนที่ไม่ธรรมดาออกมาอย่างคลุมเครือ
เมื่อจิ่วโยวและหลินจิ้งเห็นภาพนี้ก็ไปยืนอยู่ข้างหลัง หลินจิ้งโบกมือเรียกตุ๊กตาน้ำแข็งขึ้นมา ทั้งสามก่อตัวเป็นรูปครึ่งวงกลมล้อมรอบมู่เฉินไว้
ภายใต้การปกป้อง การควบแน่นของสัญลักษณ์หลิงยิ่งก็ขยายตัวเร็วขึ้น หลอมรวมเข้ากับมิติอย่างต่อเนื่อง
สิ่งที่ทำก่อให้เกิดความปั่นป่วนขึ้น พายุดูหมือนจะถูกดึงโดยบางสิ่งเสียงโหมกระหน่ำสะท้อนก้อง พร้อมกับเสียงฟ้าร้องคำรามเลือนราง
ขณะเดียวกันแรงกดดันทรงพลังพร้อมกับความผันผวนของคลื่นหลิงน่าอัศจรรย์ก็แผ่ออกมา ทำให้ใบหน้าของจิ่วโยวและหลินจิ้งเคร่งเครียดลงเรื่อยๆ หากค่ายกลโจมตี พวกนางคงต้องตกอยู่ในสภาพน่าสมเพช
แต่โชคดีที่พายุไม่ได้กระหน่ำทางทิศของพวกนาง ภายต้สายตาวิตกกังวลและความปั่นป่วนก็คงอยู่ชั่วครู่ก่อนทุกอย่างจะสงบลง
ทันใดนี้เองพวกนางก็เห็นมู่เฉินลืมตาขึ้น สีหน้าเขาเคร่งขรึมลง รอยเลือดปรากฏตรงปลายนิ้ว จากนั้นก็วาดลงบนอากาศเบื้องหน้าเบาๆ
ริ้วรอยเลือดปรากฏขึ้นพร้อมกับสัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนรอบๆ จากนั้นหญิงสาวทั้งสองก็เห็นปราการแสงสีฟ้าปริแตกออกเล็กน้อยที่ด้านนอกโถง
“ไป!”
มู่เฉินร้องบอกขณะทะยานเข้าไปในรอยแตกโดยที่จิ่วโยวและหลินจิ้งตามมาไม่ห่าง
เมื่อทั้งสามเข้าไป รอยแตกก็ค่อยๆ กลับคืนสภาพปกติ
ทว่าไม่นานหลังจากทั้งสามเข้าไป มิติด้านหลังก็แปรกปรวน เท้าลาวาก้าวออกมา!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น