หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1115-1120
บทที่ 1115 ศิษย์ระดับเจียวทองคำ
ประตูหินโบราณตั้งตระหง่านเงียบๆ
พร้อมกับจอมยุทธ์ชั้นสูงจากหลากหลายสำนักทั่วทวีปเทียนหลัวจ้องมองไปด้วยสายตาร้อนแรง ความตื่นเต้นอัดแน่นไปหมด ประตูที่เบื้องหน้าพวกเขาเป็นการเริ่มต้นเพื่อเข้าสู่วังสวรรค์บรรพกาล เฉพาะคนที่ผ่านไปได้เท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์เข้าไปภายใน
ภายใต้สายตาทั้งหมด เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็มีคนทำลายความเงียบด้วยการก้าวออกมา
“ฮ่าๆ! ในเมื่อทุกคนระวังตัวแจกันแบบนี้ งั้นพวกข้าสำนักเคลื่อนบรรพตขอลองเป็นคนแรกแล้วกัน!” เสียงหัวเราะดังกึกก้อง ร่างแสงหลายร่างก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า หยุดอยู่ที่ด้านหน้าประตูมังกร
ทุกคนเบนสายตาไปมองทันที
มู่เฉินกวาดมองไปก็เห็นคนสวมชุดสีเทาหลายคน พร้อมกับมีคนคนหนึ่งยืนที่หน้ากลุ่ม เขาเป็นชายร่างสูงกำยำมีลวดลายสีเทาปกคลุมผิวกาย ทำให้ร่างกายเขามีความรู้สึกหนักหน่วง ราวกับไม่ใช่คนแต่เป็นภูเขาตั้งตระหง่าน
เมื่อมู่เฉินเห็นความคิดสายหนึ่งแล่นผ่านใจ “หลินเจี๋ยแห่งสำนักเคลื่อนบรรพต ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า อันดับยี่สิบแปดบนทำเนียบ”
หลินเจี๋ยไม่ใช่จอมยุทธ์ไม่มีชื่อเสียง อันดับนี้สามารถพิสูจน์ถึงความโดดเด่นของเขาในทวีปเทียนหลัวแล้ว
ในเวลาปกติหลินเจี๋ยเป็นจุดรวมสายตาเมื่อปรากฏตัว แต่ที่นี่มีจอมยุทธ์ชั้นสูงจำนวนมากมารวมตัวกัน กระทั่งคนอย่างซูชิงหยิงยังมา ดังนั้นความเจิดจรัสของหลินเจี๋ยจึงลดลง แต่พลังของเขายังคงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถโต้แย้งได้
เมื่อหลินเจี๋ยปรากฏตัวบนกลางอากาศ สายตาร้อนแรงก็จับจ้องอยู่ที่ประตูหินโบราณ เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ร่างกายเคลื่อนไหวโดยไม่มีความลังเล เปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งเข้าไป
ทุกคนต่างจับจ้องไปที่เขา
วาบ!
อึดใจหลินเจี๋ยก็ปรากฏตัวด้านหน้าประตูมังกร ทันใดนั้นแสงก็ส่องมาจากด้านบนของประตู นำพาหลินเจี๋ยหายเข้าไปในประตู
ทุกคนจ้องมองการหายไปอย่างใจจดใจจ่อ
ทั่วบริเวณเงียบงัน สายตาทุกคู่จ้องมองไปที่ประตูโบราณ ซึ่งกลับสู่ความสงบหลังจากดูดร่างหลินเจี๋ยเข้าไป
ทว่าความเงียบกินเวลาไม่นาน เสียงครางกระหึ่มก็ดังออกมา
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
ประตูสั่นสะเทือน แสงไหลเวียนเหนือประตู พร้อมกับอักษรลึกลับกลิ้งไปมา
แคร็ก!
ประตูที่ปิดแน่นหนาแง้มออก แสงสว่างจ้าพรั่งพรูออกมา เผยเงาร่างที่ดูสมเพช นี่ก็คือหลินเจี๋ยที่พุ่งเข้าไปเมื่อครู่
เมื่อหลินเจี๋ยปรากฏตัวขึ้น แสงก็เริ่มควบแน่นที่เบื้องหน้ากลายเป็นป้ายโบราณ
วาบ!
สายตานับไม่ถ้วนมองไปที่ป้ายโลหะทันที
มู่เฉินก็จ้องมองไปที่ป้ายเห็นภาพอินทรีเขียวบินฉวัดเฉวียนอยู่บนป้าย
“ป้ายอินทรีเขียว!”
หลายคนมีดวงตาเฉียบคม ความโกลาหลจึงระเบิดออก จากนั้นหลายคนก็ผงะไป พวกเขาไม่ได้ตกใจกับผลลัพธ์ของหลินเจี๋ย แต่อึ้งไปที่หลินเจี๋ยมีคุณสมบัติเป็นศิษย์ระดับอินทรีเขียวเท่านั้น ทั้งที่มีความแข็งแกร่งขนาดนี้
ตามการจัดอันดับ อินทรีเขียวถือเป็นระดับปานกลางเท่านั้น
หลินเจี๋ยเป็นหนึ่งในสามสิบของจอมยุทธ์หัวกะทิของทวีปและถือว่าเป็นตัวหลักไม่ว่าจะอยู่ขั้วอำนาจใดก็ตามในทวีปเทียนหลัวซึ่งจะได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด
“กฎเกณฑ์ของวังสวรรค์บรรพกาลเข้มข้นไปแล้ว” มีบางคนพูดขึ้นด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ พลังของพวกเขาด้อยกว่าหลินเจี๋ยเสียอีก ถ้าพวกเขายืนอยู่ตรงนั้นอย่างมากก็จะได้รับแค่ป้ายหมาป่ารึไง?
นั่นจัดเป็นศิษย์อันดับต่ำสุดในวังสวรรค์บรรพกาลเลยนะ
“ดูเหมือนศิษย์ระดับมังกรไม่ใช่งานง่ายแล้ว” มู่เฉินพึมพำด้วยสีหน้าเคร่งเครียด จากนั้นก็แลกเปลี่ยนสายตากับจิ่วโยว
“อย่าเพิ่งพูดถึงศิษย์ระดับมังกร ข้าว่ากระทั่งศิษย์ระดับเจียวก็ไม่ใช่เรื่องง่าย วังสวรรค์บรรพกาลสมกับเป็นอดีตผู้ปกครองทวีปเทียนหลัวจริงๆ…” จิ่วโยวเผยรอยยิ้มหมดหนทาง
มู่เฉินพยักหน้า แต่ไม่ได้แปลกใจอะไรกับเรื่องนี้ ด้วยรากฐานของวังสวรรค์บรรพกาล จอมยุทธ์ชั้นสูงธรรมดาก็เป็นศิษย์แบบดาษดื่นเท่านั้น มีเพียงจอมยุท์มากพรสวรรค์จริงๆ ที่จะสามารถโดดเด่นได้
เผชิญหน้ากับสายตาเศร้าสลดของผู้คน หลินเจี๋ยก็มองไปที่ป้ายอินทรีเขียวพลางยิ้มขมขื่น เขารู้สึกไม่ค่อยพอใจกับผลลัพธ์นี้ แต่ก็ทำได้เพียงถอนหายใจเมื่อนึกถึงการทดสอบโหดหินของประตูมังกรมะยานสวรรค์
หลินเจี๋ยยื่นมือออกคว้าป้ายอินทรีเขียว รังสีสีฟ้าอมเขียวก็เบ่งบานออกมาโอบกอดตัวเขา เปลี่ยนเป็นเกลียวแสงสีอมเขียวพุ่งออกไป
เมื่อเกลียวเส้นสายในค่ายกลสัมผัสกับเกลียวแสงสีฟ้าอมเขียว ค่ายกลก็เปิดออก ร่างหลินเจี๋ยก็หายเข้าไปในค่ายกล
“เข้าไปแล้ว?”
ทุกคนเบิกตากว้างกับภาพที่เกิดขึ้น จากนั้นความสุขก็กระจายบนใบหน้า ตามคาดตราบใดที่พวกเขาได้รับป้ายประจำตัวก็จะสามารถผ่านค่ายกลเข้าไปได้
เมื่อตัดสินจากการหายไปของหลินเจี๋ย สิ่งที่พวกเขาเห็นต่อหน้าบางทีอาจเป็นเพียงภาพลวงตา เมื่อผ่านเข้าไปในค่ายกลได้เมื่อไรก็จะได้เห็นวังสวรรค์บรรพกาลที่แท้จริง
ทันใดนั้นบรรยากาศก็เดือดพล่าน ทุกคนรู้สึกโล่งใจ
วาบ!
สมาชิกสำนักเคลื่อนบรรพตก็พุ่งเข้าไปในประตูมังกรทะยานสวรรค์โดยไม่ลังเล ครั้งนี้ใช้เวลายิ่งสั้นลง เพียงสิบกว่าอึดใจก็กระเด็นออกมาในลักษณะน่าสมเพช
ทั้งหมดได้รับเพียงป้ายหมาป่าเขียว
ชัดว่าผลลัพธ์จากการทดสอบของพวกเขาด้อยกว่าหลินเจี๋ยมาก
เมื่อจอมยุทธ์สำนักเคลื่อนบรรพตเห็นสิ่งนี้ก็ยิ้มอย่างขมขื่น ก่อนจะคว้าป้ายพุ่งตัวเป็นร่างแสงเข้าไปในค่ายกล
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
หลังจากได้เห็นสมาชิกสำนักเคลื่อนบรรพตผ่านเข้าไปแล้ว กลุ่มคนอื่นๆ ก็รู้สึกโล่งใจ จากนั้นเสียงลมแหวกอากาศก็ดังก้องไม่หยุด ร่างแสงนับไม่ถ้วนพุ่งสู่ประตูมังกรทะยานสวรรค์
ฮึ่ม ฮึ่ม
แสงสว่างพุ่งออกมาจากประตูอย่างต่อเนื่อง ดูดทุกคนที่เข้าใกล้
ในเวลาต่อไปหน้าประตูก็คึกคักอย่างยิ่ง มีผู้คนพุ่งเข้าไปตลอดเวลาก่อนที่จะกลับออกมาพร้อมกับแสงสีขาวหรือสีเขียว กระทั่งแสงสีทองก็มองเห็นได้
มู่เฉินสังเกตจากภาพทั้งหมด ก็เห็นว่าป้ายระดับสูงสุดที่ปรากฏเป็นเพียงป้ายอินทรีทองคำ คนที่ได้ป้ายอินทรีทองคำอยู่ในลำดับยี่สิบเอ็ดของทำเนียบ ซึ่งต่ำกว่ามู่เฉินเพียงอันดับเดียว
“ถ้าเป็นไปตามการจัดอันดับ อย่างมากข้าคงเป็นได้แค่ศิษย์ระดับอินทรีทองทองคำเท่านั้น” มู่เฉินเกาหัวแกรกกรากพูดติดตลก
“ขำตายล่ะ…” จิ่วโยวกลอกตาบนเมื่อได้ยินมุกเยาะเย้ยตัวเอง เพราะนางรู้ดีกว่าใครเกี่ยวกับไพ่ตายที่มู่เฉินมี ไม่ต้องพูดถึงจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า คนอย่างมู่เฉินมีกระทั่งพลังที่จะเผชิญหน้าขั้นเก้าระยะเต็ม
“คนน่าสนใจเคลื่อนไหวแล้ว” หลินจิ้งที่เฝ้าดูก็พูดออก
เมื่อได้ยินมู่เฉินและจิ่วโยวก็หันไปมองเห็นว่าหลิ่วกุย หวังทงเสียนและฉินจิงเจ๋อพุ่งเข้าประตูมังกรทะยานสวรรค์
ชัดว่าพวกเขาก็อดรอต่อไปไม่ไหวแล้ว
ในฐานะจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียง การเคลื่อนไหวของพวกเขาทำให้ทุกสายตาหันมาสนใจ
วาบ!
ทั้งสามคนหายเข้าไปที่หน้าประตูในเวลาใกล้เคียงกัน
นอกเหนือจากเหตุการณ์นี้ ประตูมังกรทะยานสวรรค์ก็เงียบลงครู่ คนอื่นๆ หยุดกิจกรรม เนื่องจากต้องการเห็นผลลัพธ์ของจอมยุทธ์ทั้งสาม
เวลาไหลไปอย่างรวดเร็ว
ระยะเวลาที่ทั้งสามเข้าไปยาวนานกว่าคนอื่นก่อนหน้าชัดเจน นี่ทำให้ผู้คนหนังตากระตุก เมื่อมองดูแล้วดูเหมือนว่าป้ายอินทรีทองคำที่สูงสุดในตอนนี้จะถูกตีแตกแล้ว
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
ขณะที่ทุกคนคาดเดาในใจ ประตูมังกรทะยานสวรรค์ที่เงียบมานานก็เกิดปฏิกิริยาตอบสนอง เกลียวแสงแข็งแกร่งพุ่งออกมา
แสงสามสายควบรวมกลางอากาศอย่างรวดเร็ว ก่อร่างเป็นชายทั้งสามคน
เมื่อทั้งสามปรากฏขึ้นรังสีก็มารวมที่เบื้องหน้าพวกเขา ควบแน่นเป็นป้ายสามป้าย
ทุกสายตาพุ่งตรงไป จากนั้นเสียงโกลาหลก็ดังขึ้น
เจียวสีขาวขดตัวเป็นป้ายที่เบื้องหน้าหลิ่วกุยพร้อมกับความผันผวนทรงพลังกระจายออกมา
“ป้ายเจียวขาว! หลิ่วกุยได้รับการจัดอันดับเป็นศิษย์ระดับเจียวขาว!”
บางคนอุทานออกมา ในที่สุดก็มีคนได้รับการจัดอันดับเป็นศิษย์ระดับเจียวขาวจากการทดสอบของประตูมังกรทะยานสวรรค์แล้วเรอะ?
“หวังทงเสียนก็เป็นศิษย์ระดับเจียวขาวเช่นกัน!” มีคนสังเกตเห็นป้ายที่เบื้องหน้าหวังทงเสียนที่มีภาพเจียวขาวขดอยู่
“แล้วฉินจิงเจ๋อล่ะ?”
สายตานับไม่ถ้วนมองไปที่ฉินจิงเจ๋อ ก่อนที่พวกเขาจะเห็นรังสีสีทองถักทอเป็นรูปร่างเจียวทองคำที่ดูเหี้ยมหาญที่เบื้องหน้าเขา
“นั่นคือ…” มู่เฉินมองไปที่ป้ายทองคำก็อดไม่ได้ที่จะหรี่ตา
“ป้ายเจียวทองคำ!”
แม้แต่คนที่มีพรสวรรค์โดดเด่นแบบฉินจิงเจ๋อก็ได้รับเพียงป้ายเจียวทองคำ ไม่ใช่แม้แต่ป้ายมังกรขาว
กฎเกณฑ์การทดสอบของประตูมังกรทะยานสวรรค์ยากขนาดนี้เชียวหรือ?!
บทที่ 1116 สามศิษย์ระดับมังกรทองคำ
แสงสีทองพร่างพราวเปล่งออกมาจากป้ายเจียวทองคำ
ทำให้หลิ่วกุยและหวังทงเสียนที่ได้รับป้ายเจียวขาวดูหม่นหมองเมื่อเทียบกัน
“สวรรค์! นั่นคือป้ายเจียวทองคำ!”
“ฉินจิงเจ๋อน่าเกรงขามอย่างแท้จริง ได้รับเลือกเป็นศิษย์ระดับเจียวทองคำ!”
“สุดยอดจริงๆ”
“…”
ความโกลาหลสะท้อนไปทั่ว หลายคนก็ชื่นชมเขาพร้อมกับความอิจฉาพล่านในดวงตา ภายใต้สถานการณ์ที่มีแต่ป้ายหมาป่าและนกอินทรีออกมานับไม่ถ้วน การปรากฏของป้ายเจียวทองคำล้ำค่านี้ชัดว่าเด่นกว่าสิ่งใด
ทว่าสีหน้าฉินจิงเจ๋อกลับไม่ดีเท่าไรตรงข้ามกับสายตาที่มองมาแบบอึ้งทึ่ง เขาจ้องมองป้ายเจียวทองคำโดยไม่มีความยินดี แต่เป็นความไม่พอใจ
เขาฉินจิงเอ๋อเป็นศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดของสำนักกระบี่บัวเขียวในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมาไม่เคยมีใครเอาชนะเขาได้ เขามีศักยภาพสูงที่จะบรรลุระดับตี้จื้อจุนทั้งที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของสำนัก แต่เบื้องหน้าประตูมังกรทะยานสวรรค์แห่งนี้ ศักยภาพของเขาได้รับการจัดอันดับศิษย์ระดับเจียวทองคำเท่านั้น
แม้ว่าจะสูงและโดดเด่นในสายตาหลายคน แต่ก็ยังไม่เพียงพอสำหรับเขา
แต่ไม่ว่าจะไม่ยอมรับแค่ไหน เขาก็ทำอะไรไม่ได้กับผลลัพธ์นี้ เขาทำได้เพียงสายหัวพร้อมกับแววตามืดมน
หลิ่วกุยและหวังตงเสียนค่อนข้างสงบนิ่ง เนื่องจากผลลัพธ์นี้อยู่ในการคาดเดาของพวกเขา นอกจากนี้บวกกับข้อเท็จจริงที่ว่าฉินจิงเจ๋อได้เพียงรับป้ายเจียวทองคำ ก็ถือว่าปลอบขวัญพวกเขาแล้ว
เพราะอันดับของพวกเขาต่ำกว่าฉินจิงเจ๋อมาก
ทั้งสามยืนอยู่บนท้องฟ้า แต่ยังไม่ได้เข้าไปในวังโบราณทันที แต่เลือกที่จะยืนรออยู่ก่อน
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาอยากดูว่าจะมีใครได้รับการประเมินว่าเป็นศิษย์ระดับมังกรบ้าง!
ในเวลาเดียวกันสายตาของพวกเขาก็เลื่อนไปที่ซูชิงหยิง ถ้าดูจากจอมยุทธ์ที่อยู่ที่นี่ คนที่มีคุณสมบัติจะได้รับป้ายมังกรมากที่สุดก็คือนาง
เมื่อทั้งสามเลื่อนสายตาไป ทุกคนก็มีอาการไม่ต่างกัน ทั้งหมดมีความคิดเดียวกัน
แม้แต่มู่เฉิน จิ่วโยวและพรรคพวกก็มองหาที่ซูชิงหยิงเช่นกัน!
“ซูชิงหยิงจะต้องได้เป็นศิษย์ระดับมังกรแน่นอน” จิ่วโยวพูดเสียงต่ำ แม้ว่านางจะหมั่นไส้ซูชิงหยิง แต่พลังของอีกฝ่ายก็ไม่มีข้อกังขา
มู่เฉินพยักหน้าเห็นด้วย คำถามข้อเดียวคือนางจะได้ป้ายมังกรขาว เขียวหรือว่าทองคำกัน?
ภายใต้สายตาที่จ้องมองมา ซูชิงหยิงก็มองไปที่ประตูพร้อมความสงสัยวูบไหวในดวงตา
เห็นได้ชัดว่านางก็มีความคิดแบบเดียวกัน!
ดังนั้นนางจึงคลี่ยิ้มบางเคาะฝ่าเท้าเบาๆ โดยไม่ลังเลก็กลายเป็นริ้วแสงสีดำปรากฏตัวที่เบื้องหน้าประตูแล้วพุ่งเข้าไป
ร่างซูชิงหยิงหายไปทั่วฟ้าดินก็เงียบกริบลง ทุกคนเบิกตากว้างมองไปที่ประตู พวกเขามีลางสังหรณ์ว่าซูชิงหยิงจะสร้างสถิติทรงพลังที่ยิ่งใหญ่เลยทีเดียว
“ไม่รู้ว่าการทดสอบของประตูมังกรทะยานสวรรค์คืออะไร?” จิ่วโยวมองไปที่ประตูพลางพูด
มู่เฉินส่ายหัว “ประตูมังกรทะยานสวรรค์เป็นอาวุธมหสวรรค์โบราณ ดังนั้นการทดสอบไม่ง่ายแน่”
จิ่วโยวพยักหน้าเห็นด้วยเบาๆ แต่ประตูก็ได้รับความเสียหายรุนแรงตอนที่วังสวรรค์บรรพกาลถูกทำลาย มิฉะนั้นคงไม่ได้มีแค่ประสิทธิภาพในการประเมินผลหรอก
“ต่อไปก็รอดูกันเถอะ”
มู่เฉินมองไปที่ประตูหินโบราณอย่างเงียบๆ
ความเงียบนี้ดำเนินไปสิบกว่านาที เวลาที่นางใช้เกินกว่าทุกคนก่อนหน้า
ทันใดนั้นประตูที่สงบนิ่งก็สั่นไหว หัวใจของทุกคนโลดขึ้นก่อนที่สายตาจะมุ่งเน้นไปประตู
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
เกลียวแสงพุ่งออกมา ก่อนที่ประตูปิดแน่นจะเปิดออกอย่างช้าๆ เกลียวไร้ขอบเขตกวาดออกมา
ความหนาแน่นของแสงแข็งแกร่งกว่าทุกคนที่ทดสอบมาก่อนหน้า
โฮก!
เสาแสงพร่างพราวทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกับมังกรพันธนาการรอบเสาแผดเสียงคำรามลั่น ซึ่งดังก้องไปมาระหว่างสวรรค์และโลก
ทุกคนหดดวงตาลงกับฉากนี้ ซูชิงหยิงได้รับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรแท้จริง!
แสงสุกใสควบแน่นอย่างรวดเร็ว ร่างซูชิงหยิงปรากฏขึ้นกลางอากาศ ดวงตาจับจ้องไปที่เบื้องหน้า รังสีพราวรวมตัวกันเป็นป้ายโบราณที่มีมังกรเขียวเข้มขดอยู่ สามารถมองเห็นได้ชัดเจน
ป้ายมังกรเขียว?!
ทุกคนหดดวงตาลงหายใจเข้าลึกก่อนจะยกย่องนางในใจ ไม่คิดว่าซูชิงหยิงไม่เพียงจะได้รับการประเมินเป็นศิษย์ระดับมังกร แต่ยังเป็นป้ายมังกรเขียวด้วย!
ความสำเร็จนี้อาจโดดเด่นแม้แต่ในวังสวรรค์บรรพกาล
ซูชิงหยิงสมกับเป็นจอมยุทธ์อันดับสองในทำเนียบ
ฉินจิงเอ๋อ หลิ่วกุยและคนอื่นๆ มองดูป้ายมังกรสีเขียวเจิดจ้าก็ถอนหายใจ ดูท่าจะมีช่องว่างพลังขนาดใหญ่ระหว่างพวกเขากับซูชิงหยิงจริงๆ
“ป้ายมังกรเขียวเรอะ?” มู่เฉินเพ่งความสนใจไปที่นาง แต่เขาไม่ได้แปลกใจ เพราะตัวเขาได้คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
“แต่ถึงจะเป็นนางก็ยังไม่สามารถได้รับป้ายมังกรทองรึ?” มู่เฉินถอนหายใจ ไม่รู้จริงๆ ว่าการทดสอบในประตูมังกรทะยานสวรรค์ยากแค่ไหนกัน
ซูชิงหยิงที่ถูกมองด้วยสายตายกย่องนับไม่ถ้วน กลับมองป้ายมังกรเขียวตรงหน้าแล้วมุ่นคิ้วบาง ขณะที่นางกำลังจะเอ่ยปากพูดสีหน้าก็เปลี่ยนไป นางเงยหน้าขึ้นมองไปที่ขอบฟ้าไกลออกไป
มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็สัมผัสได้ถึงบางอย่างก็มองตามไปที่นั่น เสาแสงสีทองทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า โดยมีมังกรทองคำพันธนาการอยู่รอบๆ
“ป้ายมังกรทองคำ!”
เสียงอุทานดังขึ้น มีบางคนได้รับการประเมินเป็นศิษย์ระดับมังกรทองคำที่ประตูมังกรทะยานสวรรค์อีกบานเรอะ?
“ต้องเป็นจู้เยี่ยนแน่!” มีคนโพล่งออกมาโดยไม่ลังเล ในบรรดาจอมยุทธ์รุ่นใหม่ของทวีปเทียนหลัว จู้เยี่ยนที่เป็นเจ้าทำเนียบมีคุณสมบัติเช่นนั้น
“ช่างเป็นคนที่น่าเกรงขาม” ใบหน้ามู่เฉินเคร่งเครียดลงหลายส่วน นี่อาจเป็นศิษย์ระดับมังกรทองคำคนแรกหลังจากวังสวรรค์บรรพกาลถูกทำลาย
ทันทีที่คำพูดของมู่เฉินจบลง เสาแสงสีทองอีกเสาก็ทะยานไปสู่ชั้นฟ้าในอีกทิศทางหนึ่ง สามารถมองเห็นได้เลือนรางในระยะไกล
ทุกคนตกตะลึงก่อนจะเกิดความโกลาหลอีกครั้ง ศิษย์ระดับมังกรทองคำอีกคนหรือ?
ถ้าคนก่อนหน้านี้คือจู้เยี่ยน แล้วนี่เป็นใครกัน? แม้แต่ซูชิงหยิงก็เป็นศิษย์ระดับมังกรเขียวเท่านั้น!
มู่เฉินจ้องเขม็งไปที่เสาแสงสีทองเสาที่สอง สัญชาตญาณบอกเขาว่านี่น่าจะเป็นจาโหลหลัว
แม้ว่าอีกฝ่านจะเป็นจอมยุทธ์อันดับสาม แต่มู่เฉินไม่เชื่อว่าผู้ที่ครอบครองร่างเทพสุริยะจะด้อยกว่าซูชิงหยิง
ตามการคาดการณ์ของเขาความแข็งแกร่งของจาโหลหลัวไม่ได้อ่อนด้อยกว่าจู้เยี่ยน
ตู้ม!
ขณะที่ความคิดวนเวียนอยู่ในใจ ดวงตาผู้คนก็หดแคบลง เนื่องจากทุกคนได้เห็นเสาแสงมังกรทองคำอีกเสาปรากฏขึ้น
เสามังกรทองคำเสาที่สาม!
สามศิษย์ระดับมังกรทองคำ!
ในช่วงเวลาไม่กี่สิบลมหายใจ มีศิษย์ระดับมังกรทองคำปรากฏขึ้นถึงสามคน!
ทั่วบริเวณเงียบงันไปด้วยความไม่เชื่อกระจายบนใบหน้า แม้แต่สีหน้าของซูชิงหยิงก็ดูไม่ดีนัก นี่หมายความว่ามีจอมยุทธ์สามคนที่เหนือชั้นกว่านาง แล้วอันดับสองบนทำเนียบคืออะไร?
แม้ว่านางจะเสียเปรียบไปบ้างเนื่องจากต้องพึ่งพาแมลงวิญญาณ แต่ผลลัพธ์ก็ยังเป็นผลลัพธ์ นางเป็นศิษย์ระดับมังกรเขียวเท่านั้น
มู่เฉินและจิ่วโยวแลกเปลี่ยนสายตากัน ถ้าเสาแสงมังกรทองคำเสาที่สองเป็นจาโหลหลัว แล้วคนที่สามเป็นใคร? เซี่ยหยู่เรอะ?
มู่เฉินได้ประมือกับเซี่ยหยู่ไปสั้นๆ แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ง่ายๆ แต่น่าจะยังไม่เพียงพอสำหรับเซี่ยหยู่ที่จะได้เป็นศิษย์ระดับมังกรทองคำ
แล้วใครคือศิษย์ระดับมังกรทองคำคนที่สาม?
ซูชิงหยิงถอนสายตาจากนั้นก็มองไปที่ประตูอย่างเกลียดชังและสาปแช่ง “ไอ้ประตูเส็งเคร็ง!”
แม้ว่านางจะไม่พอใจ แต่นางก็ไม่ได้หดหู่อะไร ถ้าไม่ใช่เพราะแมลงวิญญาณได้รับบาดเจ็บ การทดสอบของนางก็อาจจะประสบความสำเร็จมากกว่านี้ก็ได้
ตอนนี้ประตูมังกรทะยานสวรรค์สองแห่งปรากฏศิษย์ระดับมังกรทองคำแล้ว มีเพียงที่นี่ที่ยังไม่มีซึ่งดูไม่ดีเลย หากเป็นเช่นนั้นไม่ได้หมายความว่าคุณภาพของพวกเขาต่ำเหรอ?
เรื่องนี้ทุกคนที่นี่ไม่เห็นด้วยแน่นอน
เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ซูชิงหยิงก็เลื่อนสายตาไปที่กลุ่มมู่เฉินก่อนจะยิ้มอ่อน “พี่มู่ พวกเจ้ายืนดูมานานแล้ว ถึงตาที่จะต้องเคลื่อนไหวมั่งแล้วนะ”
แม้ว่าคำพูดจะพุ่งไปกระทบมู่เฉิน แต่สายตากลับจดจ้องอยู่ที่หลินจิ้ง ในสายตานางคนที่มีโอกาสจะเป็นศิษย์ระดับมังกรทองคำน่าจะเป็นหลินจิ้งผู้ลึกลับคนนี้
สำหรับมู่เฉินชัดว่าอยู่นอกสายตานาง
บทที่ 1117 สิทธิ์การท้าทาย
เมื่อซูชิงหยิงมองไปที่หลินจิ้ง
ทุกสายตาก็เลื่อนตามมา ตอนนี้จอมยุทธ์มีชื่อเสียงทั้งหมดที่นี่ทดสอบแล้ว ยกเว้นพวกมู่เฉิน…
เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดซูชิงหยิง เขาก็บอกได้ว่านางพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่หลินจิ้ง
ทว่ามู่เฉินก็ไม่ได้ใส่ใจเกินไป เขามองไปที่ประตูมังกรทะยานสวรรค์ที่เจิดจ้าพลางสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะก้าวไปข้างหน้า
จังหวะที่เขาก้าวออกมา สายตานับไม่ถ้วนก็พุ่งตรงมารวมกระทั่งซูชิงหยิงก็เปลี่ยนความสนใจมาที่มู่เฉิน ทว่าสีหน้าไม่แยแสนั้นเห็นได้ชัดว่านางไม่ได้คาดหวังกับมู่เฉินมากมายนัก
“ข้าไปลองก่อนนะ” มู่เฉินมองไปที่จิ่วโยวกับหลินจิ้งขณะยิ้ม
จิ่วโยวพยักหน้า ส่วนหลินจิ้งชูกำปั้นเล็กขึ้นมาพูดอย่างร่าเริง “สู้ๆ ต้องให้ได้ป้ายมังกรทองคำมานะ!”
นางไม่ได้ปกปิดเสียงหัวเราะ นี่ทำให้เกิดรอยยิ้มเยาะบนใบหน้าของผู้คน แม้แต่ซูชิงหยิงยังได้แค่ป้ายมังกรเขียว สำหรับมู่เฉินที่อยู่อันดับยี่สิบในทำเนียบ เป็นเรื่องยากแม้แต่จะได้รับป้ายอินทรีทองคำ ไม่ต้องพูดถึงป้ายมังกรทองคำเลย
เผชิญหน้ากับสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นมู่เฉินก็ไม่ได้ใส่ใจ เขามองไปที่ประตูร่างเคลื่อนไหวเร็วรี่กลายเป็นร่างแสงสว่างจ้าทะยานออกมา
วาบ!
เมื่อเขาไปปรากฏตัวที่เบื้องหน้าประตู แสงเจิดจ้าก็โอบล้อมและกลืนเขาเข้าไปอย่างสมบูรณ์
เมื่อมู่เฉินเข้าไปภายใน เสียงสนทนาก็กลับมาดังขึ้นอีกครั้ง ทุกคนไม่ได้ให้ความสนใจกับประตูอะไรมากนัก กลับจ้องมองไปที่เสาแสงสีทองด้วยความเคารพในสายตา
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้คาดหวังอะไรกับอันดับยี่สิบบนทำเนียบที่มีขุมพลังอีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า
มีเพียงหญิงสาวสองคนที่ยังมองไปที่ประตูนั่นก็คือจิ่วโยวและหลินจิ้ง ด้วยความเข้าใจของพวกนางที่มีต่อมู่เฉินมากกว่าใคร พวกนางรู้ดีว่าไพ่ตายของเขาไปไกลเกินกว่าขุมพลังนัก
แม้แต่จอมยุทธ์ภูมิภาคทางเหนือที่เบื้องหลังพวกนางก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมากนัก กระทั่งคนอย่างซูชิงหยิงก็เป็นศิษย์ระดับมังกรเขียว ดังนั้นพวกเขาจึงยากที่จะมั่นใจในตัวมู่เฉิน
มู่เฉินไม่รู้เกี่ยวกับความคิดของคนอื่น
เมื่อถูกกวาดเข้ามาในประตูเขาก็สัมผัสได้ถึงความผันผวนมิติรอบตัว เมื่อแสงเข้มข้นสลายลง เขาก็ปรากฏตัวบนลานขนาดมหึมา
ขอบฟ้าไร้ขอบเขตนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศโบราณที่มีร่องรอยถูกทิ้งเอาไว้บนพื้น ราวกับว่าสถานที่แห่งนี้ผ่านการต่อสู้มานับไม่ถ้วน
“นี่เป็นลานทดสอบของประตูมังกรทะยานสวรรค์เหรอ?” มู่เฉินกวาดมองทั่วลานประลอง ก่อนจะมองไปในที่ไกลเบื้องหน้า
เขาเห็นเสาหินสิบกว่าเสาตั้งอยู่ แต่ละเสามีรูปปั้นหินที่ดูกระจ่างสดใสมาก ราวกับว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่แผ่กระจายความผันผวนของคลื่นหลิงที่น่าทึ่ง
มู่เฉินมองไปที่รูปปั้นหินและรู้ว่าการทดสอบของประตูมังกรทะยานสวรรค์เกี่ยวกับอะไร เมื่อกวาดมองจากทางขวาไปซ้าย สายตาก็เริ่มตึงเครียด
เนื่องจากเขาสังเกตได้ว่ารูปปั้นหินทางซ้ายให้ความรู้สึกของภัยคุกคามหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ
โดยเฉพาะรูปหินทางซ้ายสุด ที่ทำให้เขารู้สึกหนาวสะท้านจับใจ
รูปปั้นนั้นดูอ่อนเยาว์ถือหอกยาวปลดปล่อยอากาศที่น่ากลัวออกมาอย่างคลุมเครือ ทำให้มิติถึงกับแปรปรวน
ฮึ่ม!
ขณะที่มู่เฉินกวาดมองรูปปั้นหิน ความผันผวนผิดปกติก็แผ่กระจายออกมา อึดใจมู่เฉินก็รู้สึกว่า ลานประลองกำลังสั่นสะเทือน
“ผู้ท้าชิงขุมพลังอีกครึ่งก้าวบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า สิทธ์การท้าทาย ศิษย์ระดับอินทรีขาว” เสียงเก่าแก่ดังก้องไปทั่วลานโดยไม่มีสติปัญญาใดๆ ฟังดูช่างว่างเปล่า
“ประตูมังกรทะยานสวรรค์เป็นอาวุธมหสวรรค์ที่มีสติปัญญา แต่ดูจากตอนนี้คงจะถูกทำลายไปแล้ว…” หัวใจมู่เฉินกระตุกเบาๆ เมื่อได้ยินเสียงที่กลวงเปล่านั่น
“สิทธ์การท้าทาย ศิษย์ระดับอินทรีขาว?” มู่เฉินพึมพำแล้วเงยหน้าขึ้นก็เห็นรูปปั้นหินบนเสาที่สามเคลื่อนไหวก่อนจะเริ่มมีชีวิต จากนั้นก็พุ่งออกมากระแทกลงที่พื้นเบื้องหน้ามู่เฉิน
รูปปั้นหินนี้สวมชุดเกราะหนาหนักราวกับหอคอยเหล็ก พลังที่น่ากลัวสาดออกมาทำให้พื้นดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น
“อีกครึ่งก้าวบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า…” มู่เฉินกวาดมองก็สัมผัสกำลังของรูปปั้นได้ทันที ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ที่แท้ประตูมังกรทะยานสวรรค์จะจำกัดการท้าท้ายของผู้ท้าชิงที่เข้ามาตามขุมพลังที่มี
เช่นด้วยขุมพลังของเขาที่อีกครึ่งก้าวบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า ฝ่ายตรงข้ามก็จะเป็นศิษย์ระดับอินทรีขาวที่มีขุมพลังเท่ากัน ถ้าเป็นเช่นนี้ในกรณีนี้ซูชิงหยิง นางคงสามารถท้าทายศิษย์ระดับมังกรได้ตั้งแต่เข้ามา
“อย่าบอกนะว่าข้าจะต้องสู้ขึ้นไปทีละคน?” มู่เฉินพึมพำ
ตู้ม!
ขณะที่เขาพึมพำ ร่างหอคอยเหล็กก็คำรามก่อนจะชกหมัดออกมา ส่งระลอกคลื่นกระเพื่อมบนมิติ
หมัดบรรจุพลังน่าหวาดเสียวขยายตัวอย่างรวดเร็วในม่านตามู่เฉิน แต่สีหน้าเขากลับสงบนิ่ง เมื่อหมัดพุ่งมาถึงเขาก็ก้าวเท้าออกไปชกหมัดหลุ่นๆ ออกมา
ฮึ่ม!
แสงสีทองเปล่งประกายออกจากร่างพร้อมกับเสียงคำรามของมังกรที่คลุมเครือ
ตู้ม!
หมัดทั้งสองปะทะกัน พื้นดินก็สั่นสะเทือน ร่างมู่เฉินไม่ขยับเขยื้อนออกไปแม้แต่น้อย แต่มีพลังที่น่ากลัวเหลือล้นพวยพุ่งออกมาจากกำปั้น
ภายใต้พลังที่น่าสะพรึงกลัว รูปปั้นหินก็กระเด็นถอยหลังพลางระเบิดออกกลายเป็นประกายลำแสงโปรยปรายกลางอากาศ
เขาซัดรูปปั้นเป็นอากาศธาตุด้วยหมัดหมัดเดียว
สีหน้าของมู่เฉินไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากผลลัพธ์ หากแค่จอมยุทธ์อีกครึ่งก้าวบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้ายังยากที่จะจัดการก็ไม่ควรท้าทายอะไรอีกต่อไป
เมื่อรูปปั้นถูกจัดการด้วยหมัดเดียว ทั่วลานประลองก็เงียบลง ทว่าไม่นานเสียงสั่นสะเทือนก็กระจายออกมาอีกครั้ง
มู่เฉินขยับสายตาขึ้นก็เห็นรูปหินบนเสาที่หกตื่นขึ้นมา ดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้าง
เขาเป็นชายสวมชุดคลุมสีเทาที่มีภาพเจียวขาวปักไว้ เจียวขาวแยกเขี้ยวกางกรงเล็บเปล่งความดุร้ายออกมา
“ศิษย์ระดับเจียวขาว?”
มู่เฉินหดตาลงกับฉากนี้ด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยเนื่องจากไม่คิดว่าการท้าทายของเขาจะยกระดับหลายขั้นในครั้งเดียว จากอินทรีขาวกลายเป็นเจียวขาว ดูเหมือนว่าประตูมังกรทะยานสวรรค์จะประเมินพลังการต่อสู้ของเขาว่าเกินระดับขุมพลังที่มีไปไกล จากการที่เขาซัดหมัดเดียวก็จัดการศิษย์ระดับอินทรีขาวได้
ตามการประเมินของมู่เฉิน พลังของศิษย์ระดับเจียวขาวนี้มาถึงระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดแล้ว ซึ่งเทียบเท่ากับหลิ่วกุย หวังทงเสียนและเฉวียนหมิง
ศิษย์ระดับเจียวขาวพลิ้วตัวลงมาปรากฏตัวตรงหน้ามู่เฉิน ทันใดนั้นเขาก็ยกมือขึ้นแสงควบแน่นอยู่ในฝ่ามือทั้งสอง ซึ่งดูราวกับทำมาจากหยกขาว เปล่งอันตรายแต่ก็แฝงความงดงามในเวลาเดียวกัน
มือหยกขวาสร้างตราประทับก่อนที่แสงจ้าจระเบิดออก ร่างสิงโตหยกขาวก่อร่างขึ้นอย่างคลุมเครือ
“ตราประทับสิงโตหยก!”
เสียงไม่แยแสดังออกมาจากปากศิษย์ระดับเจียวขาว กำปั้นซัดออกไปข้างหน้า
โฮก!
แสงจ้าสีขาวครอบงำพื้นที่ก่อนจะก่อร่างเป็นสิงโตหยกขนาดพันจั้งพุ่งตรงเข้าหามู่เฉิน
ทันทีที่ออกกระบวนท่าก็เป็นท่าไม้ตาย ทำให้คนตั้งตัวไม่ทัน
มู่เฉินยังคงรักษาอารมณ์นิ่งสงบก่อนที่จะย่ำเท้า แสงสีทองระเบิดออกมา ร่างเทพสุริยะควบแน่นอยู่ที่เบื้องหลัง
ดวงตะวันสีทองอร่ามลุกโชนรอบร่างมหึมาก่อนจะระเบิดออกกลายเป็นกระแสพลังสีทอง
แสงสีทองรวมกันอย่างรวดเร็วเบื้องหน้าร่างเทพสุริยะ ก่อตัวเป็นกงล้อที่ลึกซึ้ง
“กงล้อแสงสวรรค์!”
มู่เฉินคำราม เขาไม่ได้ถอยแต่หันไปเผชิญหน้ากับการโจมตีเต็มกำลังของศิษย์ระดับเจียวขาว เขาใช้ท่ารุกรับที่สมบูรณ์แบบประสานกัน
ตู้ม!
สิงโตหยกกระโจนเข้ามาปะทะกับกงล้อแสง ทว่าไม่มีเสียงกัมปนาทที่น่าทึ่งใดๆ เพราะเมื่อกงล้อหมุน สิงโตหยกก็หมุนติ้วหันหลัง ฉีกมิติกระโจนกลับไปหาศิษย์ระดับเจียวขาว
ปัง!
พายุพลังงานครอบงำกวาดออก ภายใต้การโจมตีของสิงโตหยก ศิษย์ระดับเจียวขาวก็พังทลาย ก่อนที่จะกลายเป็นประกายแสงพร่างพราว
ศิษย์ระดับเจียวขาวแพ้แล้ว!
มู่เฉินยืนอยู่บนร่างเทพสุริยะ แสงสีทองรอบร่างค่อยๆ ถอนกลับไป เขาไม่ได้มองไปที่ศิษย์ระดับเจียวขาว แต่หลุบตาลงรอคอยอย่างเงียบๆ
เขาอยากรู้ว่าการท้าทายรอบต่อไปที่ประตูมอบให้คืออะไร
ความเงียบแขวนอยู่ในอากาศหลายสิบลมหายใจ ก่อนที่มู่เฉินจะรู้สึกถึงแผ่นดินไหว จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้น รูปปั้นหินบนเสาที่สามจากด้านซ้ายกำลังตื่นขึ้น
มังกรขาวตัวใหญ่ปักอยู่บนแขนเสื้อของรูปปั้นหิน ซึ่งปล่อยแรงกดดันทรงพลัง คล้ายกับคลื่นครอบงำทั่วลานประลอง
นั่นคือ…ศิษย์ระดับมังกรขาว
บทที่ 1118 ค่ายกลวงจรดาวสวรรค์
“ศิษย์ระดับมังกรขาว…”
มู่เฉินมองไปที่รูปปั้นที่ตื่นขึ้น สายตาของเขาก็ค่อยๆ เคร่งเครียดลง แม้แต่ใบหน้าก็ตึงเครียดขึ้นพร้อมกับคลื่นหลิงทรงพลังพลุ่งพล่านอยู่รอบตัว มิติด้านหลังแปรปรวนก่อนที่จุดจื้อจุนไห่จะปรากฏขึ้นมาอย่างเลือนราง
แม้ว่าป้ายมังกรขาวอยู่ต่ำสุดในบรรดาศิษย์ระดับมังกร แต่ความยากก็ไม่ต้องพูดถึง กระทั่งจอมยุทธ์ทรงพลังแบบฉินจิงเจ๋อก็เป็นแค่ศิษย์ระดับเจียวทองคำเท่านั้น ดังนั้นสามารถคาดการณ์ได้ว่าการท้าทายครั้งนี้ยากเพียงใด
ในวังสวรรค์บรรพกาลสถานะของศิษย์ระดับเจียวทองคำและมังกรขาวมีช่องว่างกว้างใหญ่ ตราบใดที่สามารถก้าวผ่านไปได้ก็จะได้รับการพิจารณาเป็นศิษย์ระดับมังกรที่สูงกว่าระดับเจียวทองคำหลายขุม ทรัพยากรที่จะได้รับคือความแตกต่างของฟ้ากับเหว
จากการประเมินของมู่เฉิน พลังของศิษย์ระดับมังกรขาวคนนี้น่าจะเกินกว่าระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายทั่วไป อาจสามารถสู้กับขั้นเก้าระยะเต็มได้เลยทีเดียว
นี่เป็นคู่ต่อสู้ที่ทรงพลังอย่างแท้จริง
สายตามู่เฉินเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขณะที่ดวงตาหลุบลง แต่มือที่อยู่ในแขนเสื้อวูบไหวอย่างเงียบๆ
ตู้ม!
เมื่อความคิดนี้หมุนเวียนในใจของมู่เฉิน ศิษย์ระดับมังกรขาวก็ตื่นขึ้นพร้อมกับรัศมีทรงพลังครอบงำกวาดออกมา ดาบยาวถือไว้ในมือ อากาศแหลมคมระเบิดออกทิ้งร่องรอยของใบมีดไว้ที่พื้นโดยรอบ
ศิษย์ระดับมังกรใช้ดวงตากลวงโบ๋จ้องมองมู่เฉินโดยไม่ลังเลใดๆ จากนั้นก็ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับนกยักษ์ ดาบยาวฟันลงมา
วาบ!
ใบมีดแสงสีดำราวกับกระแสน้ำครางกระหึ่มข้ามขอบฟ้า แบ่งพื้นที่ออกเป็นสองฝั่ง มิหนำซ้ำยังทิ้งรอยลึกไว้บนลานประลองที่แข็งแกร่ง
ใบมีดแสงสีดำขยายออกอย่างรวดเร็วในดวงตาของมู่เฉิน เขาไม่กล้าชะลอตัวกระแทกเท้าลงไป เรียกร่างเทพสุริยะพร้อมกับดวงตะวันแปดดวงลุกโชติช่วง
เกลียวแสงสีทองระเบิดควบแน่นเป็นกงล้ออีกครั้ง
ตึง!
ใบมีดแสงปะทะกับกงล้อ กงล้อก็หมุนคว้างพร้อมกับรัศมีที่ไร้ขอบเขตระเบิดออกมา ใบมีดแสงชะงักลงครู่หนึ่งก่อนที่จะหันกลับพุ่งไปหาศิษย์ระดับมังกรขาว
ทว่าศิษย์มังกรขาวกลับเฉือนดาบลงมาแบบสบาย หยุดยั้งการโจมตีที่พุ่งเข้ามา ดาบถูกกำแน่นด้วยมือทั้งสองข้าง จากนั้นก็ยกขึ้นเหนือศีรษะแล้วฟันลงมาอย่างหนักหน่วง
การเคลื่อนไหวดูเชื่องช้า แต่มิติก็ราวกับมหาสุมทรถูกฉีกออกภายใต้ใบมีด
ตู้ม!
ใบมีดสีดำขนาดหลายพันจั้งพุ่งออกมาราวกับมังกรดำเกรี้ยวกราดพร้อมกับการเคลื่อนไหวที่ไม่สามารถหยุดยั้งได้ อะไรก็ตามที่ขวางทางจะถูกทำลายทันที!
ใบมีดสีดำครอบงำปะทะกับกงล้ออีกครั้ง แต่คราวนี้กงล้อไม่สามารถสะท้อนพลังกลับไปได้ ในทางตรงข้ามแสงสีทองถูกดับลงอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
เศษสีทองกวาดมาที่เบื้องหลัง มู่เฉินมองไปที่ชิ้นส่วนเหล่านั้น ดวงตาก็หดแคบลง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นกงล้อแสงสวรรค์แตกออก นอกจากนี้ยังแหลกเหลวไม่มีชิ้นดีด้วยวิธีสุดโหดอีกด้วย!
พลังที่อยู่เบื้องหลังใบมีดเกินขีดจำกัดสูงสุดของกงล้อ ดังนั้นจึงทำให้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ
แม้ว่าการป้องกันของกงล้อแสงสวรรค์จะสมบูรณ์แบบ แต่ก็มีข้อจำกัด…
ศิษย์ระดับมังกรขาวยืนนิ่งอยู่ในอากาศพร้อมสายตาว่างเปล่า ก้มหน้าลงมองไปที่มู่เฉินบนร่างเทพสุริยะ ก่อนที่จะยกดาบในมือขึ้นอีกครั้ง เมื่อแสงสีดำควบแน่นก็เฉือนลงมา!
วาบ! วาบ!
หากการเคลื่อนไหวก่อนหน้าเชื่องช้า ครั้งนี้ก็ราวกับสายฟ้าฟาด
ดาบพุ่งเข้ามาพร้อมกับใบมีดสีดำนับไม่ถ้วนตกลงมาราวกับพายุฝนห่อหุ้มรัศมีหมื่นจั้งรอบตัวมู่เฉิน ปิดเส้นทางหลบหนีทั้งหมด
มู่เฉินสูดหายใจลึก จากนั้นก็แตะเท้าลงบนพื้นถอยกลับอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันก็สะบัดแขนเสื้อสัญลักษณ์หลิงยิ่งพุ่งออกมาหลอมรวมเข้ากับท้องฟ้าราวกับห่าฝน
เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวเช่นนี้ ด้วยขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าของมู่เฉินชัดว่ายากในการต่อกร ดังนั้นเขาจึงเลิกใช้ขุมพลังหลิงตัดสินใจใช้ค่ายกลแทน
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
สัญลักษณ์หลิงยิ่งรวมกันเป็นสายผนึกอยู่ในมิติเชื่อมโยงกันและกัน ก่อร่างเป็นค่ายกลมากมาย นั่นเป็นค่ายกลป้องกันอย่างน้อยสิบกว่าค่ายกลที่สามารถสกัดการโจมตีของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดได้
ปัง! ปัง!
ใบมีดกวาดเข้ามาปะทะกับค่ายกล ทำให้ค่ายกลพังทลายลงเป็นชั้นๆ อย่างรวดเร็ว ใบมีดเสือกแทงเข้าไปค้นหาเป้าหมาย
หลายสิบลมหายใจค่ายกลป้องกันชั้นสุดท้ายก็แตกสลาย เผยให้เห็นภาพเงาของมู่เฉิน
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองร่างกลางอากาศพลางถอนหายใจพูดว่า “ศิษย์ระดับมังกรขาวสมชื่อเสียงแท้จริง”
แม้กระทั่งฉินจิงเอ๋อยังต้องใช้เวลาพอสมควรในการทำลายค่ายกลของเขา แต่ต่อหน้าศิษย์ระดับมังกรขาวกลับถูกทำลายอย่างรวดเร็ว
“แม้แต่ค่ายกลระดับเทียนขั้นต่ำก็หยุดเจ้าไม่ได้…”
มู่เฉินหรี่ตาลงจากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ ทันใดนั้นแสงหลิงพร่างพราวก็กวาดออกมาจากแขนเสื้อเขา ก่อร่างเป็นสัญลักษณ์หลิงยิ่งนับพันนับหมื่นพรั่งพรูออกมา
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ข้าก็ขอใช้เจ้าทดสอบพลังของค่ายกลระดับเทียนขั้นสูงซะหน่อยเถอะ”
มู่เฉินยิ้มขณะที่สัญลักษณ์หลิงยิ่งควบรวมกันในชั้นบรรยากาศ เกลียวแสงแวววาวระเบิดออกมาขณะเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นค่ายกลขนาดหมื่นจั้ง ปรากฏรอบตัวมู่เฉิน ห่อหุ้มร่างศิษย์มังกรขาวเอาไว้ภายใน
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองค่ายกลขนาดใหญ่ที่เหมือนทางช้างเผือกก่อนจะเบนสายตาไปยังร่างศิษย์ระดับมังกรขาว แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่มีสติปัญญา แต่เขาก็ยังส่งรอยยิ้มให้กล่าวว่า “นี่คือค่ายกลระดับเทียนขั้นสูง ค่ายกลวงจรดาวสวรรค์ โปรดชี้แนะด้วย”
ค่ายกลวงจรดาวสวรรค์ ก็คือค่ายกลที่มั่นถัวหลัวจัดหามาให้ ซึ่งถือเป็นค่ายกลระดับสูงสุดที่เขามีในตอนนี้
จากการคาดเดา ค่ายกลระดับเทียนขั้นสูงสามารถสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดได้เลยทีเดียว กระทั่งขั้นเก้าระยะเต็มก็บาดเจ็บหนักได้หากประมาท
แม้ว่าศิษย์ระดับมังกรขาวจะไม่มีสติปัญญา แต่ดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงความสยองเกล้าจากค่ายกลนี้ ทันใดนั้นร่างกายเขาก็เกร็งแน่น มือกระชับดาบสีดำแน่นเข้าไปอีก
ฮึ่ม!
แสงดาบสีดำระเบิดออก เกลียวแสงสีดำที่มีพลังล้างโลกพุ่งออกมาทำลายมิติ
ทันใดนั้นค่ายกลก็หมุนคว้างบนท้องฟ้า ท้องฟ้าในค่ายกลเปลี่ยนเป็นท้องฟ้าทางช้างเผือกพร้อมกับดวงดาวมากมายนับไม่ถ้วนแขวนอยู่สูง ส่องแสงสุกใสในค่ายกลทำให้ดูไม่สามารถทำลายได้
บนท้องฟ้าสูง ดวงดาวสั่นไหว ทันใดนั้นแสงดาวควบรวม ดวงดาวก็หล่นลงมากลายเป็นแสงดาวขนาดพันจั้งพุ่งไปที่ศิษย์มังกรขาว
นั่นราวกับมีดวงดาวจริงๆ พุ่งลงมา
พลังที่บีบกดลงมาสามารถทำลายจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดเลยทีเดียว
ศิษย์ระดับมังกรขาวเงยหน้าขึ้น ค่อยๆ ยกดาบยาวสีดำขึ้นพร้อมกับแสงสีดำควบแน่นอย่างรุนแรงที่ขอบดาบ ราวกับหลุมดำก็มิปาน
ตู้ม!
ดวงดาวปรากฏขึ้นเหนือร่างศิษย์มังกรขาว
วาบ!
ดาบดำในมือเขาก็ซัดลง หลุมดำขยายออกราวกับกรามไร้ก้น
ชี่!
พลังงานสองสายปะทะกันอย่างเงียบๆ แสงสีดำพร้อมกับหลุมดำเฉือนดวงดาวออกจากกัน
แต่เมื่อดวงดาวถูกทำลาย แสงสีดำก็จางลงไปเล็กน้อย
เมื่อดวงดาวถูกทำลาย มู่เฉินก็ยังคงสงบนิ่ง พลางกล่าวชื่นชมเสียงเบา “สมกับเป็นศิษย์ระดับมังกรขาว”
พลังของดวงดาวสามารถสังหารได้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดทั่วไปได้ แต่กลับถูกศิษย์ระดับมังกรขาวเฉือนเอาได้
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
ขณะที่ชื่นชมเสร็จ ดวงดาวหลายดวงก็เคลื่อนไหว ก่อนที่จะพุ่งลงมาใส่ร่างศิษย์มังกรขาว
ครั้งนี้มีถึงสี่ดวง!
ค่ายวงจรดาวสวรรค์สามารถกระตุ้นให้ดาวร่วงหล่นลงมาแล้วยิงไปยังกับดักที่วางไว้ พลังการทำลายนั้นสร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่เป็นเป้าหมายได้
ครืน!
ดาวสี่ดวงพุ่งลงมา ศิษย์ระดับมังกรขาวก็ยกดาบขึ้นด้วยสีหน้าไม่แยแส หลุมดำที่ขอบดาบขยายพื้นที่ว่างเปล่าและผันผวนมากขึ้น ก่อนที่จะเฉือนเข้าใส่ดวงดาว
ชี่! ชี่! ชี่!
ดาบส่งเสียงหวีดหวิวเฉือนดวงดาวออกจากกัน มู่เฉินเฝ้าดูสิ่งนี้ด้วยสีหน้าสงบ เนื่องจากเขารู้สึกได้ว่าหลุมดำเริ่มจางลง เมื่อศิษย์ระดับมังกรขาวเฉือนดาวดวงที่สามออกจากกัน
“ขออภัยที่ใช้กลในการต่อสู้ครั้งนี้นะ”
มู่เฉินพูดเบาๆ ชี้นิ้วออกมา ทันใดนั้นดาวดวงที่สี่ก็ปรากฏขึ้นด้านหลังศิษย์ระดับมังกรขาวและพุ่งเข้าหา
ศิษย์มังกรขาวฟันลงไปอีกครั้ง แต่คราวนี้หลุมดำสั่นคลอนแล้วระเบิดภายใต้ดาวดวงที่สี่
ปัง!
หลุมดำแตกสลายทำให้ดาบสีดำแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ร่างศิษย์ระดับมังกรขาวก็สลายเป็นจุดแสง
มู่เฉินมองไปที่ศิษย์ระดับมังกรขาวที่กำลังจางหายไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เนื่องจากเขารู้ว่าไม่ยุติธรรมที่เอาชนะด้วยค่ายกล เพราะศิษย์ระดับมังกรขาวไม่มีสติปัญญา ดังนั้นเขาจึงสามารถดักจับเอาไว้ในค่ายกลได้อย่างง่ายดาย ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่ใช่เรื่องง่าย
“แค่ศิษย์มังกรขาวก็หืดจับแล้ว…”
มู่เฉินหลุบตา แค่ศิษย์ระดับมังกรขาวก็บีบให้เขาต้องใช้ค่ายกลวงจรดาวสวรรค์ ถ้าสถานการณ์ดำเนินต่อไปจะยากแค่ไหน?
มู่เฉินค่อยๆ กำหมัดแน่น ดูเหมือนว่า…ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องบรรลุอีกครั้ง มิฉะนั้นการท้าทายจะหยุดลงที่นี่
ขณะที่ความคิดนี้เกิดขึ้นในใจ ลานประลองก็สั่นสะท้านอีกครั้ง จากนั้นมู่เฉินก็หดดวงตาลง อากาศที่ครอบงำระเบิดออกจากเสาแรก รูปปั้นนั้นก็ค่อยๆ ตื่นขึ้น
รูปปั้นนั้นมีภาพมังกรทองทะยาน
มู่เฉินเม้มปากขณะสายตาเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขีดสุด
ประตูมังกรทะยานสวรรค์…ให้สิทธ์เขาในการท้าทายศิษย์ระดับมังกรทองแล้ว!
บทที่ 1119 บรรลุ
ความแข็งกระด้างของรูปปั้นลดลงอย่างรวดเร็ว
ในช่วงเวลาไม่กี่ลมหายใจก็เผยให้เห็นภาพเงาสีดำถือหอกยาวสีดำที่มีลวดลายโบราณสลักอยู่ที่ส่วนปลาย ทำให้มีมิติสั่นสะเทือนไปด้วยเกลียวแสง
ร่างนั้นยืนอยู่เหนือเสาหินอย่างเงียบๆ โดยไม่ได้พูดอะไรสักคำเดียว แต่มีรัศมีข่มขวัญพล่านออกมา
มู่เฉินสัมผัสได้ถึงรัศมีครอบงำที่ตื่นขึ้น มุมหางตาของเขากระตุกไม่หยุด นี่คือศิษย์ระดับมังกรทอง? น่าเกรงขามอย่างแท้จริง จากการประเมินรัศมีที่อีกฝ่ายมีน่าจะบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มเรียบร้อยแล้ว
อีกก้าวเดียวก็จะได้ชื่อว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน!
มู่เฉินกำหมัดอย่างช้าๆ ในแขนเสื้อพร้อมกับท่าทางเคร่งเครียดลงหลายส่วน เขารู้สึกว่ารูขุมขนทั่วสรรพางค์กายลุกซู่ ผิวหนังก็ตึงแน่น ร่างกายอยู่ในสภาวะตื่นตัวอย่างมาก
เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินรู้สึกว่าถูกคุกคามอย่างมากจากศิษย์ระดับมังกรทองคำคนนี้
“ขั้นเก้าระยะเต็ม…”
มู่เฉินถอนหายใจ เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ระดับนี้แม้แต่ตัวเขาก็พบว่ายากที่จะรับมือ แต่โชคดีที่เขาไม่ใช่ทำอะไรไม่ได้…
“ดูท่าจะถึงเวลาลองค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารซะหน่อยแล้ว…”
ดวงตาของมู่เฉินกะพริบวูบไหว แม้ว่าค่ายกลนี้จะไม่สมบูรณ์ แต่ก็เป็นค่ายกลระดับจงซือ หากเขาสามารถสร้างได้ก็น่าจะต่อกรกับจอมยุทธ์ระดับนี้ได้
ทว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดเรียง แม้จะศึกษามาเป็นเวลานาน แต่เขาก็ล้มเหลวหลายครั้งยังไม่ประสบความสำเร็จแม้แต่ครั้งเดียว
ถึงกระนั้นเขาก็ค่อยๆ ปรับแต่งข้อบกพร่องให้สมบูรณ์และลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร ตามการคาดการณ์ตราบใดที่คลื่นหลิงในร่างกายหนาแน่นขึ้นอีกนิด เขาก็มีความมั่นใจที่จะจัดเรียงค่ายกลนี้
วิธีเดียวที่จะเพิ่มคลื่นหลิงในร่างก็คือบรรลุขุมพลัง ถ้าสำหรับคนอื่นอาจต้องการค้นหาโอกาสสะสมไปเรื่อยๆ แต่สำหรับมู่เฉินในตอนนี้ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว…
ย้อนกลับไปที่มหาสมุทรเทพสร้าง เขาก็สามารถบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าได้แล้ว ทว่าตัวเขาพยายามยับยั้งพลังเอาไว้อย่างรุนแรง เนื่องจากเขาต้องการสร้างรากฐานให้มั่นคงก่อน
แต่ตอนนี้… ถึงเวลาที่จะบรรลุอีกครั้งแล้ว
ใบหน้าสงบนิ่ง มู่เฉินก็สูดหายใจลึกแล้วสะบัดมือ ของเหลวจื้อจุนมหาศาลกวาดออกล้อมรอบร่างเข้าไว้ เติมเต็มมิตินี้ด้วยคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขต
ขณะที่หายใจหมอกสีขาวก็ลอยขึ้นแรงดูดพุ่งออกมา ของเหลวจื้อจุนไร้ขอบเขตแยกออกเป็นสาย เข้าสู่ร่างมู่เฉินจากทางปากและจมูก
ที่เบื้องหลังมิติผันผวน จุดจื้อจุนไห่ปรากฏเลือนราง เหมือนจะเห็นท้องฟ้าแตกออก คลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตพรั่งพรูเข้าสู่ทะเลพลัง
มู่เฉินตัดสินใจที่จะบรรลุขั้นเก้าที่นี่!
ศิษย์ระดับมังกรทองคำที่ค่อยๆ ตื่นขึ้นบนเสา ก็กระชับหอกสีดำแน่น ดวงตานิ่งไม่ไหวติง เนื่องจากไม่รู้สึกถึงรัศมีการสู้จากมู่เฉิน ดังนั้นจึงเลือกที่จะไม่ขยับ
เพราะสุดท้ายประตูมังกรทะยานสวรรค์ก็มีไว้เพื่อทดสอบศักยภาพของศิษย์ ดังนั้นหากศิษย์คนใดเลือกที่จะบรรลุที่นี่ ตามกฎประตูก็จะไม่รบกวนแต่จะปกป้องแทนด้วยซ้ำ
มู่เฉินรู้ถึงข้อเท็จจริงนี้ดี ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะพัฒนาขุมพลังที่นี่
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ของเหลวจื้อจุนที่ห้อมล้อมร่างมู่เฉินก็เบาบางลง เนื่องจากคลื่นหลิงภายในได้รับดูดซับโดยมู่เฉินอย่างสมบูรณ์
ระดับน้ำของทะเลพลังในจุดจื้อจุนไห่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งกว่านั้นทะเลพลังยังดูลึกซึ้งยิ่งขึ้น พร้อมกับคลื่นหลิงไร้ขอบเขตระเบิดออกกลิ้งผ่านไปมา
ในเวลาเดียวกันแรงกดดันที่เกิดขึ้นจากร่างกายของมู่เฉินก็เพิ่มขึ้นอย่างน่าทึ่ง
ประมาณสิบกว่านาทีต่อมา ของเหลวจื้อจุนหยดสุดท้ายก็ถูกดูดซับไป ทั้งมิติเงียบงันลงโดยมีเพียงมู่เฉินที่ยืนนิ่งราวกับหินผาโดยไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
ทะเลพลังที่อยู่ข้างหลังก็หายไป มู่เฉินดูสงบนิ่งไม่มีระลอกคลื่นเปล่งออกมาแม้แต่น้อย
แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพียงความสงบก่อนพายุจะมา ดังนั้นหลังจากความเงียบดำเนินไปประมาณสิบกว่าลมหายใจ ดวงตาปิดสนิทของมู่เฉินก็เบิกโพลง
ตู้ม!
แสงหลิงพุ่งออกมาจากดวงตาของมู่เฉินพร้อมกับคลื่นกระแทกไร้ขอบเขตกวาดออก ทำให้มิติสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นราวกับฟ้าคำรน
แรงกดดันทรงพลังของคลื่นหลิงกระจายออกไปโดยมีมู่เฉินอยู่ตรงกลาง
มู่เฉินค่อยๆ กำกำปั้นแน่น รับรู้ถึงคลื่นหลิงทรงพลังกลิ้งตัวไปมาอยู่ในร่างกายพร้อมกับรอยยิ้มพึงพอใจประดับที่มุมปาก
หลังจากยับยั้งคลื่นพลังในร่างไว้หลายเดือนในที่สุดเขาก็บรรลุสำเร็จ เข้าสู่ขอบเขตของระดับจื้อจุนขั้นเก้าอย่างแท้จริง!
แม้ว่าจะเป็นอีกครึ่งก้าว แต่ก็เป็นการเพิ่มที่ทรงประสิทธิภาพยอดเยี่ยมสำหรับมู่เฉิน
นั่นเป็นเพราะการบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าทำให้เขาสามารถใช้ทักษะที่ทรงพลังที่สุดของเขาได้… อย่างเช่นค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร
“เจ้าผู้ท้าชิงบรรลุเรียบร้อยแล้วหรือยัง?” ขณะที่มู่เฉินกำลังชื่นชมยินดีกับพลังที่เพิ่มขึ้น เสียงแผ่วเบาก็ดังก้องไปทั่ว
มู่เฉินอึ้งไปจากนั้นก็เงยหน้าขึ้น มองเห็นศิษย์ระดับมังกรทองคำก้มหัวลงมองมา จอมยุทธ์คนนี้ดวงตาไม่ว่างเปล่าเหมือนคนอื่น มีสติปัญญาแฝงอยู่เล็กน้อย
ดูเหมือนศิษย์ระดับมังกรทองคำจะแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ
มู่เฉินประหลาดใจไปก่อนที่จะยิ้มแล้วพยักหน้า
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็เริ่มกันเลยเถอะ ตราบใดที่เจ้าประสบความสำเร็จก็จะได้เป็นศิษย์ระดับมังกรทองคำที่มีตำแหน่งสูงของวังสวรรค์บรรพกาล หากล้มเหลวก็เป็นศิษย์ระดับมังกรขาวไป” ศิษย์ระดับมังกรทองคำชี้ปลายหอกมาที่มู่เฉิน แม้จะอยู่ในระยะไกลมู่เฉินก็ยังสัมผัสได้ถึงความเย็นบนผิวหนัง
“ถ้าล้มเหลวไม่มีกระทั่งคุณสมบัติที่จะท้าประลองศิษย์ระดับมังกรเขียวรึ…” มู่เฉินพึมพำ ดูเหมือนว่าประตูมังกรทะยานสวรรค์จะไม่ใช่อาวุธมหสวรรค์ในอดีตอีกต่อไป มีข้อบกพร่องในกฎท้าทายดังกล่าว
แต่มู่เฉินก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากนัก หากเขาไม่ได้รับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำ จะมังกรขาวหรือมังกรเขียวก็ไม่ต่างกันหรอก
แต่ตามความเห็นของเขาดูเหมือนว่ามีเพียงศิษย์ระดับมังกรทองคำเท่านั้นที่สามารถได้รับวิธีพัฒนาร่างเทพสุริยะ ดังนั้นเขาต้องพยายามเต็มที่เพื่อครอบครองตำแหน่งนี้
ด้วยความคิดนี้มู่เฉินก็ไม่ลังเล สูดหายใจเข้าลึกก่อนจะวาดตราประทับขึ้นมา เกลียวแสงพุ่งออกมาพร้อมกับสัญลักษณ์หลิงยิ่งเข้มข้นนับไม่ถ้วนพรั่งพรูออกมารวมเข้ากับอากาศ
ท่าทางมู่เฉินเคร่งเครียดลงมาก ขณะกลั่นสัญลักษณ์หลิงยิ่งอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีจำนวนเกินขอบเขตค่ายกลระดับเทียนขั้นสูงที่สร้างก่อนหน้าแล้ว
ศิษย์ระดับมังกรทองคำยังยืนนิ่งอยู่บนเสาหินโดยไม่ได้เริ่มการโจมตี ตามกฎแล้วจะต้องรับกระบวนท่าโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของผู้ท้าชิงก่อนจะประเมินขั้นสุดท้าย
การรอคอยของอีกฝ่ายให้เวลามู่เฉินอย่างเพียงพอในการเตรียมการ
เมื่อสัญลักษณ์หลิงยิ่งจำนวนมากบินฉวัดเฉวียนออกไปรัศมีหลายหมื่นจั้งก็เกิดความผันผวนพร้อมกับสายผนึกแผ่ซ่านออกมา ถักทอกันและกันกลายเป็นค่ายกลขนาดใหญ่
โครงสร้างค่ายกลค่อยๆ สมบูรณ์ เส้นสายแสงกลายเป็นสายผนึกที่หนาแน่นบัดนี้มู่เฉินบรรลุอีกระดับแล้ว หน้าผากของมู่เฉินปกคลุมด้วยเม็ดเหงื่อชื้น ตอนนี้เขาถึงได้พบว่างานนี้ต้องเสียพลังแค่ไหน
ถ้าเขาไม่ได้บรรลุขุมพลังก็คงเป็นเรื่องยากยิ่งที่จะประสบความสำเร็จในการสร้างค่ายกลนี้ ไม่ว่าเขาจะศึกษาหรือทำความเข้าใจมานานแค่ไหนก็ตาม
ในมิตินี้ค่ายกลมหึมาถูกสร้างขึ้นเรื่อยๆ ความซับซ้อนและลึกซึ้งนั้นเพียงพอที่จะทำให้ทุกคนที่ไม่เข้าใจศาสตร์ค่ายกลเลือดร้อนขึ้นมา
แม้แต่สายตาศิษย์ระดับมังกรทองคำก็ยังเปลี่ยนไปเป็นเคร่งเครียด กระทั่งอากาศครอบงำรอบตัวก็ยังถูกระงับ วงรัศมีหดลงมาเรื่อยๆ
เม็ดเหงื่อหยดลงมาจากหน้าผากมู่เฉินขณะที่ดวงตาจ้องไปที่ค่ายกลและจัดการอย่างระมัดระวัง ไม่กล้าจะเกิดข้อผิดพลาดใดๆ หากเขาล้มเหลวก็จะไม่สามารถจัดเรียงค่ายกลใหม่ได้อีกในเวลาอันสั้น ซึ่งนั่นจะหมายถึงการท้าทายจบสิ้นลง
แต่โชคดีที่มู่เฉินเคยฝึกฝนหลายครั้งในอดีต ดังนั้นในที่สุดค่ายกลก็ก่อตัวขึ้นอย่างสมบูรณ์ เอิบอาบไปด้วยแรงกดดันที่คลุมเครือ
มู่เฉินมองไปที่ค่ายกลที่กำลังก่อตัวก็ไม่ได้รู้สึกโล่งใจ เขาสะบัดแขนเสื้อแสงสีขาวหลายสายพุ่งเข้าไปในค่ายกล
มองทะลุผ่านแสงสีขาวก็จะเห็นว่านี่คือกระดูกมังกร!
กระดูกมังกรแต่ละชิ้นเปล่งพลังมังกร
ซึ่งกระดูกเหล่านี้จะเป็นใจกลางของค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารนี้
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
เมื่อกระดูกมังกรเข้าสู่ค่ายกลก็เกิดการสั่นไหว แสงหลิงนับไม่ถ้วนแปรปรวน สุดท้ายมารวมตัวกันรุนแรงพุ่งไปยังกระดูกมังกร
โฮก!
แสงหลิงไร้ขอบเขตพุ่งทะยาน จากนั้นมู่เฉินก็เห็นว่าก่อร่างเป็นมังกรขนาดมหึมาที่น่ากลัวในค่ายกล
มู่เฉินมองไปที่มังกรก็รู้สึกโล่งอกพร้อมกับความสุขกระจายในนัยน์ตา
ในที่สุดเขาก็ประสบความสำเร็จในการสร้างค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร!
บทที่ 1120 รูปแบบการต่อสู้เชอหลุนจั้น
โฮก!
ค่ายกลขนาดใหญ่ล้อมรอบลานประลอง ก่อนที่มังกรตัวมหึมาจะค่อยๆ ก่อตัวขึ้นที่ใจกลางค่ายกล มังกรสถิตอยู่ในค่ายกลพร้อมกับพายุคลื่นหลิงที่ครอบงำกวาดออกไปเมื่อเกิดการหายใจ
มังกรนี้มีสีเหลืองเข้ม ไม่มีสติปัญญาใดๆ ในดวงตา แต่กลับแผ่กระจายด้วยคลื่นหลิงทรงพลังออกมา มู่เฉินสามารถสัมผัสพลังนี้ได้ถึงความผันผวนของระลอกคลื่นหลิง
นั่นคือขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็ม!
เมื่อสัมผัสได้ถึงพลัง มู่เฉินก็โล่งใจมาก ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารสมกับเป็นค่ายกลระดับจงซือ แม้ว่าจะอยู่ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์ แต่พลังที่สามารถปลดปล่อยออกมาก็ยังคงน่าตกใจอย่างยิ่ง
ตามการคาดเดาของมู่เฉินหากค่ายกลสามารถเปิดใช้งานได้แบบสมบูรณ์ ก็อาจจะสามารถเรียกมังกรระดับนี้ได้ถึงสามหรือสี่ตัว แต่เวลานี้เขายังทำถึงขนาดนั้นไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงรู้สึกพอใจที่สามารถสร้างมังกรได้แม้จะเป็นตัวเดียวก็ตาม
“ถ้าค่ายกลสมบูรณ์แบบ ก็จะมีมังกรขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มเก้าตัว บวกกับการประสานพลังจากค่ายกล แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นก็ยังต้องปวดหัวเมื่อจัดการ!” รอยยิ้มปรากฏบนริมฝีปากของมู่เฉิน ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารพิเศษจริงๆ
หลังจากเรียกมังกรมหึมาออกมาได้ มู่เฉินก็รู้สึกโล่งใจ เขาเงยหน้าขึ้นมองศิษย์ระดับมังกรทองคำพูดว่า “ชี้แนะด้วย”
สีหน้าของศิษย์ระดับมังกรทองคำเคร่งเครียดลงหลายส่วน เขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังของค่ายกล
“ตามที่ขอ”
หอกยาววาดขึ้นชี้ไปที่มังกร เงาร่างเขากลายเป็นแสงสีดำในพริบตาก็พุ่งเข้าไปในค่ายกล รังสีแสงขนาดหมื่นจั้งระเบิดออกพร้อมกับหอกซัดไปที่มังกร
โฮก!
มังกรคำรามกระโจนออกไปอย่างไม่เกรงกลัวพร้อมกับกระแสคลื่นหลิงรุนแรงกวาดออก พุ่งไปหาศิษย์ระดับมังกรทองคำ
ตู้ม!
พลังงานสองสายปะทะกันเกิดเสียงกัมปนาทดังกึกก้อง คลื่นหลิงป่าเถื่อนกวาดออก ทำให้มิติแปรปรวนตลอดเวลา
มู่เฉินมองการเผชิญหน้านี้ด้วยความหนักใจและตระหนักได้ว่าเขาประเมินความแข็งแกร่งของศิษย์ระดับมังกรทองคำต่ำเกินไป แม้จะมีมังกรของค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารช่วยเหลือ ซึ่งคล้ายกับการมีองครักษ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็ม แต่ศิษย์ระดับมังกรทองคำก็ยังได้เปรียบกว่า
ในทางกลับกันหากมู่เฉินไม่เทคลื่นหลิงให้มังกรตัวนั้นอย่างต่อเนื่อง ไม่นานมันก็คงถูกศิษย์ระดับมังกรทองคำแทงทะลุไป
“สมกับเป็นศิษย์ระดับมังกรทองคำ”
มู่เฉินถอนหายใจ จากนั้นก็กระแทกฝ่าเท้า สัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนพรั่งพรูสายผนึกออกมาก่อร่างเป็นค่ายกลวงจรดาวสวรรค์!
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
ดวงดาวพริบพราวก่อนที่จะตกใส่ร่างศิษย์ระดับมังกรทองคำ!
ตู้ม!
เมื่อฝนดวงดาวร่วงหล่นลงมา ศิษย์ระดับมังกรทองคำก็ต้องชะลอการโจมตีมังกร ก่อนจะทำให้ฝนดวงดาวเหล่านั้นแตกสลาย
ดังนั้นภายใต้การโจมตีของมู่เฉิน ศิษย์มังกรทองคำต้องทนต้านรับการโจมตีจากทั้งมังกรและค่ายกลอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์เข้าสู่ทางตัน
มู่เฉินมองศิษย์ระดับมังกรทองคำที่ถูกดักเอาไว้ สายตาก็วูบไหวพลางนั่งลงก่อนที่จะสะบัดแขนเสื้อ ของเหลวจื้อจุนอีกสายไหลเวียนรอบร่าง
เมื่อพิจารณาจากจำนวนแล้ว นี่คือของเหลวจื้อจุนอย่างน้อยหนึ่งล้านหยด
“อึดจริงๆ! ข้าคงต้องใช้กลเม็ดสักหน่อยแล้ว”
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองศิษย์ระดับมังกรทองคำก่อนจะยิ้มบาง ตราประทับเปลี่ยนแปลงเร็วรี่ สัญลักษณ์หลิงยิ่งก็กวาดออกมาอีกครั้ง
ขณะที่มู่เฉินเริ่มหมดพลังในการควบแน่นสัญลักษณ์หลิงยิ่ง ของเหลวจื้อจุนรอบตัวก็เติมเต็มเข้าไปในร่างกายเพื่อลดทอนความเหนื่อยล้า
เมื่อสัญลักษณ์หลิงยิ่งแผ่ออก ค่ายกลขนาดใหญ่ก็ก่อร่างขึ้นช้าๆ นี่ก็คือค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารอีกค่ายกลหนึ่ง!
แต่ค่ายกลที่สองนี้ใช้เวลานานกว่าเนื่องจากต้องอาศัยพลังงานภายนอก ดังนั้นจึงใช้เวลาในการสร้างเป็นสองเท่า
เมื่อค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารค่ายกลที่สองสร้างขึ้นเรียบร้อย มังกรในค่ายกลแรกก็หดลงเหลือครึ่งหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าได้รับความเสียหายจากการต่อสู้กับศิษย์ระดับมังกรทองคำ
เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ดวงตาก็กะพริบวูบไหวก่อนที่มังกรจะคำรามกระโจนเข้าใส่อย่างไม่กลัวตาย ทันทีที่ปะทะกับร่างศิษย์ระดับมังกรทองคำก็ระเบิดตัวเอง
ตู้ม!
คลื่นกระแทกป่าเถื่อนกวาดออก ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารค่ายกลแรกถูกทำลาย ส่วนร่างศิษย์ระดับมังกรทองคำก็ได้รับความเสียหายมาก คลื่นหลิงที่ทรงพลังรอบตัวอ่อนแอลงอย่างมาก
แต่ก่อนที่ศิษย์ระดับมังกรทองคำจะฟื้นตัว ก็ได้ยินเสียงมังกรคำรามอีกเสียง มังกรจากค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารที่สองพุ่งเข้าใส่ศิษย์ระดับมังกรทองคำอย่างดุเดือด!
เมื่อมองการพุ่งเข้าใส่ของมังกร ใบหน้าของศิษย์ระดับมังกรทองคำก็ตะลึงงันไป เพราะไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะต้องเจอกับผู้ท้าทายที่หน้าด้านขนาดนี้…
เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินคิดจะใช้รูปแบบการต่อสู้แบบเชอหลุนจั้นเพื่อให้เขาเหนื่อยตาย!
เผชิญหน้ากับกลยุทธ์แบบนี้ ต่อให้เขามีพลังในการต่อสู้ไม่ธรรมดา สุดท้ายก็จะหมดแรงไปเองอย่างสมบูรณ์ ส่วนมู่เฉินเพียงแค่เติมของเหลวจื้อจุนให้ตัวเองก็สามารถสร้างค่ายกลออกมาไม่สิ้นสุด!
ภายใต้สถานการณ์ต่อสู้เช่นนี้ ไม่มีใครสามารถไปรบกวนมู่เฉินได้เลย
ดังนั้นการต่อสู้ที่ยากลำบากเลยกลายเป็นขบขัน ในฐานะผู้ท้าชิงมู่เฉินไม่คิดจะเสี่ยงชีวิต กลับซ่อนตัวอยู่ไกลๆ และจัดค่ายกลขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
เขาไม่สามารถควบคุมค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารสองค่ายกลได้พร้อมกัน ดังนั้นเขาจะควบคุมค่ายกลที่สองได้หลังจากที่ค่ายกลแรกถูกทำลาย
ทว่าแม้กลยุทธ์นี้จะเป็นการชกใต้เข็มขัด แต่ก็ยังอยู่ในกฎที่วางไว้ ดังนั้นมู่เฉินจึงไม่ถูกยับยั้งไม่ให้ทำ เมื่อเวลาผ่านไปคลื่นหลิงรอบร่างศิษย์ระดับมังกรทองคำก็อ่อนลงเรื่อยๆ
เมื่อมังกรตัวที่สี่ระเบิดออก ร่างศิษย์ระดับมังกรทองคำก็แตกร้าว แสงซึมออกมาจากรอยแตกเหล่านั้น
เมื่อมู่เฉินที่เหงื่อท่วมตัวเห็นฉากนี้ก็อดรู้สึกโล่งใจไม่ได้ เนื่องจากมือของเขาสั่นเทิ้มไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะความอ่อนเพลียที่เกิดขึ้นจากการที่เขาสร้างค่ายกลซ้อนกันขึ้นมาตลอดเวลา
เวลานี้เขารู้สึกเวียนหัวไปหมดแล้ว ท้ายที่สุดแล้วการสร้างค่ายกลที่ซับซ้อนจำนวนมาก ไม่เพียงแต่ทำให้คลื่นหลิงหมดลงเท่านั้น หากเขาหมดแรงเกินไปก็จะหมดลมแน่นอน
“ขอโทษด้วย”
มู่เฉินสะบัดแขนเสื้อสลายค่ายกลที่จัดเตรียมได้ครึ่งหนึ่งออกไป ศิษย์ระดับมังกรทองคำในสภาพเช่นนี้ชัดว่าหมดแรงแล้ว ไม่เป็นภัยคุกคามอีกต่อไป
ถึงตอนนี้การท้ามายของเขาถือว่าประสบผลแล้ว
ตอนนี้มู่เฉินตระหนักได้ว่าซูชิงหยิงน่าจะมีสิทธิ์ในการรับป้ายมังกรทองคำ ทว่าราคาแพงระยับที่ต้องจ่ายคือการบาดเจ็บล้มตายของแมลงวิญญาณจำนวนมาก ซึ่งนางไม่เต็มใจที่จะทำแบบนั้น
ศิษย์ระดับมังกรทองคำประสานมือให้มู่เฉินกล่าวว่า “ขอแสดงความยินดีที่ได้เป็นศิษย์ระดับมังกรทองคำของวังสวรรค์บรรพกาล”
ภาพเงาของศิษย์ระดับมังกรทองคำกระจายเป็นจุดแสง ป้ายโบราณถูกควบแน่นที่เบื้องหน้ามู่เฉิน
บนป้ายมีมังกรทองขดตัวอยู่ ปลดปล่อยแรงกดดันทรงพลัง
ป้ายมังกรทองคำ!
ฮา!
มู่เฉินมองไปที่ป้ายทองอร่ามก็รู้สึกว่าร่างกายเป็นอัมพาต เขาทรุดตัวลงกล้ามเนื้อเจ็บปวดรวดร้าว สั่นระริกไปหมด การสร้างค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารออกมาเป็นชุดแบบนี้ เกินพลังเขาอย่างชัดเจน
นอกจากนี้เขายังใช้ของเหลวจื้อจุนไปถึงสามล้านหยด
แต่ก็คุ้มค่ากับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำ
เมื่อมู่เฉินทรุดตัวลง มิติก็ผันผวน จากนั้นแสงสายหนึ่งก็ห่อหุ้มร่างมู่เฉินพาเขาออกจากมิตินี้ไป
มู่เฉินรู้ว่าในที่สุดการทดสอบของประตูมังกรทะยานสวรรค์ก็จบลงแล้ว
ด้านนอกประตูมังกรทะยานสวรรค์
ทั่วบริเวณตกอยู่ในความสับสน แต่คราวนี้ผู้คนมองไปที่ประตูด้วยความประหลาดใจ เมื่อพวกเขาตระหนักว่ามู่เฉินใช้เวลานานเกินไปแล้ว
ซึ่งเกินกว่าทุกคนก่อนหน้า
นี่ทำให้พวกเขาประหลาดใจและสงสัยอย่างยิ่ง มู่เฉินไปเจออะไรในนั้นถึงได้ใช้เวลานานขนาดนี้? แต่ไม่ว่าพวกเขาจะเดาอย่างไรก็ไม่เคยคิดว่ามู่เฉินกำลังท้าทายศิษย์ระดับมังกรทองคำอยู่…
มีเพียงซูชิงหยิงที่มุ่นคิ้วขึ้นทีละน้อย รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
ขณะที่ทุกคนคาดเดาในใจ ประตูก็เกิดการเคลื่อนไหวในที่สุด ประกายแวววาวพร่างพราวออกมาก่อเป็นร่างสูงโปร่ง
ร่างนี้ก็คือมู่เฉิน
แต่เมื่อพวกเขากวาดสายตาไปที่มู่เฉินก็ต้องหดดวงตาลงทันที เนื่องจากพวกเขาเห็นเสาสีทองขนาดใหญ่ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าจากร่างของมู่เฉิน ฉีกขาดฟ้าดิน
มีมังกรทองพันอยู่รอบเสา
เสียงวุ่นวายหยุดลงทันที ใบหน้าผู้คนแข็งทื่อ จากนั้นไม่นานความไม่เชื่อเข้มข้นและหวาดผวาก็ผุดขึ้นในดวงตา
“นั่น…นั่นศิษย์ระดับมังกรทองคำ? เป็นไปได้อย่างไร?!”
**车轮战 อ่านว่าเชอหลุนจั้น หมายถึงการต่อสู้แบบหลายคนผลัดขึ้นสู้กับคนคนเดียว หรือหลายกลุ่มปะทะคนกลุ่มเดียวเพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามแพ้เพราะความเหนื่อย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น